มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี นำโดย ดร. ปิติ มณีเนตร รองผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ร่วมพิธีรับมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์” โดยมี นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ กลุ่มทอผ้า ผู้ผลิตผ้าไทย และผู้ประกอบการ OTOP ในพื้นที่เข้าร่วมพิธี ซึ่งจัดโดย กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ภายใต้โครงการ “สร้างการรับรู้ภูมิปัญญาผ้าไทยและผ้าลายพระราชทาน” โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่แบบลายผ้าพระราชทานอันทรงคุณค่าให้แก่ประชาชนทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการผลิตผ้าและหัตถกรรมพื้นถิ่น อาทิ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและลวดลายผ้าเฉพาะถิ่นที่โดดเด่น ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568
“ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์” ประเภทผ้ามัดหมี่ เป็นหนึ่งในลายผ้าพระราชทานที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงออกแบบด้วยพระองค์เอง ภายใต้แนวพระดำริในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาผ้าไทยให้เข้ากับวิถีชีวิตสมัยใหม่ พระราชทานแก่ช่างทอผ้าและช่างหัตถกรรมไทย โดยทรงให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงศิลปะไทยดั้งเดิมกับความงามแบบร่วมสมัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผ้าไทยในระดับสากล
ดร. ปิติ มณีเนตร รองผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า ผ้าลายพระราชทาน ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความงดงามทางศิลปะ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนใต้ที่มีรากฐานของหัตถกรรมพื้นถิ่นอยู่แล้ว การน้อมนำแนวพระดำริของพระองค์ท่านมายกระดับงานผ้าท้องถิ่น จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างรายได้และภาพลักษณ์ใหม่ให้กับผ้าไทยในระดับสากล โดยสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้านการส่งเสริมอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ และรักษามรดกทางวัฒนธรรม โดยการมีส่วนร่วมของสถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคม ที่จะช่วยขยายผลการอนุรักษ์อย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาว
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มีแผนที่จะนำแบบลายผ้าพระราชทานไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน นิทรรศการ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับชุมชนในพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อเป็นต้นแบบของการบูรณาการความรู้ด้านวัฒนธรรมและนวัตกรรมเข้าด้วยกัน ถือเป็นการแสดงบทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันวิชาการที่พร้อมขับเคลื่อนการอนุรักษ์ สืบสาน และพัฒนาทรัพย์สินทางวัฒนธรรมร่วมกับชุมชน โดยเฉพาะผ่านการวิจัยและการพัฒนาหลักสูตรที่เชื่อมโยงภูมิปัญญาพื้นบ้านกับนวัตกรรมใหม่ เช่น การออกแบบลวดลายผ้า การย้อมสีจากธรรมชาติ และการตลาดเชิงสร้างสรรค์ เป็นต้น