วันพุธ, 16 กรกฎาคม 2568

รอบรั้วเมืองใต้ 26 ธันวาคม 2567

รอบรั้วเมืองใต้ฉบับนี้ ผู้เขียนขอเข้าร่ายข่าวสังคม ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม ตามวิสัยคนหนังสือพิมพ์อาชีพ ที่เห็นมาอย่างไร ก็เขียนไปอย่างนั้น

ผิดแล้ว ผิดอีก ผิดซ้ำ ผิดซาก นั้นคือ การบริหารราชการแผ่นดิน ของพรรคเพื่อไทย ที่มีแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในการแต่งตั้ง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ซึ่งมี นักวิชาการ และผู้รู้ หลายต่อหลายคนได้ทักท้วง ในเรื่องของคุณสมบัติ ที่อาจจะเป็นปัญหา ในการดำรงตำแหน่งนี้ และสุดท้ายกฤษฎีกา ก็ตีความ ว่า กิตติรัตน์ ณ ระนอง ขาดคุณสมบัติ ต้องวืด ตำแหน่งประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เป็นเรื่องโอละพ่อ โห่ละเห่ โอละช้า อีกฉากหนึ่งของนายกรัฐมนตรีฝึกหัด แพทองธาร ชินวัตร ที่เกิดขึ้นและจะตามมาด้วยปัญหาต่างๆ อีกหลายกระบุงโกย

เช่นเดียวกับเรื่องการขึ้นค่าแรง ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงไว้กับประชาชน ที่อดีตหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่ชื่ออุ๊งอิ๊งค์ ได้ บอกกับประชาชนว่าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ค่าแรงต้อง600 บาท สุดท้ายหลังจากสั่งการให้กระทรวงแรงงาน ทำการปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง มีการเรียกประชุมคณะกรรมการไตรภาคี ถึง 4 ครั้งจึงสามารถปรับขึ้นค่าแรงได้วันละ 400 บาท และได้เพียง 4 จังหวัด กับอีก 1 อำเภอ ได้แก่ ภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง กับอีก1 อำเภอ คือ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนกรุงเทพมหานคร ที่ควรจะมีการขึ้นค่าแรงก็ไม่อยู่ในบัญชี เช่นเดียวกับ เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ที่ พิพัฒน์ รัชกิจประการ เสนาบดีกระทรวงแรงงาน มีความเห็นว่าควรจะอยู่ในบัญชี ที่ปรับขึ้นค่าแรง ก็ไม่ติดโผ ในการปรับขึ้นค่าแรง ในครั้งนี้

ที่สำคัญหลังการปรับขึ้นค่าแรง เพียง 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ แทนที่จะได้รับดอกไม้ กลายเป็นว่า รัฐบาล ของพรรคเพื่อไทย ที่มี แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ก้อนอิฐ เพราะการขึ้นค่าแรง กลายเป็นเรื่องฝนตกเป็นหย่อมๆ ในขณะที่สินค้า ที่ขึ้นราคา มีการขึ้นแบบปูพรม ไม่ได้เลือกขึ้นเป็นหย่อมๆ เฉพาะจังหวัดที่มีการขึ้นค่าแรง หรือนี่คือหลักการบริหารราชการแผ่นดิน ในยุคที่รัฐบาล อยู่ในสภาวะของถังแตก เพราะผ่านไปแล้ว 1 ปี 4 เดือน รัฐบาลชุดนี้ ยังหาเงินเข้าประเทศไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเพียงราคาคุย หรือต้องรอให้ประชาชน ทำการขุดดินขายโคลน เสียก่อนเศรษฐกิจของประเทศนี้ จึงจะดีขึ้น

แต่ที่น่าเศร้า คือข่าวรายวัน เกี่ยวกับการปลดคนงาน การประกาศปิดกิจการ มีการลอยแพคนงาน เป็นจำนวนมาก จากหลายบริษัทที่ประกาศหยุดกิจการ ในสิ้นปี 2567 เห็นภาพพนักงานกอดกันร้องให้ เห็นภาพพนักงานตั้งโต๊ะประท้วง เพราะโรงงาน และบริษัทไม่จ่ายค่าชดเชย เพราะบริษัท และโรงงานที่ปิดกิจการ ก็อยู่ในสภาพเดียวกับรัฐบาล นั้นคือถังแตก หรือเจ๊งบ้ง จากการบริหารประเทศของรัฐบาลแล้ว บอกได้คำเดียวว่าเศร้า และกลายเป็นงานหนัก และงานหลัก ของ พิพัฒน์ รัชกิจประการ เสนาบดีกระทรวงแรงงานที่ต้องรอรับหน้า กับกองทัพคนตกงาน ที่มายื่นเรื่องร้องทุกข์ และร้องเรียน เพื่อขอความเป็นธรรม สิ้นปี 2567 ยังเป็นขนาดนี้ แล้วในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย จะหนักขนาดไหน เอ๊ะ สุดท้ายแล้ว เรื่องที่นายกรัฐมนตรี บอกให้ประชาชนยึดอาชีพใหม่ขุดดินขายโคลน น่าจะเป็นจริงนะ

ส่วนเรื่องของการแจกเงินให้กับประชาชน ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะเป็นจริง เพราะคณะของเสนาบดีกระทรวงการคลัง ย้ำแล้วย้ำอีก ถึง วัน ว. เวลา น.ในการที่จะแจกเงิน นี่ก็เป็นเรื่องฝนตกเป็นหย่อมๆ ที่เกิดจากรัฐบาลชุดนี้ ที่นำเงินกู้ที่คนไทย ทุกคนต้องเป็นหนี้ อย่างเท่าเทียมกันมาแจก ให้กับคนจำนวนหนึ่ง ที่สุดท้ายไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของประเทศจากการแจกเงิน ครั้งนี้ แล้วยังเป็นความรู้สึก ที่ไม่ดีกับรัฐบาล เพราะไม่มีความเป็นธรรม จากการบริหารจัดการ ที่กลายเป็นเรื่องฝนตกเป็นหย่อมๆ นั่นเอง ดังนั้น ปีใหม่ 2568 จึงไม่มีอะไรใหม่ ที่เป็นความหวัง สำหรับคนไทย และประเทศไทย

ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์