วันพฤหัสบดี, 4 กันยายน 2568

รอบรั้วเมืองใต้ 4 กันยายน 2568

รอบรั้วเมืองใต้ฉบับนี้ ผู้เขียนขอเข้าร่ายข่าวสังคม  ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม ตามวิสัยคนหนังสือพิมพ์อาชีพ ที่เห็นมาอย่างไร ก็เขียนไปอย่างนั้น

เริ่มที่เรื่องร้อนๆ  คือเรื่องการเมือง ที่ร้อนเป็นปรอทแตก  หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญโดยตุลาการ เสียงข้างมาก จำนวน 6 ต่อ 3 มีคำวินิจฉัยว่าคลิปการสนทนา ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุนเซ็น  ผู้นำตัวจริงของประเทศกัมพูชาเป็นเรื่องผิดจริยธรรม อย่างร้อยแรง เป็นการปิดฉาก นายกรัฐมนตรี ที่นามสกุลชินวัตร เป็นคนที่สาม จากทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว และสุดท้ายคือ แพทองธาร ชินวัตร ที่น่าจะเป็นชินวัตร คนสุดท้าย ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  และ หลังจากนี้ในอนาคต ต้องจับตา ว่า ตระกูลชินวัตรจะมีการขับเคลื่อน ทางการเมือง เพื่อให้มีอำนาจทางการเมืองต่อไปอย่างไร และจะให้บุคคล ใดมาทำหน้าที่นอมีนีเพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ให้ได้ เชื่อเถอะ ทักษิณ ชิวัตร ยังดิ้นรน ที่จะไปต่อ เพื่อกุมอำนาจ ทางการเมืองของประเทศไทย ต่อไป เรื่องการโยนผ้าเพื่อยอมแพ้ ไม่มีอยู่ในดีเอ็นเอ ของ ทักษิณ ชินวัตร อย่างแน่นอน ดังนั้นการต่อสู้และการต่อรอง ทางการเมือง เพื่อจัดตั้ง ครม. ชุดใหม่ จึงเป็นการประดาบ ที่ถึงเลือดถึงเนื้อ อย่างแน่นอน

เป็นผู้ที่มีความรวดเร็ว ปานกามนิตหนุ่มต้องยกให้กับ เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวรรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่  เคลื่อนไหว ในการจับขั้ว กับพรรคประชาชน ของเสี่ยเท้ง ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุธ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล และจับมือกับพรรคกล้าธรรม ที่เป็นพรรคร่วมพรรคแรก ที่ดีดออกจากขั้วของเพื่อไทย แบบมาทั้งพรรค เป็นพรรคแรก ซึ่งไม่เกินความ คาดหมาย สำหรับการเล่นการเมือง แบบผู้กองธรรมนัส เป็นการชิงตัดหน้าในการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ที่แม้จะมีการจับมือ เพื่อแถลงข่าว ในทันที ที่แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการแถลงข่าว และจับมือกันโดยขาดพรรคกล้าธรรม ในขณะที่ สุชาติ ชมกลิ่น แกนนำกลุ่ม 18 เสียง ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ขนพลพรรค ไปร่วมกับภูมิใจไทย กลายเป็นการจับขั้ว ที่ประชาชน ให้ความสนใจ และจับตามองว่าพรรคภูมิใจไทย จะสามารถเป็นผู้จัดตั้ง รัฐบาลแทนขั้วเก่า อย่างพรรคเพื่อไทย ได้หรือไม่

เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นเสี่ยหนู จากพรรคภูมิใจ หรือเสี่ยอ้วน จากพรรคเพื่อไทย ใครจะมีชัย ในการได้เสียงข้างมาก เพื่อการได้สิทธิ์ ในการจัดตั้ง รัฐบาลชุดที่ 32 ยังไม่ง่าย และยังต้องใช้เวลา เพราะพรรคการเมือง ที่มีการจับขั้วกันแล้ว ยังสามารถพลิกขั้วได้จนถึงวินาทีสุดท้าย อย่างที่เสี่ยอ้วน ยังคาดหวังว่าจะสามารถ ดึงเอาพรรคประชาชน มาเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเพื่อให้พรรคเพื่อไทย ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองก็ยังมีจุดบอด เพราะยังไม่สามารถตกลงใจ ว่า จะเอาชัยเกษม นิติศิริ แคตดิเดตนายกรัฐมนตรี ตามบัญชีรายชื่อ หรือจะเอาหัวหน้าพรรค คนไหน ที่เป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีมาเพื่อเป็นนอมินีแทนคนของพรรคเพื่อไทย เพราะชัยเกษม นิติศิริ ได้ออกมาพูดกับผู้สื่อข่าว ว่า ตนจะไม่เป็นนายกรัฐมนตรีที่จะถูกสั่งการในเรื่อง นั้น เรื่องนี้  ซึ่งหากพรรคเพื่อไทย ส่ง ชัยเกษม นิติศิริ เป็น นายกรัฐมนตรี โดยสามารถหาเสียงข้ามมาก มาสนับสนุน ในสภาผู้แทนฯให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ แต่ถ้าทักษิณ ชินวัตร เข้ามากำกับและสั่งการไม่ได้  นี่คือปัญหาที่เจ้าของพรรคเพื่อไทย คงยอมไม่ได้

ที่สำคัญพรรคที่เป็นตัวแปร ในการจัดตั้งรัฐบาล ครั้งนี้คือพรรคประชาชนที่หัวหน้าเท้ง มีอำนาจ ในการตัดสินใจ หรือผู้ที่มีอำนาจ ในการตัดสินใจในการสนับสนุนพรรคหนึ่งพรรคใดให้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลเป็นธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ  ซึ่งเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิด กับทักษิณ ชินวัตร มาแต่อ้อนแต่ออก โอกาสที่ พรรคประชาชน อาจจะพลิกขั้วไปสนับสนุนพรรคเพื่อไทย อย่างที่เสี่ยอ้วน ภูมิธรรม เวชยชัย ให้ข่าวกับสื่อมวลชน อาจจะไม่ใช่การคาดหวังที่ลมๆแล้ง

แต่การกลับไปกลับมา ของพรรคประชาชน ก็เหมือนกับการฆ่าตัวตายทางการเมือง ที่อาจจะส่งผลต่อคะแนนเสียงของการเลือกตั้ง ครั้งใหม่ หากมีการยุบสภาฯ ตามเงื่อนไข ของพรรคประชาชน ที่เสนอต่อทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย ที่มีอะไรที่ลึกๆ กว่านั้น แต่ สิ่งหนึ่ง ที่เป็นสัจจธรรม คือการเมืองไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร เพราะบางพรรคการเมือง เพิ่งประณามกันมาหยกๆ วันนี้มีการชื่นชม อย่างมากระดากปากกระดากลิ้น นี้คือการเมือง ที่ประชาชน ต้องรู้เท่าทัน.

ที่สำคัญ เสี่ยอ้วน ภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ยังมีการประกาศ ว่ารัฐบาล นี่ยังมีอำนาจในการบริหารประเทศ อย่างเต็มที่ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ แต่ยังมีอำนาจ ในการยุบสภา ซึ่งเป็นการแก้เผ็ด ไม่ให้พรรคภูมิใจไทย ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล และปิดทางบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ อนุทิน ชาญวีรกุลก็ต้อง ตรวจสอบ และติดตามว่ารัฐบาลรักษาการ มีอำนาจ ในการยุบสภาฯได้หรือไม่ หากไม่มี และยุบสภาฯไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้น และเรื่องการมีอำนาจ ในการยุบสภาได้หรือไม่ได้ ก็ยังกลายเป็นเรื่องฝุ่นตระลบ เพราะนักกฎหมาย ต่างมีความเห็น ที่ไม่เหมือนกัน ในขณะที่เลขาสำนักกฤษฎีกา ออกมาฟันธง ว่า รัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจ ในการยุบสภาฯ

ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์