วันศุกร์, 6 มิถุนายน 2568

รอบรั้วเมืองใต้ 4 มกราคม 2567

รอบรั้วเมืองใต้ฉบับนี้ ผู้เขียนขอเข้าร่ายข่าวสังคม ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม ตามวิสัยคนหนังสือพิมพ์อาชีพ ที่เห็นมาอย่างไร ก็เขียนไปอย่างนั้น…..ขึ้นปีใหม่ของปีพุทธศักราช 2567  ที่มีเงินสะพัดทั้งประเทศ จากการเฉลิมฉลอง วันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่  ยกเว้นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประสบกับปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี ปีใหม่ปีนี้ ทุกจังหวัดเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทย-เทศที่มีการเฉลิมฉลอง กันอย่างครึกครื้น โดยเฉพาะแต่ละจังหวัดที่มากด้วยสีสันของการจัดงานเคาท์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเชื่อว่าในจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว อย่างเกาะภูเก็ต, เกาะสมุย, กระบี่, พังงา ตรัง และสตูล ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน เจ้าของธุรกิจ พ่อค้า แม่ขาย  ตั้งแต่เจ้าสัว เจ้าของโรงแรมจนถึงคนค้าขายแบกะดินต่างรับทรัพย์กันถ้วนหน้า

ส่วนที่สงขลา ก็ครึกครื้นไม่แพ้ที่อื่นๆ ปีนี้ ชาวมาเลเซีย และ สิงคโปร์ เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ที่ อ.หาดใหญ่ ตั้งแต่วันคริสต์มาส และอยู่ยาวจนงานเคาท์ดาวน์ ที่มีการจัดขึ้นทั้งในหาดใหญ่ และหาดสมิหลา สงขลา…..นี่กระมัง ที่หลายภาคส่วนต่างเถียงคอเป็นเอ็น ว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ ยังเข้มแข็ง ไม่ได้ถึงจุดที่ต่ำสุด จนต้องใช้การกระตุ้นครั้งมโหฬารด้วยการกู้เงิน 500,000 ล้าน เพื่อมาแจกประชาชน ตามนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ที่เป็นนโยบายในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยซึ่งเรื่องกู้มาแจก วันนี้ยังเป็นปัญหาของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพราะยังลูกผีลูกคน เพราะกฤษฎีกายังไม่ให้ความเห็นและอีกหลายองค์ ก็ยังคัดค้านอย่างแข็งขัน

นอกจากนั้น ประชาชนส่วนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วย หลังจากที่รู้ว่าการแจกเงินครั้งนี้มีต้นทุน ที่เป็นรายจ่าย ที่ประชาชนทุกคนต้องแบกรับ เพราะเป็นการกู้เงิน หรือเขียนให้เข้าใจง่ายคือ เอาเงินประชาชน มาแจกให้กับประชาชน โดยประชาชน เป็นลูกหนี้สถาบันการเงิน และต้องจ่าย ทั้งดอก ทั้งต้นโดยประชาชน รัฐบาล และพรรคการเมือง เป็นเพียงผู้ดำเนินการทางธุรการในการกู้เงินและแจกเงินให้ประชาชนเท่านั้น และในการดำเนินการทางธุรการ รัฐบาลยังต้องกู้เงิน อีก 100,000 ล้าน ในการเป็นค่าบริหารจัดการ อีกต่างหาก

เรื่องแจกเงิน ประชาชนคนละ 10,000 บาท ทั้งเพื่อไทย และพรรคร่วม รวมทั้งพรรคฝ่ายค้าน ถ้ามองเห็นถึงปัญหาและหายนะในอนาคต  ที่จะเกิดขึ้น หากเงิน 500,000 ล้านบาท ไม่สามารถกระตุกกระตุ้นระบบเศรษฐกิจได้จริง ช่วยกันคิด ช่วยกันห้าม ช่วยกับเบรก โครงการนี้ไว้ และใช้นโยบายอื่นๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีอีกหลายช่องทาง ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ จะมีเพียงเรื่องแจกเงิน ให้ประชาชน คนละ 10,000 บาท  เพียงอย่างเดียว ก็จะเป็นคุณูประการ กับประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์…..เห็นความตั้งใจ ของสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ในการที่จะแก้ปัญหาสังคมในเรื่องยาเสพติด ด้วยการเอาผู้ที่ติดยาและมีอาการทางจิตประสาท ออกจากชุมชน เพราะหากปล่อยไว้ นอกจากคนในครอบครัวที่เป็นคนใกล้ตัว อาจจะเป็นเหยื่อ ของความบ้าคลั่งและการหลอนยา แล้ว คนในชุมชน ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็อาจจะได้รับอันตรายด้วยนี้เป็นนโยบายที่ดีที่ต้องชื่นชม

แต่ในขณะเดียวกันสงขลา ก็มีเรื่องปัญหาใหญ่ๆ ที่รอผู้มาสะสาง ซึ่ง บุคคลที่จะสะสางได้ หนีไม่พ้น พ่อเมือง ในฐานะ ของผู้ที่มีบทบาท ในการนั่งหัวโต๊ะ และอาจต้องใช้การตบโต๊ะในบางครั้งคราว เพื่อให้ปัญหา มีการแก้ไขได้ตรงปก….เช่นเรื่องของโพงพาง ที่มีเจตนา ในการดักเรือ เพื่อการตบทรัพย์ เจ้าของเรือ มากกว่าการดักปลา เรื่องนี้ต้องแก้ที่ต้นตอ คือต้องเอาผิด กับหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง แต่ไม่ได้ทำหน้าที่

อีกเรื่องที่เป็นเรื่องอัปยศ อดสู ของคนสงขลา คือเรื่องอควาเรียมหอยสังข์ ที่ กรมอาชีวศึกษา ทำการขี้ทิ้งไว้จนเหม็นหึ่ง และไม่มีการเช็ดล้าง  ปล่อยให้เน่าเหม็น เป็นการผลาญงบประมาณ ถึง 14,000 ล้านบาท โดยเปล่าประโยชน์ เพราะกลายเป็น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่ถูกปล่อยทิ้งร้างถึง 15 ปี น่าจะไม่มีที่ประเทศไหนในโลก นอกจากประเทศไทย ที่มีเรื่องเช่นนี้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พ่อเมืองสงขลา ต้องเป็นหัวหอก ในการบูรณาการ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จบ ถ้าไม่ทำต่อ โดยขอที่จะพอแค่นี้ ก็ต้องปรับปรุง และปรับเปลี่ยน ให้หอยสังข์เน่าเป็นหอยสังข์ที่มีชีวิต และใช้ประโยชน์ ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำได้ นี่อาจจะเป็นทางออก ในการเดินต่อของหอยสังข์เน่า ที่เชิงสะพานติณสูลานนท์

มีชาวสงขลาถามมาว่าเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดท่านผู้ว่าฯจะทำได้หรือ เพราะขนาดเรื่องผับเถื่อนที่ไม่มีใบอนุญาต ยังเปิดให้บริการให้เห็นชัดเจนในพื้นที่นครหาดใหญ่ ยังไม่สามารถปราบได้ แล้วเรื่องที่กล่าวมาจะทำได้หรือ?

ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์