วันจันทร์, 14 กรกฎาคม 2568

ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว

ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ตั้งอยู่บริเวณย่านเมืองเก่า “กือดาจีนอ” อยู่ที่ 63 ถนนอาเนาะรู ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เป็นศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2117 ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา ลักษณะเป็นศาลเจ้าชั้นเดียว แบ่งเป็นห้องโถงกลาง มีปีกซ้ายและปีกขวา ลานด้านหน้าอาคารมีแท่นบูชาเทวดา มีแท่นบูชาสามแท่น แท่นกลางคือโจ๊วซูกง ซึ่งเป็นเทพประธาน และ เจ้าแม่ทับทิม แท่นซ้ายคือเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและน้องเจ้าแม่ ส่วนแท่นขวาคือตั่วเหล่าเอี้ย หรือ เจ้าพ่อเสือ และฝูเต๋อเจิ้งเฉิน ห้องโถงด้านขวามีเทพซาเจียงกุน และ เจ้าแม่กวนอิม ห้องโถงด้านซ้ายมีเทพกุนเต้กุน เดิมศาลเจ้านี้มีชื่อเรียกว่า “ศาลเจ้าซูก๋ง” เพราะมีโจ๊วซูก๋งหรือพระหมอเป็นเทพหลักของศาล ต่อมาได้รับการบูรณะและจัดงานสมโภช โดยหลวงสำเร็จกิจการจางวาง (ตันจงซิ่น) เมื่อปี พ.ศ. 2407 หลังจากนั้นพระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล่าย) ได้อัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจากบ้านกรือเซะมาประดิษฐานในศาล และตั้งชื่อศาลใหม่ว่า “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” แต่นิยมเรียก “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”

ตามตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ได้กล่าวว่า เป็นหญิงชาวจีนตระกูลลิ้มหรือหลิม มีพี่ชายชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยมซึ่งต่อมาได้เดินทางมารับราชการที่เมืองปัตตานีและสมรสกับธิดาของเจ้าเมือง เข้ารีตอิสลามและไม่หวนกลับบ้านเกิดเมืองนอน มารดาที่อยู่ในประเทศจีนก็คิดถึงบุตรชายยิ่งนักเพราะไม่ติดต่อกลับมาเลย ลิ้มกอเหนี่ยวสงสารมารดาจึงอาสาออกตามหาพี่ชาย จนพบกับลิ้มโต๊ะเคี่ยมที่บ้านกรือเซะ และอาศัยอยู่ที่นั่นยาวนานก็เพื่อชวนให้พี่ชายกลับเมืองจีนไปพบมารดา แต่พี่ชายกลับปฏิเสธเพราะกำลังสร้างมัสยิดกรือเซะ เมื่อไม่สามารถทำให้พี่ชายกลับประเทศจีนตามความประสงค์ของมารดา ลิ้มกอเหนี่ยวจึงผูกคอตายใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ด้วยความอาลัย ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงสร้างฮวงซุ้ยให้แก่น้องสาวตามประเพณี แต่เมื่อชาวจีนได้ทราบถึงความกตัญญูรักษาสัตย์ จึงมีชาวบ้านไปบนบาน ก่อนนำไม้มะม่วงหิมพานต์นั้นมาแกะสลักเป็นรูปเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้ากรือเซะ ภายหลังได้ย้ายไปประดิษฐาน ณ ศาลเล่งจูเกียงจนถึงปัจจุบัน เป็นที่นับถือศรัทธาในกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนสืบต่อมา ว่ากันว่าเมื่อมีพิธีแห่เจ้าแม่ในเดือนสาม ชาวไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายจีนก็จะไปร่วมชมบรรยากาศขบวนแห่กันคึกคัก แสดงให้เก็นถึงความงดงามของคนต่างวัฒนธรรม ที่อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจถึง