วันจันทร์, 14 กรกฎาคม 2568

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…คลิปเสียง ‘หลานอิ๊งค์-อังเคิลฮุน’พ่นพิษไม่เลิก จับตา ‘ม็อบ’ไล่ ‘นายกฯ’

27 มิ.ย. 2025
88

”การเมือง” ที่”ไร้เถียรภาพ” หลังเกิด”คลิป” การ”สนทนา” ระหว่าง” อังเคิล” ชาว”กัมพูชา” กับ”หลานรัก”ที่เป็น”คนไทย” ที่ถูก”ประชาชนคนไทย” ส่วนใหญ่ ที่ได้ฟังการ”สนทนา” แล้ว มีความเห็นว่า”ขายชาติ” และมีความ”เคลื่อนไหว” จาก”ทุกภาคส่วน”ยกเว้น”พรรคร่วมรัฐบาล” ให้” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ”หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ให้”ลาออก” จาก”ตำแหน่ง” หรือการ”ยุบสภาผู้แทนราษฎร” เพื่อให้มีการ”เลือกตั้งใหม่” เพราะ”เสียงส่วนใหญ่” มีความเห็นที่ตรงกันว่า” นายกรัฐมนตรี” ไม่มี”วุฒิภาวะ” ของการเป็น”ผู้นำ” เป็นผู้ที่”ด้อยประสพการทางการเมือง” หรือที่”ภาษาชาวบ้านคือ” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่”ไม่รู้สี่รู้แปด” ถ้ายังให้เป็น”ผู้นำประเทศต่อไป อาจจะสร้างความ”หายนะ” ให้เกิดขึ้น มากกว่าที่”เป็นอยู่” …..เพราะ 1 ปี ที่”เธอ” ทำหน้าที่”บริหารประเทศ” ยังไม่เห็น”ผลงาน” ในการ”แก้ปัญหา” ประเทศ จาก”เธอ”แม้แต่”เท่าเม็ดงา” ก็ยังไม่เห็น”ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”เศรษฐกิจ” เรื่อง”ปากท้อง” เรื่อง”ราคาพืชผลทางการเกษตร”ที่”ตกต่ำ” เรื่อง”ราคาสินค้า” ที่”แพงทั้งแผ่นดิน” เรื่องของการ”ปราบปรามยาเสพติด” เรื่องการแก้ปัญหา”ทุจริตคอร์รับชั่น” และอีก มากมายมหาศาล ที่เรียกว่า”ล้มเหลว” หรือไม่มีการ”แก้ปัญหา” ที่เกิดขึ้น…..ล่าสุดเรื่องของ”ความมั่นคง” ในกรณี”ไทย-กัมพูชา” ที่”เธอ” แสดงให้รู้ว่าไม่มี”ภูมิรู้” ไม่รู้เรื่องของ”ความมั่นคง” ของประเทศนี้แม้แต่”กระผักริ้น” ตั้งแต่เรื่องการ”เปิด-ปิด ด่าน พรมแดน” ที่”เธอ”สั่งการให้” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ไป “เจรจา” กับฝ่าย”กัมพูชา” ให้มีการ”เปิด-ปิด” พร้อมกัน  และ”ล่าสุด” คือ”คลิปเสียง”ระหว่าง”เธอ” กับ”อังเคิล” หรือ”นายฮุนเซ็น” ผู้มี”บารมี”ของ”กัมพูชา” ที่”เธอ” ยอมทุกอย่างขอให้บอกมา และมีการ”ด้อยค่า” ของ”ทหาร” และ”กองทัพ” ที่ในการ”แถลงข่าว” ไม่ได้มีการ”ขอโทษ” คนไทย มีแต่การ”โทษ” ว่า” อังเคิล” ของ”เธอ” ทำผิดทาง”การทูต” ที่ทำการ”อัดคลิป” และ”ปล่อยคลิป” ให้คน”ทั้งโลก” ได้”รู้เช่นเห็นชาติ” ที่เกิดขึ้น มาจนถึง”ป่านนี้” เธอ ยังไม่รู้ว่า “ทำผิด” และยังต้องการทำหน้าที่ของ”ผู้นำประเทศ” ต่อไป “อนิจจา” ประเทศไทย ทำไมถึงมี”เคราะห์กรรม” ขนาดนี้

ที่น่า”อเนจอนาถ”ยิ่งกว่าคือ”พรรคร่วม” ที่”ไม่รู้สามรู้สี่” ยิ่งกว่า”พรรคเพื่อไทย” ที่ออกมา”แถลงการณ์” พร้อมที่จะ”สนับสนุน” ให้” พรรคเพื่อไทย” และ”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ต่อไป โดยอ้างความ”จำเป็น” ของการต้อง”เดินไปข้างหน้า” ของ”ประเทศไทย” ทั้งที่เป็นการ”เดินไปสู่หลุมฝังศพ” และวันนี้”เพื่อไทย”และ”ผู้นำ”ประเทศ” ก็ไม่ต่างจาก”ซากศพ” เพียงแต่เป็น”ซากศพ” มี”ราคา”มี”สมบัติ” นั้นคือ”ตำแหน่ง”ของ”รองนายก” รัฐมนตรี “ และ” รัฐมนตรีช่วย” จำนวน 9 ตำแหน่ง เพื่อ”แบ่งปัน”ให้”พรรคร่วม” ไป”แสวงหาประโยชน์” จากการได้”ร่วมรัฐบาล” ต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่”แพทองธาร ชินวัตร” เดินไปสู่การ”สิ้นสุดทางเลื่อน” และ”ยุบสภา” เพื่อการ”เลือกตั้งใหม่”…..เชื่อเถอะการ” ปรับ ครม.” ครั้งนี้ของ”พรรคเพื่อไทย” และ”พรรคร่วม” ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์”ของ”ประเทศชาติ” และ”ประชาชน” ไม่เชื่อ ก็”คอยดู” ว่าผู้ที่ถูกส่ง”จากพรรคการเมืองต่าง” มานั่งเป็น”เสนาบดี” เป็นคนที่มี”ความรู้”มีความ”สามารถ”ที่ตรงกับ”เนื้องาน” ของ”กระทรวงนั้นๆ “หรือไม่ เพราะ”สุดท้าย” เป็นเพียง”นายทุน” ผู้เป็น”กระเป๋าเงิน” ของแต่ละพรรค เป็นการเข้ารับ”ตำแหน่ง” เพื่อการ”สะสมเสบียงกรัง” ไว้สำหรับการ”เลือกตั้ง” ครั้งใหม่ เพราะ ทุกพรรคการเมือง ต่างรู้ว่า ในการ”เลือกตั้ง” ครั้งต่อไปเป็นการ”เลือกตั้ง” แบบ”บ้านใหญ่” ที่ต้อง”แข่งขัน”ในการ”ใช้เงิน” ในการ”ต่อสู้” กับ”พรรคเพื่อไทย” ที่หวังจะเป็น”พรรคอันดับหนึ่ง” เพื่อการ”ได้สิทธิ์” ในการ”จัดตั้งรัฐบาล” เพราะ”เป้าหมาย” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มี”บารมี”ของ”พรรคเพื่อไทย” เพราะ “คดี” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ยัง”คาราคาซัง” ทั้ง 2 คดี และที่”สำคัญ” วันนี้”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็น”น้องเลิฟ” ยัง”ระเหเร่ร่อน” อยู่”ต่างประเทศ” ยังมองไม่เห็น”ประตู” ในการเดินทางกลับ”ประเทศไทย” ดังนั้นวันนี้”ทักษิณ ชินวัตร” จึงยังต้องทำ”ทุกวิถีทาง” ในการอยู่บน”อำนาจทางการเมือง” ของ”ประเทศไทย ที่ยอมแม้จะ”เสี่ยง” กับการถูกทำ”รัฐประหาร” อีกครั้งก็ตาม

และ”สถานการณ์”ทาง”การเมือง” หลังการ”ปรับ ครม.” จึงจะมีเหตุ”วุ่นวายโกลาหล”ตามมา เช่น” ม็อบ” ที่มีการ”รวมตัว” เพื่อการ”ขับไล่”นายกรัฐมนตรี” ที่ ครั้งนี้อาจจะ”มากกว่า” ในทุกครั้ง เพราะ”กระแสความไม่พอใจ” ของ”ประชาชน” ทั้งที่เป็นไปโดย”ธรรมชาติ” และจากการ”ปลุกปั่น”โดยนำเอาเรื่องของ”คลิป” ให้เกิดความ”เกลียดชัง” นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง”มวลชน”ที่ถูก”จัดตั้ง” ที่เป็นเหมือน”ปลายหอกปลายดาบ” ที่ถูก”ทิ่มแทง” เข้าใส่” นายกรัฐมนตรี” อยู่”ตลอดเวลา”และที่”สำคัญ” คือการที่”สมาชิกวุฒิสภา” ได้ยื่นเรื่องต่อ”ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้มีการ”ถอดถอน” ในข้อหา”ผิดจริยธรรม” จะทำให้”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่ไม่มี”ความสุข” เพราะ”ศาลรัฐธรรมนูญ” อาจจะใช้เวลาเพียง 2 -3 เดือน ในการ”ตัดสินคดี” และ”เธอ” มี”โอกาส” ที่จะ”เจริญรอย”ในเส้นทาง”การเมือง” เช่นเดียวกับ”เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี และอีก”ปัญหา” ที่จะเกิดกับ”ครม. ก็คือการ”ไร้เสถียรภาค” มีการ”แก่งแย่ง”เกิดขึ้นใน”ครม.” …..ส่วนเรื่อง”รัฐประหาร” ยังคงจะไม่เกิดขึ้น”เพราะ”ยุทธศาสตร์” ของ”พรรคเพื่อไทย” หลังการ”เพลี่ยงพล้ำ”จากเรื่องของ”คลิปเสียง” ที่ถูกกล่าวหาว่า”ขายชาติ” และ”ทำให้”เกียรติภูมิ”ของประเทศ”และของ”ทหาร” คือการที่”พรรคเพื่อไทย” ได้”สยบยอม”ทุกอย่างต่อ”กองทัพ” เพื่อความ”อยู่รอด” ใน”ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” รวมทั้งอาจจะยอมที่”ยกตำแหน่ง” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ให้กับ”กองทัพ” เพื่อให้”รัฐบาล” อยู่รอดปลอดภัย ดังนั้น “เรา ท่านๆ” ก็อย่าได้”คาดหวัง” ว่าจะได้เห็น”ปัญหา”ของ”ประเทศชาติ” จะได้รับการ”แก้ไข” จาก”รัฐบาล” หลังการ”ปรับ ครม.” สิ่งที่ดีที่สุดคือ”แก้ปัญหา” ด้วย”ตนเอง” โดยไม่ต้อง”รอ” รัฐบาล หรือ”เสนาบดี”กระทรวงไหนทั้งสิ้น

มาดูเรื่อง”ผลกระทบ”จาก”สงคราม”ระหว่าง”อิสราเอล”กับ”อิหร่าน” และอีกหลายประเทศใน”ตะวันออก”กลาง” ที่วันนี้มีข่าวการ”ปิดช่องแคบเฮอร์มุช”” เกิดขึ้นหาก”สงคราม” มีการ”พัฒนา”ไปสู่ความ”รุนแรง” มากขึ้น ซึ่งจะ”กระทบ” กับการ”ขนส่ง” ทั้งโลก โดยเฉพาะเรื่องของ”พลังงาน” ทั้ง”น้ำมัน”ทั้งก๊าซ” ที่ วันนี้มี”ผลกระทบ”กับ”ราคาน้ำมัน”ในประเทศไทยแล้ว มีการ”ตรึงราคาดีเซล” ด้วยการลดการ”เก็บเงินเข้ากองทุน” เพื่อ”แก้ปัญหา”โดยไม่ขึ้น”ราคาขายปลีก” ซึ่งเป็นนโยบาย”แก้ผ้าเอาหน้ารอด”ของ”กรมพลังงาน” กระทรวงพลังงาน ที่มี”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็น”เสนาบดี” ซึ่งก็”ดีแต่พูด” แต่ยังไม่เห็น”ผลงาน” ในการแก้”ปัญหา”การ”ผูกขาด”ของกลุ่มทุนพลังงาน” แต่อย่างใด ถามว่าการ”ตรึงราคา “โดยการ”ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน” จะทำได้ยาวนานขนาดไหน และเป็นการทำให้”กองทุนน้ำมัน” ต้องติดลบ”กี่แสนล้าน” นี่เป็น”หนี้” ที่”คนไทย” ต้อง”ชดใช้” ใน”วันข้างหน้า” และถามว่าจนถึง”ชั่วโมงนี้” รัฐบาลของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ได้มี”นโยบาย” หรือมีการตั้ง”คณะทำงาน” ขึ้นมา”รับมือ” กับ”สถานการณ์” ที่”ปะทุ”ขึ้นจาก”ความขัดแย้ง”ใน”ตะวันออกกลาง” แล้วยัง หรือต้องรออีก”กี่โมง” รัฐบาล จึงจะ”สำเหนียก” ถึง”ภยันตราย” ที่จะเกิดขึ้นกับ”คนไทย” ทั้ง”ประเทศ” เพราะถ้า”น้ำมันแพง”กว่าที่”แพงอยู่แล้ว” เมื่อไหร่ เมื่อนั้น”สินค้า”ทุก”ชนิด” จะ”พาเหรด”ด้วยการ”เดินขบวน”ปรับขึ้นราคา” รัฐบาล”รับไหว แต่”คนยากจน” ที่เป็นคน”ส่วนใหญ่”ของ”ประเทศ”รับไม่ไหว” ความ”เวทนาเสดสา” จะเกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน

ที่สำคัญ”เม็ดเงิน” จากการ”ท่องเที่ยว” ที่เคยเป็น”รายได้”ที่เป็น”กอบเป็นกำ”เข้าประเทศ และ”สะพัด” ไปยัง”ประชาชน” สาขาอาชีพต่างๆ ที่เคยได้รับ”อานิสงส์” วันนี้”หดหาย”ไปอย่างน่า”หดหู่” ภาคใต้วันนี้ “เมืองท่องเที่ยว” ที่เคย”คึกคัก” ด้วย”นักท่องเที่ยวต่างชาติ” อยู่ในสภาพที่”โหรงเหรง” แม้แต่”เกาะภูเก็ต” ที่เคยเป็น”เกาะสวาทหาดสวรรค์” ก็มี”ผลกระทบ” จาก”นักท่องเที่ยว” ที่”น้อยลด” และวันนี้”รัฐมนตรี”ที่ดูแล”กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา” ก็กลายเป็น”บุคคล” ที่”สาบสูญ” ไปจาก”หน้าสื่อ” จึงไม่สามารถ”รู้ได้”ว่า การแก้ปัญหาการ”ท่องเที่ยว”ของ”ประเทศไทย จะแก้อย่างไรที่จะให้”ฟื้นคืน” มาเหมือนเดิม…..ยิ่งการค้า”ด่านพรมแดน” ไม่ว่าจะไปดูที่”พรมแดนไหน” มีแต่เรื่อง”ของเถื่อน” จาก”ประเทศเพื่อนบ้าน” ที่ถูก”ขบวนการค้าของเถื่อน” นำเข้ามา”จำหน่าย” ในประเทศไทย ส่วน”สินค้าไทย” ที่เคย”เฟื่องฟู” ใน”เมืองชายแดน” อยู่ใน”สภาวะ”ที่”ซบเซา” เพราะ”นักท่องเที่ยว”ที่”หดหาย” และขาดการ”ส่งเสริม”จาก”ภาครัฐ”….กรณีการ”ปิดด่าน”ด้าน”กัมพูชา” ตั้งแต่”สระแก้ว, อุบลราชธานี, ศรีษะเกษ,สุรินทร์” และ” ตราด” ถ้า”เนิ่นนาน”ไป ไม่ใช่”กัมพูชา” ที่จะ”เดือดร้อน” ฝ่ายเดียว แต่หมายถึง “เศรษฐกิจ” การค้า”แนวชายแดน” ได้รับ”ผลกระทบ” และ”เดือดร้อน” ตั้งแต่ผู้”ส่งออก”  ผู้”ค้าขาย” ใน”แนวชายแดน” และ”เมืองชายแดน” รวมถึง”ประชาชน” ที่เป็นเกษตรกร ที่จะขาย” ผลผลิต”ทางการ”เกษตร”ไม่ได้ นี่คือ”ผลกระทบ” ในเรื่อง”เศรษฐกิจ” ที่จะตามมาเป็น”ลูกโซ่” ซึ่ง”รัฐบาล” ไม่รู้หรอกว่าเป็น”ผลพวง”ของการ”ไร้ฝีมือ” ในการ”บริหารประเทศ” ที่”ประชาชน”ต้อง”แบกรับ”

ไม่รู้จะว่าอย่างไร กับเรื่องของการ”ก่อความไม่สงบ” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” นอกจากจะ”บอกว่า” เจ้าหน้าที่ยังมีความ”บกพร่อง”ในการ”ป้องกันเหตุ” เช่นการวางระเบิด”แสวงเครื่อง” ใน”งานกาชาด”ของ”จังหวัดปัตตานี” ที่”เจ้าหน้าที่” มีความ”หละหลวม” ปล่อยให้”คนร้าย” แอบย่องเข้าไป”วางระเบิด”ใน”บริเวณที่จัดงาน” ทำให้มีผู้ได้รับ”บาดเจ็บ” ทั้ง”ประชาชน” และ”เจ้าหน้าที่”รวม 7 คน นี่เป็น”ครั้งที่สาม” ที่”การ”ป้องกันตัวเมือง”หรือ”เขตเทศบาลเมืองปัตตานี”มีความ”ล้มเหลว” โดย ปล่อยให้”คนร้าย” หรือ”แนวร่วม”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น”เข้ามา”ก่อการร้าย”ถึง”กลางใจเมือง” ทั้งที่ใน”เขตเทศบาลเมืองปัตตานี” เต็มไปด้วย”จุดตรวจ จุดสกัด” ทั้ง”อาสารักษาดินแดน” และ” ตำรวจภูธร”และ”นปพ.” แต่ก็เหมือน”จ่าเฉย” เพราะไม่สามารถ”สกัดกั้น” การ”ก่อเหตุ” สำหรับ”จุดอ่อน” ที่เกิดขึ้นจากการ”วางระเบิด” ใน”งานกาชาดปัตตานี”ครั้งนี้ มาจาก” หลัง”เที่ยงคืน” ที่”งานเลิก” ประชาชนเดินทางกลับบ้าน “เจ้าหน้าที่” ซึ่งทำหน้าที่รักษาความสงบ” ก็กลับ”ที่ตั้ง” ปล่อยให้มี”ตำรวจ นปพ.” อยู่”เฝ้าป้อมยาม” เพียง 2 นาย จึงเป็นเหตุให้”แนวร่วม” นำ”ระเบิดแสวงเครื่อง” เข้ามา”ติดตั้ง” และ”ก่อวินาศกรรม” ได้ผล

ไม่ผิดกับการใช้”กับระเบิด” ชนิดที่”ใช้เหยียบ” ไป”ติดตั้งใน”ป่าหญ้า” และใช้”ยุทธวิธี” ทำให้”เครื่องสูบน้ำเสีย” เพื่อ”ล่อ”ให้” ตำรวจ นปพ.” ฐานปฏิบัติการ ที่ 9322 บ้าน บือแลแน ต.มะนังตายอ อ.เมือง จ.นราธิวาส ออกมาเพื่อ”ซ่อมปั้มน้ำ” โดย”แนวร่วม” หรือ”มือก่อวินาศกรรม”ของ”บีอาร์เอ็น” นำ”กับระเบิดชนิดเหยียบ” มา”ติดตั้งไว้ใน”พงหญ้า” ที่เป็น”แหล่งน้ำ” เมื่อ”ตำรวจ” เดินลงไปในพื้นที่ก็”เหยียบกับระเบิด” ทำให้”กำลังพล”ได้รับ”บาดเจ็บ 3 นาย โดยเฉพาะ”หัวหน้าชุด” ร.ต.ต. เจียรพงษ์ เจริญ” ถึงกับ”ขาดซ้ายขาด” กลายเป็น”ทุพลภาพ” จากการ”ปฎิบัติการ” ครั้งนี้” จุดอ่อน” คือ”ไม่มีการ”ตรวจสอบ” และ”ถางหญ้า” ในบริเวณ”แหล่งน้ำ” ที่ติดตั้ง”ปั้มน้ำ” เพื่อใช้ใน”ฐานปฏิบัติการ” ถ้ามีการ”ตรวจสอบ” และทำให้”พื้นที่”ไม่มีความ”รกร้าง” การที่จะ”แนวร่วม” จะเข้ามาติดตั้ง”กับระเบิด” ก็จะ”ยากขึ้น” รวมทั้ง น่าจะขาดการ”ลาดตระเวน” ในรอบๆ”ฐานปฏิบัติการ” จึงทำให้”แนวร่วม” เข้ามาติดตั้ง”กับระเบิด” ได้อย่าง”ง่ายดาย” และ”จุดอ่อน”เหล่านี้ เป็น”จุดอ่อน” ที่ต้อง”กำจัด” ด้วยความ” เอาใจใส่” และทำตาม”ยุทธวิธี” ของการ”สู้รบ” ที่ ผู้บังคับบัญชาระดับสูง” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องให้”เจ้าหน้าที่”ทุกหน่วยทุก”ฐานปฏิบัติการ” ได้”รับรู้” ว่า” ทุกพื้นที่คือ”อันตราย” ที่สามารถ”เกิดเหตุ” ของการ”โจมตี” จาก” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ทั้งจาก”ระเบิดแสวงเครื่อง”และ”การ”ซุ่มยิง” ทุก”ฐานปฏิบัติการ” ทุก”หมู่ลาดตระเวน” ต้องไม่”ประมาท” แม้แต่”เสี้ยววินาที” เดียว เพราะความ”ประมาท” คือ”ความตาย” หรือ”บาดเจ็บ”และ”พิกลพิการ”

สถานการณ์ของ”ไฟใต้” หลังจากที่”รัฐบาล” อยู่ในอาการ”สั่นคลอน” ในด้านของ”เสถียรภาพ” กว่าจะมีการ”ปรับ ครม.” ที่มีการ”ต่อรอง” เพื่อ”แย่งชิง” ตำแหน่ง” เสนาบดี” ของ”กระทรวงต่างๆ” ลงตัว เรื่องของ”ไฟใต้” ต้องถูก”ละเลย” จาก”รัฐบาล” เพราะต้อง”สาระวน” อยู่กับการ”จัดสรรตำแหน่ง” ดังนั้นเรื่องของ”ไฟใต้” จะต้องมี”ปฏิบัติการ”ที่”หนักหน่วงรุนแรง”เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นใน”ลักษณะนี้” ทุกครั้งที่”อำนาจ”จาก”ส่วนกลางอ่อนแอ” ดังนั้น ใน”ห้วงจังหวะ” ที่”รัฐบาลอ่อนแอ” กองทัพ ที่มี” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผบ.ทบ. ต้องทำหน้าที่”เป็นหลัก”โดยมี” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค ภ 4 ส่วนหน้า และ” พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9  ต้อง”ตื่นตัว” และ”สั่งการ” ให้”กำลังพล” เพิ่มการ”ปฏิบัติการ” ให้”เข้มข้น”ยิ่งขึ้น เพราะใน”หลายพื้นที่” การ”ปฏิบัติการ” ยัง”หย่อนยาน” โดยเฉพาะในส่วนของ”ชุดคุ้มครองตำบล” และ”ชคต.”ที่เป็น”จุดอ่อน” และเป็น”จุดตาย” ที่กลายเป็น”เหยื่อ” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ในทุกครั้งที่ถูก”โจมตี”….. พื้นที่” ตากใบ” และ”สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ยังเป็น”ช่องทาง”ในการ”ลักลอบ”ขนสินค้า”หลบหนีภาษี” เข้ามาใน”ราชอาณาจักร” ล่าสุด “ตำรวจ สภ. ระแงะ” จ.นราธิวาส สามารถ”จับกุม” บุหรี่ไฟฟ้า ได้เป็นจำนวนมาก มูลค่า “สี่ล้านกว่าบาท” นี่คือที่” ”คนขับรถตู้” สารภาพว่าจะไปส่งให้”นายทุน” ที่.จังหวัดปัตตานี” แต่ก็แปลก ที่ไม่มีการ”ขยายผล” ไปทำการ”จับกุม” หรือ”ตรวจค้น” ในพื้นที่ของ”ปัตตานี” ทั้งที่มีการ”สารภาพ” ให้ รายละเอียด ถึง”ตำแหน่งที่ตั้ง” นี่กระมั่ง ที่ทำให้ไม่สามารถ”กวาดล้าง” ขบวนการ”ของเถื่อน” ให้”สิ้นซาก” เพราะไม่ได้”เอาจริง” เพราะไม่ต้องการ”ลูบหน้าปะจมูก” นั้นเอง

เช่นเดียวกับ”ขบวนการค้าวัวเถื่อน” ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่เป็นของ”นักการเมือง” พรรคการเมืองใหญ่ ที่ยังไม่มีใคร”กล้าแตะต้อง” มีการ”ส่งข้ามฝั่ง” ไปยัง”ฝั่งมาเลเซีย” ผ่านทาง”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” ทุกวัน ที่ “สำคัญ” ทั้งหมดเป็น”วัวเถื่อน” ที่มาจาก”ภาคกลาง”และ”ภาคเหนือ” โดย”ผิดกฎหมาย” ใส่”รถบรรทุก” มายัง”ชายแดน “ จ.นราธิวาส โดยไม่ต้องผ่าน”ด่านกักสัตว์” และไม่ต้องผ่านการ”ตรวจสอบ”ของ”ปศุสัตว์” นี่คือ”ขบวนการ” นอก”กฎหมาย” ที่”ใหญ่คับฟ้า” ใน จ.นราธิวาส ที่ไม่มีหน่วยงานไหนแม้แต่” ทหาร” กล้าที่จะ”แตะต้อง”

หลังจาก”เป็นข่าว” มา”ร่วมปี” ในที่สุด”สายการบินอีซี่แอร์ไลน์” ก็”ประกาศ” ให้ทราบทั่วไปว่า จะเปิด”เส้นทางบิน” หาดใหญ่-เบตง” อย่างเป็น”ทางการ” ในวันที่ 27 มิถุนายน 2568  เป็น”เครื่องบินเล็ก” ที่บรรทุกผู้โดยสารได้ 10 ที่นั่ง ใช้เวลาในการ”เดินทาง”30-45 นาที เป็นการ”ย่นระยะเวลา” จาก” 4 ชั่วโมงโดยทางรถยนต์ ใครที่ต้องการความ”สะดวก” และ”รวดเร็ว” ในการเดินทางจาก”หาดใหญ่-เบตง” ก็”สอบถาม” เวลา และ ราคา ได้ที่”สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ ซึ่งเป็น”ที่ตั้ง”ของ”อีซี่แอร์ไลน์”

วันก่อนเห็น”พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง “ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) จับมือกัน เพื่อการ”หยุด” การ”แพร่ระบาด”ของ”น้ำกระท่อม” ในพื้นที่ของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งวันนี้กลายเป็น”สังคม” ของ”น้ำกระท่อม” ไปแล้ว เพราะ”นำกระท่อม” กลายเป็น”สิ่งเสพติด” ที่”เข้าถึง”ได้ง่าย และ”ราคาถูก” ซึ่ง”ยาก”ต่อการ”ป้องปราม” เพราะกลายเป็นของ”ประจำครัวเรือน” ทั้งที่เป็นของ”คนทำงาน” และ”คนว่างงาน” ที่เป็น เด็ก และ เยาวชน ก็ได้แต่ หวังว่า”โครงการนี้” เป็นการ”ทำจริง” และ”ต่อเนื่อง” ไม่ใช่เรื่องการ”สร้างภาพ” ที่เป็นแบบ”ไฟไหม้ฟาง”

เรื่องใหญ่ของ”ภาคใต้” อีกเรื่องที่”รัฐบาล” ยัง”ละเลย” ไม่”เอาจริง” นั้นคือเรื่อง”สวนปาล์ม” ของ”กลุ่มทุน” ใน”ชื่อ”บริษัทต่างๆ” ทั้งที่เป็นของ”นายทุน”ในพื้นที่ และเป็นของ”กลุ่มทุน” จาก” มาเลเซีย” ที่หลังไม่มีการ”ต่อสัมปทาน” แต่ยังมีการ”ผลิดอกออกผล” และ”นายทุน” ยังเข้าไป”เก็บเกี่ยว” ผลผลิต ส่งขายให้”โรงงาน” โดยที่”หน่วยงานของรัฐ” ไม่ได้”ดำเนินการ” ให้เป็นไปตาม”กฎหมาย” ที่ แปลกมากๆคือ” กระทรวงที่รับผิดชอบ”คือ”กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ที่มี”เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็น”เสนาบดี” ไม่ได้มีการ”สั่งการ” ให้หน่วยงานในพื้นที่ ดำเนินการให้เป็นไปตาม”กฎหมาย”แต่อย่างใด….. และยังปล่อยให้” กลุ่มอิทธิพล” และ”กลุ่มมวลชน” ในพื้นที่ใช้”กฎหมู่” และกำลัง”ติดอาวุธ” เข้าไป”แย่งชิง” ที่ดินเพื่อเป็นที่”ทำกิน” โดยอ้างว่าเป็นกลุ่ม”ยากจน” ที่ไม่มีที่”ทำกิน” จึงเข้าไป”จับจอง” แบ่งพื้นที่ จนมีการ”ปะทะ”ด้วย”อาวุธ” ถ้าเรื่องอย่างนี้ยัง”แก้ไม่ได้” ทั้งที่เห็นการทำความผิดแบบ”ทนโท่” ถ้าไม่บอกว่า “ประเทศไทย” ใกล้ที่จะเป็น”รัฐล้มเหลว” แล้วเรียกว่าอะไร

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…เทคนิคการเจรจา? ‘หลานอิ๊งค์-อังเคิลฮุน’มท.ภ.2 ฝั่งตรงข้าม เขย่าเก้าอี้นายกฯ

20 มิ.ย. 2025
85

การเมืองยัง”ยุ่งเหยิง” และเป็นตัวที่”ฉุด”ให้ทุก”ปัญหา” ของ”ประเทศไทย” อยู่ในสภาพของความ”เสื่อมทรุด”และ”ตกต่ำ” โดยเฉพาะ”ความรู้สึก” ของ”ประชาชน” ที่เป็นคน”ส่วนใหญ่” ของ”ประเทศนี้” คือความ”ไม่ไว้วางใจ” ต่อคนของ”ตระกูลชิน” ที่เป็นเจ้าของ”พรรคการเมือง” และเป็น”ผู้นำ” ในการ”บริหารประเทศ”  สังเกตได้ว่า ณ วันนี้ ไม่ว่า”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะ”พูด” จะ”ทำ” อะไรก็ถูกมองว่า”ผิดไปหมด” ทั้งที่”บางเรื่อง” ก็เป็นเรื่องที่”ดี” และ”ถูกต้อง” นี่คือปัญหาของ”ความรู้สึก” ที่เป็น”ปมร้าวลึก” ของ”การเมืองไทย” ภายใต้”เงื้อมมือ”ของ”สองพ่อลูก” ของ”ตระกูลชิน”…..เรื่องความ”ขัดแย้ง” ระหว่าง”ไทย”กับ”กัมพูชา” ในเรื่องของ”เขตแดน” ที่มีความ”ผิดพลาด”ในการ”แก้ปัญหา” ตั้งแต่ใน”อดีต”ที่เป็นเรื่อง”คาราคาซัง” และ”ปะทุ”ด้วยการ”ปะทะ” ด้วย”กำลังทหาร” เป็นเป็นระยะๆ  วันนี้ก็ยังไม่เห็น”ทางออก” จาก”ปัญหา”ของความ”ขัดแย้ง” หาก”กัมพูชา” ยัง”ยืนยัน” ที่จะใช้”แผนที่” 1 ต่อ 200,000 ที่ จัดทำโดย”ฝรั่งเศส” ซึ่งเป็น”แผนที่” ที่ไม่มี”ประเทศไหน” ยอมรับ” รวมทั้ง”จุดยืน”ของ”กัมพูชา” คือการ”ฟ้องศาลโลก” ที่”ประเทศไทย” ไม่ยอมรับการ”ตัดสิน”ของ”ศาลโลก”

ปัญหาความ”ขัดแย้ง” ระหว่าง”ไทย”กับ”กัมพูชา” คือ”ไม่มีทางออก” ที่จะใช้”กลไก”ของ”ทวิภาคี” ในการ”แก้ปัญหา” เช่นการ”ประชุม  เจบีซี “ ที่ผ่านไปหยกๆ เป็นการ”ประชุม” ที่”สูญเปล่า” และหลัง จบการประชุม ยังถูก”กัมพูชา” ทำการ”เคลม” ว่า ทั้ง”สองฝ่าย” หมายถึง”ไทย” และ”กัมพูชา” ตกลง ในการใช้”แผนที่ 1/200000 ในการ”เจรจา ทวิภาคี” นี่คือการที่”กัมพูชา” ต้องการให้”คนไทย” เข้าใจผิด และให้เห็นว่า” รัฐบาล” ของ” แพทองธาร ชินวัตร” อ่อนแอ และ”อ่อนข้อ” ยอมเดินตาม ความต้องการของ”ฮุน” สองพ่อลูก” นั้นคือ”ฮุนเซน” และ”ฮุนมาเนต” ที่เป็น”สองผู้นำ” ของ”กัมพูชา” รวมทั้ง หลัง”เสร็จสิ้น” การ”ประชุม เจบีซี” ไม่ทัน”ข้ามวัน” ฝ่ายของ”กัมพูชา” โดย”ฮุนเซ็น” ก็ออกมา”ขู่คำราม” ให้”ไทย” เปิดด่านพรมแดน” ทุกด่าน หากไม่ทำตาม”กัมพูชา” จะไม่ให้”ไทย” ส่งสินค้า” เข้าไปยัง”กัมพูชา” ในทุกกรณี นี่เป็นการ”แสดงความเหนือชั้น” ใน”เชิงการทูต” ของ”กัมพูชา” ที่มี”ต่อไทย”…..ซึ่ง”ประชาชน” ทั้ง”ประเทศ” ต่าง”จับตามอง” ว่า”รัฐบาล” จะ”แก้เกม” อย่างไร “เช่น”กระทรวงการต่างประเทศ” ที่มี”มาริษ เสงี่ยมพงษ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จะ”ตอบโต้” อย่างไร ที่ให้”ประชาชน”เห็นว่า”ไม่ตกเป็น”เบี้ยล่าง” ให้”กัมพูชา” ทำการ”โขกสับ” อยู่”ทุกเมื่อเชื่อวัน” อย่างที่เกิดขึ้น

เรื่องการ”พิพาท” ในเรื่อง”ดินแดน”ระหว่าง”ไทย”กับ”กัมพูชา” ณ วันนี้ ไม่ใช่เรื่องของการ”ได้”เสีย” ในเรื่องของ”แผ่นดิน” ของ”ประเทศไทย” เพียงอย่างเดียว แต่มี”ผลกระทบ” กับ”เศรษฐกิจการค้า” ใน”ทุกจังหวัด” ที่มี”ด่านพรมแดน” ซึ่งต้องยอมรับว่า”ไทย” มีการ”ส่งออก” สินค้าไปยัง”กัมพูชา” จำนวนไม่น้อย การ”ปิดด่าน” ไม่ว่าจะเป็น”ฝั่งไทย” หรือ”กัมพูชา” ต้องมี”ผลกระทบ” กันทั้ง”สองประเทศ” อยู่ที่ว่าใครจะได้รับ”ผลกระทบ”มากกว่าใคร เท่านั้น และถ้า” ฮุนเซน” กล้าที่จะ”ปิดพรมแดน” ทุกจุด ใน”ระยะยาว” ผู้ที่ได้รับ”ผลกระทบ” ก็คือ”ประชาชน”ของ”กัมพูชา” ซึ่ง”ยากจน” อยู่แล้วก็จะ”ย่ำแย่” ยิ่งขึ้น …..สำหรับ”คำขู่” ของ”ฮุนเซน” เรื่องให้”แรงงานกัมพูชา” เดินทาง”กลับประเทศ” เพื่อต้องการให้”ไทย” ได้รับความ”เดือดร้อน” ในการ”ขาดแคลนแรงงาน” นั้น ถ้า”เป็นจริง” ก็ไม่ได้”ส่งผลกระทบ” กับ”ไทย” มากนัก เพราะยังมี”แรงงาน” จาก”เมียนมา” และ” สปป.ลาว” เข้ามา”แทนที่” และ”ท้ายสุด” นโยบายของ”ฮุนเซน” ในเรื่อง ให้”คนกัมพูชา” ที่อยู่ใน”ประเทศไทย” เดินทาง”กลับประเทศ” ก็จะเป็นการสร้าง”ปัญหา” ให้เกิดขึ้นกับ”กัมพูชา”เอง แต่สิ่งที่”คนไทย” ต้องการ” เห็น” และ”ได้ฟัง” จาก” รัฐบาลเพื่อไทย” คือ”การออกมา”สื่อสาร” เพื่อให้เห็นว่า”รัฐบาล”นี้ ไม่มี”ผลประโยชน์”ที่”ทับซ้อน” กับ”คนของ”ตระกูลฮุน” ที่มีการ”เกี่ยวดอง” กับ”ตระกูลชิน” และไม่ได้”ตกเป็นเบี้ยล่าง” ในทาง”การเมือง”แบบที่”พ่ายแพ้”ทุก”ประตู” และ”พ่ายแพ้”แบบ”รายวัน” จน”ประชาชน” อยู่ในอาการ”สิ้นความเชื่อถือ” ต่อการ”บริหารประเทศ” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” ผู้เป็น”นายกรัฐมนตรี”ไปแล้ว ถ้า” ตระกูลชิน” ยังมี”นโยบาย” ในการให้”พรรคเพื่อไทย” เป็น”ผู้นำ” ในทาง”การเมือง”ต่อไป และยัง”วางตัว” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” คนต่อไปหลังการ”ยุบสภา”และมีการ”เลือกตั้งใหม่” วันนี้” พรรคเพื่อไทย” และ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ต้องใช้”วิกฤต” ของการ”พิพาท” กับ”กัมพูชา” ในการ”สร้างศรัทธา” และความ”เชื่อมั่น” ให้เกิดขึ้น ก่อนที่จะ”ยุบสภา” เพื่อการ”เลือกตั้ง” ครั้งใหม่

สถานการณ์ความ”ขัดแย้ง” ระหว่าง”ไทย”กับ”กัมพูชา” ที่เกิดขึ้น ผู้ที่”ประชาชน”ให้ความ”ไว้วางใจ” และ”เชื่อมั่น” จึงกลายเป็น”กองทัพ” โดยเฉพาะ”กองทัพภาคที่ 2 “ ที่มี” พล.ท.บุญสิน”พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2  ซึ่งรับผิดชอบ”พื้นที่ชายแดน”ด้าน”สุรินทร์,ศรีสะเกษ” และ”อุบลราชธานี” ซึ่ง ณ วันนี้” ก็มี”ขบวนการ” ที่ออกมา”ปั่นข่าว” ทาง”โซเชียล” ให้เกิดความ”แตกแยก” ระหว่าง”กองทัพ”กับ”รัฐบาล” ประเด็นนี้ก็เป็นอีก”ประเด็น” ที่”สำคัญ” ที่ฝ่ายของ”กัมพูชา” ต้องการให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างความ”แตกแยก” และ”กัมพูชา” อาจจะอยู่”เบื้องหลัง” ของการ”ปั่นข่าว” เพื่อให้เกิดความ”แตกแยก” ระหว่าง”กองทัพ”กับ”รัฐบาล”…..”จุดอ่อน” ของ” รัฐบาล” คือการที่ไม่มีการ”สื่อสาร” ถึง”ข้อเท็จจริง” และ”ไม่ทันการ” ในการ”ขับเคลื่อน”ของการแก้”ปัญหา” ในขณะที่”ฮุนเซน” ออกมา”รณรงค์” ให้”ประชาชน” เห็นด้วยกับ”แนวทาง” ยึด”ดินแดน”ของ”ประเทศไทย” และสร้างความ”คลั่งชาติ” ให้เกิดขึ้น เพื่อ”สนับสนุน” นโยบายของ”รัฐบาล” เพื่อสร้าง”ฮุนมาเนต” ผู้เป็น”ลูกชาย” และเป็น”นายกรัฐมนตรี”ให้เป็น”ฮี่โร่” เป็น”พระเอก” ของ”กัมพูชา” แต่ใน”ประเทศไทย” กลายเป็น”ประชาชน” ต้องออกมา”เคลื่อนไหว” ให้”รัฐบาล”มีความ”รักชาติ” และ”รักแผ่นดิน” กลับกันที่”กัมพูชา” ทั้งหมดคือ”จุดอ่อน” ของ”รัฐบาล” ที่นำโดย”พรรคเพื่อไทย”ที่กำลังถูก”ตั้งคำถาม”ว่าเป็น”คนไทยหัวใจเขมร” หรือไม่

ปัญหา”เขตแดนไทย-กัมพูชา” วันนี้เมื่อ”กลไก”ของการ”เจรจา”ในแบบ”ทวีภาคี” ไม่มีผล ก็ต้องใช้”กำลังทหาร” ในการ”ตรึงแนวชายแดน” และให้”ทหาร” ทั้ง”สองฝ่าย” ถอยไปอยู่ใน”แนวเดิม” ก่อนที่จะมีการ”พิพาท” เพื่อ”รักษา”ดินแดน ของแต่ละ”ประเทศ”เอาไว้ ส่วนเรื่องของ”ศาลโลก” จะ”ตัดสิน” อย่างไร “ประเทศไทย” ไม่ต้อง”รับรู้”และ”รับฟัง” เพราะเป็นเรื่องของ”กัมพูชา” ฝ่ายเดียว …..และสิ่งที่”ต้องไม่มี” หรือไม่นำมาเป็น”ประเด็น” คือไม่มีพื้นที่ ที่เรียกว่า”โนแมนสแลนด์” ของ”ทั้งสองประเทศ” มีแต่”ดินแดนของประเทศไทย” และของ”ประเทศกัมพูชา” ที่อยู่ระหว่างการ”ปักปันเขตแดน”เท่านั้น ถ้า”กระทรวงต่างประเทศ” กำหนดให้”ชายแดนไทย-กัมพูชา” มีพื้นที่ที่เรียกว่า”โนแมนส์แลนด์” เมื่อไหร่” ปัญหาจะ”บานปลาย” และพื้นที่”โนแมนส์แลนด์” จะถูก”กัมพูชา” เข้า”ยึดครอง” โดยการใช้”ประชาชน” เป็นผู้”บุกรุก”เข้า”ยึดพื้นที่ ดังนั้นในพื้นที่ชายแดนที่เป็นกรณี”พิพาท” ต้องไม่มีพื้นที่”โนแมนส์แลนด์” ให้กลายเป็น”ปัญหา” ตามมา

เรื่องการ”ปรับ ครม.” ที่กลายเป็นปัญหา” ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก” ที่ผ่านมาแล้ว”นับเดือน” การ”ปรับ ครม.” ยังไม่”สำเร็จ” เพราะ”พรรคภูมิใจไทย” และ”พรรครวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งเป็น”สองพรรคการเมือง” ที่ยัง”ไม่ยอม” ให้มีการ”เปลี่ยนแปลงตำแหน่ง” ใน “ครม.” ดังนั้นหาก”พรรคเพื่อไทย” ต้องการ”ปรับ ครม.” จึงต้อง”หักดิบ” โดยการใช้”อำนาจ” ของ”นายกรัฐมนตรี” เพียงอย่างเดียว  ซึ่งในที่สุดพรรคภูมิใจได้ออกแถลงการณ์ ถึงกรณีการโทรศัพท์เจรจาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา กัมพูชา ซึ่งมีผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดน ผลประโยชน์ของประเทศไทย และกองทัพไทย ตามที่ประชาชนได้รับทราบแล้วนั้น กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ได้ประชุมพิจารณาถึงกรณีที่เกิดขึ้น และมีมติให้พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ทุกคน ได้ส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผลวันที่ 19 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไปและพรรคภูมิใจไทย ขอเรียกร้องให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบต่อการทำให้ประเทศไทย ต้องเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของชาติ ประชาชน และกองทัพ ทั้งนี้การสนทนายังมีการกล่าวถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ทำหน้าที่ปกป้องราชอาณาจักรไทย ปกป้องแผ่นดินไทย ว่าเป็นพวกอยู่ตรงกันข้าม พูดเอาเท่ จนในที่สุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาแถลงขอโทษประชาชน โดยระบุว่าเป็นเทคนิคการเจรจา

กล่าวถึงเรื่อง”พลังงาน” มีการถามมาจาก”หลายฝ่าย” โดยเฉพาะ”ผู้ประกอบการค้าการลงทุน” ว่า” ณ วันนี้” วันที่”ทั้งโลก”กำลัง”ปั่นป่วน” ด้วยเรื่องของ”สงคราม” เรื่องการ”สู้รบ” ใน”หลายภูมิภาคของโลก” โดยเฉพาะใน”ตะวันออกกลาง” ที่ส่ง”ผลกระทบ”ในเรื่องของ”น้ำมัน” ในเรื่องของการ”ขนส่ง” ที่อาจจะมีการ”ปิดช่องแคบ” หรือ”สถานการณ์การสู้รบ” มี”ผลกระทบกับการเดินเรือ” เรื่องนี้” รัฐบาล”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี มีการ”เตรียมรับมือ” กับ”ผลกระทบ” ที่จะเกิดขึ้นกับ”ประเทศไทย” อย่างไร  หรือปล่อยให้เป็น”กลไก” ของ”ตลาด” เป็นเรื่อง”อุปสงค์ อุปทาน” เพราะยังไม่เห็น” ครม.เศรษฐกิจ” ออกมา”แถลง” ให้”ประชาชนได้”รับรู้” ทั้งที่เป็นเรื่อง”ความเป็นความตาย” ของ”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง”ของ”ประชาชน และนี่กระมั่งที่”รัฐบาล” ชุดนี้ถูกมองว่า”หน่อมแน้ม” ในทุกเรื่อง และถูกมองว่า”หมดเวลา” ในการ”บริหารประเทศ”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” แล้ว นั่นเอง

กลับมาที่”ปักษ์ใต้บ้านเรา” ที่กำลัง”เสดสา” กับ”ราคาผลผลิตทางการเกษตร” ที่ วันนี้ทั้ง”ปาล์มน้ำมัน” และ”ยางพารา” ที่”ราคาตกต่ำ” และ”เกษตรกร” ออกมา”เรียกร้องไปยัง”รัฐบาล” ผ่าน”ช่องทาง” ต่างๆ ยังไม่ได้รับการ”สนองตอบ” วันนี้”ราคายาง”ตกต่ำ” ซึ่ง”น้ำยางสด” เหลือเพียง”กิโลกรัมละ50 บาทกว่าๆ ส่วน”ราคาลูกปาล์ม”ของ”ชาวสวนปาล์ม” ราคาตกต่ำเหลือเพียง “กิโลกรัมละ 4 บาท” ยังไม่พอ “ชาวสวนปาล์ม” ยังต้อง”แบกรับ” ปัญหาไม่มี”ที่ขาย” เพราะ”ลานเท” ที่เปิด”รับซื้อ” ปิดไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ เพราะ”แบกขาดทุน”ไม่ไหว เนื่องจาก”โรงสกัดน้ำมันปาล์ม” ที่มีอยู่ใน”ภาคใต้” ไม่”รับซื้อ”นั่นเอง…..วันนี้”ชาวสวนปาล์ม” และ”ชาวสวนยาง” จึงต้อง”พึ่งตนเอง” เพราะ”รัฐบาล” ไม่ได้สนใจในการ”แก้ปัญหา” เป็น”รัฐบาล” ที่”พึ่งไม่ได้” เพราะ”เสนาบดี” ทั้งของ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์”กับ”กระทรวงพาณิชย์” เป็น”ผู้นำ” ที่”ไม่รู้ร้อนรู้หนาว” กับความ”เดือดร้อน” ของ”เกษตรกร” รวมทั้ง”ปัญหายางเถื่อน” ที่มีการ”ลักลอบส่งออก” ทาง”ด่านศุลกากรอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา” และ”ปาล์มเถื่อน” ที่”ลักลอบนำเข้า” จาก”ชายแดนด้านประเทศเมียนมา” ฝั่ง” จังหวัดระนอง” ก็ไม่มีการ”จับกุม” และ”ไข่ไก่” ที่”ลักลอบนำเข้า” จาก”ประเทศมาเลเซีย” ฝั่ง” อ.ตากใบ”และ”อ.สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส รวมทั้ง”มะพร้าว” จาก”อินโดนีเซีย” ที่นำขึ้นฝั่งด้าน อ.ตากใบ” จ.นราธิวาส ก็ไม่มีการ”ดำเนินการจับกุม”

ที่”สำคัญ” คือ”วัวเถื่อน” จาก”แม่สอด” จังหวัดตาก” จาก”ประจวบครีรขันธ์,  และจาก”ชายแดนที่ดินกับ”ประเทศเมียนมา ที่มีการ”ส่งออก” โดย”ผิดกฎหมาย”ข้าม”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ก็มีการ”เปิดไฟเขียว” ให้”ขบวนการ” ทำ”ผิดกฎหมาย” อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” เพราะ”ขบวนการ”ค้าวัวเถื่อน” เป็นของ”นักการเมือง” ดังนั้นการ”จับกุม”การ”นำเข้า” สินค้าทางการเกษตร” ที่อยู่ภายใต้การ”บริหารจัดการ”ของ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ในยุคที่” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เป็น”เสนาบดี” ไม่ได้”ให้ความ”สนใจ” ในการ”แก้ปัญหา”ที่เกิดขึ้น ที่สร้างความ”เดือดร้อน” กับ”เกษตรกร”แต่อย่างใด ที่”สำคัญ” มี”ประชาชน”ถามว่า”ชุดเฉพาะกิจนาคราช” ที่ตั้งขึ้น ตั้งเพื่อ”จับกุม” สินค้าการ”เกษตร” ที่มีการ”ลักลอบ”นำเข้าประเทศ หรือตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์อะไร เพราะไม่เห็นมี”ผลงาน” ในการ”จับกุม” ทั้งที่มีการทำ”ความผิด” ในทุกพื้นที่ของ”เมืองชายแดน” ทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในพื้นที่ของ”ภาคใต้”

เรื่องสำคัญของ”ชาวจังหวัดสงขลา”คือเรื่องการที่” ตำรวจกองปราบ” และ”ตำรวจไซเบอร์”สั่ง”ดำเนินคดี” กับ” สิรดนัย พลายด้วง” สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา” ลูกชาย”หัวแก้หัวแหวน” ของ”สมยศ พลายด้วง” สส.เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ จ.สงขลา  ซึ่งวันนี้ “ตำรวจกองปราบ” มีการ”สรุปสำนวนสั่งฟ้อง” ในคดี”การทำร้ายร่างกาย”เจ้าหน้าที่ตำรวจ และในเรื่องของ”เส้นเงิน”ของการ”พนันออนไลน์” ซึ่งมี”เส้นเงิน” ที่”เกี่ยวพัน”กับ”กลุ่มนักการเมือง”…..เรื่องของ”นักการเมือง”  ที่เข้ามา”พัวพัน” กับ”บ่อนการพนัน” รวมทั้ง”ยาเสพติด” กลายเป็นความ”เสื่อมเสีย” ของ”ประชาชน” ใน”จังหวัดสงขลา” ที่เป็นผู้”ใช้สิทธิเลือกตั้ง” และไปเลือก” บุคคลเหล่านี้” เข้ามาเป็น”ตัวแทน” ทาง”การเมือง”  และกลายเป็นเรื่องที่ถูก”วิพากษ์วิจารณ์” กันมากถึงการ”เปลี่ยนแปลง”ใน”พฤติกรรม” การ”เลือกตั้ง” ของคน”สงขลา” ที่ในอดีตเป็น”จังหวัด”ที่ถูก”ยกย่อง” เลือก “สส.เป็น”และเลือก”คนดี” เข้าไปทำหน้าที่”ผู้แทน” แต่วันนี้ทุกอย่าง”เปลี่ยนไป”เพราะ”คนส่วนใหญ่” ที่”มีสิทธิ์”ในการ”เลือกผู้แทน” ไม่ได้เลือก”คนดี” ผลที่ออกมา วันนี้คน”สงขลา” จึงต้อง”แบกรับ” ความ”เสื่อมเสีย” ที่เกิดขึ้นอย่าง”หลีกเลี่ยง”ไม่พ้น นี่คือ”บทเรียน” ที่คน”สงขลา”ต้อง”จดจำ”เพื่อในการ”เลือกตั้ง”ในครั้งต่อไปจะได้”ไม่เลือก” ผู้ที่มี”ธุรกิจผิดกฎหมาย” มาเป็น”ผู้แทน”อย่างที่เกิดขึ้น

ชาว”บางแฟบ” เทศบาลบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา”ร้องกันมา”ว่าให้” พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ เพชรหนองชุม” ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไป”ตรวจสอบ” หน่อย ว่า”โต๊ะแทงพนันบอล” ที่”บางแฟบ” เป็นของใคร” เพราะ”เปิดแบบไม่เกรงกลัวกฎหมาย” มี”นักการพนัน” เดิน”เข้า-ออก” ทั้งวันทั้งคืน จน”ชาวบ้าน”เขา”เดือดร้อน” ระวังถ้าบอกแล้ว ไม่”สนใจ” ชาวบ้านจะ”กล่าวหา”ว่า “ตำรวจรับส่วย”แล้วจะ”เสียหาย”ถึง” พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 นะจะบอกให้

เรื่อง”โดรน” จำนวน 2 ลำ ที่ถูก”ตรวจพบ” ในพื้นที่”ต.สำนักขาม” อ.สะเดา จ.สงขลา หลังจาก”สืบสวน”พบว่าเป็นของ”กลุ่มจีนเทา” ที่”กระสานซ่านเซ็น”มาจากการ”ปราบปราม”แก็งค์คอลเซ็นเตอร์” และ”ขบวนการค้ายาเสพติด” ที่”ชายแดนภาคเหนือ” เป็น”โดรน” ที่”ลักลอบ”นำเข้ามาเพื่อการ”ขนยาเสพติด” หลัง”เกิดเหตุ” ตำรวจ สามารถ”ติดตามจับกุม” สอง”คนจีนแผ่นดินใหญ่” ได้แล้วขณะที่อยู่ใน”จังหวัดหนองคาย”และเชื่อว่าจากการ”สอบสวน”ผู้ต้องหาที่เป็น” เจ้าของโดรน” ทั้ง 2 ลำ เชื่อว่า” พ.ต.อ.สุรจิต เพชรจอม” ผกก.สภ.สะเดา คงสามารถ”จับกุม” ผู้ร่วม”ขบวนการ” ที่เป็นคนในพื้นที่ อ.สะเดา และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้ทั้งหมด และต่อแต่นี้ไป” พล.ต.ต.”เสกสันต์ ชูรังสฤษฎ์” ผบก.ภ.วจ.สงขลา ต้องให้ชุด”สืบสวน” หา”แก็งค์จีนเทา” ที่เข้ามา”ปักหลัก” ใน”แนวชายแดน” เพื่อทำ”ธุรกิจสีเทา” ทั้งเรื่องของการ”ค้ายาเสพติด” และ”แก็งค์คอลเซ็นต์” ซึ่งเป็นการ”ร่วมมือ” กับ”ขบวนการค้ายาเสพติด”และ”แก็งค์”คอลเซ็นเตอร์” ที่เป็น”ชาวจีนมาเลเซีย” ถ้าทั้ง”สองฝ่าย” จับมือกันได้ “หายนะ” จะเกิดขึ้นกับ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” รีบ”ตัดไฟ”แต่”ต้นลม” จะเป็นการดีที่สุด…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง … เล่ห์ ฮุนเซน – เหลี่ยม กัมพูชา รุกคืบหวังฮุบแผ่นดินไทย!

14 มิ.ย. 2025
102

ยังเป็นเรื่องที่”ไม่ง่าย” สำหรับ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ในการที่จะ”ปรับ ครม.” เพื่อให้เกิดการ”กระเพื่อม” น้อยที่สุด และเพื่อให้”รัฐบาล” สามารถ”เดินหน้า” อย่างมี”เสถียรภาพ” อย่างน้อยก็ให้ถึง ปี 2569 ก่อนที่จะ”ยุบสภาฯ” หาก”รัฐบาลผสม” ไป”ไม่รอด”จริงๆ…..เพราะ”เอาเข้าจริง” ปรากฏว่า”ภูมิใจไทย” ที่ เชื่อว่าเป็น”ลูกแกะ”ใน”กำมือ” ไม่กล้า”หือ” ปล่อยให้” เพื่อไทย” ทำการยึดคืน”มหาดไทย” ก็ยังไม่”สำเร็จ” เพราะการ”ฮึดสู้” ของ” เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “รองนายกรัฐมนตรี” และ”เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” ที่”ออกแรงยื้อ” แบบไม่ยอมปล่อยให้”มหาดไทย” หลุดมือไปง่ายๆ เป็น”สัญญาณ” บอกเหตุว่าถึง”เพื่อไทย” จะได้”มหาดไทยไป” และกระทบถึง”เสถียรภาพ” ของ”รัฐบาล” อย่างแน่นอน….เรื่องของ”ลูกพรรค” พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ออกมา”เคลื่อนไหว” เพื่อให้มีการ”ปรับ ครม.” โดยไม่มี”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” ผู้เป็น”หัวหน้าพรรค” เป็น”รัฐมนตรี” ใน”ครม. ที่จะมีการ”ปรับเปลี่ยนใหม่” นี่อาจจะเป็น”ปรากฎการณ์” ที่เป็น”ครั้งแรก”ของ”การเมืองไทย” ที่”ลูกพรรค” จำนวน”กว่าครึ่ง” มีการ”ส่งหนังสือ” ถึง”รัฐบาล” ให้ปรับ”หัวหน้าพรรค”ของตนเองออกจาก”ตำแหน่ง รัฐมนตรี” ดังนั้น”การเมือง” ของ”ประเทศไทย” ณ วันนี้จึง”วุ่นวายสับสน อลเวง” และไม่มี”เสถียรภาพ” พร้อมที่จะ”แตกหัก” ภายใน”พรรคร่วม” ที่ส่งผล”กระทบ” อย่าง”ร้ายแรง” ต่อการ”บริหารประเทศ” ให้”ก้าวหน้า” ต่อไป

“ผลกระทบ” ที่เกิดขึ้น ทั้งหมด จึงส่งผลโดยตรงต่อ”การบริหารประเทศ” ดังนั้น “ประเทศไทย” ในวันนี้จึงเต็มไปด้วย”ปัญหา” ที่”อีรุงตุงนัง” ทั้งเรื่องของ”ความมั่นคง” เรื่อง”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ของ”ประชาชนส่วนใหญ่” ที่อยู่ในภาค”เกษตรกร”และ”ผู้ใช้แรงงาน”เกษตรกร” เมื่อ”ผลผลิตทางการเกษตร” ที่ผลิตออกมา ต้อง”กล้ำกลืน” ขายให้กับ”พ่อค้าคนกลาง” ในราคาที่”ตกต่ำ” ที่”รัฐบาล”อ้างว่าเป็น”กลไกการตลาด” ทั้งที่โดย”ข้อเท็จจริง” อาจเป็นเพื่อถูก”พ่อค้าคนกลาง” ทำการ”กดราคา” เนื่องจาก” กลไกรัฐ” ทั้งของ”กระทรวงพาณิชย์” และ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ขาด”ประสิทธิภาพ” ที่ไม่สามารถ”ควบคุมพ่อค้าคนกลาง” อย่าให้”เอาเปรียบ” ผู้เป็น”เกษตรกร” และที่น่า”หดหู่” ถ้าฟังจาก”สื่อ” ที่”รายงาน” ข่าวการ”ปรับ ครม.” และมีชื่อ”บุคคล” ที่จะมาเป็น” รัฐมนตรี”ของ”กระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวง สำคัญๆ ที่”เกี่ยวกับ”ปากท้อง”ของ”ประชาชน” และที่เกี่ยวกับ”เศรษฐกิจการค้าการลงทุน”ของ”ประเทศ” รายชื่อที่”สื่อนำเสนอ” ทุกคนเห็นแล้ว”หดหู่หัวใจ” เพราะเป็น”บุคคล” ที่”ไม่ตรงปก” กับ”หน้าที่” ซึ่งต้อง”รับผิดชอบ” ดังนั้นการ”ปรับ ครม.” ที่จะมีขึ้นในครั้งนี้ ไม่ใช่ทำเพื่อ”ประชาชน” หรือเพื่อความ”รุ่งเรือง”ของ”ประเทศชาติ” แต่เป็น”ต่างตอบแทน” ของ”พรรคการเมือง” และเป็นเรื่อง”สมบัติผลัดกันชม” สำหรับ”นักการเมือง” ให้เป็น”กลุ่มทุน”ของ”พรรคการเมือง” โดยที่ไม่มี”ประชาชน” และ”ประเทศชาติ” อยู่ใน”สมการ”ของการ”ปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้น แต่อย่างใดเป็น”เหล้าเก่า ในขวดใหม่” ที่ไม่มี”คุณภาพ” และ”คุณประโยชน์” ไม่ว่ากับ”ประชาชน” หรือ”ประเทศชาติ” ดังนั้นการ”ปรับ ครม.จึงไม่ใช่”ข่าวดี” สำหรับ”ประชาชน

เรื่องของ”ความมั่นคง” ใน”แนวชายแดน”ด้าน “ที่ติดกับ”ประเทศกัมพูชา” ตั้งแต่”จังหวัดสระแก้วจนถึงจังหวัดสุรินทร์” มีปัญหา”คาราคาซัง” มา”ยาวนาน” ในเรื่องของ”พื้นที่”แนวชายแดน” ที่เป็นของ”ประเทศไทย” และถูก”ผู้นำ” ของ”กัมพูชา” ออกมา”อ้าง”อย่าง”หน้าด้านๆ” ว่าเป็นของ”กัมพูชา” ปัญหาที่”สำคัญ” คือเรื่องของการใช้”แผนที่คนละฉบับ” และ”กัมพูชา”ไม่ให้ความ”สำคัญ”กับการ”เจรจาทวิภาคี” แต่จะใช้การ”ฟ้องศาลโลก” อย่างเดียว แบบที่เคยใช้ในกรณี”เขาพระวิหาร” ที่ไทยเคย”เสียเปรียบ” มาแล้ว และนั้นคือ”ประวัติศาสตร์” ที่จะต้องไม่”ซ้ำรอยเดิม” เรื่องนี้”รัฐบาล”ถูก”ประชาชน” มองว่ามี”นโยบาย” ต่อ”กัมพูชา” แบบ”หน่อมแน้ม” เหมือนกับ”ผู้นำรัฐบาล” มีความ”เกรงอกเกรงใจ” ผู้นำ”ของ”กัมพูชา” โดยเฉพาะ”กระทรวงต่างประเทศ” ที่ถูกมองว่ามี”บทบาท” ที่”น้อยไปหน่อย” กับเรื่องของการ”รุกล้ำดินแดนไทย” ของ”กัมพูชา” ประชาชนส่วนใหญ่ จึงมี”ท่าที” ที่”ด้อยค่า” กับ”รัฐบาล” และให้”เครดิต” กับ”กองทัพ” นี่คือ”ประเด็น” ที่”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง” และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” อย่าง” ภูมิธรรม เวชยชัย” ต้อง”สำเหนียก” และต้องมีการ”สื่อสาร” ถึง”ข้อเท็จจริง”ระหว่าง” รัฐบาล” กับ”ประชาชน” ให้มากกว่าที่ผ่านมา “กัมพูชา” ไม่มีด้านไหน ที่จะ”เหนือ”กว่า”ไทย” ไม่ว่าจะเป็น”เรื่อง”การทหาร” เรื่อง”เศรษฐกิจ” ซึ่ง”รัฐบาล”ไม่”จำเป็น” ที่จะ”ต้องหงอ” ให้กับ”เขมร” หรือ”กัมพูชา” และ ใน”ข้อเท็จจริง” ผู้นำของ”เขมร” หรือ”กัมพูชา” ทุกยุคทุกสมัย” ก็มอง”ประเทศไทย”อย่างมี”อคติ” ไม่”เป็นมิตร” มาโดยตลอด

ดังนั้น”วิฤกตแนวชายแดน” ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การที่”ทหารของกัมพูชา” บุกเข้ามาเผา”ศาลาตรีมุข”ที่”กองทัพภาคที่ 2 สร้างไว้ ใน”ดินแดนของไทย” รวมทั้งการส่ง”ทหาร”เข้ามา”ขุดคูเลต” ในพื้นที่ของ”ประเทศไทย”จนมีการ”ยิงปะทะ”เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จึงเป็น”หนทาง” ที่”รัฐบาล” ต้องมีการ”เจรจา”อย่าง”แตกหัก” เพื่อ”ยุติ” ปัญหาของการ”บุกรุก”แนวชายแดนทั้งในบริเวณ”ปราสาทตาเมือนธม” และ”อีก”สามปราสาท” ใน ชายแดน อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์” และการ”บุกรุก” ใน”เขตแดน”ของ” อ.น้ำยืน” ทุกจุด ใน”จังหวัดอุบลราชธานี ต้อง”เจรจา”ให้จบใน”รัฐบาล”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” และต้องมีความ”ชัดเจน” ว่า”ปัญหา”การ”รุกล้ำดินแดนไทย”ของ”กองทัพกัมพูชา” ต้องแก้ด้วยการ”พูดคุย” ตาม”กลไก” ของ”ทวิภาคี” โดย”ประเทศไทย” ไม่ยอมรับการ”ใช้ศาลโลก” เป็น”ผู้ตัดสิน” เพราะ”ศาลโลก”เป็น”ศาลการเมือง” ที่ไม่มีความ”เที่ยงธรรม” และไม่มี”กฎหมายบังคับ” ว่าต้องทำตามที่”ศาลโลกตัดสิน”……รวมทั้งหยิบเอา”ปัญหา”ของ”พื้นที่ใน”ทะเล”ด้านที่ติดกับ”เกาะกูด”ของ” จังหวัดตราด” มา “พูดคุย” ทำความเข้าใจกับ”กัมพูชา” ให้มีการ”สะเด็ดน้ำ” เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็น”พื้นที่ของประเทศไทย” ที่”กัมพูชา” อ้างว่าเป็นของ”กัมพูชา” ทุกอย่างระหว่าง”ไทยกับกัมพูชา” ควรจะมี”ข้อยุติ” ที่”ชัดเจน” และ”ประเทศไทย” ต้องไม่”เสียเปรียบ” กับ”ประเทศที่”คิดจะ”เอาเปรียบ”กับ”ประเทศไทย” เพียงอย่างเดียว …..ฮุนเซ็น” ซึ่งเป็นผู้มี”บารมี”นอก”รัฐบาล”ของ”ฮุนมาเน็ต” ผู้เป็น”ลูกชาย” เก่งกว่าเราอย่างเดียวคือเรื่อง”ยุทธศาสตร์ทางการเมือง” และการ”โกหกหลอกลวง” แต่ที่เหมือนกันกับ”รัฐบาลไทย” ในขณะนี้คือ” รัฐบาลไทย” มี”แพทองธาร ชินวัตร “ เป็น”นายกรัฐมนตรี” และมี”ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี”ผู้เป็นพ่อ” เป็น”ผู้มีบารมี”ที่คน”ส่วนใหญ่” เชื่อว่าเป็นผู้”สั่งการ” ให้”รัฐบาล” ซ้ายหัน ขวาหัน ได้ เช่นเดียวกับ”ฮุนมาเน็ต” นายกรัฐมนตรีของ”กัมพูชา” ที่ต้องฟัง”คำสั่งของ” ฮุนเซ็น” ผู้เป็น”พ่อ” และเป็น”ผู้นำตัวจริง” ของ”กัมพูชา”

วันนี้” กองทัพภาคที่ 2 ที่มี”พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” เป็น”แม่ทัพภาคที่ 2 ปฏิบัติการ” โดยใช้”กำลังทหาร” เข้า”กดดัน” ในทุกพื้นที่ชายแดน ที่มี”ทหาร”ของ”กัมพูชา” ทำการ”รุกล้ำเข้ามา” เป็นการใช้”ทหารนำหน้า” ซึ่งโดยข้อเท็จจริง” กัมพูชา” สู้กับ”กองกำลัง”ของ”ทหารไทย” ไม่ได้ ทั้งในเรื่อง”กำลังพล” และ”ยุทธโธปกรณ์” เพียงแต่ “กองทัพบก” ไม่มี”นโยบาย” ในการ”เปิดการรุก”หรือ”เปิดฉาก” ในการ”เข้าตี” กำลังของ”ทหารไทย” จึงใช้”ยุทธวิธี” ในการ”วางกำลัง” ทุกพื้นที่ ที่มีการ”รุกล้ำ”ของ”ทหารกัมพูชา” ด้วยการ”ตั้งรับ” หาก”ทหารกัมพูชา” เปิดเกมรุก”  เมื่อไหร่ เชื่อว่า”กำลังทหาร”ของ”กัมพูชา” ที่ยกมาทั้งประเทศ จำนวน ไม่เกิน 2 กองพัน ที่”ตรงข้าม”อำเภอพนมดงรัก” ที่ต้องการ”ยึด”ปราสาทตาเมือนธม และอีก “สามปราสาท” ไม่”คนามือ”ของ”ทหารไทย…..ซึ่ง” ฮุนเซ็น” และ”ฮุนมาเน็ต” นายกรัฐมนตรี”ของ”กัมพูชา” รวมทั้ง” รัฐมนตรีกลาโหม”ของ”กัมพูชา” รู้ดี ถึง”ขีดความสามารถ”ของ”ทหารไทย” พอเห็น”กองทัพภาคที่ 2 “มีการ”เอาจริง” จึงมีการใช้”ยุทธวิธีลับลวงพราง” โดยการ”กลบคูเลต” ที่”แอบเข้าขุด” และ”ถอนกำลัง”ออกไป แต่เพิ่มกำลัง ใน”จุดอ่อน” โดย”ฮุนเซ็น” มีการ”ออกข่าว” ว่าไม่มีการ”ถอนกำลัง” เป็นการ”สับเปลี่ยนกำลัง”เท่านั้น นี่เป็นการ”ป้องกันการเสียหน้า” ซึ่ง”พล.ท.บุญสิน” พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2“”รู้เช่นเห็นชาติ” ของ”กัมพูชา” ดี…..จึงได้ ดำเนิน”ยุทธศาสตร์”ด้วยการ”เข้มงวด”ทุก”ด่านเข้า-ออก” ลดการให้”วีซ่า” ของ”คนกัมพูชา” ให้เหลือเพียง 7 วัน  ควบคุมการ”เข้า-ออก” ทั้งในเรื่องของ”สินค้า”และ”คน” เพราะนี่คือ”จุดแข็ง”ของ”ไทย” ที่”กัมพูชา” รู้ดีว่า หากมีการ”ปิดด่าน” เมื่อไหร่” ประชาชน”ของ”กัมพูชา” ต้อง”ระส่ำระสาย” อย่างหนัก

”จุดตายของ”กัมพูชา” เรื่องเรื่อง”บ่อนการพนันที่ปอยเปต” ชายแดนด้าน “อรัญประเทศ” จังหวัดสระแก้ว ที่หาก”กองทัพสั่งปิดเมื่อไหร่”  จะมีผลกระทบกับ”รายได้”ของ”บ่อนการพนัน 10 กว่าแห่ง ที่เป็น”หัวใจ”ของ”กัมพูชา” ในทันที เพราะ” ก็ไม่ต้อง”ดูอื่นไกล” วันนี้แค่” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาค 2 สั่ง”เข้มงวด” ด่านทุกด่าน “ฮุนเซ็น” ก็ออกมา”เต้นพล่าน” เหมือน”…. ถูกน้ำร้อนลวก” ออกมา”โวยวายกล่าวหา”ว่า”ประเทศไทยรังแกคนเขมร” และที่”สำคัญ” วันนี้” กองทัพ” ยืนยันว่าจะใช้”ยุทธวิธีทางหหาร” อย่างไม่มี”กำหนด” จนกว่า”กำลังของทหารเขมร” จะมีการ”ถอนออกจาก”ดินแดน”ของ”ประเทศไทย” ใน”ทุกด้าน” ใช้เฉพาะที่” ตรงข้ามปราสาทตาเมือนธม” เท่านั้น ดังนั้นจึงต้อง “ติดตาม” นโยบายของ”รัฐบาล” ทั้ง”ภูมิธรรม เวชยชัย”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง “ และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” และ”มาริษ เสงี่ยมพงษ์” เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ และ” ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นฝ่าย”การเมือง” จะมีการ”เดินหมากการเมือง” อย่างไร ในวันที่ 14 มิถุนายน ที่มีการ”ประชุมร่วม”หรือการ”ประชุมทวิภาคี”  ระหว่าง”ไทย”กับ”กัมพูชา” เพื่อ “แก้ปัญหา”ข้อ”พิพาท” ที่เกิดขึ้น

ข้อสังเกตสำหรับ”กระทรวงต่างประเทศ” ที่ผ่านมาคือ 1 ไม่ควรเรียก”พื้นที่ของไทย” ที่”ทหารกัมพูชา” ส่งกำลังเข้ามา”ยึดครอง” ว่าเป็น”พื้นที่ทับซ้อน”หรืทอ”พื้นที่อ้างสิทธิ์” เพราะโดย”ข้อเท็จจริง” แม้จะยังไม่มีการ”ปักปันชายแดน” แต่”หลักฐาน” ที่”ฝ่ายไทยมี” ทั้งหมดเป็น”พื้นที่ของประเทศไทย” ที่”สำคัญ” กัมพูชา”ไม่เคยเรียกพื้นที่ ที่มีการ”ส่งทหารเข้ามาบุกรุก” ว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน”หรือพื้นที่”อ้างสิทธิ์” อย่างที่”กระทรวงต่างประเทศ”ของเราเรียก หรือ”บัญญัติศัพท์” แต่”ผู้นำ”กัมพูชา” ทั้ง”ฮุนเซ็น” และ”ฮุนมาเน็ต” รวมทั้ง”ฝ่ายกองทัพ”ของ”กัมพูชา” เรียกพื้นที่”ที่ส่ง”ทหารเข้าบุกรุก”ว่าเป็น”ดินแดนของกัมพูชา” และอีก”ประเด็น” สำหรับ”กระทรวงต่างประเทศ”คือต้องไม่เรียก พื้นที่ ซึ่ง”ทหารกัมพูชา” เข้า”บุกรุก”ว่าเป็น”โนแมนส์แลนด์” เพราะถ้ามีพื้นที่”โนแมนส์แลนด์” ว่าจะกว้าง 200 เมตร หรือ กี่ร้อยเมตร พื้นที่”โนแมนส์แลนต์” ที่ถูก”กำหนด” จะถูก”การยึดครอง” จากฝ่าย”กัมพูชา” ในทันที…..เพราะ”ยุทธศาสตร์”ของ”กัมพูชา” ที่ใช้ในการเข้า”ยึดครอง” ดินแดนของ”ประเทศไทย” ในทุดด้านที่เกิดขึ้น คือการใช้”ประชาชน” และ”ครอบครัวทหาร” ในพื้นที่ เข้า”ยึดครอง”ด้วยการตั้ง”หมู่บ้านยุทธศาสตร์” โดยการ”สนับสนุน”จาก” ฝ่ายทหาร”ของ”กัมพูชา” และ”หมู่บ้านยุทธศาสตร์” เหล่านี้ นอกจากเป็น”แนวหน้า” ของ”ทหารกัมพูชา” แล้ว ยังสร้างความ”เสียหาย”ต่อ”ทรัพยากรธรรมชาติ” ของ”ประเทศไทย เพราะคนเหล่านี้จะ”บุกรุก” เข้ามาทำ”สวนทำไร่” และ”ตัดไม้” ที่มี”ราคา”เช่น”ไม้พยุง” และ”อื่นๆ รวมทั้ง”ของป่า” เพื่อ”ขาย” กลายเป็น”อาชีพหลัก” ของ”หมู่บ้านยุทธศาสตร์” ที่”กองทัพกัมพูชา” เป็นผู้”สร้างขึ้น” และ”สนับสนุน”

เรื่องของ”หมู่บ้ายยุทธศาสตร์” เป็นเรื่อง”สำคัญ” ซึ่งในอดีต” ในการแก้ปัญหา”ความมั่นคง” ใน”แนวชายแดนไทย” กระทรวงมหาดไทย เคย ร่วมมือกับ”กองทัพภาค” และ”กระทรวงอื่นๆ เช่น “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ในการจัดตั้ง”หมู่บ้านยุทธศาสตร์”แนวชายแดน ที่เรียกว่า”หมู่บ้านป้องกันตนเอง” โดยการ”สนับสนุนจากรัฐบาล” หรือ”หมู่บ้านความมั่นคง” โดย”กระทรวงที่รับผิดชอบ” จัดหาที่ดินของรัฐ” ให้เป็นที่”ทำกิน”เป็นที่”ปลูกบ้าน” เพื่อการ”ร่วมพิทักษ์แนวชายแดน” ซึ่งได้ผลในการแก้ปัญหาใน”แนวชายแดน”เป็นอย่างดี  แต่วันนี้ เรื่องเหล่านี้หายไปจาก”กระทรวงมหาดไทย” ก็ขอฝากไปยัง” อนุทิน ชาญวีรกุล” เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ให้มีการใช้”นโยบาย” ในการจัดตั้ง”หมู่บ้านป้องกันตนเองแนวชายแดน”หรือ”หมู่บ้านยุทธศาสตร์” เช่นเดียวกับที่”กัมพูชา” ใช้ในการ”บุกรุกดินแดน”ของ”ประเทศไทย….เช่นเดียวกับ” สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งมีหน้าที่ในการ”กำหนดยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง” เท่าที่”สอบถาม”จาก”ฝ่ายของ”กองทัพภาคที่ 2 ทุกเสียงต่างมีความเห็นว่า”ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง”ของ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ”สมช.” เขียน”ยุทธศาสตร์” ที่”กว้างเกินไป” เรื่องนี้” ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคง” ต้องนำไป”พิจารณา”

มาดู “สถานการณ์ความรุนแรง” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ล่าสุดคือการ”วางระเบิดแสวงเครื่อง” ใน”ตลาดโต้รุ่ง” ที่เป็นเหมือน”หัวใจ” ของ”เมืองปัตตานี” แม้ความ”เสียหาย” จะไม่มาก” ไม่มี”ผู้เสียชีวิต” มีเพียง”ทรัพย์สินเสียหาย” แต่ก็”บ่งบอก” ให้”ทุกฝ่าย” รู้ว่า” กองกำลังติดอาวุธ” ของ” บีอาร์เอ็น” ยังมี”เสรีภาพ” ในการ”เคลื่อนไหว” เพื่อการ”ก่อการร้าย” ในทุกพื้นที่ ที่ต้องการ…..โดย”ข้อเท็จจริง” การ”รักษาความปลอดภัย” เป็นหน้าที่หลักของ”กำลังอาสารักษาดินแดน”ของ”ฝ่ายปกครอง” และ”กำลังของ”ตำรวจ” เป็น”ด้านหลัก ส่วน”ทางเข้าเมือง” ของ”กำลังสามฝ่าย” ที่ร่วม”รับผิดชอบ” ซึ่งต้องการ”ประชุมร่วมกัน” เพื่อการหาจุด”บกพร่อง”ที่เกิดขึ้น เพราะเห็นชัดว่าการ”รักษาความปลอดภัย”ของ” หน่วยงานที่รับผิดชอบ” มี”ปัญหา” ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา “เขตเทศบาลปัตตานี”ถูก”วางระเบิดแสวงเครื่อง”มาแล้ว 2 ครั้ง ๆแรก ที่”หน้าศูนย์เรียนรู้” ใกล้”สภ.เมืองปัตตานี” มี”ตำรวจ” ได้รับ”บาดเจ็บ “ 5 นาย เรื่องนี้” พาตีเมาะ สะดียามู” ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่เป็น”หญิงแกร่ง” ของ”มหาดไทย” และ” พล.ต.ต.สันทัด เชื้อพุฒตาล” ผบก.ภ.จว. ปัตตานี ต้องมีการ”บูรณาการ” เพื่อหา”จุดบกพร่อง” ก่อนที่จะมี”ระเบิดแสวงเครื่อง” ครั้งที่ 3 ที่ 4 เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่เป็น”ระเบิดสร้างสถานการณ์” แต่เป็น”ระเบิด”ที่ต้องการ”ทำลายชีวิต” และ”ทรัพย์สิน” ทาง”ราชการ” และ”ประชาชน” เพราะจาก”หลักฐาน” ระเบิดที่ตลาดโต้รุ่ง” ครั้งนี้เป็นการ”ปฏิบัติการ”ของ”เยาวชน” ที่เป็น”หน้าขาว” หรือ”เป็น”กองกำลังรุ่นใหม่” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ออกมา”ปฏิบัติการ” เพื่อการ”ทดสอบ” ความ”สามารถ” ถ้าเป็น”ปฏิบัติการ”ของ”ตัวตึง” ที่เป็น”รุ่นใหญ่” ของ”บีอาร์เอ็น” ความ”สูญเสีย” ไม่ใช่อย่างที่เกิดขึ้น อย่าง แน่อนนอน

ส่วน”องค์กรภาคประชาชน” ที่”ชื่นชม” และยืนอยู่กับ”บีอาร์เอ็น” ก็อย่าลืม ช่วย”ส่งสาร” ถึง”บีอาร์เอ็น” ด้วยว่า” ทำไมจึง”ปฏิบัติการ” ในพื้นที่”สาธารณะ” อย่าง”ตลาดโต้รุ่ง” ที่มี”ประชาชนพลุกพล่าน” ไหนว่า”บีอาร์เอ็น” เคยประกาศที่จะไม่”โจมตีเด็ก โจมตีสตรี และ คนชรา รวมทั้ง”สถานที่สาธารณะ” อย่าง “ตลาด” และ”โรงเรียน” ดังนั้น วันนี้”บีอาร์เอ็น” อย่าได้อ้างข้อตกลง”เบอร์ลิน” ระหว่าง”บีอาร์เอ็น”กับ”หน่วยงาน”บางหน่วย” ของ”รัฐบาล” เพราะ”บีอาร์เอ็น” มีการ”ตระบัดสัตย์” มาโดยตลอด…..ล่าสุดในเทศกาลวัน”ฮารีรายอ” หรือ”อีดิ้ลอีกฎฮา” ตัวแทนของ”บีอาร์เอ็น” ก็”ส่งสาร” ถึง”ผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ด้วยการ”ยอมรับ”ว่า “สถานการณ์ที่รุนแรง”ขึ้นมาจากการที่”รัฐบาลไทย” หยุดการ”ขับเคลื่อน”การ”พูดคุยสันติภาพ” กับ”บีอาร์เอ็น” และ”เรียกร้อง” ให้”รัฐบาลไทย” เร่งการ”ขับเคลื่อน”การ”เจรจา”ในกรอบของ”เจซีพีพี.” เพื่อลดความ”รุนแรง”…..ประเด็น”ปัญหา” เชื่อได้อย่างไรว่า”การเจรจา”จะทำให้ความ”รุนแรง”ลดลง เพราะ 9 ปีที่ผ่านมา การ”ขับเคลื่อนการ” การ”พูดคุย” หรือการ”เจรจา” ไม่เคยทำให้การ”ก่อการร้าย” ในพื้นที่”หยุดหรือยุติ” แต่เป็นการ”ฆ่ากันไปคุยกันไป” และทำไม่ต้อง”พูดคุย”ในกรอบของ”เจซีพีพี.” เท่านั้น เพราะ”บีอาร์เอ็น”ได้เปรียบ” หากมีการ”เจรจา” ในกรอบของ”เจซีพีพี.”  หากต้องมีการ”ยกเลิก” กรอบของ”เจซีพีพี.” และมีการ”ร่างกรอบการเจรจา” ขึ้นใหม่”บีอาร์เอ็น” ยังจะเรียกร้องการ”เจรจา”หรือไม่” ที่สำคัญ” ภูมิธรรม เวชยชัย” ส่ง”สัญญาณ” ถึง” บีอาร์เอ็น” และ”ผู้นำของ”ประเทศมาเลเซีย” มาแล้ว “หลายเดือน” ว่าจะ”เจรจา”หรือ”พูดคุย”กับ”ผู้มีอำนาจจริง”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ไม่ใช่แค่”ตัวแทน” วันนี้”บีอาร์เอ็น” และ”มาเลเซีย” ยังไม่มี”คำตอบ” แล้วจะให้เรื่อง”ขับเคลื่อน” การ”เจรจา” อย่างไร

เรื่องการ”เจรจา” ตั้งไว้ก่อน เพราะ”รัฐบาล” ยังไม่ได้เปรียบ ที่จะไป”เจรจา”กับ”บีอาร์เอ็น” ในขณะนี้ เรื่องที่”ต้องทำ” คือเรื่อง “ขับเคลื่อน”ในการ”จับกุม” แนวร่วม และ”กองกำลังติดอาวุธ” ที่”หลบซ่อน” ในพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งในเดือน”พฤษภาคม” ที่ผ่านมา สามารถ”จับเป็น” ได้ถึง 30 กว่าคน และล่าสุด คือการ”จับกุม” กลุ่ม”กองกำลังติดอาวุธ” ที่วางระเบิด”แสวงเครื่อง” ต่อ”รถยนต์เจ้าหน้าที่ทหารพราน” ที่.”บ้านม่วงหมัง” ต.เมาะวาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้ 3 คน  ผลจากการ”ซักถาม” ทราบว่า การก่อเหตุในครั้งนั้นมีการ”ใช้กำลัง” จำนวน 10 คน  นี่คือ”ข้อดี”ของการ”จับเป็น” ที่ในการ”ซักถาม” จะได้”ข้อมูล” และสามารถ”ติดตามจับกุม” หรือถ้ายัง”จับกุม”ไม่ได้ ก็จะได้”ข้อมูล” ว่ามี”บุคคล”ใดบ้างที่เป็น”สมาชิก” ของ”บีอาร์เอ็น” และอยู่ใน”หมู่บ้าน,ตำบลไหน” เพราะจะง่ายในการ”เฝ้าระวัง” และ”จับกุม” ขอ “สนับสนุน” นโยบายของ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และขอให้มีการ”ขับเคลื่อน”การใช้”กฎหมาย” เพื่อ”จับกุม” ให้”ต่อเนื่อง” เชื่อเถอะ กำลังของ”บีอาร์เอ็น” ที่เป็น”กองกำลังติดอาวุธ” มี”ไม่มาก” ถ้าถูก”จับกุม”ทุกวัน ความ”อ่อนแอ” ของการ”ปฏิบัติการ”ด้วย”อาวุธ” จะต้อง”ลดน้อยลง

ข่าวว่า”เปิดสภาผู้แทนราษฎร” ในเดือน”กรกฏาคม” ที่จะถึงนี้”รัฐบาล” จะมีการ ผลักดัน”พรบ.อินเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์” และ” พรบ.การพัฒนาภาคใต้”หรือ” SEC.” ที่เป็นแผน”พัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้” ซึ่งจากการ”ตรวจสอบ” พบความ”เคลื่อนไหว” ของ”องค์กรพัฒนาเอกชน” หรือ” NGO” ทั้งประเทศ โดยเฉพาะ”ภาคใต้” ที่วันนี้การ”ขับเคลื่อน” การ”ต่อต้าน”ไม่เอา”SEC” อยู่ที่” อ.จะนะ จ.สงขลา ก็ต้อง”ติดตาม”กันต่อไปว่า “องค์กรพัฒนาเอกชน” จะสามารถ”หยุดยั้ง” แผนการ”พัฒนาอุตสาหกรรม”ของ”ภาคใต้” อย่างไร และ”รัฐบาล” จะ”ยอมหงอ” ให้กับ”NGO” อย่างที่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต”นายกรัฐมนตรี” เคย”หงอ” ให้กับ”NGO” ที่ออกมา”คัดค้าน” และ”ล้มเวที” ของโครงการ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” หรือ”เมืองต้นแบบอุตสาหกรรม” ที่”ผลักดัน”โดย”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้”มาแล้ว และ”โครงการเมืองต้นแบบ” ที่”อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา” ก็ถูก”ดึงเกม” ให้”เดินช้าๆ” เพื่อให้”เอกชน” เจ้าของ”โครงการ”ยกเลิก”ไปเอง นั้นคือการ”แก้ปัญหา” ของ”รัฐบาล” ที่”ยอมหงอ” ให้กับ”NGO” โดยไม่ต้องการเห็น”ม็อบหน้าทำเนียบ” โดยยอมที่จะไม่”พัฒนาภาคใต้”

วันที่ 13 มิถุนายน นี้ การ”ชะลอการใช้กฎหมาย” เพื่อการ”รื้อถอนโพงพาง” ที่เป็น”เครื่องมือประมงที่ผิดกำหมาย” และ”รุกล้ำร่องน้ำการเดินเรือ” ใน”ทะเลสาบสงขลา” จะ”สิ้นสุดลง” ก็ต้อง”ติดตาม”ดูว่า” โชตินรินทร์ เกิดสม” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จะ”กล้าหาญ” ในการใช้”กฎหมาย” เข้าดำเนินการกับ”กลุ่มผู้ทำผิดกฎหมาย” หรือให้”กฎหมู่” อยู่เหนือ”กฎหมาย” ต่อไป แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า  สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาปมพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา กลยุทธ์ป้องอธิปไตย?

07 มิ.ย. 2025
104

ยังเป็น”ลูกผีลูกคน” นั่นคือความ”ขัดแย้ง” ของ”รัฐบาล” ระหว่าง”พรรคร่วม” ด้วยกัน ที่เห็น”รอยร้าว” ที่”ชัดเจน” และ”หนักหนาสาหัส” ขึ้นทุกขณะ คือความ”ขัดแย้ง” ที่เกินกว่าคำว่า”ระหองระแหง” ระหว่าง”พรรคเพื่อไทย” กับ”พรรคภูมิใจไทย” ที่”ล่าสุด” อดีตนายกรัฐมนตรี”ทักษิณ ชินวัตร” ออกมา”เอ่ยปาก”จะยึด”กระทรวงมหาดไทย” จาก”พรรคภูมิใจไทย” และยัง”เอ่ยปาก”ว่า”มหาดไทย” ทำงานยังไม่”เต็มที่” นี่ไม่เรื่อง”โยนหินถามทาง” ไม่ใช่เรื่องการ”บอกใบ้” แต่เป็นเรื่องที่”บอกตรงๆ” ให้ทั้ง” เสี่ยหนู” และ”ครูใหญ่” ได้ทราบล่วงหน้า เพื่อให้”เตรียม” ว่าหลังการ”ปรับ ครม.” ที่จะเกิดขึ้นหลังการ”ผ่านกฎหมายงบประมาณ ปี 2569” แล้ว”พรรคภูมิใจไทย””ยังจะอยู่”กับ”พรรคเพื่อไทย” ในฐานะพรรคการเมืองที่ต้อง”กินน้ำใต้ศอก” หรือจะ”บ้ายบาย” ไปเป็นอยู่กับ”ฝ่ายค้าน”ให้”ตัดสินใจ” ล่วงหน้า…..ก็ต้อง”ติดตาม” ความ”เคลื่อนไหว” ของ”ครูใหญ่” และ”เสี่ยหนู”  อนุทิน ชาญวีรกุล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย ว่าจะ”ยินยอม” ให้”พรรคเพื่อไทย” ทำการ”ยึด” มหาดไทย ที่เป็น”กระทรวงใหญ่” และยอมที่จะไปเป็น”เสนาบดี” ใน”กระทรวงอื่นๆ ที่ถูกมองว่าเป็น”กระทรวงบ๊วย” หรือไม่ หรือ” ครูใหญ่” และ”เสี่ยหนู” จะ”แก้เกม” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ที่ยิ่งนับวันยิ่งทำตัวให้”สังคม” ได้รับรู้ว่า เป็น”หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” และเป็น”นายกรัฐมนตรีตัวจริง” อย่างไร เพราะ”เสี่ยใหญ่”ของ”พรรคภูมิใจไทย” ไม่ใช่”ตะเกียงขาดน้ำมัน” แต่มีความ”พร้อมสรรพ”ของ”กำลังรบ” ทั้ง”ใต้ดินและบนดิน”  ดังนั้น วันนี้จึงยังไม่ใช่”บทสรุป” ว่า”ภูมิใจไทย” ต้อง”สยบยอม” ภายใต้”อุ้งมือ” ของ”ทักษิณ ชินวัตร”

อ่าน”หมากการเมือง”ของ”ผู้มีอำนาจนอกพรรคเพื่อไทย” ก็จะเห็น”ชันเจน” ว่า แม้แต่การใช้”ดีเอสไอ” เพื่อ” จัดการ” กับ” กลุ่ม “สว.สีน้ำเงิน” ในคดี”ฮั้วเลือกตั้ง” และการ”ฟอกเงิน” ก็เป็นการ”เดินเกม” ในการใช้”สว.เป็น”หมาก” ใน”กระดานหมากรุก” เพื่อให้ถึง”หมุดหมาย” ที่”พรรคเพื่อไทย”ต้องการนั้นการ”ยุบพรรคภูมิใจไทย” ที่”พรรคเพื่อไทย” มองว่าเป็น”พรรคคู่แข่ง” ใน”สนามการเมือง” และใน”สนามการเลือกตั้ง” ใน”สมัยหน้า” เพราะหาก”พรรคเพื่อไทย” ต้องการ”กวาดที่นั่ง” ใน”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ให้ได้”เป็นกอบเป็นกำ” ก็คือต้องไม่มี”พรรคภูมิใจไทย” เป็น”คู่แข่ง” และ”วันนี้” กลุ่ม”นักการเมือง” ใน”พรรคภูมิใจไทย” ก็มองเห็น”สัญญาณ” ที่เกิดขึ้น จึงเกิด”ขบวนการงูเห่า” ขึ้นแล้วไม่ต่ำกว่า “หนึ่งโหล”…..ดังนั้น สภาพของ”พรรคร่วมรัฐบาล” ณ วันนี้ จึงไม่มีการ”สนใจ” เรื่องของ”เศรษฐกิจ” เรื่องของ”ปากท้อง” เรื่องของความ”ทุกขเวทนา” ที่มาจาก”ข้าวยากหมากแพง” ของ”ประชาชน” ที่เป็นคน”ส่วนใหญ่” ของประเทศ เพราะ”พรรคการเมือง” ทุกพรรคที่เป็น”พรรคร่วม” ต่าง”แย่งชิงอำนาจ” และการ”ป้องกัน” อย่าให้”หลุด” จากการเป็น”พรรคร่วม” แม้ว่าจะอยู่อย่าง”กินน้ำใต้ศอก” ของ”พรรคเพื่อไทย”ก็ดีกว่าที่จะเป็น”ฝ่ายค้าน” ดังนั้น “ประชาชน” จึงไม่ได้ยิน”นักการเมือง”จาก”พรรคการเมือง” พูดถึง”ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน” ไม่มีการ”นำเสนอ” ว่าจะนำ”ประเทศชาติ” ออกจาก”หลุดดำ”ของความ”ขัดแย้ง” และการแก้ปัญหา” เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง”ของ”ประชาชน” เพราะ”ทุกพรรคการเมือง” ยกเว้น”พรรคประชาชน” ยังไม่พร้อมที่จะเห็นการ”ยุบสภา” เพื่อการ”เลือกตั้งใหม่” และที่สำคัญ”ทุกพรรคการเมือง” พยายามเร่ง”สะสมเสบียงกรัง”เพื่อความพร้อมในการ”เลือกตั้ง” อาจจะ เร็ว หรือ ช้า อยู่กับ”วิกฤต” ทาง”การเมือง” ที่”กลัดหนอง” และพร้อมที่จะเกิด”ฝีแตก” ทุกขณะ” อนาถนะ”ประเทศไทย” และ”ประชาชนไทย” ที่ต้องอยู่ภายใต้การ”บริหาร”ของ”รัฐบาล”ที่”ไร้เสถียรภาพ” และ”ไร้ประสิทธิภาพ” ทั้งของ” ผู้นำประเทศ” และ”เสนาบดี”ของ”แต่ละ”กระทรวง” “ อัตตาหิ อัตโนนาโถ” ท่องเอาไว้ สำหรับ”ประชาชน”ของ”ประเทศนี้”

เรื่องความ”ขัดแย้ง” ในเรื่องของ”เขตแดนไทย-กำพูชา” ทั้งด้าน”ช่องบก” และด้าน”ปราสาทตาเมือนธม”ซึ่งมีการ”ปะทะ”กันด้วย”กำลังอาวุธ” เกิดขึ้นแล้ว “ข่าวสาร” ของฝั่ง”กัมพูชา” ผู้นำประเทศโดยเฉพาะ”พ่อผู้นำ” อย่าง”ฮุนเซ็น” ประกาศ”กร้าว” ไม่มีการ”ถอนทหาร” และมี”ภาพ-ข่าว” การ”เพิ่มทหาร” และ”อาวุธ” เข้า”ที่มั่น” ใน”แนวชายแดน” ที่มีการ”ปะทะ” และมีกรณี”พิพาท” อย่าง”คึกคัก” ในขณะที่”ฝ่ายไทย” มีแต่ข่าว”ไม่สู้ดี” เช่น”รัฐบาล” สั่งให้มีการ”ถอนทหาร” จาก”พื้นที่พิพาท” ข่าวความ”ขัดแย้ง” ระหว่าง”กองทัพ” กับ”รัฐบาล” ในกรณีการ”ป้องกันอธิปไตย” ของ”ประเทศชาติ” ใน”ชายแดน”ไทย-กัมพูชา” ที่ดูเหมือนว่า”รัฐบาลเพื่อไทย” จะ”อ่อนข้อ” ให้กับ”กัมพูชา” จนกลายเป็นเรื่อง”ดราม่า” ที่”ประชาชน” ออกมาแสดงความ”ไม่เห็นด้วย” และ”โจมตีรัฐบาล” ซึ่ง”เท็จ จริง” อย่างไรไม่มีใครรู้ ว่า”เป็นจริง” หรือ”เป็นเท็จ”…..เหตุผลคือ ณ วันนี้” คนไทยส่วนหนึ่ง” ไม่”เชื่อมั่น” ใน”รัฐบาลเพื่อไทย” เพราะไม่”เชื่อมั่น” คนของ”ตระกูลชินวัตร” ที่ถูกมองว่ามีความ”ใกล้ชิด”กับ”ตระกูลของ” ฮุนเซ็น” และมี”ธุรกิจ” ที่เป็น”ผลประโยชน์ทับซ้อน” ดังนั้นคำพูดของ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี” และคำพูดของ”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม จึงไม่มี”น้ำหนัก” ให้”เชื่อถือ” ทั้งที่อาจจะเป็น”เรื่องจริง” นี่ต่างหากที่เป็น”วิกฤตศรัทธา” ระหว่าง”รัฐบาล”กับ”ประชาชน” ที่เกิดขึ้นหลัง”ทักษิณ ชินวัตร “ อดีต”นายกรัฐมนตรี กลับมา”เหยียบแผ่นดินไทย” สังเกตได้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นต้องมี”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”หัวเชื้อ”ที่”ลุกลาม”ดังนั้นตราบใดที่”คนไทยส่วนหนึ่ง” ยังมี”ความคิด” และ”ความรู้สึก” ที่”ไม่ดี”ต่อคนใน”ตระกูล ชินวัตร” ประเทศนี้จะไม่มีคำว่า”สงบสุข”

ที่สำคัญความ”ข้อแย้ง” หรือการ”พิพาท” ในแนวชายแดนที่ไม่ว่าจะเป็นที่”ตาเมือนธม” หรือ”ช่องบก” รวมทั้งการ”อ้างสิทธิ์” ในทะเลด้าน”เกาะกูด” จ.ตราด” ของ”กัมพูชา” ถ้า”กัมพูชา”ไม่ได้ดั่งที่”ต้องการ” เรื่องนี้ต้องมีการ”ฟ้องศาลโลก” โดย”กัมพูชา” ดังนั้นต้องถามว่า” รัฐบาล” และ”กระทรวงต่างประเทศ” รวมทั้ง”หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” มีการ”รับมือ” อย่างไร และในส่วนของ” กองทัพไทย”  และ”กองทัพบก” ที่มี”พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผบ.ทบ. มีความพร้อมแค่ไหนที่จะ”ปกป้องอธิปไตย” หากต้องมีการ”สู้รบ” เกิดขึ้น ซึ่ง “กัมพูชา” อาจจะเป็น”ประเทศ”ของ”มหาอำนาจ” ที่เป็น”สงครามตัวแทน” กับ”ประเทศไทย” ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น

ดังนั้น วันนี้ของ”ประเทศไทย” จึง”อีรุงตุงนัง” ทั้งปัญหา”ความขัดแย้ง” ใน”พรรครัฐบาล” ปัญหา”เศรษฐกิจ” ปัญหา”ปากท้อง” ที่เป็น”ความเดือดร้อน” ของ”ประชาชน” ในทุก”หย่อมย่าน” ปัญหาการ”ทุจริตคอร์รัปชั่น” ปัญหาความ”ขัดแย้ง” กับ”ประเทศเพื่อนบ้าน” ที่อาจจะไม่เฉพาะกับ”กัมพูชา” แต่อาจจะกับ”สปป.ลาว” และ”เมียนมา” ก็พร้อมที่จะเกิดได้ทั้งสิ้น ทั้งหมดเกิดที่”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตีผู้ไม่มี”ประสบการณ์” เกินที่จะ”รับมือ” ดังนั่นจึงอย่าได้”แปลกใจ”ที่จะมี”ยอดคุณพ่อ” อย่าง”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้”ไม่มีหน้าที่” ต้องออกมา”สทร.”ในทุกเรื่อง เพื่อ“สร้างความมั่นใจ” ให้เกิดขึ้น โดยไม่ได้คิดถึงความ”ผิด ถูก”ใน แง่ของ”กฎหมาย” และในแง่ของ”ความถูกต้อง” ความ”ชอบธรรม”ทาง”การเมือง” และ”ธรรมาภิบาล” หลายครั้งที่”บริบท”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” คือการ”ด้อยค่า” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” ที่เป็น”นายกรัฐมนตรี” และเป็น”ลูกสาว” ของตนเอง เรื่องนี้”คนไทย” พอ”รับไหว” และ”เข้าใจ” ใน”บริบท”ของความเป็น”พ่อ ลูก” ที่ต้อง”เป็นบ่วงห่วงใย” และต้อง”ปกป้องสายโลหิต” แต่ใน”สายตา”ของ”ชาวโลก” ของ”ประเทศต่างๆ” เขา”มอง”ประเทศไทย” และมอง”รัฐบาล”อย่างไร” การที่เขาจะมา”เจรจาความเมือง” มา”เจรจาการลงทุน” เขาจะต้องไป”เจรจา”กับใคร ระหว่าง”นายกรัฐมนตรี”กับ”พ่อของนายกรัฐมนตรี” นี่คือความ”สับสนอลหม่าน” ของ”รัฐบาล” ชุดนี้ ที่ล้วนแต่”ฉุดรั้ง” ให้”ถอยหลัง”ไปสู่”จุดจบ” ที่เร็วขึ้น

หมดจากเรื่อง”การเมือง”มาสู่เรื่องของ”การบ้าน” เรื่องความ”เดือดร้อน”ของ”เกษตรกร” ใน”ภาคใต้” ที่ความ”เดือนร้อน” ไม่ได้อยู่กับเฉพาะ”เกษตร” ที่เป็นชาว”สวนปาล์ม” และ” สวนยางพารา” แต่ได้”ลุกลาม” มายัง”เกษตรกร” ที่”ทำสวน” ปลูกพืช ต่างๆ เช่น” ฟักแฟง แตงกวา พริกสดพริกขี้หนู มะเขือ มะนาว” ที่ วันนี้ ราคา”ตกต่ำ” ทั้ง หมด เช่น “พริกขี้หนูสวน” จาก”กิโลกรัมละ 200 “ วันนี้เหลือไม่ถึง 100 บาท “ฟักเขียว” และ”ฟักทอง” เหลือ”กิโลกรัมละ 3 บาท” แม้กระทั่ง”แตงโม” ที่จาก”ผลมีราคา”กำลังกลายเป็น”ของยิกแจก” เพราะ”ราคาไม่คุ้มทุน”…..ส่วน”เอกชน” ที่เป็น”เจ้าของฟาร์มไก่ไข่” ใน”ภาคใต้” ก็ได้รับความ”เดือดร้อน” อย่าง”สาหัสสากรรจ์” เพราะมี”ขบวนการนำเข้าไข่ไก่” จาก”ประเทศมาเลเซีย” เข้ามาทาง”ภาคใต้” ทั้งด้านชายแดน จ.นราธิวาส ที่ อ.สุไหงโก-ลก และ อ.ตากใบ” วันละหลายคันรถบรรทุก10 ล้อ มี”โกดัง” ในการ”พักสินค้า” ที่” อ.เมืองยะลา เรื่องนี้”สุพจน์ เรืองรอด ณ หนองคาย” ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา” ช่วยออกโรง” สั่งการให้” หน่วยงานที่รับผิดชอบ” ทำการ”ตรวจสอบ” และ”จับกุม” ด้วยนะ….. ส่วนที่มีการ”นำเข้า” ทาง”ชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา ทั้งที่มากับ”รถบรรทุก 6 ล้อ” ผ่านทาง”ด่านสะเดา” และจาก”ฝีมือ”ของ”กองทัพมด” ผ่านทางชายแดนปาดังเบซาร์ ก็ฝากให้”โชตินรินทร์ เกิดสม” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา” แสดง”ฝีมือ” ใน”ฐานะ”ของ”พ่อเมือง” เพื่อช่วยเหลือ”ฟาร์มไก่ไข่” ในพื้นที่ของ” จังหวัดสงขลา” ที่ได้รับ”ผลกระทบ” ยอดขายหายไปแล้ว 30 %

เช่นเดียวกับ”ปศุสัตว์จังหวัดสงขลา และ”ปศุสัตว์เขต 9 “ ก็น่าจะถึงเวลาในการ”ออกโรง” เพื่อทำหน้าที่”ตรวจสอบ” เพราะ”ไข่ไก่” ที่มีการ”ลักลอบนำเข้าจากมาเลเซีย” อาจจะมี”เชื้อหวัดนก” ติดเข้ามา และหากมีการ”ระบาดเมื่อไหร่” เมื่อนั้นหมายถึง”หายนะ” ของธุรกิจการ”เลี้ยงไก่” ทั้ง”ไก่เนื้อ  ไก่ไข่” และที่”สำคัญ”  คือ”ประเทศไทย” ของเรา มีการ”ส่งออก” ทั้ง”ไก่ชำแหละ-แช่แข็ง” เป็น”อันดับต้นๆ” ดังนั้น ทั้ง “เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” และ”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” โดยเฉพาะ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง” ที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ”กรมศุลกากร” มีการ”สอบถาม”ว่าทำไม”นายทวาร” ที่รับผิดชอบ”ด่านศุลกากร” จึงมีการ”ปล่อยปละ”ให้เกิด”ขบวนการนำเข้าไข่ไก่” จาก”มาเลเซีย” เข้ามา”ตีตลาด”จนทำให้”ฟาร์มไก่” ใน”ภาคใต้” เสียหายแล้วกว่า 2,000 ล้าน โดยเฉพาะ “ตลาดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้” กลายเป็น”ตลาดไข่ไก่”ของ”มาเลเซีย”ไปแล้ว….ที่”สำคัญ” ไข่ไก่” เป็นสินค้าหากการ”นำเข้า” เช่นเดียวกับ” เนื้อวัว” รวมทั้งเป็น”สินค้าอันตราย” ที่อาจจะมี”เชื้อโรค” ที่เป็น”โรคติดต่อ”หรือ”โรคระบาด” จึงต้อง”ลักลอบ” เข้ามาเพียงอย่างเดียว และ ที่”น่าสังเกต” การ”ลักลอบนำเข้า” สินค้าภาคการ”เกษตร”จาก”มาเลเซีย” ไม่ได้มีเพียง”ไข่ไก่” แต่มีเรื่องของ”ปลากะพง” ที่ผู้”เลี้ยงปลากะพง” ใน”ภาคใต้” ก็ได้รับ”ผลกระทบ” และที่มีการ”ลักลอบ”ในการ”นำเข้า” อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” คือ”มะพร้าว” จาก”ประเทศอินโดนีเซีย ที่มา”ทางเรือเดินทะเล” และนำ”ขึ้นฝั่ง” ในพื้นที่ อ.ตากใบ” จ.นราธิวาส ก่อนที่จะมีการ”บรรทุกรถยนต์ 10 ล้อ” ไปส่งให้”โรงงานอุตสาหกรรม”ใน”ส่วนกลาง” เรื่องนี้ก็ต้องฝากให้” ว่าที่”ร.ต.ตระกูล โทธรรม” ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส”แสดงฝีมือ” เพราะการ”จับกุมขบวนการ” ที่ขน”มะพร้าว” เป็นคันรถ 10 ล้อ คงไม่ยากเหมือนกับการ”จับยาเสพติด” นะท่าน …..ส่วน รถบรรทุกสินค้าหลบหนีภาษี ทั้งที่เป็น”มะพร้าว” เป็น”ไข่ไก่” เป็น”ปลากะพง” สามารถ”ผ่านโรงพัก” ทุกแห่งอย่างไร ทำไมจึงไม่”ถูกจับ” ทำไม”ตำรวจ” จึง”มองไม่เห็น” ประเด็นนี้ต้องฝากไปยัง” พล.ต.อ.กิตต์รัฐ พันธ์เพชร์”  ผบ.ตร. ให้ทำการ”ตรวจสอบ”ด้วย

เรื่องของ”ไฟใต้” หลังจากที่”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฝ่ายความมั่นคง และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ลงพื้นที่ “ปัตตานี,นราธิวาส” เพื่อ”รับฟัง” ความคิดความเห็นปัญหาและอุปสรรค จาก “นายอำเภอ”และ”ผบ.พัน” หลัง”สหายใหญ่” หรือ”เสี่ยอ้วน” กลับไป สถานการณ์ของความ”รุนแรง” ก็ยังเกิดขึ้นเป็น”ระยะๆ” ในขณะที่”การจับกุม” ผู้ที่เป็น”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ” ที่ยัง”หลบซ่อน” ในพื้นที่ โดยการนำของ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผบ.กอ.รมน.ภาค 4 และ”พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9. ยังเดินหน้าอย่าง”เข้มข้น” มีการ”ปิดล้อม-ตรวจค้น” พื้นที่”เป้าหมาย” ที่เป็นที่”หลบซ่อน” ของ”บุคคลเป้าหมาย” โดยจับได้ทุกวันๆละ หลายๆคน ล่าสุด “เจ้าหน้าที่” สามารถ”จับกุม” ผู้ที่เป็นผู้”สังหาร” นายกอาร์ม” หรือ”พิเชษฐ์ ไทยทองนุ่ม” นายกเทศบาลตำบลรือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส โดยการปลอมเป็น”ผู้หญิง” บุกเข้าไป”สังหาร” นายกอาร์ม” ถึงห้องประชุมในโรงงาน” แฮนด์ อิน แฮนด์” อย่าง”อุกอาจ” เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2567 คดีนี้ เป็นที่”สนใจ” ของ”ประชาชน” และ”ตำรวจ สปก.จชต.” ใช้เวลาในการ”สืบสวนกว่า 6 เดือน จนสุดท้าย”ปิดล้อม” จับกุมทีม”สังหาร”ได้ครบ 5 คน ขาดเพียง “ผู้บงการ” ที่ต้องรอการ”สอบสวน” กลุ่ม”แนวร่วม” ว่าจะ”ซัดทอด” ถึงตัว”ผู้บงการ”หรือไม่

เรื่องการ”ป้องกันเหตุ” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังไม่มี”ประสิทธิภาพ” เท่าที่ควร เพราะ”งานการข่าว” ยัง”เข้าไม่ถึง”ความเคลื่อนไหวของ”แนวร่วม” และ”กองกำลังในพื้นที่”ของ”บีอาร์เอ็น” เนื่องจาก” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” ที่เป็นผู้”รู้ดี” ว่าในหมู่บ้านใครเป็น”แนวร่วม” ยังไม่กล้าให้ความร่วมมือกับ”เจ้าหน้าที่รัฐ” และ”นายอำเภอ” ที่เป็น”ผู้บังคับบัญชา”โดยตรงของ” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” ก็ยัง”ไม่มีน้ำยา”ในการที่จะทำให้”กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” ให้ความร่วมมือกับ”ฝ่ายปกครอง” อย่าง”จริงจัง” รวมทั้ง”กำนัน –ผู้ใหญ่บ้าน” ก็กลัว”อันตราย” จาก”บีอาร์เอ็น” จึงทำตัวเป็น”ไม่รู้ไม่ชี้” กับ”สถานการณ์”ของ”ไฟใต้” ด้วยการ”รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” งาน”ป้องกัน”จึงไม่ประสบความสำเร็จ …. แต่ถ้าดูในเรื่องการ”จับกุม” ผู้”ก่อเหตุ” ก็จะเห็นถึงความ”สำเร็จ” เพราะมีการ”จับกุม” อย่าง”ต่อเนื่อง” และในการ”จับกุม” มีความพร้อมของ”หลักฐาน” ที่เป็น”พยานวัตถุ” ที่”ศาลเชื่อ” และสามารถ”เอาผิด” กับ”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น”ได้ และการที่”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ถูก” จับกุม” เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ “บีอาร์เอ็น” ต้องใช้ความ”รุนแรง” ในการ”ก่อเหตุ” เพื่อ”บีบ” ให้” ส่วนกลาง” สั่งการให้”เจ้าหน้าที่” หยุดการ”ใช้”ปฏิบัติการ”ใน”เชิงรุก” เพื่อลดการ”ก่อการร้าย”ของ”บีอาร์เอ็น” ซึ่ง”บีอาร์เอ็น” เคยใช้”กลยุทธ”นี้ได้ผลมาแล้ว ในหลายรัฐบาล  แต่ครั้งนี้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เดินหน้าในการ”ปิดล้อม-ตรวจค้น –จับกุม” โดยไม่”สนใจ” ใน”คำขู่” ของ”บีอาร์เอ็น” ในการที่จะ”ฆ่าครู-ฆ่าพระ-ประชาชน” ที่เป็น”กลุ่มเปราะบาง” ทำให้”บีอาร์เอ็น” เริ่ม”หันรีหันขวาง” เพราะ”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ” ถูกจับทุกวัน ซึ่งเมื่อ”แนวร่วม” และ”กองกำลังหร่อยหลอ”ลงไปทุกวัน ย่อม”กระทบกระเทือน” กับการ”ขับเคลื่อน”ทั้งงาน”การเมือง” และ”การทหาร” อย่างแน่นอน ถ้า” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มีแผนในการ”รักษาความปลอดภัย” ให้กับ”กลุ่มชาวพุทธ-ครู-พระ” ให้มีความ”ปลอดภัย” และ”เดินหน้า” ในการ”จับกุม” อย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้ จะสร้างความ”อ่อนแอ” ให้เกิดขึ้นกับ” บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่

ดังนั้น จึงไม่เห็นด้วยในการ”เปลี่ยนม้ากลางศึก” ด้วยการย้าย “พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เพราะไม่สามารถ”ป้องกันเหตุ”หรือ”ลดจำนวน”ของการ”เกิดเหตุ”ในพื้นที่ เพราะ”ปัจจัย”การก่อเหตุเพิ่มขึ้น มาจาก”หลายปัจจัย” โดยเฉพาะ”รัฐบาล” ที่ไม่มี”ยุทธศาสตร์” ที่”ชัดเจน” กับการ”ดับไฟใต้” และ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ” สมช.”ที่ยังไม่มี”ยุทธศาสตร์” ที่”เป็นจริง” ในการ”ปฏิบัติ” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้”และ”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ “เสนาบดีกลาโหม” ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่อง”การพูดคุย” กับ”บีอาร์เอ็น” หรือไม่  “ปัจจัย”การที่จะ”พูดคุย”หรือไม่”พูดคุย” ต้อง”ชัดเจน” อย่าให้กลายเป็น”เงื่อนไข” ของการ”ก่อเหตุ” ด้วยความ”รุนแรง” ในพื้นที่ ดังนั้นการที่จะ”เปลี่ยนม้ากลางศึก” จึงไม่ได้ทำให้ “สถานการณ์” ของ”ไฟใต้” ดีขึ้นแต่อย่างใด แต่จะเป็นการ”เดินเข้าทาง” ของ”บีอาร์เอ็น” มากกว่า เพราะ”บีอาร์เอ็น” ต้องการให้มีการ”เปลี่ยนตัว” ให้มีการแต่งตั้ง”แม่ทัพภาค 4 “ ที่เป็น”สายเหยี่ยว” หรือ”ฮาร์ดคอร์” เพื่อให้มีการ”ใช้ความรุนแรง” มีการ”วิสามัญฆาตกรรม” เกิดขึ้นในพื้นที่ เพราะ 8 เดือน ที่”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” มาทำหน้าที่”แม่ทัพภาคที่ 4” ไม่มีการ”วิสามัญ”เกิดขึ้น ทำให้”การแห่ศพ” เพื่อ”ปลุกระดม” ของ”บีอาร์เอ็น” ไม่สามารถ”เดินหน้า” อย่าง”ต่อเนื่อง” ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ”ยกระดับ” ในการ”รักษาความปลอดภัย” ให้กับ”ประชาชน” กลุ่ม”เปราะบาง” ให้ได้ และ”เดินหน้า” ในการใช้”กฎหมาย” เพื่อ”จับกุม” ทั้ง”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ” อย่าง”ต่อเนื่อง” โดยไม่ให้”ราคา”กับ”คำขู่” ของ” บีอาร์เอ็น” สิ่งที่ต้อง”ระมัดระวัง” มีอย่างเดียวคือต้องใช้”กฎหมาย” ให้อยู่ในกรอบของ”กฎหมาย” ไม่มีการ”ละเมิด” หรือใช้”กฎหมู่” ที่ไม่ถูกต้อง เพื่อไม่ไปติด”กับดัก” ของ”ปีกทางการเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่มี”ภาคประชาชน–เอ็นจีโอ-กลุ่มสิทธิมนุษย์ชน ที่รอ”เงื่อนไข” ในการ”โจมตี” การ”ปฏิบัติการ”ของ” เจ้าหน้าที่” อยู่ตลอดเวลา

มาเลเซียมีการ”หยุดราชการ” หลายวัน เพื่อ”เฉลิมฉลอง”วันคล้าย”วันเกิดของอากง” ทำให้การ”ท่องเที่ยว”ของ”หาดใหญ่” จ.สงขลา มีความ”คึกคัก” อย่างยิ่ง  แต่ที่”น่าเกลียดน่าชัง” คือเรื่องของ”โรงแรม” ใน “หาดใหญ่” ที่ “ฉวยโอกาส” ในการ”ฟันค่าห้อง” จากราคา”ปกติ” คืนละ 1,500 บาท เป็น 3,000 บาท  สร้างความ”เดือดร้อน” ให้กับผู้ที่มาทำ”ธุรกิจ”ใน”หาดใหญ่” เรื่องนี้”สมาคมโรงแรมจังหวัดสงขลา” และ”สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจท่องเที่ยว” จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร และ หน่วยงานราชการ ที่รับผิดชอบ จะ ดำเนินการอย่างไรกับการ”ฉวยโอกาส” และการ”ค้ากำไร”แบบ”ไร้มาตรฐาน”ของ”ธุรกิจการท่องเที่ยว” อย่างไร ก็ขอฝาก” โชตินรินทร์ เกิดสม” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ให้ดำเนินการด้วย

นักการเมืองในภาคใต้ เป็นข่าว”ฉาวโฉ่” เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตั้งแต่การ”ใช้เงิน” จากการทำ”ธุรกิจสีเทา” ในการ”ซื้อเสียง” หลัก 140 ล้าน เพื่อการมาได้ของการเป็น” สส.” การ”สร้างเครือข่าย” บ่อนการพนันออนไลน์ ระหว่าง” เครือข่ายนักการเมือง” ทั้ง”ระดับชาติ” และ”ระดับท้องถิ่น” มีการ”เชื่อมโยง”กับ”ขบวนการค้ายาเสพติด” และการ  ”เหิมเกริม” ในการใช้”อิทธิพล” และการใช้”อำนาจเงิน” ในการซื้อ” ผู้รักษากฎหมาย” ทำผิด โดยไม่ต้อง”รับผิด” ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ทำร้าย”ลูกหนี้” และ”ประชาชน” ที่”ไม่ชอบหน้า” กลายเป็นเรื่อง”อื้อฉาว”ของ “จังหวัดสงขลา”….และ ล่าสุด เรื่อง”ฉาวโฉ่” ก็ ลุกลาม”ไปยัง”จังหวัดนครศรีธรรมราช” เมื่อมี”นักการเมืองใหญ่”ใช้”อำนาจบาตรใหญ่” ทำร้าย”ผู้รับเหมา” มีการ”แจ้งความ” ลง”บันทึกประจำวัน” ระบุชื่อ แซ่ ของ”ผู้แทนราษฎร” และ”สมาชิกสภาจังหวัด” ที่ สภ. ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช   หลังเกิดเหตุมีการ”วิ่งเคลียร์” ทั้งจาก” แม่ของนักการเมือง” และ”นายตำรวจระดับนายพล” ในพื้นที่ เพื่อ”บีบเจ้าทุกข์” ให้มีการ”ถอนแจ้งความ”…..เรื่องนี้ไม่ได้”แตกต่าง”กับเรื่องที่”สิรดนัย พลายด้วง “ สั่ง”ลูกสมุน” ทำร้าย”เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ที่ “จังหวัดสงขลา” แต่ทำไม”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” จึงมีความเป็น”สองมาตรฐาน” ในการ”ดำเนินคดี” เรื่องนี้ต้องถาม” พล.ต.ท.สุรพงศ์ ถนอมจิตร” ผบช.ภ.8 และ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์” ผบ.ตร. ว่าทำไมจึงไม่ใช้”มาตรฐาน”เดียวกันในการ”ดำเนินคดี” กับผู้ที่เป็น”นักการเมือง” ที่ทำผิดกฎหมาย ด้วยการ”ทำร้ายประชาชน” ให้เหมือกับที่”ทำร้ายตำรวจ”ที่ จ.สงขลา…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาปรับ ‘ครม.’หลังผ่านงบ 69 จริงหรือ ‘ทักษิณ’สั่งยึดมหาดไทยคืน

01 มิ.ย. 2025
101

ภาพใหญ่ของ”การเมือง” ยังเต็มไปด้วยความ”ขัดแย้ง” ระหว่าง”พรรคร่วมรัฐบาล”ด้วยกัน ทั้งในเรื่องการเตรียม”ปรับครม.” ซึ่งเชื่อว่าจะมีการ”ปรับเปลี่ยน” ใน”ตำแหน่ง” ของ”กระทรวงสำคัญ” เช่น” กระทรวงของพรรคเพื่อไทย” อย่าง”กระทรวงพาณิชย์” และ”กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา” เป็นต้น รวมทั้ง”ข่าวลือ-ข่าวปล่อย” ว่าจะมีการยึด”กระทรวงมหาดไทย” กลับจาก”พรรคภูมิใจไทย” ที่”เสี่ยหนู” หรือ” อนุทิน ชาญวีรกุล”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” “รองนายกรัฐมนตรี” นั่งเป็น” เสนาบดี”อยู่ ในขณะที่” อนุทิน ชาญวีรกุล” บอกกับ” นักข่าว” ว่า”ไม่มี” และเป็นไปไม่ได้ เพราะ” เพื่อไทย” กับ”ภูมิใจไทย” วันนี้ยัง”ซี้ปึ๊ก” กันอยู่ ไม่มีการ”แตกแยก” อย่างที่”เป็นข่าว” แต่คนที่”เสพข่าว” ก็ไม่ได้”กินแกลบกินรำ” ถึงจะไม่ได้”กินข้าวหอมมะลิ” แต่ก็”กินข้าวสาร” กันทั้งนั้น “สังคม” ไม่ได้ดูเฉพาะ”บริบท” ของ”การเมือง” ที่การเป็น”พรรคร่วมรัฐบาล” แต่เขาดู”บริบท” ของการที่”เพื่อไทย” ทำการ”ไล่บี้” สมาชิกวุฒิสภา ที่เป็นสาย”สีน้ำเงิน” ซึ่งการ”เดินหมาก” ของผู้มี”บารมี”นอก”พรรคเพื่อไทย”ในเรื่องการ”ไล่บี้ สว.” ในเรื่องการ”ฮั้วเลือกตั้ง” และการให้”ดีเอสไอ.” ตั้งข้อ”กล่าวหา”ในข้อหา”อั้งยี่ซ่องโจร” เพื่อต้องการ”ยุบพรรคภูมิใจไทย” ซึ่งเป็นเพราะการเมืองที่เป็น”คู่แข่ง” ของ”พรรคเพื่อไทย” และในเมื่อ”พรรคภูมิใจไทย” ก็ไม่ใช่”ตะเกียงขาดน้ำมัน” ทั้ง” อนุทิน ชาญวีรกุล” หัวหน้าพรรค และ”เนวิน ชิดชอบ”ผู้มี”ฉายาครูใหญ่” ผู้มี”บารมี” นอกพรรคภูมิใจไทย” ก็มี”ฝีมือ”และ”เชิงชั้น” ทาง”การเมือง” ที่ไม่ได้”ด้อยกว่า” ผู้มี”บารมี” นอกพรรคเพื่อไทยอย่าง”ทักษิณ ชินวัตร” แต่อย่างใด ดังนั้น วันนี้จึงไม่ใช่”บทสรุป” ครั้งสุดท้ายว่าใครจะ”เป็นหมู่” หรือใครจะ”เป็นจ่า” หลังการผ่าน”กฎหมาย” ที่เป็น”งบประมาณแผ่นดิน” แล้ว จึงจะเห็นการ”ประดาบ” เป็นครั้ง”สุดท้าย” ระหว่าง”ผู้มีบารมี”ของ”พรรคเพื่อไทย” และ”ภูมิใจไทย” คอการเมือง โปรด”ติดตาม”แบบไม่”กระพริบตา” เพราะ”การศึกระหว่างสองพรรคในครั้งนี้”ใหญ่หลวง” นักนั่นเอง

ในขณะที่” บริบท”ของ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี คือการ”เดินทาง”ไปเยือนประเทศต่างๆ”เช่น”อังกฤษ” และ”โมรอกโค” เพื่อการประสานงานในเรื่อง”เศรษฐกิจ”และ”การ”ลงทุน” การ”ค้าขาย” ซึ่ง”เจ้าตัว” ปฏิเสธ” ว่าไม่ได้ไปเจอกับ” อาปู” หรือ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ที่ถูก”ศาลปกครองสูงสุด”  ทำการ”พิพากษา” ให้ต้อง”ชดใช้” เป็นเงินกว่า “หนึ่งหมื่นล้าน” ในความผิดเรื่องการ”ขายข้าว” ที่เรียกว่า”จีทูจี” ที่ไม่เป็น”ความจริง” ซึ่ง”จริงเท็จ” เป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องดูที่”ผมแสกกลาง” ของ”นายกรัฐมนตรีก็ได้ เพราะ”ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”ไม่รู้ในวันนี้ ก็ต้องรู้ในวัน”พรุ่งนี้”…..และหลังการกลับจากเยือน”อังกฤษ-โมรอกโค” นายกรัฐมนตรี ก็บินไปยัง”มาเลเซีย” เพื่อประชุมกลุ่ม”ประเทศอาเซียน” ซึ่งถือเป็น”ภารกิจ”สำคัญ”ในฐานะที่”ประเทศไทย”อยู่ในกลุ่มของ”อาเซียน” ที่ควรจะมี”บทบาท”ที่มากกว่าใน”ปัจจุบัน” ซึ่งใน”ปัจจุบัน” ประธานอาเซียน” คือ” อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรี “ประเทศมาเลเซีย” และที่”สำคัญ”คือ”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”ที่ปรึกษา” ของ”ประธานอาเซียน” แต่ ดูๆไป การเป็นที่”ปรึกษาประธานอาเซียน” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ก็ไม่ได้ทำให้”ประเทศไทย” มีความ”โดดเด่น”แต่อย่างใด….หรืออาจจะต้องให้”ผ่านพ้น” วันที่ 13 มิถุนายน” ที่ใกล้จะถึงนี้เสียก่อน ถ้าวันที่ 13 มิถุนายน “ทักษิณ ชินวัตร” สามารถ”ผ่านพ้น” อย่างฉลุย” สังคมไทย ก็จะเห็น”บทบาท” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ในเรื่องของ”การเมือง”และเรื่องของ”เศรษฐกิจ” มากขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่า”ทักษิณ ชินวัตร” รู้ตัวเองว่า ก่อนที่จะถึงวันที่ 13 มิถุนายน” ควร”เซฟตนเอง” อย่างไรจึงไม่ตก”เป็นเป้า” ให้ถูก”วิพากษ์วิจารณ์”

ทั้งหมดเป็นเรื่อง”การเมือง” แต่เมื่อกลับมาดูเรื่องของ”การบ้าน” เรื่องที่”สำคัญ”คือการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ของ”ประชาชน” ที่”รัฐบาล” เพื่อ”พรรครวม” ต้อง”ยอมรับ”ถึงความ”ล้มเหลว” ที่เกิดขึ้น เพราะ”รัฐบาลผสม” ชุดนี้” บริหารประเทศ” มาแล้วเกือบจะ 2 ปี มี”นายกรัฐมนตรี” มาแล้ว 2 คน คนแรกคือ”เศรษฐา ทวีสิน” ที่เป็น”กูรู” ทาง”เศรษฐกิจ” ก็ไม่สามารถ”นำพา” ประเทศไทย” ออกจาก”หลุมดำ” ทาง”เศรษฐกิจ” และไม่สามารถ”แก้ปัญหา” ที่เกี่ยวกับ”ปากท้อง”ของ”ประชาชน” ที่เป็นคนส่วนใหญ่” ของ”ประเทศไปได้” ในขณะที่”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 2 อย่าง”แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งเป็น”นายกรัฐมนตรี”ที่เรียกว่า”บวก 2 “ เพราะมี”ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็น”พ่อ”ช่วย”ผลักดัน” อยู่ทั้ง”เบื้องหน้า” และ”เบื้องหลัง” ก็ยังไม่สามารถนำ”เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศไทย” ให้ขึ้นมาจาก”หลุมดำ”ได้”สำเร็จ” แต่กลับ”ดำดิ่ง”ที่เรียกว่า”ลงลึก” กว่าเดิม “นโยบาย” ที่ออกมาจาก”คณะ ครม.เศรษฐกิจ” ทุกอย่าง ไม่ประสพความสำเร็จ แม้แต่”นโยบายเดียว” แม้แต่การ”แก้หนี้ครัวเรือน”ที่เรียกว่า”คุณสู้ เราช่วย” ก็ไม่ได้ทำให้”หนี้คัวเรือน”ลดน้อยลงแต่อย่างใด  วันนี้” บ้าน” และ”รถยนต์” ที่อยู่ในระหว่าง”การ”ผ่อน” และการ”เช่าซื้อ”ถูก”สถาบันการเงิน” ยื่น”โนติ้ส” กันถ้วนหน้า และถูก”ยึด”ไปแล้วเป็นจำนวนมาก เพราะ”เจ้าของ”ไม่มี”ปัญญาผ่อน” ในขณะที่”สถาบันการเงิน” ยิ่งเพิ่มความ”ระมัดระวัง” ในการ”ปล่อยกู้” ให้กับ”นักลงทุน” ขนาดเล็ก และ ขนาดกลาง ยิ่งกลายเป็นการ”ซ้ำเติม” ให้มีการ”ปิดกิจการ” มากขึ้น

จำนวน”คนตกงาน” และจำนวน”คนว่างงาน” เพิ่มจำนวน กลายเป็น”ปัญหาปากท้อง” เป็นการเพิ่มจำนวน”คนยากจน” ใน”สังคมไทย” ที่ส่ง”ผลกระทบ”กับความ”มั่นคง”ทาง”ครัวเรือน” ลูกๆ อาจจะ”ไปต่อ” ในเรื่อง”การศึกษา”ไม่ได้”ทรัพย์สิน” ที่พอมีอยู่ถูก”ขาย”ถูก”จำนอง จำนำ” เพื่อมา”ใช้จ่าย” และให้การ”ศึกษา” กับลูก ที่เห็นได้ชัด”เปิดภาคเรียน” ที่ผ่านมา “โรงรับจำนำ” กับ”เงินกู้นอกระบบ” คือ”ที่พึ่ง” ของ”คนเป็นจำนวนมาก หลายคน”ถอดจีวร” จาก”พระเครื่อง” ที่”ห้อยคอ” และเป็นที่”หวงแหน” ไปขายที่”ร้านทอง” และหากทุกอย่างยังไม่”เลวร้ายลง” ต่อไป”พระเครื่อง” ที่”หวงแหน” คงต้อง”เปลี่ยนมือ”ไปอยู่กับ”คนมีเงิน” หรือ”เซียนพระ” นี้กระมั่งที่เรียกว่า”คุณพระช่วย”…..ส่วนใครจะเคย”คาดหวัง” เรื่องที่”รัฐบาล” จะ”แจกเงิน” คนละ 10,000 บาท สำหรับคนที่อายุ 16 ปีขึ้นไป วันนี้ก็”ผิดหวัง” เพราะ”รัฐบาล” ประกาศ”ชัดเจน” ว่า”จบแล้ว” ในเรื่องของ”เงินแจก” หรือเงิน”ดิจิตัล” เพราะต้องเอา”งบประมาณส่วนนี้”ไปแก้”ปัญหา”ของ”ประเทศที่”รุมเร้า” ในส่วนอื่นๆ ที่”หนักหนาสาหัส” มากกว่าการ”แจกเงิน”และ”แน่นอน”ว่า ต้องมี”ผู้คน” ที่อยู่ใน”ข่าย”ได้”รับแจกเงิน” ต้อง”เสียความรู้สึก” กับ”พรรคเพื่อไทย” เป็น”จำนวนไม่น้อย” และผลที่ตามมาคือ”คะแนนเสียง”ของ”เพื่อไทย” ที่ต้อง”หายไป” ในการ”เลือกตั้ง” ครั้งหน้า ไม่มาก ก็ไม่น้อย

เรื่องความ”เดือดร้อน” ของ”พี่น้องเกษตรกร” ที่มีความ”ชัดเจน” ว่าจะออกมา”เคลื่อนไหว”คือ”ชาวสวนปาล์ม” ในหลายจังหวัดของ”ภาคใต้” เพราะ”ผลผลิต”ที่”ตกต่ำ” จาก”กิโลกรัมละ 11-12 บาท วันนี้ นอกจากเหลือเพียง 4 บาท แล้ว ยังไม่มี”ที่ขาย” เพราะ”ลานเท” ที่รับซื้อ” ผลปาล์ม” มีการ”ปิดตัว”ไปเป็นจำนวนมาก เพราะเปิดไปก็”ขาดทุน” จากการที่”โรงงาน”กดราคา” รวมทั้ง”หยุดการรับซื้อ”  ข่าวล่าสุด คือการ”รวมตัว”ของ”เกษตรกรชาวสวนปาล์ม”ในการ”นำผลปาล์ม” ไป”เททิ้ง” ที่”หน้าทำเนียบ” เพื่อ”ประท้วง”การที่”รัฐบาล”ไม่สามารถ”แก้ปัญหา” ให้กับ”เกษตรกรชาวสวนปาล์ม” ตามที่”เรียกร้อง” ข้อ”เปรียบเทียบ” คือ” อินโดนีเซีย” และ”มาเลเซีย” เป็น สองประเทศ ที่มี”ผลผลิต” เป็นอันดับ 1 เละ 2 ของโลก ไม่ได้รับความ”เดือดร้อน” จาก” ผลผลิต” แต่อย่างใด เรื่องนี้”กระทรวงที่ต้อง”รับผิดชอบ” คือ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” แต่กลับ”เงียบกริบ” เหมือน”รัฐมนตรี”ไม่มี”ตัวตน”……ส่วนอีก”กระทรวง” ที่ต้อง”รับผิดชอบ”คือ”กระทรวงพาณิชย์” ที่ถูก”ประชาชน”ผู้”บริโภค” น้ำมันปาล์ม” ตั้งแต่”แม่บ้าน” ถึง”แม่ค้าพ่อค้า” ที่ “ขายอาหาร” ว่าทำไมในเมื่อ”ราคาผลปาล์ม” ตกต่ำ แต่”ราคาน้ำมันปาล์ม” ที่”แพงขึ้น”ขวดละ 10 บาท เมื่อ 2 ปีก่อน จึงไม่มีการ”ลดราคา” เรื่องนี้”พิชัย นริททะพันธ์” เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” น่าจะมี”คำตอบ” ให้กับ”ประชาชน” หรือ”หน้าที่”ของ” เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” มีแค่การเป็น”วอลเปเปอร์” ให้กับ”นายกรัฐมนตรี” ในการ”แถลงข่าว”กับ”สื่อมวลชน” เท่านั้น

ส่วน”ชาวสวนยาง” ยังต้อง”อดทน” กับ”ราคาตกต่ำ” ต่อไป โดยไม่มีการ”เคลื่อนไหว” เป็นการยอมรับ”ชะตากรรม”ที่เกิดขึ้น และเลือกที่จะ”ต่อสู้”ด้วยตนเอง แทนการออกมา”ประท้วง” เพื่อหมด”ศรัทธา” กับ”เสนาบดี” ทั้ง”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” รวมทั้ง”กระทรวงพาณิชย์” ก็ถือว่าเป็น”เคราะห์กรรม” ของ”เกษตรกรชาวภาคใต้” แต่ที่”เจ็บปวด”ไปกว่านั้น สำหรับ”เกษตรกรชาวภาคใต้”คือ”วิกฤต”ของ”เกษตรกร” ที่เกิดขึ้นไม่มีเสียงของ”ผู้แทนราษฎร” ว่าจาก”พรรคการเมืองไหน” ดังขึ้นแม้แต่”แอะเดียว” โดยเฉพาะ”ประชาธิปัตย์” ที่เคยเป็น”พรรคของคนใต้”……ในขณะที่”คน”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่าง”ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” ส่งเสียงไปถึง” วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ว่าในตอน”หาเสียง” ไหนว่าถ้าได้เข้าร่วม”รัฐบาล” จะทำให้”ราคายาง”กิโลกรัมละ 80 บาท  ชาวบ้านจำได้ว่า”นั้นมันตอนหาเสียง”  ส่วนหลังเป็น”รัฐบาล” “นักการเมือง ย่อมมี”เหตุผล” อีกมากมาย ที่จะบอกว่า ทำไมจึงไม่สามารถทำตามในตอนที่”หาเสียง” กับ”ประชาชน” เพราะขนาด”นายกรัฐมนตรี” ที่”ตะโกน”บนเวที”หาเสียง”ว่า”เลือกเพื่อไทย” ทุกคนจะ”มีกิน มีใช้ มีศักดิ์ศรี” สุดท้ายก็เป็นแค่”ลมปาก” ที่ไม่”เป็นจริง” และไม่ต้อง”รับผิดชอบ” กับ”คำพูด” ใน”ตอนหาเสียง” และ”คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ”กกต.” ก็ไม่ได้”เอาผิด” กับ”พรรคการเมือง”เหล่านั้น…. ในขณะที่”เกษตรกร” ภาคใต้ ที่”ปลูกมังคุด,เงาะ,ลองกอง” และ”ทุเรียน” ก็ได้แต่”บนหลวงพ่อทวด” แทนการฝาก”ความหวัง”กับ”รัฐบาล”ว่า”ปีนี้ขออย่าให้”ราคาผลผลิตตกต่ำ” และขอให้การ”ส่งออก” อย่ามี”ปัญหา” อย่างที่”เกิดขึ้น” กับ”เกษตรกร”ของ”ภาคตะวันออก”ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

เรื่องของ”ไฟใต้” หลังการ”เดินทาง” ลงพื้นที่”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้”ของ”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” พร้อมคณะ ที่เดินทางไปพบ”นายอำเภอ และ”ผู้บังคับกองพัน” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เพื่อการ”รับฟังปัญหา” ให้”รอบด้าน” ก็ถือเป็นเรื่อง”ที่ดี” ที่มีการ”เปิดโอกาส” ให้ผู้”ปฏิบัติ” ในพื้นที่ได้มี”โอกาส” บอกถึง”ปัญหา” และ”อุปสรรค” ที่เกิดขึ้น  แต่นั้นแหละ ใน”ระบบราชการ” ทั้ง”นายอำเภอ” และ”ผบ.พัน” กล้าที่จะ”พูดความจริง” หรือไม่ อย่างไร เพราะ”ความจริง” ในพื้นที่ส่วนหนึ่งก็มาจาก” นายอำเภอ” และ” ผบ.พัน” ที่”ขาดความรับผิดชอบ” กับการ”แก้ปัญหา” ที่”ตนเองรับผิดชอบ” เพราะ”ส่วนใหญ่” โยนให้เป็น”หน้าที่”ของ”ผู้ใต้บังคับบัญชา” ระดับ”ล่าง” ที่รองลงไป …..ทุกอำเภอถ้า”นายอำเภอ”กับ”ผบ.พัน” ร่วมมือกันแบบ”ราชการ” โดยไม่มีความ”จริงใจ” ในการ”แก้ปัญหา” ร่วมกัน ต่างคน”ต่างรับผิดชอบ” ในส่วนของตนเอง การที่จะมีความ”สำเร็จ” ในการ”ดับไฟใต้” ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะ”นายอำเภอ” ที่เป็น”ฝ่ายปกครอง” หลายพื้นที่ซึ่ง”อาสารักษาดินแดน” ถูก”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ทำการ”ปลิดชีพ” ตายเป็น”ใบไม้ร่วง” ไม่ได้มี”แผน” ในการ”ป้องกันชีวิต”ของ”อาสารักษาดินแดน” แต่อย่างไร นอกจาก”จ่ายเงินเยียวยา” ให้กับ”ครอบครัวคนตาย” และหลังจากนั้นก็”รับสมัครอาสาสมัคร”คนใหม่ เพราะมี”คนรอคิว” ในการเป็น”อาสารักษาดินแดน” อยู่ในทุกอำเภอ โดยการ”ประสานงาน”กับ”กำนัน” และ”ผู้ใหญ่บ้าน ประสานงานกับ”กำนัน” และ”ผู้ใหญ่บ้าน” และผู้ที่ต้องการเป็น”อาสารักษาดินแดน” ก็พร้อมที่จะ”จ่ายเงิน” เพื่อ”ซื้อเครื่องแบบ” ตั้งแต่ 150,000 บาท ถึง 200,000 บาท  เพื่อ”แลกกับ” เงินเดือนๆละ 15,000 บาท พร้อม”เบี้ยเลี้ยง” ที่รวมแล้วไม่ต่ำกว่าเดือนละ 18,000  บาท นี้คือ”เรื่องจริง” ของการ”บรรจุอาสาสมัครรักษาดินแดน” ที่”กรมการปกครอง” ไม่เคยให้ความ”สนใจ” ที่จะ”แก้ปัญหา” ที่เกิดขึ้น ก็ต้องติดตามดูว่า หลังจากที่”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” กลับจาก”จังหวัดชายแดนภาคใต้”แล้ว” สถานการณ์” ของ”ไฟใต้” จะ”เบาบาง”ลงหรือไม่ เพราะ 2 วัน ที่”ภูมิธรรม” เวชยชัย” อยู่ในพื้นที่”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ไม่มีการ”ก่อเหตุ” ให้มีการ”ระคายเคือง” แต่อย่างไร แต่ฟังจาก”ปากคำ”ของ” รองนายกรัฐมนตีฝ่ายความมั่นคง”แล้ว” หาก”สถานการณ์” ในพื้นที่”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ยังคง”รุนแรง”ต่อไป” ตำแหน่ง”แม่ทัพภาคที่ 4 และ”ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ของ”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” ยังจะ”ง่อนแง่น” เพราะไม่สามารถ”ลดความรุนแรง” ที่เกิดขึ้น ก็ต้องดูดว่า” รองแม่ทัพ,เสนาธิกา,ผบ.พล ,ผบ.พัน” ตลอดจน”ผบ.ร้อย” ในพื้นที่จะ”สามัคคีชุมนุม” ในการ”ป้องกันเหตุ” อย่างไรเพื่อมิให้”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ทำการ”เคลื่อนไหว”ในการ”ก่อเหตุ” ในพื้นที่”สามจังหวัด”และ”สี่อำเภอ”ของ”จังหวัดสงขลา”

แต่ที่ขอ”ชื่นชม” คือการ”ติดตาม” เพื่อ”จับกุม” กลุ่มผู้”ก่อเหตุ” ทั้งที่เป็น”แนวร่วม”  ที่ยัง”หลบซ่อน” ในพื้นที่ ซึ่ง” ทหาร และ ตำรวจ” ติดตาม”ปิดล้อม” และ”จับเป็น”ได้เป็น”จำนวนมาก” และมีการ”ปฏิบัติการ”แบบ”เดินหน้า” โดยไม่”สนใจ” กับการ”ข่มขู่”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่จะ”ตอบโต้” ด้วยการ”ปลิดชีพ” เป้าหมายที่”อ่อนแอ” ในพื้นที่…..นโยบาย”จับเป็น” และ”จับต่อเนื่อง” จะทำให้”มวลชน” ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่”ลดน้อยลง” เป็นการ”ทำลาย” ให้เกิดความ”อ่อนแอ” ของ”เครือข่าย” ขบวนการของ”บีอาร์เอ็น” ทั้งในเรื่องของการ”จัดตั้ง” และการ”บ่มเพาะ” แต่สิ่งที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้อง เพิ่มการ”รักษาความปลอดภัย” ประชาชนในกลุ่ม”เปราะบาง” และ”อ่อนแอ” เพราะ”วิชามาร” ที่”บีอาร์เอ็น” จะนำออกมาใช้คือ” การ”กระทำ”ต่อ”เป้าหมายอ่อนแอ” เพื่อ”ตอบโต้” การ”เดินหน้า”ในการ”จับกุม” คนของ”บีอาร์เอ็น” เชื่อเถอะ” เรื่องการ”ตอบโต้”เจ้าหน้าที่รัฐของ”บีอาร์เอ็น” ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”ประมาท”มาได้ในทุกพื้นที่…..ที่”สุดยอด”ของ”ปฏิบัติการ” ของ”ตำรวจ,ทหาร” ในครั้งนี้คือการ”ปิดล้อม” ในพื้นที่” อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส”และ”จับกุม 4 แนวร่วม” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่เป็น”ทีมสังหาร” นายกอาร์ม” อดีต”นายกเทศบาลตำบลรือเสาะ” อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เพราะ คดีนี้ คนในพื้นที่ต่าง”ติดตาม”ความคืบหน้ามาโดยตลอดว่า”เจ้าหน้าที่”จะ”จับกุม”กลุ่ม”แนวร่วม” กลุ่มนี้ได้เมื่อไหร่  ส่วนจะจับ”ผู้บงการ” ได้หรือไม่ อยู่ที่การ”สอบสวน”ผู้ที่ถูก”จับกุม” ซึ่งเชื่อว่า”ไม่เหนือบ่ากว่าแรง” ของ”ชุด”สอบสวน” ของ”ตำรวจ” และหวังว่า”ชาวรือเสาะ” คงจะได้เห็น”หมายจับ”ผู้ที่เป็น”จอมบงการ” ในเร็วๆนี้

ส่วนเรื่องการ”ต่อยอด” เพื่อการ”ขับเคลื่อน” การ”พูดคุยสันติสุข” ฟังจากปากของ”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี ฟังว่า ยังต้องรวบรวม”รายละเอียด” ที่”รับฟัง” จากพื้นที่ และ”รายละเอียด” จากฝ่าย”ความมั่นคง” รวมทั้งจาก”ผู้อำนวยความสะดวก” ที่เป็น”ตัวแทน”ของ”รัฐบาลมาเลเซีย” เพราะ”การพูดคุย” ต้องการ”คุย” กับ”บีอาร์เอ็น” ที่เป็น”ผู้มีอำนาจ”ไม่ใช่เป็นแค่”ตัวแทน” ที่ไม่มี”อำนาจ” ในการ”ตัดสินใจ”และที่”สำคัญ” ต้อง”พูดคุย” ตาม”กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย” ไม่ใช่”กฎหมายสากล” ตามที่”บีอาร์เอ็น”ต้องการ  ……นี่คือสิ่งที่”ถูกต้อง” ที่ต้อง”ชื่นชม” ใน”แนวคิด”ของ”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี ที่ยึด”หลักการ” การ”พูดคุย” ที่”หวังผล” ในความ”สำเร็จ” เพราะที่ผ่านมา 9 ปี  การ”พูดคุย” ระหว่าง”ตัวแทนรัฐบาล” กับ”ตัวแทน”ของ”บีอาร์เอ็น”เป็นการ”พูดคุย” เพื่อ”หวังผล”ของการใช้”งบประมาณ” มากกว่าความ”สำเร็จ” ในการ”พูดคุย”หรือการ”เจรจา” ถือเป็นการ”บีบ” ให้”บีอาร์เอ็น” เดินตาม”เกม” ที่”รัฐบาลไทย”เป็นผู้”ดำเนินการ”ไม่ใช่การเดิน”ตามเกม” ที่”บีอาร์เอ็น” บังคับให้เราต้อง”เดินตาม” ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า” บีอาร์เอ็น” และ”องค์กรต่างชาติ” ที่เป็น”พี่เลี้ยง” จะ”แก้เกม”อย่างไร และจะเข้าสู่”ขบวนการ”ของการ”พูดคุย” อย่างไร  และที่ต้องติดตามคือ” ภูมิธรรม” เวชยชัย” จะ”แต่งตั้ง” ให้ใครเป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” เพราะมีข่าวว่ามีการเปลี่ยนจาก”ทหาร” เป็น”พลเรือน” อีกแล้ว

เรื่องการเมือง”ท้องถิ่น” เลือกตั้งจบ แต่การ”ฟ้องร้อง” ของผู้”สมัคร” และ”แพ้”เลือกตั้ง” ยัง”ไม่จบ” ที่”เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา” หลังที่” ณรงค์พร ณ พัทลุง” ชนะการ”เลือกตั้ง” ก็ถูก”พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” อดีต”นายกเทศบาลนครหาดใหญ่” ฟ้องเรื่องการ”หาเสียง” ด้วยการ”ใส่ร้ายป้ายสี” และ”ล่าสุด” ผู้สมัครที่ชื่อ”บ่าวพี” ก็นำ”หลักฐาน”การ”ซื้อเสียง”ไป”ฟ้องร้อง” กับ”กกต.สงขลา” ซึ่ง” ร.ต.อ.สมนึก กุลมณี” ผอ.กกต.สงขลา กว่าวว่ามีผู้”ร้องเรียน” การเลือกตั้งของ”เทศบาลนครหาดใหญ่” แล้ว 6 คดี ส่วนการเลือกตั้ง”นายก อบจ.สงขลา” มีการ”ฟ้องร้อง” ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็น”นายก อบจ. 5 คดี และมีการส่งเรื่องให้”กกต.กลาง”เป็นผู้”พิจารณา” แล้ว …..และสำหรับ” เศรษฐ อัลยุฟรี” นายก อบจ. ปัตตานี ซึ่งมีเรื่องถูก”ปปช.ฟ้องร้อง”ในเรื่องการ”ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ” ซึ่งการ”ไต่สวน” และการ”สืบสวน” ผ่านมาแล้วหลายปี เพิ่งจะมีการ”ส่งฟ้องศาล” และมี”คำสั่ง” ให้”หยุดการ”ปฏิบัติหน้าที่” และที่คดีอยู่ระหว่าง”เข้าได้เข้าเข็ม” คือคดีของ”สจ.กอล์ฟ” หรือ”สิรดนัย” พลายด้วง สมาชิกสภาจังหวัดสงขลา ” ลูกชาย”สุดที่รัก”ของ”สมยศ พลายด้วย สส.เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์” สงขลา ที่”ซ่าส์ผิดที่” ถูก”จับกุมเพราะใช้”อิทธิพล” สั่งการให้”ลูกน้อง” ทำร้าย”ตำรวจ ตชด.” ที่ หน่วยเลือกตั้งในพื้นที่ ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา ล่าสุดจาก”คดีสั่งการทำร้ายร่างกาย” ถูก”สาว”ไปสู่การเป็น”เจ้าของเว็ปการพนันออนไลน์” ที่”โยงใย”ไปสู่” สส.” อีก 2 ราย และมีการ”โอนคดี”ไปยัง”กองปราบ” เรื่องนี้ด้านหนึ่งคือความ”เสื่อม”ของ”การเมือง” ที่”ผู้แทนปวงชน” ตั้งแต่”สส.จนถึง “สจ.”ต่างอยู่ใน”วงจรสีเทา” แต่อีกทางหนึ่งหลังการที่”สจ.กอล์ฟ” ตกเป็น”ผู้ต้องหา”ก็ถือเป็น”คุณประการ”กับ”คนสงขลา” ที่”ตำรวจ” จะได้”ล้างบาง” กลุ่ม”อิทธิพล” เพราะ”ยิ่งสอบยิ่งสาว” ไปยัง”ขบวนการ”อิทธิพล” และ”ธุรกิจสีเทา” ถ้า”พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์” ผบ.ตร. “เอาจริง” เชื่อว่า “แก็งสีเทา”ที่เป็น”กลุ่มการเมือง” ถึงยุค”ล้มละลาย” และที่”สำคัญ”คนสงขลา” จะได้”ตาสว่าง” และ หยุดที่จะ”เลือก” คนเหล่านี้เป็น”ตัวแทน” เสียที …..แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ไฟใต้ ‘มหากาพย์’ ของแผ่นดิน ‘ปลายด้ามขวาน’

เรื่องใหญ่ที่สุด สำหรับ”ประเทศไทย” ใน วันนี้ยังคงเป็นเรื่องของ”การเมือง” เพราะ”การเมือง”คือการ”ขับเคลื่อน”ในการนำ”ประเทศ” นำ”ประชาชน” ไปสู่ความ”รุ่งเรือง” หรือความ”ตกต่ำ” ล้วนมาจาก”การเมือง” ทั้งสิ้น  ที่ผ่านมา”ทุกยุคทุกสมัย เป็นสิ่งที่”ชี้ชัด” ได้ว่าถ้า”การเมืองนิ่ง” และมี”เสถียรภาพ”  ประเทศชาติ และ ประชาชน ก็จะได้รับการ”พัฒนา”และ”ความสุข” อย่างยุคที่”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่ใช้” เสนาบดี” ถูกกับ”ตำแหน่งหน้าที่” ในการ”ขับเคลื่อน” ให้”ประเทศชาติ” เดินไปข้างหน้าโดย”ปราศจากปัญหา”…..หรือแม้แต่ในยุคที่” ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ในยุคของ”ไทยรักไทย” ที่เป็นยุคที่”ทักษิณ” เรืองอำนาจ และมี”เสียงข้างมาก” ใน”สภาผู้แทนราษฎร  ก็เป็น ยุคที่ เศรษฐกิจ ของ “ประเทศไทย” มีความ”ก้าวหน้า” ประชาชน” ได้รับ”อานิสงส์” จาก”การเมือง” ที่มี”เสถียรภาพ” ไม่มีความ”วุ่นวาย” และความ”ขัดแย้ง” จาก”พรรคการเมือง” ที่เป็น”พรรคร่วม” ซึ่งเป็นที่มาของ”รัฐบาลผสม” เหมือนอย่างในขณะนี้

วันนี้ความ”ล้มเหลว” ของการแก้ปัญหา” เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศชาติ” การแก้ปัญหา”ปากท้อง” และความ”ยากจน” ที่เกิดจาก”หนี้สินครัวเรือน” ที่”ทะลุเพดาน” ปัญหา”ราคาพืชผล” ทางการ”เกษตรตกต่ำ” และอีก”จิปาถะ”ของ”ปัญหา”ทั้งเล็กทั้งใหญ่” เกิดจาก”รัฐบาลผสม” จากหลายพรรคการเมืองที่มีความ”ขัดแย้ง” และ”แทงข้างหลัง” แย่งกันมี”อำนาจ” แย่งกัน”ทำมาหากิน” มี”ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่เรียกว่า”คอร์รัปชั่น” เกิดขึ้นทุก”หย่อมย่าน” และ “สุดท้าย”คือ”รัฐบาล” มี”ผู้นำ”หรือ”นายกรัฐมนตรี” ที่ไม่มี”ประสบการณ์ทางการเมือง” อาศัยการเป็นคนใน”ตระกูลชินวัตร” ที่เป็นเจ้าของ”พรรคเพื่อไทย”  และมี”พ่อ” คือ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” เป็นผู้”บังคับวิถี” ทั้งในเรื่องของ”การเมือง” และเรื่องการแก้ปัญหา” เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ของ”ประชาชน”  แต่ ณ วันนี้” พลังต่อรอง” ทาง”การเมือง” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ต่อ”พรรคการเมือง” ที่เป็น”พรรคร่วม” ไม่มี”มนต์ขลัง” เหมือนในอดีต” เพราะ”ทักษิณ” หายไปจาก”การเมืองไทย” เกือบ 20 ปี ทุกอย่างจึง”เปลี่ยนไป” และ”พรรคการเมือง” รวมทั้ง”นักการเมือง” ที่เคยเป็น”ลูกน้อง” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” “เติบโต” และเป็น”คู่แข่ง” ทั้งทาง”การเมือง” และ”พร้อมที่จะ”แย่งชิงอำนาจ” เพื่อ”ผลประโยชน์” ทาง”การเมือง” กับ”พรรคเพื่อไทย” และ”ทักษิณ ชินวัตร” ทั้งสิ้น

ที่สำคัญ วันนี้”ทักษิณ ชินวัตร” ยังถูก”ล่ามโซ่” ด้วย”คดีความ” ในข้อหาความผิดของ”ม.112 “ การ”เคลื่อนไหว” ในทาง”การเมือง” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” จึง”เปล่งประกาย” ไม่ได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งเรื่องของ”ชั้น 14 ที่ “โรงพยาบาลตำรวจ” แม้ว่า สุดท้ายแล้ว เรื่องของการ”กลับประเทศ” และกลายร่างจาก”นักโทษธรรมดา” เป็น”นักโทษเทวดา” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” จะไม่มีผลทาง”กฎหมาย” ให้”ทักษิณ ชินวัตร” ต้องกลับไป”รับโทษ”ใน”เรือนจำ” เพราะ”ทักษิณ ชินวัตร” ใช้”ช่องทาง” ของ”กฎหมาย” ได้”ติดคุก” ที่”ชั้น 14 “ ของ”โรงพยาบาลตำรวจ” ครบถ้วนกระบวนการ” และได้รับ”ใบบริสุทธิ์” เป็นที่”ถูกต้อง” ดังนั้น แม้จะมีการ”เคลื่อนไหว” อย่าง”ต่อเนื่อง”เพื่อให้”ทักษิณ ชินวัตร” กลับไปยัง”เรือนจำ” จึงไม่มีผลต่อ”ทักษิณ ชินวัตร” แต่อย่างใด แต่จะ”ส่งผล” ให้”เจ้าหน้าที่” จำนวนหนึ่งของ”กรมราชทัณฑ์” และ” ของ”โรงพยาบาลตำรวจ” ที่ต้อง”รับเคราะห์” แทน ซึ่งผู้ที่อยู่”ในข่าย” ของการ”รับเคราะห์” หรือ”รับผิด” อาจ”ยินยอมพร้อมใจ” อยู่ก่อนแล้ว  …..แต่ ปัญหาหนึ่งของ”ประเทศ” ที่กลายเป็น”กับดัก” ที่นำ”ประเทศ”ไปสู่ความ”วุ่นวาย” และ”จนกลายเป็น”ประเด็น” ให้เกิดการ”เรียกแขก” ที่เป็น”ศัตรูเก่า” ทั้งหมดของ”ทักษิณ” ให้ “ผนึกกำลังกัน” เพื่อ”ขับไล่” ให้”ทักษิณ “ พ้นจาก” เวทีการเมือง” อีกครั้ง และยังมี”ศัตรูใหม่” ที่ไม่เห็นด้วยกับ”บทบาท” ของ”ทักษิณ” ที่”ครอบงำ” รัฐบาล ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” ผู้เป็น”บุตรสาว” ที่เป็น”นายกรัฐมนตรี” กลายเป็น ณ วันนี้”ทักษิณ ชินวัตร” เต็มไปด้วย”ศัตรู” ทั้ง”เก่า-ใหม่” ในทุก”สารทิศ” ดังนั้นถ้าจะพูดให้”ถูกต้อง” คือ ความ”ยุ่งเหยิง” ของ”ประเทศไทย” ณ วันนี้ ล้วนมาจากการ”กลับประเทศ” และการ”กลับเข้าสู่การเมือง” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ทั้งสิ้น

สิ่งที่ต้อง”จับตามอง” ว่า” รัฐบาล” จะไปได้อีก”กี่น้ำ” จะมีการ”ปรับ ครม.” เมื่อไหร่ และ หลังการ”ปรับ ครม.” หลังการผ่าน”งบประมาณแผ่นดิน” จะมีการ”ยุบสภาผู้แทนราษฎร” หรือการ”ลาออก” ของ”นายกรัฐมนตรี” หรือไม่ล้วนอยู่กับความ”ขัดแย้ง” ของ”พรรคเพื่อไทย” กับ”ภูมิใจไทย” ว่าจะมีการ”พูดคุย” เพื่อ”แปรสภาพ”จากการใช้”อาวุธ”เป็น”แพรพรรณ” ได้หรือไม่ ซึ่งต้องมองถึง”เกมการต่อรอง” ของทั้ง”สองพรรคการเมือง” ดังกล่าว ว่าใครจะ”เหนือกว่าใคร” และใครจะมี”ทีเด็ดทีขาด” กว่าใคร ที่ต้อง”จับตา” ให้ดีคือการ”เดินเกม” ด้วยการใช้”พลังดูด” กลุ่ม” สส.” จาก”พรรคการเมืองต่างๆ ของ”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เข้าสู่”พรรคกล้าธรรม” เพื่อเป็นการ”เสริมความแข็งแกร่ง” ให้กับ”พรรคเพื่อไทย” หากจำเป็นที่จะต้อง”แตกหัก” กับ”พรรคภูมิใจไทย” แม้ “ลึกๆ” แล้ว “กูรูการเมือง” จะ เชื่อว่า” เพื่อไทย” ยังไม่กล้า”แตกหัก” กับ”ภูมิใจไทย” แต่เรื่องของ”การเมือง” ไม่มีอะไรที่”แน่นอน” และไม่มี”สูตรสำเร็จ”และโดย”อุปนิสัย” ทั้งของ”ทักษิณ ชินวัตร” และของ”เนวิน ชิดชอบ” สองผู้ยิ่งใหญ่ นอกพรรค”เพื่อไทย” และ”ภูมิใจไทย” ต่างชอบที่จะ”ไต่เส้นลวด” ในการสร้างความ”ตึงเครียด” และความ”หวาดเสียว” ทาง”การเมือง” โดยเฉพาะบนความเชื่อที่ว่า” หมดยุค”ของการ ”รัฐประหาร” โดย”กองทัพ” จะทำให้การ”ต่อสู้”ทางการเมือง”ของทั้ง”สองพรรค” ทวีความ”ดุเดือด” และ ”แหลมคม” ยิ่งขึ้น

ดังนั้น วันนี้ จึงไม่มีใคร”สนใจ” ใน”ชะตากรรม” ของ”คนไทย” ที่เป็น”คนส่วนใหญ่” ซึ่งได้รับความ”เดือดร้อน” จาก”เศรษฐกิจ” ที่หล่นอยู่”ก้นหุบเหว” และถูกจัดระดับความ”ต้อยต่ำ” ให้ไปอยู่ในระบายเดียว”กับ” สปป.ลาว” และยังมองไม่เห็น ”หนทาง” ว่าจะ”ฟื้นตัว” ในปี 2568 นี้ โดยเฉพาะอาชีพ”เกษตรกร” ที่เป็น ”เส้นเลือด” ของ ”ประเทศ” เพราะ”ประชาชนส่วนใหญ่” ต่างเป็น”เกษตรกร” แต่”ผลผลิตทุกอย่าง”ตกต่ำ” ก็ไม่ได้รับการ”แก้ไข” อย่าง”ทันท่วงที” ทุกปัญหาของ”เกษตรกร” คือ”ถั่วสุกงาไหม้” …..เช่นวันนี้” นายอำเภอ”และ”พาณิชย์จังหวัด” รวมทั่ง”ผู้ว่าราชการจังหวัด” เพื่อ”ตื่นตัว” ลงพื้นที่ ไปติดตาม”สถานการณ์”ของ”ราคาปาล์มน้ำมัน” ที่”ตกต่ำ” อย่างเป็น”ประวัติการณ์” จาก” กิโลกรัมละ 11-12 บาท เหลือเพียง 4-5 บาท ทั้งที่เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว กว่า 3 เดือน นี่คือความ”ล่าช้า” ในระบบการบริหารราชการแผ่นดินของ”ประเทศไทย” ที่ไม่เคยได้รับการ”แก้ไข”…..เช่นที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร มี”ประชาชน” และ”ทหารผ่านศึก” จำนวนนับพันคน บุกเข้ายึด”สวนปาล์ม” ที่หมด”สัมปทาน” จำนวน 10,000 กว่าไร่ ซึ่ง” หน่วยงานของรัฐ” ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตาม”กฎหมาย” ปล่อยให้”นายทุน” และผู้มี”อิทธิพล” เข้า”เก็บเกี่ยวผลประโยชน์” ทำให้”ชาวบ้าน” และ”ทหารผ่านศึก” กลุ่มนี้ใช้”กฎหมายเถื่อน” บุกเข้ายึดเพื่อ”ครอบครอง” เป็นที่”ทำกิน” เรื่องนี้มี”หน่วยงาน”หลายหน่ายงานของ”ราชการ” เข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่”ป่าไม้,ที่ดิน” และ อื่นๆ ที่เกิน”อำนาจหน้าที่”ของ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่ สำคัญคือความ”ขัดแย้ง” และ”แย่งชิง” ในการเข้า”ยึดสวนปาล์ม” ของ”ชาวบ้าน” จะนำมาสู่”ปัญหาการฆ่ากันตาย” กลายเป็นความ”รุนแรง” และ”อาชญากรรม” ที่ พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ต้องมีการ”รับมือ” ในการแก้ปัญหา

ที่ สำคัญ เรื่องการนำ”ประชาชน” เข้า”ยึดครอง” สวนปาล์มน้ำมัน” ที่หมด”สัมปทาน” จาก”กลุ่มทุน” และหน่วยงานที่”รับผิดชอบ” ทำการ”เพิกเฉย” ไม่ได้”ดำเนินการ” ให้ถูกต้องตาม”กฎหมาย” ไม่ได้มีที่” จ.ชุมพร” เพียง”จังหวัดเดียว” แต่ยังมีในอีกหลาย”จังหวัด”ของ”ภาคใต้ตอนบน” เช่นที่” จ.สุราษฎร์ธานี,จ.กระบี่” เป็นต้น เรื่องนี้” อนุทิน ชาญวีรกุล” ในฐานะ” เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” ควรจะมีการ”สั่งการ” ให้”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ทุกจังหวัดที่มีปัญหาเป็น” เจ้าภาพ” ในการ”แก้ไข” และนำเอา” สวนปาล์ม” หรือที่”ที่ดิน” ที่หมด”สัปทาน” จาก”กลุ่มทุน” มา”จัดสรรค” ให้กับ”ประชาชน” ที่”ไร้ที่ดินทำกิน” หรือให้”หน่วยงานของรัฐ” เข้าดำเนินการ”รับผิดชอบ”ในการ”นำผลประโยชน์” จาก”ผลผลิต”ของ”ปาล์มน้ำมัน” ที่หลังหมด”สัมปทาน” แต่ยังให้”ผลผลิต”อยู่” ไม่ใช่ปล่อยให้มีการใช้”กฎหมายเถื่อน” ในการ”แย่งชิงผลประโยชน์” อย่างที่เกิดขึ้น

นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของความ”เละเทะ” และความ”ล้มเหลว” ในการ”บริหารราชการแผ่นดิน”ของ”จังหวัดตรัง” หลัง”นักการเมือง”จาก”พรรคประชาชน” ลงพื้นที่”เปิดโปง” เรื่องการ”ก่อสร้าง” โครงการต่างๆใน “จังหวัดตรัง” ที่มีความ”ล่าช้า” มีการ”ทิ้งงาน” โดยเฉพาะโครงการก่อสร้าง”จัตุรัสเมืองตรัง” และ อื่นๆ ซึ่งหลังจากที่มีการ”เปิดโปง” โดย”นักการเมือง”  กรมโยธาธิการ และ”โยธาธิการจังหวัด” ก็ออกมา”แก้ตัว” กัน”อุตลุด”  แต่ไม่เห็น”ทรงกลด” สว่างวงศ์” ผวจ.ตรัง ออกมา แก้ปัญหา ที่เกิดขึ้น…..อีกเรื่องของ”จังหวัดตรัง” คือเรื่องปัญหา”อาชญากรรม” ที่ล่าสุดมีการ”ฆ่าแล้วเผา” จำนวน 4 ศพ ที่ “สวนปาล์ม” อำเภอสิเกา จ.ตรัง แม้ว่า สุดท้ายแล้ว “ตำรวจ” สามารถที่จะ”ติดตามจับกุม” กลุ่ม”ฆาตรกร”ได้ครบทั้ง 4 คน แต่ก็กลายเป็นเรื่อง”  สะ เทือนขวัญ”ของคนทั้งประเทศ ซึ่ง  “พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ คีตโมทนียกุล” ผบก.ภ.จว.ตรัง ต้องมีแผนในการ”ป้องกันอาชญากรรม” ให้”รัดกุม” อย่างนี้ เพราะเรื่องการ”จับกุม” เป็นเรื่อง”ปลายเหตุ” และ”สาเหตุ”ของการ”เผานั่งยาง” ใน”สวนปาล์ม” ที่ อำเภอสิเกา ในครั้งนี้ มี”กำนันอิทธิพล” ในพื้นที่ส่ง”ลูกน้อง” ไป”บุกรุกสวนปาล์ม” ของ”นายทุน” จำนวน 170 ไร่ เพื่อเอา”ผลผลิต” มาขาย เมื่อ”ผู้จัดการสวน” เข้าไปพบเห็นจึงได้ทำการ”ฆ่าแล้วเผา” เรื่องจึงไม่ควรที่จะ”ยุติคดี” เพียงการ”จับคนร้ายได้” แต่ต้องติดตาม”กำนันอิทธิพล” ในพื้นที่มา”รับผิด”ด้วย

นี่ก็เป็นอีก หน่วยงานหนึ่ง ที่ถูก”ประชาชน” จับจ้อง” และ”วิพากษ์ วิจารณ์” เป็นอย่างมาก คือ”สำนักงานทางหลวงที่ 18 ที่มี”จอมปวีร์ จันทร์หิรัญ”  นั่งเป็น”ผู้อำนวยการ” มีผู้ถามมาว่าถนนสาย 41   ที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่าน ตั้งใน จ.พัทลุง จนถึง จังหวัดสงขลา เช่นที่” ต.พรุพ้อ และ ต.ท่าช้าง ทำไมจึงมีความ”ล่าช้า” ในการ”ก่อสร้าง” มีการแก้ปัญหาความ”ล่าช้า” อย่างไร มีการ”เอาผิด”กับ”ผู้รับเหมา” หรือไม่ เพราะเรื่องนี้เป็นความ”เดือดร้อน” ของผู้”ใช้รถใช้ถนน” และนอกจากนั้น ยังมี”ประชาชน” ตั้งเป็น”ข้อสังกุต” ว่า “สำนักงานทางหลวงที่ 18 “ มี “หลักเกณฑ์” อย่างไร ในการ”ปรับปรุงถนน” สายต่างๆ เพราะ” ถนนหลายสาย หลายช่วง ยังมี”สภาพดี” แต่มีการ”ปรับปรุงซ่อมแซม”  เป็นการใช้”งบประมาณ” แบบ”ไม่คุ้มค่าหรือไม่” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่”ประชาชน” มีการ”วิพากษ์วิจารณ์” กันมาก ก็บอกให้”ท่านผู้อำนวยการ” ได้รับทราบถึง”ความรู้สึก” ของ”ประชาชน” ที่เกี่ยวกับ”หน่วยงานของท่าน” เพื่อที่จะได้”ชี้แจง” ให้”ประชาชน”ได้รับทราบ

เรื่องของ”ไฟใต้” ที่เป็น”มหากาพย์” ของแผ่นดิน”ปลายด้ามขวาน” ที่ไม่ใช่เพิ่งเริ่มเมื่อปี 2547  อย่างที่คน”บางส่วน” ที่ไม่มีการ”ศึกษา” เรื่องของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มีความ”เข้าใจ” วันนี้เรื่องของ”ไฟใต้” มีอยู่ในสอง”บริบท” หรือ” สองฉากทัศน์” ซึ่ง”ฉากทัศน์แรก” คือการที่” บีอาร์เอ็น”มีการ”ก่อการร้าย” โดยต้องการใช้”ความรุนแรง” เพื่อแสดงให้”สังคมโลก” มองเห็นว่า”ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มีความ”ขัดแย้ง” และมีการใช้”อาวุธ” ในการ”ปราบปราม” ของ”เจ้าหน้าที่” รวมทั้ง”บีอาร์เอ็น” ต้องการใช้ความ”เหี้ยมโหด” เพื่อให้”ประชาชน” ตกอยู่ภายใต้”อิทธิพล”ของความ”หวาดกลัว” จะได้ไม่กล้าให้ความ”ร่วมมือ” กับ” เจ้าหน้าที่รัฐ” บีอาร์เอ็น ต้องการ”ทำลายอำนาจรัฐ” เพื่อให้”ประชาชน”เห็นถึงความ”ล้มเหลว” ของ”รัฐไทย” ที่ไม่สามารถ”คุ้มครอง”  ประชาชน ให้มีความ”ปลอดภัย” และ วันนี้”บีอาร์เอ็น” ก่อเหตุ”รุนแรง” เพื่อต้องการให้” เจ้าหน้าที่รัฐ” ใช้ความ”รุนแรง” เพื่อ”ตอบโต้” การ”ปฏิบัติการ”ของ” บีอาร์เอ็น” เพื่อให้มีการ”บาดเจ็บล้มตาย”  แต่” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาค 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ ยังไม่”หลงกล” มีการ”สั่งการ” ให้ใช้”กฎหมาย” ในการ”ดำเนินการ”กับ”กองกำลังติดอาวุธ” และ”แนวร่วม” ในพื้นที่ อย่าง”เด็ดขาด” แต่ไม่ใช้”ความรุนแรง” การ”ปิดล้อม”การ”จับกุม” อยู่ใน”กรอบ”ของ”กฎหมาย” ทำให้”บีอาร์เอ็น”ไม่ประสบความ”สำเร็จ” ในการใช้”ความรุนแรง” และยังต้อง”เสียไพร่รบพลเลว” ที่”หลบซ่อน” ในพื้นที่ไปเป็น จำนวนไม่น้อย….. ดังนั้น”บีอาร์เอ็น” จึงงัดแผน”สกปรก” มาใช้ด้วยการ”พุ่งเป้า”ไปที่”ไทยพุทธ” ซึ่งกลายเป็น”คนส่วนน้อย” และเป็น”ชุมชนเปราะบาง” ด้วยการ”กราดยิง” หรือ”ซุ่มยิง” เพื่อ”กดดัน” ให้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หยุดการ” “ปิดล้อม,ตรวจค้น,จับกุม” กองกำลังติดอาวุธ และ”แนวร่วม” ที่” แฝงตัว” ใน”หมู่บ้าน” แต่แผน”สกปรก” ก็ยังไม่”ประสบความสำเร็จ” เพราะ” เจ้าหน้าที่” ยังคง”เดินหน้า” ในการ”จับกุม” คนของ”บีอาร์เอ็น”ต่อไป โดยที่” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์”” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” สั่งให้”กองกำลังทหาร ตำรวจ ปกครอง” สนธิกำลัง”ยกระดับ” ในการดูแลรักษาความ”ปลอดภัย” ของ” 8 หัวเมืองเมืองเศรษฐกิจ และ”ชุมชนไทยพุทธ” อย่างเต็มกำลัง

กองกำลังติดอาวุธของ”บีอาร์เอ็น” จึงมีการ”พุ่งเป้า” มายัง”เจ้าหน้าที่” ในพื้นที่ ล่าสุด” มีการ”วางแผน” ออก”ข่าวลวง” จาก”สายข่าว” ในพื้นที่ อ.กระพ้อ จ.ปัตตานี ให้”ผู้ใหญ่บ้าน” ในพื้นที่”แจ้งตำรวจ” ว่า”รถจักรยายนต์”ถูก”โจรกรรม” เมื่อ” เจ้าหน้าที่ตำรวจ” เดินทางเข้าไปใน”พื้นที่” เพื่อ”สืบสวนสอบสวน” จึงถูก” กองกำลังติดอาวุธ” วาง”ระเบิดแสวงเครื่อง” ใต้”ท่อลอด”บนถนนในหมู่บ้าน ผลคือ” กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี” ต้อง”สูญเสีย”  ร.ต.อ.พนากร อินทา  รอง สว.สอบสวน  สวน”พลขับ”คือ”ส.ต.อ.เทอญศักดิ์ รักษาวงศ์” บาดเจ็บสาหัส  ณ “บรรทัดนี้” ขอ”แสดงความเสียใจ” กับ”ครอบครัว” ของผู้ที่”สูญเสีย” อีกครั้ง และ การ”ก่อการร้าย” ยังคงต้อง”ดำเนินต่อไป” ภายใต้” กลวิธี” ต่างๆ ในการ”หลอกลวง” การ”หลอกล่อ” และการ”วางแผน” เพื่อการ”ซุ่มโจมตี” ที่เรียกว่าการทำ”สงครามกองโจร” ที่” เจ้าหน้าที่รัฐ” ทั้ง”ทหาร,ตำรวจ” และ”อาสารักษาดินแดน” ไม่”คุ้ยเคย” ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือความ”สูญเสีย” และ”เสียศูนย์” เพราะไม่สามารถ”ตอบโต้” และ”ป้องตนเอง” ให้”ปลอดภัย” เรื่องนี้เป็นเรื่อง”สำคัญ” ที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หมายถึง “ทหาร,ตำรวจ”และ”ฝ่ายปกครอง” ต้องมีการ”ปรับแผน” และ”ยุทธวิธี”เพื่อให้”กำลัง”ของ”เจ้าหน้าที่” ทุกฝ่าย ในพื้นที่มีความ”รู้ความเข้าใจ” ในการ”ตอบโต้”การทำการรบแบบ”กองโจร”ได้

ส่วน”ฉากทัศน์ที่สอง” นั้นคือ”ฉากทัศน์” ของการ”ขับเคลื่อน”การ”พูดคุยสันติสุข” ซึ่งเป็นความต้องการของ”ปีกทางการเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่มี”เอ็นจีโอ”จาก”ชาติตะวันตก” หลายชาติ เป็น”พี่เลี้ยง” ในการ”อบรม” และ”วางแผน” ให้มี”โต๊ะเจรจา” เพื่อการ”ยกระดับ”ของ”ขบวนการ” ให้”สหประชาชาติ” รับรอง  โดย”ชาติตะวันตก”หลายประเทศ ได้มีการ”เตรียมการ” วาง”โครงข่าย” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ไว้แล้วอย่าง”หนาแน่น” เช่น ”องค์กรภาคประชาสังคม” ที่”รับเงิน” จาก”องค์กรต่างชาติ” มาเพื่อการ”ขับเคลื่อน” โดยเป็น”กระบอกเสียง” ในการ”เรียกร้อง” และ”เร่งเร้า” ให้” รัฐบาล” เร่ง “ดำเนินการ” ให้มีการ”พูดคุย”กับ”บีอาร์เอ็น” วันละ “สามเวลา” เพื่อให้”คุ้มค่า” กับ”ค่าจ้าง” ที่รับมาจาก” ต่างชาติ” ดังนั้น “สังคม” อย่า”หลงกล” กับการ”เคลื่อนไหว” ของ”องค์กรภาคประชาสังคม”( บางส่วน ) รวมทั้ง”เอ็นจีโอ” ใน พื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” รวมทั้ง”ภาคประชาสังคม” ที่มี”คนไทยพุทธ” เป็น”หุ่นเชิด” ของ”มุสลิม” ด้วย เพื่อให้เห็นว่ามีความ”ชอบธรรม” เพราะ”ไทยพุทธ” ก็”เห็นด้วย” กับการให้”รัฐบาล” เร่งดำเนินการ”พูดคุย” กับ” บีอาร์เอ็น”

สำหรับในส่วนของ”รัฐบาล” ที่เวลานี้ยังไม่”ตกผลึก” ในเรื่องของการ”ขับเคลื่อน” เวทีของการ”พูดคุย” เพราะ”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฝ่ายความมั่นคง และ”เสนาบดีกระทรวงกลโหม” มี”เงื่อนไข” ถ้ามีการ”พูดคุย” บีอาร์เอ็น ต้อง”หยุด” การ”ก่อการร้าย” ในพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” และต้อง”พูดคุย”ภายใต้”เงื่อนไข” ที่ไม่มีการ”แบ่งแยกดินแดน” ภายใต้”รัฐธรรมนูญไทย” ที่”รัฐไทยเป็นรัฐที่แบ่งแยก”ไม่ได้ ซึ่ง”บีอาร์เอ็น” ยังไม่มีการ”ตอบสนอง” ใน”เงื่อนไข” ดังกล่าว” เพราะก่อนหน้านี้” ดร นิมะ” “ ที่เป็น” กระบอกเสียง” ของ”บีอาร์เอ็น” ออกมา”แถลงการณ์” ว่า”บีอาร์เอ็น” ต้องการ”เจรจา”ภายใต้”เงื่อนไข”ของ”กฎหมายสากล” ที่ไม่ใช่”กฎหมาย” ของ”ประเทศไทย” เมื่อ”เงื่อนไข” ไม่”สอดคล้อง”กัน ถามว่า”จะเปิดการ”เจรจา”ได้อย่างไร….ที่ สำคัญ ใครจะเป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย”หรือ”เจรจา” ที่ต่างตั้งโดย”รัฐบาล” เพราะ  ทั้ง” พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก” และ”พล.อ.ชินวัตร แม้นเดช “ หลุดจาก”วงโคจร” ไปแล้ว ซึ่ง”ล่าสุด” มีชื่อของ “พล.อ.ทิวา เพญเขตกรณ์” ที่ปรึกษาผู้แทนพิเศษของรัฐบาล” อดีตผู้ช่วยทูตทหาร” และอดีต”เจ้ากรมข่าว”  ตำแหน่งสุดท้ายก่อน”เกษียณอายุราชการ”คือ”ที่ปรึกษาพิเศษ กองบัญชาการกองทัพไทย เป็น”นายทหารรุ่นที่ 18 “ซึ่งไม่เคย”ผ่านงาน” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มาก่อน……แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ…

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา! แจกเงินหมื่นเฟส 3-4 ไปต่อหรือพอแค่นี้ ?

แม้จะอยู่ใน”สมัยปิดประชุม”แต่เรื่อง ของ”การเมือง” ก็ยังคง”ร้อนแรง” ทั้งในเรื่องของความ”ขัดแย้ง” ไม่เป็นเนื้อเดียวกันของ”ครม.” ที่ต้องมีการ”ปรับ ครม.” เพื่อความ”อยู่รอด” ของ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ”พรรคเพื่อไทย” ซึ่งไม่ใช่การ”ปรับ” เพื่อความ”อยู่รอด” ของ”ประชาชน” และทำให้”ประเทศชาติ” ดีขึ้น…..เรื่องของ”ชั้น 14” ที่กลายเป็น”เงื่อนไข” ของทั้งเรื่องของ”การเมือง” และเรื่องความ”ขัดแย้ง” การทำลายความ”ปรองดอง” ความ”สามัคคี”ของคนในชาติ ที่น่า”อนาถ” คือ” ผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี สังคมไทยยังคง”คุกรุ่น” และ”หมกมุ่น” อยู่กับเรื่องของ”ทักษิณ ชินวัตร”   “คนไทย” และ”ประเทศไทย” ไม่สามารถ”ก้าวข้าม”บุรุษ” ที่ชื่อ”ทักษิณ ชินวัตร” ไปได้ และวันนี้ก็เห็น”ชัดเจน” ว่า” ทักษิณ” ยังคงเป็นผู้มี”อิทธิฤทธ์” และกลายเป็น”ปมขัดแย้ง” ใน”สังคมไทย” ที่ยัง”แก้ไม่ได้”

เรื่อง”เศรษฐกิจ” ที่ยังคง”หนักหนาสาหัส” ที่”ฉุดดึง” และ”เหนี่ยวรั้ง” ให้ประเทศชาติเดินไปสู่”หายนะ” ครั้งใหญ่ ถ้ายังหา”ทางออก”ไม่พบ  แผน”กระตุ้นเศรษฐกิจ”ของ”รัฐบาล” ทั้งเรื่องการ”แจกเงิน” ที่แจกไปแล้ว 2 รอบ รอบละ 10,000 บาท ก็กลายเป็นเรื่อง”ขี้ลงร่อง” ไม่สามารถ”กระตุ้น”ให้”เศรษฐกิจ”มีการ”กระเตื้อง” ขึ้นแต่อย่างใด โครงการ”คุณสู้ เราช่วย” สุดท้ายก็ยังไม่มี”คำตอบ” ว่า”ช่วยได้” แค่ไหน เพราะ”หนี้สินครัวเรือน” ใน”ภาคประชาชน” ยัง”อีรุงตุงนัง” “ รถยนต์,บ้านเรือน” ถูก”สถาบันการเงิน” ฟ้องร้อง” เพราะไม่มีปัญญา ในการ”ชำระหนี้”…..การขึ้น”ค่าแรง” กลายเป็นเรื่อง”ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” รัฐบาลบริหารประเทศผ่านไปแล้ว 2 ปี กระทรวงแรงงานที่มี”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เป็น” เสนาบดี” ภายใต้”พรรคภูมิใจไทย” ยังไม่สามารถที่จะ”ขยับปรับขึ้นค่าแรง”ได้ตามความต้องการของ”แรงงาน” เพราะ”ยังมีความ”ขัดแย้ง” ของ”นายจ้าง”และ”ลูกจ้าง” ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ในขณะที่”ราคาสินค้า” ขึ้นแล้ว”ไม่ลง” แต่”ผลิตผล”ทาง”การเกษตร”ภายใต้การ”บริหาร”ของ”นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ”พิชัย นริททะพันธ์ เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” ที่”ราคาตกต่ำ” ทั้ง”อ้อย”มันสำปะหลัง,ยางพารา,ปาล์มน้ำมัน” และ”ข้าวเปลือก” และเมื่อฟังแนวทางแก้ปัญหาของ”เสนาบดี” ที่รับผิดชอบกับเรื่อง”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศ” และ”ปากท้อง”ของ”ประชาชน” ก็ยิ่ง”ว้าเหว่”เหมือนกับ”ตะวันโพล้เพล้” คนหนึ่งแนะให้”ชาวนา”เลิก”ปลูกข้าว” ไปทำ”สวนกล้วย” คนหนึ่งขอให้”ชาวสวนยาง” หยุด”กรีดยาง”เป็นเวลา 1 เดือน” นี่คือ”วิสัยทัศน์” ของ”เสนาบดี” ที่”รัฐบาล” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี” ให้มาดูแลแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ของ”ประชาชน” ที่ไม่เข้าใจ”บริบท” ของ”เกษตรกร” และ”ความเป็นจริง” ที่ดินที่ใช้”ทำนา” ไม่สามารถ”ปลูกกล้วย” ให้”เจริญเติบโต”ได้ และปลูกแล้ว” ตลาด” ที่จะ”ส่งขาย” อยู่ที่ไหน หรือจะให้”คนไทย” ทุกคน”กินกล้วย” แทนการ”กินข้าว”

ส่วนให้”ชาวสวน” หยุด กรีดยาง” เป็นเวลา 1 เดือน ของ” เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยิ่งทำให้เห็นว่า”ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง “ และ”ไม่พัฒนา” “เสนาบดีหญิง” คงไม่รู้ว่า”ปีนี้” ชาวสวนยางส่วนใหญ่” ไม่ได้”หยุดกรีดยาง” ใน”ฤดูยางผลัดใบ” ในเดือน”มีนาคม-เมษายน ที่ผ่านมา เพราะหาก”หยุดกรีด” หมายถึงไม่มี”ข้าวสารกรอกหม้อ” คือ”ไม่มีกิน” จึงยอมที่จะให้”ต้นยางตาย” แต่อย่าให้”คนอดตาย” แล้วเมื่อถึง”ฤดูยางเปิดกรีด” “เสนาบดีท่าน จะให้”ชาวสวนยาง” หยุดกรีด อีก 1 เดือน ก็ต้องถามว่า”เสนาบดี” จะให้เขา”กินอะไร” ชาวสวนยางที่”ร่ำรวย” ในประเทศนี้มีเพียง”หยิบมือ” ส่วนที่เหลือคือ เจ้าของ”สวนยาง” ขนาด”เล็ก” ที่”พออยู่พอกิน” และที่เป็น”ปัญหา”ที่สุดคือ”ลูกจ้าง”ที่”รับจ้าง” ในการ”กรีดยาง” ซึ่งเป็นคน”ยากจน” ถ้าเรื่องอย่างนี้คนเป็น”เสนาบดี” ยัง คิดไม่เป็น และ คิดไม่ได้ ปัญหาของ”เกษตรกร” ก็ย่อมไม่มีทางแก้ไข ก็ต้องดูว่า”ปรับ ครม.” ครั้งนี้”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะเอาใครมาเป็น”เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ”เสนาบดี” กระทรวงพาณิชย์  และเอามาเพื่อ”ช่วยเกษตรกร” ให้”ลืมตาอ้าปาก” หรือเป็นการ”ปรับ ครม” ที่เป็นเรื่อง”สมบัติผลัดกันชม” เพื่อลด”แรงกระเพื่อม” ภายในพรรคเพื่อไทย

และที่”หนักหนาสาหัส” คือเรื่องการขึ้น”ภาษี” ของ”ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์” แห่ง”สหรัฐอเมริกา” ซึ่ง “ทุกประเทศ” ที่โดน”กำแพงภาษี” ต่าง”กูลีกูจอ” ตั้งทีมเพื่อ”เจรจา” กับ”สหรัฐอเมริกา” กันหมดแล้ว”ทั้งโลก” เหลือเพียง”ไทยแลนด์”ที่เป็น”แดนสนธยา” ที่”ผู้นำ”ประเทศ” อย่าง”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี” แถลงข่าว บอกกับ”ประชาชน” ว่าไม่ต้อง”กังวล” เพราะมี”ดีลลับ” มีการ”เจรจา” อยู่ตลอดเวลากับ” สหรัฐอเมริกา” แต่คำว่า”ดีลลับ” และการ”เจรจา”ปัญหาการค้า และ”กำแพงภาษี” ที่ทุกประเทศเขา “วิตกกังวล” และ”เร่งร้อน” ในการ”เจรจา” เพื่อ”บรรเทา”ความ”เสียหาย” ของ”เศรษฐกิจ” และความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน” แต่สำหรับ”ประเทศไทย”ผู้นำประเทศ”บอกว่าไม่ต้อง”รีบร้อน” ไม่เอา”ความรวดเร็ว” แต่จะเอาความ”แม่นยำ” อะไรคือความ”แม่นยำ”และ”เป้า”ของความ”แม่นยำ” คืออะไร ไม่มีบอกให้”ประชาชน”ได้”รับรู้” เพื่อคลายความ”วิกตกกังวล” เช่นเดียวกับ”ดีลลับ”  เป็น”ความลับ” ที่ต้อง”เสียประโยชน์” อะไรให้กับ” สหรัฐอเมริกา” ตั้งแต่การต้อง”ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์” เรื่อง”ภูมิรัฐศาสตร์”ของความ”มั่นคง” ใน”ทะเลจีนใต้” และอีกหลายเรื่องที่”สหรัฐอเมริกา” ทำการ”ต่อรอง” กับ”ประเทศไทย” เพื่อการ”ถ่วงดุล” กับ”มหาอำนาจจีน” และ สุดท้าย”ดีลลับ” ระหว่าง”ไทย”กับ”สหรัฐอเมริกา” จะกลายเป็น”ปลายหอกปลายดาบ” ที่กลับมา”ทิ่มแทง” ประเทศไทย และ “คนไทย” จากความ”ไม่พอใจ” ของ”ประเทศมหาอำนาจ”อย่าง”ประเทศจีน” หรือไม่ และสุดท้ายถ้า”ดีลลับ” ระหว่าง”รัฐบาล” กับ”โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดี “สหรัฐอเมริกา” ไม่เป็นผล” เราก็จะเห็นอาการ”ลุกลี้ลุกลน” ในการ”แก้ปัญหา”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” และก็จะเป็น”สถานการณ์”ที่”สายเกินไป” และจะเกิดความ”เสียหาย” อย่าง”ประเมินค่าไม่ได้” สำหรับประเทศไทย ก็ขอ”เตือน” คนไทยทุก”ภาคส่วน” ทุก”สาขาอาชีพ” ให้”รับมือ”กับ”วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่จะเกิดขึ้นหลังการ”ผ่อนผัน”ในเรื่อง”ภาษีการส่งออก” ใน 90 วัน ที่เป็น”เส้นตาย” ของ”สหรัฐอเมริกา”

อีกเรื่องที่น่า”วิตกกังวล” สำหรับ”เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศไทย นั่นคือการ”ท่องเที่ยว” ซึ่ง”การท่องเที่ยว” เป็น”เครื่องยนต์” ที่เหลือยู่เพียง”เครื่องเดียว” ที่”ทำเงิน” ให้กับ”ประเทศไทย” แต่ วันนี้”วิกฤต”ของการ”ท่องเที่ยว” มาเยือนประเทศไทยแล้ว จำนวน “นักท่องเที่ยว” โดยเฉพาะจาก” สาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่เคย”ยืนหนึ่ง” ใน”ตลาดการท่องเที่ยว” หายไปจาก”ประเทศไทย” กว่าร้อยละ 50  การหายไปของ”นักท่องเที่ยว” หมายถึง”เม็ดเงิน” ที่หายไปด้วย ถามว่า”รัฐบาล” และ”เสนาบดีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา” ที่เป็น”เสนาบดี”ที่”โลกลืม” จะ ดำเนินการกับ”ปัญหา” ที่เกิดขึ้นอย่างไร จะเอา”นักท่องเที่ยว” จากที่ไหนมา”เติมเต็ม” เพื่อ”ฟื้น” การ”ท่องเที่ยว” ให้กลับมา …..และความจริงของปัญหา”วิกฤติ”ของการ”ท่องเที่ยว” ที่เป็นเรื่องจริงคือ”ค่าใช้จ่าย”ในการ”ท่องเที่ยว”ของ”ประเทศไทย” วันนี้”แพง” ถึง”แพงมาก” เมื่อเทียบกับ”คู่แข่ง” อย่าง”เวียดนามและ”ญี่ปุ่น” ในขณะที่”ความปลอดภัย” สู้”ประเทศที่เป็น”คู่แข่ง”ไม่ได้  สถานที่ท่องเที่ยวไม่มี”ของใหม่” ที่มีอยู่ไม่มีการ”พัฒนา”  เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี่ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น และสถานที่”ท่องเที่ยวธรรมชาติ” เช่น”ทะเล,ชายหาด”และ”ป่าไม้ สายน้ำ” มีความ”เสื่อมโทรม” เพราะการทำลาย”สิ่งแวดล้อม” ที่เกิดขึ้น รวมทั้งไม่มีการ”ปรับปรุง” นี่เป็นอีกหนึ่ง”สาเหตุ” ที่ทำให้”นักท่องเที่ยว” ที่เคยมาเยือน ไม่หวนกลับมาอีก และที่สำคัญ” รัฐบาล” และ”หน่วยงาน” ที่” รับผิดชอบ” ต่างก็”เอาหูทวนลม” กับเรื่องที่เกิดขึ้น เชื่อเถอะ “วิกฤติ”การ”ท่องเที่ยว” ครั้งนี้”ใหญ่หลวง” สำหรับ”ประเทศไทย”

เรื่องที่”ใหญ่หลวง” อีกเรื่องสำหรับ”รัฐบาล” และ”ประเทศไทย” นั้นคือเรื่องของ”ไฟใต้” ที่ การแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ผ่านไปแล้ว 21 ปี แต่ทุก”รัฐบาล” ที่ผ่านมา ทำได้แค่การ”เลี้ยงไข้” มีการให้ยา”แก้ปวด” ซึ่งเป็นยา”ปฏิชีวนะ” แต่ไม่มีการ”ผ่าตัด” ทั้งที่รู้ว่าอาการของดินแดน”ปลายด้ามขวาน” คือ”มะเร็งร้าย” ที่อยู่ใน”ระยะที่ 2 ที่ต้องมีการ”ผ่าตัด” หรือการทำ”คีโม” เพื่อการ”ช่วยชีวิต” แต่ไม่มี”รัฐบาล”ไหนกล้าที่จะ”ลงมีด” เพื่อการ”ผ่าตัด” วันนี้”เชื้อร้าย” มีการ”ลุกลาม” เพิ่มขึ้น แต่”สหายใหญ่” อย่าง”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ “เสนาบดี”กระทรวงกลาโหม ยังคง”เงื้อง่าราคาแพง” และยัง”หันรีหันขวาง” ไม่รู้ว่าจะ”ดำเนินการ” อย่างไรกับปัญหาของ”ไฟใต้”…….ที่ ล่าสุด” แกนนำ”ฝ่าย”ทหาร” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ที่นำโดย”ยานิง แวมามุ” สั่งการให้” กองกำลังติดอาวุธ” ในพื้นที่”ปลิดชีพ” ของ”ชาวไทยพุทธ” เพื่อการ”ตอบโต้” ทั้งในส่วนของ”รัฐบาล” ที่มี”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้”สั่งการ” ในการ”ดับไฟใต้” โดยให้”อันวาร์ อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรี มาเลเซีย ดำเนินการ”กดดัน” ให้”บีอาร์เอ็น” ทำการ”ยุติ”การ”ก่อการร้าย” ในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” วันนี้”บีอาร์เอ็น” กำลังเอา”คนไทยพุทธ” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้”เป็น”ตัวประกัน” เพื่อให้” รัฐบาล” สั่งการให้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หยุดการ”ปฏิบัติการ” ในการ”ปิดล้อม ตรวจค้น และ”จับกุม”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ด้วยการ”กราดยิง” และ”ซุ่มยิง” ชาว”ไทยพุทธ” ในพื้นที่”เปราะบาง” ที่”เจ้าหน้าที่รัฐ” ดูแลรักษาความ”ปลอดภัย”ไม่ทั่วถึง เช่นการยิง”ชาวไทยพุทธ”ที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส และที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส วันเดียว 4 ศพ รวมทั้งการ”ทิ้งใบปลิว” เพื่อ”ข่มขู่” ว่าจะเอา”ชีวิต”ของ”คนไทยพุทธ” ทั้งที่เป็น” ครู” เป็น”พระ” เป็น”เจ้าหน้าที่” และ”ประชาชน”ทั่วไป  เพื่อเป็นการให้เกิดความ”หวาดกลัว” ที่ อาจจะ “ได้ผล” เพราะ ด้านหนึ่ง เมื่อ” เจ้าหน้าที่” ทำการ”คุ้มครอง” ชาว”ไทยพุทธ” ไม่ได้

“รัฐบาล” โดย”ภูธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ “เสนาบดี”กระทรวงกลาโหม” ทางหนึ่งอาจจะ “เล่นบท” ที่”แข็งกร้าว” เอาใจ”ชาวพุทธ” ด้วยการ”สั่งการ” ให้” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ใช้”กฎหมาย” อย่าง”เข้มข้น” ในการ”ไล่ล่า” ติดตาม”จับกุม” ผู้”ก่อเหตุ” มา”รับโทษ” แต่อีกทางหนึ่งอาจจะ”ส่งซิก” ให้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”หยุดปฏิบัติการ” ทาง”ทหาร” เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของ”บีอาร์เอ็น” เพื่อให้”กองกำลังติดอาวุธ” หยุดการ”ปลิดชีพ” และ”คุกคาม” คน”ไทยพุทธ” ในพื้นที่ เพื่อให้”ประชาชน”เห็นว่าความ”รุนแรง”ลดลง…..แต่อีกทางหนึ่งการ”ปลิดชีพ” ชาว”ไทยพุทธ” และการ”ข่มขู่” ของ”บีอาร์เอ็น” ได้ผล เพราะหลังจากเหตุการณ์”กราดยิง”ชาว”ไทยพุทธ” ที่เกิดขึ้น ทั้งใน” อ.แว้งอ.สุไหงปาดีอ.จะแนะ อ.ตากใบ” จ.นราธิวาส วันนี้มี”คนไทยพุทธ” เตรียม”โยกย้าย” ออกจาก”พื้นที่” เพื่อเป็นการ”รักษาชีวิต” ตามการ”ร้องขอ”ของ”ลูกหลาน” ที่”โยกย้าย” ออกจาก”พื้นที่”ไปก่อนหน้านี้แล้ว  โดยข้อเท็จจริง  ที่ “รัฐบาล” ที่”หน่วยงานความมั่นคง” ที่อยู่บน”หอคอยงาช้าง” ใน”ส่วนกลาง” ของ”ประเทศ” ต้อง”รับรู้”คือ”ไทยพุทธ” ที่อยู่ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ท่ามกลาง”ไฟใต้” ที่”โหมกระหน่ำ” เป็นผู้ที่”สูงอายุ” เป็น”ส่วนใหญ่” ที่ไม่ยอม”โยกย้าย” ออกจาก”พื้นที่” เพราะความ”หวงแหนแผ่นดินเกิด” และ”รักษาทรัพย์สมบัติ” ที่เป็นของ”ครอบครัว วันนี้มี”คนไทยพุทธ”  อยู่ในพื้นที่ เพียง 15 %  ที่อาจจะไม่ถึง 50,000 คน หากคน”ไทยพุทธ” จำนวนนี้”โยกย้าย” ออกจาก”พื้นที่”ทั้งหมด เท่ากับความ”พ่ายแพ้” ของ”หน่วยงานความมั่นคง “ ต่อ”ขบวนการบีอารเอ็น” และ เท่ากับ”แผ่นดินปลายด้ามขวาน” จะตกเป็นของ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”โดย”พฤตินัย” เพราะเรื่องของ”ไฟใต้” จะแก้ยากขึ้น”

พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผบ.ทบ. ที่มี”อายุราชการ” ถึงปี 70  ต้อง”ตั้งหลัก” กับ”ปัญหา”ของการ”ดับไฟใต้” ให้ดี ต้องกล้าที่จะ” งัด”กับ”ฝ่ายของ”การเมือง” ที่วันนี้เรื่องของการ”ดับไฟใต้” ไม่ได้อยู่กับ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เพราะเธอยัง”อ่อนหัด” ในเรื่องของ”ปัญหาไฟใต้” ในขณะที่”ภูมิธรรม เวชยชัย” แม้จะมีตำแหน่งเป็น”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง” และ”เสนาบดี”กระทรวงกลาโหม” แต่โดยข้อ”เท็จจริง” เป็นที่”รู้กัน”ว่าการ”ดับไฟใต้” ทุก”กรณี” มาจาก”การ”สั่งการ”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต “นายกรัฐมนตรี” ผู้ซึ่งเคย”ผิดพลาด” กับการ”ดับไฟใต้” มาแล้ว ในครั้งที่เป็น”นายกรัฐมนตรี” กองทัพ จึงต้อง”เป็นหลัก” ในการ”ดับไฟใต้” รวมทั้งปัญหา”ความมั่นคง” ในทุดด้านของ”แนวชายแดน”ของ”ประเทศไทย

เรื่องการ”พูดคุยสันติสุข”ที่เป็นข้อเรียกร้องของ”ภาคประชาสังคม” ของ”เอ็นจีโอ” และของ”กลุ่มผู้ต้องการเห็น”จังหวัดชายแดนภาคใต้”เป็น”เขตปกครองพิเศษ “หรือการ”ปกครองตนเอง” นั้น วันนี้ก็ไม่”เสด็ดน้ำ” เพราะ”เงื่อนไข” ในการ”เดินหน้า” เพื่อการ”พูดคุยสันติภาพ”ใน”บริบท”ของ” สหายใหญ่”หรือ”บิ๊กอ้วน” นั้น หากมีการ”พูดคุย” หรือ” เจรจา” สถานการณ์ความ”รุนแรง” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต้อง”ยุติ”ก่อน จึงจะมีการ”พูดคุย” และต้อง”พูดคุย”กับ”ผู้มี”อำนาจ” อย่าง”แท้จริง” ของ”บีอาร์เอ็น” เท่านั้น และขอให้มีการ”เปลี่ยนตัว” หัวหน้าคณะ”พูดคุย” ของ”บีอาร์เอ็น” จาก”หิพนี มะเระ” เป็น “บุคคล”อื่นๆ……ก็เห็นด้วยว่าถ้าจะ”พูดคุย”ต่อไป เรื่องแรกที่ต้อง”ยุติ” คือ”ปัญหาความรุนแรง” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต้องไม่ได้ ส่วน”เงื่อนไข” ที่ต้องการ”พูดคุย”กับ”ตัวจริง” ของ”บีอาร์เอ็น” น่าจะยากยิ่งกว่าการ”เข็นครกขึ้นภูเขา” เพราะ” วันนี้”บีอาร็เอ็น” เป็น”องค์กรลับ” ที่”หน่วยงานความมั่นคง”ก็ยังไม่รู้ว่า”โครงสร้าง”ของ”บีอาร์เอ็น” ใน”รัฐกลันตัน” มีใครเป็น”ประธาน” มีใครเป็น”เลขาธิการ” มีใครเป็น”ผู้นำจิตวิญญาณ” และทั้งสามคนใครเป็น”ผู้มีอำนาจ” เมื่อ”หน่วยงานความมั่นคง” ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใคร” คือผู้นำบีอาร์เอ็น” แล้วจะไป”เรียกร้อง”ขอ”พูดคุย”กับ”แกนนำ” ที่เป็น”ตัวจริง” ได้อย่างไร สุดท้ายก็จะถูก”ผู้อำนวยความสะดวก” ในการ”พูดคุย”ที่เป็น”ตัวแทน”ของ”รัฐบาลมาเลเซีย” ทำการ”อุปโหลก” คนใน”ขบวนการบีอาร์เอ็น” คนใดคนหนึ่ง ขึ้นมาเป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” นี่ก็เป็น”ตัวแทน” ที่ไม่ใช่”ประธาน” หรือ”เลขาธิการ” หรือ”ผู้นำจิตวิญญาณ” มาเป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” ที่ไม่ต่างอะไรกับการ”พูดคุย” ที่ผ่านมา

เรื่องนี้ต้องถาม”ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ”สมช.” ว่า “สมช. ณ วันนี้ มี”รายละเอียด” ที่เกี่ยวกับ”โครงสร้าง”ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” แค่ไหน อย่างไร กล้าที่จะ”เปิดเผย” หรือไม่ว่า “บีอาร์เอ็น” มีใครเป็น”ประธาน” มีใครเป็น”เลขาธิการ”มีใครเป็น”ผู้นำจิตวิญญาณ “ ประเด็นนี้” สมช.” ต้อง”เปิดเผย” และต้อง”ชี้เป้า”ไปยัง”ผู้อำนวยความสะดวก” ในการ”พูดคุย” ว่า” เราต้องการที่จะ”พูดกับใคร” ใน”ขบวนการบีอาร์เอ็น” เอาให้ชัด  ถ้า”ชี้เป้า” แล้วถูก”ปฏิเสธ” ก็แสดงให้เห็นว่าทั้ง” มาเลเซีย” และ”บีอาร์เอ็น” ไม่มีความ”จริงใจ” ในการใช้”เวทีการพูดคุย” เพื่อ”ยุติ” ปัญหาความ”ขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้น วันนี้จึงค่อยประกาศที่จะไม่”พูดคุย” เพราะ”ป่วยการ” ในการใช้”งบประมาณ” ในสิ่งที่ไม่”เกิดประโยชน์”กับ”ขบวนการ”ของการ”ดับไฟใต้”……และที่น่า”อิดหนาระอาใจ” คือการ”ชัดเข้าชักออก” ของ”ทักษิณ ชินวัตร”ที่ผ่านทาง”ร่างทรง”ของ”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง”ในเรื่องตัว”บุคคล” ที่จะทำหน้าที่ในการเป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” ก่อนหน้านี้มีชื่อของ”พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก” เป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” โดยให้”แสดงฝีมือ” ตั้งแต่เดือน”กุมภาพันธ์” เพื่อให้ไป”พูดคุย” แสดงฝีมือ” ให้”เดือนรอมฎอน” เป็นเดือนแห่ง”สันติ” ไม่ใช่”รอมฎอนเลือด” แต่ หลังจากที่ไม่เป็นผล เพราะ”รอมฎอน” ของ”ปีนี้” ยังมี”เหตุรุนแรง” เกิดขึ้นทั้งเดือน สุดท้ายจึงมี”กระแสข่าว”การ”เปลี่ยนตัว” ผู้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะพูดคุย จาก” พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก “เป็น” พล.อ.ชินวัตร แม้นเดช” อดีต” รองแม่ทัพภาคที่ 4 “ซึ่งกว่าจะมีการ”ตกผลึก” ยังไม่รู้ว่าจะ”เปลี่ยนตัวเล่น”อีกหรือไม่ และที่สำคัญ”ตัวเล่น” ที่มีความ”เหมาะสม” ในเรื่องของการทำหน้าที่”หัวหน้าคณะพูดคุย” เหลือน้อยมากแล้ว

เรื่อง”การเมืองท้องถิ่น” การ”เลือกตั้ง” ผู้บริหารและสมาชิก “เทศบาลนคร,เทศบาลเมือง”และ”เทศบาลตำบล” ที่เข้าสู่”โค้งสุดท้าย” ที่ไม่มี”ปรากฏการ” ของ”คืนหมาหอน” คณะกรรมการ การเลือกตั้ง หรือ” กกต. “ อย่าได้”เข้าใจผิด” ว่าไม่มีการ”ขายสิทธิ์”และ”ซื้อเสียง” เพราะ”การเลือกตั้ง” ทุกระดับของ”ประเทศไทย” เขามีการ”บริหารจัดการ” ในการ”ซื้อเสียงล่วงหน้า” ก่อนวัน”เลือกตั้ง”ไม่ต่ำว่า 7 วัน ดังนั้นเรื่องของ”คืนหมาหอน” จึงกลายเป็น”ตำนาน” ของการ”เลือกตั้ง”ไปแล้ว ก็ขอให้”ประชาชน” คิดให้ดี คิดให้ถูก คิดให้ถี่ถ้วน” ว่าจะ”เลือก”เพื่อ”แลก”กับ”เงิน” หรือเพื่อ”แลก”กับการได้”นักการเมือง” ที่ไม่”คอรัปร์ชั่น” และมี”วิศัยทัศน์” ในการ”พัฒนาบ้านเมือง”……แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัวดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ ปัญหาเรื้อรังที่รัฐไร้ทางแก้?

เรื่องของ”การเมือง” ณ ห้วงเวลานี้ ทุกภาคส่วนของสังคมไทย ต่างให้ความ”สนใจ” ในการ “ติดตามความเคลื่อนไหว” ของการ”ปรับ ครม.อิ๊งค์ 2” เพราะ”กระแสข่าว” การ”ปรับ ครม.” ถูก”สื่อทุกแขนง” นำมาเสนอจนกลายเป็น”ข่าวทุกชั่วโมง” รวมทั้ง”กูรู” ทาง”การเมือง” ทุกสำนัก ต่างก็ออกมา”ฟันธง” ว่า” เพื่อไทย” กำลัง”ไปไม่รอด” การที่จะ”อยู่รอด” เพื่อให้” แพทองธาร ชินวัตร” สามารถ”ไปต่อ”ใน”เก้าอี้” นายกรัฐมนตรี ต่อไป มีทางเดียวคือการ”ปรับ ครม. ซึ่งกลายเป็นว่าการ”ปรับ ครม.” ครั้งนี้ อาจะไม่มีส่วน”เกี่ยวข้อง”กับ”ประชาชน” แต่เป็นการ”ปรับ” เพื่อให้”แพทองธาร ชินวัตร” มีความ”มั่นคง” ในตำแหน่ง”นายรัฐมนตรี” เพราะ “เพื่อไทย” ยังไม่พร้อมที่จะ “ยุบสภา” เพื่อการ”เลือกตั้ง” ครั้งใหม่……แต่ สุดท้าย เมื่อดู”ลมล่าง ลมบน” และ”พยากรณ์อาการ” ทางการเมือง ยังเชื่อว่าการ”ปรับ ครม.” ครั้งนี้ เป็นการ”ปรับเล็ก” ในส่วนของ”เพื่อไทย” เพื่อเป็นการ”พยายาม” ที่จะ”ตอบโจทย์” เรื่องของ”ปัญหาปากท้อง” ของ”ประชาชน” ที่”เดือนร้อน” ทั้ง”แผ่นดิน” จากความ”ล้มเหลว” ในการ”บริหาร”เศรษฐกิจ” ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” ที่ทำให้เกิด”สภาวะ” ที่”สินค้าอุปโภค บริโภค แพงทั้งแผ่นดิน” ในขณะที่”ผลผลิตทางการเกษตร” อยู่ใน”สภาวะ”ที่เรียกว่า” ถูกทั้งแผ่นดิน” ส่วน”ค่าแรง ค่าจ้าง” ไม่สามารถ”ปรับขึ้น”ได้ เพราะถูก”ขัดขวาง” โดย”กลุ่มทุน” จนทำให้”ปรับค่าแรง”ไม่ได้ และหากมีการ”ปรับ”เฉพาะในส่วนของ”เพื่อไทย” ก็ไม่น่าจะช่วยให้”ภาพลักษณ์” ของ”รัฐบาล” ดีขึ้น เพราะ”นักการเมือง” ที่”เห็นหน้าค่าตา” ว่าจะมาเป็น” เสนาบดี” กระทรวงต่างๆ ที่เป็นของ”เพื่อไทย” ไม่ได้มี”ชื่อชั้น” ในการเป็น” มือดี” ที่”ดีกว่า” ผู้เป็น” เสนาบดี” ที่ถูก”ปรับออก” จึงกลายเป็นการ”ปรับ ครม.” ของ”เพื่อไทย” ที่หากเป็นการ”ปรับเล็ก” เฉพาะในส่วนของ”เพื่อไทย” เป็นเรื่อง”สมบัติผลัดกันชม” ที่อาจจะไม่ได้”ตอบโจทย์” กับปัญหาความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน”

ส่วนที่มีการ”วิพากษ์วิจารณ์” จาก”ผู้ที่ตั้งว่าเป็น”กูรู” ที่”รู้ทุกเรื่อง” ที่ออกมา”จ้อ” ผ่านรายการ”ทีวี” ทุกช่อง ว่าการ”ปรับ ครม.”ครั้งนี้ จะมีการ”เตะทิ้ง” พรรคร่วมอย่าง” ภูมิใจไทย” ใน”ฐานะ” ที่ทำตัวเป็น” ภูมิใจขวาง” นโยบายของ”เพื่อไทย” นั้น เชื่อเถอะ “เพื่อไทย” คิดได้ แต่”ไม่กล้าทำ” เพราะระหว่าง”เพื่อไทย” กับ”ภูมิใจไทย” ยังมี”หลายอย่าง” ที่ยังต้อง”พึ่งพาอาศัย” ในการ”ขับเคลื่อน”ของ”รัฐนาวา” ที่นำโดย แพทองธาร ชินวัตร  ดังนั้น”ภูมิใจไทย” ยังคงเป็น”พรรคร่วมรัฐบาล” ต่อไป และ”เพื่อไทย” ก็ไม่กล้าที่จะยึด”มหาดไทย” คืนจาก” ภูมิใจไทย” แม้ “นายกรัฐมนตรี” จะมี”อำนาจ” ในการ”ปรับ ครม.”โดยไม่ต้อง”บอกกล่าว” กับ”พรรคร่วม” เช่นเดียวกับ”พรรคร่วม” อื่นๆ ที่ยังคง”เกาะเก้าอี้” ในตำแหน่ง” เสนาบดี” กระทรวงต่างๆ ต่อไป ดังนั้น “คนไทย” จึงต้อง”ทำใจ” กับการ”ปรับ ครม.” ครั้งนี้ว่า ไม่ได้ทำให้”ประเทศชาติ” และ”ประชาชน” ดีขึ้น…..ยก เว้น”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็น”สทร.” กล้าที่จะ”หักดิบ” ลูกสาวของ ตนเอง และ”พรรคร่วม” โดยใช้”อำนาจ” ของ” นายกรัฐมนตรี” ในการ”หักด้ามพร้าด้วยหัวเขา” ด้วยการ”ปรับใหญ่” ยึดเอา”กระทรวงสำคัญ” อย่าง”มหาดไทย, ศึกษาธิการ” จาก” ภูมิใจไทย” และยึด”กระทรวงพลังงานจาก” จาก”รวมไทยสร้างชาติ” กลับมาเป็นของ”เพื่อไทย” เพื่อเป็นการ”กดดัน” ให้”  พรรคที่ไม่พอใจ” ลาออกจากการ”ร่วมรัฐบาล” โดยไม่ต้อง”เขี่ยออก” ซึ่งหากมีการ”ปรับใหม่” อย่างนี้ ก็ เชื่อได้ว่า” ทักษิณ ชินวัตร” มีแผนในการ”ขับเคลื่อน”นำ”รัฐนาวา” ของ” เพื่อไทย” โดย” แพทองธาร ชินวัตร” โดยพร้อมที่จะ”รับแรงกระแทก” ทาง”การเมือง” และ”สูตรนี้” เป็นการ”กระชับอำนาจ” เพื่อให้”เพื่อไทย” ได้ทำตาม”นโยบาย” ที่ต้องการ และเตรียมที่จะ”ยุบสภา” เพื่อ”คืนอำนาจ” ให้กับ”ประชาชน” เพื่อ”เลือกตั้ง” ใหม่

นั้นเป็นเรื่อง”ปรับ ครม.” ที่ถูกสร้างให้เป็น”กระแส” จาก” สื่อมวลชน” และ” กูรู” ทาง”การเมือง” ที่ ทำตัวเป็น”พยาธิในท้อง”ของ” บุรุษ”ที่เป็น”สทร.”ซึ่งคนที่ถูก”วิพากษ์วิจารณ์” อาจจะถูก” สรท.” หัวเราะก๊าก หรือ”ขำกลิ้ง” เพราะสุดท้ายการ”ปรับ ครม” เป็นไปตามสูตรของ”สทร.” ที่ไม่เหมือนกับการ”วิพากษ์วิจารณ์” ของ” สื่อมวลชน” และ”กูรู” ทาง”การเมือง” ก็เป็นได้ และอาจจะไม่ใช่การ”ปรับ ครม.” ในเร็วๆนี้ก็เป็นได้ เพราะ”การเมือง” ใน”สมัยการปิดประชุมสภาฯ” ไม่มี”ผลทางการเมือง” จึงไม่ต้อง”เร่งร้อน” รอให้”กระแส”และ”ความอยาก” ของ”คนการเมือง”  หมดไปก่อน จึงค่อย”ปรับ ครม.” ก็ไม่สาย “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”

แต่ เรื่องที่ เดือดร้อน แล้วสำหรับ”ประชาชน” ที่อยู่ในภาค”เกษตรกร” เพราะ”ยางพารา” ที่ ก่อนหน้านี้” รัฐบาล” และ”การยางแห่งประเทศไทย” ออกมา”คุยนักคุยหนา” ว่า”ราคายาง” จะไปสู่”เลขสามหลัก” แต่วันนี้”ราคาน้ำยางสด” เหลือเพียง กิโลกรัมละ 50 กว่าบาท“ยางก้นถ้วย” กิโลกรัมละ 25 บาท “เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” จะอ้างว่ามาจากการ”ขึ้นภาษี”ของ” สหรัฐอเมริกา” คือสาเหตุของ”ราคายางตกต่ำ” เพราะ”ลึก” ลงไป การที่”ราคายางตกต่ำ” มาจาก”พ่อค้าคนกลาง” ที่”ฉวยโอกาส” การประกาศ”ขึ้นภาษี” ของ”โดนัลด์ ทรัมป์”เป็น”ข้ออ้าง” การเป็น” เสนาบดี”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้อง”มีกึ๋น”ในการแก้ปัญหา ไม่ใช่คิดแต่ใน”ขอความร่วมมือ” จาก” พ่อค้าคนกลาง” ให้”ช่วยขึ้นราคา” ในเมื่อ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มี”กฎหมาย” ในการใช้”จัดการ” กับ”พ่อค้าคนกลาง” ที่”ฉวยโอกาส”..…เช่นเดียวกับความ”เดือดร้อน” ของ”เกษตรกรชาวสวนปาล์ม” ที่ “รัฐบาล” ปล่อยให้” ราคาปาล์ม” จาก”กิโลกรมละ 12 บาท” เหลือเพียง “กิโลกรัมละ 4 บาทกว่า โดยที่ไม่”แจ้งสาเหตุ” และ”ไม่มีการการ”แก้ปัญหา” และไม่มี”แผนในการรองรับ”

วันนี้ “ปาลม์” ใน”สวนปาล์ม” ของ”เกษตรกร”ถึงเวลาในการ”เก็บเกี่ยว” เพื่อ”ส่งขาย” ในขณะที่”ลานเท” ที่รับซื้อ”ผลผลิต” และโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม” ปิด”ลานเท” ปิดโรงงาน” โดยอ้าง”ผลผลิต” มากเกินกำลังในการผลิต การบริหารประเทศของ”รัฐบาล”ที่ไม่”รับรู้” ความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน” และไม่”กระตือรือล้น”กับการ”แก้ปัญหา” ทั้งที่เป็นเรื่อง”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศชาติ” เรื่องทั้งหมดต้องโทษผู้ที่เป็น”ต้นน้ำ” คือ” ผู้แทนราษฎร” ในพื้นที่ ซึ่งเป็น”ตัวแทน” ของ”ประชาชน” ที่ไม่ได้นำ”ปัญหา”ความ” เดือดร้อน” ของ”ประชาชน”ไป”ขับเคลื่อน” ใน”สภาผู้แทน” เพื่อให้” รัฐบาล” และ”กระทรงเกษตรและสหกรณ์” ได้รับทราบ ส่วน”กลางน้ำ” คือ” หน่วยงานของรัฐ” ในพื้นที่” ตั้งแต่”พาณิชย์จังหวัด “ เกษตรจังหวัด นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่”วางเฉย” เพื่อรอให้”ปัญหาปะทุ” จนมาถึง”ปลายน้ำ” คือ” เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่รอให้”ฝีแตก” จึงออกมา”รับลูก” ซึ่งกลายเป็นเรื่องของ” ถั่วสุกงาไหม้” เสียหาย และ ไม่ทันการ ก็ไม่ทราบว่า ทำไม” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ”รัฐบาล” ต้องรอให้”เกษตรกรทั่วประเทศ ออกมา”ประท้วง” เสียก่อน จึงจะมีการ”แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน” ทั้งที่ โดยข้อ”เท็จจริง” ในทุกจังหวัดต่างมี”กลไก” ของ”รัฐ” ที่ต้อง”รับรู้” ถึงทุกเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง”ผลผลิต” ทางการ”เกษตร”จึง”ลุกลี้ลุกลน” ออกมาแก้ปัญหา เพราะอย่างนี้กระมัง”ประชาชน” จึง”เสื่อมศรัทธา” รัฐบาลของ”แพทองธาร ชินวัตร” อย่าง”รวดเร็ว” ที่เข้ามาบริหารประเทศยังไม่ถึงปี

เรื่องความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน” ใน”ภาคใต้” มีการนำไป”ปราศรัย” อย่าง”อึงคะนึง” ในเวทีการ”หาเสียง” เพื่อ”เลือกซ่อม” ผู้แทนราษฎรเขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช แสดงให้เห็น”พรรคการเมือง” ทุกพรรค รู้ถึงความ”เดือดร้อน” ของ”คนภาคใต้” ในทุกเรื่อง แต่ “เชื่อเถอะ “ หลังหมดหน้าการ”หาเสียง” หลังจาก”พรรคการเมือง” ได้”สส.” เป็นที่เรียบร้อย เรื่องความ”เดือดร้อน” ของ”คนภาคใต้” ก็จะหายเข้า”กลีบเมฆ” และ นี่กระมัง ที่ทำให้”ประชาชน” เลือกที่จะ”รับเงิน” ในการ”เลือกตั้ง” เพราะ “ประชาชน” เห็นถึง”สันดอน” ที่แท้จริงของ”การเมือง” ที่ไม่มี”พรรคการเมือง”ไหนที่”จริงใจ” กับการแก้”ปัญหา” ความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน” การ”เอาเงิน” เพื่อไป”เลือกตั้ง” ถือเป็น”กำไร”…..เรื่องการ”เลือกซ่อม” ผู้แทนราษฎร ที่ เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช แม้จะ”จบสิ้น” ไปแล้ว แต่ก็ต้องเขียนถึง”ปรากฎการ” ของการ”เลือกตั้งซ่อม” ที่มีการ”ซื้อเสียง” จาก”พรรคการเมือง” บางพรรค”อย่าง”มโหราฬ” ซื้อแบบ”ปูพรม” มีการ”กวาดต้อน”บุคคลในพื้นที่ ซึ่งเป็นคนใน”เครื่องแบบ” เป็น”เครือข่าย” เพื่อใช้ในการเป็น”เครื่องมือ”ของการ”ซื้อเสียง” แบบที่ไม่มีใคร”คาดคิด”ว่า”เสียงเดียว” ของการ”เลือกตั้งซ่อม” จะมีความ”สำคัญ” ถึงขนาดนี้  ดังนั้น”ฟันธง” ไว้เลยว่า”การเมืองไทย” ระบบ”ประชาธิปไตย” แบบไทยๆ นับวันยิ่ง”เลวร้าย” และ”ไร้ความหวัง” ที่จะเห็น”การเมืองสีขาว” เพราะ”เงิน” ที่ใช้”ปูพรม” ในการ”ซื้อเสียง” ครั้งนี้เป็น”เงินสีเทา” ที่มาจาก”บ่อนออนไลน์” ตำรวจ ต้อง ดำเนินการ”ปราบปราม” การพนัน”ออนไลน์” ให้หมดไปจาก”ภาคใต้” ซึ่งวันนี้ “สงขลา, นครศรีธรรมราช, สุราษฏร์ธานี,ระนอง, ภูเก็ต” ยังเต็มไปด้วย”บ่อนออนไลน์” ที่เป็นของ”นักการเมือง” นอกจากนั้น “เงินสีเทา” ที่ถูกนำมาทำ”กิจกรรมทางการเมือง” ยังมาจากการ”ค้าน้ำมันเถื่อน” ที่ทำกันอย่าง”เสรี”

ส่วน ชายแดนจังหวัดสงขลาเรื่องเก่า เรื่องเดิม ที่ยังไม่ได้แก้ หรือยัง”ปล่อยปละละเลย”เช่นการ”ส่งออกยางพาราเถื่อน” โดยไม่มีการ”เสียภาษี” สร้างความ”เสียหาย” ให้กับประเทศชาติในเรื่องของ”ภาษี” และ”งบประมาณแผ่นดิน” การนำเข้า”ปลากะพง”จาก”ประเทศมาเลเซียโดยการ”หนีภาษี” ซึ่งนอกจากผิด”พรบ”ศุลกากร”แล้ว “นักวิชาการ” ยังพบว่า”ปลากะพง” จาก”ประเทศมาเลเซีย” มี”สารตกค้าง” ที่เป็น”อันตราย” ต่อผู้”บริโภค” และที่สำคัญเป็นการ สร้างความเดือดร้อนให้กับ”เกษตรกร” ผู้”เลี้ยงปลากะพง” ใน “จังหวัดสงขลา” และ”ใกล้เคียง” เนื่องจาก” ปลาหนีภาษี” มีการนำมา”ขายในราคาถูก”….. และวันนี้”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน”ใน”จังหวัดสงขลา” มีการใช้”รถบรรทุกสินค้า” หรือ”รถห้องเย็น” ที่วิ่ง”ระหว่างประเทศ” นำน้ำมัน”ดีเซล-เบนซิน” ซุกช่อนมากับ”ห้องเย็น” และ”ดัดแปลง” ติดถังน้ำมันเพิ่มขึ้น”ใต้ท้องรถ” สามารถนำน้ำมันเถื่อน เข้ามาส่งขายให้กับ”คอกน้ำมัน” ในพื้นที่ คันละ 5,000 ลิตร ล่าสุด  พ.อ.ธนพล นุ้ยสุข “ รอง ผบ.ฉก. ร 5 จับกุมได้ ทั้งรถ ทั้งของกลาง และ คนขับ” ซึ่งให้การ”สารภาพ” ว่า เป็นเพียง”ผู้รับจ้าง” ทำตามคำสั่งของ”นายทุน” โดยการซื้อ”น้ำมันดีเซลเถื่อน” จาก”ฝั่งมาเลเซีย” ในราคาลิตรละ 20 บาท นำผ่าน”ด่านศุลกากรสะเดา” ไปส่งให้”คอกน้ำมัน” ที่”บ้านฉลุง” ต.”ทุ่งตำเสา” อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

คำถามคือ”เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรอยู่กันอย่างไร จึง”ปล่อยปละละเลย” ให้”รถบรรทุกหัวลาก” ที่”วิ่งระหว่างไทย-มาเลเซีย –สิงคโปร์” เข้าไป”บรรทุกน้ำมันเถื่อน”ได้ เพราะ “กฎหมาย” ไม่”อนุญาต” ให้รถที่ไม่มีการ”บรรทุกสินค้า”เพื่อการ”ส่งออก”วิ่ง”เข้า-ออก” ระหว่างประเทศ และประเด็นต่อมา “รถที่มีการ”ซ่อนน้ำมันเถื่อน” หรือ”สินค้าเถื่อน” มาใน”ห้องเย็น” ผ่าน”ด่านศุลกากร”ได้อย่างไร  และเมื่อ”รถบรรทุกห้องเย็น” เหล่านี้ มีการ”ซุกซ่อนน้ำมันเถื่อน” จำนวน 5,000 ลิตร มาได้ ก็เป็นไปได้ว่า”รถบรรทุกห้องเย็น” เหล่านี้ ก็สามารถ”นำของเถื่อน” อื่นๆ เช่น” เนื้อเถื่อน” หรือ”รถยนต์หลบหนีภาษี” เข้ามาใน “ประเทศไทย” ได้เช่นกัน เรื่องนี้”ภานุ ลิ้มวงศ์ยุติ” นายด่านศุลกากรสะเดา จ.สงขลา ต้อง”สอบสวน” ข้อเท็จจริง และ “นิรมล ศรีวุฒิชาติ “ผอ.ส่วนควบคุมศุลกากร และ”อังกูร เรืองสุข” หน.ฝ่ายป้องกันและปราบปรามศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ต้อง เร่ง ทำหน้าที่ในการ”ป้องกัน” และ”ปราบปราม” ให้ “เข้มแข็ง”และที่สำคัญ”บ่อน้ำมันเถื่อน” ที่”ฉลุง” เป็นของ”นายทุนคนไหน” ทำไมในการ”จับกุม” เมื่อ”ผู้ต้องหา”ให้การ”สารภาพ” แล้ว จึงไม่มีการติดตามไป”ตรวจสอบ” เพื่อ”จับกุม”แหล่งที่”เก็บกัก” น้ำมันเถื่อน เรื่องนี้เห็นที่ต้องฝากให้” พ.ต.อ.ภูวรา แก้วพารัตน์” ผกก.สภ.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าของพื้นที่”บ้านฉลุง” ตรวจสอบด้วย….โดยเฉพาะในเรื่อง”การขอ”นำเข้าน้ำมันดีเซล” และ”เบนซิน” จาก”ประเทศมาเลเซีย” เพื่อส่งไปยัง”ประเทศที่สาม” เช่น”ส ปป.ลาว,กัมพูชา,เมียนมา” วันละ 10 -20 คันรถเทรเลอร์ มีการ”ตรวจสอบ” หรือไม่ว่ามีการ” ส่งจริง” ไปยัง”ประเทศเหล่านั้น หรือนำมา”จำหน่าย” ใน”ประเทศไทย” โดยการส่งเพียง”เอกสาร” ให้กับ”ด่านปลายทาง” อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่อง” ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติ” ที่นอกจากได้”กำไร” จาก”ส่วนต่าง” ของ”น้ำมันเถื่อน” แล้ว ยังมีการขอ”คืนภาษี” ซึ่งเป็นการ”ฉ้อฉล” เป็นการ”ทุจริต”

อีกเรื่อง คือ”ถนนทางหลวงชน” สาย”คลองแงะ-คลองหอยโข่ง” ระหว่าง อ.สะเดา อ.คลองหอยโข่ง-สนามบินหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ เป็น”ทางลัด”จาก” อ.หาดใหญ่”ไปยัง”ชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นถนน”สองเลน” แต่การ”จราจรพลุกพล่าน” เพราะ”รถบรรทุก,รถเทรเลอร์” ต่างใช้เส้นทางดังกล่าว เพื่อ”หลบหลีก” ด่าน”ชั่งน้ำหนัก” ที่ “จุดตรวจทุ่งลุง” อีกไม่นานถนนสายนี้คง”พังทลาย” จากการ”บรรทุกน้ำหนักเกิน” เรื่องนี้”ขนส่งจังหวัด” ทำไมไม่”จัดการ” โดยเอา”ตาชั่ง” ไปตั้งในถนนสายดังกล่าว” …… และที่ สำคัญกว่านี้ “ถนนสายคลองหอยโข่ง” ยังเป็น”เส้นทาง” ของ”ขบวนการค้าของเถื่อน” จาก”ชายแดนปาดังเบซาร์ และ”จาก”สำนักนักขาม “ อ.สะเดา จ.สงขลา ที่วิ่งกันทั้ง”กลางวัน” และ”กลางคืน” กลายเป็น” เส้นทางเศรษฐกิจ” ของ”ขบวการค้าของเถื่อน” และของ”เจ้าหน้าที่” ซึ่งมีการไป”ตั้งด่านลอย” แต่ไม่เคยมี”ผลงาน” ในการ”จับกุม”รถเทรเลอร์” ที่”ผิดกฎหมาย” และ”ขบวนการค้าของเถื่อน” ให้เห็น”ผลงาน” แต่อย่างใด จับได้เพียง”พรบ.จราจร”ที่คนทำผิดคือคน”ในพื้นที่เท่านั้น” เรื่องนี้ฝากให้” พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฏ์” ผบก.ภ.จว.สงขลา ช่วย”สั่งการ” ให้จับ”ขบวนการค้าของเถื่อน” เพื่อให้สมกับที่เป็น”ด่านลอยเพื่อความมั่นคง”ด้วย เพราะ”ประชาชน” ถามว่าการตั้ง”ด่านลอยเพื่อความมั่นคง” ใน”ถนนสายดังกล่าว” เป็น”ความมั่นคง” ของ”ใคร

เรื่องของ”เมืองท่องเที่ยว” อย่าง”จ.ภูเก็ต” ที่มีการแก้ปัญหาเรื่องการ”บุกรุกที่ดิน” มาเป็นเวลาหลายปี แต่ วันนี้การ”บุกรุกที่ดิน” ใน จ.ภูเก็ต ทั้ง”ที่ดินในเชิงเขา” และ”ที่ดินชายหาด” ยังมีการ”บุกรุก” เข้าทำการ”ครอบครอง” ทั้งจาก”นายคนไทย” และ”นายทุนต่างชาติ” ล่าสุด “เจ้าหน้าที่ป่าไม้” และ”ที่ดิน” ทำการยึดที่ดิน”ชายหาด” ที่ถูก”บุกรุก”ได้อีก 1 แปลง ที่สำคัญ วันนี้”ภูเก็ต” เป็นพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วย”มาเฟีย” ทั้ง”ต่างชาติ” และ”นายทุน”ทั้งใน”และ”จาก”นอกพื้นที่” เรื่องทั้งหมด”อนุทิน ชาญวีรกุล” เสนาบดี”มหาดไทย”และ” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์” ผบ.ตร. ต้อง”ไขลาน” เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ให้”สนใจ” ในการ ทำหน้าที่ มากกว่านี้……เรื่องการเข้ามา”ท่องเที่ยว” ของ”นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เป็นเรื่องดี แต่ที่ปล่อยให้”นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เข้ามา”เปลือกกายแก้ผ้า” ทำ”กิจกรรม” และ”เมามายเละเทะ” อย่างที่เกิดขึ้นที่”ชายหาดเกาะพะงัน” อ.เกาะพงัน จ.ราษฎร์ธานี เป็นเรื่องที่”ต้องระวังป้องกัน” เรื่องนี้เป็น”หน้าที่”ของ”นายอำเภอ” และ”ผู้กำกับ” และ”ตำรวจท่องเที่ยว” ต้องมีความ”เข้มงวด” และต้อง”บังคับใช้กฎหมาย” โดยไม่มีการ”ละเว้น”

ส่วนนี้ก็เป็นเรื่อง” คาราคาซัง” ในหลายจังหวัดของภาคใต้ ทั้งที่”จังหวัดกระบี่,จังหวัดสุราษฎ์ธานี” และ”จังหวัดชุมพร” นั้นคือเรื่อง”สวนปาล์ม” ที่”หมดสัมปทาน” แล้ว” แต่”หน่วยงานราชการ” ไม่เข้าไป”ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย” ปล่อยให้”นายทุนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์” และ”กลุ่มอิทธิพล” ทำการ”บุกรุก”เข้า”ครอบครอง”กลายเป็นความ”ขัดแย้ง” ยกพวกเข้า”เข่นฆ่า” กันมานานกว่า 10 ปี ล่าสุด “ชาวบ้าน”กว่า 300 คน “บุกศาลากลาง” ทวงถามความ”ชัดเจน” จาก”เธียรชัย ชูกิจวิบูลย์” ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร  เพื่อให้ยืนยันว่า “สวนปาล์ม” ที่”หมดสัมปทานแล้ว”ในพื้นที่”ต.รับร่อ-สลุย” จำนวน 20,000 กว่าไร่  ทำไมจึงมี”นายทุน” เข้าไป”เก็บผลผลิต”ได้ และ”ประชาชน” ที่เป็น”คนยากคนจน” ต้องการให้นำ”ที่ดินสวนปาล์ม” ที่หมด”สัมปทาน”แล้วมา”แจกจ่าย” ให้กับ”คนจน”ได้มีที่”ทำกิน” นี่คือความ”ล้มเหลว” ของการ”บริหารราชการแผ่นดิน” ที่ไม่” สามารถบริหารจัดการ”กับ”ปัญหา” ที่เกิดขึ้น ทั้งที่บ้านเมืองมี”กฎหมาย” มี”ตำรวจ” มี”อัยการ” มี”ศาลสถิตยุธรรม” เป็น” เครื่องมือ” แต่ไม่สามารถใช้”กฎหมาย” ในการ”แก้ปัญหา” ที่เกิดขึ้น เรื่องนี้”ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร” จะแก้อย่างไร หรือจะ”นั่งทับ”ปัญหาเอาไว้ เพื่อให้เป็น”ระเบิดเวลา” ให้เป็น”ชนวนเหตุ”ของความ”ขัดแย้ง”ต่อไป และถ้าทุกปัญหาเป็นเรื่องที่”รัฐบาล” ต้อง”แก้ไข” แล้วจะมี”นายอำเภอ” และ”ผู้ว่าราชการจังหวัด”ไว้ทำอะไร

งวดเข้ามาทุกขณะ สำหรับการ”เลือกตั้งท้องถิ่น” ระดับ”เทศบาล”ซึ่งใน”ภาคใต้” มีหลายสนามที่น่าสนใจ เพราะมีการ”แข่งขัน”กันอย่าง”ดุดัน” เช่น” เทศบาลนครหาดใหญ่” ที่”โค้งสุดท้าย” เป็นการ”ต่อกร” ระหว่าง”เพื่อนกับเพื่อน”คือ” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” ผู้สมัครหายเลข 1 “ทีมหลวงคร” กับ”ณรงค์พร ณ พัทลุง” ผู้สมัครหมายเลข 2 “ทีมปลัดแป้น”…..ส่วนที่ เทศบาลเมืองปัตตานี  “พิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์” อดีต”นายก 4 สมัย ที่”สอบตก” เมื่อ 4 ปี ก่อน “เสียงตอบรับ”จาก”ประชาชน” ยัง”อุ่นหนาฝาคั่ง” มีโอกาสที่จะ”รีเทิร์น” กลับมาเป็น” นายกเทศมนตรี” สมัยที่ 5 ค่อนข้าง”ชัวร์” ส่วนที่”เทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นเมืองใน”หุบเขา” อากาศร่มเย็น” แต่”อุณหภูมิการเมือง”กลับ”สูงปรี้ด” เพราะมีการ”แข่งขัน”กันถึง 3 ทีม ระหว่าง”สกุล เล็งลัคน์กุล” หรือ”โกตุ้น” ที่เป็น”แช็มป์เก่า” กับ”ช่างใช้” หรือ”ใช้ วงศ์นิตยลัภย์” และ”ยุพราช เลิศลำยอง” อดีต”นายเทศมนตรี” ปี 2555-2562  ทั้งหมดคือ”ความเคลื่อนไหว” ของ”การเมืองท้องถิ่น” ส่วนใครจะ”เป็นหมู่”ใครจะ”เป็นจ่า” วันที่ 11 พฤษภาคม” ที่จะถึงนี้ เป็นอัน”รู้เรื่อง” แต่ทุกพื้นที่”กาคาบข่าว” บอกว่า”เงิน” คือ”ปัจจัย” สำคัญที่สุดของการ”เลือกตั้ง” …..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…มาแน่! ปรับ ครม. จับตาปรับทัพสร้างผลงาน หรือแค่สมบัติผลัดกันชม

25 เม.ย. 2025
100

ภาพใหญ่ทางการเมือง หลัง”เทศกาลสงกรานต์” ที่ผ่านความ”ชุ่มฉ่ำ” จากการ”รดน้ำดำหัว” คือความ”ร้อนแรง” ทาง”การเมือง” เรื่องการ”ปรับ ครม.” ที่เป็นข่าว”สะพัด” เกือบทุกชั่วโมง ท่ามกลางเสียง”ปฏิเสธ” จาก”แกนนำ” ของ”เพื่อไทย” ที่บอกกับ”สังคม” ว่าไม่มีอะไร”ในกอไผ่” ที่พรรคยัง”รักกัน” และพร้อมที่จะ”กอดคอ” เพื่อ”ลุยไฟ”ในการ”แก้ปัญหา” ของประเทศด้วยกัน แต่”เชื่อเถอะ” มี”มีควัน” ก็ต้อง”มีไฟ” การ” ปรับ ครม.” เกิดขึ้นแน่นอน ช้า หรือ เร็ว จะมีการ”ปรับใน ปลายเดือน เมษายน หรือ ต้นเดือน พฤษภาคม เพราะ “รัฐบาล” หรือ”เพื่อไทย” มีเวลาในการ ปรับ ครม. เพราะ ขณะนี้เป็นเวลา”ปิดสมัยประชุมสภาฯ”จึงไม่มี”ผลกระทบ”ทาง”การเมือง”……ปัญหาที่”ประชาชน” ให้ความ”สนใจ” คือ”ปรับอย่างไร” และปรับแล้ว”ประชาชน” ได้อะไร เพราะการ”ปรับ ครม.” ทุกครั้งของ”รัฐบาล” ไม่ได้ปรับเพื่อเอา” คนดี” หรือ”คนมีความรู้” ที่เข้ามาเพื่อการ”แก้ปัญหา”ของ”ประเทศชาติ” เช่นมีข่าว”สะพัด” การปรับ ครม.ครั้งนี้ “เพื่อไทย” จะยึด”กระทรวงมหาดไทยคืน” จะยึด”กระทรวงศึกษาธิการ” คืนจาก”ภูมิใจไทย” แต่สิ่งที่สำคัญคือ”เพื่อไทย” จะให้ใครมาเป็น”เสนาบดี”ของทั้งสองกระทรวงนี้ และคนที่จะมาเป็น”เสนาบดี” เก่งกว่า”ดีกว่า”อนุทิน ชาญวีรกุล” หรือ” เสี่ยหนู” และสามารถที่จะ”สร้างสุข” และ”ปลดทุกข์” ให้กับ”ประชาชน”หรือไม่ หรือจะให้ใครมาเป็น”เสนาบดี”กระทรวงศึกษาธิการแทน” พล.ต.อ.เพิ่มพูล ชิดชอบ” เสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ และจะทำให้”กระทรวงศึกษาธิการ” ดีขึ้น” โดยเฉพาะ”การศึกษา” จะมีการ”ตอบโจทย์” ของ”ประเทศ” อย่างไร นี่ต่างหากที่เป็น”หัวใจ” ของการ”ปรับ ครม.” ไม่ใช่ปรับเรื่องของ”สมบัติผลัดกันชม” ภายใน”เพื่อไทย” ที่เป็นเรื่อง”ต่างตอบแทน” ทาง”การเมือง” หรือปรับเพื่อการ”ยึดกุม” กระทรวงใหญ่ เพื่อความ”ได้เปรียบ” ในการ”เลือกตั้ง” วันนี้เห็นได้ชัดคือ”เพื่อไทย” ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” และมี”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่”ปรึกษาใหญ่” ของ”ครม.” ทำทุกอย่างไม่ใช่เพื่อให้”ประชาชน”มีการ”อยู่ดีกินดี” แต่ทำทุกอย่างเพื่อการ”กระชับอำนาจ” ให้”เพื่อไทย” และ”แพทองธาร ชินวัตร” อยู่ใน”อำนาจ” ให้นานที่สุด จนกว่าจะมี”โอกาส”มีความ”ได้เปรียบ” ทาง”การเมือง” เพื่อ”ยุบสภาฯ” เพื่อการ”เลือกตั้ง” ครั้งใหม่

วันนี้”ประชาชน” ได้รับความ”เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า” จากเรื่อง”ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ” และ”สินค้าแพง” ส่วน”ค่าแรงถูก” กระทรวงที่ต้องเร่งในการปรับเปลี่ยน” เสนาบดี” คือ”กระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์”กับ”กระทรวงพาณิชย์” รวมทั้ง”กระทรวงพลังงาน” ที่มีแต่”ราคาคุย” แต่ไม่สามารถแก้ปัญหา”พลังงาน” ให้ประชาชนได้ใช้”ไฟฟ้า” ใช้”ก๊าซ” ให้”น้ำมัน” ในราคาที่”เป็นธรรม” วันนี้”หมูเป็น” ราคาถูก”แต่”เนื้อหมู” มีราคา”แพง”จน”คนจน” หมดสิทธิ์ที่จะ”กินเนื้อหมู” จะหันไป”กินไข่” ปรากฏว่า”ไข่ไก่” ขึ้นราคาโดยอ้างว่า”อากาศร้อน” ทำให้”ไก่ไข่น้อยลง” จนต้องขึ้นราคา วันนี้”ประชาชน” ต้องซื้อ”ข้าวสาร” ใน”ราคาแพง” และราคา”ข้าวสาร” ขยับขึ้นทุกเดือน แต่”ชาวนา” ผู้”ปลูกข้าว” ขาย”ข้าวเปลือก” ในราคา”เกวียนละ 6,000 บาท ยก”ตัวอย่าง” ให้เห็น เพียงแค่นี้ก็รู้ว่า”รัฐบาล”นี้ ไม่”ใส่ใจ” กับ”ปัญหาปากท้อง”ของประชาชน ดังนั้นถ้า”ปรับ ครม.” เพื่อการ”กระชับอำนาจ” ของ”รัฐบาล” จะ”ปรับ” หรือจะ”อยู่” อย่างที่”เป็นอยู่” ก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่มี”ประโยชน์” กับ”ประชาชน” แต่อย่างใด

เรื่อง”คอร์รัปชั่น” ที่”เบ่งบาน”ไป”ทั่วประเทศ” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเป็น”รากเหง้า” ที่นำพา”ประเทศชาติ”ไปสู่ความ”ล่มสลาย” ใน”อนาคต” วันนี้” รัฐบาล” ที่นำโดย”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ให้ความ”สนใจ” มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีเรื่อง”อาคารสูง 30ชั้น” ของ”สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน” หรือ”สตง.” เกิดขึ้น รัฐบาล” ชุดนี้จะให้ความ”สนใจ” ในเรื่องของการ”ฉ้อราษฎร์บังหลวง” หรือการ”ทุจริตคอร์รัปชั่น” หรือไม่ เพราะเกือบ 2 ปีของ”รัฐบาล”ชุดนี้ เรื่องการ”ทุจริตคอรัปชั่น” มีแต่”เบ่งบาน” มากขึ้น เพราะ”รัฐบาล”ไม่มีความ”จริงจัง” ในการ”ปราบโกง” …..ตึก สตง.ที่”ถล่มทลาย” จากเหตุ”แผ่นดินไหว” ที่”ประเทศเมียนมา” ในครั้งนี้เป็นเรื่องของ”น้ำลดตอผุด” ที่ยิ่ง”เปิดโปง” ยิ่งทำให้เห็นถึงความ”เละเทะ”  ซึ่งคาดว่าในหน่วยงานอื่นๆที่เป็น”ของรัฐ” ก็คงมีเรื่อง”ทุจริต” อย่างนี้”ซุกอยู่ใต้พรม” เป็นจำนวนไม่น้อย “รัฐบาล” ต้องถือโอกาสในการ”สะสาง”  เพื่อการ”ตรวจสอบ” หน่วยงานต่างๆ เพื่อที่จะเป็น”ผลงาน” ของ”รัฐบาล” ในการ”ปราบโกง” หรือการ”ฉ้อราษฎร์บังหลวง”เพื่อเรียก”ศรัทธา” จาก”ประชาชน”……

@เรื่องการ”ทุจริต” ในการ”ก่อสร้างที่ทำการตรวจเงินแผ่นดิน” วันนี้”สังคมไทย” ยัง”มุ่งเป้า” ไปที่”บริษัทจีน” ซึ่งเป็นผู้”ก่อสร้าง”ใน”ฐานะ” ของ”จำเลย” จน”ละเลย” ความ”เป็นจริง” ว่าการ”ถล่มทลาย”ของ”ตึก สตง,” ไม่ได้มาจากการ”ก่อสร้าง” ที่ไม่ได้”มาตรฐาน” แต่มาจากการ”ทุจริต” ที่เป็น”เนื้อร้าย” ที่ทำให้การ”ก่อสร้าง” ผิดรูป ผิดแบบ ดังนั้นคนที่ต้อง”รับผิด” และ”ติดคุก” ไม่ใช่”ผู้บริหาร”ของ”ไช่น่าเรลเวย์นับเบอร์วัน 10 (ประเทศไทย”) และ”บริษัทร่วมค้า” เท่านั้น แต่” ข้าราชการ”ที่”เกี่ยวข้อง” ต้องถูกนำตัวไปสู่”ตะแลแกง”ด้วย เพราะเป็น”ต้นเหตุ” ที่ทำให้เกิดความ”สูญเสีย” และ”เสียหาย” ทั้งต่อ”ชีวิต” ของ”คนงาน” นับร้อยคน ต่อ”งบประมาณแผ่นดิน” ต่อ”ชื่อเสียง” ของ”ประเทศชาติ”และสาเหตุ”อาคาร สตง.” ที่”ถล่มทลาย” ในครั้งนี้อาจจะนำมาถึงความ”สัมพันธ์”ระหว่าง”รัฐบาลไทย” กับ”รัฐบาลจีน” เพราะ”สื่อ” ใน”ประเทศจีนเองมีการตั้ง”คำถาม”ต่อ”รัฐบาล”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ว่า ทำไม”ความผิด” จึงอยู่ที่”คนจีน” ทั้งที่”ต้นตอ”ของ”ความผิด” มาจากเรื่อง”คอร์รัปชั่น”เรื่อง”ตึกถล่ม”ที่เกิดขึ้น”จึงกลายเป็นความ”เสื่อมเสีย” ของ”คนจีน”ที่”รัฐบาล” จีน แสดงความ”ไม่พอใจ” ใน”ฐานะ” ที่ต้องเป็น”จำเลย”แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นความ”ไม่พอใจ” ของ”รัฐบาลจีน” อาจจะ”ส่งผล” ต่อ”ประเทศไทย”ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ”การค้าและการ”ส่งออก” ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น

ชวนผู้อ่านไปดูการ”เลือก สส.เขต 8 “ ที่”จังหวัดนครศรีธรรมราช” แทน”มุกดา เลื่องสีนิล” สส.ของ”ภูมิใจไทย” ที่ถูกให้”ใบแดง” จนต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น ล่าสุดมีเสียงลือกันหนาหูว่า ในการ”เลือกซ่อม” ครั้งนี้ มีการ”ใช้เงินสีเทา” ที่มาจาก”บ่อนออนไลน์”ของ”นักการเมืองสีเทา” ซื้อเสียง เป็น”พายุ” ที่หวังเพียง”ชัยชนะ”เพียงอย่างเดียว ตาม”ใบสั่ง” ของผู้มี”บารมี” ทำเอาผู้สมัครบางคนต้อง ล้มคว่ำคะมำหงาย” ก็ต้องติดตามดูว่า”สูตรสำเร็จ” ในการใช้เงินจาก”บ่อนออนไลน์” ที่เคย”สำเร็จ” ในบางเขต”เลือกตั้ง” โดยไม่มีการ”เกรงใจ กกต.” และไม่มีความ”เกรงกลัว”ต่อ”กฎหมาย” หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องมีการ”แจกใบแดง” เกิดขึ้นอีกครั้ง

ยิ่ง”หนักหนาสาหัส”ขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ”สถานการณ์ความไม่สงบ”ที่เกิดขึ้นใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ล่าสุด”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ยิง”สามเณร” เสียชีวิต 1 รูป บาดเจ็บสาหัส 1 รูป ที่ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ก่อนหน้านี้มีการ”กราดยิง” ชาว”ไทยพุทธ” ที่ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส มี”คนไทยพุทธ” บาดเจ็บจำนวน 7 คน รวมทั้งการใช้”ระเบิดแสวงเครื่อง” ต่อ”เป้าหมาย” คือ” สภ.โคกเคียน “ อำเภอเมือง  จังหวัดนราธิวาส” ระเบิด”น้ำหนัก 70 กิโลกรัม  ที่ถูกใช้ในการ”ก่อวินาศกรรม” นอกจากทำให้”เด็กๆ”และ”ตำรวจ” ได้รับ”บาดเจ็บ” 8 ราย ยังทำลาย”ทรัพย์สิน” บ้านเรือน และ รถยนต์ ไปจำนวนหนึ่ง   สถานการณ์ของ”ไฟใต้” กำลัง”เลวร้าย” ลงไปเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่า”บีอาร์เอ็น” ต้องการใช้”ความรุนแรง” ในการ”บรรลุ”ถึง”เป้าหมาย” โดยไม่ได้”คำนึง”ถึงเรื่อง”มนุษย์ธรรม” และเรื่องของ”บาป บุญ,คุณโทษ” แต่ แปลก ที่”กลุ่มสิทธิมนุษย์ชน” และ”เอ็นจีโอ” ทั้ง”ใน และนอก พื้นที่” กลับ”เงียบกริบ” ไม่ออกมา”เคลื่อนไหว” เพื่อ”ประณาม” การ”ปฏิบัติการ”ของ”บีอาร์เอ็น” แต่อย่างใด รวมทั้ง”โอไอซี” ซึ่งเป็น”องค์กรอิสลามโลก” ก็”เงียบเหมือนเป่าสาก” ไม่เหมือนการ”เสียชีวิต” ของ”ครูสอนศาสนา” ที่”ถูกยิง” ที่  ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ที่ หลังเกิดเหตุเพียง 1 ชั่วโมง “บีอาร์เอ็น” ก็มีการ”ไอโอ” ว่าเป็น”ฝีมือ” ของ” เจ้าหน้าที่รัฐ” และ “เรียกร้อง”ให้”คอมมานโด ฮารีเมา” ที่เป็น”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ออกมา” แก้แค้น” และ นี่อาจจะเป็น” ที่มาที่ไป” ของการ”กราดยิงชาวไทยพุทธ “ และการยิง”สามเณร” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่”อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และหลังจากการ”ยิงสามเณรเสียชีวิต” ครั้งนี้ทำให้”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดี”กระทรวงกลาโหม “ยกเลิก” กำหนดการเดินทางมายัง”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ในทันที และเรียกประชุม ด่วน รองปลัดกระทรวงมหาดไทย แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผบช.ภ.9 แทนการลงพื้นที่

ในขณะที่” ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ”สมช. “ ก็มีการเรียกประชุม” พุดคุยสันติสุข” ในวันที่ 1 พฤษภาคม นี้ โดยเชิญ อดีต”หัวหน้าคณะพูดคุย”กับ”บีอาร์เอ็น” ตั้งแต่สมัยของ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” นั้นคือ”พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร หรือ”เสธแมว” และ”แม่ทัพเมา” หรือ” พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” พล.อ.อักษรา เกิดผล พล.อ. พัลลพ รักเสนาะ  และ”ประธานการพูดคุยคนล่าสุด คือ” พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก” หรือ”บิ๊กแปะ” เป็นการ”ประชุมเชิงสัมมนา” มีการ”อภิปราย” ในหัวข้อ”จากอดีตสู่ปัจจุบันของการพูดคุยสันติสุข” ณ ห้องประชุม โรงแรม”อนันตรา สยาม กรุงเทพฯ” โดยมี รศ.ดร.มาร์ค ตามไท” เป็นผู้นำการ” อภิปราย” ….. ซึ่งเป็น”บริบท” แบบ”เก่าๆ” ที่ไม่ได้ช่วยในการ”แก้ปัญหา”ของการ”ดับไฟใต้” และไม่ได้ทำให้การ”เจรจาสันติภาพ” มีความ”คืบหน้า” ที่นำไปสู่ความ”สำเร็จ” ของการ”ดับไฟใต้” แต่อย่างใด เพราะ”บุคคลเหล่านั้น เป็น”บุคคล” ที่ไม่”ประสบความสำเร็จ” ในการ”ดับไฟใต้” โดยเฉพาะ”รศ.ดร.มาร์ค ตามไท” ที่อยู่ใน”วงจร” ของงาน”วิชาการ” เพื่อ”ดับไฟใต้”มากว่า 20 ปี  ข้อเสนอ ที่ให้กับ”รัฐบาล” และ”หน่วยงานความมั่นคง” ถ้าเป็นการ”ชี้ทิศทาง” ที่”ถูกต้อง” ป่านนี้”ไฟใต้” คง”มอดดับ”ไปนานแล้ว การ”ประชุมสัมมนา” การลงพื้นที่เพื่อ”พบปะ” กัลป์”กลุ่มคน” ที่ “สมช.” ทำมาแล้ว หลายปี ถูกมองว่าเป็นเรื่องของการ”ใช้งบประมาณ” ไม่ใช่การ”ดับไฟใต้” วันนี้”ทิศทาง” ในการ”ดับไฟใต้” ต้อง”เปลี่ยนแปลง” ต้องมี”ถนนสายใหม่”ไม่ใช่การ”ย่ำเท้า” อยู่กับ”บริบท”เดิมๆ ที่”ทำมาแล้วทำอยู่ และ ทำต่อ” ซึ่งเป็นการ”สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน”โดยใช่เหตุ

เรื่อง “ความรุนแรง” ของ”สถานการณ์” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เห็นชัดว่า” ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกลาโหม ยัง”อ่อนด้อย” กับเรื่องของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” เรื่องของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ไม่เข้าใจ”สังคมของคนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้” บางเรื่องต้องทำเป็น”ความลับ” เช่น”การขอให้”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ช่วยเหลือเพื่อ”จัดการ”กับ”บีอาร์เอ็น” ต้องทำเป็น”ความลับ” และเป็นงาน”ใต้ดิน” การที่” อันวาร์ อิบราฮิม” แถลงข่าว”เปิดตัว” ในการ”จัดการ”กับ”บีอาร์เอ็น” ตามคำ”ร้องขอ” ของ”รัฐบาลไทย” คือ”ดาบสองคม” ที่สร้างความ”ไม่พอใจ” ให้กับ”บีอาร์เอ็น” และ”พรรคพาส” ที่เป็น”พรรคฝ่ายค้าน” ที่เป็น”ไม้เบื่อไม้เมา” กับ”รัฐบาลกลาง” ดังนั้น” เคราะห์กรรม” จากการที่”อันวาร์ อิบราฮิม” มาพบกับ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่”ประเทศไทย”และกลับไป”แถลงข่าว” ที่”มาเลเซีย” ถ้านำมา”ต่อจิ๊กซอร์” ก็จะเห็นว่าการ”ก่อเหตุความรุนแรง” ที่เกิดขึ้น มาจากความ”อ่อนหัด” ในการแก้ปัญหา” ของ”รัฐบาล” ที่มี”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้”กำกับดูแล”ดังนั้นการ”ปรับ ครม.” ครั้งนี้ จำเป็นหรือไม่ ที่จะต้องมีการ”เปลี่ยนตัว” รองนากรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เพื่อ”รับมือ” กับ”สถานการณ์”ความรุนแรง” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”

สำหรับ “พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า สิ่งที่ต้องทำในขณะนี้คือ”การยกระดับการรักษาความปลอดภัย” ให้กับ”ประชาชน” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่าง “เร่งด่วน” และต้องมีการ”ปิดล้อม ตรวจค้น” เพื่อ “จำกัด เสรีภาพ” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” การพัฒนางาน”การข่าว” ให้สามารถ”เข้าถึง” ข่าวความ”เคลื่อนไหว” ของ”แนวร่วม” ในพื้นที่ และต้องทำการ”คลี่คลาย” ประเด็นการ”เสียชีวิต” ของ” อุตต๊าส “หรือ”ครูสอนศาสนา”อับดุลรอนิง ลาเต๊ะ” ที่ถูกยิงเสียชีวิต ที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส  ว่าเป็น” ฝีมือ”ของใคร เป็น”บีอาร์เอ็น” ยิงทิ้ง เพื่อ”สร้างสถานการณ์” เพื่อ”ป้ายสี” ทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะ”รบพิเศษ” หรือไม่ คดีนี้ ถ้า”ตำรวจ” จับ”คนร้าย”ไม่ได้ จะเป็น”เงื่อนไข” ให้”บีอาร์เอ็น” นำไป”ไอโอ” ให้ “ประชาชน” ที่เป็น”มวลชน” ของ”บีอาร์เอ็น” หลงเชื่อว่าเป็น”ฝีมือ” ของ” เจ้าหน้าที่รัฐ ยิ่งทำให้”สถานการณ์”ในพื้นที่”ย่ำแย่” ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ”หลักฐาน” ที่เป็น” หัวกระสุน” บ่งบอกถึง” ที่มาที่ไป” ของ”อาวุธปืน” ที่ใช้ ที่สำคัญ เช็คประวัติของ” อับดุลรอนิง เจ๊ะเต๊ะ” ที่เป็น”อุสต๊าซ” แล้ว ไม่”ธรรมดา” ดังนั้นการ”เสียชีวิต” ของ”อับดุลรอนิง” ถ้าไม่มี”พยานหลักฐาน” ที่ชัดเจนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ”เจ้าหน้าที่รัฐ”  คน”ไทยพุทธ” และ”เจ้าหน้าที่” ยังต้อง”เดือดร้อน” ต่อไป

นี่ก็เป็นเรื่องความ”ล้มเหลว” ของ”รัฐบาล” อีกเรื่อง คือเรื่องการ”ปราบปรามยาเสพติด” ที่วันนี้”ยาเสพติด” ยังคง”ระบาด”ไปทั่วทุกพื้นที่ ที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ยังเป็นพื้นที่ ซึ่งเต็มไปด้วย”ยาเสพติด” ตั้งแต่”น้ำกระท่อม” จนถึง”ยาบ้า” และ”ยาไอซ์”  สาเหตุของการ”ระบาด” เพราะ”ซื้อง่าย ขายคล่อง” มี”คนมีสี” ตั้งแต่”ผู้นำท้องถิ่น” และ”ท้องที่” อยู่ใน”วงจร” ของการค้า”ยาเสพติด” มี”เจ้าหน้าที่บางหน่วย” ที่เป็นผู้”เก็บส่วย” จาก”ผู้ค้า” และ”ผู้เสพ” ส่วนการ”จับกุม” ก็เป็นการ”จับกุม” เพื่อสร้าง”ผลงาน”  ตาม”ตัวเลข” ที่มีการ “กำหนด” ว่าเดือนละกี่ราย ได้”จับกุม” เพื่อให้”ผู้ค้า” และ”ผู้เสพ” หมดจากพื้นที่ เรื่องนี้” พล.ต.ท.ปิ ยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ 9 ต้องรีบแก้ไขด่วน

กลับมาที่การ”เลือกตั้ง” ระดับ”เทศบาล” ที่กำลังเข้า”โค้งสุดท้าย” ของการ”แข่งขัน” ซึ่ง”นโยบาย” เป็นเพียง”ส่วนประกอบ” ในการ”หาเสียง” เพราะการ”ลงพื้นที่” ของ”หัวคะแนน” สิ่งที่”ประชาชน” ผู้”มีสิทธิ์” ในการ”เลือกตั้ง” สอบถามคือ” จ่ายเท่าไหร่” ดังนั้นการ”เลือกตั้ง” คือ”เทศกาล”ของการ”ซื้อเสียง”ของ”นักเลือกตั้ง” และได้”ขายสิทธิ์”ของ”ประชาชน” ผู้มีสิทธิ์ในการ”เลือกตั้ง” ที่”ทั้ง”สองฝ่าย” คือ”เข้าข้าง”ตนเองว่าไม่ใช่การ”ซื้อสิทธิ์ขายเสียง” แต่เป็นเรื่องการ”ช่วยเหลือ” เพื่อเป็น”ค่าใช้จ่าย”ค่า”เสียเวลา” ในการไป”เลือกตั้ง” ของ”ประชาชน”  วันนี้”สังคมไทย” ก้าวมาถึง”จุดนี้” ซึ่งเป็นจุด”หายนะ” ของ”ประชาธิปไตย” แบบ”ไทยๆ”

ปัญหาของ”โพงพาง” ที่”ทะเลสาบสงขลา” และปัญหา”โฮมสะเตย์” ที่ รอบ”เกาะยอ “ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา คือ ปัญหาที่ทำให้เห็นถึงการที่”เจ้าหน้าที่” ทุกฝ่ายของ”บ้านเมือง” ไม่กล้าใช้”กฎหมาย” ในการแก้ปัญหาที่”หมักหมม” โดยปล่อยให้ผู้ที่ทำ”ผิดกฎหมาย” สามารถที่จะทำในสิ่งที่”ผิดกฎหมาย” โดยไม่มีการ”จับกุม” การที่จะ”บังคับใช้กฎหมาย” เพื่อให้”ประชาชน”ปฏิบัติตาม”กฎจราจร” แต่ไม่ใช่”กฎหมาย” ในการ”จัดการ”กับเรื่อง”โพงพาง” และ”โฮมสะเตย์” จึงเป็นเรื่อง”สองมาตรฐาน” สำหรับ”จังหวัดสงขลา” ที่มีการ”วิพากษ์วิจารณ์” ซึ่ง” โชตินรินทร์ เกิดสม” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา คงจะได้ยิน เหมือนที่คน”สงขลา” ได้ยินได้ฟัง…… แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ รอยร้าวเพื่อไทย-ภูมิใจไทย ?

19 เม.ย. 2025
96

เรื่อง”แผ่นดินไหว” ใน”ประเทศเมียนมา” ที่มีการ”ไหว” ติดต่อกันมาเรื่อยๆ ล่าสุดก็”ไหว” อีก 5.4 ก็สร้างความ”ผวา” ให้กับ”คนไทย” โดยเฉพาะใน”กรุงเทพฯ” ที่กลายเป็น”สังคมอ่อนไหว” กับเรื่องของการ”ขยับรอยเลื่อนเปลือกโลก”จาก”ผลพวง”การ”ถล่มทลาย” ของ”อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน” ( สตง.) ซึ่ง”ประชาชน” ยังคง”ค้างคาใจ” อยากที่จะ”รู้ผล” การ”ตรวจสอบ” ว่า”สาเหตุ”การ”ถล่มทลาย” ของ”ตึก สตง.” มาจากอะไร เพราะจะต้องมี”สาเหตุ” อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น”เรื่องของแบบแปลน” เรื่องของ”วัสดุ” และเรื่องของ”ฉ้อราษฏร์บังหลวง” เพราะหากไม่มีความ”ผิดพลาด” เกิดขึ้น อาคารขนาด 30 ชั้น จะ”พังครืน” ลงมาได้อย่างไร เพราะในขณะที่เกิด”แผ่นดินไหว” อาคารที่อยู่ระหว่างการ”ก่อสร้าง” ไม่ได้มีเพียง”อาคารของ สตง.” เพียงอาคารเดียว แต่นี้มีเพียง”อาคาร”ของ” สตง.” ที่กลายเป็น”ตึกกากเต้าหู้” ตาม”ศัพท์การก่อสร้าง”ของ”ผู้รับเหมาจีน” ที่เรียกตึกที่ไร้”คุณภาพ” เหล่านี้ว่า”กากเต้าหู้”…..ปัญหาที่น่า”หนักใจ” สำหรับ”กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ” ดีเอสไอ” ซึ่งเป็น”เจ้าภาพ” ในการ”สืบและสอบ” เพื่อหาข้อ”ผิดพลาด” และ”จุดบกพร่อง” ในการ”ถล่ม” ของ”ตึก สตง.” ซึ่งหาก “ดีเอสไอ” สรุปว่าเรื่องนี้ ไม่มี”คนผิด” เช่น”ไชน่าเรลเวย์ฯ “ ไม่ผิด” คอลเซ้าท์” ที่ทำหน้าที่ในการ”ควบคุมการก่อสร้าง” ก็”ไม่ผิด” เพราะ”เหล็ก หิน ปูน ทราย” ที่ใช้ในการ”ก่อสร้าง” ถูกต้อง ได้”มาตรฐาน” จากการทดลองของ”ห้องแลป” การ”ถล่ม” ของ”ตึก สตง.” เป็นเพราะเกิดจาก”แผ่นดินไหว”เชื่อว่า”คนไทย” รับไม่ได้ และ”ดีเอสไอ” ก็จะถูกตั้ง”คำถาม”ว่าเป็น”หน่วยงาน” ที่”เชื่อถือ” ได้หรือไม่ วันนี้ “คนไทย”กว่า”ค่อนประเทศ” ไม่”เชื่อมั่น” ในการเป็น”รัฐบาล” ของ”พรรคเพื่อไทย” และเชื่อว่า”บ้านเมืองนี้” เต็มไปด้วยเรื่องการ”ฉ้อราษฏร์บังหลวง” ใช้”อิทธิพล” เพื่อเข้าหา”ผลประโยชน์” กับ โครงการใหญ่ของรัฐ เรื่องความ”เชื่อ” เป็นเรื่องสำคัญทาง”การเมือง”

เช่นเดียวกับปัญหาทาง”การเมือง” ของ”พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเป็น”แกนนำ” ในการ”จัดตั้งรัฐบาล” ที่ หลังจาก”เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย” ลุกขึ้น”อภิปราย” ไม่เอา”กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่ส่งผลน้องๆ”แผ่นดินไหว” ใน”พรรคเพื่อไทย” ที่แม้จะผ่านมาแล้วหลายวันแต่ยังมีการเกิด”อาฟเตอร์ช็อก” ทาง”การเมือง” ตามมาเป็น”ละลอกๆ”…..ด้วยคำถามว่าจะมีการ”ยุบสภา” หรือจะมีการ”ปรับ ครม.” หลังพ้นเทศกาลสงกรานต์”ซึ่งอยู่ในการ”ปิดสมัยประชุมจองสภาผู้แทนราษฏร” หรือไม่  หรือระหว่างการ”ปรับ ครม.” กับการ”ยุบสภา” ผู้มีอำนาจอย่าง”ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีจะเลือกแบบไหน เพราะในทา”การเมือง” การออกมา”เห็นต่าง”ของ”พรรคร่วม”ในเรื่อง”พรบ.ของรัฐบาล” ถือว่าเป็น”รอยร้าว” ที่ยากจะ”ประสาน” ภายในพรรค ที่”แกนนำรัฐบาล” ต้อง “เลือก” ว่าจะ “แก้เกมการเมือง” อย่างไร เพื่อให้”รัฐบาล” ยังสามารถ”เดินหน้า”ได้ต่อไป….แน่นอน การ”ปรับ ครม.” เป็น”อำนาจ”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่หากต้องการ”หักดิบ” ด้วยการ”ปรับ ครม.” แม้จะไม่มีการให้”พรรคภูมิใจไทย” ไปเป็น”ฝ่ายค้าน”โดยการ”ขอคืน” กระทรวง”เกรดเอ” อย่าง”มหาดไทย” และ”ศึกษาธิการ” ที่เป็น”สองกระทรวงหลัก” ที่บริหารโดย”ภูมิใจใทย” โดย”ภูมิใจไทย” ยังคงเป็น”พรรคร่วม” หลังจากนั้นก็ดู”อาการ”ของ”รัฐบาล”ว่าจะมี”แรงกระเพื่อม” หรือจะมี”อาฟเตอร์ช็อก” หรือ”สึนามิ” เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่มีก็”ประคับประคอง” ให้”รัฐบาล” เดินหน้าต่อไป จนถึงจุดที่”พรรคเพื่อไทย” มีการ”ได้เปรียบ” ทาง”การเมือง” จึงค่อย”ยุบสภา” เพื่อเป็นการ”ล้างไพ่” ด้วยการ”คืนอำนาจ” ให้กับ”ประชาชน” เพื่อ”เลือกตั้งใหม่”

เพราะไม่ว่าจะอย่างไร”รอยร้าว” ระหว่าง”เพื่อไทย” กับ”ภูมิใจไทย” ไม่ทำให้”ภูมิใจไทย” ถอนตัวจากการเป็น”พรรคร่วม” อย่างเด็ดขาด ดูได้จาก”บริบท” ของ” เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล ผู้เป็น”หัวหน้าพรรค” ที่มีตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” และ”เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” และก็เชื่อว่าการ”ยุบสภา” จะเป็น”ทางเลือกสุดท้าย” ของ”พรรคเพื่อไทย” เพราะหากตัดสินใจ”ยุบสภา” ใน ขณะนี้”เพื่อไทย” ไม่มี”จุดขาย” ในการ”เลือกตั้ง” เพราะนอกจาก”แจกเงิน” ให้”ประชาชน” คนละ “10,000 บาทแล้ว “เพื่อไทย” ยังไม่มี”ผลงาน” ที่เป็นของ”เพื่อไทย” ตามที่”หาเสียง”ไว้กับ”ประชาชน” เช่นการ”แก้รัฐธรรมนูญ” ก็ ”ล้มเหลว” และ”พรบ.อินเตอร์เทนเม้นส์ฯ ก็”ล้มเหลว” เรื่อง”เศรษฐกิจ-ปากท้อง” ยิ่งไม่ต้อง”พูดถึง” เพราะไม่มีอะไรที่”เป็นชิ้นเป็นอัน” ในการที่”หยิบมา”เพื่อ”หาเสียง”กับประชาชน ในขณะที่”ภูมิใจไทย” ได้”คะแนนเสียง” จากการลุกขึ้นมาของ”เลขาธิการพรรค” ในการ”ประกาศ” ใน”ที่ประชุมสภาฯ” ด้วยการ”ไม่เอา”และ”ไม่รับ” พรบ. อินเตอร์เทนเม้นส์คอมเพล็กซ์” ที่เป็นเรื่องของ”อบายมุข” และ”การพนัน” ซึ่ง”โดนใจ” คน”ส่วนใหญ่” ของ”ประเทศ ถ้า”เพื่อไทย” ทำการ”ยุบสภา” ในขณะที่เรื่อง”กาสิโน”หรือ”บ่อนเสรี” ยังอยู่ใน”กระแสสังคม”และ”กระแสการเมือง” พรรคภูมิใจไทย คือ”คู่แข่ง” ที่”น่ากลัว” สำหรับ”พรรคเพื่อไทย” และนี่คือ”เหตุผล” ที่”หัวเด็ดตีนขาด” ผู้มีอำนาจ พรรคเพื่อไทย ก็ไม่”ยุบสภา” แน่นอน

ส่วนเรื่องปรับ”ครม.” มีแน่ แต่อาจจะไม่” แตะต้อง” ตำแหน่งของ”ภูมิใจไทย” เพราะ”ทักษิณ ชินวัตร” ก็รู้ดีว่า”ภูมิใจไทย” ไม่ใช่พรรคการเมืองที่”ตอแย”ได้ง่าย และ”ภูมิใจไทย” ก็ไม่ใช่” ตะเกียงขาดน้ำมัน” การปรับ”ครม.” เพื่อเอา”พรรคภูมิใจไทย”ออกไป หรือ”ยึด”เอากระทวง”เกรดเอ” คืนมา ย่อมทำให้””เพื่อไทย” อยู่แบบ”ไม่เป็นสุข” ดังนั้นจึง”เชื่อขนม”กินได้”ล่วงหน้า” ว่า ปรับ”ครม.” ครั้งนี้ “ภูมิใจไทย” ยังอยู่ และยัง”กอดกระทรวงเกรดเอ” เอาไว้ได้ เพราะ”เพื่อไทย” ทำการ”บวก ลบ คูณ หาร” แล้ว ยังไม่พร้อม และยังไม่ได้เปรียบ ที่จะ”แตกหัก” กับ”พรรคภูมิใจไทย”…..เรื่อง”อินเตอร์เทนเมนส์คอมเพล็กซ์” ณ วันนี้ เป็นเรื่องที่เลยจุดที่จะ”อธิบาย” หรือทำความเข้าใจ” กับ”ประชาชน” ว่า”ดีอย่างไร” และหากมีได้จะเกิด”ประโยชน์”กับ”เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศชาติ” หรือของ”ส่วนรวม” อย่างไร เพราะในความ”รู้สึก” ของ”ประชาชน” ไม่ได้มี”ส่วนดี” หรือ”ส่วนเสีย” ของ”อินเตอร์เทนเม้นส์คอมเพล็กซ์” แต่”ประชาชน” ต่าง”ไม่ไว้วางใจ”ในการ”บริหารประเทศ”ของคนใน”ตระกูลชินวัตร” ต่างหาก ซึ่งจะได้ใน”ทุกเรื่อง” ที่” ชินวัตร” เข้าไป”เกี่ยวข้อง” ตั้งแต่เรื่องของ”พื้นที่อ้างสิทธิ์” และ”ทับซ้อน” ใน”ทะเลเกาะกูด” ใน”อ่าวไทย” ของ”จังหวัดตราด” เรื่องของ”พรบ.ประชามติ” เพื่อ”แก้รัฐธรรมนูญ” เรื่องการ”ดับไฟใต้” และ”ทุกเรื่อง” ที่มีคนของ”ชินวัตร” เข้าไป”เกี่ยวข้อง” จะถูกตั้งข้อสังเกตด้วยความ”ระแวงสงสัย” จนกลายเป็นการ”ไม่เชื่อมั่น” ในการบริหารประเทศของ”แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งนอกจากไม่เชื่อมั่นในเรื่อง”ประสบการณ์” ทาง”การเมือง”และ”เศรษฐกิจ” แล้ว” ประชาชน” ยังไม่เชื่อมั่นเพราะ”เธอ” เป็น” บุตรสาว” ของ” ทักษิณ ชินวัตร” และกลายเป็น”วิบากกรรม” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” ที่วันนี้”เธอ” กลายเป็น”เป้าโจมตี” ของ”ทุกเรื่อง” แม้แต่เรื่อง”ส่วนตัว” อย่าง”เสื้อ ผ้า หน้า ผม” รวมถึง”บริบท”ใน”กิจวัตร”ในหน้าที่ของ”นายกรัฐมนตรี” ซึ่งเป็นเรื่องที่”น่าเห็นใจ” เป็นอย่างยิ่ง และ”รัฐบาล”ไหนก็ตามถ้า”ประชาชน” มีการ”หวาดระแวง” และไม่”เชื่อมั่น” ก็จะ”อยู่ยาก” และจะ”อยู่แบบ” อย่างที่”เพื่อไทย” และ”แพทองธาร ชินวัตร “ เป็นอยู่ในขณะนี้นั่นเอง

เช่นเดียวกับเรื่องการแก้ปัญหาของ”รัฐบาล” ในการขึ้น”ภาษีสินค้าส่งออก” ของ”ประเทศไทย” ที่จะส่งไปยัง”สหรัฐอเมริกา” ที่แม้ว่า” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะ”แถลง”ด้วยตนเอง หลายครั้ง รวมทั้งให้”ทีมงาน” ที่เป็น”โฆษก” น้อยใหญ่ ออกมา”ทำความเข้าใจ” กับ”ประชาชน” และ”สื่อมวลชน” ว่า”รัฐบาล” กำลัง”ทำอยู่” แต่”กระแส” ของ”ความเชื่อมั่น” ก็ยังไม่เกิดขึ้น จนเหมือนกับว่า ประเทศไทย เป็น ประเทศเดียว ในกลุ่ม”อาเซียน” ที่”ล่าช้า และ”ไม่รู้ร้อนรู้หนาว” กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งหมดมาจาก”ความไม่เชื่อมั่น” ที่”รัฐบาล” ต้อง”เข้าใจ” และ”รับรู้” ถึงความ”รู้สึก”ของ”ประชาชน” ที่มีต่อ”รัฐบาล” และ เลือกที่จะ”แก้ไข” ให้”ถูกจุด” รัฐบาล จึงจะ”ไปรอด”…..ในขณะที่”เศรษฐกิจ”ของประเทศ”ซึมลึก” หันมาดู”เศรษฐกิจ”ใน”ภูมิภาค” ก็ไม่ต่างกัน ที่”ภาคใต้” วัดกันที่”เทศกาลสงกรานต์” ที่ผ่านมา ที่ ปีนี้”จำนวนนักท่องเที่ยว” ลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ”นักท่องเที่ยวจีน”มีแต่ละ”เมืองท่องเที่ยว” ใน”ภาคใต้” มีอยู่แบบ”โหรงเหรง” ในขณะที่”หาดใหญ่” จ.สงขลา ก็น่า”ผิดหวัง” ตั้งแต่”เทศกาลฮารีรายอ” หรือ”วันปีใหม่”ของผู้ที่เป็น”มุสลิม” ที่ชาวมาเลเซีย เข้ามา”ท่องเที่ยว”ค่อนข้างน้อย และ”เทศกาลสงกรานต์”ปีนี้ “ชาวมาเลเซีย”และ”สิงคโปร์” ซึ่งเป็น”นักท่องเที่ยวหลัก” ก็ไม่”คึกคัก” เท่าที่ควร “ห้องพัก”ไม่เต็ม การ”ใช้จ่าย”ของ”นักท่องเที่ยว”ลดน้อยลง

ฟังจาก”สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา” หรือ” ดร.อ๋อง” นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา พูดถึงสาเหตุของการ”ลดลง” ของ”นักท่องเที่ยว” เพื่อนบ้าน มาจากหลาย”ปัจจัย” เช่น “ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้” เรื่องข่าว”แผ่นดินไหว” และ”กระทบถึง กทม. เรื่อง”หาดใหญ่ สงขลา” ไม่มี”แหลางท่องเที่ยว” ใหม่เกิดขึ้น เรื่องความ”ไม่สะดวก” ในการ”ข้ามแดน” จาก”ตรวจคนเข้าเมือง” ที่”ล่าช้า” ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ทั้งหมดคือ”เหตุผล” ที่ถูกนำมา”ต่อจิ๋กซอร์” ให้เห็นถึง”ปัญหา” การหายไปของ”นักท่องเที่ยว” ก็ต้องถามว่าเมื่อรู้ถึง”สาเหตุ” แล้วจะ”แก้อย่างไร” หน่วยงานไหนจะเป็นผู้”แก้” รัฐ หรือ เอกชน และที่”สำคัญ” ใครจะมี”บารมี” ในการ”นั่งหัวโต๊ะ” เพื่อเป็น”เจ้าภาพ” ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ที่สำคัญ”ส่วนราชการ” อย่าง” ผู้ว่าราชการจังหวัด, องค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น,เทศบาล” และ”ผู้แทนราษฎร”ให้ความ”สำคัญ” และให้ความ”สนใจ” กับ”ปัญหาเหล่านี้หรือไม่ หรือเป็นเรื่อง”ตัวใครตัวมัน”

แต่นี้ก็เป็น”ข่าวดี” เล็กๆ ในวงการท่องเที่ยวของ “จังหวัดสงขลา” เมื่อ”โมห์ด รานีฮิวาม ซัมซูดิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการรถไฟมาลายา ติดต่อประสานงานกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย ในการเดินรถไฟระหว่างสถานี”บัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย มายัง”ชุมทางหาดใหญ่” ที่เรียกว่า”ขบวนรถไฟมายสวัสดี” เพื่อ”ส่งเสริมการท่องเที่ยว” ระหว่าง”ไทย-มาเลเซีย โดยจะเริ่มวิ่งใน”ไตรมาส ที่ 3 “ ของปี 2568 ซึ่งทางการ”รถไฟมาเลเซีย” ยังรอความพร้อมและการ”ยืนยัน” ของ”รฟท. หรือ”รถไฟไทย” อยู่….เรื่อง”ท่องเที่ยว” เป็นเรื่องที่”อ่อนไหว” ข่าว”แผ่นดินไหว” ที่ “อำเภอเหนือคลอง” จังหวัดกระบี่ ที่เกิดจาก”รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย”ซึ่ง พาดผ่าน จ.สุราษฎร์ธานี,กระบี่,พังงาน,ภูเก็ต” ในความลึก 2.5 กิโลเมตร และแรงสั่นไหว 4.5 ได้สร้างความ”แตกตื่น” ให้กับ”ประชาชน” และ”นักท่องเที่ยว” เพราะหวั่นว่าจะมี”สึนามิ” ตามมา ที่ สำคัญ”โซน” ที่ “รอยเลื่อนพาดผ่าน” เป็น”โซนการท่องเที่ยว” แม้ว่า”ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่” จะออกมา”แถลงข่าว” อย่าง”ทันทีทันควัน” เพื่อสร้างความ”มั่นใจ” และอย่างให้”ประชาชน” มีความ”แตกตื่น” ก็ช่วยให้คนใน”พื้นที่” มั่นใจได้ แต่กับ”ธุรกิจท่องเที่ยว” ย่อมมีผลกระทบ ไม่มากก็น้อย เรื่องนี้ต้องมีการทำ”ความเข้าใจ” และการให้”ความรู้” กับ”ประชาชน รวมทั้งการ”ก่อสร้าง”ตึกสูง” ต่างๆ ต้องมีการ”ป้องกัน” เพราะ”ภาคใต้”ตอนบน นอกจาก”รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย” แล้วยังมี”รอยเลื่อนระนอง” อยู่ด้วย รวมทั้งยังมี”เขื่อนเชี่ยวหลาน” หรือ”เขื่อนรัชประภา” ตั้งอยู่ในพื้นที่ และ “ทางการ” ยังมีโครงการที่จะ”สร้างเขื่อนคลองมะรุ่ย” ก็ต้องคิดให้ดีว่าจะมี”ปัญหา”ใน “อนาคต” หรือไม่ ก็ได้แต่”หวังว่า” การเกิด”แผ่นดินไหว” ใน”จังหวัดกระบี่” จะไม่ทำให้”ธุรกิจการท่องเที่ยว” ในพื้นที่ 4-5 จังหวัด ได้รับ”ผลกระทบ” เป็นการ”ซ้ำเติม” ให้”เศรษฐกิจการท่องเที่ยว” ให้”ย่ำแย่”ลงกว่าเดิม

คดี”พิพาท” ระหว่าง”โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม คลองท่อม จังหวัดกระบี่ กับ”นิคมสหกรณ์คลองท่อม จังหวัดกระบี่ ที่ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” เข้ามารับผิดชอบเป็น”คดีพิเศษ” ผ่านไปแล้ว 3 ปี ยังอยู่ระหว่างการ”สอบสวน” ยังไม่มีการส่ง”สำนวนฟ้อง” ให้กับ”พนักงานอัยการ” แต่”ดีเอสไอ” อนุญาตให้”คู่กรณี” เข้าไป”ยึดโรงงาน” ตั้งแต่”คดียังไปจบ”  ผู้”เสียหาย” ที่”ซื้อโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม” แห่งนี้ เรียกร้องไปยัง” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้”พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” อธิบดี ดีเอสไอ คืนความเป็นธรรม ให้กับ”ประชาชน” ที่”ถือหุ้น” ในโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม” แห่งนี้ด้วย

กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ส่ง”สุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย” ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย” มาทำหน้าที่”รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา” แทน”อำพล พงษ์สุวรรณ์”ที่ถึงแก่”อนิจกรรม” สำหรับ”สุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย” เคยเป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา” มาแล้ว รอบหนึ่ง “ฝีไม้ลายมือ” ในการทำหน้าที่”พ่อเมือง” เป็นอย่างไร “ประชาชน” ใน”จังหวัดยะลา คงรู้ดี โดยเฉพาะ”ข้าราชการ” ในพื้นที่ ซึ่งเคย”รับรู้” ถึง”นโยบาย”  ในสมัยที่”สุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย” เป็น” ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา”

คดี”อาชญากรรม” ในพื้นที่”จังหวัดตรัง” โดยเฉพาะ”ฆ่าคนตาย” เกิดขึ้นค่อนข้างจะถี่ๆ รวมทั้ง”คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์” ทั้งที่”พล.ต.ต. ภัทรวิชย์ โมทนียกุล” ผบก.ภ.วจ.ตรัง มีการ”สั่งการ” ให้”ตำรวจในทุกพื้นที่”กวาดล้าง” อาวุธปืน” และ”ยาเสพติด” มาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่า”แค่การ”กวาดล้างอาวุธปืน”และ”ยาเสพติด” เพียงสองอย่างยังไม่เพียงพอและยัง”แก้ปัญหา”การก่อ”อาชญากรรม”ไม่ได้ ก็ฝากให้” ผู้บังคับการจังหวัดตรัง” ไป”ปรับแผน”และ”ปรับวิธีคิดใหม่” เพื่อแก้”ปัญหา” ให้”ถูกจุด”

ในพื้นที่ “อ.สทิงพระ “ จังหวัดสงขลา เกษตรกร ที่ปลูกพืชผลต่างๆ ทั้ง “กล้วย ,มะพร้าว และ อื่นๆ ได้รับความ”เดือดร้อน” จาก”มิจฉาชีพ” ที่เป็นผู้”ติดยาเสพติด” ที่”ลักขโมย” พืชผลทางการเกษตรเพื่อไป”ซื้อยาเสพติด” เรื่องนี้”ถ้า”นายอำเภอ” ที่เป็น”ฝ่ายปกครอง” กับ”ผู้กำกับ” ที่เป็นฝ่าย”รักษากฎหมาย” ไม่มีการ”จับมือ” เพื่อ”บูรณาการ” ในการ”ปฏิบัติหน้าที่” ชาวบ้านก็จะ”เดือดร้อน” อย่างที่เห็น ก็ฝากให้” โชตินรินทร์ เกิดสม” ผู้ว่าราชการจังหวัด และ”พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษ์” ผบก.ภ.จว.สงขลา “ติวเข้ม” ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้”ร่วมมือ” ในการ”ปราบปราม” ผู้ค้า ผู้เสพ ให้หมดจากพื้นที่ แล้วปัญหา”มิจฉาชีพ” ที่สร้างความ”เดือดร้อน” กับ”เกษตรกร” จะลดลง

เรื่องของ”ไฟใต้” ที่ยังคง”แผดเผา” ชีวิตเจ้าหน้าที่ ทรัพย์สินรัฐและประชาชน ทำลาย”โอกาส” ทาง”เศรษฐกิจ-ธุรกิจ-การค้าขาย” ทำลาย”สังคม” และ”อนาคต” ของคนในพื้นที่ ผ่านมาแล้ว 21 ปี วันนี้ยังคง”สภาพ” ที่เหมือนเดิม “ผู้หลักผู้ใหญ่” ทั้ง”รัฐบาล” และ”กองทัพ” มองปัญหาของ”ไฟใต้” ที่ไม่”มอดดับ” อย่างไรไม่รู้ แต่”ฝรั่งตาน้ำข้าว” อย่าง “ดร.ซาสชา เฮลบาร์ต” นักวิจัยเกี่ยวกับ”ไฟใต้” ให้ประเด็นของการที่”ไฟใต้”ไม่มีการ”มอดดับ”ไว้ 4-5 ประเด็น ที่มองว่าเป็นความ”ล้มเหลว” ของ”รัฐบาล” ในการ”ดับไฟใต้” ก็ฝากให้” เสี่ยอ้วน” หรือ”สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงทหาร” เอาความ”คิดเห็น” ที่มาจากงาน”วิจัย” ของ”ดร.ชาวเยอรมัน” คนนี้ไป”วิเคราะห์” ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

นี้ก็กลายเป็น”ประเด็น”ในการถูกนำไป”วิพากษ์วิจาณ์” หลัง” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม กล่าวกับ”ประชาชน” ใน”จังหวัดปัตตานี” ถึงเรื่องของ”ชาวอุยกูร์” ที่เป็น”มุสลิม” ในเขตปกครองตนเองมณทลชินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มี”ภาษาพูด” มี”วัตนธรรม” เป็นของตนเอง ทำให้มีการ”ตีความ” ว่า” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” หัวหน้าพรรคประชาชาติ “สนับสนุน” ให้”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็น”เขตปกครองตนเอง” นี้คือเรื่องของ”ไฟใต้” ที่ยังเต็มไปด้วยความ”ขัดแย้ง” และการ”ป้ายสี” ในทาง”การเมือง” เพราะ”การเมือง”คือการ”แข่งขัน” และการ”ทำลายล้าง” ที่ทุก”คำพูด” จาก”บุคคลการเมือง” ถูกนำไป”ขยายผล”ให้เป็นไปในทาง”ลบ” และ”บวก” จากผู้ได้”ประโยชน์”และผู้ที่”เสียประโยชน์”…..ส่วนสถานการณ์”ความรุนแรง” ยังคง”เดินหน้า” เหมือกับ”นาฬิกา” ที่ไม่มีการ”หยุดนิ่ง” ล่าสุด”วัดบ้านไทย” หรือ “วัดรัตนาราม” ใน อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ถูก”ก่อวินาศกรรม”ด้วย”ระเบิดแสวงเครื่อง”ที่มีกับ”รถสามล้อพ่วงข้าง” ที่”อนุภาพ”น้องๆของ”คาร์บอมบ์” เพราะ”ระเบิด” มี”น้ำหนัก”ถึง 50 กิโลกรัม “กำแพงวัด” ที่พักทหาร และ “บ้านเรือนประชาชน” ได้รับความ”เสียหายยับเยิน” มี”ทหารพราน” ได้รับ”บาดเจ็บ” 4 นาย เป็นไปตาม”สภาพ” ที่เห็นชัดถึงความ”หละหลวม” ในการ”ป้องกันฐานปฏิบัติการ”ที่ไม่การวาง”เวร ยาม” อย่าง”รัดกุม” ปล่อยให้”สามล้อพ่วงข้าง” ที่”บรรทุก” เอา”ระเบิดแสวงเครื่อง”มา”จอด”ที่”หลังโรงนอน” ของ”ทหาร” และหลังการ”บึ้ม”คนร้าย ก็”หลบหนี” อย่าง”ลอยนวล” แบบเดิมๆ คือมี”คนร้าย” ใช้”จยย.” มารับตัวไปจากที่เกิดเหตุ การที่”ทหาร” ไม่สามารถ”ป้องกันฐานปฏิบัติการ”ของตนเองให้”ปลอดภัย”จาก”แนวร่วม”ได้ แล้วจะให้”ประชาชน” เชื่อใจอย่างไรว่าจะ”รักษาความปลอดภัย”ให้กับ”ประชาชน” และสร้างความ”สงบ” ให้กับ”พื้นที่”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้

ส่วนที่ “อำเภอบันนังสตา” จังหวัดยะลา ซึ่งเป็น”พื้นที่” ไม่เคยมี”ความสงบ”ในรอบ 21 ปี ล่าสุด”อาสารักษาดินแดน” ของ”ชคต.บาเจาะ”ก็กลายเป็น”เหยื่อ” ของ” กองกำลังติดอาวุธ” ด้วยการ”ซุ่มยิง”ไปอีกหนึ่งราย วันนี้”สถานการณ์”ของ”กองอาสารักษาดินแดน” ใน”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ยัง”เสียชีวิต” เป็น”ใบไม้ร่วง” นายอำเภอ ,ผู้วาราชการจังหวัด ,อธิบดีกรมการปกครอง” และ”เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” คิดเห็นอย่างไร และจะ”แก้ไข” อย่างไรกับ”ความตาย” ของ”อาสารักษาดินแดน”ที่เกิดขึ้น หรือ”ทุกศพ” จบที่”เยียวยา” และ”เปิดรับสมัคร อส.ใหม่มาทดแทน โดยมีการ”จ่ายส่วย” ในการเป็น”อส.” คนละ 120,000-150,000 บาท อย่างที่มีการ”นินทา”ใน”ร้านน้ำชา” ใน”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้”…..ในส่วนของ”บีอาร์เอ็น” วันนี้มีความ”ก้าวหน้า” ไปอีก”หนึ่งขั้น” เพราะมีการ”ฝึกภาคสนาม” ให้กับ”กำลังรบ” ที่เรียกว่า”มินิคอมมาโด” โดยการใช้”พื้นที่” ใน”เชิงเขา” หลัง”หมู่บ้านจัดตั้ง” เป็น”ที่ฝึก” และมี”ฝ่ายฝึก” ใน”รัฐเคดาห์” ประเทศมาเลเซีย ไม่ไกลจาก “อำเภอสะบ้าย้อย” จังหวัดสงขลา อีกแห่งหนึ่ง ก็ต้องถาม”หน่วยรบพิเศษ” จาก”ศูนย์สงครามพิเศษ” หรือ”กองทัพภาค 5 “ที่เข้ามา”ปฏิบัติการ” สนับสนุน”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ”กองกำลังสันติสุข” ว่าจะ”ปฏิบัติการ” ต่อ” กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” อย่างไร ถ้า” สถานการณ์” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ยังมีการ”ขับเคลื่อน” จาก” บีอาร์เอ็น” อย่างที่เห็น เชื่อหรือว่า ปี 2570 จะเป็นปีแห่งการ”ปิดจ๊อป” ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฝันไปหรือเปล่า เจ้านาย ทั้งหลาย อย่างไรเสียก็เป็น”หน้าที่” ใน ขณะนี้ของ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 /ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า, พล.ต.วรเดช เดชรักษา” รองแม่ทัพภาคที่ 4 “ และ” พล.ต.เศฏฐวุฒิ จันทนะ” เลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ต้อง”ผนึกกำลัง” ในการ”บูรณาการ” กับ”ตำรวจ”และ”ปกครอง”ซึ่งก็ต้องถามว่า”ปกครอง”ทำหน้าที่แบบ”ลอยตัว” หรือ”ไม่เต็มที่” ในการดับ”ไฟใต้” อย่างที่มีการ”นินทา”ให้”แซด” จริงหรือไม่

ปิดท้าย ด้วยเรื่องของ”การเมืองท้องถิ่น” การ”เลือกตั้ง” ระดับ”เทศบาล” ที่กำลัง”ทวีความเข้มข้น” มากขึ้น “หัวคะแนน” กำลัง”ทำงานหนัก” ในการ”รวบรวมรายชื่อ” เพื่อทำ”บัญชี”ส่งให้”ทีมผู้สมัคร” เพื่อ”รับเงิน” มาจ่ายให้กับ”ผู้มีสิทธิ์” ในการ”เลือกตั้ง”  สำหรับ”ประเทศไทย” การ”เลือกตั้ง” ไม่ต้องมี”นโยบาย” ในการ”บริหารท้องถิ่น” ไม่ต้องมีการ”ปราศรัย” สิ่งที่ต้องมีคือ”เงิน” และ”หัวคะแนน” ในการ”รวบรวมรายชื่อ” เพื่อการ”จ่ายเงิน” วันนี้หลาย”ท้องถิ่น” มีการ”จ่ายมัดจำ” กันแล้ว 500 บาท และ “จ่าย”ก่อนวัน”เลือกตั้ง”อีก 1,000 บาท หลายพื้นที่ซึ่งเป็น”เทศบาลนคร” มีการ”ตกลง” ค่าหัวๆละ 2,000 บาท เรื่อง”ซื้อสิทธิ์ –ขายเสียง” จะไปโทษ”นักเลือกตั้ง” อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะ”คำแรก”ของ”ผู้มีสิทธิออกเสียง” ที่ถาม”หัวคะแนน” ไป”ขอเสียง”คือ” จะจ่ายหัวละเท่าไหร่ นี่คือ”ประชาธิปไตย” สำหรับประเทศไทย ( หรือประชาธิปไตยแบบไทยๆ)…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ย้อนตำนานพัฒนาภาคใต้ มีแต่ขายฝันให้จดจำและเล่าขาน

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับ”เทศกาลต้อนรับปีใหม่ 2568” ซึ่งไม่ว่า”เศรษฐกิจ” ของประเทศจะ”เป็นอย่างไร” แต่เรื่อง”ปีใหม่” ยังเป็นเรื่อง”สำคัญ” สำหรับ”คนไทย” ที่มีการ”ฉลองปีใหม่”กันทั่วประเทศ ความ”ครึกครื้น” จึงเกิดขึ้นทุกพื้นที่ทุกจังหวัดเพราะนี่คือ”ประเพณี”ของคนไทยที่คิดหวังว่า”ปีใหม่” ทุกอย่างจะต้อง”ดีขึ้น” และชีวิต”ต้อง”ดีกว่าเดิม” อย่างน้อย”เทศกาลปีใหม่” ที่ผ่านมา ก็ทำให้”เงินสะพัด” ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ”เมืองท่องเที่ยว”ทั้ง”เมืองหลัก” และ”เมืองรอง” …… ก่อนที่จะมาอยู่กับ”ข้อเท็จจริง” หลังผ่านพ้น”เทศกาลปีใหม่”ที่คน”ระดับรากหญ้า” และ”ชนชั้นระดับกลาง”ยังต้องใช้ชีวิตแบบ”ปากกัดตีนถีบ” สำหรับ”รากหญ้า” และ”ระมัดระวัง”ในการ”ใช้จ่าย”สำหรับ”ชนชั้นกลาง” เพราะยังมองเห็นว่า”เศรษฐกิจ” โดยรวมของ”ประเทศไทย” จะ เดินไปใน”ทิศทางไหน” จะดีขึ้นในปี 2568 หรือไม่ หรือยิ่งจะ”ตกต่ำ” เพราะ “หันซ้ายแลขาว” เห็นแต่” ข่าวสาร” จาก”กูรู” และ”นักวิชาการ”ด้าน”เศรษฐศาสตร์” และ”ผู้รู้” ด้าน”ธุรกิจการค้า” ต่าง”วิพากษ์วิจารณ์”ว่า” เศรษฐกิจ”ของประเทศไทยไปในด้าน”ดำดิ่ง” ที่ทุกคนต่างลงความเห็นว่าปี 2568 เป็นปีที่”เผาจริง” ส่วนปีที่ผ่านมาเป็นการ”เผาหลอก”  ฟังแล้ว ก็ เฉยไว้บ้าง” อย่าเพิ่ง”ตระหนกตกใจ” เพราะ”นักวิชาการ”และ”กูรู” ทาง”เศรษฐกิจ” พูดเรื่อง”เผาจริง-เผาหลอก” มาหลายปีแล้ว แต่”สุดท้าย” ประเทศไทย” ก็ยัง”เดินหน้า”ไปได้ แม้จะเป็นการ”เดินหน้า”แบบ”กระท่อนกะแท่น” ก็ตาม เพราะประเทศไทยมี”จุดแข็ง” ที่”ทุกคนไม่ได้”งอมืองอเท้า” รอ”รัฐบาล”ในการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” เพียงฝ่ายเดียว ทำให้ทุก”ภาคส่วน” ทุก”อาชีพ” สามารถ”ฝันฝ่า” ปัญหาและ”อุปสรรค” ไปได้

ในส่วนของ”รัฐบาล” ที่มี”น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” นั้น จะนำพาประเทศไปสู่ความ”ล้มเหลว” หรือความ”สำเร็จ” ในเรื่อง”เศรษฐกิจ” และการ”ลงทุน”ไปได้แค่ไหนในปี 2568 ยังไม่มีใครจะ”พยากรณ์”ได้อย่าง”แม่นยำ” แต่ที่เห็นคือเรื่องของ”แลนด์บริดจ์” ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่มีการ”ผลักดัน” ในครั้งที่”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี”  เพื่อ”เชื่อมสองฝั่งทะเล” เปิดเส้นทาง”คมนาคม” ในการ”ขนส่งสินค้า” ย่นระยะทาง วันนี้ไม่เห็น”รัฐบาล” กล่าวถึงอีกแล้ว แม้แต่”ทักษิณ ชินวัตร” นายกัฐมนตรี”ตัวจริง” ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของ”แลนด์บริจด์”…..เช่นเดียวกับเรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” ที่เป็นโครงการของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่เคยใช้ในการ”หาเสียง”กับ”ประชาชน” ในการ”เลือกตั้ง” ที่ผ่านมา วันนี้เรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” ก็ไม่เห็นอะไรที่”เป็นรูปเป็นร่าง” หน่วยงานของแต่ละจังหวัดไม่มีมีการให้ความสำคัญในการ”ขับเคลื่อน” ให้เห็น”เป็นมรรคเป็นผล” แต่อย่างใด  ก็ไม่ได้บอกว่านี่คือความ”ล้มเหลว” แต่ก็ไม่เห็นความ”สำเร็จ”…..ยิ่งใน”ระดับภูมิภาค” ไม่ว่าจะเป็น”เหนือ,ใต้.ตก,ออก” รัฐบาลนี้ บริหารประเทศมา 1 ปี 4 เดือน ยังไม่เห็นว่าจะมี”โครงการ” อะไรที่จะเกิดกับ”ภูมิภาค”ต่างๆ แม้แต่”ภาคใต้” ซึ่งมีปัญหาการขาดการ”พัฒนา” ในเรื่องของ”อุตสาหกรรม” ขนาดใหญ่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะใน “ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่มี”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) เป็นผู้”รับผิดชอบ” ใน”มิติ” ของการ”พัฒนา” ที่ วันนี้เรื่องของ”เมืองต้นแบบ” ต่างๆ ที่มีการ”ริเริ่ม” และ”ผลักดัน”ให้เกิดขึ้นในยุคของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี  เพื่อเป็นการ”เสริมสร้างเศรษฐกิจ” การเกษตร การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม การค้าชายแดน ต่าง”ล้มเหลว”

เมืองต้นแบบ”อุตสาหกรรมการเกษตร”ใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี  ไม่มีการ”เดินหน้าไปต่อ” เมืองต้นแบบ” อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ของ”จังหวัดยะลา ก็มีความ”เติบโต” ที่ อ.เบตง” เพียงที่เดียว ซึ่ง”เบตง” เป็นการ”เติบโต” ตาม”ธรรมชาติ” ที่แม้หน่วยงานของรัฐไม่เข้าไป”ส่งเสริม” ก็ เติบโตได้โดย”ศักยภาพ” ที่มีอยู่ในตัว ส่วนเมืองต้นแบบ”ธุรกิจการค้าชายแดน”ที่ จังหวัดนราธิวาส”เหลวเป๋ว” ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่โครงการเดียว แค่เรื่อง”ที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรม” ผ่านไปแล้ว 5 ปี ก็ยังทำไม่ได้ ที่สำคัญ ตั้งแต่”รัฐบาล”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” เข้ามา”บริหารประเทศ” มีแต่”พูดกับพูด” ถึงเรื่องของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เป็นเพียง”นามธรรม” แบบ”น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง” แต่ไม่มีอะไรที่เป็น”รูปธรรม” ให้”จับต้องได้” ยกเว้นคำพูดของ”นายกรัฐมนตรี” ที่ว่า ไม่ได้”ทิ้งภาคใต้” เพราะ”สามีเป็นคนใต้” ก็แค่นั้น

ที่สำคัญ” เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”  หรือ” นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ที่”ลงทุน” โดย”เอกชน” ทั้งหมด ซึ่ง”รัฐบาล” ให้การ”สนับสนุน”เพียง”โครงสร้างพื้นฐาน” ถนน ประปา ไฟฟ้า รัฐบาล ยังไม่ให้ความ”สนใจ” ในการที่จะ”ผลักดัน” ให้เกิดขึ้น ทั้งที่หาก”ผลักดัน” ให้เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” เกิดขึ้นได้ใน อ.จะนะ จ.สงขลา จะเป็นการ”แก้ปัญหา” การ”ว่างงาน” ของคนในพื้นที่เป็น”แหล่งงาน”ของ”นักศึกษา”ที่จบการศึกษาและ”ตกงาน” เป็นที่”ต่อยอด” ให้เกิด”อุตสาหกรรม” ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เพื่อการ”พัฒนา” จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่”รัฐบาล” ก็”เพิกเฉย” โดยไม่ได้ให้”เหตุผล” ในการที่ไม่”สนับสนุน” การลงทุนของ”เอกชน” ในเรื่องของ”เมืองต้นแบบอุตสาหกรรม”แห่งนี้ ทั้งที่”โครงการนี้” ผลักดันโดย “ศูนย์อำนวยการบริหารจังชายแดนภาคใต้” และมีการ”เห็นชอบ” จาก”คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดย”พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ์ “รองนายกรัฐมนตรี ในคณะรัฐบาลของ”พล.อ.ประยุทธฺ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้”คนภาคใต้” เข้าใจอย่างไรกับการ”บริหารประเทศ”ของ”เพื่อไทย” ที่เป็น”แกนนำ” รัฐบาล ที่ไม่ให้ความ”สำคัญ” กับการ”แก้ปัญหา” และการ”พัฒนา” จังหวัดชายแดนภาคใต้…..ทราบว่าในเดือน “มกราคม “ นี้” รัฐบาล จะมีการประชุม”ครม.สัญจร” ที่ จังหวัดสงขลา  ก็จะเป็นอีก”บริบท”หนึ่งที่ “ประชาชน”ชาว”ภาคใต้” จะได้เห็นว่า”รัฐบาล” จะนำโครงการ”อะไรไปให้กับ”ประชาชน” หรือเป็นเพียง”ยาหอม” อย่างที่แล้วๆมา เพราะ”พูดได้”แต่”ไม่ได้ทำ”

เรื่องการ”พัฒนาภาคใต้” มี”ตำนาน” ให้”จดจำ” และ”เล่าขาน” ในสมัยของ”ประชาธิปัตย์” เป็น”รัฐบาล” มีโครงการ”เซ้าท์เทรินซีบอร์ด” ที่สร้างความหวังในเรื่องการ”พัฒนาเศรษฐกิจ”ของภาคใต้ แต่”สุดท้าย”ก็”ล้มเหลว” วันนี้”เซ้าท์เทรินซีบอร์ด” ที่เห็นอยู่คือ”ถนนสายหนึ่ง” ที่เหลือไว้เป็น”อนุสรณ์” ของอภิมหาโครงการ” เช่นเดียวกับ”โครงการท่าเรือปากบารา” ซึ่งเป็น”โครงการใหญ่” ที่เกี่ยวกับการ”ขนส่งสินค้า” ที่ “เชื่อมโยง” ระหว่าง”ฝั่งอันดามัน”กับ”อ่าวไทย” ที่ถูก”ยกเลิก” ในสมัยที่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น”นายกรัฐมนตรี” และต่อด้วย”แลนด์บริดจ์” ในสมัยของ”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น” นายกรัฐมนตรี” ซึ่งเป็น”อภิมหาโครงการ” สุดท้ายที่มาจาก”รัฐบาล” ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ที่ไม่เคย”เกิดขึ้นจริง”กับ”แผ่นดิน”ของ”ภาคใต้”ทั้งหมดเป็นเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ที่มีผลกระทบกับ”ปากท้อง”และ”รายได้”ของประเทศ นี้ถ้าไม่มี”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ได้เป็น”นายกรัฐมนตรี” เชื่อว่า”สะพานติณสูลานนท์”ที่ใช้”ข้ามทะเลสาบสงขลา”คงยังไม่มี”คนเกาะยอ”ยังคงใช้เรือ”สัญจร”ในการติดต่อกับ”แผ่นดินใหญ่” และ”ท่าเรือน้ำลึกสงขลา”ก็คงยังไม่เกิดขึ้น เหตุผลเพราะ”นักการเมือง”ที่คิดแต่เรื่อง”ประโยชน์ส่วนตน” มากกว่า”ประโยชน์ของส่วนรวม” นี้คือเรื่อง”การพัฒนาเศรษฐกิจ”ของภาคใต้ ที่กลายเป็นภูมิภาค” ที่”ล้าหลัง” และถูก”ทอดทิ้ง” อย่างยาวนาน

ส่วนเรื่องของ”การเมือง” ที่ “เดือนมกราคม” คือเดือนแห่งการ”หาเสียง” ในการเลือก”ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หรือ” อบจ.” ที่”ดุเดือดเลือกพล่าน”ในทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาค”ตะวันออกเฉียงเหนือ-ภาคกลาง” และ”ภาคเหนือ” ที่” นายกตัวจริง” อย่าง”ทักษิณ ชินวัตร” บิดาของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ตาม”รัฐธรรมนูญ” ที่ลงพื้นที่ช่วยผู้”สมัคร”ของ”เพื่อไทย” ในการ”เดินสายปราศรัยหาเสียง” เพื่อต้องการ”กวาดที่นั่งนายก อบจ.” ให้ได้มากที่สุด  การเดินสาย”หาเสียง”ครั้งนี้ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นการ”แสดง”ตัวตน”ที่”ชัดเจน”ที่เป็นการบอกให้”สังคมไทย”ได้รับรู้ว่า”ใครคือหัวหนาพรรคตัวจริง”ของ”พรรคเพื่อไทย” เพราะการ”เลือกนาย อบจ. ครั้งนี้จะเป็นการ”ชี้ขาด” ถึงจำนวน “ของ” สส”.ของ”เพื่อไทย” ในอนาคต แต่ในการ”ขับเคลื่อน”ทางการเมืองท้องถิ่น”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ในครั้งนี้ก็เป็นการ”แตกหัก” กับ”พรรคร่วมรัฐบาล” อย่าง”ภูมิใจไทย” เพราะการ”กวาดชัยชนะ” ให้ได้มากที่สุดของ”ทักษิณ ชินวัตร” ใน เวทีการเมืองท้องถิ่นหมายถึงต้อง”ล้ม” คนของ”ภูมิใจไทย” ที่”ยึดครอง” ที่นั่ง”นายก อบจ.” อยู่ จำนวนหนึ่ง เวที”การเมืองท้องถิ่น” ของ”เพื่อไทย” จึงเว้นไว้เพียง”ภาคใต้” ที่”เพื่อไทย” ไม่มีการ”แข่งขัน” แต่”ทักษิณ ชินวัตร” ก็ไม่ปล่อยให้พรรคอื่นๆได้”ลอยนวล” เพราะมี” ร.อ.ธรรมนัส” พรหมเผ่า” ที่เป็น”ตัวแทน” ในการ”สนับสนุน” กลุ่มของ”การเมืองท้องถิ่น” ซึ่งอยู่ใน”คอนโทรล” ของ” รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่เป็นที่รู้กันว่าเป็น”พันธมิตร”ของ”เพื่อไทย” ที่ในการ”เลือกตั้ง สส.” สมัยหน้า ย่อมเป็นผู้”สนับสนุน” พรรคเพื่อไทย อยู่แล้ว

ดังนั้นวันนี้”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต นายกรัฐนตรี ที่กลับ”บ้านเกิดเมืองนอน” แค่ปีกว่า ที่สามารถหา”วิธี” ในการ”เรียกแขก” เรียก”อดีตศัตรู” ให้มา”รวมตัว” อย่างรวดเร็ว โดยมี”เป้าหมาย” เดียวกัน นั่นคือการ”โค่นล้ม” ทั้ง”ทักษิณ ชินวัตร” และคนของ”ตระกูลชิน” โดยเฉพาะการพา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็น”น้องสาว” อดีต”นายกรัฐมนตรี” กลับบ้าน วันนี้กลายเป็น”ประเด็นการเมือง” ที่”ศัตรู” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ใช้ในการ”เรียกแขก” ครั้งใหญ่อีกครั้ง ในการสร้าง”ความชอบธรรม” เพื่อเรียกร้องให้”ประชาชน” ลงถนน อีกครั้ง …… เมื่อ “การเมือง” มีแต่”ประเด็น” ที่นำไปสู่ความ”แตกแยก” และนำไปสู่การ”ปลุกปั่น” ให้คนในชาติเกิดการ”เกลียดชัง” และมีการ”แบ่งขั้วแบ่งสี”  บ้านเมือง ที่มีแต่ “ปัญหา” อย่างนี้ จะนำไปสู่การ” พัฒนา”ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” และการ”ลงทุน” ได้อย่างไร ดังนั้น เราจึงเห็นแต่”กลุ่มทุนจีน” และ”จีนเทียม” กับ “จีนที่ฉวย”โอกาส” ในยามที่”เศรษฐกิจ”ของไทย”ตกต่ำ” เข้ามาเพื่อ”กว้านซื้อ” บ้าน ที่ดิน บริษัท โรงงาน ในราคาที่ถูกๆ และเข้ามา”ลงทุน” เพื่อรอ”จังหวะ” ในการ”สร้างกำไร” ส่วน นักลงทุนจาก ประเทศอื่นๆ เขาจะเลือกการ”ลงทุน” ในประเทศไทยเป็นที่”สุดท้าย” ในกลุ่มของ”อาเซี่ยน”

แต่ใน”ข่าวร้าย” ก็มี”ข่าวดี” สำหรับ”คนไทย” ที่อายุ 60 ปี ขึ้นไป เพราะ”รัฐบาล” โดย”กระทรวงการคลัง” ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะ”แจกเงิน 10,000 บาท ให้ทุกคน ก่อนสิ้นเดือนมกราคมนี้แน่นอน  ถือเป็น”อั่งเปา” ในเทศกาล”ตรุษจีน” ที่จะมาถึงในวันที่ 28 มกราคม ที่จะถึงนี้ ก็ได้แต่หวังว่า”เงิน 10,000 บาท คงจะช่วย”กระต้นเศรษฐกิจ” โดยรวมของประเทศได้บ้าง และหากให้ดี ช่วงเวลาของ”เทศกาลสงกรานต์”  ซึ่งเป็นวัน”ปีใหม่ไทย” รัฐบาลควรจะ”แจกเงิน” อีกรอบ ซึ่งเป็น”รอบสุดท้าย” ให้”ประชาชน” ที่อายุตั้งแต่ 16 ปี ขึ้นไป ตามที่”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ได้”หาเสียง”กับ”ประชาชน” เอาไว้ ส่วน”ผลพวง” จากการ”แจกเงินหมื่น” ครั้งนี้”หนี้สิน” ที่เกิดขึ้น”ทุกคน” ที่เป็น”คนไทย” ก็ช่วยกัน”แบกรับ” และช่วยกัน”ชำระหนี้”กันตาม”อัตภาพ” ถือว่าได้มีส่วน”ช่วยเหลือ” เพื่อนมนุษย์ที่”มีสิทธิ์” ซึ่งอยู่ใน”กติกา”ของการ”แจกเงิน” ในครั้งนี้ รวมทั้งถือว่าได้”มีส่วน” ในการ”สนับสนุน” พรรคเพื่อไทย ให้ได้”คะแนนนิยม” เพื่อให้การ”เลือกตั้ง” ครั้งหน้า ได้”คะแนน” มาเป็นอันดับหนึ่ง” เพื่อมา”บริหารประเทศ”อีกต่อไป ฮา ออก หรือไม่ออกก็ต้อง ฮา

เมื่อ” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” หัวหน้าพรรค”รวมไทยสร้างชาติ” และ”รองนายกรัฐมนตรี” ผู้เป็น”เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” ทำการ”ทะลายห้าง” เพื่อ”รื้อ” โครงสร้างของ”พลังงาน” ที่การ”ผูกขาด” จาก”กลุ่มทุน” มาอย่าง”ยาวนาน” ด้วยการให้”ประชาชน”เข้าถึงการใช้ไฟฟ้าในราคาถูก เช่นการจัดหา”อุปกรณ์” ในการติดตั้ง”โซล่าเซลล์”และ”แบตเตอรี่” ในราคาที่”ไม่แพง” จากชุดละ 200,000 บาทให้เหลือเพียง 50,000 บาท  ซึ่งหาก”เป็นจริง” จะเป็น”ทางออก” สำหรับผู้ใช้”ไฟฟ้า” ในประเทศไทย” ที่จะได้”หลุดพ้น” จาก”วังวน” ของการ”จ่ายเงินค่าไฟ” ให้กับ” การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” และ”ไฟฟ้านครหลวง” ซึ่งเป็น สองหน่วยงานที่”ซื้อไฟฟ้า” จาก” การไฟฟ้าฝ่ายผลิต” ( กฟผ.) เพื่อมา”ขายต่อ” ให้กับ”ประชาชน” อาจจะเป็นเพราะ”โครงสร้าง” ที่”แบ่งปันผลประโยชน์” อย่างนี้ก็เป็นได้ที่ทำให้”ค่าใช้ไฟฟ้า”ของ”คนไทย” มี”ราคาแพง” ส่วนการ”ยกเลิก”การเปิด”ประมูล”พลังงานสะอาด” จำนวน 3,600 เมกกะวัตต์ และยังไม่มีการ”กำหนด” ว่าจะมีการแต่งตั้ง”คณะกรรมการ”หรือ”บอร์ด” ชุดใหม่ เพื่อเข้ามาดำเนินการ เรื่องนี้”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” เสนาบดีกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ไม่มีการ”ขัดแย้ง” และ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี มีการ”เห็นชอบ” ให้ ดำเนินการ สร้างความความ”โปร่งใส” และ”เป็นธรรม” เพื่อแก้ปัญหา”การผูกขาด” ในเรื่องของ”พลังงาน”  เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ “ประชาชน” ให้ความ”สนใจ” ก็ต้องติดตามดู ยาวๆ ว่าการ”ทลายห้าง” ที่”กลุ่มทุนใหญ่” ในประเทศทำการ”ผูกขาด” มายาวนาน เป็นเรื่องของการทำเพื่อ”ประชาชน” และ”ประเทศชาติ” จริง หรือเป็นเพียง”ปาหี่การเมือง” เพื่อการ”แบ่งเค้ก” กันใหม่ เพราะขึ้นชื่อว่า”การเมือง” มักจะมี”ผลประโยชน์” ที่”แอบแฝง” อยู่เสมอ และการที่”เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” กล่าวว่า”นายกรัฐมนตรี” แพทองธาร ชินวัตร” รับรู้”และ”สั่งการ”ให้มีการ”ทลายห้าง”ของการ”ผูกขาด”พลังงาน”จาก”กลุ่มทุน”ไม่ได้เป็นความ”ขัดแย้ง”ของ สองพรรคการเมือง และ”นายทุนพลังงาน” ที่เป็นคน”กำหนดโชคชะตา” ของคนไทยทั้งประเทศ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับกับเรื่องที่” ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ”เสนาบดีกลาโหม” ที่จะ”รื้อ”โครงสร้าง ของการ”ดับไฟใต้” เนื่องจากเรื่องของ”ไฟใต้” หรือ”ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ผ่านมาแล้ว 21 ปี และก้าวขึ้นสู่ปีที่ 22 ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา แต่ยังมองไม่เห็น”หนทาง”ในการที่จะเห็น”แสสว่างที่ปลายอุโมงค์” ในการ”ยุติ”ปัญหา”ของ”ไฟใต้ การที่จะต้อง กลับมาพิจารณาโครงสร้าง” ทั้งของ”กองทัพ” และ”หน่วยงานความมั่นคง” โดยเฉพาะ” สภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ “สมช.” ซึ่งเป็นผู้”กำหนดยุทธศาสตร์” ด้านความมั่นคงของประเทศ มีอะไรที่”ไม่สมบูรณ์” และ”ไม่สมประกอบ” ไม่” รู้จริง” กับ”บริบท”ของ”ไฟใต้” หรือ”สมช. ณ ปัจจุบัน ถูก”ครอบงำ” โดยใคร จึงทำให้การกำหนด”ยุทธศาสตร์” ด้านความมั่นคง โดยเฉพาะเรื่องการ”ดับไฟใต้” มีการ”ไข้วเขว” ที่แม้แต่ หน่วยงานของรัฐ ในพื้นที่ก็ยังไม่ยอมรับ”ยุทธศาสตร์” ที่กำหนดโดย “สมช.” เรื่องนี้ “ฉัตรชัย ”บางชวด”เลขาธิการ”สมช.มองอย่างไร และจะแก้อย่างไร

แต่ใน”ประเด็น” ที่ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับ”ภูมิธรรม เวชยชัย”  เสนาบดีกลาโหม”คือการที่ลงความเห็นว่า” การที่”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีประทศมาเลเซีย แต่งตั้งให้”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่ปรึกษา จะทำให้ช่วยการ”ดับไฟใต้”ได้นั้น เห็นว่า”ไม่จริง”…. เปล่า ไม่ใช่ไม่เชื่อในความ”สามารถ”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” แต่ไม่”วางใจ” ในตัวของ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย เพราะมีความ”โน้มเอียง” ยังฝั่งของ “บีอาร์เอ็น” รวมทั้ง “สนับสนุน” การ”เคลื่อนไหว” ของ”ยุวมุสลิม” ในภาคใต้ของประเทศไทย ที่”บางส่วน” เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ดังนั้นการ”ดับไฟใต้” ที่ได้ผลคือการ”รื้อโครงสร้างเก่า” ที่”ล้าหลัง” ไม่ทันกับการพัฒนาไปข้างหน้าของ”สถานการณ์” และของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” และใช้”โครงสร้างใหม่”ในการ”ดับไฟใต้” โดยมีการ”แก้กฎหมาย” ให้มี”กฎหมายการก่อการร้าย” เพื่อ”ปฏิบัติการ”กับ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น “แทนการใช้”กฎอัยการศึก  พรบ.ความมั่นคง “ และ” พรก.ฉุกเฉิน” ที่”ล้าหลัง” และเป็นการเปิด”ช่องว่าง” ให้”บีอาร์เอ็น ,เอ็นจีโอ,ภาคประชาสังคม”และกลุ่ม”สิทธิมนุษย์ชน” นำไปเป็น”เงื่อนไข” กล่าวหา เจ้าหน้าที่รัฐ และ”รัฐบาล” ว่าเป็นการ”ละเมิดสิทธิเสรีภาพ” ของประชาชน

ส่วนในเรื่องการ”ขับเคลื่อน” การ”พูดคุยสันติสุข” ที่ วันนี้” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็น” ออกมา”เรียกร้อง”ให้”รัฐบาล” เร่งดำเนินการ เพื่อที่ “บีอาร์เอ็น” จะได้ใช้”เวทีการพูดคุย” ในการ”แสดงตัวตน” ที่มีความสำคัญ ใน”เวทีโลก” นั้น เรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่มีความ”จำเป็น” ของการ”ขับเคลื่อน” ขบวนการ”สันติภาพ” ในการสร้าง”ภาพลักษณ์” ที่อาจจะแฝง”ภาพลวง” ไว้ด้วย เพื่อให้”เวทีโลก” เห็นว่า”รัฐบาล” พร้อมที่จะ”ยุติ”ความ”ขัดแย้ง” ในข้อเรียกร้องของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” โดย”สันติวิธี” แต่… การ”พูดคุยสันติสุข” หรือการ”เจรจาสันติภาพ” เพื่อ”สันติสุข” ต้องมีเวทีใน”ประเทศไทย” และ”” ของ”รัฐบาล” ต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง”การเจรจาหัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพ” ที่เป็น”คนกลาง” และต้องไม่มี”กลิ่นอาย” ของ”พรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็น”ฝ่ายค้าน”หรือ”รัฐบาล” การ”พูดคุย”กับ”บีอาร์เอ็น” อย่าให้”บีอาร์เอ็น” และ”ผู้อำนวยความสะดวก”ที่เป็น”ตัวแทนรัฐบาลมาเลเซีย” ในการ”พูดคุย” เป็นผู้”กำหนดเกม” ที่สำคัญการ”พูดคุย” กับ”ฝ่ายตรงข้าม” ที่ยังมีความ”ได้เปรียบ”ฝ่าย”รัฐบาล” จะ”เพลี่ยงพล้ำ” จึงต้อง”ระมัดระวัง” โดยเฉพาะต้องไม่ให้”องค์กรต่างชาติ” จาก”ชาติตะวันตก” เข้ามา”แทรกแซง”

เรื่องการเดินทางโดย”เครื่องบิน” หรือ”อากาศยาน” ในประเทศไทย ยิ่งนานวัน ยิ่งมีปัญหามากมาย เป็นเพราะ”หน่วยงาน”ที่”เกี่ยวข้อง” ไม่ได้”ใส่ใจ” ในเรื่องการให้”บริการ”ของ”บริษัท”ต่างๆ ที่เป็นเจ้าของ”สายการบิน”หรือไม่ เช่น”ราคาค่าโดยสาร” ที่”แพงมาก” ซึ่งยัง”รับได้” เพราะ”ผู้โดยสาร” ที่มีความ”จำเป็น” ไม่มี”ทางเลือก” ต้อง”ขมขื่น” ในการ”ควักเงิน” สร้าง”กำไร” ให้กับ”กลุ่มทุน” เจ้าของ”สายการบิน” แต่ที่เริ่มจะ”รับไม่ได้”คือการที่”สายการบิน”ทุก”สายการบิน”ไม่มีความพร้อม”มีแต่เรื่องของการ”ดีเลย์”เกือบทุกเที่ยวบิน ที่”น่าเกลียด”สายการบินแห่งชาติ” ที่มีการ”ดีเลย์” ครั้งละ 3 ชั่วโมง ที่”สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ เมื่อคืนวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา  เป็นการ”ดีเลย์” ที่สร้างความเดือดร้อน และ เสียหาย ให้กับผู้”ต่อเครื่อง” ที่ต้อง”ตกเครื่อง”โดยสายการบินทุกสายการบินที่”ดีเลย์” ประกาศสั้นๆว่า”ขออภัยในความล่าช้า” เนื่องจาก”รอเวลาเครื่องขาเข้า” แต่ วันที่”ผู้โดยสาร”เดินทางไป”ขึ้นเครื่อง”ล่าช้าเพียง 10 นาที จะ”ขออภัย”ในความ”ล่าช้า” ที่เกิดขึ้นจากเรื่อง”รถติด” หรืออื่นๆ “สายการบิน”ไม่เคยให้”อภัย” และไม่เคยที่จะ”อะลุ่มอล่อย” ให้กับ”ผู้โดยสาร” เรื่องนี้เป็นการ”เอาเปรียบ”กันเกินไปหรือไม่ อยากให้”ประชาชน”ผู้ถูก”เอาเปรียบ” ลุกขึ้นเรียกร้อง”สิทธิ” ที่ควรจะได้

และอีกเรื่องที่ไม่มี”มาตรฐาน”ในการตรวจ”ผู้โดยสาร” ก่อนการ”ขึ้นเครื่อง” ที่”เครื่องมือ”ของ”เจ้าหน้าที่”ซึ่งเหมือนกับ”ไม้ล้างป่าช้า” หรือ” ทีจี 200 “ ที่”ไร้ประสิทธิภาพ” เพราะในตัวของ”ผู้ถูกตรวจ” ไม่มี”สิ่งต้องห้าม” แม้แต่ชิ้นเดียว เครื่องก็ยังดัง”วี้ดๆ” ทำให้”เสียเวลา”และ”เสียอารมณ์” โดยใช่เหตุ อยากให้”ทุกสนามบิน” มีการ”ปรับปรุง” “เครื่องมือ” ในการ”ตรวจจับ”สิ่งของต้องสงสัย ที่ได้”มาตรฐาน” ที่ไม่ใช่”ไม้ล้างป่าช้า” ที่ไร้”ประสิทธิภาพ” และอีกเรื่องที่ทำให้”เสียเวลา” และเสีย”อารมณ์” คือ”เรื่องของ”รองเท้าหุ้มข้อ” ที่”สนามบินเดียวกัน แต่”เจ้าหน้าที่ประจำ”ช่องตรวจ” มี”มาตรฐาน”ที่”ต่างกัน” เช่น”บางช่อง”ต้อง”ถอดรองเท้า”เพื่อเข้าเครื่อง”สแกน” แต่บางช่องไม่ต้อง”ถอด” ไม่ต้องนำ”รองเท้าเข้าเครื่อง”สแกน” ทั้งหมดคือความไม่มี”มาตรฐาน” ของ”สนามบิน”ใน”ประเทศไทย” และที่”สังเกต”คือ”ไม่มีหน่วยงานของ”สนามบิน” ทำการ”ตรวจสอบ” ทั้งเรื่องไร้”มาตฐาน” และเรื่องความ”โกลาหล”ใน”สนามบิน” โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดการ”ดีเลย์” ของ”สายการบิน” ที่ประชาชนได้รับความ”ขมขื่น” และ”เดือดร้อน” หรือ”บทบาท”และ”หน้าที่”ของการท่าอากาศยาน” มีเพียงการ”เก็บเงิน” จาก”สายการบิน”เท่านั้น ส่วนการให้”บริหาร”ต่อ”ผู้โดยสาร”ของแต่ละ”สายการบิน” ไม่มีส่วน”เกี่ยวข้อง”กับผู้”บริหารท่าอากายาน” แต่อย่างใด โดยเฉพาะ”สายการบินแห่งชาติ” ที่มี”สโลแกน”ว่า”รักคุณเท่าฟ้า” วันนี้”ผู้โดยสาร” ต้องการเห็น”มาตรฐาน” ในการให้”บริการ” กับ”ผู้โดยสาร” มากกว่าคำว่า”รักคุณเท่าฟ้า” เข้าใจด้วย

เรื่องนี้ “สำคัญ” คน“สงขลา” ฝากถึง” ผู้แทนราษฎร”ของ จ.สงขลา ว่า ในวันที่มีการประชุม”ครม สัญจร”ที่ จังหวัดสงขลา ให้”ผู้แทน” นำ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ”รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ”พล.ต.อ.เพิ่มพูล ชิดชอบ” ไปดู”ปฎิมากรรมอัปยศ” หรือ”อควาเรียมหอยสังข์” ที่เป็นผลงานของ”กระทรวงศึกษาธิการ” ที่”ทิ้งร้าง” สร้างไม่เสร็จทั้งที่มีการ”เบิกงบประมาณ”ไปแล้ว 1,400 ล้าน และ”ทิ้งงาน”ไปนานถึง 15 ปี โดยที่ไม่มีการ”แก้ปัญหา”ที่เกิดขึ้น…..รวมทั้งให้นำ”รัฐมนตรีกระทรวงเกษตกรและสหกรณ์” ไปดู”โพงพาง”ผิดกฎหมาย” ที่สร้าง”รุกล้ำ” ร่องน้ำในการเดินเรือ และเป็นเครื่องมือการทำประมงที่”ผิดกฎหมาย”  ใน”ทะเลสาบสงขลา” ที่กลายเป็นที่มาของ”กฎหมู่”ใหญ่กว่า”กฎหมาย” และมี”อภิสิทธิ์” บางกลุ่มสามารถอยู่เหนือ”กฎหมาย”ได้ “ครม.สัญจร” มา”ประชุม”ถึงที่ ถ้า”ผู้แทน” ไม่ทำ ก็ขอ”เชิญชวน” ประชาชน” ให้ “ลุกขึ้น” เพื่อสร้างความ”ศักดิ์สิทธิ์” ให้กับ”กฎหมาย”

พื้นที่ “จังหวัดสงขลา” ชักจะ”ดุเดือน” มีคดี”ฆ่ากันตาย” เกิดขึ้นติดๆกัน หลายคดี  ส่วนใหญ่เกิดใน”ตัวเมือง”  ก็ฝากให้” พล.ต.ต.เชาวลิตร เลี้ยงสุพงศ์” ผบก.ภ.จว. สงขลา กำชับ เจ้าหน้าที่ในการตั้ง”จุดตรวจ” อย่า”เน้น”แต่เรื่องความผิดใน”พรบ.จราจร” เพื่อ”หาเงิน” เป็น”ค่าปรับ” เข้า”โรงพัก”เพื่อ”แบ่งรางวัล”นำจับ” แต่ไม่สนใจกับการ”พกพาอาวุธ” เข้ามาในตัวเมือง” โดยเฉพาะ”พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์” ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วันนี้ “ประชาชน” ร้องเรียนกันมามาก เรื่องของ”พรบ.จราจร” ที่มีการ”จับแหลก” และมีการ”ตีเส้น” ห้ามจอด” หรือ”ขาวแดง” จนตัวเมืองหาดใหญ่ กำลังไม่มีที่”จอดรถ” มีการ”ล็อคล้อ” รถยนต์ที่จอดในที่”ห้ามจอด” และมีการ”จ้าง จยย.รับจ้าง ให้เฝ้ารอเพื่อให้”เจ้าของรถยนต์” จ้าง”จยย.รับจ้าง”ไปจ่าย”ค่าปรับ” ที่”โรงพัก” ที่เป็นเรื่องที่เป็นการ”หาเงิน” ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย บนความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน”

ส่วนในพื้นที่”สภ.สะดา จ.สงขลา มีเหตุ”ฆ่ากันตาย” ใน”ปั้มน้ำมัน” แต่หลังเกิดเหตุเพียง 1 วัน” พ.ต.อ. สุระจิตร เพชรจอม ผกก. ก็สามารถติดตาม”มือปืน” และ”ผู้ร่วม”ก่อเหตุ” ทั้งหมด มาดำเนินคดีตาม ”กฎหมาย”ได้ ถ้าจะให้ดีคือการ”ป้องกัน” อย่าให้”เหตุเกิด” จะเป็นการดีที่สุด

การ”เลือกตั้ง” นายก อบจ.ในพื้นที่ จ.สงขลา มีการ”แข่งขัน” กัน”สามทีมใหญ่” และ”อีก 180 คน ที่ลงสมัครแข่งขันการเป็น”ส.อบจ.” จำนวน 36 เขต ไม่ห่วงเรื่องการ”ฆ่าแกง” แต่น่าเป็นห่วงเรื่อง”ซื้อเสียง” เพราะมีการ”จ่ายเงิน” ผ่าน”หัวคะแนน” และ”ผู้นำท้องที่-ผู้นำท้องถิ่น” กันอย่าง”ครึกโครม” ก็อยากเห็น” กกต.ยุคใหม่” ที่ทำหน้าที่”ตรวจสอบ” เพื่อหา”หลักฐาน”ในการ”จับกุม” ไม่ใช่ต้องให้มี”ผู้กล่าวโทษร้องทุกข์” ก่อนแล้วค่อย ดำเนินการ อย่างที่ผ่านๆ มา อยากเห็น”ผู้กองนึก” แสดง”ฝีมือ” จับผู้”ซื้อเสียง” เพื่อสาวให้ถึง”ตัวการ” ที่มีการแจ้งว่าเป็น”สส.คนดัง  ….. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา ‘ทักษิณ-อันวาร์’ถกดับไฟใต้ ฟื้นเศรษฐกิจอาเซี่ยน

”รัฐบาล” กับงาน”การเมือง” ใน”เทศกาล” ของการต้อนรับ”ปีใหม่ 2568 “ คือการ”อำนวยความสะดวก” ให้กับ”ประชาชน” ในเทศกาลของการ”ต้อนรับปีใหม่” โดยให้ทุก”กระทรวง”มีการอำนวยความสะดวก ในการ”เดินทางสัญจร” เช่นการเปิด”ฟรีมอเตอร์เวย์”ในบางช่วง บางตอน บางสาย ในการเดินทางไป”ต่างจังหวัด”  ขณะที่ “กระทรวงยุติธรรม” “จัดกิจกรรม” ให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังอย่างใกล้ชิดในวัดหยุดเทศกาลปีใหม่ เช่นเดียวกับอีกหลายกระทรวง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงทรัพย์ ก็มีการจัด”กิจกรรม” ที่เรียกว่าเป็นการมอบ”ของขวัญ” ให้กับ”ประชาชน…..แต่ สิ่งหนึ่งที่ ยังคง”ป้องกัน”ไม่ได้ นั้นคือเรื่องของ”10 วันอันตราย” ที่ยังคงเป็น” 10 วันอันตราย” ที่”อันตราย” จากการ”ใช้รถใช้ถนน” ยังคงไม่”ลดลง” และเรื่องของ”เมาแล้วขับ” ก็ยังเป็น”สาเหตุหลัก” ในห้วง”10 วันอันตราย”  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า”การตั้งจุดตรวจ” ที่”รัฐบาล” คิดว่าจะเป็นการ”แก้ปัญหา”ในการ”ลดอุบัติเหตุ” ในห้วง 10 วันของเทศกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น”ปีใหม่” หรือ”สงกรานต์” ยังเป็นเรื่องที่”เกาไม่ถูกที่คัน” ซึ่ง”หน่วยงานที่รับ”ผิดชอบ” ควรมีการ”ทบทวน” ว่า นอกจากการ”ตั้งด่านตรวจ” อย่างที่ทำกันมาหลาย 10 ปี แต่”ไม่มีผล” ยังจะต้องมี”มาตรการ” อะไรเพิ่มเติมเพื่อการ”ลดอุบัติเหตุ” ในห้วงของ”เทศกาล” สำคัญๆที่ประชาชนมีการ”ใช้รถใช้ถนน” เป็นจำนวนมาก หรืออย่าง”มาตรการของ”เอกนัฎ พร้อมพันธุ์” เสนาบดีกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ให้”โรงงานน้ำตาล” หยุดรับซื้ออ้อย เป็นเวลา 7 วัน เพื่อการ”ลดอุบัติเหตุ” ก็ทำได้ในพื้นที่ไม่กี่จังหวัด แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่อง”ที่ดี” ดีกว่าที่ไม่คิด ที่จะทำอะไรเลย

หลังการ”เฉลิมฉลอง” ใน”เทศกาลปีใหม่”แล้ว”  หลังการ”เดินทาง” กลับบ้านไปเยี่ยมบ้านแล้ว ทุกคนก็ต้องกลับมา”ทำงาน” และอยู่กับ”ความจริง” ในเรื่องของ”ปากท้อง” เรื่องของ”เศรษฐกิจ” ที่ยัง”ยักแย่ยักยัน” มองไม่เห็น”แสงสว่าง” ว่า”ประเทศไทย” จะขึ้นจาก”หลุมดำ” ทาง”เศรษฐกิจ” ได้อย่างไร  สิ่งที่”รับรู้” คือการ”พยายาม”ประคับประคอง” ด้วยการ” ลด”นั้น”แจก” นี้ เช่น จะมีการ”ลดค่าไฟฟ้าลง 3 สตางค์ ต่อหน่วย ซึ่งมัน”จิ๊บจ้อย” เหลือเกิน ในความ”รู้สึก”ของ”ประชาชน “ส่วนโครงการใหญ่ๆ ที่ เรื่องการให้”สถาบันการเงิน” เปิดกว้าง” เพื่อให้”ผู้ต้องการ”เงินลงทุน”  อย่าง”กิจการขนาดเล็ก” หรือ”เอสเอ็มอี” ก็ยังเป็นเรื่องที่”ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก” เพราะ”สถานบันการเงิน” ไม่”โอนอ่อนผ่อนตาม” นโยบายของ”รัฐบาล” เมื่อ”รัฐบาล” เรียกประชุม”นายแบ็งค์” ทุก”แบ็งค์” ก็”รับปาก”ว่าจะ”ปล่อยกู้” ตาม นโยบาย”ของ”รัฐบาล” แต่ในความ”เป็นจริง” ทุก”สถาบันการเงิน” ที่เป็นของ”เอกชน” บรรดา”นายแบ็งค์” ทุกคนต่าง”ส่ายหน้า” ไม่เห็นด้วยกับ”นโยบาย” ของ”รัฐบาล” ดังนั้น”ทุกแบ็งค์” จึงไม่มีใคร”เสี่ยง” ในการ”ปล่อยกู้” ให้กับ”ธุรกิจ” ที่มี”ความเสี่ยง” และกับ”ประชาชน” ที่ไม่มี”หลักประกัน”

ยกตัวอย่างการ”ปล่อยกู้” ในการ”ซื้อบ้าน” ที่”สถาบันการเงินทุกสถาบัน” ถือว่ามี”ความเสี่ยงสูง” ซึ่งใน อดีต “สถาบันการเงิน” จะไม่”ปล่อยกู้” ให้การ”ซื้อบ้าน” ที่ราคาตั้งแต่” 1 ล้านบาทถึง 1 .5 ล้านบาท เพราะ”ผู้ซื้อ” เป็น”ชาวบ้าน,ข้าราชการ” ชั้นผู้น้อย ที่”สถาบันการเงิน” อ้างว่ามีความ”เสี่ยงสูง” แต่ “วันนี้” ผู้”ซื้อบ้าน” ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป”สถาบันการเงิน” ก็”อนุมัติ”วงเงิน”สินเชื่อ” ยากขึ้น เพราะวันนี้”ชนชั้นกลาง” เริ่มที่จะมี”หนี้เสีย” ในเรื่องของการ”ผ่อนชำระ” มากขึ้น  ดังนั้นถ้า”กับดัก” ด้านของ”หนี้ครัวเรือน” ยังไม่ได้รับการ”แก้ไข” จาก”รัฐบาล” อย่าง”จริงๆ จังๆ” โอกาสที่จะเห็นการ”โงหัว” ของ”เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศ ก็ยังมองไม่เห็น”แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ที่สำคัญ”นักธุรกิจ” และ”นักลงทุน” ในด้าน”อสังหาริมทรัพย์”ขนาดเล็ก” กำลังจะ”หมดตัว”  และกลายเป็นผู้”ล้มละลาย” มากขึ้นๆ….. เรื่องของ”การเมืองไทย” โดยเฉพาะการ”บริหารราชการแผ่นดิน” ของ”รัฐบาล” ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” และมี” แพทองธาร ชินวัตร” ผู้เป็น”ทายาท” ของ”ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ณ วันนี้ ทุก”ฟากฝ่าย” ต่าง”ลงความเห็น”ว่า” เธอเป็นเพียง” นายกรัฐมนตรี” เพียง”ในนาม” เท่านั้น เพราะ ยิ่งนายวัน ยิ่งเห็นชัดว่า ทุกอย่างทั้งการ”สั่งการ” และการ”ตัดสินใจ” มาจาก” “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็น”พ่อ” ซึ่งกำลังเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่เป็น”ตัวจริง” มากขึ้น และ มากขึ้น….. ก็ไม่ได้ว่า”อะไร” ถ้าการเข้ามา”สั่งการ” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต “นายกรัฐมนตรี” จะทำให้”สถานการณ์” ของประเทศชาติดีขึ้น ทั้งในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” และในเรื่องของ”ความมั่นคง” จะทำให้”ประเทศชาติ” มั่นคง แข็งแรง ทั้งด้านของ”ปากท้อง”ของ”รากหญ้า” และ”เศรษฐกิจ-สังคม” ของประเทศ  เพียงแต่เห็นว่า”บทบาท”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ณ วันนี้ เป็นการ”สร้างปัญหา” ให้กับ”ประเทศชาติ” สร้างความ”ไม่เชื่อมั่น” ให้กับ”สังคม” และ”ต่างประเทศ” มากกว่าความ”มั่นใจ” หรือไม่  การออกมา แสดงความคิดเห็นที่เหมือนกับเป็นการ”สั่งการ” แทน”นายกรัฐมนตรี” ของ”ทักษิณ ชินวัตร”ที่ ”มากขึ้น” จะเป็น”ผลดี” หรือ”ผลเสีย” ต่อ”รัฐบาล” หรือไม่ นี่ต่างหากที่ หลายฝ่าย”เป็นห่วง

เช่นเรื่องของ”ว้าแดง” ที่ มีการ”รุกล้ำเขตแดน” ของ”ประเทศไทย”ด้าน อ.ปางมะผ้า” แม่ฮ่องสอน ด้านภาคเหนือของประเทศ ที่”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่าย”ความมั่นคง” และ”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม” ดูเหมือนไม่”มั่นใจ” ในการที่จะ”สั่งการ” กับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องของปัญหา”ไหล่ทวีป” ของ”ทะเลด้าน “เกาะกูด” จ.ตราด ที่เป็นพื้นที่”อ้างสิทธิ์” ของ”กัมพูชา” เพื่อต้องการ”ทรัพยากรธรรมชาติ”ในใต้ท้องทะเล ที่ในการ”ขับเคลื่อน”ต้องรอการ”สั่งการ” บุคคลภายนอก ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ”รัฐบาล” แม้แต่ปัญหาเรื่องการ”ปรามปราม” ขบวนการ”คอลเซ็นเตอร์”  ที่มี”ฐานปฏิบัติการ” อยู่ในประเทศ”กัมพูชา” และ”สปป.ลาว” หน่วยงานที่มีหน้าที่”รับผิดชอบ”โดยตรง” เช่น” กสทช.” และ”ตำรวจไซเบอร์” ก็ดูเหมือนจะรอการ”สั่งการ” จาก” บุคคล”ที่อยู่นอก”รัฐบาล” ทั้งที่ทั้งสองหน่วยงานมี”หน้าที่” ในการ”รับผิดชอบ”โดยตรง…..ส่วนเรื่องที่ชักจะ”ร้อนแรง” อีกเรื่องที่มากับ”ปีใหม่ 2568 “ นั้นคือเรื่องการ”แก้กฎหมาย” ให้”นักโทษ” สามารถถูก”กักขัง” ใน”บ้านพัก” ของตนเองได้ ซึ่งทางหนึ่งเป็นการ”ทำกฎหมาย” เพื่อให้เป็นไปตาม”ขบวนการยุติธรรม” เพื่อประโยชน์ของ”ส่วนรวม” แต่ใน”สายตา” และ”ความเห็น”ของคนส่วนใหญ่ มองว่าเป็นการ”ออกกฎหมาย” เพื่อที่จะพา” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ผู้เป็น”น้องสาว”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” และเป็น”อาหญิง” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” กลับบ้าน โดยที่ ไม่ต้องถูก”ควบคุมตัวในเรือนจำ” กลายเป็นเรื่อง”ร้อนแรง”ทาง”การเมือง” ที่เปิดโอกาสให้”ฝ่ายแค้น”นำมา”โจมตี”

เรื่องของ”ไฟใต้” หรือ”ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เกิดจาก”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนของบีอาร์เอ็น”  ที่ผ่านมาแล้ว 20 ปี แต่ยังไม่มี”สัญญาณ” ว่าจะ สามารถ”ยุติ” ปัญหาของ”ไฟใต้” ได้ในปี 2570 อย่างที่ฝ่าย”ความมั่นคง” มีการ”ตั้งเป้า”เอาไว้” เพราะ”สถานการณ์” ใน ปี 2567 ที่เพิ่มจะผ่านไป  ซึ่งมีการ”ก่อการร้าย” ในพื้นที่ของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เกิดขึ้นอย่าง”ถี่ยิบ” และงาน”การเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่”เข้มแข็งขึ้น”  รวมทั้งการ”ขับเคลื่อน”ของ”เอ็นจีโอ” ต่างชาติ และ”องค์กรต่างๆ” จาก”ประเทศมหาอำนาจ” ที่ให้การ”หนุนหลัง” ขบวนการ”บีอาร์เอ็น” เป็นการ”บอกเหตุ” ให้”รับรู้”ได้ว่า”บีอาร์เอ็น” ยังคง”เดินหน้า” ใช้ความ”รุนแรง” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต่อไป ซึ่ง”ล่าสุด” พบว่ามีการวาง”ยุทธศาสตร์” ในการ”ต่อสู้”กับ”รัฐบาลไทย” ถึงปี  80 แล้ว….. เรื่องของ”ไฟใต้” จึงยังเป็น”ปัญหา” ที่เป็นเหมือน”ทศนิยม” ที่ไม่รู้จบ” ยิ่งได้ฟัง”นโยบาย” ของ”รัฐบาล” ผ่านทาง”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ”เสนาบดี”กระทรวงกลาโหม”จะไม่มีการ”เปลี่ยนแปลง” นโยบายในการ”ดับไฟใต้” โดยยังจะใช้”นโยบาย” แบบเดิมๆ นั้นคือให้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ดำเนินการโดยยึด”สันติวิธี” เป็น”ด้านหลัก” และ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ทำหน้าที่ด้านการพัฒนา ซึ่ง นโยบายนี้ เป็น นโยบาย ที่”ล้มเหลว” มาตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา ดังนั้นเมื่อ”รัฐบาล” ยังเดินตาม”นโยบาย” ที่”เก่าๆ เดิมๆ”  โดยที่”ไม่มีอะไรที่ใหม่กว่า” ก็เท่ากับเดินไปสู่”ความล้มเหลว” และเดินไปตาม”เกม” ที่”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็นผู้”กำหนด”เอาไว้แล้วนั้นเอง

ดังนั้นการที่”ทักษิณ ชินวัตร” ต้อง”ออกโรง” เดินทางไปพบกับ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย”บนเรือยอร์ช” ใน”น่านน้ำสากล”  ระหว่าง”ไทย-มาเลเซีย” เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา “เบี้องหน้า” ของ”ข่าวสาร” ที่ออกมา”สู่สังคม” คือเรื่องของการ”จับมือกับมาเลเซีย” เพื่อ”พัฒนาเศรษฐกิจสังคม” และ”การเมือง”ใน”ประเทศกลุ่มอาเซี่ยน” ใน”ฐานะ” ที่” อันวาอิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย จะเป็น”ประธานอาเซียน” และ”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่ปรึกษาของ”อันวา อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย แต่”เบื้องลึก” ของการ”หารือ” ระหว่าง”คนทั้งสอง” คือเรื่องของ”ไฟใต้” ที่ “ลึกๆ” ลงไป “ทักษิณ ชินวัตร” กำลังเข้ามามี”บทบาท” ในการวางนโยบายในการ”ดับไฟใต้” โดยผ่านการ”ร่วมมือ” จาก” อันวาร์  อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เพราะ”ทักษิณ ชินวัตร” ก็ “รับรู้”เหมือนกับผู้ที่”เชี่ยวชาญ” ในเรื่องของ”ไฟใต้” รับรู้ว่า”การแก้ปัญหาของ”ไฟใต้”  ถ้าต้องการเห็นความ”สำเร็จ” ต้องมาจาก” ผู้นำประเทศ”ของ”มาเลเซีย” ต้องให้ความ”ร่วมมือ”…..อย่าลืมว่าความ”รุนแรง”ของ”ไฟใต้”ละลอกใหม่” ปะทุขึ้นในยุคที่”ทักษิณ ชินวัตร “เป็น”นายกรัฐมนตรี” และการเริ่มมีการ”ตกลง” กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”ทุกกลุ่ม เพื่อเปิดการ”เจรจา”เพื่อหาทาง”ยุติความขัดแย้ง” เกิดขึ้นในขณะ ที่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็น”น้องสาว” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” โดย”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้อยู่”เบื้องหลัง” ของการ” เจรจาสันติภาพ” ในครั้งนั้น แต่ยังไม่”สำเร็จ” เนื่องจาก” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เข้ามา”ยึดอำนาจ” จาก”รัฐบาล”ของ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และเข้ามาดำเนินการในการ”สานต่อ”การ”เจรจาสันติภาพ” เป็นการ”พูดคุยสันติสุข” ที่ 9 ปี ของการ”เป็น”นายกรัฐมนตรี” ของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่มีความ”ก้าวหน้า” ของการ”พูดคุย” ของทั้ง”สองฝ่าย” เป็นเพียงการ”พบปะ” สร้างความ”เข้าใจ” แต่ไม่มีผล”สำเร็จ” ถ้าเป็นการทำ”ศึกสงคราม” เป็นเพียงการ”ขี่ม้าเลียบค่าย” โดยไม่มีการ”ประดาบ”เกิดขึ้น

ดังนั้น สิ่งที่ต้อง”จับตามอง” ถึงความ”ก้าวหน้า”ของ”การแก้ปัญหา”ไฟใต้” จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ว่า”ทักษิณ ชินวัตร” จะให้”นโยบาย” ในการ”ดับไฟใต้” กับ” แพทองธาร ชินวัตร “ นายกรัฐมนตรี และ “ภูมิธรรม เวชยชัย” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม อย่างไรกับการ” เจรจาสันติภาพ” ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนชื่อจากการ”พูดคุยสันติสุข” ในยุคของ”ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต”นายกรัฐมนตรี” เป็นการ”เจรจาสันภาพ” เพื่อ”สันติสุข”…., ที่สำคัญใครจะมาทำหน้าที่”ประธานฝ่ายเทคนิค” แทน” พล.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” อดีด “แม่ทัพน้อยที่ 4 “  และใครจะมาทำหน้าที่เป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” แทน”ฉัตรชัย บางชวด” ที่ วันนี้อยู่ในตำแหน่ง” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ” สมช.” ซึ่งทั้งสองตำแหน่งต้องเป็นคนที่”ทักษิณ ชินวัตร” ไว้วางใจ และเป็นไปตาม”ใบสั่ง” ตามที่”ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการ  ดังนั้นในปี 2568 ทุกฝ่ายต้อง”เกาะติด” เรื่องของ”ไฟใต้” ที่ต้องมีการ”ขับเคลื่อน” ในเรื่องของการ”เจรจา”รอบใหม่”ระหว่าง”รัฐบาลไทย”กับ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” โดยมี” อันวาร์ อิบราฮิบ” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เข้ามามี”บทบาท” ในการ”ปฏิบัติการ” นอกกรอบมากขึ้น

ในส่วนของ”ประชาชน” ในพื้นที่ “สามจังหวัดและสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา” ยังต้องฝาก”ความหวัง”ไว้กับ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4   และ ผอ. กอ.รมน.ภาค 4 ว่าจะ “ปฏิบัติการ” อย่างไรต่อ”ปัญหาความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นอย่าง”ต่อเนื่อง” หลังจากการเข้ามารับหน้าที่เป็น” แม่ทัพภาคที่ 4 “ ที่”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่เหมือนกับจะ”ก่อเหตุความรุนแรง”มากขึ้นอย่าง”ผิดปกติ” มีอะไรที่มี”เบื้องหน้า-เบื้องหลัง” หรือไม่ และ”พล.ต.วรเดช เดชรักษา” รองแม่ทัพฝ่าย”ปฏิบัติการ” ก็ต้อง”แสดงฝีมือ” เพื่อสร้างความ”มั่นใจ” กับ”ประชาชน” ในพื้นที่ใน”ฐานะ” ที่ เป็นหนึ่งใน”บุคคล” ที่ถูก”วางตัว” ให้เป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 “ ต่อจาก” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 …… ที่ สำคัญที่เป็น”ปัญหา”ที่ต้องมีการ”แก้ไข” คือความ”ประมาท” และ”เลินเล่อ” ของ”กำลังพล” ว่าจะเป็นการถูก”ซุ่มโจมตี” แบบ”ง่ายดาย”จนเกินไป” ของ”กำลังพล” ที่ออก”ปฏิบัติการ” ในหลายๆครั้ง เช่น”ทหารช่าง” ที่ไป”ช่วยชาวบ้าน”ในการ”ซ่อมบ้านเรือน”  ที่  อ.จะแนะ จ.นราธิวาส การ”ควบคุมตัว”ของ”ผู้ต้องหา” ที่ถูก”ผู้ต้องหา” เพียง”คนเดียว” สามารถ”ก่อการ” ต่อสู้กับ”ทหาร”ถึง 4 คน และ”หลบหนี”ไปได้ การติดตาม”ไล่ล่า” ที่”ล้มเหลว” ที่ อ. หนองจิก จ.ปัตตานี รวมทั้งการ”ก่อวินาศกรรม” ต่อ”กำลังของ”ตชด. ที่” อ.ธารโต จ.ยะลา  ซึ่งการ”สูญเสีย” ทั้ง 3 เหตุการณ์ มีความ”ประมาท” ร่วมอยู่ด้วย เรื่องอย่างนี้ต้องมีการ”แก้ไข” อย่าง”เร่งด่วน “ และ อาจจะต้องมีการใช้”ตัวช่วย” อย่าง”โดรน” ในการ”ปฏิบัติการ” เพราะ “รักษาชีวิต”ของ”กำลังพล” เพื่อการลดความ”สูญเสีย”  กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าต้อง”คิดใหม่ ทำใหม่” ต้องไม่”ย่ำเท้า” อยู่แบบเดิมๆ

ภาพการ”วางพวงหรีด”ภาพการ”ส่งศพ” กลับ”ภูมิลำเนา” และภาพการ”จ่ายเงินเยียวยา”  คือภาพของการ”ตอกย้ำ”ความ”สูญเสีย” และความ”ล้มเหลว”ของ”กองทัพ” และเป็นการสร้างความ”ไม่เชื่อมั่น”ต่อ”ประชาชน” ในการ”แก้ปัญหา”ของ”ไฟใต้” รวมทั้งเป็นทำให้คำพูดที่ว่า” ใต้สงบ งบไม่มา” ของ”ประชาชน” กลายเป็น”เรื่องจริง” ของ”สมการ” ในการดับ”ไฟใต้” ที่เกิดขึ้น…..ประเด็นสำคัญอีกประเด็น ในการดับ”ไฟใต้” ที่เป็นเรื่องใหญ่  นั่นคือเรื่องการ”ออกกฎหมายการก่อการร้าย” แทน”กฎหมาย” ที่มีการ”บังคับใช้” ใน”ปัจจุบัน” นั้นคือ”กฎอัยการศึก,กฎหมายความมั่นคง” และ”พรก.ฉุกเฉิน” ซึ่ง”กฎหมาย” ที่ใช้อยู่ทั้ง “สามฉบับ” นี้”เป็น”กฎหมายเรียกแขก” เรียกให้”ภาคประชาสังคม,เอ็นจีโอ” และกลุ่ม”สิทธิมนุษย์ชน” โจมตีการ”ปฏิบัติงาน”ของ”เจ้าหน้าที่”ในเรื่องของการ”ละเมิด” ในเรื่องของ”สิทธิเสรีภาพ”ข้อสำคัญ”กฎหมาย”เหล่านี้”ทุกประเทศในโลกนี้เขา”เลิกใช้” กันแล้ว เหลืออยู่ในแต่ใน”ไทยแลนด์” เท่านั้น  การแก้ปัญหา”ไฟใต้” จึงต้องมีการ”ออกกฎหมายใหม่” เพื่อการ”บังคับใช้” แทน”กฎหมายล้าหลัง” ทั้ง”สามฉบับ” จะเป็น”กฎหมายการก่อการร้าย” หรือในชื่อ”อะไรก็ได้” แต่ต้องมีเพื่อการ”บังคับใช้” กับการ”ก่อการร้าย” หรือ”ก่อความไม่สงบ” ที่เกิดขึ้น เพื่อให้”เจ้าหน้าที่”มี”เครื่องมือ” ในการ”ปฏิบัติหน้าที่” อย่างมี”ประสิทธิภาพ”…… เพราะ”กฎหมาย ป.วิอาญา” ที่มีการ”บังคับใช้” กับ”ประชาชน” ทั่วประเทศ เป็นการใช้กับ”อาชญากรรม”ธรรมดาๆ ทั่วไป ที่ไม่สามารถ”บังคับใช้” กับ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่ต้องใช้””ปฏิบัติการ” ที่ “พิเศษ” และ”ทันต่อเหตุการณ์” ทั้งในการ”ปิดล้อม” และการ”จับกุม” เพื่อ หยุดการก่อเหตุร้าย และการ”ก่อวินาศกรรม” ให้ทันท่วงที  โดยไม่สามารถ”รวมรวมหลักฐาน” และ”พยาน” เพื่อขอให้”ศาล” เป็นผู้ออก”หมายจับ” อย่าง คดีการก่ออาชญากรรม ทั่วๆไป และถ้า”รัฐบาล” ยังไม่มีการ”ออกกฎหมาย” เพื่อให้เป็น”เครื่องมือ” ต่อการแก้ปัญหา”ความมั่นคง” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” สถานการณ์ของ”ไฟใต้” ก็จะเป็นเช่นเดิม  นั้นคือต้องใช้”กฎอัยการศึก,”กฎหมายความมั่นคง ,,พรก,ฉุกเฉิน” ที่เป็นการ”เรียกแขก” หรือให้”ทัวร์ลง”กับ”เจ้าหน้าที่บ้านเมือง” กลายเป็น”ประเด็นปัญหา”ให้เจ้าหน้าที่ถูก”โจมตี” อย่างที่เป็นอยู่ในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา

เรื่องของ”บุหรี่ไฟฟ้า” ที่ยิ่ง”จับกุม” ยิ่งมีการวางขายกันมาก ยิ่ง”รณรงค์” ยิ่งทำให้จำนวน”ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า”มากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ของ”นักเรียน นักศึกษา”  ที่ สำคัญ “บุหรี่ไฟฟ้า” มีการขายกันอย่าง”โจ่งครึ้ม” เช่นใน พื้นที่ของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา “บุหรี่ไฟฟ้า” เป็นสินค้าที่”ซื้อง่าย ขายคล่อง” โดยเฉพาะในย่านการค้า”ตลาดสันติสุข” แปลกก็คือ”เจ้าหน้าที่”กลับ”มองไม่เห็น” ดังนั้นการ”รณรงค์”และ”การต่อต้าน” บุหรี่ไฟฟ้า ของ หน่วยงานต่างๆจึง”สูญเปล่า” เรื่องนี้”รัฐบาล” ต้องให้ความ”สนใจ”ในการแก้ปัญหาของ”บุหรี่ไฟฟ้า” ให้มากกว่าที่เป็นอยู่

ก็ยังมีความ”ไม่เป็นธรรม” เกิดขึ้นจากการ”เยียวยา” ประชาชนที่ประสบปัญหา”อุทกภัย” ใน”ภาคใต้” มีการ”ร้องเรียน” ถึงความ”ล่าช้า” และการ”เลือกปฏิบัติ” โดยเฉพาะ”ผู้นำท้องถิ่น” และ”ผู้นำท้องที่” ที่ให้ความสำคัญกับ”พรรคพวก”ตนเอง” ส่วน”ประชาชน” คน”ธรรมดา”ยังถูก”ทิ้งไว้ข้างหลัง” เรื่องนี้ “ฝ่ายปกครอง” ตั้งแต่”นายอำเภอ”จนถึง”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ต้องติดตาม”ตรวจสอบ” อย่างใกล้ชิด ที่สำคัญต้องใช้”มาตรการ” เดียวกัน ในการ”เยียวยา” ทั้งเรื่องการจ่ายครอบครัวละ 9,000 บาท และการจ่ายค่าเสียหายในเรื่อง”พืชผลทางการเกษตร”……เรื่องของ”แรงงานชาวเมียนมา” ที่เข้ามา”ยึดครอง”ตลาดแรงงานของประเทศไทย  จนสามารถใช้การ”ต่อรอง” กับ”นายจ้าง” ทั้งในเรื่อง”ค่าแรง ค่าจ้าง” และการเรียกร้อง”สวัสดิการ” ต่างๆ เพิ่มขึ้น และแม้แต่ค่า”ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว” ก็สามารถ”รวมตัวกัน”เพื่อการ”ต่อรอง” เพื่อจ่ายในราคาที่”ถูกลง” เรื่องนี้กำลังกลายเป็นเรื่อง”ความมั่นคง” ของประเทศชาติ ซึ่ง”อนาคต” ที่”แรงงานเมียนมา” อาจจะ”หยุดงาน” เพื่อการ”ประท้วง” และ”ต่อรอง”ในเรื่องอื่นๆ ที่ต้องการ เรื่องนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ”หน่วยงานความมั่นคง” ต้องมีความ”รอบคอบ” อย่างมองเฉพาะเรื่องความมั่นคงด้าน”เศรษฐกิจ” เพียงอย่างเดียวโดย”ละเลย” ความมั่นคงของประเทศ เพราะถ้าประเทศไม่มี”ความมั่นคง” เรื่อง”เศรษฐกิจ” และ”การลงทุน” ก็จะ”หายนะ” เช่นเดียวกัน  โดยเฉพาะการให้”สัญชาติ” ชาวเมียนมา เป็นเรื่องที่ต้อง”รอบคอบ” ที่”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ” สมช.” ที่มี”ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ต้อง”ชี้แจง” ถึง”ข้อดี-ข้อเสีย” ให้ประชาชน ได้รับทราบ

ติดตาม การเลือกตั้งท้องถิ่น ในตำแหน่ง”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” และ”สมาชิกสภาจังหวัด” หลายพื้นที่ใน”ภาคใต้” เริ่มเห็น”เค้าลาง”ของการ”แข่งขัน” ที่”ดุเดือด” มากขึ้น เช่นที่ จ.สงขลา ซึ่งมีผู้สมัครในตำแหน่ง”นายก อบจ.” จำนวน 9 คน น่าจะมากที่สุด เท่าที่เคยมีมา แต่ที่”ประชาชน” ต่าง”จับตามอง” คือ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ผู้สมัครหมายเลข 5  ทีมสงขลาพลังใหม่  “ ประสงค์ บริษักษ์ หมายเลข 3 ทีมสงขลาเข้มแข็ง  “นิรันดร์ จินดานาค” หมายเลข 2 พรรคประชาชน ซึ่งเป็น 3 ทีม 3 ผู้สมัครที่มี”ความพร้อม” ส่วนที่เหลือ 6 คน เป็นผู้สมัครอิสระ   ซึ่งทั้งหมดต่างมี”กลยุทธ” ในการ”หาเสียง” ที่”แตกต่างกัน” พรรคประชาชน เชื่อมั่นใน”คะแนนเสียง” ในการ”เลือกตั้ง สส”ที่ผ่านมา ซึ่งได้คะแนนจาก”ชาวสงขลา” ถึง 200,000 กว่าคะแนน แต่โดยข้อเท็จจริงการเลือก สส. ซึ่งเป็นการ”เลือกตั้งระดับชาติ” กับการ”เลือกนายก อบจ.” ซึ่งเป็นการ”เลือกตั้งระดับท้องถิ่น” มีความ”แตกต่าง” ดังนั้น”คะแนน 200,000 กว่าคะแนน จึงอาจจะไม่ใช่”ปัจจัย”ของการ”ได้เปรียบ” กับการ”เลือกตั้ง” ครั้งนี้……ในขณะที่ ทีม” สงขลาเข้มแข็ง” ที่มี”ประสงค์ บริรักษ์” อดีตนายก เทศบาลเขารูปช้าง และ อดีตผู้สมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย  มีประสบการณ์ ในการผ่านการ”เลือกตั้ง” ทั้งระดับ”ท้องถิ่น” และ”ระดับชาติ” แม้จะไม่มี”บ้านใหญ่” ในพื้นที่ให้การ”สนับสนุน” แต่มี”พันธมิตร” อย่าง”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การ”สนับสนุน” เป็นการ”ส่วนตัว” ในฐานะ”พันธมิตร” ทางการเมือง และใช้”ยุทธศาสตร์”ไม่ใช้”เงินซื้อเสียง” เพื่อความ”ชัดเจน” ให้”หัวคะแนน”และผู้”สนับสนุน” ไม่ต้อง”ชะเง้อชะแง้” รอเงิน”รายหัว” ถ้าจะเลือก”ประสงค์”หรือ”นายกแบบ” ก็”ตัดสินใจ” ได้ง่ายขึ้น

ส่วนทีม “สงขลาพลังใหม่” ที่มี”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” เป็น”หัวเรือใหญ่” มี”บ้านใหญ่ 2 หลัง” คือบ้านใหญ่” ขาวทอง”และ”บุญญามณี” ให้การ”สนับสนุน” ซึ่งในทาง”การเมือง” ถือว่า”ได้เปรียบ” กว่า ทุกกลุ่มผู้ผู้สมัคร รวมทั้งถ้าเทียบ”สเบียงกรัง” ที่ต้องใช้ในการทำ”ศึกสงคราม” ทุกทีม ทุกคนคงสู้” สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ไม่ได้ ที่ สำคัญ ถ้าวัดกันที่” ผู้นำท้องถิ่น “ และ”ผู้นำท้องถิ่น” ต่างยืนอยู่ฝ่ายของ”สุพิศ” มากกว่า 50% นี่คือความ”ได้เปรียบ” ที่เห็น”ชัดเจน” แต่ นั่นแหละเรื่องของ”การเมือง”ไม่มี”สูตรสำเร็จ” ว่า”ปัจจัย” เรื่องผู้”สนับสนุน”มาก” จะ”ได้เปรียบ” เพราะ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ก็มี”จุดอ่อน” ที่”ประชาชน” ส่วนหนึ่ง “ไม่เอา” ผู้สนับสนุนที่เป็น”บ้านใหญ่” และ”ไม่เอา” ผู้”สนับสนุน” ที่เป็น”สส.บางคนที่ถูกมองว่า”ใหญ่เหลือเสื้อ” ดังนั้นเสียงของคนกลุ่มนี้ อาจจะไปอยู่ที่”ประสงค์ บริรักษ์” ทีม “สงขลาเข้มแข็ง” หรือ”นิรันต์ จินดานาค” จาก”พรรคประชาชน” ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น  แต่โดย”ภาพรวม” ในการ”ออกสตาร์ท” ใน”ยกแรก” พบว่า”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” เป็น”ม้าตีนต้น” ออกนำทุกคนไปแล้ว 1 ช่วงตัว และยังพบว่าเริ่มมี”เงินสะพัด” ในกลุ่ม”ผู้นำท้องที่” และ”ผู้นำท้องถิ่น” จำนวนหนึ่งเพื่อเป็นการ”หาเสียง” เรื่องนี้ก็ต้องฝากถึง” กกต.” สงขลา ในการหา”พยาน” และ”หลักฐาน” ว่าเป็น”เงิน”ของใคร เพราะมีจุดประสงค์ที่”ชัดเจน” ว่ามีการ”ซื้อเสียง” เกิดขึ้นแล้วในการเลือกตั้งครั้งนี้

อีกหนึ่งจังหวัดที่”มีการจับตามอง” นั้นคือ “จังหวัดนราธิวาส” ที่ครั้งนี้” เสือเฒ่า” อย่าง”กูเซ็ง ยาวอหะซัน” ผู้เป็น”นายกอบจ.แบบ”ผูกขาด” มาหลายสมัย ต้องพบกับ”สิงห์หนุ่ม” ที่เป็น”นักธุรกิจใหญ่” อย่าง”อับดุลลักษ์ สะอิ “ ที่เป็น”พี่ชาย”ของ” ดร.ซาการียา สะอิ” สส.เขต 4 พรรคภูมิใจไทย “จังหวัดนราธิวาส” ซึ่งมี”นัดมุดดิน อูมา” อดีต สส.หลายสมัยของ”จังหวัดนราธิวาส” เป็น”พี่เลี้ยง” ซึ่งมีการ”คาดหมาย”ว่า “เวทีการเมืองท้องถิ่น”ของ”นราธิวาส” อาจจะมีการ”เปลี่ยนแปลง” เกิดขึ้น จุด”แพ้-ชนะ” ของ”เวทีแห่งนี้” อยู่ที่”ยุทธศาสตร์”ที่สำคัญ สำหรับพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” นั้น “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์   เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 ต้อง “กับชับ” ให้” ผบก.ภ.จว.ต่างๆ รวมทั้ง” ผกก.ทุก สภ. ในพื้นที่ ต้อง”เฝ้าระวัง” การก่อเหตุร้ายเพิ่มขึ้นเป็น”สองเท่า” ทั้งจากการ”ก่อการร้าย”ตาม”วงรอบ”ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” และจากการ”เลือกตั้ง” องค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ผู้”สมัคร” อาจจะใช้”กฎหมายเถื่อน” ในการ”ปลิดชีพ” ผู้ที่เป็น”คู่แข่ง”โดยเฉพาะใน “จังหวัดนราธิวาส” ที่ต้อง”เฝ้าระวัง” เป็น”พิเศษ” ในส่วนของ”ส.อบจ.” ที่มีการ”แข่งขัน” สูงกว่าพื้นที่ของ”ปัตตานี และ นราธิวาส  …. แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีปีใหม่ ครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ฝนตกไม่ทั่วฟ้าค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท แค่ 4 จังหวัด 1 อำเภอ

ผิดแล้ว ผิดอีก ผิดซ้ำ ผิดซาก นั้นคือ การบริหาร”ราชการแผ่นดิน” ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ในการแต่งตั้ง”กิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย” ( แบงค์ชาติ) ซึ่งมี “นักวิชาการ” และ”ผู้รู้” หลายต่อหลายคนได้”ทักท้วง” ในเรื่องของ”คุณสมบัติ” ที่อาจจะเป็น”ปัญหา” ในการ”ดำรงตำแหน่ง”นี้ และสุดท้าย”กฤษฎีกา” ก็”ตีความ” ว่า” กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ขาด”คุณสมบัติ” ต้อง”วืด”ตำแหน่ง” ประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย” ก็เป็นเรื่อง”โอละพ่อ โห่ละเห่ โอละช้า” อีกฉากหนึ่งของ”นายกรัฐมนตรีฝึกหัด” แพทองธาร ชินวัตร” ที่เกิดขึ้น และจะตามมาด้วยปัญหา ต่างๆ อีก”หลายกระบุงโกย”…..เช่นเดียวกับเรื่องการ”ขึ้นค่าแรง” ตาม”นโยบาย”ของ”พรรคเพื่อไทย” ในการ”หาเสียง”ไว้กับ”ประชาชน” ที่”อดีตหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ที่ชื่อ”อิ๊งค์” ได้ บอกกับ”ประชาชน”ว่า”เพื่อไทย”เป็น”รัฐบาล” ค่าแรงต้อง 600 บาท  สุดท้ายหลังจาก”สั่งการ” ให้”กระทรวงแรงงาน” ทำการ” ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง” มีการเรียกประชุม”คณะกรรมการไตรภาคี” ถึง 4 ครั้ง  จึงสามารถปรับขึ้น”ค่าแรง”ได้วันละ 400 บาท และได้เพียง 4 จังหวัด กับอีก 1 อำเภอ”ได้แก่” ภูเก็ต,ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี,ระยอง” กับอีก 1 อำเภอ คือ”เกาะสมุย” จ.สุราษฎร์ธานี  ส่วน”กรุงเทพมหานคร” ที่ควรจะมีการ”ขึ้นค่าแรง” ก็ไม่อยู่ใน”บัญชี” เช่นเดียวกับ” เชียงใหม่” และ”หาดใหญ่” ที่ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน มีความเห็นว่า”ควรจะอยู่ในบัญชี” ที่”ปรับขึ้นค่าแรง” ก็ไม่”ติดโผ” ในการ”ปรับขึ้นค่าแรง” ในครั้งนี้

ที่สำคัญหลังการ”ปรับขึ้นค่าแรง” เพียง 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ แทนที่จะได้รับ”ดอกไม้” กลายเป็นว่า” รัฐบาล” ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ได้”ก้อนอิฐ” เพราะการ”ขึ้นค่าแรง” กลายเป็นเรื่อง”ฝนตกเป็นหย่อมๆ” ในขณะที่”สินค้า” ที่”ขึ้นราคา” มีการขึ้นแบบ”ปูพรม” ไม่ได้เลือกขึ้นเป็น”หย่อมๆ” เฉพาะจังหวัดที่มีการ”ขึ้นค่าแรง” หรือนี่คือ”หลักการบริหารราชการแผ่นดิน” ในยุคที่”รัฐบาล” อยู่ในสภาวะของ”ถังแตก” เพราะผ่านไปแล้ว 1 ปี 4 เดือน “รัฐบาล”ชุดนี้ ยัง”หาเงิน” เข้าประเทศไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเพียง”ราคาคุย” หรือต้องรอให้”ประชาชน” ทำการ”ขุดดินขายโคลน” เสียก่อน”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศนี้” จึงจะดีขึ้น….. แต่ที่”น่าเศร้า” คือ”ข่าวรายวัน” เกี่ยวกับการ”ปลดคนงาน” การ”ประกาศปิดกิจการ” มีการ”ลอยแพคนงาน” เป็นจำนวนมาก จาก “หลายบริษัท” ที่ประกาศ”หยุดกิจการ” ในสิ้นปี 2567 เห็นภาพ”พนักงานกอดกันร้องให้” เห็นภาพ”พนักงาน” ตั้งโต๊ะประท้วง” เพราะ”โรงงาน” และ”บริษัท” ไม่จ่าย”ค่าชดเชย” เพราะ”บริษัท” และ”โรงงาน”ที่”ปิดกิจการ” ก็อยู่ในสภาพเดียวกับ”รัฐบาล” นั้นคือ”ถังแตก” หรือ”เจ๊งบ้ง” จากการบริหารประเทศของ”รัฐบาล” แล้วบอกได้คำเดียวว่า”เศร้า” และกลายเป็น”งานหนัก” และ”งานหลัก” ของ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน ที่ต้อง”รอรับหน้า” กับ”กองทัพคนตกงาน” ที่มายื่นเรื่อง”ร้องทุกข์” และ”ร้องเรียน” เพื่อ”ขอความเป็นธรรม” สิ้นปี 2567 ยังเป็น”ขนาดนี้” แล้วใน”ไตรมาสที่ 1 “ ของปี 2568 “วิกฤติเศรษฐกิจ”ของ”ประเทศไทย” จะหนัก”ขนาดไหน” เอ๊ะ  สุดท้ายแล้ว เรื่องที่”นายกรัฐมนตรี” บอกให้ประชาชนยึดอาชีพใหม่”ขุดดินขายโคลน” น่าจะ”เป็นจริง”นะ

ส่วนเรื่องของการ”แจกเงิน” ให้กับ”ประชาชน” ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะ”เป็นจริง” เพราะคณะของ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง” ย้ำแล้วย้ำอีก ถึง “วัน ว. เวลา น. ในการที่จะ”แจกเงิน” นี่ก็เป็นเรื่อง”ฝนตกเป็นหย่อมๆ” ที่เกิดจาก”รัฐบาลชุดนี้” ที่”นำเงินกู้” ที่”คนไทย” ทุกคน”ต้อง”เป็นหนี้” อย่าง”เท่าเทียมกัน” มา”แจก” ให้กับคน”จำนวนหนึ่ง” ที่ สุดท้ายไม่ได้เป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของประเทศจากการ”แจกเงิน” ครั้งนี้   แล้วยังเป็น”ความรู้สึก” ที่”ไม่ดี” กับ”รัฐบาล” เพราะไม่มี”ความเป็นธรรม” จากการ”บริหารจัดการ” ที่กลายเป็นเรื่อง”ฝนตกเป็นหย่อมๆ”นั่นเอง ดังนั้น “ปีใหม่ 2568 จึงไม่มีอะไรใหม่ ที่เป็น”ความหวัง” สำหรับ”คนไทย” และ “ประเทศไทย”….ในส่วน”ความมั่นคง”ของ”ประเทศ” ต้องยอมรับ”ความจริง”ว่า หลังการเข้ามารับตำแหน่ง”เสนาบดีกระทรงกลาโหม” ของ”ภูมิธรรม เวชยชัย” หรือ” สหายใหญ่” ความมั่นคงใน”แนวชายแดน” ของประเทศไทยถูก”ท้าทาย” จาก” เพื่อนบ้าน” อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”ว้าแดง” กลุ่ม”ชาติพันธุ์” กำแหงหาญ “รุกล้ำแนวชายแดน”เข้ามาใน”ฝั่งไทย” โดยที่”รัฐบาล” และ”กระทรวงกลาโหม” ให้ความ”สำคัญ”แบบที่”น้อยไป” ใน”สายตา”ของ”ประชาชน” ในขณะที่” กองทัพ” โดยเจ้าของพื้นที่คือ”กองทัพภาคที่ 3 “ ก็ไม่กล้าที่จะดำเนินการ”ทางทหาร”กับ”กลุ่มว้าแดง” เพราะ”นายกรัฐมนตรี” และ” รัฐมนตรีกลาโหม” เลือกที่จะอยู่เฉยๆ มากกว่าที่จะใช้”กฎหมาย” และการใช้”กำลัง” ในการ”ยึดพื้นที่” คืนมา

เช่นเดียวกับกรณีของ”เกาะกูด” และพื้นที่”อ้างสิทธิ์” ใน”ไหล่ทวีป” หรือ “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล” ที่มีการปล่อยให้”ประเทศกัมพูชา” อ้างสิทธิ์” อยู่ฝ่ายเดียว ส่วน”รัฐบาลไทย” ก็ไม่ต้อง”ดำเนินการ”อย่างไร โดยบอกเพียงว่าเป็นเรื่อง”ละเอียดอ่อน” ก็ยอมรับนะว่า” เรื่องพื้นที่”ไหล่ทวีป” หรือพื้นที่”เขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล ที่มีการ”อ้างสิทธิ” จาก”กัมพูชา” ว่าเป็นของ”กัมพูชา” เป็นเรื่อง”ละเอียดอ่อน” แต่ไม่ใช่เมื่อ”ละเอียดอ่อน” แล้ว ไม่มีการ”ดำเนินการ”ใดๆ  เพื่ออย่าให้ประเทศไทย”เสียสิทธิ์” และถูก”หมิ่นเกียรติยศ”ของความเป็น”ประเทศไทย” ก็ไม่ถูก เพราะวันนี้”คนไทย” จำนวนไม่น้อย ต่างเข้าใจว่า” รัฐบาลเพื่อไทย” มีการ”เอื้อประโยชน์” ให้กับ”ประเทศกัมพูชา” เรื่องนี้อาจจะ”ไม่จริง” แต่ถ้ามีการนำมา”ตอกย้ำ” ทุกวันๆ มีการ”นำสีดำ” มา”ป้ายสี” รัฐบาล  ทุกวัน  ทุกๆ เรื่องที่”ไม่จริง” ก็จะถูก”ประชาชน” เชื่อว่าเป็น”เรื่องจริง” เรื่องนี้”เพื่อไทย” น่าจะ”สำเหนียก” ได้ถึงกระแสความ”ไม่พอใจ” ของ”ประชาชน”

ในขณะที่”ชายแดนภาคใต้” ก็มีความ”ขัดแย้ง” กับ”ประเทศเมียนมา” ซึ่งใช้”กำลังทหาร” ยิงเรือประมงไทย “ยึดเรือ” และ”จับกุม”ลูกเรือประมง” ในข้อหา”เข้าเมืองผิดกฎหมาย” และ”รุกล้ำ” เข้าไป”ทำประมง” ใน”ทะเล”ของ”ประเทศเมียนมา” เรื่องนี้”รัฐบาล”  ก็ทำตัว”นิ่งเฉย” ยอมรับ”สภาพ” ตามที่ฝ่าย”ทหาร”ของประเทศเมียนมา” กล่าวหาว่า”เรือประมงไทยรุกน่านน้ำ” ซึ่ง” จริง เท็จ” ก็น่าจะมีการ”เจรจา” เพื่อ”หาข้อ”เท็จจริง” การ”ยอมรับ” และ”ไม่มีการ”เจรจา” ทำให้”ลูกเรือ” และ”เจ้าของเรือ” ถูก”ศาลเมียมมา” สั่ง”จำคุก” คนละ 4-5 ปี…..เข้าใจนะ ว่า”เรือประมงไทย” ที่”ลากอวน ตีอวน” ใน”น่านน้ำ” เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” ระหว่างไทยกับเมียนมา อาจจะเข้าไป”จับปลา” ในพื้นที่ของ”เมียนมา” ซึ่งที่ผ่านมา ก็เกิดขึ้น บ่อยๆ แต่”ทหารเมียนมา” ไม่เคยใช้”ความรุนแรง” ด้วยการใช้”อาวุธปืน” ถล่ม จนมี”ลูกเรือ”ได้รับ”บาดเจ็บ” สาเหตุที่”ทหารเมียนมา” ใช้”ความรุนแรง” ต่อ” เรือประมง”ของประเทศไทย จึงต้องมี”สาเหตุ”  ที่ต้อง”ตั้งข้อสงสัย”ว่า ทำไม่”เพื่อนบ้าน” อย่าง”เมียนมา” จึงไม่มีความ”เกรงใจ” รัฐบาล”ชุดปัจจุบัน” ที่สำคัญ ถ้าพูดถึงเรื่อง”การค้าผิดกฎหมาย” แนวชายแดน จ.ระนอง” “ประเทศเมียนมา” ต้อง”เกรงใจ” ประเทศไทย”มากกว่าที่”ไทย”จะต้อง”ไป”เกรงใจเมียนมา” เพราะ”สินค้าจาก”ประเทศเมียนมา”  ที่”ลักลอบ”นำเข้ามา”เปลี่ยนจากใส่”โสร่ง” มาสวม”กางเกง” มีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่”ยางแผ่นดิบ”,ปาลม์น้ำมัน,ข้าวโพด” สัตวน้ำ เช่น “ปูดำ “ และ อื่นๆ ที่ถูกลักลอบนำเข้ามา”ทางเรือ” และข้ามแม่น้ำเข้ามาทางชายแดน อ.กระบุรี  เมื่อ”ทหารเมียนมา” ทำการจับกุมเรือประมงไทยแบบ”ไม่เกรงใจ” ทำไม”รัฐบาลไทย” จึงไม่ทำการ”เข้มงวด” ชายแดนไทย-เมียนมา “ ด้านของ จ.ระนอง และ จับกุมขบวนการ”ลักลอบนำเข้าสินค้าเถื่อน” จาก”ประเทศเมียนมาบ้าง เพื่อเป็นการ”ตอบโต้”

เช่นเดียวกับการที่”ประเทศมาเลเซีย” ด้าน”รัฐกลันตัน” ที่” มุขมนตรีรัฐกลันตัน” สั่งให้”หัวหน้าตำรวจรัฐ กลันตัน” ปิด”ท่าข้าม” จำนวน 7 ท่าข้าม ที่เป็น”ท่าผ่อนปรน” ในการ”เข้าเมือง” ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ ที่อยู่ในเขต”เทศบาลสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ซึ่งเป็น”ท่าข้าม” มายาวนานกว่า 50 ปี จนสร้างความ”เดือดร้อน” ด้าน”การค้าชายแดน” และด้านการ”สัญจร” ของ”ประชาชน” ในแนวชายแดน ซึ่งการ”ปิดท่าข้าม” ทั้ง 7 แห่งของ”มาเลเซีย” เป็นเพราะ” รัฐกลันตัน” พบว่า”มี”คนมาเลเซีย” เป็นจำนวนมากใช้”ท่าข้าม” ทั้ง 7 แห่ง เข้ามา”จับจ่ายใช้สอย” ใน อ.สุไหงโก-ลก ทำให้มี”เงินไหลออก”  เป็นจำนวนมาก ส่วนเรื่องที่”อ้างว่า” ท่าเรือทั้ง 7 ท่า เป็น”เส้นทาง” ในการ”ส่งยาเสพติด” จาก”ฝั่งไทย”ไปยัง”ฝั่งมาเลเซีย” เป็นเพียง”ข้ออ้าง” ในการ”ปิดท่าเรือ” ซึ่ง”เรื่องนี้” รัฐบาลไทย” ก็เฉยๆ ไม่มีการ”เจรจา” ทั้งในระดับ”ท้องถิ่น,ภูมิภาค” และ”รัฐบาล” ปล่อยให้”มาเลเซีย” ใช้”กฎหมาย” ในการ”จับกุมคนไทย” ที่”ข้ามแดน” ในบริเวณดังกล่าว และยังไม่มีการ”ตอบโต้” ด้วยการ”ปิดท่าข้าม” ที่เป็น”ท่าข้ามธรรมชาติ” ที่”ผิดกฎหมาย” ในพื้นที่ของ”อ.ตากใบ” และ ซึ่งมีถึงเกือบ 200 แห่ง ที่เป็น”ท่าข้าม” ในการ”ส่งสินค้าเถื่อน” ทุกชนิด ทั้งจาก”ฝั่งมาเลเซีย” มายัง”ประเทศไทย” และจาก”ฝั่งไทย”ไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” บริเวณนี้ที่เป็นท่า”ส่งออกยาเสพติด” เป็น”ท่าส่งออกการค้ามนุษย์” และอีกมากมาย ทำไม”ฝ่ายไทย” จึงไม่”ตอบโต้” ด้วยการ”ปิดชายแดน” บริเวณนี้ ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องของ”ยาเสพติด” และ”สินค้าเถื่อน” ตามที่” มาเลเซีย”กล่าวว่า” ดังนั้น “ยุคนี้” จึงเป็น”ยุคเสื่อม”ในด้านความ”เข้มแข็ง” ของ”รัฐบาลพลเรือน” ที่ทำให้”ประเทศเพื่อนบ้าน” ไม่มีความ”เกรงใจ”

วันก่อนที่” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีไทย  เดินทางไป”พบปะ”กับ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อ”เจรจาความเมือง” มีการ”ตีความ” จาก” “กูรูทางการเมือง” ว่า “เรื่องการ”เจรจา”ในเรื่อง”เศรษฐกิจ “และการ”พัฒนาคมนาคม” เป็นเพียงเรื่อง”จิ๊บจ๊อย” แต่เรื่องสำคัญที่”ซ่อนเร้น” ในการ”เจรจาต้าอ่วย” ครั้งนี้คือเรื่องให้มีการ”แต่งตั้ง” ให้”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่”ปรึกษา” ของ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อเป็นการ”ยกระดับ” ให้กับ”ทักษิณ ชินวัตร” ใน”ภูมิภาคอาเซียน” เพราะในปี 2568 มาเลเซีย จะเป็น”ประธานอาเซียน” และ หลังการ”ประกาศให้”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่”ปรึกษา” ปรากฏว่า” อันวาร์ อิมราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กลายเป็น”หมู่บ้านกระสุนตก” เพราะ”คนมาเลเซีย” แสดงความ”ไม่เห็นด้วย” กับการ”แต่งตั้ง” ให้”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่”ปรึกษา”ของ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในครั้งนี้…..แต่”อันวาร์ อิมราฮิม” ก็ไม่ได้สนใจ”กระแสสังคม” เพราะมีการลงข่าวใน”สื่อมาเลเซีย” ว่า” อันวาร์ อิบราฮิม” ได้เชิญให้”ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะ”ที่ปรึกษา” เดินทางไป”ประชุมร่วม” ระหว่าง” ผู้นำจาก มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ในวันที่ 26 ธันวาคม ที่ เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ติดกับ “จังหวัดสตูล”  จึงกลายเป็นเรื่องที่”กูรูทางการเมือง” จับจ้องไปยัง”ทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะเดินทางไป”ต่างประเทศ”ได้อย่างไร เพราะยังมี”คดีความ 112 “ ติดตัวอยู่ การจะเดินทางไป”ต่างประเทศ” ต้องขอ”อนุญาตจากศาล” หรือ”สุดท้ายแล้ว” การขอให้”อันวาร์ อิบราฮิบ” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่งตั้งให้เป็น”ที่ปรึกษา” เพราะมี”วาระซ่อนเร้น” เพื่อขอ”อนุญาตจากศาล” เดินทาง”ออกประเทศ” แบบ”โยนหินถามทาง” ใช่ หรือ ไม่

” หนักแล้วสิทธิ์เห้อ” นั้นคือเสียงของคนจาก”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เห็นถึงความถี่ ในการ”ก่อการร้าย” ในทุกพื้นที่ของของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้”ปัตตานี,ยะลา” และ”นราธิวาส” ที่ กองกำลังติดอาวุธ” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ทำการ”ปฏิบัติการ” ต่อ” เจ้าหน้าที่รัฐ” และ”เป้าหมาย” อื่นๆ มีผู้”บาดเจ็บ” และ”เสียชีวิต” ไม่เว้นแต่ละวัน ด้านหนึ่งเป็นการ”ก่อการร้าย”ที่เป็นไปตาม”วงรอบ” ที่มีการ”กำหนดเป้าหมาย” เอาไว้ ในห้วงเวลาของการ”ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” อีกด้านหนึ่งเพื่อให้เป็นไปตาม”คำขู่” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ออกมา”ข่มขู่” รัฐบาล ให้เร่ง”ดำเนินการเปิดการเจรจาสันติภาพ” ระหว่าง”รัฐบาลไทย”กับ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่หยุดชะงักไป ตั้งแต่”พรรคเพื่อไทย” เข้ามาเป็น”รัฐบาล” โดยกล่าวหาว่า“รัฐบาล”ไม่มีความ”จริงใจ” และไม่เร่งดำเนินการในการ”เจรจาสันติภาพ”  “บีอาร์เอ็น” จะไม่”รับรอง” ว่า”สถานการณ์การก่อการร้าย” จะ “รุนแรง”ขึ้นกว่าเดิม” หรือไม่ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรกับ”รัฐบาลชุดนี้” ที่อย่าว่าแต่”ประเทศเพื่อนบ้าน”อย่าง “เมียนมา ,กัมพูชา” จะ”รังแกข่มเหง” โดยไม่มีความ”เกรงใจ” เพราะแม้แต่”โจรแบ่งแยกดินแดน” อย่าง” บีอาร์เอ็น” ที่มี”กำลังติดอาวุธ” เพียง”หนึ่งหยิบมือ” ยังกล้าที่จะ”ข่มขู่” รัฐบาล” เวรกรม” ของประเทศไทย และเป็น”กรรมเวร”ของ”คนไทยทั้งประเทศ จริงๆ

ส่วนเรื่องความไม่สงบของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” และ” สี่อำเภอของจังหวัดสงขลา” จะแก้อย่างไร ก็คงจะ”แก้ไม่ได้” เมื่อ” ภูมิธรรม เวชยชัย” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ให้”สัมภาษณ์สื่อ” ก่อนหน้านั้นแล้วว่า” จะไม่มีการ”ปรับเปลี่ยนนโยบาย” และไม่มีการ”ใช้ยาแรง” แต่จะใช้การ”พัฒนา” ในการ”นำหน้า” เพื่อแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” เมื่อ “นโยบายข้างบน” เป็นดั่งนี้” ผู้ที่รับ”นโยบายข้างล่าง” อย่าง”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ” ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ ก็ต้อง”ทำตาม” นโยบายที่เป็นนโยบาย”อ่อนข้อ” ให้กับ” ขบวนการบีอาร์เอ็น”  จึงกลายเป็น”จุดอ่อน” ที่ทำให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่”อ่อนแอ” ไม่สามารถที่จะทำให้”ไฟใต้”ลดการ”โชนแสง” ลงได้  และ ถ้า “นโยบาย” ของ” ส่วนกลาง” เป็นอย่างนี้ ต่อให้ได้”แม่ทัพ”ที่เป็น”อัศวินขี่ม้าขาว” มาเป็น”ผู้นำ” ก็ไม่สามารถที่จะ”ดับไฟใต้” ให้”มอดดับ” ไปได้ ดังนั่นที่มีการวางแผนว่า ปี 2570 จะเป็นปีที่”ยุติไฟใต้” มีการ”ถอนทหาร”ออกจากพื้นที่ โดยมอบหน้าที่การ”รักษาความสงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้” ให้กับ”กองกำลังรักษาดินแดน” ในการ”กำกับดูแลของฝ่ายปกครอง” จึงเป็นเพียง”ความฝัน” ที่”ไม่มีอยู่จริง”

ดังนั้นหน้าที่ของ” กอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ทำได้อย่างที่เห็นและ”ที่ทำอยู่” หน้าที่หลักก็คือ” รดน้ำศพ”ของ”ผู้พลีชีพ” เยี่ยมผู้”บาดเจ็บ” ใน “โรงพยาบาล” ส่วน”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ก็มีหน้าที่” เคารพศพผู้กล้า” และมอบเงิน”เยียวยา” ศพละ 500,000 บาท  ….แต่ถึงอย่างไร ก็ต้อง “ส่งสาร” ไปยัง”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ” ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ว่า ต้องเร่ง”ปิดจุดอ่อน” นั้นคือต้องมีการ”ปรับปรุง” งานด้าน”การข่าว” ให้สามารถเข้าถึงความ”เคลื่อนไหว” ของ” แนวร่วม” ในพื้นที่ ทั้งที่เป็น”แนวร่วม” ใน”หมู่บ้าน” และ”แนวร่วม” ที่เป็น”แกนนำ”ในระดับ”สั่งการ” เพราะหาก”การข่าว”ไม่ทราบความ”เคลื่อนไหว”ของ”แนวร่วม ”ในพื้นที่” ต่อให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มี”กำลังเป็นจำนวนมาก มีอาวุธที่ทันสมัย ก็ไม่มีประโยชน์ “กำลังในพื้นที่” กลายเป็น”คนตาบอด” ไม่รู้ว่า”บีอาร์เอ็น” จะ”วางเพลิง” ที่ไหนจะ”ซุ่มโจมตี” เจ้าหน้าที่ด้วย”ระบิดแสวงเครื่อง” และด้วย”อาวุธปืน” จุดไหน ทุกอย่างจึงดู”มืดมน” ป้องกันเหตุ และ”ป้องกันตนเอง”ไม่ได้ ทุกวันคือ”ความสูญเสีย” โดยเฉพาะการ”สูญเสีย” ความ”เชื่อมั่น” จาก”ประชาชน” ที่มีต่อ”เจ้าหน้าที่รัฐ”

ที่สำคัญ วันนี้”กองกำลังอาสารักษาดินแดน” ยังเป็น”เป้าหมายหลัก” ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ในการ”ซุ่มโจมตี” เนื่องจาก”กำลังของ”อาสารักษาดินแดน” มีอยู่ในทุกพื้นที่ เพราะเป็นชุด”คุ้มครองตำบล” หรือ”ชคต” เพื่อ”ป้องกันเหตุ” รวมทั้งการทำหน้าที่ชุด”คุ้มครองครู” ในการ “รับ-ส่ง “ ครู ระหว่าง โรงเรียน” กับ”ที่พัก”  ดังนั้น”กองกำลังอาสารักษาดินแดน” จึงกลายเป็น”เป้าหมาย” ให้ถูก”ซุ่มโจมตี”ได้ในทุกวี่ทุกวัน ถามว่าเรื่องนี้จะ”แก้อย่างไร” มีการ”ปรับยุทธวิธี” เพื่อการลดความ”สูญเสีย” อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่อง”สำคัญ” เพราะหากไม่มีการ”แก้ไข” ก็เท่ากับปล่อยให้”ชีวิต”ของ”อาสารักษาดินแดน” กลายเป็น”ของเล่น” ให้” กองกำลังติดอาวุธ”ของ” บีอาร์เอ็น” ล่อเป้า”ตาม”ใจชอบ” และหากยังปล่อยให้เกิดเหตุอย่างนี้  วันหนึ่ง”อาจจะ” ไม่มีใครมา”สมัคร” เป็น” กองอาสารักษาดินแดน” ก็ได้…… พูดเรื่องของ” อส. “ หรือ”อาสารักษาดินแดน” ที่มีเรื่อง”ร้องเรียน” ถึงการ”หักเบี้ยเลี้ยง” แบบ”จุกจิก” ที่เกิดขึ้นกับทุกพื้นที่ แต่ยังไม่”เสียหาย” และ”ร้ายแรง” เท่ากับ”ข่าว” ที่มีผู้”หวังดี”แต่”ประสงค์ร้าย” ปล่อยออกมาถึง”ขบวนการ การได้มาของ”กองอาสารักษาดินแดน” ที่ต้องผ่าน”นายหน้า” ใครต้องการเป็น” อส.” ที่มี”งานประจำ” มี”เงินเดือนประจำ” ต้อง”จ่าย” ให้กับ”นายหน้า” คนละ 150,000 บาท เรื่องนี้ มีการ”สอบถาม” ผู้ที่เป็น”อส.” แล้วหลายราย ทุกคน”พยักหน้าหงึกๆ” ว่าเป็น”เรื่องจริง” เป็นวิธีการหา”หากิน” อีก”รูปแบบหนึ่ง” ในพื้นที่การ”สู้รบ” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็หวังว่า” เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีระกุล” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” จะ”รับรู้” ในเรื่องนี้ และทำการ”แก้ไข” หยุด”ขบวนการ”หากินบนหลังคน”ได้แล้ว

วันก่อน “เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง” จาก”ส่วนกลาง” นำกำลังเข้า”จับกุมร้านบุหรี่หลบหนีภาษี” ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง ได้ “บุหรี่หลบหนีภาษี” เป็นจำนวนมาก   ก็เป็นเรื่อง”แปลกแต่จริง” ที่”เจ้าหน้าที่สรรพสามิต” และ”ตำรวจ” มองไม่เห็นการทำผิด”กลางเมือง”แต่ “เจ้าหน้าที่””จาก”ส่วนกลาง” กลับ”ดมกลิ่น” นำกำลังลงไป”จับกุม”ได้ถึง 10  โกดังร้านค้า ที่อยู่ใน”เขตเทศบาล” ข่าวว่า”ขาใหญ่” รายนี้เป็น” นักการเมืองท้องถิ่น” ใน อ.ระโนด จ.สงขลา และที่” เจ้าหน้าที่”ท้องถิ่น” มองไม่เห็น”ร้านค้า-โกดัง” ทั้งหมด เป็นเพราะมีการ”ส่งส่วย” ให้กับ”ทุกหน่วย”

เทศกาล”การเมืองท้องถิ่น”  ที่”เม็ดเงิน” กำลัง”สะพัด” ในทุกพื้นที่  จับตาที่ จ.สงขลา เป็นการ”ชนช้าง” ระหว่าง””สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อดีต”อธิบดีกรมฝนหลวงฯ กับ”ประสงค์ บริรักษ์” หรือ” เสี่ยแบบ” อดีต “นายกเทศบาลเมืองเขาลูกช้าง” อ.เมือง สงขลา และ อดีตผู้สมัคร สส.เขต  1 พรรคภูมิใจไทย สงขลา  ซึ่งวัดจากกำลังของผู้”สนับสนุน” ของทั้งสองฝ่าย “คู่คี่สูสี”กัน  แต่ประเด็นนี้ไม่ใช่จุด”ชี้ขาด” ต้องดู”ยุทธศาสตร์”ของแต่ละทีม ว่า”ยุทธศาสตร์”ของฝ่ายไหน จะ”เจาะลงไป”ใน”หัวใจ”ของ”ประชาชน” วันนี้ทั้ง สองทีม ต่างประกาศว่าจะ”ไม่ซื้อเสียง” แต่”ก่อนหน้านี้” บางทีม มีการ”จ่าย” ให้กับ”ผู้สมัคร”สจ.”ในทีมไปแล้ว  คนละ”หลายกำปั่น” เพราะในการ”หาเสียง” ของทีมผู้บริหาร ต้องอาศัยผู้สมัคร “สจ.” เขต ในทุกอำเภอ…..ส่วน”พรรคประชาชน” ที่ส่ง” นิรันดร์ จินดานาค” เป็น”หัวหน้าทีม” ซึ่ง ทีมผู้บริหารทุกคน” เข้าตาประชาชน” แต่วันที่”เข้าคูหา” จะมี”คะแนน”เท่าไหร่” ยังตอบไม่ได้ เพราะเป็น”พรรคการเมือง” ที่ไม่ใช้เงิน”ในการซื้อเสียง” แต่จะใช้”กลยุทธ” ในการใช้”โซเซียล” เพื่อ”เข้าถึง” กลุ่มคนที่เป็น”เป้าหมาย”   ซึ่งทุกกลุ่ม ประมาท ไม่ได้ เพราะ “สงขลา” เป็นเมือง”เศรษฐกิจ” และ”การศึกษา” ที่มี”สถาบันอุดมศึกษา” มากถึง 5 แห่ง  มีคน”หนุ่ม-สาว” ที่อยู่ใน”เป้าหมาย” ของ”พรรคประชาชน” จำนวนไม่น้อย ส่วนผู้สมัครอิสระ จำนวน 2 คนที่เป็น”สุภาพสตรี” ก็เป็นอีก”หนึ่งทางเลือก” ให้กับ”ชาวสงขลา” ได้ “พิจารณา” และ”ล่าสุด” ก่อนวันปิดรับสมัคร ก็มี”คนหนุ่ม” อย่าง”ทนายต๊ะ” เศกสิทธิ์ รคนพิบูลย์”  ลูกแม่ค้าข้าวเหนียวหลาม เปิดตัว ให้คน”สงขลา” ได้”พิจารณา” อีกคนหนึ่ง สำหรับผู้ที่สมัครเป็น” สจ.” หรือ”ส.อบจ.” ของ “จังหวัดสงขลา” รวมแล้วเกือบ 100 คน ทั้ง”หน้าเก่า” และ”นักการเมืองหน้าใหม่” ถ้าย้อนไปดูการ”เลือกตั้ง”ที่”ผ่านมา” จะพบว่า”คนหน้าเก่า” จะ”ถูก”กวาดตกเวที”ไม่ต่ำกว่า 40% ครั้งนี้ก็เช่นกัน เชื่อว่า ผู้สมัคร”หน้าใหม่” จะสามารถ”เบียดแทรก” เข้ามามี”บทบาท”เพื่อเป็นนักการเมือง”เลือดใหม่” ได้มากกว่า 50%  แต่ถ้าดูจาก”อดีต” จนถึง”ปัจจุบัน” จะพบว่า”เลือดใหม่” ที่เข้ามาแทน”เลือดเก่า” ก็ไม่ได้มีการ”พัฒนา”ด้าน”การเมืองท้องถิ่น” ให้ดีขึ้น แต่กลายเป็นว่า”ทากตัวใหม่” ต่าง”หิวกระหาย” ยิ่งกว่า”ทากตัวเก่า”เสียอีก

ส่วนที่ จ.นราธิวาส  การเลือกตั้ง”นายก อบจ.ไม่ธรรมดา เมื่อ”ซาการียา สะอิ “ สส. เขต 4 พรรคภูมิใจไทย จ.นราธิวาส ส่ง”พี่ชาย” ซึ่งเป็น”นักธุรกิจใหญ่”ในพื้นที่ “อับดุลลักษณ์ สะอิ” ลงสมัครเป็น”นายก อบจ.” นราธิวาส เป็นการ”ท้าชน” แชมป์เก่าหลายสมัยอย่าง” กูเซ็ง ยาวอฮาซัน” อย่างไม่”เกรงกลัวศักดิ์ศรี”ของ” เสือเฒ่า” โดยมี”นัจมุดดิน อูมา” ตัวแทนของ”พรรคภูมิใจไทย” ทำหน้าที่เป็น” พี่เลี้ยง” และวันสุดท้าย”ไฟศอล อาแว  อดีตนายกเทศบาลเมืองนราธิวาส ก็ ตัดสินใจ ลงแข่งขันเพื่อ”ชิงตำแหน่ง” นายก อบจ.นราธิวาส เป็นคนที่ 3  ครั้งนี้ คนจังหวัดนราธิวาส มี”ทางเลือก” มากขึ้น ส่วนการ”แข่งขัน” ส.อบจ.”ใน จ.นราธิวาส” ก็ “ดุเดือด”เป็นอย่างยิ่ง” เมื่อ”สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ และ”อามินทร์ มะยูโซ๊ะ” สองศรีพี่น้อง จาก”ค่าย”กล้าธรรม” ส่งผู้สมัคร”ส.อบจ.” ทุก อำเภอ เพื่อ”สร้างฐาน” ในการ “ขยายจำนวน สส.” ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ให้มากกว่า”สองศรีพี่น้อง” เชื่อว่า”การเมืองท้องถิ่น” ใน “จังหวัดนราธิวาส” ต้อง”แข่งเดือด” ที่” พล.ต.ต. ไมตรี สันตยากุล” ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ต้องให้ความสนใจ เพราะอาจจะมีการใช้”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” เพื่อ”ตัดคู่แข่งทางการเมือง” ซึ่งเป็นเรื่อง”ถนัด” ของ”นักการเมือง” ในพื้นที่ของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ….. แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…มองย้อน บ้านเอื้ออาทรชำแหละเนื้อใน บ้านเพื่อคนไทย

การเมือง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะ”การเมือง” เป็นเรื่องของ”ทุกคน” การเมืองดี พรรคการเมืองดี ผู้บริหารดี พรรคร่วมมีความสามัคคี “รัฐบาล” ก็จะมี”เสถียรภาพ” เมื่อ”รัฐบาล” มี”เสถียรภาพ” เศรษฐกิจ ของประเทศก็จะดี  และส่งผลให้ปัญหา”ปากท้อง” ของประชาชนได้รับการแก้ไข ไป”เจรจาความเมือง” ที่ประเทศไหน ก็จะมีความ”สำเร็จ” มากกว่า”ล้มเหลว”  แบบ”กลับบ้านมือเปล่า” อย่าง”รัฐบาล”ปัจจุบันที่”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” ในการ”จัดตั้ง” มี”นายกรัฐมนตรีคนแรก” คือ”เศรษฐา ทวีสิน “ เป็น”นายกรัฐมนตรี” หลังรับตำแหน่ง”ก็”ทัวร์ต่างประเทศ” เป็น”ว่าเล่น” เพื่อ”โรดโขว์” โครงการต่างๆ ในการเรียกให้”นักลงทุนต่างชาติ” เข้ามา”ลงทุนในประเทศไทย” แต่ “สุดท้าย” ก็”ล้มเหลว” เพราะไม่มี”ต่างชาติ” ชาติไหนให้ความสนใจ และ”สุดท้าย” ต้องพ้นจากตำแหน่ง” นายกรัฐมนตรี” เพราะ”ถูก”ศาลรัฐธรรมนูญ”สั่งให้พ้นจาก”นายกรัฐมนตรี” เพราะ”แต่งตั้ง” ให้”พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรี…..นายกรัฐมนตรี”คนที่ 2 “ คือ”แพทองธาร ชินวัตร” ที่เป็น”ดีเอ็นเอ” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ซึ่งในครั้งที่”ขึ้นเวทีหาเสียง” ใน”ฐานะ”หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” หลายคนเห็นว่า”หน่วยก้าน”มีแววของ”ความเป็นผู้นำ” น่าจะเป็น”นายกรัฐมนตรี” นำประเทศ”ก้าวไปข้างหน้า” โดยมี”ดีเอ็นเอ” ของ”ทักษิณ ชินวัตร”  เป็น”เครื่องการันตี”  แต่หลังจากที่”แพทองธาร ชินวัตร” ทำหน้าที่ผู้นำ”เบอร์ 1 “ ของประเทศ มาแล้ว 90 วัน  คนไทยจำนวนไม่น้อย”ผิดหวัง” พอสมควร

เธอถูก”สังคมตำหนิ” ตั้งแต่ใน”บทบาท”ของ”ผู้นำประเทศ” ที่เข้าร่วม”ประชุม” กับ”ผู้นำ”ประเทศต่างๆใน”เวทีโลก” หรือใน”เวทีการเมืองสากล” ในเรื่องของ” เสื้อผ้า , หน้าผม” ในเรื่องของความ”ไม่เหมาะไม่ควร” กับการเป็น”ผู้นำ” ของประเทศ วันนี้”นายกรัฐมนตรีของประไทย” กลายเป็น”เหยื่อ” ใน”สังคมของโซเชียลมีเดีย” ซึ่ง”ล่าสุด”ในการ”แถลงข่าว” 90 วัน ของการเข้ามา”บริหารประเทศ” คำพูดในหลายเรื่องของเธอถูกนำไป”ดราม่า” ถ้าเรื่องที่ปรากฎ”ใน”โซเซียลมีเดีย” เป็นเรื่อง”เท็จ” ที่ถูก”ปั้นแต่ง” เพราะเรื่องของ”การเมือง” ก็น่า”เห็นใจ” ที่”นายก” กลายเป็น”เหยื่อ” เพื่อสร้างความ”เกลียดชัง” โดยหวังผลการ”ทำลายล้าง” ทาง”การเมือง” ซึ่งไม่ควรที่จะ”กระทำ” ต่อ”ผู้หญิงคนหนึ่ง”ที่เป็น”เพศแม่” ของทุกคน แม้ว่าเธอจะเป็น”บุคคลสาธารณะ”ก็ตาม….แต่ถ้าเป็น”เรื่องจริง” ก็ แสดงให้เห็นถึงความ”ไร้เดียงสาทางการเมือง” และเป็น”บทเรียน”ของประเทศและของ”การเมืองไทย” ในการ”มอบภาระหน้าที่” ในการเป็น”นายกรัฐมนตรี” ให้กับ”บุคคลที่”ไร้วุฒิภาวะทางการเมือง” มาเป็น”ผู้นำประเทศ” การ”สื่อภาษา”ที่ผิดๆถูก” ไม่ใช่เรื่อง”เล็กน้อย” เพราะทุก”ถ้อยแถลง” ที่หลุดจาก”ปากของผู้นำ” ล้วนเป็น”พันธสัญญา”ที่ต่างกับคำพูดที่”ออกจากปาก” แม่ค้าตลาดสด” ดังนั้นเรื่อง”พูดผิดพูดถูก” หรือ”ถูกบ้างผิดบ้าง” เป็นเรื่อง”สำคัญ” ที่ไม่ควรมองข้าม และถ้าเรื่องที่ปรากฎอยู่ใน”โซเซียลมีเดีย”เป็นเรื่องจริง นั้นหมายถึงความ”เสียหาย” ของประเทศชาติ”

เรื่องการ”ปรับโครงสร้างหนี้” เพื่อ”แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน” ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” เช่น” หนี้บ้าน,หนี้รถยนต์ ” หนี้บัตรเครดิต” เป็น เรื่องดี แม้ว่ากว่าจะ”คิดได้”ก็”สายไปบ้าง” แต่ก็ยัง”ไม่สายเกิน” เพราะหากสามารถ”ลดหนี้ครัวเรือน”ลงได้ และ”สถาบันการเงิน” เปิดช่องให้มี”นโยบาย” เงินกู้ที่”ปลอดดอกเบี้ย” ในพื้นที่ “ประสบอุทกภัย” ของประเทศในทุกภาค ก็อาจจะทำให้”เศรษฐกิจ” ของประเทศ “เดินหน้า”ไปได้ รวมทั้งเรื่องของ”เอสเอ็มอี” ที่”สถาบันการเงิน ยังมองว่าเป็น”ธุรกิจที่เสี่ยง” โอกาสที่”เอสเอ็มอี” จะ”ฟื้นตัว” จึงค่อนข้างยาก เหล่านี้คือ”โจทย์ยาก” ของ”รัฐบาล….ฟังนโยบาย”สร้างบ้านเพื่อคนไทย” ของ” รัฐบาลเพื่อไทย” โดยให้คนที่ไม่เคย”มีบ้าน” จ่ายเดือนละ 4,000 บาท ด้วยการใช้ที่ดินของการรถไฟ” ทั่วประเทศเป็นที่”สร้างบ้าน” ฟังแล้วก็”ดูดี” แต่ต้องดู”เนื้อใน” ด้วยว่า “เป็นจริง” แค่ไหน  แต่ สำหรับ”คนจน” แล้ว เงินเดือนละ 4,000 บาท” ในการ”จ่ายค่าเช่า” ก็อาจจะไม่ใช่เรื่อง”ง่าย” และเรื่อง”บ้านคนจน” ยังมี”ข้อสงสัย” ที่ยังไม่ลงใน”รายละเอียด” เช่น”เช่าที่รถไฟ”ตรงไหน”และ”ใครเช่า” ปีละกี่บาท และมีการมอบพื้นที่ให้”ใคร” เป็นคนสร้าง” เอกชน”หรือ”หน่วยงานรัฐ” และใครเป็นผู้”เก็บเงินค่าเช่า” และก็อย่าลืมกลับไป”ย้อนดู” เรื่องของ”บ้านเอื้ออาทร” ที่เป็นโครงการของ”เพื่อไทย” ที่มี”นักการเมือง” ที่เกี่ยวข้องกับ”บ้านเอื้ออาทร” ต้องระเห็จเข้าไป”นอนอยู่ในเรือนจำ”

ฟังการแถลงข่าวถึง”ผลงาน” ของ”รัฐบาล” ผ่าน”ภาษาพูด” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี แล้ว ถ้าฟังแล้วไม่คิดอะไรมากก็”ดูดี” แต่ถ้าฟังแล้ว”มองลึกลงไป” ใน”เนื้อใน” ก็จะเห็นถึงความ”กลวงโบ๋” เป็นเพียง”นโยบาย” ที่จะเป็นจริงได้ยังต้องมี”หลายปัจจัย” ในการ”เป็นองค์ประกอบ” ก็เป็น”ยาหอม” ทางการเมือง ให้”ประชาชน” ที่ตามไม่ทัน”เกมกลการเมือง” ได้”ชื่นใจ”…..แต่เรื่องที่”ประชาชน” ให้ความสนใจไม่ใช่เรื่องของ”นโยบาย”ของรัฐบาลที่ยัง”จับต้องไม่ได้” แต่ “ประชาชน” ส่วนใหญ่ สนใจเรื่อง”แจกเงิน”เฟสที่ 2 คนละ 10,000 บาท สำหรับผู้อายุ 60 ปีขึ้นไป และการแจกเงิน”เฟส 3” สำหรับผู้ที่อายุ 16 ปี ขึ้นไป ตาม”เงื่อนไข” ที่”รัฐบาลกำหนด” ซึ่งคณะทำงานของ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง”ยังไม่สามารถ”เคาะ” วัน เวลา ที่แท้จริงในการ”แจกจ่าย”เพราะยัง”ถังแตก” มีแต่การให้”ยาหอม” ไป เรื่อยๆ เดี๋ยวก่อน”ตรุษจีน” เดี๋ยวหลัง”ตรุษจีน”  แต่ ก็เชื่อว่า”หัวเด็ดตีนขาด” พรรคเพื่อไทยต้อง”ดิ้นรน” ในการ”แจกเงิน” ให้”ประชาชน” ให้ได้ เพราะการ”แจกเงิน” คือการ”หาเสียง” ล่วงหน้า เพราะ”พรรคเพื่อไทย” ก็ไม่”มั่นใจ” ว่า”รัฐบาล” จะมี”อายุยืนยาว” ถึง เดือนไหน ปีไหน เพราะ”ดูทรงแล้ว” อุบัติเหตุทาง”การเมือง” สามารถเกิดขึ้นกับ”รัฐบาล” ชุดนี้ได้ตลอดเวลา เพื่อ”ความชัวร์” จึงต้องมีการ”แจกเงิน” คนละ 10,000 บาท” ให้”ลุล่วง” เสียก่อน จะเป็นการ ดีที่สุด ส่วน”นโยบาย” อื่นๆ อาจจะเป็นเพียงเรื่อง”สายลม แสงแดด” ก็ไม่มีใคร”ถือสา” เพราะการเมืองไทย เรื่องของ”นโยบาย” เป็นเพียงเรื่อง”ตลกร้าย” ที่ไม่ต้องทำตาม เพราะ”กกต.” ไม่เคย”ลงโทษ” พรรคการเมืองไหน ว่ามี”ความผิด” ที่ไม่ทำตาม”นโยบาย” ที่ให้ไว้กับ”ประชาชน” ในตอนที่”ปราศรัยหาเสียง”

เรื่อง”การเมืองท้องถิ่น” ที่เริ่มปรากฏความ”โหดร้าย” ตั้งแต่ยังไม่ถึงวันรับสมัครเพื่อการ”เลือกตั้ง” โดยประเดิมความ”โหดร้าย” ที่ จังหวัดปราจีนบุรี”ถิ่นของโกทร ”สุนทร วิลาวัลย์” บ้านใหญ่แห่ง”ปราจีนบุรี” “เหยื่อ”ของความ”หฤโหด” คือ” สจ.โต้ง” ผู้เป็น”ลูกบุญธรรม” ที่ถูก”ลูกน้อง”ของ”พ่อบุญธรรม”รุมยิงจำนวน 20 กว่านัดภายในบ้านของ”พ่อบุญธรรม” ทั้งหมดมาจากเรื่อง”การเมืองท้องถิ่น” ซึ่งการเลือกตั้ง”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” หรือ( อบจ.) ที่”หมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 และจะมีการเปิดรับสมัครในวันที่ 23ธันวาคม  และ”เลือกตั้ง” ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ดังนั้นใน”ห้วงเวลา”ของการ”หาเสียง” อาจจะมีการ”กระทบกระทั่ง” มีการใช้”ความรุนแรง” ในการ”กำจัดศัตรู”ทาง”การเมือง” เพราะ”การเมืองท้องถิ่น”คือเรื่องของ”โลกกว้างทางแคบ”ที่ทั้ง”ดาวดัง,ดาวเด่น”และ”อริ” โคจรมา” แข่งกัน” วิธีการหนึ่งในการได้มา”ซึ่งชัยชนะ” คือการ”ปลิดชีพ”ของ”คู่แข่ง”ให้”ดาวดิ้น”สิ้นลม” เพราะ”นักการเมืองอิทธิพล” เชื่อว่า”ล้มคดี”ง่ายกว่า”ล้มศัตรูคู่แข่ง” ก็เห็นด้วย” ผบ.ตร. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร” สั่งการให้  ผบก.ทุกจังหวัด “เอาจริง”กับ”กลุ่มผู้มี”อิทธิพล”ใน”ท้องถิ่น” และ”เรื่องแรก” ที่” ผบก.ภ.จว.ทุกจังหวัดต้องดำเนินการคือการ”กวาดล้างมือปืน” และกวาดจับ”อาวุธปืน” ในทุกพื้นที่ เพื่อให้”ยาก”ต่อการ”ก่อเหตุ” รวมทั้ง”กวาดล้าง” แหล่ง”อบายมุข” และ”ธุรกิจผิดกฎหมาย” ที่เป็น”เส้นทางการเงิน”ของ”นักการเมืองท้องถิ่น” และผู้มี”อิทธิพล”

ในภาคใต้ จังหวัดที่ต้อง”เพ่งเล็ง” ก็อย่าง” สงขลา,สุราษฎรธานี, พัทลุง,ซึ่งเป็นพื้นที่ มีการ”แข่งขัน”กันแบบมี”เดิมพัน” และมี”ซุ้มมือปืน” ของผู้มี”อิทธิพล” มี”นักการเมืองระดับชาติ” และ”ขบวนการธุรกิจสีเทา” ให้การ”โอบอุ้ม” อย่าง จ.สงขลา อย่าเห็นว่า”เงียบๆ” หรือไม่มีอะไร  เพราะมี”คลื่นใต้น้ำ”ที่ “พล.ต.ต. เชาวลิตร เลี้ยงสุพงศ์ ผบก.ภ.จว. สงขลา ต้องไม่ประมาท  ….. ส่วนใน”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ข่าวว่า การเลือกตั้งของ”องค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา” มุขตาร์ มะทา” นายกคนปัจจุบัน ยังไม่มี”คู่แข่ง”ที่”พอฟัดพอเหวี่ยง” แต่ในเรื่องของ” ส.อบจ. อาจะมีการแข่งขันกันในพื้นที่ ซึ่งก็ประมาทไม่ได้ แต่ก็เชื่อมือของอดีต”นักสืบมือดี” อย่าง” พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฏ์” ผบก.ภ.จว.ยะลา ว่า”รับมือ”ได้ เช่นเดียวกับที่ จ.นราธิวาส ที่วันนี้ยังไม่มี”นักการเมืองท้องถิ่น” คนไหน หรือ”ค่ายไหน” ที่จะ”ทาบรัศมี”ของ”กูเซ็ง ยาวอหะซัน” นายก อบจ.คนปัจจุบัน ที่ถ้ายังไม่”ถอนตัว” และ”ล้างมือในอ่างทองคำ” ก็ยังไม่มี”คู่แข่ง” แต่การ”แข่งขัน” ในตำแหน่ง” ส.อบจ.” นั้นมี แน่นอน และมี”พลพรรค”ของ”บีอาร์เอ็น” ลงรับสมัครด้วย ดังนั้น “พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล “ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ต้องไม่ประมาท อย่างให้เรื่อง”การเมืองท้องถิ่น” ซ้ำเติม”สถานการณ์” ที่”ย่ำแย่”ของ”จังหวัดนราธิวาส” ให้”แย่กว่าเดิม”…. และ ที่”จังหวัดปัตตานี” ข่าวว่า การ”เลือกตั้ง” นายกองค์การบริหารจังหวัด ครั้งนี้ “เศรษฐ์ อัลยุฟรี” นายก อบจ.คนปัจจุบัน มี”คู่แข่ง” ที่”ชัดเจน” แล้วว่า เป็น อดีต “สส.” ในพื้นที่ ซึ่งมีการ”เตรียมตัว” และ”วางแผน” เพื่อ”โค่นล้ม” คนโตแห่ง อบจ.ปัตตานี ที่เป็น”นายก อบจ.แบบ”ผูกขาด”มาแล้ว”หลายสมัย” ก็เป็น”หน้าที่”ของ”พล.ต.ต.สันทัด เชื้อพุฒตาล” ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ในการ”วางแผน” เพื่ออย่าให้”ปัตตานี” กลายเป็น”สนามรบ” ของ”ผู้ยิ่งใหญ่” ในการ”แข่งขัน”การเลือกตั้งครั้งนี้ และโดยภาพรวม “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 . ต้อง”สั่งการ”ให้ “ผบก.ภ.จว. ทั้ง 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง”รับมือ” กับการ”เลือกตั้ง” นายก อบจ. ให้ดี เพราะเห็นแล้วว่า จังหวัดที่ไม่มีปัญหา น่าจะมีเพียง “จังหวัดสตูล เพียง จังหวัดเดียว เท่านั้น

สนามการเลือกตั้งของ จ.สงขลา ซึ่ง ณ วันนี้”นิ่งแล้ว” และเป็น สนามเลือกตั้งที่ “กูรูการเมือง” จับตามองด้วยความสนใจ เปิดตัวก่อนเพื่อน และถูกมองว่าเป็น”เต็งหนึ่ง” คือ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อดีตอธิบดีกรมฝนหลวง ฯ  ที่”พิสมัยการเมืองท้องถิ่น” ทิ้ง”เก้าอี้อธิบดีกรมฝนหลวง” ทั้งที่ยังไม่”เกษียณอายุราชการ” โดยมี “สองบ้านใหญ่” แห่ง”จ.สงขลา คือ”บ้านใหญ่บุญญามณี” และ”บ้านใหญ่ขาวทอง” เป็นผู้”สนับสนุนหลัก” มี”สมพร ใช้บางยาง” อดีต ผวจ.สงขลา และ “อำนวย พิณสุวรรณ” รอง ผวจ.สงขลา ที่เพิ่งเกษียณมาหมาดๆ เป็นที่เป็นปรึกษา ซึ่งเปิดอย่าง”ยิ่งใหญ่” และเชื่อว่า” นิรันดร์ จินดานาค” ผู้สมัครของ”พรรคประชาชน” ไม่ใช่”คู่แข่ง” แต่ ณ วันนี้ อาจจะไม่ใช่”วันนั้น” เมื่อมี”ตัวเลือก” ที่เป็น”ทางเลือก” เป็น”ทีมที่สาม” ประกาศลง”แข่งขัน” นั้นคือ”ประสงค์ บริรักษ์” หรือ” เสี่ยแบน อดีต นายกเทศบาลเขาลูกช้าง อ.เมืองสงขลา และอดีตผู้สมัคร สส.พรรคภูมิใจไทยเขต 1สงขลา ซึ่งข่าวว่า” แม้”จะไม่ได้ลงในนามพรรคการเมืองไหน แต่”พิพัฒน์ รัชกิจประการ”  เสนาบดีกระทรวงแรงงาน” ซึ่งเป็น”คีย์แมน” ของ”พรรคภูมิใจไทย”ของ”ภาคใต้” ประกาศให้การ”สนับสนุน” ใน”ฐานะ” ที่เป็นผู้ร่วมงานทางการเมือง เช่นเดียวกับที่เคย”สนับสนุน” น้ำ” หรือ”วาริน ชิณวงศ์” จนสามารถ”ล้มช้าง” อย่าง”เจ๊ต้อย” ได้เป็น”นายก อบจ.นครศรีธรรมราช มาแล้ว อย่าง”หักปากกาเซียน” ดังนั้นก็ต้องติดตามดูว่า “นครโมเดล” จะเกิดกับ”สงขลา” หรือไม่ เพราะมีการประกาศ”ยุทธศาสตร์”การ”หาเสียง” ที่”ชัดเจน”ว่า”ไม่ซื้อเสียง” การลงสมัครของ”นายกแบน” จึงเป็น” ทางเลือก” สำหรับ”ฝั่งของประชาชน” ที่ไม่ชอบทั้ง”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” และไม่ชอบ”นิรันดร์ จินดานาค” และไม่ชอบทีม”สนับสนุน” ให้”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” เป็น”นายก อบจ. เช่น “เสี่ยถึก” สมยศ พลายด้วย สส. ประชาธิปัตย์ เขต 3 ที่ ประกาศส่ง” ภรรยา” แล”ลูก” ลงสมัครในทีมของ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” รวมทั้ง”ขั้ว” ที่อยู่ตรงข้าม”นายกชาย” หรือ “เดชอิศม์ ขาวทอง” รมช. สาธารณสุข” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ”ขั้ว” ที่ไม่ชอบ”บ้านใหญ่บุญญามณี”

ส่วน”ถาวร เสนเนียม” ที่ กลุ่มผู้สมัคร ส อบจ. สงขลา ทีมของ”ไพเจน มากสุวรรณ์” นำ”เทียบเชิญ” ให้มาเป็น”หัวหน้าทีม” ได้”ประกาศชัด” กับ”ประชาชน” ผ่านทาง”โซเชียลมีเดีย” ในการ”ไม่ลง” รับสมัครในครั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่”คดีความทางการเมือง” ยังอยู่ใน”ขบวนการ”ของ”ศาลยุติธรรม” แต่”ถาวร เสนเนียม” ผู้ที่”มากบารมี” ทางการเมืองในพื้นที่จะเลือก”สนับสนุน”ผู้สมัครทีมไหน ยังไม่”เป็นข่าว” นอกจากนั้น ยังมี”ผู้สมัครอิสระ” อีก 1 หรือ 2 คน ที่เสนอให้เป็น”ตัวเลือก” ของ”ชาวสงขลา” ดังนั้น “สนามเลือกตั้ง”  นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาจึงไม่”เงียบเหงา” ส่วนจะ”ร้อนระอุ”แบบ”ปราจีนบุรี” หรือไม่นั้น วันนี้ยังเพิ่ง”เริ่มต้น” จึงยัง”มองไม่ออก” ส่วนที่ต้อง”จับตามอง” คือ”ข่าว” ที่มีการ”ปล่อย” ซึ่ง”เท็จ” หรือ”จริง” ยังไม่ยืนยัน นั้นคือ”ข่าว” ที่” เดชอิศม์ ขาวทอง” ไม่”แฮปปี้” กับการที่” สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ไม่ยอม”สวมเสื้อ ปชป.” ในการลง”สมัครนายก อบจ.สงขลา” ในครั้งนี้ และอาจจะ”ถอยห่าง” จาก”สนามเลือกตั้ง” เท็จ-จริง ต้องฟังจากปากของ”นายกชาย” เพราะ”ข่าวสาร” ที่ออกมาทาง”โซเชียล” มีทั้งเรื่อง”จริง” และ”ปั้นแต่ง” เพื่อการ”ทำลายล้าง” ทางการเมือง แต่ถ้า”ข่าวนี้เป็นจริง” ก็อาจจะทำให้”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” เหนื่อยกว่าเดิม และสิ่งที่จะ”ติดตามมา”หลังมีการ”สมัครรับเลือกตั้ง” ใครที่”มีแผล” อะไร”ติดตัว” ใครที่มีเรื่อง”ค้างคา” ในข้อหา”ทุจริต” ใน”ปปช.” ก็จะมีการ”เปิดโปง” ให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อเป็น”ข้อมูล” ในการ”ตัดสินใจ” ว่าจะ”เลือกใคร” เป็นผู้”บริหารท้องถิ่น”

ที่”น่ายินดี”หรือหน้า”เสียใจ”คือในการ”จัดอันดับ 10 อันดับของ การ”ทุจริต”ใน องค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศจังหวัด “สงขลา” มีการ”ทุจริต”ใน”อันดับที่ 9” ก็เป็นเรื่องของ”คนสงขลา” ที่จะใช้เป็น”ข้อมูล” ในการ”เลือก”ผู้บริหาร”อบจ.ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจะ”เลือกใคร”มาเป็น”ผู้บริหารท้องถิ่น” ที่มี”งบประมาณ”เกือบ “2,000 ล้าน และต้องไม่ลืมคำพูดของ”อุทัย พิมพ์ใจชน” อดีดประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่กล่าวว่า” ผู้แทน”เป็นอย่างไร”ประชาชน” ก็เป็นอย่างนั้น

”ส่องกล้อง”ไปที่เมือง”คนด้น” ( คนดุ ) ที่ “จังหวัดพัทลุง” เมื่อ” ส.อบจ.” รวมทีม”ตบเท้า”ไป “ร้องขอ”ให้”วิสุทธิ์ ธรรมเพชร” นายก อบจ.คนปัจจุบัน อย่าเพิ่ง”ลาโรง” หรือ”ล้างมือ” ทาง”การเมือง” ให้มาเป็น” หัวหน้าทีม” อีกหนึ่งสมัย ในขณะที่”นักการเมืองท้องถิ่น” ที่มี”ระดับ” ที่” พอฟัดพอเหวี่ยง” ก็ไม่มีใคร”อาสา”มาเพื่อเป็น”ทางเลือก” ของ”ประชาชน” ดังนั้น”นายก อบจ.”ของ”จังหวัดพัทลุง” ยังคงเป็น” วิสุทธิ์ ธรรมเพชร” ก็”ยินดีล่วงหน้า” กับ”ชาวพัทลุง” ที่ไม่มีโอกาสในการ”เปลี่ยนนายก อบจ.” เหมือนกับจังหวัดอื่นๆ

เรื่องของ”อุทกภัย” ในภาคใต้” ที่เป็น”ภัยธรรมชาติ” ในการ”ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ 2568” ซึ่งถูก”ภัยธรรมชาติ”เข้า”โจมตี” ทั้งภาคใต้ตอนล่าง และ ภาคใต้ตอนบน “พระเอก” ของการ”ช่วยเหลือ” ผู้”ประสบภัยน้ำท่วม” ยังเป็น” กองทัพภาคที่ 4” ที่มี”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ “ เป็น”แม่ทัพภาคที่ 4” และ”ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มี”ความพร้อม” ทั้งเรื่องของ”กำลังพล” และ”รถราม้าช้าง” เมื่อมีการ”วางแผนรับมือ”และทำได้”ตามแผน” แม้จะห้ามความ”เกรี้ยวกราด”ของ”ธรรมชาติ”ไม่ได้ แต่ก็สามารถ”ช่วยชีวิต” ของ”ประชาชน” ที่ประสบภัยอย่างได้ผล…..ส่วนในจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง หน่วยงานที่ถูก”วิพากวิจารณ์” ว่ายัง”ไม่เต็มที่” กับการ”รับมือ” ในการ”ช่วยเหลือ” ผู้ประสบ”อุทกภัย” คือ” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ” ศอ.บต.” ซึ่งทำหน้าที่เป็น”หน่วยกลาง” หรือ”เซ็นเตอร์” ในการรับ”เรื่องราว”ความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อ”ส่งต่อ” ซึ่งถูก”กล่าวหาว่า”ไม่มี”ความพร้อม” เท็จจริง อย่างไร “ประชาชน”ต้อง”ฟังหูไว้หู” แต่ไม่ว่าจะอย่างไร” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ”ศอ.บต. ก็ต้อง”สดับรับฟัง”เพื่อหาข้อ”บกพร่อง” ที่เกิดขึ้น  และคนของ”ศอ.บต. ต้องไม่”หวั่นไหว” กับเสียง”วิพากษ์วิจารณ์” เพราะ”คนทำงาน” ย่อมมีข้อ”บกพร่อง”ให้ถูก”ตำหนิ” ถือเป็นเรื่อง”ธรรมดา” คนที่”ไม่ผิดเลย”มีเพียงคนประเภทเดียวคือคนที่”ไม่ทำอะไร”เลย

ส่วน”สถานการณ์ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้” หลัง”น้ำลด” ก็เป็นไปตามที่”วิเคราะห์”ไว้”ล่วงหน้า” คือกลับมา”รุนแรง” เช่นเดิม และมีโอกาสที่จะ”รุนแรง” กว่าเก่า ในห้วงการ”ส่งท้ายปีเก่า – ต้อนรับปีใหม่ ที่อาจจะมี”คาร์บอมบ์” และ”จยย.บอมบ์” เกิดขึ้นในพื้นที่”เศรษฐกิจ” และ”หน่วยงานราชการ เพราะ”แหล่งข่าว” รายงานให้ทราบถึง”ความเคลื่อนไหว”ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ที่มีการ”ประสารงาน” กับ”แนวร่วม” ระดับ”เปอร์มูดอ “ และ”เปอร์มูดี” ในพื้นที่ เพื่อกำหนด”เป้าหมาย” ในการ”ก่อเหตุ” ซึ่ง หลังน้ำลด มีทั้งการ”เผาทำลายกล้องวงจรปิด” มีทั้งการ”เผาหลักเขต” ทางหลวงชนบท มีการ”โจมตี” ด้วย”อาวุธสงคราม” ต่อ”เป้าหมาย”ที่เป็น” เจ้าหน้าที่รัฐ…..ที่น่า”สนใจ” คือการ”โจมตี” เจ้าหน้าที่”ทหารช่าง” ในขณะที่ กำลัง”ตักทราย” และ”ขนทราย” ใน”ลำคลอง” ในพื้นที่ ต.จะแนะ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เพื่อนำไป”ซ่อมแซม” บ้านเรือนประชาชนที่ “เสียหาย”จากการถูก”น้ำท่วม” ซึ่งแสดงว่า”บีอาร์เอ็น” ไม่ได้ให้ความ”เป็นห่วง”กับความเป็นอยู่ของ”ประชาชน” ที่”ประสบภัยน้ำท่วม” ประเด็นนี้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้อง”ขยายผล” ให้”ประชาชน” และ”สังคมโลก” เห็นถึงความ”โหดร้าย”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ไม่ให้ความสำคัญกับความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน  เช่นเดียวกับ”ภาคประชาสังคม,เอ็นจีโอ” และ”กลุ่มสิทธิมนุษย์ชน” ที่ไม่ให้ความ”สนใจ” กับการ”โจมตี” เจ้าหน้าที่รัฐ ที่เป็นหน่วย”ช่วยเหลือประชาชน” ไม่มี”แถลงการณ์” เพื่อ”ประณาม”การกระทำของ”บีอาร์เอ็น” แม้แต่องค์กรเดียว ผิดกับการ”ตาย”ของ”ฆาตกร” ที่”ฆ่าคน,วางเพลิง” ที่ถูกเจ้าหน้าที่”วิสามัญฆาตกรรม” ที่”กลุ่มคนเหล่านี้”ต่างออกมา”แถลงการณ์” ด้วยความ”เป็นห่วงเป็นใย” เอ๊ะ อะไรเกิดขึ้นกับ สังคมของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ทำไม”โจร”จึง”สำคัญ”กว่า”เจ้าหน้าที่รัฐ

ตายแล้ว 1 ศพ กับ”มาตรการ”ปิด”ท่าข้าม 7 ท่า” ซึ่งเป็น”ท่าผ่อนปรน” ในการ”เข้าเมือง” โดยต้องใช้”หลักฐาน” ระหว่าง”คนไทย”กับ”คนมาเลเซีย”ด้านของ”รัฐกลันตัน”ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่ง”หัวหน้าที่ตำรวจรัฐกลันตัน” ประกาศ”จับจริง” และ”ดำเนินคดีกับ” ผู้ที่”ข้ามชายแดน” ใน 7 ท่าข้ามของ”แม่น้ำสุไหงโก-ลก ทำให้มีผู้”ลักลอบเข้าเมือง” ถูก”ไล่ยิง” และ”ว่ายน้ำหลบหนี” จนเสียชีวิต รวมทั้งมี”คนไทย” ถูก”จับกุม”ไปดำเนินคดีแล้ว จำนวนหนึ่ง เรื่องทั้งหมด”หน่วยงานของรัฐ” ไม่มี”หน่วยไหน” เปิดเผยข้อเท็จจริง รวมทั้งจะให้การ”ช่วยเหลือ” คนไทยที่ถูก”จับกุม” อย่างไรบ้าง นี่แสดงว่าเราไม่มี”เจ้าภาพ” ในเรื่อง”ระหว่างประเทศ” อย่างนั้น ใช่หรือไม่…..เมื่อ”สถานการณ์”ของ”ไฟใต้” ใน”สายตา”ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” ยังเห็นว่าเป็นเรื่อง”ปกติ” และไม่มีการ”ปรับเปลี่ยน” นโยบายในการ”ดับไฟใต้” เพราะมีความเห็นว่า” สถานการณ์ดีขึ้น” ความ”รุนแรงลดลง”การ”ดับไฟใต้” ไม่ต้องใช้”ยาแรง” และ”รัฐบาล” ยัง”มุ่งเน้น”ไปยังเรื่องของ”เศรษฐกิจ” เรื่องการ”พัฒนาพื้นที่” เพื่อแก้ปัญหา”ความยากจน” และการ”ว่างงาน” ดังนั้นการเดินทางไป”เยือนประเทศมาเลเซีย” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และคณะ เพื่อพบปะหารือกับ” อันวาร์ อิบราฮิบ” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย “กรอบการเจรจา” จึงอยู่ที่”ความร่วมมือ” ในด้าน”การค้า เศรษฐกิจ สังคม” เพื่อการ”เพิ่มมูลค่า” การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับที่”เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งพ้นตำแหน่ง เคยไปเยือน และ “เจรจาความเมือง”กับ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนรีของประเทศมาเลเซียมาแล้ว และก็ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น

วันนี้ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ไม่ใช่เรื่องของ”เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน”  แต่เป็นเรื่องของ”ความไม่สงบ” เมื่อ” รัฐบาลเพื่อไทย” ไม่เข้าใจ”โจทย์” ที่”แท้จริง” จึง”ตีโจทย์ผิด” ไป”เจรจาความเมือง” ในเรื่อง” เศรษฐกิจ-การลงทุน” แทนที่จะไป”เจรจา”เรื่องการ”ดับไฟใต้” ซึ่งต้องขอให้”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรี”ของ”ประเทศมาเลเซีย” บอกให้” มุขมนตรีรัฐกลันตัน” และ”พรรคพาส” หยุดการ”สนับสนุน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” หยุดการใช้”บีอาร์เอ็น” ใช้”ฐานที่มั่น” เพื่อการ”ฝึกอาวุธ” และ”ส่งกำลังบำรุง และส่ง”อาวุธยุทโธปกรณ์” จาก”รัฐกลันตัน”มาเพื่อ”ก่อการร้าย”ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่”ต่างหาก” คือเรื่องที่”แพทองธาร” ชินวัตร” และ”สหายใหญ่” อย่าง”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ควรทำ เพื่อหยุดการ”โหมไฟใต้” จาก”ขบวนการบีอาร์เอ็น” เชื่อ เถอะ การที่”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี นำคณะ ในพบกับ”อันวาร์ อิบราฮิบ” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ครั้งนี้จึง”สูญเปล่า” ทั้ง”งบประมาณ” และ”เวลา” สู้เอา”เวลา” ลงพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อพบปะ”ประชาชน” และ”ติดตามสถานการณ์” ทั้งเรื่อง”การฟื้นฟูน้ำท่วม” และ”สถานการณ์ความไม่สงบ เพื่อลบคำ”ครหา” จาก”ประชาชน” ในพื้นที่ ว่า”นายกรัฐมนตรี” อ้าง”ไม่มีเวลา” ในการมา”ตรวจราชการ” ในขณะที่เกิด”อุทกภัย” เป็นเรื่อง”ไม่จริง” ยังจะดีกว่า….. และ สิ่งที่ “ติดตามมา”ที่เป็น”ประเด็นทางการเมือง” ในวันที่”นายกรัฐมนตรี” และคณะไปเยือน ประเทศมาเลเซีย คือการ”เรียกร้อง”ของ”คณะโฆษก”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่”เร่งเร้า” ให้”รัฐบาล” เร่งดำเนินการ”เจรจาสันติภาพ” ตามกรอบของ”ข้อตกลง JCPP” โดยเร็ว โดยมีการ”ข่มขู่”ว่า หาก”รัฐบาล”ไม่ ดำเนินการ “บีอาร์เอ็น” ถือว่า”รัฐบาล”ไม่มีความ”จริงใจ” ในการแก้ปัญหา”ความขัดแย้ง” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ อาจจะมีการ”ก่อเหตุความรุนแรง”เพิ่มขึ้น เอ๊ะ นี้”บีอาร์เอ็น” กำแหง ถึงขึ้นการ”ข่มขู่ รัฐบาล แล้ว หรือนี่

ที่สำคัญคำว่า” สถานการณ์”ความไม่สงบ”ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”รัฐบาล”บอกว่า”ดีขึ้น” ดีตรงไหน ดีจริงหรือ  “กระทรวงกลาโหม,กระทรวงมหาดไทย ผบ.ทบ. ,ผบ.ตร.” ไม่ลองถาม”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่”กล้าพูดความจริง” เหมือนกับ”พูดกับผู้เขียน” เพื่อให้”เห็นภาพ” ของ”ฝ่ายการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ในห้วงที่เกิด”อุทกภัย” ซึ่ง”ฝ่ายความมั่นคง” และ”ฝ่ายปกครอง” ต้องสู้กับ” ขบวนการบีอาร์เอ็น” ในการ” แย่งชิงมวลชน” ทุกรูปแบบ ตั้งการการ”รับบริจาค” เพื่อช่วยเหลือ”มวลชน” ของ”บีอาร์เอ็น” การ”ช่วยเหลือหลังน้ำลด” และ”อื่นๆ ที่”ฝ่ายการเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ทำกันอย่างเป็น”ขบวนการ” ดังนั้น” สถานการณ์”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ดีขึ้น”จริงหรือไม่ ไม่ใช่วัดกันที่เรื่อง”การก่อเหตุ” แต่วัดกันที่เรื่องของ”การเมือง” เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญที่”เสนาบดี”ในกระทรวงที่เกี่ยวข้องต้อง”รับรู้” และต้อง”รู้จริง”…..การ”รู้ไม่จริง” และ”เชื่อว่า” สถานการณ์ของ”ไฟใต้” ลดลง นำไปสู่การ”ตัดงบประมาณ” ของ”หน่วยงานความมั่นคง” ลงปีละ 10 % หลายหน่วยงาน  โดยเฉพาะ”ตำรวจ” ที่มีหน้าที่ในการต้องมี”เครื่องไม้ เครื่องมือ” ต้องมี”กำลังพล”ที่เพิ่มขึ้น และต้อง”พัฒนาประสิทธิภาพ” ของหน่วย เพื่อให้มีความ”เท่ากัน” กับการ”พัฒนาการ”ของ”กองกำลังขบวนการแบ่งแยกดินแดน”  หน่วยงานเหล่านี้คือ “หน่วยงาน”ที่ได้รับ”ผลกระทบ” จากการ”รู้ไม่จริง” และเชื่อว่า” สถานการณ์”ของ”ไฟใต้”ลดความรุนแรงลง และ นี้คือ”กับดัก” ที่”บีอาร์เอ็น” วางไว้ นั่นเอง

ติดตามดูการทำงานของ”โชตินรินทร์ เกิดสม “ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ที่”รับมือ” กับปัญหา”น้ำท่วม” ได้อย่างมี”ประสิทธิภาพ” และ”รวดเร็ว” รวมทั้งการได้ “รอง ผวจ.” อย่าง “วิทยา จันทน์เสนะ” และ “คณิตา ราษฎร์นุ้ย” ที่เป็น”คนรุ่นใหม่” และที่ สำคัญมี”เศวต เพชรนุ้ย” รองผู้ว่าฯ ผู้มีความรู้ในเรื่อง”ความมั่นคง” อยู่ด้วย ก็น่าที่จะทำให้การ “พัฒนา” และการ”แก้ปัญหา”ของ”จังหวัดสงขลา” เป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะเรื่องของ”โพงพาง” ที่”รุกร่องน้ำการเดินเรือ” และเป็นเครื่องมือ”ประมงผิดกฎหมาย” ที่”หมักหมม”มานานเป็น 10 ปี  คงจะได้มีการ”แก้ไข” สมัยของ”โชตินรินทร์ เกิดสม เพื่อให้”คนสงขลา” ได้มีความ”เชื่อมั่น” ว่า”นักปกครอง”ที่ไม่ตกอยู่ใต้”อิทธิพล”ของ”นักการเมือง”และ”นักเลง” ยังมีอยู่ใน”กระทรวงมหาดไทย….. แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ศึกเพื่อนบ้านรอบด้าน วัดกึ๋น รัฐบาลเพื่อไทย

เรื่องของ”การเมือง” เรื่องของการ”บริหารประเทศ” รัฐบาล”ที่”เก่ง” และ”เก๋า” ต้องมีทั้งเรื่องของ”ศาสตร์” และ”ศิลป์” แต่ “รัฐบาล” ที่มี”เพื่อไทย”เป็น”แกนนำ” มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายรัฐมนตรี” มี” สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็น”นายกน้อย” และมี”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”กุนซือ” ยังบริหารงานแบบ”ไร้ทิศทาง” เพราะไม่มีทั้ง”ยุทธศาสตร์” และ”ศิลปะศาสตร์”ในการ”บริหารประเทศ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึง”อีรุงตุงนัง” ไปหมด …. เช่นเรื่องของการ”โยนหินถามทาง” จาก” เสนาบดีกระทรวงการคลัง” เรื่องการ”ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม”หรือ” VIT” ที่มีการ”นำเสนอ” ในห้วงเวลาของ”เศรษฐกิจ” ของประเทศอยู่ในห้วงเวลา”หน้าสิ่วหน้าขวาน” ไม่มี”รัฐบาลไหน” เขาทำกัน แต่ถ้า”รัฐบาล” จะขึ้น”ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ต้องประกาศขึ้นในขณะที่”เศรษฐกิจ” ของประเทศเป็น”ขาขึ้น”  มีการ”ขึ้นค่าแรง” ให้กับ”ประชาชน” และการขึ้น”ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ต้องขึ้นแบบ”ขั้นบันได” ไม่ใช่ขึ้นเป็น”ก้าวกระโดด” เพราะ”รัฐบาล” ขาดทั้ง”ศาสตร์” และ”ศิลป์” ในการ”บริหารประเทศ” การ”โยนหินถามทาง” เพื่อ”หารายได้เข้าคลัง” ของ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง” จึงทำให้”รัฐบาล”ต้อง”ยะญ่ายพ่ายจะแจ” แบบ”หมดรูป” ที่สำคัญจะเห็นว่า” รัฐบาล” ที่มี”เพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” ไม่ว่าจะ”พูด”จะ”ทำ” อะไร ก็จะถูก”ต่อต้าน” ไปเสียทุกอย่างโดยมี”สื่อโซเชียล” เป็นผู้”ปลุกกระแส” ก็ต้องถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้” แพทองธาร ชินวัตร” จะนำประเทศ”ก้าวไปข้างหน้า” ได้อย่างไร…..เท่าที่สังเกตุได้ “เพื่อไทย” เป็นพรรคการเมืองที่มี”กูรูกฎหมาย” และ”นักประชาสัมพันธ์มืออาชีพ” มากมาย แต่”สนามรบ”ด้านของ”กฎหมาย” และสนามรบ”ด้านของ”สงครามข่าวสาร” กลับ”อ่อนด้อย” เหมือน”พรรคการเมือง” ที่”ด้อยประสบการณ์” งง อย่างว่า งง”

ก็ต้องถาม”ขุนคลัง” ของ”เพื่อไทย” ว่า เมื่อการขึ้นภาษี”มูลค่าเพิ่ม” ทำไม่ได้เพราะ”ทำไม่เป็น” และ”ประชาชนไม่เห็นด้วย”รัฐบาล” จะมี”นโยบาย” อย่างไรในการ”หาเงิน”เพื่อเป็น”รายได้”ให้กับประเทศไทย และ “นโยบาย”การให้”สถาบันการเงิน” ปล่อยกู้ และการ “ลดหนี้” เพื่อแก้ปัญหาของ”หนี้ครัวเรือน”จะเป็น”ทางออก” ของการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ”ได้จริงหรือไม่ เนื่องจาก วันนี้ “คนไทย” ไม่มีความ”มั่นใจ” กับวิธีการการแก้ปัญหา”ความยากจน” และการใช้นโยบายในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของ”เพื่อไทย” เพราะ ที่ทำมาแล้ว”แป็ก” ทุกเรื่อง แม้แต่การ”แจกเงิน” ให้ประชาชนคนละ 10,000 บาท ที่แจกไปแล้วก็ไม่”ส่งผล” อะไรในการการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ส่วนที่จะแจกอีก 10,000 บาท ให้กับผู้ที่อายุ 60 ปี ขึ้นไป ก็ยัง”ลูกผีลูกคน” จน”รัฐบาล” ต้องออกมา”ขอโทษประชาชน” ที่อาจจะ”ล่าช้า” นี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาล”ไม่พร้อม” และ”ถังแตก” ที่สำคัญ”แจกแล้ว” จะเป็นการก็ไม่ได้เป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” แต่เป็นการ”กระตุ้น” คะแนนนิยมให้กับ”เพื่อไทย” และ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เพื่อผลของการ”เลือกตั้ง” ในอนาคต  และยังมีการ”ออกข่าว” ว่าจะมีการ”แจกเฟส 2 แจกเฟส 3” ให้กับ”กลุ่มอื่นๆ” ก็คงจะเป็น”นโยบาย”ของการ”แจกไปเรื่อย” ( ถ้ามีเงิน ) จนกว่าจะมีการ”ยุบสภา” เพื่อการ”เลือกตั้ง” ครั้งใหม่ หรือนี่เป็น”นโยบาย”ของการ”หาเสียงของ”เพื่อไทย” แต่ก็ถือเป็น”โชคดี”ของ”เพื่อไทย” ที่”พรรคการเมืองอื่นๆ” รับได้ และไม่คิดว่าถูก”เอาเปรียบ” ในทาง”การเมือง”

รัฐบาลนี้เป็น”รัฐบาล”ที่มีแต่เรื่อง”พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” เรื่องของ”เศรษฐกิจ” ก็ยัง”มะงุมมะงาหรา” หาทางไป”ไม่เป็น” ยังมีเรื่องของ”ความมั่นคง” เรื่องความ”ระหองระแหง”กับเพื่อนบ้าน”ทุก”ทิศทาง” เรื่องของ”เกาะกูด” กลายเป็น”เรื่องใหญ่” ที่” เสี่ยอ้วน”หรือ”สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งรั้งตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ควบ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” และยังทำหน้าที่”นายกน้อย” คอยประกบ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี อยู่”ไม่ห่าง” ก็ไม่สามารถ”เปล่งประกาย” ของ”มืออาชีพ” ให้เห็น ว่าจะต้องมีการ”เจรจา”กับ”ผู้นำของ”ประเทศกัมพูเจีย”หรือ “อาณาจักร”ของคน”ตระกูลฮุนเซ็น” อย่างไร “ประเทศไทย” จึงจะไม่”เสียเปรียบ” ตั้งแต่เกิดเรื่อง”เกาะกูด” ”รัฐบาล” ดูเหมือนจะ”ตื้อๆ” กับเรื่องของ”เกาะกูด” แบบที่”ประชาชน” เข้าใจว่ามีเรื่องที่”ไม่ชอบมาพากล” ในเรื่องของ”เอ็มโอยู 44” ที่ถูก” เขมรเอาเปรียบ” หรือ”รัฐบาล” ในขณะนั้น ยอมให้”เขมรเอาเปรียบ” โดยอาจจะมีอะไรที่”ซ่อนอยู่”ภายใต้”เอ็มโอยู 44” จึงทำให้”รัฐบาลเพื่อไทย” ในวันนี้”กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” โดยพูดเพียงว่า เรื่องของ”เกาะกูด” ถ้าขาดการ”ระมัดระวัง” อาจจะต้องถึงมือของ”ศาลโลก” เช่นเดียวกับกรณี”เขาพระวิหาร” ก็ถ้าเรา”มั่นใจ” ใน”สนธิสัญญา” ที่ทำไว้กับ”ฝรั่งเศส” และ”เรื่อง”ไหล่ทวีป” ที่”ถูกต้อง” และ”กัมพูชา” เป็นฝ่ายผิด จะกลัวอะไรกับการ”เจรจา” และการ”ขึ้นศาลโลก” ยกเว้นว่า “เอ็มโอยู 44” มีอะไรที่”ลึกล้ำ” และ”ซ่อนเร้น” กว่าการเป็น”เอ็มโอยู” ที่เป็นเรื่อง”ธรรมดา” ที่เป็นแค่”บันทึกช่วยจำ” สามารถ”ยกเลิก”ได้ ทั้งการ”ยกเลิกฝ่ายเดียว” และการยกเลิกโดยการ”ยินยอม” ทั้งสองฝ่าย

เรื่อง”เกาะกูด”ยังไม่ทันไรได้ข้อ”ยุติ” ก็มีเรื่องทหารของประเทศเมียนมา “ยิงเรือประมงไทย” ยึดเรือ จับกุมลูกเรือ ซึ่งจนป่านนี้”ยังไม่ชี้ชัด” ว่า”ใครผิดใครถูก” เรือประมงไทย”เข้าไปจับปลาในน่านน้ำเมียนมา” หรือ”ทหารเรือเมียนมาเข้ามายิงและจับกุมเรือประมงไทยในเขตน่านน้ำไทย” หรืออย่างไร วันนี้”ลูกเรือ” ส่วนหนึ่ง ยังถูก”ควบคุมตัว” อยู่ในประเทศเมียนมา นอกจากเรื่อง”ทหารเมียนมายิงเรือประมงไทยและจับลูกเรือพร้อมยึดเรือประมง” ด้าน จังหวัดระนองแล้ว  วันนี้ “ไทย” ยังมีปัญหาการถูก”กลุ่มชาติพันธุ์ว้าแดง” ใน”ชายแดนด้านภาคเหนือ” ที่”บุกรุกยึดพื้นที่ไทยเป็นฐานที่มั่น” ซึ่งผ่านไปแล้ว หลายสัปดาห์ “รัฐบาล” ยังไม่สามารถ”ผลักดัน” ให้”กลุ่มว้าแดง” ออกจาก”พื้นที่แนวชายแดน”ของ”ประเทศไทย”ได้ สำหรับ”ว้าแดง” มีความ”สัมพันธ์”ทั้งกับ”จีน” และ”รัฐบาลเมียนมา” และที่”สำคัญ” กลุ่มว้าแดง” คือผู้”ผลิตยาเสพติดรายใหญ่” ที่อาศัยอยู่ใน”ประเทศเมียนมา”…..ส่วนในพื้นที่”ตอนใต้”ของ”ประเทศ” วันนี้”ผู้ปกครองรัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย” ประกาศว่า”ท่าเรือข้ามฝาก” ทั้ง 7 ท่า ที่ตั้งอยู่ในเขต”เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ซึ่งใช้เป็น”ท่าข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก ระหว่าง”ฝั่งไทย”กับ”กลันตัน” เป็น”ท่าข้ามที่ผิดกฎหมาย” และจะ”จับกุม” ผู้”ข้ามฟาก”ทุกคน ทั้ง”คนไทย” และ”คนมาเลเซีย” ตาม”กฎหมายคนหลบหนีเข้าเมือง” ทั้งที่”ท่าข้าม”ตามธรรมชาติ” เหล่านี้ เปิดใช้มานานนับสิบๆปี ถามว่าอะไรเกิดขึ้นกับ”ประเทศไทย” ทำไม”เพื่อนบ้าน” ทุดด้านจึงมี”ปัญหา”กับ “ประเทศไทย” ในขณะที่”รัฐบาล”ชุดนี้เข้ามา”บริหารประเทศ” ดังนั้นจึงมีผู้ตั้งขอสงสัยว่า”ในกอไผ่” น่าจะมีอะไรที่มากกว่า”หน่อไผ่” อย่างแน่นอน เรื่องนี้”ทุกคน”ต้อง”ช่วยค้นหาคำตอบ”

ในขณะที่ชายแดนฝั่งของ”สปป.ลาว” ก็ไม่ใช่จะไม่มีปัญหา เพราะหลายวันก่อน “ภาคประชาสังคม-ภาคประชาชน-เอ็นจีโอ-ผู้นำท้องถิ่น-ผู้นำท้องที่” ก็ออกมา”ชุมชุม” เพื่อ”เรียกร้อง”ให้” สปป.ลาว” และ”จีน” หยุดการ”สร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้า” ใน”แขวงอุดมไชย” ซึ่งห่างจาก อ.เชียงของ จ.เชียงรายเพียง 96 กิโลเมตร เพราะหากมีการ”สร้างเขื่อน” เพื่อ”กั้นแม่น้ำโขง” ตรงแขวงอุดมไชย” จะทำให้”น้ำเท้อ”ใน “ ลำน้าอิง, ลำน้ำ” และ” ลำน้ำงาว”  สร้างความเสีย ให้กับพื้นที่ทำการเกษตร และทำให้ “เกาะแก่ง” ต่างๆ ใน “แม่น้ำโขง” ใน ฝั่งไทยของ จ. เชียงราย เช่น “แก่งผาได” และ”หาดบ้านดอนมหาวัน” จมใต้น้ำ  มีการร้องให้”รัฐบาล”ให้ “การไฟฟ้าฝ่ายผลิต” ( กฟผ ) ทบทวนการทำสัญญาซื้อ”ไฟฟ้า” จาก” เขื่อนอุดมไชย”  เพื่อ หยุดความ”เสียหาย” ที่จะเกิดขึ้นหลังมีเขื่อนดังกล่าว สรุปแล้ว วันนี้”รัฐบาลไทย” ภายใต้การบริหารจัดการประเทศไทยของ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านทุกด้าน “ทักษิณ ชินวัตร” กุนซือใหญ่” ของ”พรรคเพื่อไทย” จะแก้อย่างไรก็อย่า”เยื้นเย้อ” เพราะยิ่งนานยิ่ง “เสียหาย”

ล่าสุด พล.ท. สุรเทพ หนูแก้ว  ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5  กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  นำ”สื่อส่วนกลาง” ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการ”รับรู้สถานการณ์ความเป็นจริง”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งจะ”สนับสนุนงานการข่าว” ให้”สื่อมวลชนส่วนกลาง” ได้เห็นรู้ข้อเท็จจริง จะได้ไม่กลายเป็น” เครื่องมือ” ของฝ่าย”การเมือง(บางกลุ่มบางพรรค) และ “เอ็นจีโอ” รวมทั้ง”ปีกการเมือง”ของ” บีอาร์เอ็น” ที่”แฝงกาย” ภายใต้ชื่อ”ภาคประชาสังคม” ในการ”บิดเบือนข้อเท็จจริง” ให้”สื่อสวนกลาง” เข้าใจผิด ในเรื่องของ”สถานการณ์”ของ”ไฟใต้” ที่”สื่อ” ( บางคน ) ยังมอง ว่าปัญหา”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มาจากเรื่อง”ความไม่เป็นธรรม” ที่คน”มุสลิม” ในพื้นที่ได้รับการปฏิบัติจาก”ข้าราชการ” ทั้งที่ โดยข้อเท็จจริง  คน”มุสลิม” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ได้รับการ”ดูแล” และ”เอาใจใส่” รวมทั้งได้รับ”สิทธิพิเศษ” มากกว่าคน”ไทยพุทธ” ที่อาศัยอยู่ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” นาๆนับประการ จนเป็นเหตุให้”คนไทยพุทธ” น้อยใจ และ เห็นว่าวันนี้”ไทยพุทธ” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ”คนกลุ่มน้อย” ที่ขาดความ”เท่าเทียม” กับคน”มุสลิม” ที่กลายเป็น”ส่วนใหญ่” ในพื้นที่ ก็หวังว่าการที่” เดอะจ้อย”พล.ท. สุรเทพ หนูแก้ว “ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กอ.รมน.” นำ”สื่อส่วนกลาง” ลงพื้นที่ใน” จังหวัดชายแดนภาคใต้” ครั้งนี้ จะเป็น”ประโยชน์” กับการ”ดับไฟใต้” โดย”งบประมาณ” ไม่”สูญเปล่า” อย่างที่ เคยเกิดขึ้น

ส่วนในพื้นที่ วันนี้ มี”ปรากฎการณ์”ที่เป็น”เชิงบวก” เกิดขึ้น อย่างน้อย 2 อย่าง เช่น”มุขมนตรีคนใหม่” ของ”รัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย ประกาศที่จะ”ไม่อนุญาต” ให้มีการข้ามประเทศใน”ช่องทางธรรมชาติ” ใน “แนวแม่น้ำสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส เพื่อป้องกัน”อาชญากรรมข้ามชาติ” เช่นการ”ค้ายาเสพติด” และ”การค้าสินค้าเถื่อน” ทั้งที่ไปจาก”ประเทศไทย” และที่มาจาก”ประเทศมาเลเซีย” โดยมีการกำหนดวัน”ดีเดย์” คือวันที่ 1 ธันวาคม 2567  ใครที่ใช้”ท่าข้ามธรรมชาติ” จากจาก”รัฐกลันตัน” มายัง ประเทศไทย และ ใครที่ข้ามจาก”ประเทศไทย”ไปยัง”รัฐกลันตัน” จะถูก”จับกุม” โดย “เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” ในข้อหา”เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” ซึ่งทางที่ถูกต้อง” เมื่อ”รัฐบาลไทย” ไม่มีการ”เคลื่อนไหว” ใดๆกับ”สัญญาญเชิงบวก” ที่มาจาก” ผู้นำรัฐกลันตัน”  กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ฝ่าย”ปกครอง” หมายถึง” ผวจ.นราธิวาส” ต้องรีบ”ตอบรับ” และต้องมีแผนที่”สอดประสาน” กับการ”ปิดช่องทางธรรมชาติ” ที่เป็น”ท่าข้ามเถื่อน” โดยการ”ร่วมมือ”ระหว่าง” เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น” ของ” ทั้งสองประเทศ” โดยทันที เพราะ นี้คือการ”แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ” ที่ได้ผล โดยที่”ฝ่ายไทย” ไม่ต้อง”ลงทุน” และไม่ต้อง”ขัดแย้ง” กับ”คนในพื้นที่” และ”นักการเมือง” ที่”คัดค้าน”การสร้าง”รั้วชายแดน” เพื่อแก้ปัญหา”ช่องทางเถื่อน” ในการ”ข้ามไป-มา” ของคนทั้ง “สองประเทศ” ใน”แนวชายแดน” ซึ่งหาก”รัฐกลันตัน”  ทำจริง  ปัญหา”ยาเสพติด,ปัญหา”แรงงานเถื่อน” จะเป็น สองเรื่องใหญ่ ของ จังหวัดนราธิวาส จะได้”เบาบาง” ลงได้บ้าง ก็ต้องบอกว่า”อานิสงส์” ของเรื่องนี้เกิดจากที่”ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส จับกุม”นักร้องสาวชื่อดัง และพวกรวม 6 คน” ที่ข้ามมาเพื่อ ซื้อยาเสพติด” และตั้งวง”เสพยา” ในโรงแรมแห่งของ ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก และถูก”สื่อมวลชน” นำเสนอข่าว”โด่งดัง” ทั้งใน”มาเลเซีย” และ” อินโดนีเซีย” จนทำให้” มุขมนตรีรัฐกลันตัน” ประกาศ”ปิดท่าข้ามเถื่อน” หรือ”ช่องทางธรรมชาติ” ในที่สุด

ส่วน “สัญญาณเชิงบวก” อีกเรื่อง คือการที่” องค์กรกาชาดระหว่างประเทศ” หรือ” ICRC “ ที่เข้ามา”แทรกแซง” กิจการภายในของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”กว่า 10 ปี ได้”ถอนสมอ”  ออกจากพื้นที่ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่”หัวหน้าคณะทำงาน”ของ”ไอซีอาร์ซี” ได้”เดินสาย” เพื่อเข้า”อำลา” ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เป็น”สัญญาณ” ที่”บอกเหตุ” ว่า สถานการณ์ของ”ไฟใต้” จะ”ดีขึ้น”  เมื่อ”องค์กรต่างชาติ” จาก”ชาติตะวันตก” หยุดการ”แทรกแซง” ทั้ง 2 เรื่อง เป็นเรื่องที่ถือเป็น”ข่าวดี” สำหรับ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ ที่หลังเข้ารับ”ตำแหน่ง”เป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 “ ก็มี”สัญญาณเชิงบวก” โดยไม่ต้อง”ออกแรง”…..และอีกเรื่องที่” พล.ท. ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 เดินมา”ถูกทาง” ในการ”ดับไฟใต้” นั้นคือการที่”สื่อสารกับสังคม” ในเรื่องของ”สถานการณ์จริง” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ใน รอบ 20 ปี ที่มีการ”บอกความจริง” ว่า”เหตุร้าย” ทั้งหมด ใน 20 ปี มาจากการ”กระทำ”ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่มี”เป้าหมาย” เพื่อการ”แบ่งแยกดินแดน” ซึ่งการออกมา”สื่อสารความจริง” นอกจากจะทำให้”ประชาชนตาสว่าง” แล้ว ยังเป็นการ”ปอกเปลือก” และ”เปิดโปง” ขบวนการ”บีอาร์เอ็น” ให้ สังคมได้”รู้จัก” และได้”รับรู้” ถึงความ”เลวร้าย” ในฐานะที่”บีอาร์เอ็น” คือ”ฆาตรกร” ในการ”สังหาร” ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ถึง 5,000 กว่า ศพ มีผู้ที่”รับบาดเจ็บ” จาก” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” เกือบ 20,000 คน และยังมี”ผลพวง” ที่เป็น”ภาระกับสังคม” นั้นคือ”คนพิการ,หญิงหม้าย” และ”เด็กกำพร้า” อีก จำนวนมาก “เปิดโปง” กันขนาดนี้ถ้า”คนในพื้นที่” ยัง”ยกย่องบูชา” และยังให้การ”สนับสนุน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ต่อไป ก็นับได้ว่านั่นคือ” เสี้ยนหนาม” ของ”แผ่นดิน”

วันก่อน “ผู้เขียน” ได้มีโอกาส”สอบถาม” เรื่องการประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” จาก” เสี่ยอ้วน”หรือ” สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย “รองนายกรัฐมนตรี” และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ถึงความ”คืบหน้า” ในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ตอบว่า มีผู้นำเสนอ และเป็นเพียง”แนวทาง” ที่ยังไม่”ตกผลึก” ยังต้องมีการ”ศึกษาถึงผลได้ผลเสีย” ที่จะเกิดขึ้นหากมีการประกาศให้” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” แต่อีก”แนวทาง” ที่มีโอกาสที่เป็นไปได้ นั้นคือการประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”อาชญากรรมข้ามชาติ” ซึ่งมี”กฎหมาย”ในการ”รองรับ” และ”จัดการ” กับ”บีอาร์เอ็น” โดยไม่ต้อง”ยกระดับ” ให้เป็น”องค์กรก่อการร้าย”…..แต่ใน”มุมมอง” ของ”รัฐบาล” ยังให้”น้ำหนัก” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ในเรื่อง”เศรษฐกิจ,การลงทุน” และการ”สร้างอาชีพ” การ”พัฒนาคุณภาพชีวิต” ของคนในพื้นที่  ซึ่งยังเป็นการมองปัญหาในพื้นที่ว่าเกิดจากความ”ยากจน” เกิดจากการ”ว่างงาน” และ”รัฐบาล” จะมีการ”ส่งเสริม” เรื่อง”อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล” เรื่องของ”ปศุสัตว์”  ที่มองว่า”ผลผลิต”เหล่านี้มี”ตลาดรองรับ” ก็ไม่เถียง” ในเรื่องของ”ตลาดรองรับ” หากมีการ”ผลิต” แต่ “โจทย์ยาก” ที่ทุก”รัฐบาล”แก้ไม่ตก” และ”ล้มเหลว” มาโดยตลอด คือเรื่องของ”คนในพื้นที่” ซึ่งไม่”ตอบรับ” กับ”โจทย์” ของ”รัฐบาล” เรื่อง”อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล” พูดกันมาไม่น้อยกว่า 10 ปี วันนี้ก็เป็นเพียง”ลมปาก” เรื่อง”ปศุสัตว์” โครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ที่มีการ”ผลักดัน” และ”คาดหวัง” จาก” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ครั้งที่ “พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เป็น” เลขาธิการ ศอ.บต. วันนี้ “เดินต่อไม่ได้” กลายเป็นโครงการที่”ล้มเหลว” มีการ”ร้องเรียน” ว่ามีเรื่อง”ทุจริต” มีการ”สอดไส้” โครงการ   ซึ่งมีการ สรุปว่านอกจากเรื่องที่ “เกษตรกร” ผู้”ร่วมโครงการ”ออกมา”กล่าวหา” หน่วยงานของรัฐ” แล้ว ยังพบว่า”เกษตรกร” ที่เข้าร่วมโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ใน โครงการดังกล่าว และสุดท้าย”นำมาสู่ความ”ล้มเหลว” ของโครงการ ถ้าปัญหาเหล่านี้ยัง”แก้ไม่ได้” ทุกโครงการที่เข้ามาก็จะมี”ปัญหา” อย่างที่เกิดขึ้น ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”ต้อง”พัฒนาคน” เป็น”อับดับแรก” และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการ”ศึกษา” แต่” กระทรวงศึกษาในยุคที่” พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ” เสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ” ไม่เข้าใจใน”บริบท”ของ”การ”ศึกษา” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมองว่า”กระทรวงศึกษาธิการ”ไม่เกี่ยวกับเรื่องความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้  เฮ้อ กรรมของคนใต้

เรื่องความ”เดือดร้อนของประชาชน” ที่ใช้”บริการโทรศัพท์มือถือ” ทั้ง”สองค่าย” ที่”ควบรวมกัน” ซึ่ง ทุกคนที่ใช้”บริการ” ต่าง”โอดครวญ” กันทั้งประเทศว่า”หลังการควบรวม” การให้”บริการ ห่วยแตก” การใช้โทรศัพท์ไม่เสถียร การคิดค่าบริการแพงขึ้น  เรื่องของการ”โปรโมชั่น”ไม่มีแล้ว” อินเตอร์เน็ตสัญญาณ” แย่กว่าเดิม เรื่องนี้ต้องถามไปยัง” กสทช.” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ ควบคุมกำกับ “ค่ายโทรศัพท์ที่มีการควบรวมกัน” ว่า จะแก้ปัญหาการ”ร้องเรียน”ของผู้”บริโภค” อย่างไร และ “องค์กรผู้คุ้มครองผู้บริโภค” มี แนวทาง ในการแก้ปัญหาความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน” อย่างไร “กสทช.” ต้องออกมา”เปิดเผย”ด้วยว่า หลังจาก”รับเงิน” จากค่า”สัมปทาน” มาจาก” กลุ่มทุน” ที่มีการ”ควบรวม” แล้ว ได้”สั่งการ” ให้”กิจการ”ดังกล่าว ดำเนินการในการ”พัฒนาประสิทธิภาพ” ในการให้”บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ” อย่างไร หรือ หน้าที่ของ” กสทช.” แค่”รับเงิน” แล้วก็จบ โดยไม่ได้”ใส่ใจ” กับผู้ใช้”บริการ” อย่าง”ประชาชน” ทั่วประเทศ ที่ต้อง”เสียหาย” และเสีย”ประโยชน์” ถามว่า ถ้าการให้”บริการห่วยแตก”  จะมีการ”ยกเลิกสัญญาการควบรวม” ได้หรือไม่

เรื่องของ”พลังงาน”ในประเทศ ที่ต้อง”จับตา” วันนี้”ทัพพลังงาน” โดย”กลุ่มทุน” อย่าง” กัลฟ์เอนเนอยี” ซึ่งเป็น”เจ้าพ่อพลังงาน” และ”กันกุล” ที่เป็น”บริษัทลูก” รวมทั้ง”ไฟฟ้าราชบุรี” มีการ”เดินทัพ” สู่”ภาคใต้” เพื่อการ”ลงทุน” ในเรื่องของ”ไฟฟ้าโซล่าเซล” หรือ”โซล่าฟาร์ม” ครั้งใหญ่  โดย” กันกุล” คือ”เสือปืนไว” ที่”ซื้อที่ดิน” ใน”บ้างยางเกาะ ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อเป็น”ฐานการผลิต” ก่อนใครเพื่อน ซึ่งดูตาม”รูปการณ์”  การลงทุนด้าน”พลังงาน” กำลังเกิดขึ้น จำนวนหลายราย ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สงขลา เพราะพื้นที่ของ”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีการนลงทุนเต็มพื้นที่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือ” เอ็นจีโอ” มีการเตรียมที่จะ”เคลื่อนไหว” ดังนั้นถ้า”กลุ่มทุนไหน” มี”จุดอ่อน” เรื่องของ”มวลชน”  มี”กำแพงหลัง” ที่ไม่”เข็มแข็ง” การ”ขับเคลื่อน” ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ”ราบรื่น” อย่างที่คิด เตรียมรับมือไว้บ้างก็ดี เพราะ”เอ็นจีโอ”ภาคใต้ ต่างกับ”เอ็นจีโอ”ภาคอีสาน นะ จะบอกให้ …..และ ขณะเดียวกัน การ”ยื่นประมูล”พลังงาน 3,600 เมกกะวัตต์ ของ”กระทรวงพลังงานในครั้งนี้ ก็มี”คลื่นใต้น้ำ” ที่ไม่”ราบรื่น” เหมือนยุคของ”ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะมีการ”ร้องเรียน” มีการ”ต่อต้าน” จาก”กลุ่มทุนรายเล็ก” ที่เห็นว่า”เสียเปรียบ” กลุ่มอภิมหาทุน” จนทำให้การ”ประมูล” ที่ต้องเกิดขึ้นในเดือน ตุลาคม ที่ผ่านมา ต้องมีการ”เลื่อนออกไป” อย่างไม่มีกำหนด และ วันนี้ กลายเป็นเรื่อง”ปวดหมอง” สำหรับ” เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” อย่าง”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์”    ก็ต้องติดตามดูตอนต่อไปอย่าง อดีต”เปาบุ้นจิ้น” อย่าง”เสนาบดีพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” จะแก้”สมการ” ที่เกิดขึ้นอย่างไร เพื่อไม่ให้เรื่องของ”พลังงาน”กลายเป็นเรื่อง”ผูกขาด” จาก”กลุ่มทุนใหญ่” ที่ถูกมองว่ามีการ”กินรวบ” โดยไม่ยอมให้มีการ”แบ่งปัน”ในขณะที่”สังคมไทย”ต้องการเห็น”การแคร์แอนด์แชร์” เกิดขึ้นในทุก”ธุรกิจ”เพื่อให้เป็นเรื่องของ”ธรรมาภิบาล”

เช่นเดียวกับเรื่องการ”จัดสรรคลื่นความถี่” ของ”สถานีวิทยุ” ทั้งประเภทความถี่ธุรกิจระดับท้องถิ่น ( FM ) และ “วิทยุชุมชน” ที่ “ กสทช.” อยู่ระหว่างการ ดำเนินการ เรียกประชุม “ผู้ประกอบการ” เพื่อให้ทราบถึง”หลักเกณฑ์” ตาม”ข้อกฎหมาย” ในการ”ประมูลคลื่นความถี่” เพื่อรับ”ใบอนุญาต” ซึ่ง กำลังมีประเด็นที่”เจ้าของคลื่นความถี่เดิม” กำลังบอกว่าไม่ได้รับ”ความเป็นธรรม” เรื่องนี้ก็เป็นเรื่อง”สำคัญ” ที่” กสทช.” ต้องมองให้”รอบด้าน” เพราะ สังเกตได้ว่าผู้ที่”เข้าประชุม” ซึ่งเป็น”เจ้าของสถานีวิทยุ” ส่วนใหญ่เป็น”คนบ้านๆ” ที่มี”ข้อจำกัด”ในเรื่องของ”กฎหมาย” ในเรื่องของ”กฎระเบียบ” และที่สำคัญที่”กสทช. “ ต้อง”คำนึง” คือ” สถานีวิทยุ” เหล่านี้ เพราะ สถานีวิทยุ หมายถึง”หม้อข้าว” ที่เป็นที่มาของ”รายได้”ในการ”เลี้ยงครอบครัว” ของ”คนเหล่านี้” แม้จะไม่ใช่คน”กลุ่มใหญ่”ของ”สังคม” แต่ความ”เป็นคน” ต้อง”เท่ากัน”

เรื่องของ”ยางพารา” ที่”ราคาตกต่ำ” ทั้งที่”ผลผลิต”ออกสู่”ตลาด”ค่อนข้างน้อย” แต่ราคา”รูดทะราด” จาก” กิโลกรัมละ 80 กว่าบาท( น้ำยางสด ) เหลือเพียง 60 กว่าบาท ในเวลาเพียง 1 เดือน ได้สร้างความ”วิตกกังวล” ให้กับ”ชาวสวนยาง” เป็นอย่างยิ่ง  และเป็นการ”ตอกย้ำ” ให้เห็นว่า”ราคายางพารา” จะ”ขึ้น ลง” เป็นเพราะถูก” ต่างชาติ” เป็นผู้”กำหนดราคา” เป็นการ”ฉ้อโกง” แบบ”ไร้เหตุผล เพราะรู้กันอยู่ว่า “ วันนี้”ตลาดยางพาราจากทุกประเทศ” มีความต้องการ”ยางพารา” แต่ทำไมราคายางจึง”ตกต่ำ” ที่สำคัญ ณ วันนี้”พื้นที่ปลูกยางพารา” ใน”ภาคใต้” ถูก”แปรเปลี่ยน”ไปเป็นพื้นที่”ปลูกทุเรียน” และ” สวนปาล์ม” รวมทั้ง ปลูกพืชอื่นๆ เหลือที่เป็น”สวนยางพารา” ไม่มากแล้ว แต่ทำไมราคายางยัง”ตกต่ำ” นี้ก็ “สะท้อน” ให้เห็นถึง”ฝีมือ” การ”บริหาร”ของ”การยางแห่งประเทศไทย” ที่มี”เพิก เลิศวังพงษ์” เป็น”ประธานบอร์ด”ของ”การยางแห่งประเทศไทย” และ”เฉลิมชัย ศรีอ่อน “ เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าสุดท้ายแล้ว ก็ไม่ต่างกับ “เสนาบดี”ที่ผ่านมา ……ฟังว่า “การยางแห่งประเทศไทย” จะใช้งบประมาณ 800 ล้าน ในการ”ซับผลผลิตยางพาราจากตลาด” ด้วยการให้”เกษตรกร” นำ”ผลผลิต”ไป”ฝากกับโกดัง” ไว้ก่อน เพื่อ”รอขาย” ใน ห้วงเวลา” ที่”ราคายางขึ้นราคา” มาตรการ” อย่างนี้ ช่วยได้สำหรับ”เกษตรกร” ชั้นกลาง ที่มี”ฐานะ” และเป็น “แปลงใหญ่” แต่”ชาวสวนยาง” ระดับ” ปลายแถว” และคนงาน”ตัดยางจ้าง” ยังไม่ได้รับ”ส่วนบุญ – ส่วนแบ่ง” จาก “ผลกำไร” อย่างแน่นอน เพราะ “ชีวิต”ของ”เกษตรกร” ระดับ”ปลายแถว” และคน”ตัดยางจ้าง” ต้อง”ขายน้ำยางสด”ให้กับ”พ่อค้า”แบบ”วันต่อวัน” เพื่อ”ประทังชีวิต” นี้คือ”ข้อเท็จจริง” ที่คนบน”หอคอยงาช้าง” ไม่เข้าใจ ดังนั้น งบประมาณ 800 ล้าน จึงเป็นการ”ช่วยเหลือ”คนที่”รวยอยู่แล้วให้รวยยิ่งขึ้น ใช่ หรือไม่

มีคำถามจาก”ชาวจังหวัดสงขลา” ผ่านทาง”โซเชียลมีเดีย”ถึงผู้สมัครเป็น”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” ทั้ง 4 คน ของ จ.สงขลา ข้อ 1 มี นโยบายในการแก้ปัญหา”โพงพาง” ที่เป็น”เครื่องมือประมง” ที่”ผิดกฎหมาย”และยัง”รุกล้ำร่องน้ำเดินเรือ” ใน” ทะเลสาบสงขลา”อย่างไร และจะ”จัดการ”กับ”สุสานเรือประมง”ที่กลายเป็น”ทัศนะอุจาด”ใน”ทะเลสาบสงขลา” อย่างไร 2 จะ แก้ปัญหาการ”บุกรุก โบราณสถานเขาแดง” ใน อ.สิงหนคร อย่างไร 3 จะแก้ปัญหาเรื่อง”อควาเรี่ยมหอยสังข์สงขลา”ของ”วิทยาลัยประมง” ที่มีการ”ทุตริต” และถูก”ทิ้งงาน”ไปกว่า 15 ปี โดยไม่มีการดำเนินการใดๆ อย่างไร ก็ต้อง ติดตามว่า ผู้สมัครทั้ง 4 คน จะมีคำตอบให้กับ “คนสงขลา” แบบไหน แล้วอย่าลืม”จดจำ” เพื่อจะได้”ทวงถาม” หลังจากได้รับการ”เลือกตั้ง”……และ เรื่องทั้ง 3 ประเด็น ก็เป็น”เผือกร้อน” ที่ย้ายจากมือของ”อดีต ผวจ.สงขลา “สมนึก พรหมเขียว” มาอยู่ในมือของ”โชตินรินทร์ เกิดสม”  ผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ ของ จ.สงขลา ซึ่งหลังจากได้รับการ”โปรดเกล้าฯ” ก็คงจะเดินทางมารับ”หน้าที่” ในเร็วๆ นี้  และ ข่าวว่า “ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา”คนใหม่” ขอ”จองเก้าอี้” นายอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่”เกรดเอ” ให้กับ “นายอำเภอ” ที่ตนเอง”ไว้วางใจ” มาทำหน้าที่เป็น”มือขวา” ซึ่งจะมาจาก “อำเภอชายทะเล” ของ จังหวัดนครศรีธรรมราช ข่าวนี้จึงเป็นข่าวที่”ดับฝัน” ของ”นายอำเภอหลายคน”  แต่ จะไปได้หรือไม่อยู่ที่จะได้รับ”ไฟเขียว” จาก” เสี่ยหนู” หรือ”เสี่ยเน” หรือไม่ ดังนั้น”นายอำเภอ” ทุกคนจึงยัง”มีลุ้น”..…แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…หรือ ‘รัฐบาล’จะเข้าตาจน ส่งสัญญาณปรับขึ้น VAT

เศรษฐกิจของประเทศไทย กำลังเดินทางเข้าสู่”ตาจน” สังเกตได้จาก”ขุนคลัง” ของ”รัฐบาล” พิชัย ชุณหวชิระ” เสนาบดีกระทรวงการคลัง ออกมา”ส่งสัญญาญ” เพื่อขอปรับขึ้น”ภาษีแวต” จาก ร้อยละ 7  เป็นร้อยละ 10 โดยอ้างว่า  ทั่วโลกเขาเก็บกันที่ 15-25 %   ซึ่งหากมีการ”ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามที่”ขุนคลัง” ได้”โยนหินถามทาง” ประเทศไทย จะมีรายได้เข้ารัฐไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านจากการ”ถอนขนห่าน” ในครั้งนี้ ซึ่งก็ต้อง”ฟังเสียง” ของ”ผู้ประกอบการค้า” ว่าในภาวะที่”เศรษฐกิจฝืดเคือง” อย่างนี้การขึ้น”ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เขาจะ”แบกรับ”ไหวหรือไม่ เพราะแค่เรื่องการ”ขึ้นค่าแรง”วันละ 400 บาท ของ”กระทรวงแรงงาน” ที่”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน” เสนอมาแล้ว 2 ครั้ง 2 ครา ยังถูก”ผู้ประกอบการ” ออกมาแสดงความ”ไม่เห็นด้วย” จนเรื่องการ”ขึ้นค่าแรง” ยัง”คาราคาซัง” จนถึง ณ บัดนาว….และการหาทางออกจาก”วิกฤติเศรษฐกิจ” ของประเทศโดยการ”เลือก” ที่จะใช้วิธีการ”ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม” จาก 7 %  เป็น  10 %   แสดงให้เห็นว่า”รัฐบาล” ภายใต้การบริหารของ”พรรคเพื่อไทย” ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น “นายกรัฐมนตรี” หาทางออกจากปัญหา”เศรษฐกิจตกต่ำ” ด้วยการ”ค้าขาย”  เพื่อนำ”เม็ดเงิน” เข้าสู่ประเทศไม่เป็น ทางออกในการ หาเงินเข้ารัฐ จึงต้องขึ้น”ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ถ้า”ทีมเศรษฐกิจ” ที่ทำหน้าที่”ขุนคลัง” คิด”ง่ายๆ” และ”ตื้นๆ” ก็น่าเป็นห่วง ในการ”เติบโต”ทาง”เศรษฐกิจ” ของประเทศไทย

ที่สำคัญ การขึ้น”ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ของ”รัฐบาล” ในครั้งนี้ คนที่อยู่”ปลายน้ำ” คือ”ประชาชน” จะเป็นผู้”แบกรับ” เพราะ”สินค้า” ทุกชนิดจะมีราคาที่”เพิ่มขึ้น” ตามมูลค่าของ”ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ดังนั้นการขึ้น”ภาษีมูลค่า” ไม่ได้ทำให้”กลุ่มทุน” และ”พ่อค้า-นักธุรกิจ” เดือดร้อน”เพียงกลุ่มเดียว แต่”ชาวบ้าน” ต้อง”แบกรับ” ความเดือดร้อน” ทั้งหมดทั้งไว้เต็มๆ ในขณะที่”ค่าแรง” ยังไม่สามารถที่เพิ่มขึ้น เพราะ”กลุ่มทุน” มีการวางแผนในการ”สกัด” อย่างเต็มที่ ดังนั้นที่มีการ”พยากรณ์อาการ”ของ ประเทศไทยในปี 2568 ที่ว่าเป็นที่”เผาจริงๆ” จึงเป็นเรื่องจริงที่”ไม่อิงนิยาย” และไม่ใช่การออกมา”โจมตี” คณะรัฐบาลที่เป็นผู้บริหารประเทศ วันนี้”สถานการณ์ของ”ประเทศด้าน”เศรษฐกิจสังคม” มองไปทางไหนก็ยัง”มืดมน” มองไม่เห็น”แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ก็ไม่ได้”ตำหนิ” รัฐบาล”ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” เพียงอย่างเดียว เพราะรู้ดีว่าเรื่องของ”เศรษฐกิจ”ของประเทศมีการ”หมักหมม” มาตั้งแต่สมัยที่”ลูงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ เป็น “นายกรัฐมนตรี” แต่มา”ฝีแตก” ในสมัยที่” เพื่อไทย” เข้ามาทำหน้าที่เป็น” รัฐบาล” แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องเป็น”หน้าที่”ของ”พรรคเพื่อไทย” และ”พรรคร่วม”ทุกพรรค ที่ต้อง”ร่วมด้วยช่วยกัน” ในการ”บริหารจัดการ” เพื่อนำ”ประเทศชาติ” ให้พ้นจาก”ยุคเข็น”เพราะไม่อย่างนั้น” “พรรคเพื่อไทย”และ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะกลายเป็น”จำเลย”ของ”สังคม” เพราะเป็นผู้”แถลงนโยบาย” ว่าภายใต้การบริหารของ”รัฐบาล” ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ”ประชาชน” จะอยู่อย่างมี”ศักดิ์ศรี” และ”อยู่ดีกินดี” แต่ในความ”เป็นจริง” ย่างเข้าปีที่สองของ”รัฐบาล” ชุดนี้ ประชาชนหลาย”ภาคส่วน” อยู่อย่าง”แร้นแค้น” กว่าเดิม….ที่สำคัญการ”แจกเงิน” ให้”กลุ่มเปราะบาง” ที่แจกไปก่อนหน้านี้คนละ 10,000 บาท ยังไม่ส่งผลให้เห็นว่า” แจกแล้ว จ่ายแล้ว” ก็การ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ตรงไหน และ เชื่อว่าที่จะแจกอีกคนละ 10,000 บาท ให้กับคนที่อายุ 60 ปี ขึ้นไป  ผลที่ออกมาก็น่าจะ”ไม่ต่าง” ไปจากการแจกในครั้งที่ผ่านมา วันนี้ถ้า”รัฐบาล” โดยเฉพาะ” ฝ่ายเศรษฐกิจ” ของ”รัฐบาล” คิดได้ค่าหาเงินจากการ”ขึ้นภาษี” ในทุก”รูปแบบ” จึงเป็นเรื่องที่”น่าเป็นห่วง” สำหรับ”คนไทย” และ”ประเทศไทย”

เรื่อง”การบ้าน” ยัง”ยุ่งไม่พอ” ยังมีเรื่อง”การเมือง” เข้ามาเป็นการ”บ่อเซาะ” ให้เห็นถึงความ”ง่อนแง่น” ของการเป็น”รัฐบาลผสม” ผุดขึ้นเป็น ระยะๆ ล่าสุด “ พลพรรค” ของ”เพื่อไทย” ก็ออกมา”ขู่ฟ่อๆ” ที่จะ”ยุบสภาผู้แทนราษฎร” เพื่อเป็นการ”ล้างไพ่” ทำการ”เลือกตั้งใหม่” หาก”พรรคภูมิใจไทย” ยังไม่ยอมที่จะ” เออออห่อหมก” ในเรื่องของ”พรบ.ประชามติ” ที่ เพื่อไทย” ต้องการให้เป็นการ”ลงมติชั้นเดียว” แต่”ภูมิใจไทย” ยืนยัน”เสียงแข็ง” ว่าต้องเป็นการลง”ประชามติ”แบบ”สองชั้น” ในการ”แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งอาจจะทำให้การแก้”รัฐธรรมนูญ” ทำไม่ทันใน”รัฐบาล” นี้  เรื่องนี้จึงเป็น”ปมขัดแย้ง” ที่เป็นเรื่อง”ร้าวลึก” ใน”รัฐบาล” นี้ยังมีนะที่พรรคอื่นๆ อย่าง”ประชาธิปัตย์” และ”พรรคเล็กๆ” ต่างทำตัว”สงบเสงี่ยม” เป็น”เด็กว่านอนสอนง่าย” เพราะสิ่งที่”กลัวที่สุด”คือการ”ยุบสภา” เพราะ วันนี้”เสบียงกรัง” ของ” แต่ละพรรคยังไม่พร้อม…..เรื่องของ”การเมือง” เรื่องของความ”สกปรก” วันนี้”พรรคการเมือง” ที่ถูก”จับตามอง” จาก” ประชาชน” มากที่สุดคือพรรค”พลังประชารัฐ” ที่เป็นพรรคของ”ลุงป้อม” อยู่ในห้วงของ”ขาลง” และไม่ลงแบบธรรมดาแต่เป็นการ”ลงลิฟท์” เพราะ”ทุกเรื่อง” ที่”ประเดประดัง” เข้ามาแบบ”ถาโถม” ทำให้เห็น”อนาคต” ของ”พลังประชารัฐ” ใน”อนาคต” และเห็นถึง”อนาคต”ของ”ลุงป้อม” ที่เป็น”ฉากอัสดง” ทาง”การเมือง” ที่ สำคัญวันนี้เรื่อง”ความลับ” เรื่องของ”คนใกล้ชิด” ที่มี”เส้นเงิน” จากการ”ทุจริต” จะเป็นสิ่งที่”ทำลายเกียรติภูมิ” ที่”สั่งสม”มา”ตลอดชีวิต” ให้”ย่อยยับ” ลงด้วย  และยังจะมี”คนใกล้ชิด” อีกหลายคน ที่จะถูก”ลากโยง” เข้ามาเพื่อการ”ทำลายล้าง” ที่เป็น”ฝีมือ”ของคน”ใกล้ชิด” ที่วันนี้กลายเป็น”ศัตรู” หมายเลข 1 “การเมืองไม่มีมิตรแท้” และ”ไม่มีศัตรูถาวร” นี่คือ”สัจจธรรม” และการ”เล่นการเมือง” ถ้า เล่นแบบ”บริสุทธิ์” ไม่มีการ”คดโกงชาติคดโกงแผ่นดิน” ก็จะไม่มีใคร”ร่ำรวย” แต่ถ้า”เล่นการเมือง” แบบ”คดโกงชาติ คดโกงแผ่นดิน” ทุกคนต่างมี”จุดจบ” ที่เป็นความ”หายนะ” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นี่คือสิ่งที่”นักการเมืองอาชีพ” ต้องพึง”สังวรณ์”

เรื่อง”น้ำท่วมภาคใต้” โดยเฉพาะใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ สงขลา ,ปัตตานี,ยะลา” และ”นราธิวาส” ก็เป็นเรื่อง”การเมือง” เมื่อ”สังคมโซเชียล” ต่างออกมา”ถล่มโจมตี” ผู้นำ”รัฐบาล” อย่าง” แพทองธาร ชินวัตร” ที่ไม่มีการ”ลงพื้นที่” ซึ่งประชาชน”ประสบกับปัญหาของน้ำท่วม” มีการ”หยิบยก” เอาเรื่อง”น้ำท่วม” ภาคเหนือ”และ”ภาคอื่นๆ มา เปรียบเทียบ ซึ่ง” นายกรัฐมนตรี “ มีการลงไป”ตรวจเยี่ยม” เป็น”กำลังใจ” ให้กับ”ประชาชน” แต่ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วันที่”น้ำลดเกือบหมด” แต่ยังไม่เห็น”ข่าว” ว่า” นายกรัฐมนตรี” จะมีการ”เหยียบบาท” ลงที่จังหวัดไหน แน่นอน”ส่วนหนึ่งน้อยใจ” แต่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่อง”การเมือง” ที่ต้องการ”ถล่มทำลายล้างกัน” อย่างเช่น”ข้อความ” ที่มีการ”แชร์ว่อน” ใน”โซเซียล”ในพื้นที่”ภาคใต้” เช่นถ้ามา”ผัดข้าวโชว์”ไม่ต้องมา ถ้ามา”แจกถุงยังชีพ” ไม่ต้องมา หรือถ้ามาเดิน”ลุยน้ำโชว์” ไม่ต้องมา นี่คือเรื่องการ”ถล่มทางการเมือง” และทำให้เห็นว่า “ทีมงานของ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี”ไม่มี”ยุทธศาสตร์” ในการ”สื่อสารกับสังคม” และที่สำคัญไม่มีการแก้”ภาพลักษณ์” ของ”นายกรัฐมนตรี” จนกลายเป็น”จุดอ่อน”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” ผู้เป็น”นายกรัฐมนตรี และ สุดท้ายต่าง”วิพากษ์วิจารณ์” ว่า สาเหตุที่ไม่ลงพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพราะเป็น”พื้นที่” ซึ่ง”เพื่อไทย” ไม่”ฐานคะแนนเสียง” และไม่มี” ผู้แทน” ในพื้นที่

สถานการณ์”อุทกภัย”หรือ”น้ำท่วม” ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่”หนักหน่วง” โดยเฉพาะในพื้นที่” ปัตตานี,ยะลา”และ”นราธิวาส” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 60 ปี ที่ผ่านมา นี่เป็นเรื่องของ”ธรรมชาติ” ที่ปริมาณ”น้ำฝน” จะยิ่งมากขึ้นในทุกปี ในขณะพื้นที่”รับน้ำ” โดย”ธรรมชาติ” หายไปจากการ”พัฒนาบ้านเมือง” เช่นการ”ถมที่สร้างบ้านแปลเมือง” ซึ่งไม่มี”กฎหมาย” ห้าม ปิดทาง”แม่น้ำ ลำคลอง” ที่มีอยู่ตาม”ธรรมชาติ” ถูกปล่อยให้”ตื้นเขิน”แคบเล็ก” ส่วน”คลองเล็กคลองน้อย” และ”ลำราง” ตามธรรมชาติ”หายไป” จากการทำการ”เกษตร” ของ “ประชาชน” ที่”ถมทิ้ง” เพื่อให้ได้พื้นที่ในการ”ทำการเกษตร”เพิ่มขึ้น….แต่สิ่งที่”ค้างคาใจ” ประชาชน”คือ”งบประมาณ” ที่แต่ละจังหวัด ได้รับ เพื่อใช้ในการ”ขุดลอกคูคลอง” และ”สร้างแหล่งน้ำ” มีจำนวนเพิ่มขึ้นในทุกปี แต่การ”แก้ปัญหาน้ำท่วม” กลับยิ่ง”รุนแรงกว่าเดิม” เรื่องนี้ก็”มีผล” ในความ”รู้สึก”ของ”ประชาชน” ที่มองไปถึงการ”ทุจริต” หรือการ”ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ซึ่งทั้งหมดมาจากการ”สื่อสาร”กับ”สังคม” ของ”ภาครัฐ”ในทุกภาคส่วน เพราะการที่”น้ำท่วม” รุนแรงขึ้นทุกปีๆ อาจจะไม่ได้เป็นเรื่อง”ฉ้อราษฎร์บังหลวง” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่อง”ธรรมชาติ” ที่”โหดร้าย” มากขึ้น การ”ละเลยการแก้ปัญหา”ของ”หน่วยงาน” ของ”ท้องถิ่น” และที่สำคัญไม่มีการมี”นโยบาย” ในการแก้ปัญหา” น้ำท่วม ฝนแล้ง” จากทุก”รัฐบาล” อย่างจริงจังมีแต่การตั้งงบ”เฉพาะหน้า” เพื่อ”ซื้อถุงยังชีพ” เป็น”ด้านหลัก”  ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่ รองลงมา

แม้ว่า”ทหาร” ส่วนหนึ่ง” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะกลายเป็น”ผู้ประสบภัย” เสียเอง” ใน”หลายส่วน” เช่น” ทั้งใน จ.ยะลา ปัตตานี และ นราธิวาส แต่”พระเอก” ในการ”ช่วยเหลือ”ประชาชนที่ประสพภัย”น้ำท่วม” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็ยังเป็น”ทหาร” ที่มี”รถราม้าช้าง” มี”กำลังพล” มากกว่า”หน่วยงานอื่นๆ มี”ขีดความสามารถ”ในการเข้าพื้นที่” เสี่ยงภัย” และนำ”ผู้ป่วย, ผู้สูงอายุ, เด็ก ,สตรี” ออกมาได้อย่าง”ปลอดภัย” ถ้าคนใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” และ”บีอาร์เอ็น” และ”นักการเมือง” ( บางพวกบางคน ) ถามว่า”ทหารมีไว้ทำอะไร” ก็ให้มี”ภาพ” ที่”ทหาร” อุ้มผู้ป่วย”,แบกคนชรา” ฝ่า”กระแสน้ำ”ที่ลึกเทียมหน้าอกและ”เชี่ยวกราก” ก็จะรู้เองว่า” ทหารมีไว้ทำอะไร” การรับมือกับ”อุทกภัย”ครั้งนี้” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” ทำได้ดี  โดยใช้”มณฑลทหารบก ที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็น”ศูนย์บัญชาการ” เพื่อ”ช่วยเหลือประชาชน” รวมทั้งเป็น “สถานที่” ในการ”ต้อนรับ” บรรดา”เสนาบดี” จาก”กระทรวงต่างๆ” ที่เดินทาง”ลงพื้นที่” เพื่อช่วยประชาชนผู้ประสบภัย”น้ำท่วม”…..ส่วนผู้”บริหารระดับจังหวัด” ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง”อำพล พงษ์สุวรรณ ผวจ.ยะลา  แม้ เจ้าตัว จะ”เจ็บป่วย” แต่ก็ทำหน้าที่แบบ”ทุ่มตัว” ในการ”ลงพื้นที่” และ”บัญชาการ” รับกับสถานการณ์”วิกฤติ” ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 50 ปี  เช่นเดียวกับ” ว่าที่” ร.ต.ตระกูล โทธรรม” ผวจ.นราธิวาส ซึ่งต้องเจอกับ”มวลน้ำ” ทั้งจาก”ฝั่งไทย” และจาก”ฝั่งมาเลเซีย” แต่ก็ยัง”บริหาร จัดการ” ได้ดีในทุกพื้นที่ ยกเว้น” อ.สุไหงโก-ลก “ และ” อ.ตากใบ” ซึ่งเป็น 2 อำเภอ ที่”หนักหน่วง” สำหรับ”อุทกภัย” ครั้งนี้…..แต่ที่ต้อง”ชื่นชม” คือ”พาตีเมาะ สะดียามู” ผวจ.ปัตตานี “ผู้ว่าหญิงแกร่ง” ที่ไม่ว่าจะอยู่ใน”สถานการณ์”เยี่ยงไร” ก็พร้อม”รับมือ” และ”คลี่คลาย”ได้ทุกปัญหา ที่เกิดขึ้น “ปัตตานี” เป็นพื้นที่”ปลายน้ำ” ที่ต้อง”รับน้ำ” จากจังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาสบางส่วน จึงเป็น”จังหวัด”ที่ ”อ่วมอรทัย”มากทุกจังหวัด แต่ทุก”วิกฤติ” ก็พ้นไปด้วยดี ด้วยความ”ร่วมมือ” และการ”บริหารจัดการ”ของ”ผู้ว่าเมาะ”

ในส่วนของ “จังหวัดสงขลา” ผู้ว่าราชการ”คนใหม่” อย่าง”โชตินรินทร์ เกิดสม” แม้จะเพิ่มมารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก็แสดงให้”ชาวสงขลา” และ”ส่วนราชการ” เห็นถึง”ความรู้ความสามารถ” ในการ”บริหาร” สถานการณ์”ฉุกเฉิน” ในการ”รับมือ”กับ”มวลน้ำ” โดยเฉพาะที่ทะลักเข้าโจมตี” พื้นที่”เทศบาลนครหาดใหญ่” อย่างได้ผล โดยการ”ร่วมมือร่วมใจ” จาก”เทศบาลนครหาดใหญ่ “ ที่มี”พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี “ นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่” ที่ครั้งนี้”ทุ่มสุดตัว” และให้ทุก”สรรพสิ่ง” ที่มีอยู่ ในการ” รักษาเมือง” ให้”รอดพ้นจากมวลน้ำ”อย่างเส้นยาแดงฝ่าแปด” ทำให้”คะแนนนิยม” ที่ถูกมองว่า”ติดลบ” กลาย”เป็นบวก” อย่าง”ฉับพลัน”…..แต่ที่เป็น”พระเอก” ในการป้องกัน”ไข่แดง” ของ”เทศบาลนครหาดใหญ่” ไว้ได้อย่าง”ฉิวเฉียด” คือ”คลอง ร.1 “ ซึ่งเป็นการวางแผนขุดขึ้นเพื่อแก้ปัญหา”วิกฤติ” มิให้”น้ำท่วม” ในพื้นที่”ใจกลางเมืองหาดใหญ่” ที่เป็น”พื้นที่เศรษฐกิจ”  ถ้าไม่มี”คลอง ร. 1”  รับรอง”หาดใหญ่” ก็จะ”จมบาดาล” และ”เสียหาย” หนักยิ่งกว่าที่ผ่านมา เพราะ”มวลน้ำ” ที่ เพิ่มขึ้นในทุกๆปี ดังนั้น เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา”ประชาชน” จึงได้ทำการ”รำลึก” ถึง”พระกรุณาธิคุณ” ของ” ในหลวงรัชกาลที่ 9” ด้วยการ “รวมตัวรวมพลรวมใจ” ที่” คลอง ร.1” กลายเป็นภาพที่”งดงาม” เป็นอย่างยิ่ง

ส่วนในของ “ตำรวจ” น้ำท่วมครั้งนี้ “พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี”  ผบช. ภ.9  สั่งการให้”ทุกโรงพัก” ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่  ทั้งในการ”อพยพ” ในเรื่อง”อาหาร” มีการให้ทุก ภ.จว.ตั้ง”โรงครัว” เพื่อการ”ปรุงอาหารสด” แจกจ่าย เพราะในยาม”วิกฤติ” ถุงยังชีพ ก็ไม่มีความสำคัญ”เท่ากับอาหารปรุงสุก”…..ที่น่าสนใจคือที่อื่นๆ “ท่วม” ทำให้”แผ่นดินยุบตัว” เป็นเป็น”บ่อ เป็นหลุม เป็นโพรง” แต่ ในเขตเทศบาลเบตง จ.ยะลา ลานที่จอดรถของ เทศบาล” และ”ถนนหลายสาย” มีการ”แยกกระจาย” เพื่อ”น้ำตีดิน” ทำการ”ดันดิน” ขึ้นมา เกิดความ”เสียหาย” อย่าง”ย่อยยับ” ที่สำคัญการ”การก่อสร้างลานจอดรถ” ไม่มี”เหล็กเส้น” ให้เห็นแม้แต่เส้นเดียว นี่กลายเป็น”ปุจฉา” ของคนที่เห็นภาพดังกล่าว เพราะ”ส่อ” ให้เห็นถึงการ”ทุจริต” ที่เกิดขึ้น

ส่วน สถานการณ์ของความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน ห้วงที่”ฝนตกน้ำท่วม” กองกำลังของ”บีอาร์เอ็น” ไม่สามารถ”ก่อเหตุร้าย” ต่อ”เป้าหมาย”ที่เป็น”เจ้าหน้าที่รัฐ”  แต่”บีอาร์เอ็น” ก็ไม่หยุดการ”ไอโอ” เพื่อสร้างความ”เสียหาย” ให้กับ”เจ้าหน้าที่” เช่น”ห้ามประชาชน” อย่ารับ”ของแจก” หรือ”ถุงยังชีพ” จาก” หน่วยงานของรัฐ”เพราะ”มีเนื้อหมูปนเปื้อน” มีการ”หยิบข่าว” การ”ช่วยเหลือ” ผู้”ประสบภัยน้ำท่วม” ของ”รัฐบาลมาเลเซีย” ใน”รัฐกลันตัน” และ”ตรังตานู” ที่”ดูดี”กว่าของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อให้เป็น”ภาพเปรียบเทียบ” นี่คือการ”จิกกัด” ของ”บีอาร์เอ็น “ ที่แม้แต่อยู่ใน”ภาวะวิกฤติ” ก็ไม่เว้น….ที่ สำคัญ  ที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้อง”รับมือ” คือการที่”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” มีการเตรีม”ก่อการร้าย” ในห้วง”ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่”  ซึ่ง” กำลังของเจ้าหน้าที่ ในพื้นที่ต้องไม่”ประมาท” อย่าคิดว่า”น้ำท่วม” แล้ว” กองกำลัง”ของ”บีอาร์เอ็น” จะไม่ก่อเหตุ หรือ”มวลชน” อยู่ใน”ภาวะลำบาก” แล้ว”บีอาร์เอ็น” จะไม่”ก่อเหตุ” เพราะ”เป้าหมาย” ของ”บีอาร์เอ็น” ไม่ใช่เรื่องการ”พัฒนา” แต่เป็นเรื่อง”เอกราช” รบกับ”บีอาร์เอ็น” จึงต้อง”เข้าใจ”ในเรื่องของ”บีอาร์เอ็น”

ที่เป็น”ข่าวดี” สำหรับ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ในวันนี้ คือ” สามารถที่จะเปิด”ตัวตน”ของ”บีอาร์เอ็น”ได้แล้ว สามารถบอกกับ”ประชาชน”ได้ว่า “บีอาร์เอ็น” คือ”ผู้”บงการ” ในการ”ก่อการร้าย” ถ้าเป็นการ”ต่อยมวย” ก็มี”เป้าหมาย” ที่”ชัดเจน” ไม่เหมือนในอดีตที่”ต่อยกับผี” เพราะถ้า”นายทหารคนไหน” พูดถึงเรื่องของ”บีอาร์เอ็น” ก็จะถูก”ตะเพิด” และหลายคนที่พูดถึง”บีอาร์เอ็น” ถูกย้ายออก”นอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”….ที่สำคัญ หน่วยงาน”ความมั่นคง” เปิดเผยให้ทราบว่า”บีอาร์เอ็น” วาง”นโยบาย” ในการ”ก่อการร้าย” จากปี 2568 ไปถึง 2588” อย่าง”เป็นขั้นเป็นตอน” เป็นการ”ชี้ชัด”ว่า”บีอาร์เอ็น” ไม่ได้ให้ความ”สำคัญ” ในเรื่องของ”การพูดคุย” เพื่อที่จะ”ยุติความรุนแรง” เรื่องนี้ “ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคง “ หรือ “สมช.” ต้องไป”ศึกษา”ให้ดี ให้ได้ใช้”เวทีการพูดคุย” ให้เป็นประโยชน์กับ”บีอาร์เอ็น” หรือเพื่อเป็นการใช้”งบประมาณ” เพราะนี่จะเป็นการ”สิ้นเปลือง” ที่”เปล่าประโยชน์

หลายวันที่ผ่าน”ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล” สมาชิกวุฒิสภา กลุ่ม “สื่อสารมวลชนจังหวัดสงขลา” ซึ่งทำหน้าที่”เลขานุการคณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ ได้ร่วม”คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ”ลงพื้นที่ “จังหวัด สงขลา ยะลา ปัตตานี” เพื่อ “รับรู้ รับฟัง” สถานการณ์ ทั้งใน”ปัจจุบัน” และใน”อนาคต” จาก” “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า,ตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้, ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” และ”ฝ่ายปกครอง”ของ “จังหวัดปัตตานี”  สิ่งที่ได้รับรู้ รับฟัง ทำให้ รู้ว่า”ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ยัง”ไม่พบทางออก” มีปัญหา”อุปสรรค” มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของ”กฎหมาย” ในเรื่องของ”นโยบาย” ที่”ส่วนกลาง” ยังไม่ได้ให้ความ”สำคัญ” กับเรื่องของ”ไฟใต้” และหากยังไม่มีการการ”ออกกฎหมาย” เพื่อให้”ตำรวจ” มี”เครื่องมือ” ในการ”จัดการ”กับ”ปัญหา” ที่เกิดขึ้น” พื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้”กฎหมายพิเศษ” หรือที่เรียกว่า”กฎหมายสามพี่น้องต่อไป” … และที่น่ายินดีคือการไป”เยี่ยมชม”ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10”  ใน จ.ยะลา ที่เห็นถึงความ”ทันสมัย” ของ “เครื่องมือเครื่องใช้” และ”ประสิทธิภาพ”ของ” เจ้าหน้าที่” พิสูจน์หลักฐาน” ที่เป็นหน่วยงานด้าน”นิติวิทยาศาสตร์” ในการใช้เป็น”หลักฐาน” เพื่อการ”เอาคนร้าย” เข้าคุก” โดย”ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10” ที่มี” พล.ต.ต.วิสูตร นาคจู” เป็น “รักษาการ ผู้บังคับการศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 “ ที่เป็น”ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน” ที่”ดีที่สุด” และ”ทันสมัย” ที่สุด ในประเทศไทย….สุดท้าย “คณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ รัฐสภา”โดย”พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา” ประธานคณะกรรมาธิการ ขอขอบคุณ “ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 “นันทพงศ์ สุวรรณรัตน” รอง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ( ศอ .บต.) พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 และ “พาติเมาะ สะดียามู” ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ที่ให้การต้อนรับการเดินทางมา”ดูงาน” ของ”คณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ รัฐสภา เป็นอย่างดียิ่ง ….. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดี ครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับนักร้องดังเป็นเหตุ’มาเลย์’ งัดกฎเหล็กโทษหนักข้ามแดนช่องทางธรรมชาติ

ภาพใหญ่ของ”การเมือง”หลังจากกลับจาก”ต่างประเทศ” ที่”แพทองธาร ชินวัตร”  นายกรัฐมนตรี ได้ไป”เปิดโลกทัศน์ทางการเมือง” มีการ”พบปะสนทนา” กับ”ผู้นำ”ระดับโลก” และผู้นำ”มหาอำนาจ” อย่าง”ประเทศจีน” และ”สหรัฐอเมริกา” ก็น่าจะเพิ่ม”ประสบการณ์ ”ทาง”การเมือง” ให้” นายกอิ๊งค์” มีความ”แข็งแกร่ง” ทาง”การเมือง”มากขึ้น”ส่วนเรื่องของ”เสื้อ ผ้า หน้า ผม” ก็อย่านำมาเป็น”ประเด็น” ให้มากนัก” เพราะ เธอคือ “นายกรัฐมนตรี” ที่ยังเป็น”สาวน้อย” ที่”อายุอานาม” ยังไม่ถึง 40 ปี ที่ต้อง”รักสวยรักงาม” จนอาจจะ”ไม่เข้าใจ” ใน”บริบท”ของการ”แต่งกาย”ของการเป็น”ผู้นำประเทศ” ที่ต้องยึดเอา”ขนบธรรมเนียม” มากกว่าการ”โชว์ความหรูหรา”ของ”แฟชั่น”….. กลับมาถึง”เมืองไทย” เธอก็ได้”โชว์เก่ง โชว์กึ๋น” ของผู้นำที่มี”วิสัยทัศน์”ในการเป็น”ผู้นำ” ทางด้าน”เศรษฐกิจ” ด้วยการบอกกับ”ประชาชน” ว่า”ทางเลือกทางรอด”ของ”ประเทศไทย” และ”คนไทย” มีด้วยกัน 3 ทาง นั่นคือ 1 .โอกาสทางอาหาร 2 .โอกาสด้านอุตสาหกรรมสุขภาพ 3 .ซอฟต์พาวเวอร์” ซึ่งจะเป็น”โอกาส” ที่”เป็นจริง” หรือไม่เป็นจริง”ผู้ฟัง ก็ต้องใน”ขยาย” รายละเอียดกันเอง แต่ที่เป็น”ของจริง” ณ วันนี้ของ”ประเทศไทย” ที่กลายเป็น”กับดัก” ทาง”เศรษฐกิจ” คิดเรื่องของ”หนี้สินครัวเรือน”เรื่องของ”สถาบันการเงิน”ที่ไม่ยอม”ปล่อยสินเชื่อ”ให้กับ”ธุรกิจระดับล่าง” เรื่อง”ราคาพลังงาน” ที่เป็น”ต้นตอ” ให้”สินค้าแพง” และเรื่องการ”ขึ้นค่าแรง” ที่ถูก”คัดค้าน” จาก” กลุ่มทุน” ซึ่งเรื่องเหล่านี้ จะ”แก้อย่างไร” จะ”เดินหน้า”อย่างไร

ถ้าถาม”นายกอิ๊งค์” คำตอบอาจเหมือนอย่างหลายๆคำถาม เช่น”ยิ่งลักษณ์ชินวัตร” ผู้เป็น”อาหญิง” จะได้กลับประเทศไทยใน”ห้วงเทศกาลสงกรานต์” จริงหรือ และ”วันนี้”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ยังเป็น”บุคคล”ที่ถือ”สองสัญชาติ” อยู่หรือไม่ อันนี้”ต้องไปถามพ่อ” เธอว่างั้น ดังนั้นเรื่องของ”พ่อ ลูก” ที่มีความ”สัมพันธ์ทางการเมือง” อย่าง”แยกกันไม่ออก” ว่าใคร”ใหญ่กว่าใคร” และ”ใครคือผู้มี”อำนาจ”ที่เป็น”ตัวจริง” ในทาง”การเมือง” ระดับโลก  จึงไม่ได้หมายความว่า”มาช่วยกันทำงาน” เพื่อให้การ”บริหารประเทศ” เป็นไปอย่างมี”ประสิทธิภาพ” แต่เป็นเรื่อง”ไร้เสถียรภาพ”ของ”รัฐบาล” เพราะไม่รู้ว่า”อำนาจการตัดสินใจ” ในแต่ละเรื่อง อยู่ที่ใครระหว่าง”พ่อ กับ ลูก”…..แต่เมื่อดู”บริบท” ของ” ทักษิณ ชินวัตร”ในบทของ”ผู้ช่วยหาเสียง” ให้กับผู้สมัคร”นายก อบจ.อุดรธานี” ของ”พรรคเพื่อไทย” ก็จะได้เห็น”คมเขี้ยว” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ที่ ทุก”คำพูด” ทุก”นโยบาย” ในการ”หาเสียง” ต่างบอกกับ”ประชาชน”ว่าเป็น “คำสั่งของลูก” เป็น”นโยบาย” ของ”นายกรัฐมนตรี” ตนเองมาตาม”คำสั่ง” ของ”นายกรัฐมนตรี” เป็นเพียง”ตัวแทน”ของ”ลูก” ที่สั่งให้”พ่อ”มาทำในฐานะของ”ผู้ช่วยหาเสียง” ที่มี”เบี้ยเลี้ยง” วันละ 200  เท่านั้น นี่เป็น”หมากการเมืองอีกตา” ที่”ทักษิณ ชิวัตร” เล่นบท”เพลย์เซฟ” ทั้ง”ตนเอง” และ”บุตรสาว” ที่เป็น”นายกรัฐมนตรี”

ส่วนหลังจากที่”ทั้ง”อัยการ” และ”ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่”รับฟ้อง” จากผู้ที่”ร้องเรียน” ในข้อหา”ทักษิณ ชินวัตร”ล้มล้างการปกครอง” ก็ยังไม่ได้ทำให้”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”พยัคฆ์เสียบปีก” แต่อย่างใด เพราะ”ทักษิณ ชินวัตร” ยังมีอีก”หลายคดี” โดยเฉพาะเรื่องของการเป็น”นักโทษเทวดาชั้น 14” ที่ยังเป็น”ปมปัญหา” ในการ”ลากโยง” ใครต่อใครให้กลายเป็น”คนผิด” ไปด้วย รวมทั้งการ”เคลื่อนไหว” ในแต่ละ”บริบท” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ยังเปิดโอกาสให้”นักร้อง” สามารถ”หยิบยก” มาเป็น”ประเด็นของการ”ร้องเรียน” ได้ทุกเรื่อง แต่ก็เชื่อว่า”ทักษิณ ชินวัตร” ยังเป็น”กลไก” ที่สำคัญในการ”ขับเคลื่อน” การนำของ”รัฐบาล” และ”พรรคเพื่อไทย”โดยจะเล่น”บทหลังฉาก” มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”กฎหมาย” ให้”ต่างชาติ” สามารถ”เช่าที่ดิน 99 ปี” เรื่องของ”อินเตอร์เทนเม็นท์คอมเพล็กซ์” หรือ”บ่อนเสรี” และอื่นๆ ที่เป็นเรื่อง”อภิมหา” รวมทั้งเรื่องของการ”ดีลลับ” ในการเป็น”หัวหอก” การ”สกัดกั้นพรรคประชาชน”  มิให้”เติบโต”เพราะต้องไม่ลืมว่าการ”กลับประเทศ”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ใช่การกลับมา”รับโทษ” แต่กลับมาเพราะ”มีงานให้ทำ” และคนที่ทำงานนี้ให้”สำเร็จ” ก็คือ”อดีตนักโทษทางการเมือง”คนนี้ นี่คือ”จุด”แข็งโป๊ก”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” …..แต่โดย”นิสัย” ที่”แก้ไม่หาย” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” คือเรื่องชอบ”ไต่บันไดลวด”ที่ชอบเล่นกับ”กฎหมาย” แบบ”นักกายกรรม”ที่”ไต่ลวด” เช่นอยู่ดีๆก็โพล่งขึ้นว่า”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ที่มี”ศักดิ์เป็นน้องสาว”ที่เป็น”นักโทษการเมือง” จะกลับบ้านมา”ฉลองสงกรานต์” ในปี 2568  จนกลายเป็น”ประเด็นทางการเมือง” ให้”ฝ่ายต่อต้าน” และฝ่ายที่”เหม็นหน้า” และ”ศัตรู” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” หยิบเอาเรื่องดังกล่าวมาเป็น”ประเด็น”ทางการเมือง ที่ร้อนไปถึง” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง”รัฐมนตรียุติธรรม” ต้อง”พลอยฟ้าพลอยฝน”ถูก”กองทัพนักข่าว” ทำการ”ไล่ล่า” เพื่อให้ตอบคำถามเรื่อง”ยิ่งลักษณ์ ปิ๊กบ้าน” ว่าจะมี”ขั้นตอน” แบบเดียวกับที่”ทักษิณปิ๊กบ้าน” ด้วยการเป็น”เทวดาชั้น 14” ของ “โรงพยาบาลตำรวจ” หรือไม่    และก็ยังมีเรื่องอีก”มากมาย” สำหรับ”รัฐบาล” ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” และมี” พ่อ ลูก” เป็นผู้”บริหารประเทศ” ที่ต้อง ติดตามกันต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่ ไม่”เป็นคุณ” กับ”รัฐบาล”

ส่วนนี้เป็นทั้ง”ข่าวร้าย” และ”ข่าวดี” สำหรับคนไทย” ข่าวดี”คือ” คนที่อายุ 60 ปี ขึ้นไป กำลังจะได้รับการ”แจกเงิน” จาก”รัฐบาล” ตามนโยบาย” แจกเงิน”คนละ 10,000 บาท” ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่”นายกอิ๊งค์” ประกาศว่าจะมีการแจกเงิน”รอบใหม่” สำหรับคนที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปที่”ขึ้นทะเบียน” ไว้แล้ว ซึ่ง”เงินจะถึงมือ” ผู้”มีสิทธิ์” ไม่เกิน”ตรุษจีน” หรือ”เดือนกุมภาพันธ์ 2568” ส่วน”ข่าวร้าย”คือ” คนไทย” ที่”ฐานะยากจน” ที่อายุไม่อยู่”ในเกณฑ์” ไม่อยู่ใน”ฐานะ”ของผู้ได้รับ”แจกเงิน 10,000 บาท” ในครั้งนี้ และ”ข่าวร้าย” สำหรับคนทั้งประทศคือต้องช่วยกัน”เป็นหนี้” และ”แบกหนี้” เพิ่มขึ้นจาก” นโยบายแจกเงิน” ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่สำคัญการแจกทั้ง”รอบแรก” และ”รอบที่สอง” ไม่ได้ช่วยทำให้”เศรษฐกิจ” โดยรวมของประเทศดีขึ้น ตัวเลข”จีดีพี.” ตัวเลข”หนี้ครัวเรือน” และ”ตัวเลข” ทุกตัวที่เกี่ยวกับ”เศรษฐกิจ” ของประเทศ ยัง”เหมือนเดิม” ที่ได้มีคือ”คะแนนเสียง” ของผู้ที่ได้”รับเงิน” คนละ 10,000 บาท”ที่มีต่อ”พรรคเพื่อไทย” และอาจจะทำให้”คะแนนนิยม” ของ”พรรคเพื่อไทย” มีมากกว่า”พรรคการเมือง” อื่นๆ ในการ”เลือกตั้ง” ใน “สมัยหน้า” ซึ่ง”ช้า เร็ว” อยู่ที่”พรรคเพื่อไทย” จะมีการเดิน”สะดุดขา” ตนเอง”หกล้ม” เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น

พ้นจากเรื่อง”การเมือง” ที่มี”ผลกระทบ”กับคนทั้งประเทศ แล้ว วันนี้”ปัญหาของ”ประเทศไทย” ก็ยังเป็นเรื่อง” สถานการณ์”ความ”รุนแรง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้”ที่ความ”รุนแรง” ยังไม่เคย” หยุดนิ่ง” หรือ”ลดลง” ล่าสุดเมื่อ”สัปดาห์ก่อน” แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” สั่งการให้มีการ”ป่วนใต้” ใน 4  จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ปัตตานี,ยะลา ,นราธิวาส” และ” สงขลา” ทั้งการ”วางเพลิง” การ”วางระเบิด” การ”เผายางรถยนต์” การ”พ่นสีเพื่อแสดงสัญญาลักษณ์” ด้วยคำว่า” ปาตานีเมอร์เดก้า” หรือ” เอกราชปัตตานี” และที่”รุนแรง” ที่สุดคือการใช้”เครื่องยิงระเบิด M 79 “ ยิ่งใส่”แค็มป์คนงาน”ในสถานที่”ก่อสร้าง” ที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม” ที่”สูงที่สุดในโลก” ซึ่งเป็นการ”ก่อสร้างของ”เอกชน” ในที่ดิน”ส่วนตัว” ที่ หมู่ที่ 1 ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งหาก”สร้างเสร็จ” ที่ตรงนี้จะเป็น”แลนด์มาร์ค”ของการ”ท่องเที่ยว” แห่งใหม่ของ จ.สงขลา ที่มีความ”สวยงาม” และจะมี”นักท่องเที่ยว” ทั้งที่เป็น”ชาวไทย” และ”ต่างประเทศ” เดินทางมา”สักการะองค์เจ้าแม่กวนอิม” และ”ท่องเที่ยว” ชายทะเล อ.เทพา เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ซึ่ง “ผลประโยชน์ ก็จะตกกับ”ท้องถิ่น” และ”ประชาชน” ในพื้นที่

ซึ่งนอกจากการยิงด้วย”เครื่องยิงระเบิด M 79” จำนวน 2 นัด ทำให้มี”คนงานก่อสร้าง” ได้รับ”บาดเจ็บ”จำนวน 3 รายแล้ว “ แนวร่วม” ขบวนการ”บีอาร์เอ็น” ยังมีการวาง”กับระเบิดแสวงเครื่อง” จำนวน 2 ลูก เพื่อ”สังหาร” เจ้าหน้าที่รัฐ ที่หลัง”รับแจ้งเหตุ” ต้องเข้าไป”ตรวจสอบ” พื้นที่  ทั้งหมดเป็นเรื่องที่”บีอาร์เอ็น” เป็นผู้”ปฏิบัติการ” โดยสาเหตุการการ”สั่งการ” จาก”แกนนำ” บีอาร์เอ็น” ให้”ป่วนใต้” ในคืนเดียว ทั้ง 4 จังหวัดของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่มาจากความ”ไม่พอใจ” ที่”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ที่นำโดย”ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) นำเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งไปยัง”ประเทศสวีเดน”และ”เยอรมันนี” เพื่อร่วมประชุมกับคณะของ”หิพนี มะเระ” ซึ่งเป็น”หัวหน้าพูดคุยสันติสุข” ภายใน”ปีกทางเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น”โดยมี”เจนีวาคอลล์” องค์กรเอ็นจีโอชาติตะวันตก เป็น”เจ้าภาพ “ ที่”บีอาร์เอ็น”ในปีก”ทหาร”ไม่เห็นด้วย” เป็นการ”ส่งสัญญาณ” ถึง”รัฐบาล”ทั้งในเรื่องให้”ยกเลิก” การ”พูดคุย”ที่”บีอาร์เอ็น” กล่าวว่า”รัฐไทย” ไม่”จริงใจ” ในการ”เจรจา” จึงทำให้การ”เจรจา” หรือที่”รัฐไทย” เรียกว่าเป็นการ”พูดคุย” ไม่มีความ”ก้าวหน้า” ทั้งที่”เจรจา”กันมาแล้วถึง 13 ปี รวมทั้งการที่”รัฐไทย” โดย”หน่วยงาน”ความมั่นคง” กำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะประกาศให้” บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” หรือไม่ก็เป็น”องค์กร” ที่เป็น”อาชญากรรมข้ามชาติ” ซึ่ง”บีอาร์เอ็น”ไม่พอใจ และ”ปีกทางทหาร” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่มี”นิเซ๊ะ นิฮะ”เป็นผู้บัญชาการ จึง”สั่งการ”ให้มีการใช้”ความรุนแรง” เพื่อ”บีบบังคับ”ใน”ทางอ้อม” ให้เกิดการ”ไอ้เสือถอย” เหมือนทุกครั้งที่”ฝ่ายความมั่นคง”มีการ”ปรับเปลี่ยนแนวทาง” เพื่อ”จัดการ” กับ”บีอาร์เอ็น” ครั้งนี้จึงต้องดูว่า” เสี่ยอ้วน” หรือ” ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ “เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” จะมี”วิธีการ” ใดในการ”จัดการ”กับปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น” เสี่ยอ้วน” ก็ต้องฟัง”สัญญาณ”จาก “นายใหญ่” ของ”พรรคเพื่อไทย” อีกครั้ง เพราะ ณ วันนี้ “นโยบาย”การแก้ไขความรุนแรง”หรือปัญหา”ไฟใต้” ถูกกำหนดจากจาก” นายใหญ่” ไม่ใช่จาก” นายกอิ๊งค์” ดังนั้นแม้แต่ กำหนด ในการ”เยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้”ของ”นายกรัฐมนตรี”  ก็ถูก”เลื่อน” ออกไปอย่างไม่มี”กำหนด”

การ”ล็อคเป้า” ก่อเหตุต่อ”เจ้าแม่กวนอิม” ที่ ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา ในครั้งนี้มี”นัย” สำคัญ”แอบแฝง” อยู่ 1 “บีอาร์เอ็น” เลือก “เป้าหมาย” ที่เป็น” เจ้าแม่กวนอิม”1 เพราะต้องการ”ชี้เป้า” ให้”องค์กรต่างชาติ” เห็นว่า และ  เชื่อว่า ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้  เป็นความ”ขัดแย้ง” ในเรื่องของ”ศาสนา” ของคนในพื้นที่  “ 2 บีอาร์เอ็น” ต้องการทำลาย นโยบาย”พหุวัตรธรรม” ของการอยู่รวมกันของคนที่”ต่างศาสนา” ในพื้นที่ ซึ่งเป็น”นโยบาย”การแก้ปัญหา”ไฟใต้”ของ”รัฐบาล” และ”หน่วยงานความมั่นคง”   “3 บีอาร์เอ็น” ไม่ต้องการเห็นการพัฒนาเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ “4 บีอาร์เอ็น” ต้องการ”เอาใจ” และ”ได้ใจ”มวลชน” ในพื้นที่ซึ่งมีการ”ต่อต้าน”การสร้าง”เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่”ที่มี”เอ็นจีโอ” เป็นผู้นำ”  และ” 5 บีอาร์เอ็น”สนับสนุนมวลชน” ในพื้นที่ ซึ่ง”ต่อต้านการเกิดขึ้นของ”เมืองอุตสาหกรรมจะนะ” หรือ”เมืองต้นแบบแห่งอนาคต” ซึ่งเป็นของ”เอกชน” ที่เป็นผู้ก่อสร้าง”เจ้าแม่กวนอิม” ในพื้นที่เกิดเหตุ    เพราะคนในพื้นที่เชื่อว่าการสร้าง”เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก” โดยการหันหน้าออกไป”ทางทะเล”ซึ่งเป็นที่ตั้ง”นิคมอุตสาหกรรม” เป็นการ”แก้เคล็ด” เป็นการ”ประธานพร” ให้โครงการ”นิคมอุตสาหกรรม”ที่มีการลงทุน ในโครงการดังกล่าว  600,000 ล้านประสบความสำเร็จ ดังนั้น”ลูก M 79 จำนวน 2 นัด” จึงเป็นการ”ยิงปืน 2 นัด แต่ได้”นกหลายตัว”

ส่วนหลังจากนี้ไปเป็นหน้าที่ของ” โชตินรินทร์ เกิดสม” ผวจ.สงขลา คนใหม่ ที่เดินทางมารับตำแหน่งพร้อมกับการ”วางระเบิดเจ้าแม่กวนอิม” จะต้องเป็นผู้ ดำเนินการ ร่วมกับ หน่วยงาน”ความมั่นคง” ในพื้นที่ ในการ”ป้องกันเหตุ” และ”ทำความเข้าใจ” กับ”คนในพื้นที่” รวมทั้ง”เอกชน” ผู้ทำการก่อสร้างองค์เจ้าแม่กวนอิม ในการ”เดินหน้า” โครงการนี้ต่อไป หรือจะ”ยกเลิก” ก็ยังไม่รู้   อย่างไร ก็ตาม สิ่งที่”ค้างคาใจ” ของ”สังคม” และคน”ไทยพุทธ”  ที่เห็นว่าการอยู่ร่วมกันใน”สังคมพหุวัฒนธรรม” ทุก”ศาสนา”ต้องมีความ”เท่าเทียม” ดังนั้น ในการก่อสร้าง”รูปเหมือน,รูปปั้น”  หรือ”สิ่งอื่นใด ที่ใช้เป็นเครื่อง”ยึดเหนี่ยว” ทาง”จิตใจ” และ”การแสดงความ”เคารพสักการะ”ต้องไม่มีการการ”ขัดขวาง” หรือแสดงออกว่า”สามจังหวัดและสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา” ต้องไม่มี”สิ่งนั้นสิ่งนี้” โดยลงความเห็นว่าเพราะ”สังคมส่วนใหญ่” เป็น”มุสลิม”  เรื่องนี้ต้อง กลับไปคิดกันให้”ถี่ถ้วน” ว่าเป็นการ”แสดงออก” ที่”ถูกต้อง”หรือไม่ อย่าให้เรื่องนี้เป็น”น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่สร้างความ”แตกแยก” ให้กับคนทั้งประเทศ ที่สำคัญ”องค์กรภาคประชาสังคม” ในพื้นที่ เช่น ”เอ็นจีโอ” และกลุ่ม”สิทธิมนุษย์ชน” ที่”เคลื่อนไหว” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทำไมจึง”เงียบกริบ” เหมือน”ไม่มีตัวตน” มีเพียง” ฮิวแมนไรท์วอทซ์” ที่ออกมา”ประณาม” การกระทำของ”บีอาร์เอ็น” ในครั้งนี้

และนี้ก็เป็น”เรื่องไม่เล็ก” สำหรับ”สังคม”ของคนใน”ชายแดนจังหวัดนราธิวาส” เมื่อ”ผู้ว่าราชการรัฐกลันตัน” โดย”หัวหน้าตำรวจรัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย  ใช้”กฎหมาย” คนเข้าเมือง”   สิ่งปิด”ท่าข้ามทางเรือ” 7 แห่ง” ใน เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่เป็น”ท่าข้าม” ระหว่างคนในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย และคนไทย ใน จ.นราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567  ส่วนผู้ที่”ฝ่าฝืน” ทั้ง “คนไทย” และ”คนมาเลเซีย” ถ้าถูกจับกุมตาม “พรบ.คนเข้าเมือง” ของ”ประเทศมาเลเซีย ต้องมีโทษจำคุก 5 ปี แลปรับเป็นเงิน  10,000 ริงกิต หรือ 77,000 บาทไทย….สาเหตุของการ”ปิดท่าข้าม” ที่เป็น”ช่องทางธรรมชาติ” หรือ”ท่าข้ามเถื่อน” ทั้ง 7 ท่า  มาจากการที่”ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จับกุม”นักร้องขวัญใจวัยรุ่น” ของ”รัฐกลันตัน” และ”เพื่อนๆ”จำนวน 6 คน พร้อม”ยาเสพติด “ จำนวน 6,000 กว่าเม็ด ใน โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.สุไหงโก-ลก เป็นผู้ต้องหาในข้อหาเป็น”ผู้เสพ” และมียาเสพติดไว้ในครอบครอง ส่งเข้า”เรือนจำจังหวัดนราธิวาส” ตาม”กฎหมาย”ว่าด้วย”พรบ.ยาเสพติด”ของไทย ทำให้” ผู้ว่ารัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย”กล่าวหาว่า” ยาเสพติด” และสิ่งของ”ผิดกฎหมาย”รวมทั้งสิ่งของผิดกฎหมาย อื่นๆ ข้ามไปจากประเทศไทย โดยอาศัย”ช่องทางธรรมชาติ” หรือ”ท่าข้ามเถื่อน” จึงได้มีการ”ประกาศใช้กฎหมายคนเข้าเมือง” ในการ”ปิดท่าข้าม” ในเขตเทศบาลสุไหงโก-ลก ทั้ง 7 ท่า ….. ความเดือดร้อนจึงตกอยู่กับ”คนไทย” ด้าน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่มี”วิถีชีวิต” ในการ”ทำมาหากิน” ทั้งการ”ขับเรือรับ-ส่ง” ผู้”ข้ามฟาก ทั้ง”วินรถจยย.รับจ้าง” ที่”รับ-ส่ง” ผู้คนจาก”ท่าเรือ” เข้าไปใน”ตัวเมือง” คน”ค้าขาย” และ”กลุ่ม”ขนสินค้าเถื่อน” ซึ่ง”มาตรการ”ของ”รัฐกลันตัน” ครั้งนี้ ต้องมีผล”กระทบ”กับ”เศรษฐกิจ”การค้า” ของคน”ตัวเล็กตัวน้อย” ในพื้นที่ ไม่มากก็น้อย เป็นเรื่องที่ต้อง”ปรับตัว”ของคนในพื้นที่  ส่วนจะให้”ทางการไทย” ไป”ขอให้”รัฐกลันตัน”ทำผิด”กฎหมาย” แบบ”รัฐไทย” ที่ ปล่อยปละละเลย” ให้มีการ”เข้าเมืองผิดกฎหมาย” และปล่อยให้มี”เสรีภาพ” ในการ”ขนสินค้าเถื่อน” ที่ผิดกฎหมาย ทั้งของ”ศุลกากร,สรรพสามิต” และ” ป.วิอาญา” คงจะเป็นไปไม่ได้

แต่ในส่วนของ”ขบวนการขนสินค้าเถื่อน,ขบวนการค้ายาเสพติด,ขบวนการค้าคนเถื่อน,ขบวนการค้าวัวเถื่อน” คงเป็นไปเหมือนเดิม เพราะยังมี”ท่าข้าม” อีก 200 กว่าท่า ที่ยังไม่มีการ”สั่งปิด”โดยเฉพาะใน อ.ตากใบ” ที่เพียงอำเภอเดียวมี”ท่าข้ามเถื่อน”กว่า 150 ท่าข้าม….. และการ”ปิดท่าข้าม” ทั้ง 7 แห่ง ก็ไม่ได้”ส่งผล” กับ”การก่อการร้าย”ของ”บีอาร์เอ็น” เพราะโดยปกติ” บีอาร์เอ็น “ก็ไม่ได้ใช้”ท่าข้าม” ใน “เขตเทศบาลสุไหงโก-ลก” อยู่แล้ว ดังนั้น”นัย” ที่”สำคัญ” ของการที่” ผู้ปกครองรัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย” สั่งปิดท่าข้ามเถื่อน” ทั้ง 7 ท่าข้าม เป็นการต้องการ”จัดระเบียบ”ให้คน”มาเลเซีย” เดินทาง”เข้า-ออก” ตาม”กฎหมาย”การ”เข้าเมือง” ต้องการไม่ให้”เม็ดเงิน” จาก”รัฐกลันตัน” หลั่งไหล เข้ามายัง”ฝั่งไทย” โดยอาศัยเรื่องการที่”นักร้องมาเลเซีย” ถูก”จับกุม”จากเรื่องของ”ยาเสพติด” และที่ลึกๆในทาง”การเมือง” ผู้”บริหารรัฐกลันตัน” เห็นว่า”ฝ่ายไทย” ไม่ได้ให้ความ”สำคัญ” กับ”ผู้บริหาร”ของรัฐกลันตัน” ในฐานะของ”เพื่อนบ้าน” โดยให้ความ”สำคัญกับ”รัฐบาลกลาง”ของ “มาเลเซีย” เพียงอย่างเดียว ทั้งที่”ประเทศมาเลเซีย” ปกครองในรูปแบบ”สหพันธรัฐ” ที่แต่ละรัฐมี”สุลต่าน” มี”มุขมนตรี” มี”ผู้ว่ารัฐ” มี”หัวหน้าตำรวจรัฐ” และมี”กฎหมายท้องถิ่น”ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละรัฐ  นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา “ตำรวจรัฐกลันตัน”  ยังมีการ”เข้าแผน” กวาดล้อม”ขบวนการนำแรงงานผิดกฎหมาย” หรือ”ค้ามนุษย์” จาก”ประเทศไทย”ไปยัง”รัฐกลันตัน” ได้ผู้ต้องหาที่เป็น”คนไทย” และของกลางที่เป็น”รถตู้” และ”แรงงานเถื่อน” เพื่อดำเนินการตาม”กฎหมาย” ของ”ประเทศมาเลเซีย  ซึ่งเรื่องทั้งหมด ถ้าไม่มีการทำ”ความเข้าใจ” และ”ร่วมมือกัน” ระหว่าง”ท้องถิ่น” ทุกอย่างก็มีโอกาสที่จะ”บานปลาย” ก็ต้องถามว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่งเป็น”เจ้าภาพ” ในการแก้ปัญหา”ความไม่สงบ” จะถือโอกาสที่” ผู้บริหารรัฐกลันตัน” ใช้”กฎหมาย”ในการ”ปิดท่าข้ามเถื่อน” ในส่วนของ”ท่าข้ามเถื่อน” ที่เหลือ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะทำการ” ปิด” แบบเดียวกับ”มาเลเซีย” ได้หรือไม่ เรื่องนี้”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4” มี”นโยบาย” อย่างไร

มีการสอบถามมาจาก”ผู้คนในพื้นที่”ของ” จังหวัดชายแดนภาคใต้” ทั้งที่เป็น”ไทยพุทธ” และเป็น”มุสลิม” ถึงความ”คืบหน้า” ในการ”คลี่คลายคดี” การ”ปลิดชีพ”ของ”นายกอาร์ม” นายพิเซษฐ์ ไทยทองนุ่น “นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลรือเสาะ” จ.นราธิวาส ที่ผ่านไปแล้ว 1 เดือน แต่ยังไม่มีความ”คืบหน้า” ในการ “จับกุมคนร้าย รวมทั้ง”สาเหตุ”ของ”คดี” ที่เกิดขึ้น” วันนี้” ตำรวจ” จึงกลายเป็น”จำเลย” ของ”สังคม” ในคดีของการ”ปลิดชีพ” ของ”นายกอาร์ม” เมื่อ”พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 และ” พล.ต.ต. ไมตรี สันตยานุกุล” ผบก.ภ.จว. นราธิวาส ยังมัวแต่ “แบะๆๆ” ก็ต้อง”ทวงถาม”ไปยัง” พล.ต.อ.กิตต์รัฐ พันธุ์เพ็ชร” ผบ.ตร.ซึ่งเป็น”เบอร์ 1 “ ของ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยเป็นธุระ”จี้ไช” หรือ”ไขลาน”ตำรวจในพื้นที่ให้ทำงานให้มีความ”คืบหน้า”เพราะวันนี้ ไม่ใช่แต่ “คนในพื้นที่” ที่รอความ”กจะจ่าง” ของ”คดี” และรอที่จะเห็น”โฉมหน้า”ของ”คนร้าย” แต่”ครอบครัว”ของ”นายกอาร์ม” ก็”รอคอย” ความ”เป็นธรรม” จาก”ตำรวจ” เช่นเดียวกัน

เรื่องของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ “ศอ.บต.” ที่ วันนี้ อยู่ระหว่างการ”เตรียมการ” เพื่อการให้ได้มาซึ่ง” สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ภายใน 120 วัน หลังการ ยกเลิกคำสั่ง คสช. โดยมีการลงประกาศใน”ราชกิจจานุเบกษา”  สิ่งที่ต้อง”เข้าใจ”คือ” สภาที่ปรึกษาฯ” ไม่ใช่”ยาวิเศษ” ในการที่จะทำให้”การพัฒนา” และการ”แก้ปัญหา” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”หมักหมม” และไร้ซึ่ง”เอกภาพ” รวมทั้งการ”บูรณาการ” ที่”ไม่เป็นจริง” ถ้า”ศอ.บต.” ไม่มี”ยุทธศาสตร์” ในการ”ตอบโจทย์” ของ”ปัญหา” ที่เป็น”เนื้องาน” ของ”ศอ.บต.” อย่าง”แท้จริง” การมี”สภาที่ปรึกษา” เพียงอย่างเดียว ก็ไม่สร้างทำให้งานของ”ศอ.บต.” มีความ”สำเร็จ” ผู้ที่เป็น”เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” คือ”คีย์แมน” ที่ สำคัญที่จะเป็นผู้นำความ”สำเร็จ” ให้เกิดขึ้นกับ จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งต้องมีการ”ทบทวน” ว่า ตั้งแต่ “พ.ต.ท.วรรณพงศ์ คชรักษ์” มารับตำแหน่ง” เลขาธิการ ศอ.บต. ย่างเข้าปีที่ 2 มีความ”เปลี่ยนแปลง” อะไรกับ”ศอ.บต.” และกับ”พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือไม่ อย่างไร ต้องย้อนไปดูว่าปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ใน”มิติ”ของ”ศอ.บต.” มี อะไรบ้าง และมี”ปัญหา” มี”อุปสรรค” ตรงไหน ทำไม่ “ศอ.บต. ในยุคนี้จึงเป็นหน่วยงานที่”ไม่ตอบโจทย์” การ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ในทุก”มิติ” เรื่องนี้ “ศอ.บต. ต้อง”ตั้งหลัก” เพื่อการ”ขับเคลื่อน” การ”พัฒนา” อย่างมี”ยุทธศาสตร์”

ปัญหาของ”ศอ.บต. “ คืนการทำงานแบบการ”บูรณาการ” กับ”ฝ่าย”ปกครอง” หรือ”ผู้ว่าราชการจังหวัด “ ใน”ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็น”ด้านหลัก” แต่ วันนี้ ตำแหน่ง”รองเลขาธิการ” ทั้ง 4 คนของ “ศอ.บต.” ไม่มี”ตัวแทน” ที่เป็นคนของ”กรมการปกครอง” แม้แต่คนเดียว ที่มีการ”โยกย้าย” มาเป็น”รองเลขาธิการ ศอ.บต.” มีจาก” สภาความมั่นคง” มาจาก”ดีเอสไอ” มาจาก” ปปส.” ทั้งที่เรื่องของ “ดีเอสไอ” และ” ปปส.” ก็ไม่ใช้งาน”ด้านหลัก” ของ”ศอ.บต.” ดังนั้นการ”ประสานงาน” เพื่อ”บูรณาการ” กับ”ฝ่ายปกครอง” ของ”ศอ.บต.” จึงมีปัญหา และมี”ช่องว่าง”ในเรื่อง”วัฒนธรรมองค์กร” โดย”ข้อเท็จจริง” หาก”รัฐบาล” ยังคิดที่จะใช้ ” ศอ.บต. “ เป็น”กลไก” ในการแก้ปัญหาใน”มิติ” ของงานที่”ศอ.บต. “ รับผิดชอบ ควรจะ”พิจารณา” ให้ “ศอ.บต.”ไปขึ้นกับ”กระทรวงมหาดไทย” แทนที่จะ”ขึ้นตรง” กับ” สำนักนายกรัฐมนตรี” อย่างในปัจจุบัน” และ”เลขาธิการ ศอ.บต.” ต้องมาจาก” กระทรวงมหาดไทย”  นี่เป็น”การบ้าน” ที่ต้องการ”สื่อ” ไปยัง” รัฐบาล” หากต้องการใช้”ศอ.บต.”สามารถ”ตอบโจทย์”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”  และทำให้”ศอ.บต.เป็น องค์กรที่มี”ประสิทธิภาพ” อย่างแท้จริง…..วันก่อน “พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรัตน์” เลขาธิการ ศอ.บต. เพิ่งจะ”แถลงข่าว” เรื่อง”ความเชื่อมั่น” ของประชาชน ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่” ดีขึ้น”  แต่หลังจากนั้นเพียง 2 วัน” บีอาร์เอ็น” ก็”สั่งการ”ให้มีการ”ป่วนใต้” ครั้งใหญ่ รวมทั้งการ”ยิงทำลาย” ที่พักคนงานในการก่อสร้าง” เจ้าแม่กวนอิม” ที่ อ.เทพา จ.สงขลา ด้วย วันนี้”ความเชื่อมั่น” ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” คงจะ”ตกต่ำ” ลงไปอีกครั้ง    เชื่อ เถอะ   เรื่องของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ถ้าต้องการ”สร้างความเชื่อมั่น” หมายถึงต้อง”ยุติการก่อการร้าย” ให้ได้เท่านั้น

หลัง”คาราคาซัง” มานาน ในเรื่องของ”การทิ้งงาน” การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารสนามบินจังหวัดตรัง งบประมาณ 1.2 พันล้าน วันนี้”อธิบดีกรมท่าอาการยาน” แจ้งบอกเลิกสัญญากับ “บริษัทผู้รับเหมา” แล้ว หลัง “ปปช. เข้ายื่นหนังสือ”ร้องเรียน” กับ”มนพร เจริญศรี” รมช.ช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ส่วนความ”เสียหาย” ที่เกิดขึ้นก็ต้อง”ไล่เบี้ย”กับ”ผู้รับเหมา” ส่วนจะได้หรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป

บรรทัดนี้ ขอแสดงความยินดีกับ” พจท. อนันต์ บุญสำราญ” อดีต รอง ผวจ.ยะลา  ที่มีคำสั่งจาก”กรมการปกครอง”ให้ไปทำหน้าที่ รอง ผวจ.ตรัง คนดี มีฝีมือ คงจะทำให้ จ.ตรัง มีการ พัฒนา ในหลายๆด้าน และ แสดงความยินดีกับ” พล.ต.ต. นิตินัย หลังยาหน่าย” รอง ผบช.ภ. 9 ที่ได้”ขยับ”ไป”กินตำแหน่ง” ผบช. ตชด.” และ” พล.ต.ต. ปราบพาล มีมงคล” ที่”ขยับ”ไปติดยศ” พล.ต.ท.” ในตำแหน่ง ผบช. ประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

หน้า “มรสุม” ของ”ภาคใต้ฝั่งตะวันออก” หลายจังหวัดอยู่ใน”ภาวะ”ของ”ความเสี่ยง” กับเรื่อง”อุทกภัย” ที่ จ.พัทลุง” มีการประกาศ”เขตภัยพิบัติ” แล้วในหลายพื้นที่ ส่วนที่ จ.นราธิวาส “ทหาร” จาก” ฉก.ต่างๆ ในพื้นที่ มีการเตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชน ที่”นักการเมือง” บางพรรค ชอบถามว่า”มีทหารไว้ทำอะไร”  ก็ให้เดินทางลงพื้นที่บ้างจะได้เห็นว่า”ทหารมีไว้ทำอะไร” ส่วนในพื้นที่”ภาคใต้ฝั่งตะวันตก” ห้วงนี้เป็นช่วง”เทศกาล การท่องเที่ยว” แต่ ก็ไม่ควรประมาท เพราะช่วงหลังๆ มีเหตุการณ์” เรือที่บรรทุกนักท่องเที่ยว” ไปยัง”เกาะแก่ง” ต่างๆ  ทั้งใน” ภูเก็ต” ใน”กระบี่” เกิดเหตุ “เรือล่ม” และ”ไฟไหม้” บ่อยครั้ง เจ้าหน้าที่หน่วยไหน”รับผิดชอบ” ต้อง”เข้มงวด”  ตรวจสอบความพร้อมของเรือ” และ”อุปกรณ์ช่วยชีวิต” ให้มี”ความพร้อม” โดยเฉพาะเรื่องของ” พนักงาน”ที่ทำหน้าที่”ควบคุมเรือ” ต้องไม่”มักง่าย” ไม่”ประมาท” และไม่”เห็นแก่รายได้” จนลืมความ”ปลอดภัย” ของ”นักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผู้โดยสาร เพราะกลุ่มคนที่”ทำลายการท่องเที่ยว” ของประเทศไทยมีเพียง 2 กลุ่ม “ หนึ่งเจ้าของกิจการ” และสองคือ”เจ้าหน้าที่รัฐ ที่”หย่อนยาน” ในการ”ปฏิบัติหน้าที่” และ”เห็นแก่ประโยชน์” หรือ”ส่วย” ที่มีการ”หยิบยื่น” จาก”เจ้าของธุรกิจ” ที่”ทำผิดกฎหมาย” เป็นเรื่องนี้  เสนาบดีท่องเที่ยวและกีฬา” ต้อง”ใส่ใจ”ให้มาก เพราะ”อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” คือ”เครื่องจักรเครื่องเดียว” ณ วันนี้ที่ยัง”ขับเคลื่อน” และนำ”เม็ดเงิน” เข้าประเทศ….แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดี ครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…แจก ‘เงินหมื่น’ฉุดเศรษฐกิจไทยพ้นหลุดดำได้จริงหรือ?

เริ่มต้นที่เรื่องของ”การเมือง” ซึ่งใน”ภาพรวม”ของ”รัฐบาล” ที่มี”เพื่อไทย” เป็น”แกนนำ”ของ”รัฐบาล” และมี แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”หัวหน้ารัฐบาล” หรือ”นายกรัฐมนตรี” ยังไม่มี”สัญญาญบวก” ใดๆ ที่จะบอกกับ”ประชาชน” ว่า” ประเทศไทย” กำลัง”จะขึ้นจาก”หลุมดำ” ทั้งทาง”เศรษฐกิจ” และทาง”การเมือง” ซึ่ง” กูรูก”ทาง”การเมือง” และ”บรรดา”โหรจริง” และ”โหรต่องแต่ง”” ต่างก็ยัง”ทำนายทายทัก” ถึง”อายุ”ของ”รัฐบาล” ว่าไม่”อยู่ยาว” เพราะ”บริบท” ของ”รัฐบาล” ที่เล่นกับ”กฎหมายรัฐธรรมนูญ” แบบการ”ไต่บันไดลวด” ตาม”แบบฉบับ” ของ” ทักษิณ ชินวัตร” ทั้งเรื่องของ”ชั้น 14” ที่ “โรงพยาบาลตำรวจ” ที่กำลัง”ขมวดปม”เข้ามาทุกที เรื่องการ”ครอบงำ”พรรคการเมือง” ที่ไม่ใช่การ”ครอบครอง” และเรื่องอื่นๆ ที่”นักร้อง” ยื่นต่อ”ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้”วินิจฉัย”ซึ่ง”สุดท้าย” แล้ว การ”วินิจฉัย” ก็ต้อง”เกิดขึ้น” อยู่ที่”ช้า”หรือ”เร็ว” เท่านั้น…..ในขณะที่” นักพยากรณ์” ต่างก็นำเอา”ดวงเมือง” กับ”ดวง”ของ”ผู้นำ” มา”ตรวจสอบ” และมีการ”ฟันธง” ไปในทาง”ลบ” ทั้ง”ดวงเมือง” และ”ดวงผู้นำ” ในขณะที่” นัก”วิพากษ์วิจารณ์” ที่มี”อคติ” กับ” ผู้นำ” และกับ”ตระกูลชินวัตร” ก็ “พยายาม” หยิบโน่น จับนี่” รวมทั้ง”ภาษาพูด” และ”ภาษากาย” ของ” นายกอิ๊งค์”  ทั้งในการเดินทางไป”ประชุม” ยัง”เวทีโลก” มาเพื่อ”ด้อยค่า” ของ”ผู้นำประเทศ” นี่ก็เป็นการ”ซ้ำเติม” ให้”สถานการณ์” ของ”การเมืองไทย” เดินไปสู่ความ”เลวร้าย” ใน”สายตา” ของ”คนทั่วโลก” เพราะวันนี้เป็นยุค”ไร้พรมแดนของข่าวสาร”

ในส่วนของ”ประชาชน” ส่วนใหญ่ของประเทศ วันนี้สิ่งให้”ถามไถ่” อย่าง”ใจจดใจจ่อ” นั้นคือเรื่อง”แจกเงิน” ให้ประชาชนที่ไม่ใช่คนที่ถือ”บัตรสวัสดิการ” และกลุ่ม”คนเปราะบาง” คนละ “10,000” บาท ว่าจะได้เมื่อไหร่ และยังจะมีการ”แจกจริง” หรือไม่ เพราะ”ความหวัง”ของ”คนส่วนใหญ่” ต้องการได้รับการ”แจกเงิน” เพื่อแก้ปัญหาความ”ยากจน” ที่เกิดขึ้น เพราะ”ทางอื่น” ที่จะให้”เป็นความหวัง” ยัง”ว่างเปล่า”…..”ข่าวร้าย” สำหรับ”ผู้ใช้แรงงาน” นั้นคือ ทุกเดือน จะมีการ”ปิดโรงงาน” เพราะไม่มี”ออเดอร์” ในการ”สั่งของ” สายการผลิต มีปัญหา “นายทุน” จึง”ปิดโรงงาน” และส่วนหนึ่ง ใช้วิธีการ”ลดคนงาน” เพื่อให้”โรงงาน” ให้”ธุรกิจ” เดินต่อไปได้ ดังนั้นไม่ต้องมี”โหรใหญ่” หรือ”โหรต่องแต่ง” ที่ไหนมา”ทำนายทายทัก” ก็เป็นที่”รู้กัน” ว่า ปี 2568 จะเป็นที่”เลวร้าย” ในทุกด้านของ”ประเทศไทย” เรื่องนี้” รัฐบาล”รู้ และ”นักการเมือง”รู้  ผู้บริหารกระทรวงทุกกระทรวง” ต่างรู้ แต่ยังมองหา”ทางออก” จาก”หลุมดำ” นี้ไม่เจอ …… นโยบายทาง”เศรษฐกิจ” ของ”รัฐบาล” ไม่ว่าจะ เดินอย่างไร ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ”เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศ” วันนี้”ติดกับ” หนี้สินครัวเรือน” ที่สูงกว่า”มาตรฐาน” และ ส่งผลกระทบกับ”ธุรกิจ”ทุกภาคส่วน” เจ้าของบ้านจัดสรร “ ขายบ้านไม่ได้ เพราะ”ธนาคาร” ไม่”อนุมัติสินเชื่อ” ให้กับผู้ที่มี่ต้องการ”ซื้อบ้าน” โดยเฉพาะ”บ้านจัดสรร” ที่ราคา 1 ล้านบาทขึ้นไป วันนี้”เหลือบานเบอะ” สร้างแล้ว ขายไม่ออก เจ้าของโครงการ”แบกหนี้หลังแอ่น” สุดท้ายจนที่ธุรกิจ”ล่มจม” ถูก” สถาบันการเงิน” ฟ้อง”ยึดทรัพย์”…..”ตลาดรถมือสอง” กำลัง” กำลังตายสนิท” เพราะ”ขายไม่ออก” คนซื้อนะมี แต่”ไฟแนนซ์” ไม่ให้”สินเชื่อ” เมื่อก่อน”มีรถยนต์” เท่ากับมี”เงินสด” เพราะสามารถเข้า”ไฟแนนซ์” ได้ แต่วันนี้ต้อง”จำนำ” กับ” นายทุนดอกโหด” หากต้องการ”ใช้เงิน” ดังนั้น”การเข้าถึง”เงินทุน”ของ” ผู้ลงทุนระดับล่าง” และ”คนชั้นกลาง” อยู่ใน”ภาวะตีบตัน” เพราะ”สถาบันการเงิน” ไม่”เสี่ยง” ในการ”ปล่อยสินเชื่อ”

ที่ สำคัญวันนี้”ชนชั้นกลาง” ของประเทศ ที่มี”ภาระหนี้สิน” ในการ”ผ่อนบ้าน” เดือนละ 50,000 บาท ขึ้นไป เริ่ม”ผ่อนไม่ตรงเวลา” จาก”ลูกค้าชั้นดีของสถาบันการเงิน” กลายเป็น”ลูกค้าผิดนัด” ยิ่งทำให้”สถาบันการเงิน” ยิ่ง”ระมัดระวัง” ในการ”ปล่อยกู้” หรือ”ปล่อยสินเชื่อ” มากยิ่งขึ้น ก็ต้องถามว่า” รัฐบาล” และ”ผู้นำรัฐบาล” จะ “ขับเคลื่อน”ประเทศไทย” ในด้านของ”เศรษฐกิจ” การค้า  การลงทุน อย่างไร เมื่อ”สถาบันการเงิน” ทำการ”รูดซิป” ปิด”กระเป๋าเงิน” ถามว่า” รัฐบาล” จะ”บังคับ” สถาบันการเงิน “ปล่อยกู้” ให้กับ”ผู้ทำ”ธุรกิจ” หรือ” ประชาชน” ทั่วไป ได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ สถานการณ์”เศรษฐกิจ” การค้า” ของ”ประเทศจะ”ฟื้น”ได้อย่างไร เมื่อ”เงินอยู่กับนายแบ๊งค์” ไม่ได้อยู่กับ”รัฐบาล” และ”รัฐบาล” ก็ไม่มี”อำนาจ” ในการ”บังคับ” บรรดา”นายแบ๊งค์” ให้ทำตาม”นโยบาย” ของ”รัฐบาล” ประเทศไทยจึงยังคงอยู่ใน”หลุมดำ” เพราะไม่มี”บันได” ให้ขึ้นจากหลุม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ของ”ชนชั้นกลาง” ซึ่งเป็นคน”ส่วนใหญ่” ของ”ประเทศ” ก็น่าจะ”เอวัง พอมี ด้วย ปะการะ ฉะนี้

ฟังการขึ้นเวลา”หาเสียง”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐตรี” ซึ่งไป “ขึ้นเวที ” เพื่อหาเสียงให้กับ”ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี” ที่เป็นการ”แข่งขัน”ระหว่างผู้สมัครของ”พรรคเพื่อไทย” กับของ”พรรคประชาชน”  ซึ่งก็ยังเป็นการ”ตอกย้ำ” ในปัญหาเก่าๆ ที่”รัฐบาล” ยังแก้ไม่ได้ เช่นเรื่อง”ยาเสพติด” ที่”ระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมือง” ที่ในการ”หาเสียง” ของ”พรรคเพื่อไทย” ก็บอกกับชาวบ้านว่า”เพื่อไทยมายาเสพติดหมด” แต่”เพื่อไทย” เป็น”รัฐบาล” เข้าปีที่ 2 แล้ว “ยาเสพติด” ยังคง”เต็มบ้านเต็มเมือง” วันนี้”ทักษิณ ชินวัตร” ก็ยังขึ้นเวที”หาเสียง” ด้วยการที่จะ”ปรามปรามยาเสพติด” ซึ่งเหมือนกับ”ปาหี่ทางการเมือง” เพราะ วันนี้ไม่มีใครเชื่อ”น้ำยา” ในการ”ปราบปรามยาเสพติด” อีกแล้ว เพราะ”เพื่อไทย” เป็น”รัฐบาล” มาแล้ว เข้าปีที่ 2 ยังไม่มีอะไรที่เรียกว่า”เป็นชิ้นเป็นอัน” สำหรับการ”ปราบปรามยาเสพติด”

เรื่องการแก้ปัญหา”ความยกจน” ด้วยการ”แจกเงิน” การ”ขึ้น”ค่าแรง” การขึ้น”เงินเดือน” ให้กับผู้จบ”ปริญญาตรี” นี่ก็เป็นเพียงการ”ขายฝัน” ที่” พรรคเพื่อไทย” ขายมาแล้ว ตั้งแต่การ”ขึ้นเวที” ในการ”หาเสียง” ในการ”เลือกตั้ง” ที่” แพทองธาร ชินวัตร” ยังทำหน้าที่เป็น”หัวหน้าครอบครัว” ของ”พรรคเพื่อไทย” และจนถึงบัดนี้”แพทองธาร ชินวัตร” มาเป็น”นายกรัฐมนตรี” แทน”เศรษฐา ทวีสิน” ที่”ตกกระป๋อง” เพราะการแต่งตั้ง” พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรี” ที่ขัดกับ”กฎหมายรัฐธรรมนูญ” เรื่องการ”ขึ้นค่าแรง” ขึ้น”เงินเดือน” ก็ยังเป็นเพียง นโยบาย ที่”เฟ้อเจ้อ” เพราะใน”โลกของความเป็นจริง” ที่” พิพัฒน์ รัชกิจประการณ์” ซึ่งเป็น” รัฐมนตรีแรงงาน” ประกาศขึ้น”ค่าแรง” วันละ 400 บาท พยายามเรียกประชุม”ผู้เกี่ยวข้องมาแล้ว 2 ครั้ง ก็ยัง”ล้มเหลว” เพราะฝ่ายของ”นายจ้าง” คัดค้านการขึ้น”ค่าแรง” และ”เล่นเกม” กับข้อ”กฎหมาย” โดยไม่เข้าร่วมประชุม เมื่อเป็นอย่างนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ยังจะไป”ป่าวประกาศ” กับชาวบ้านในเรื่องการ”ขึ้นค่าแรง” การขึ้น”เงินเดือน” ก็เป็นเรื่องการ”หลอกลวง” ที่ไม่เป็น”ความจริง”  เรื่อง”นโยบาย”ของการ”หาเสียง” ถ้า”กกต. “  เอาจริง กับทุกพรรคการเมือง ป่านนี้”พรรคการเมือง” ที่มีอยู่ต่างถูก”ยุบพรรค” หมดแล้ว เพราะ”นโยบาย”ในการ”หาเสียง” ของ”ทุกพรรคการเมือง” ล้วนแต่เป็นการ”หลอกลวง” ให้ประชาชน”หลงเชื่อ” ทั้งสิ้น

มาที่ “แผ่นดินปลายด้ามขวาน” เรื่องของ”ตากใบ” จบแล้ว สำหรับ “ขบวนการของกฎหมาย” ในการที่จะ”เอาผิด”กับ”บุคคลที่ถูกศาลออกหมายจับ” เพราะ”ตำรวจ” จับใครมาเป็นผู้”ต้องหา” ไม่ได้แม้แต่คนเดียว จนต้องปล่อยให้”คดีหมดอายุความ” เรื่องนี้”ทางกฎหมาย” ณ วันนี้จึง”จำหน่ายคดี”โดยไม่มี”คนทำผิด” แต่”พรรคการเมือง” ที่”โหนกระแสของตากใบ” ยังไม่จบ เพราะมีการตั้ง” คณะทำงาน” เพื่อ”ศึกษาเรื่องของคดีตากใบ” เพื่อให้เป็น”แนวทาง”ในการ”คืนความยุติธรรม” ให้กับ”ผู้ที่”สูญเสีย” คดีนี้เป็นที่”สังเกต” ว่า ผู้ที่เป็น”ผู้สูญเสีย” กลายเป็นผู้ที่”เสียสิทธิ” ในการ”พูดเพื่อแสดงออก” เพราะทุก “กรณี” คนที่ออกมา”พูดแทน” ครอบครัวของผู้”สูญเสีย” และ”ประชาชน” ในพื้นที่ ในขณะที่ผู้มีอาชีพเป็น” สื่อมวลชน” ก็ได้แต่”นำสาร” ของ” ฝ่ายการเมือง” ของ”นักกิจกรรม” ของ”ภาคประชาสังคม” ในการ”ส่งสาร”ไปยัง”ประชาชน” ผู้เป็นผู้”เสพสื่อ” วันนี้”เสียงประชาชน” ที่แท้จริง ในพื้นที่ของ”ปลายด้ามขวาน”  จึงถูก”แทนที่” ด้วย”นักการเมือง” และ อื่นๆ ซึ่งล้วนแต่มี”ผลประโยชน์” ที่”แฝงเร้น” โดยอ้างการเป็น”เสียงของประชาชน” ทั้งที่เป็นการ”เคลมเอาเอง” เพราะไม่เคยได้รับ”ฉันทามติ” จาก”ประชาชน”….. ซึ่งก็ไม่ผิดกับ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ที่อ้างว่าเป็น”ตัวแทน”ของประชาชนใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งต้องถามไปยัง “แกนนำ” ของ”บีอาร์เอ็น” อย่าง “คอซาลี เวาะเล” หรือ” ลี สะปอม” ประธานขบวนการบีอาร์เอ็น และ”นิเซะ นิฮะ”หรือ”เปาะอาซิ” เลขาธิการของ บีอาร์เอ็น ว่า ได้รับ”ฉันทามติ” ให้เป็นตัวแทนของ ประชาชนที่ สามจังหวัด และ สี่อำเภอของ จ.สงขลา ที่เป็น”มุสลิม” ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งหมดล้วนเป็นการ”เคลมกันเอง” เพื่อ ประโยชน์ ที่ต้องการทั้งสิ้น

ผ่านไปแล้วเกือบ 1 เดือนกับ คดีการ”ปลิดชีพ”ของ” พิเชษฐ์ ไทยทองนุ่ม” หรือ”นายกอาร์ม” นายกเทศบาลตำบลรือเสาะ จ.นราธิวาส และ “นายกสมาคมกีฬาจังหวัดนราธิวาส” ที่ เจ้าหน้าที่ยังไม่”แถลงความคืบหน้า” ของการ”จับคนร้าย” รวมทั้งการ”ปลิดชีพ” ”นายกอาร์ม” มาจากสาเหตุอะไร เรื่องนี้ ประชาชน กำลัง”จับจ้อง”ไปยัง “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 ด้วยความ”สงสัย” ทำไมคดีนี้จึงเป็นไปด้วยความ”ล่าช้า” ยิ่งกว่าการ”คืบคลาน” ของ”หอยทาก” ทั้งที่ในการ”สืบสวน”ใน”ทางลับ” รู้ว่ามี”หนอนบ่อนไส้” ใน โรงงาน”แฮนด์อินแฮนด์” ทำหน้าที่”ส่งข่าว” ให้กับ”มือสังหาร” ให้เข้ามา”ปลิดชีพ” ของ”นายกอาร์ม” ที่มาประชุมในห้องประชุมของโรงงาน” แฮนด์ อิน แฮนด์” รวมทั้งรู้ว่า”มือสังหาร” ทั้งหมด มาจาก”หมู่บ้านใด”ของ” ต.รือเสาะ และ รู้ด้วยว่าสาเหตุมาจาก”เรื่องอะไร” และใครเป็นผู้”บงการ” เรื่องนี้ถ้า”จับใครไม่ได้” โดยปล่อยให้”คนดีๆ” อย่าง”นายกอาร์ม” ตายฟรี ทั้ง” พล.ต.ต. ไมตรี สันตยานุกุล ผบก.ภจว.นราธิวาส และ พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 ต้อง “พิจารณา ตนเอง

ใน ส่วนของ “พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 เรื่อง สำคัญที่สุดคือเรื่อง”การข่าว” ในพื้นที่ ของ”รือเสาะ” และความพร้อมของ”กองกำลัง” ในการ”ติดตาม” ตรวจสอบ”ความเคลื่อนไหว” ของกลุ่ม”อัมรัน แมเราะ” ซึ่ง เกี่ยวข้องกับการ”ปลิดชีพ”ของ”นายกอาร์ม”วันนี้”ทั้ง” แนวร่วม” และกลุ่ม”มือสังหาร” หลัง”เสร็จงาน” ได้”หลบหนี”ไป”หลบซ่อน” นอกพื้นที่แล้วก็จริง แต่ไม่นานก็จะ”กลับมา” ตาม”ลักษณะ”ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ดังนั้น จึงอย่างพลาดในการเข้า”ปิดล้อม” และ”ตรวจค้น” เพื่อ”จับกุม” ที่สำคัญสิ่งที่ต้องการเห็นคือการทำให้”รือเสาะ” เป็นพื้นที่”ปลอดอิทธิพล” ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ด้วยจำนวน “กองกำลังติดอาวุธ”  ที่มีอยู่ “ 1 พลาตง” จำนวน 36 คน และ สต๊าป อีก 12 คน ถ้า”เจ้าหน้าที่” ในพื้นที่ “เอาจริง” ก็ต้องมี”แนวทาง” ของความ”สำเร็จ” ……ที่สำคัญ ใน”ฝ่ายปกครอง” ของ”จังหวัดนราธิวาส” การแต่งตั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งนี้” กรมการปกครอง” มีการแต่งตั้งให้”วิชาญ ไชยเศรษฐสัมพันธ์” อดีต นายอำเภอรือเสาะ มาทำหน้าที่”รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส” ด้วยประสบการที่เคยทำงาน”การข่าว” และเป็น”นายอำเภอ”ในพื้นที่รวมทั้งเป็นผู้ที่มี”มาตุภูมิ” ใน จ.นราธิวาส น่าจะเป็น “กำลังหลัก” ในการ ช่วยเหลือ  เจ้าหน้าที่ทหาร ในการทำ”จัดการ” กับ”กองกำลังติดอาวุธ” ในพื้นที่ของ”รือเสาะ” ให้เป็นพื้นที่”ปลอดภัย”

ล่าสุด พล.ท. สุรเทพ หนูแก้ว  ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5  กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  นำ”สื่อส่วนกลาง” ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการ”รับรู้สถานการณ์ความเป็นจริง”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งจะ”สนับสนุนงานการข่าว” ให้”สื่อมวลชนส่วนกลาง” ได้เห็นรู้ข้อเท็จจริง จะได้ไม่กลายเป็น” เครื่องมือ” ของฝ่าย”การเมือง(บางกลุ่มบางพรรค) และ “เอ็นจีโอ” รวมทั้ง”ปีกการเมือง”ของ” บีอาร์เอ็น” ที่”แฝงกาย” ภายใต้ชื่อ”ภาคประชาสังคม” ในการ”บิดเบือนข้อเท็จจริง” ให้”สื่อสวนกลาง” เข้าใจผิด ในเรื่องของ”สถานการณ์”ของ”ไฟใต้” ที่”สื่อ” ( บางคน ) ยังมอง ว่าปัญหา”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มาจากเรื่อง”ความไม่เป็นธรรม” ที่คน”มุสลิม” ในพื้นที่ได้รับการปฏิบัติจาก”ข้าราชการ” ทั้งที่ โดยข้อเท็จจริง  คน”มุสลิม” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ได้รับการ”ดูแล” และ”เอาใจใส่” รวมทั้งได้รับ”สิทธิพิเศษ” มากกว่าคน”ไทยพุทธ” ที่อาศัยอยู่ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” นาๆนับประการ จนเป็นเหตุให้”คนไทยพุทธ” น้อยใจ และ เห็นว่าวันนี้”ไทยพุทธ” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ”คนกลุ่มน้อย” ที่ขาดความ”เท่าเทียม” กับคน”มุสลิม” ที่กลายเป็น”ส่วนใหญ่” ในพื้นที่ ก็หวังว่าการที่” เดอะจ้อย” พล.ท. สุรเทพ หนูแก้ว “ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กอ.รมน.” นำ”สื่อส่วนกลาง” ลงพื้นที่ใน” จังหวัดชายแดนภาคใต้” ครั้งนี้ จะเป็น”ประโยชน์” กับการ”ดับไฟใต้” โดย”งบประมาณ” ไม่”สูญเปล่า” อย่างที่ เคยเกิดขึ้น

ส่วนในพื้นที่ วันนี้ มี”ปรากฎการณ์”ที่เป็น”เชิงบวก” เกิดขึ้น อย่างน้อย 2 อย่าง เช่น”มุขมนตรีคนใหม่” ของ”รัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย ประกาศที่จะ”ไม่อนุญาต” ให้มีการข้ามประเทศใน”ช่องทางธรรมชาติ” ใน “แนวแม่น้ำสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส เพื่อป้องกัน”อาชญากรรมข้ามชาติ” เช่นการ”ค้ายาเสพติด” และ”การค้าสินค้าเถื่อน” ทั้งที่ไปจาก”ประเทศไทย” และที่มาจาก”ประเทศมาเลเซีย” โดยมีการกำหนดวัน”ดีเดย์” คือวันที่ 1 ธันวาคม 2567  ใครที่ใช้”ท่าข้ามธรรมชาติ” จาก”รัฐกลันตัน” มายัง ประเทศไทย และ ใครที่ข้ามจาก”ประเทศไทย”ไปยัง”รัฐกลันตัน” จะถูก”จับกุม” โดย “เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” ในข้อหา”เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” ซึ่งทางที่ถูกต้อง” เมื่อ”รัฐบาลไทย” ไม่มีการ”เคลื่อนไหว” ใดๆกับ”สัญญาญเชิงบวก” ที่มาจาก” ผู้นำรัฐกลันตัน”  กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ฝ่าย”ปกครอง” หมายถึง” ผวจ.นราธิวาส” ต้องรีบ”ตอบรับ” และต้องมีแผนที่”สอดประสาน” กับการ”ปิดช่องทางธรรมชาติ” ที่เป็น”ท่าข้ามเถื่อน” โดยการ”ร่วมมือ”ระหว่าง” เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น” ของ” ทั้งสองประเทศ” โดยทันที เพราะ นี้คือการ”แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ” ที่ได้ผล โดยที่”ฝ่ายไทย” ไม่ต้อง”ลงทุน” และไม่ต้อง”ขัดแย้ง” กับ”คนในพื้นที่” และ”นักการเมือง” ที่”คัดค้าน”การสร้าง”รั้วชายแดน” เพื่อแก้ปัญหา”ช่องทางเถื่อน” ในการ”ข้ามไป-มา” ของคนทั้ง “สองประเทศ” ใน”แนวชายแดน” ซึ่งหาก”รัฐกลันตัน”  ทำจริง  ปัญหา”ยาเสพติด,ปัญหา”แรงงานเถื่อน” จะเป็น สองเรื่องใหญ่ ของ จังหวัดนราธิวาส จะได้”เบาบาง” ลงได้บ้าง ก็ต้องบอกว่า”อานิสงส์” ของเรื่องนี้เกิดจากที่”ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส จับกุม”นักร้องสาวชื่อดัง และพวกรวม 6 คน” ที่ข้ามมาเพื่อ ซื้อยาเสพติด” และตั้งวง”เสพยา” ในโรงแรมแห่งของ ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก และถูก”สื่อมวลชน” นำเสนอข่าว”โด่งดัง” ทั้งใน”มาเลเซีย” และ” อินโดนีเซีย” จนทำให้” มุขมนตรีรัฐกลันตัน” ประกาศ”ปิดท่าข้ามเถื่อน” หรือ”ช่องทางธรรมชาติ” ในที่สุด

ส่วน “สัญญาณเชิงบวก” อีกเรื่อง คือการที่” องค์กรกาชาดระหว่างประเทศ” หรือ” ICRC “ ที่เข้ามา”แทรกแซง” กิจการภายในของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”กว่า 10 ปี ได้”ถอนสมอ”  ออกจากพื้นที่ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่”หัวหน้าคณะทำงาน”ของ”ไอซีอาร์ซี” ได้”เดินสาย” เพื่อเข้า”อำลา” ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เป็น”สัญญาณ” ที่”บอกเหตุ” ว่า สถานการณ์ของ”ไฟใต้” จะ”ดีขึ้น”  เมื่อ”องค์กรต่างชาติ” จาก”ชาติตะวันตก” หยุดการ”แทรกแซง” ทั้ง 2 เรื่อง เป็นเรื่องที่ถือเป็น”ข่าวดี” สำหรับ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์”แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ ที่หลังเข้ารับ”ตำแหน่ง”เป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 “ ก็มี”สัญญาณเชิงบวก” โดยไม่ต้อง”ออกแรง”…..และอีกเรื่องที่” พล.ท. ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 เดินมา”ถูกทาง” ในการ”ดับไฟใต้” นั้นคือการที่”สื่อสารกับสังคม” ในเรื่องของ”สถานการณ์จริง” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ใน รอบ 20 ปี ที่มีการ”บอกความจริง” ว่า”เหตุร้าย” ทั้งหมด ใน 20 ปี มาจากการ”กระทำ”ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่มี”เป้าหมาย” เพื่อการ”แบ่งแยกดินแดน” ซึ่งการออกมา”สื่อสารความจริง” นอกจากจะทำให้”ประชาชนตาสว่าง” แล้ว ยังเป็นการ”ปอกเปลือก” และ”เปิดโปง” ขบวนการ”บีอาร์เอ็น” ให้ สังคมได้”รู้จัก” และได้”รับรู้” ถึงความ”เลวร้าย” ในฐานะที่”บีอาร์เอ็น” คือ”ฆาตรกร” ในการ”สังหาร” ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ถึง 5,000 กว่า ศพ. มีผู้ที่”รับบาดเจ็บ” จาก” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” เกือบ 20,000 คน และยังมี”ผลพวง” ที่เป็น”ภาระกับสังคม” นั้นคือ”คนพิการ,หญิงหม้าย” และ”เด็กกำพร้า” อีก จำนวนมาก “เปิดโปง” กันขนาดนี้ถ้า”คนในพื้นที่” ยัง”ยกย่องบูชา” และยังให้การ”สนับสนุน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ต่อไป ก็นับได้ว่านั่นคือ” เสี้ยนหนาม” ของ”แผ่นดิน”

วันก่อน “ผู้เขียน” ได้มีโอกาส”สอบถาม” เรื่องการประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” จาก” เสี่ยอ้วน”หรือ” สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย “รองนายกรัฐมนตรี” และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ถึงความ”คืบหน้า” ในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง” เสนาบดีกนระทรวงกลาโหม” ตอบว่า มีผู้นำเสนอ และเป็นเพียง”แนวทาง” ที่ยังไม่”ตกผลึก” ยังต้องมีการ”ศึกษาถึงผลได้ผลเสีย” ที่จะเกิดขึ้นหากมีการประกาศให้” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” แต่อีก”แนวทาง” ที่มีโอกาสที่เป็นไปได้ นั้นคือการประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”อาชญากรรมข้ามชาติ” ซึ่งมี”กฎหมาย”ในการ”รองรับ” และ”จัดการ” กับ”บีอาร์เอ็น” โดยไม่ต้อง”ยกระดับ” ให้เป็น”องค์กรก่อการร้าย”…..แต่ใน”มุมมอง” ของ”รัฐบาล” ยังให้”น้ำหนัก” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ในเรื่อง”เศรษฐกิจ,การลงทุน” และการ”สร้างอาชีพ” การ”พัฒนาคุณภาพชีวิต” ของคนในพื้นที่  ซึ่งยังเป็นการมองปัญหาในพื้นที่ว่าเกิดจากความ”ยากจน” เกิดจากการ”ว่างงาน” และ”รัฐบาล” จะมีการ”ส่งเสริม” เรื่อง”อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล” เรื่องของ”ปศุสัตว์”  ที่มองว่า”ผลผลิต”เหล่านี้มี”ตลาดรองรับ” ก็ไม่เถียง” ในเรื่องของ”ตลาดรองรับ” หากมีการ”ผลิต” แต่ “โจทย์ยาก” ที่ทุก”รัฐบาล”แก้ไม่ตก” และ”ล้มเหลว” มาโดยตลอด คือเรื่องของ”คนในพื้นที่” ซึ่งไม่”ตอบรับ” กับ”โจทย์” ของ”รัฐบาล” เรื่อง”อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล” พูดกันมาไม่น้อยกว่า 10 ปี วันนี้ก็เป็นเพียง”ลมปาก”

เรื่อง”ปศุสัตว์” โครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ที่มีการ”ผลักดัน” และ”คาดหวัง” จาก” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ครั้งที่ “พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เป็น” เลขาธิการ ศอ.บต. วันนี้ “เดินต่อไม่ได้” กลายเป็นโครงการที่”ล้มเหลว” มีการ”ร้องเรียน” ว่ามีเรื่อง”ทุจริต” มีการ”สอดไส้” โครงการ   ซึ่งมีการ สรุปว่านอกจากเรื่องที่ “เกษตรการ” ผู้”ร่วมโครงการ”ออกมา”กล่าวหา”หน่วยงานของรัฐ” แล้ว ยังพบว่า”เกษตรกร” ที่เข้าร่วมโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ใน โครงการดังกล่าว และสุดท้าย”นำมาสู่ความ”ล้มเหลว” ของโครงการ ถ้าปัญหาเหล่านี้ยัง”แก้ไม่ได้” ทุกโครงการที่เข้ามาก็จะมี”ปัญหา” อย่างที่เกิดขึ้น ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”ต้อง”พัฒนาคน” เป็น”อับดับแรก” และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการ”ศึกษา” แต่” กระทรวงศึกษาในยุคที่” พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ”เสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ” ไม่เข้าใจใน”บริบท”ของ”การ”ศึกษา” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมองว่า”กระทรวงศึกษาธิการ”ไม่เกี่ยวกับเรื่องความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้  เฮ้อ กรรมของคนใต้

เรื่องความ”เดือดร้อนของประชาชน” ที่ใช้”บริการโทรศัพท์มือถือ” ทั้ง”สองค่าย” ที่”ควบรวมกัน” ซึ่ง ทุกคนที่ใช้”บริการ” ต่าง”โอดครวญ” กันทั้งประเทศว่า”หลังการควบรวม” การให้”บริการ ห่วยแตก” การใช้โทรศัพท์ไม่เสถียร การคิดค่าบริการแพงขึ้น  เรื่องของการ”โปรโมชั่น”ไม่มีแล้ว” อินเตอร์เน็ตสัญญาณ” แย่กว่าเดิม เรื่องนี้ต้องถามไปยัง” กสทช.” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ ควบคุมกำกับ “ค่ายโทรศัพท์ที่มีการควบรวมกัน” ว่า จะแก้ปัญหาการ”ร้องเรียน”ของผู้”บริโภค” อย่างไร และ “องค์กรผู้คุ้มครองผู้บริโภค” มี แนวทาง ในการแก้ปัญหาความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน” อย่างไร “กสทช.” ต้องออกมา”เปิดเผย”ด้วยว่า หลังจาก”รับเงิน” จากค่า”สัมปทาน” มาจาก” กลุ่มทุน” ที่มีการ”ควบรวม” แล้ว ได้”สั่งการ” ให้”กิจการ”ดังกล่าว ดำเนินการในการ”พัฒนาประสิทธิภาพ” ในการให้”บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ” อย่างไร หรือ หน้าที่ของ” กสทช.” แค่”รับเงิน” แล้วก็จบ โดยไม่ได้”ใส่ใจ” กับผู้ใช้”บริการ” อย่าง”ประชาชน” ทั่วประเทศ ที่ต้อง”เสียหาย” และเสีย”ประโยชน์” ถามว่า ถ้าการให้”บริหารห่วยแตก”  จะมีการ”ยกเลิกสัญญาการควบรวม” ได้หรือไม่…..เรื่องของ”พลังงาน”ในประเทศ ที่ต้อง”จับตา” วันนี้”ทัพพลังงาน” โดย”กลุ่มทุน” อย่าง” กัลฟ์เอนเนอยี” ซึ่งเป็น”เจ้าพ่อพลังงาน” และ”กันกุล” ที่เป็น”บริษัทลูก” รวมทั้ง”ไฟฟ้าราชบุรี” มีการ”เดินทัพ” สู่”ภาคใต้” เพื่อการ”ลงทุน” ในเรื่องของ”ไฟฟ้าโซล่าเซล” หรือ”โซล่าฟาร์ม” ครั้งใหญ่  โดย” กันกุล” คือ”เสือปืนไว” ที่”ซื้อที่ดิน” ใน”บ้านยางเกาะ ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อเป็น”ฐานการผลิต” ก่อนใครเพื่อน ซึ่งดูตาม”รูปการณ์”  การลงทุนด้าน”พลังงาน” กำลังเกิดขึ้น จำนวนหลายราย ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สงขลา เพราะพื้นที่ของ”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีการนลงทุนเต็มพื้นที่แล้ว สิ่งที่ตามคือ” เอ็นจีโอ” มีการเตรียมที่จะ”เคลื่อนไหว” ดังนั้นถ้า”กลุ่มทุนไหน” มี”จุดอ่อน” เรื่องของ”มวลชน”  มี”กำแพงหลัง” ที่ไม่”เข็มแข็ง” การ”ขับเคลื่อน” ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ”ราบรื่น” อย่างที่คิด เตรียมรับมือไว้บ้างก็ดี เพราะ”เอ็นจีโอ”ภาคใต้ ต่างกับ”เอ็นจีโอ”ภาคอีสาน นะ จะบอกให้

ขณะเดียวกัน การ”ยื่นประมูล”พลังงาน 3,600 เมกกะวัตต์ ของ”กระทรวงพลังงานในครั้งนี้ ก็มี”คลื่นใต้น้ำ” ที่ไม่”ราบรื่น” เหมือนยุคของ”ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะมีการ”ร้องเรียน” มีการ”ต่อต้าน” จาก”กลุ่มทุนรายเล็ก” ที่เห็นว่า”เสียเปรียบ” กลุ่มอภิมหาทุน” อย่าง” กัลฟ์เอนเนอยี่” จนทำให้การ”ประมูล” ที่ต้องเกิดขึ้นในเดือน ตุลาคม ที่ผ่านมา ต้องมีการ”เลื่อนออกไป” อย่างไม่มีกำหนด และ วันนี้ กลายเป็นเรื่อง”ปวดหมอง” สำหรับ” เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” อย่าง”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์”    ก็ต้องติดตามดูตอนต่อไปอย่าง อดีต”เปาบุ้นจิ้น” อย่าง”เสนาบดีพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” จะแก้”สมการ” ที่เกิดขึ้นอย่างไร เพื่อไม่ให้เรื่องของ”พลังงาน”กลายเป็นเรื่อง”ผูกขาด” จาก”กลุ่มทุนใหญ่” ที่ถูกมองว่ามีการ”กินรวบ” โดยไม่ยอมให้มีการ”แบ่งปัน”ในขณะที่”สังคมไทย”ต้องการเห็น”การแคร์แอนด์แชร์” เกิดขึ้นในทุก”ธุรกิจ”เพื่อให้เป็นเรื่องของ”ธรรมาภิบาล”…..เช่นเดียวกับเรื่องการ”จัดสรรคลื่นความถี่” ของ”สถานีวิทยุ” ทั้งประเภทความถี่ธุรกิจระดับท้องถิ่น ( FM ) และ “วิทยุชุมชน” ที่ “ กสทช.” อยู่ระหว่างการ ดำเนินการ เรียกประชุม “ผู้ประกอบการ” เพื่อให้ทราบถึง”หลักเกณฑ์” ตาม”ข้อกฎหมาย” ในการ”ประมูลคลื่นความถี่” เพื่อรับ”ใบอนุญาต” ซึ่ง กำลังมีประเด็นที่”เจ้าของคลื่นความถี่เดิม” กำลังบอกว่าไม่ได้รับ”ความเป็นธรรม” เรื่องนี้ก็เป็นเรื่อง”สำคัญ” ที่” กสทช.” ต้องมองให้”รอบด้าน” เพราะ สังเกตได้ว่าผู้ที่”เข้าประชุม” ซึ่งเป็น”เจ้าของสถานีวิทยุ” ส่วนใหญ่เป็น”คนบ้านๆ” ที่มี”ข้อจำกัด”ในเรื่องของ”กฎหมาย” ในเรื่องของ”กฎระเบียบ” และที่สำคัญที่”กสทช. “ ต้อง”คำนึง” คือ” สถานีวิทยุ” เหล่านี้ เพราะ สถานีวิทยุ หมายถึง”หม้อข้าว” ที่เป็นที่มาของ”รายได้”ในการ”เลี้ยงครอบครัว” ของ”คนเหล่านี้” แม้จะไม่ใช่คน”กลุ่มใหญ่”ของ”สังคม” แต่ความ”เป็นคน” ต้อง”เท่ากัน”

เรื่องของ”ยางพารา” ที่”ราคาตกต่ำ” ทั้งที่”ผลผลิต”ออกสู่”ตลาด”ค่อนข้างน้อย” แต่ราคา”รูดทะราด” จาก” กิโลกรัมละ 80 กว่าบาท( น้ำยางสด ) เหลือเพียง 58 บาท ในเวลาเพียง 1 เดือน ได้สร้างความ”วิตกกังวล” ให้กับ”ชาวสวนยาง” เป็นอย่างยิ่ง  และเป็นการ”ตอกย้ำ” ให้เห็นว่า”ราคายางพารา” จะ”ขึ้น ลง” เป็นเพราะถูก” ต่างชาติ” เป็นผู้”กำหนดราคา” เป็นการ”ฉ้อโกง” แบบ”ไร้เหตุผล เพราะรู้กันอยู่ว่า “ วันนี้”ตลาดยางพาราจากทุกประเทศ” มีความต้องการ”ยางพารา” แต่ทำไมราคายางจึง”ตกต่ำ” ที่สำคัญ ณ วันนี้”พื้นที่ปลูกยางพารา” ใน”ภาคใต้” ถูก”แปรเปลี่ยน”ไปเป็นพื้นที่”ปลูกทุเรียน” และ” สวนปาล์ม” รวมทั้ง ปลูกพืชอื่นๆ เหลือที่เป็น”สวนยางพารา” ไม่มากแล้ว แต่ทำไม่ราคายางยัง”ตกต่ำ” นี้ก็ “สะท้อน” ให้เห็นถึง”ฝีมือ” การ”บริหาร”ของ”การยางแห่งประเทศไทย” ที่มี”เพิก เลิศวังพงษ์” เป็น”ประธานบอร์ด”ของ”การยางแห่งประเทศไทย” และ”เฉลิมชัย ศรีอ่อน “ เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าสุดท้ายแล้ว ก็ไม่ต่างกับ “เสนาบดี”ที่ผ่านมา ……ฟังว่า “การยางแห่งประเทศไทย” จะใช้งบประมาณ 800 ล้าน ในการ”ซับผลผลิตยางพาราจากตลาด” ด้วยการให้”เกษตรกร” นำ”ผลผลิต”ไป”ฝากกับโกดัง” ไว้ก่อน เพื่อ”รอขาย” ใน ห้วงเวลา” ที่”ราคายางขึ้นราคา” มาตรการ” อย่างนี้ ช่วยได้สำหรับ”เกษตรกร” ชั้นกลาง ที่มี”ฐานะ” และเป็น “แปลงใหญ่” แต่”ชาวสวนยาง” ระดับ” ปลายแถว” และคนงาน”ตัดยางจ้าง” ยังไม่ได้รับ”ส่วนบุญ – ส่วนแบ่ง” จาก “ผลกำไร” อย่างแน่นอน เพราะ “ชีวิต”ของ”เกษตรกร” ระดับ”ปลายแถว” และคน”ตัดยางจ้าง” ต้อง”ขายน้ำยางสด”ให้กับ”พ่อค้า”แบบ”วันต่อวัน” เพื่อ”ประทังชีวิต” นี้คือ”ข้อเท็จจริง” ที่คนบน”หอคอยงาช้าง” ไม่เข้าใจ ดังนั้น งบประมาณ 800 ล้าน จึงเป็นการ”ช่วยเหลือ”คนที่”รวยอยู่แล้วให้รวยยิ่งขึ้น ใช่ หรือไม่

มีคำถามจาก”ชาวจังหวัดสงขลา” ผ่านทาง”โซเชียลมีเดีย”ถึงผู้สมัครเป็น”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” ทั้ง 4 คน ของ จ.สงขลา ข้อ 1. มี นโยบายในการแก้ปัญหา”โพงพาง” ที่เป็น”เครื่องมือประมง” ที่”ผิดกฎหมาย”และยัง”รุกล้ำร่องน้ำเดินเรือ” ใน” ทะเลสาบสงขลา”อย่างไร และจะ”จัดการ”กับ”สุสานเรือประมง”ที่กลายเป็น”ทัศนะอุจาด”ใน”ทะเลสาบสงขลา” อย่างไร 2. จะ แก้ปัญหาการ”บุกรุก โบราณสถานเขาแดง” ใน อ.สิงหนคร อย่างไร 3. จะแก้ปัญหาเรื่อง”อควาเรี่ยมหอยสังข์สงขลา”ของ”วิทยาลัยประมง” ที่มีการ”ทุตจริต” และถูก”ทิ้งงาน”ไปกว่า 15 ปี โดยไม่มีการดำเนินการใดๆ อย่างไร ก็ต้อง ติดตามว่า ผู้สมัครทั้ง 4 คน จะมีคำตอบให้กับ “คนสงขลา” แบบไหน แล้วอย่าลืม”จดจำ” เพื่อจะได้”ทวงถาม” หลังจากได้รับการ”เลือกตั้ง”……และ เรื่องทั้ง 3 ประเด็น ก็เป็น”เผือกร้อน” ที่ย้ายจากมือของ”อดีต ผวจ.สงขลา “สมนึก พรหมเขียว” มาอยู่ในมือของ”โชตินรินทร์ เกิดสม”  ผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ของ จ.สงขลา ซึ่งหลังจากได้รับการ”โปรดเกล้าฯ” ก็คงจะเดินทางมารับ”หน้าที่” ในเร็วๆ นี้  และ ข่าวว่า “ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา”คนใหม่” ขอ”จองเก้าอี้” นายอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่”เกรดเอ” ให้กับ “นายอำเภอ” ที่ตนเอง”ไว้วางใจ” มาทำหน้าที่เป็น”มือขาว” ซึ่งจะมาจาก “อำเภอชายทะเล” ของ จังหวัดนครศรีธรรมราช ข่าวนี้จึงเป็นข่าวที่”ดับฝัน” ของ”นายอำเภอหลายคน”  แต่ จะไปได้หรือไม่อยู่ที่จะได้รับ”ไฟเขียว” จาก” เสี่ยหนู” หรือ”เสี่ยเน” หรือไม่ ดังนั้น”นายอำเภอ” ทุกคนจึงยัง”มีลุ้น”…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง..การเมืองบ้านใหญ่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ

เป็นช่วงเวลาที่”นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร อยู่ระหว่างการ”ทัวร์ต่างประเทศ” เข้าร่วมประชุมใน โครงการต่างๆ เริ่มจากเรื่อง”แผนการร่วมมือเศรษฐกิจในอนุภาคแม่น้ำโขง”ที่”นครคุณหมิง” มณฑลยูนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน” ซึ่งเรื่องของ” แม่น้ำโขง” เป็นเรื่องสำคัญ สำหรับประเทศไทย เพราะไม่มีเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ของการ”พัฒนา” เพียงอย่างเดียว แต่วันนี้เรื่องของ”แม่น้ำโขง” เป็นเรื่องของ”การเมือง” ที่มี”สหรัฐอเมริกา” และ”สาธารณรัฐประชาชนจีน” เข้ามา”เกี่ยวข้อง” และ”แย่งชิง” โดยใช้” แม่น้ำโขง” และ”มวลชน”ที่อยู่ในฝั่ง”แม่น้ำโขง” เป็น “เครื่องมือ” ซึ่งเป็นเรื่องที่”ประเทศไทย” ใน”ฐานะ” ที่ต้อง”คบค้า” กับ”มหาอำนาจ” ทั้งสองประเทศต้อง”วางตัว” ในการสร้างความ”สมดุลทางการเมือง” ให้เป็น….ส่วนเรื่อง”การเมือง” ภายในประเทศ เมื่อ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ จึงเป็นหน้าที่ของ”รัฐมนโท” อย่าง”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็น”ตัวพ่อ” ที่ต้องออกมาให้”สัมภาษณ์” เพราะกลัว”การเมือง”จะ”เงียบเหงา” ทั้งในเรื่องการไป”หาเสียง” ให้ผู้สมัคร”อบจ.อุดรธานี ที่”เจ้าตัวปฏิเสธ” ว่าไม่ได้ไป”หาเสียง”แต่ไป”พบปะ” พี่น้องประชาชนชาวอุดรฯ ในขณะที่”พลพรรค”ที่”แวดล้อม” ก็ออกมา”ตะเบ็งเสียง”ว่าการไป”หาเสียง” ช่วย”ผู้สมัครนายกอบจ.ที่ อุดรธานี” ไม่ได้เป็นการ”ครอบงำพรรค” ก็ว่ากันไปแต่เชื่อว่าเรื่องการไป”ช่วยหาเสียง” ให้ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ครั้งนี้ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ต้องมี”นักร้อง” ยื่นเรื่องต่อ”กกต. ในข้อหา”ครองงำ”พรรคการเมืองอย่าง แน่นอน

ที่เห็น”ชัดเจน” คือ”การเมือง” ณ วันนี้ของ”ประเทศไทย” กำลัง”ถอยหลังเข้าคลอง” อีกครั้ง เป็น”การเมืองบ้านใหญ่” ที่อาศัย”ผู้กว้างขวาง” ผู้มี”อิทธิพล” บวกกับ”กระสุน” ในการให้ได้มาซึ่ง”ตำแหน่ง” และ”อำนาจ” มีการสร้าง”เครือข่าย” ของ”การเมืองท้องถิ่น” ตั้งแต่ “อบจ,เทศบาล” และ” อบต.” เพื่อไว้เป็น”ฐานการเมือง” หรือ”ฐานคะแนนเสียง” เพื่อการ”สนับสนุน” การเลือกตั้ง”ระดับประเทศ” หรือ” ผู้แทนราษฎร” ที่เป็น”เครือข่าย” ของคนใน”ครอบครัว” เดียวกัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต ที่ย้อนกลับมาใหม่ ในวันที่”ทักษิณ ชินวัตร”กลับประเทศ และมี”บทบาท”ใน”พรรคเพื่อไทย” และ”บทบาททาง”การเมือง”…..ส่วน”นายกน้อย” อย่าง”เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เวลานี้ก็ต้อง” วุ่นวาย” อยู่กับเรื่องของ”เกาะกูด” จ.ตราด ที่เป็น”ประเด็นร้อน” เพราะ”คนส่วนหนึ่ง” ของประเทศนี้ อยู่ในความ”หวาดระแวง”การทำหน้าที่ของ”พรรคเพื่อไทย” และ”หวาดระแวง” กลัวว่า”ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งมีความ”สัมพันธ์ส่วนตัวที่แนบแน่น” กับ”ครอบครัวของฮุนเซ็น” จะมี”ผลประโยชน์” ที่”ทับซ้อน” ในการ”เจรจา”เรื่อง”พื้นที่ทับซ้อน” และเรื่องของ”ทรัพยากร”ใน”ใต้ทะเล” นี่เป็นเรื่องที่”ห้ามกันไม่ได้” และเป็น”หน้าที่”ของ” เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่ต้อง”พูดความจริง” และมี”กระบวนการ” ในการ”เจรจา” กับ”ประเทศกัมพูชา ในเรื่องของพื้นที่”ไหล่ทวีป” ที่”ทับซ้อน”กันอยู่ อย่าให้เกิดความ”ได้เปรียบเสียเปรียบ” เกิดขึ้น โดยเฉพาะ”เอ็มโอยู 44” ถ้าเห็นว่าเป็น”ตัวปัญหา” ก็ต้องหาทาง”ยกเลิก” เพราะ “เอ็มโอยู” เป็นเพียง”บันทึกช่วยจำ” ทำไมจะ”ยกเลิกไม่ได้” การที่บอกว่า”เอ็มโอยู” ยกเลิกไม่ได้ จึงกลายเป็นอีก”เงื่อนไข” ที่สร้างความ”หวาดระแวง” ให้กับคน”ส่วนหนึ่ง” ที่”เห็นต่าง” ใช้ในการ”โจมตี” พรรคเพื่อไทย และ” นายกอิ๊งค์”

เรื่องของ”เศรษฐกิจ” ที่มีแต่”ข่าวร้าย” การ”ประกาศปิดตัว” ของ”โรงงานอุตสาหกรรม” หลายแห่งใน”ภาคตะวันออก” ในปลายปีนี้ ที่ต้องทำให้จำนวน”คนตกงานเพิ่มขึ้น” ซึ่งค่าจะเป็นไปตามความ”คาดหมาย” ของ” “นักลงทุน”และผู้ที่อยู่ใน”แวดวงการค้าการขาย” ที่”พยากรณ์”ว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่”เศรษฐกิจ” จะ”ทรุดหนัก” กว่าปี 2567 ที่เหลืออีก 1 เดือนเศษ ก็กำลังจะผ่านไป การ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” นอกจากการ”แจกเงิน” กลุ่ม”เปราะบาง” คนละ 10,000 บาท ที่ สุดท้าย ไม่ได้”ส่งผล” ในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” อย่างที่”รัฐบาล” แถลงไว้ ก็ยังไม่เห็น”แผนสอง” และ”แผนสาม” ในการที่จะ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” แบบการ”ให้เลือด” เพื่อการ”คืนชีพ”ของคนที่”ใกล้ตาย” แต่อย่างใด ดังนั้น”เพื่อไทย”ในการ”ขับเคลื่อน”ของ” นายกอิ๊งค์” ในวันนี้ จึงต่างกับ”เพื่อไทย”ในการ”ขับเคลื่อน”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อ 17 ปีก่อน อย่าง สิ้นเชิง นโยบายที่”ทักษิณ ชินวัตร” และ”ทีมงานเศรษฐกิจ” ที่เคยใช้ในการ”ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ได้ผล ก็ใช้ไม่ได้กับโลกยุคนี้ ที่เป็น”โลกยุคใหม่” ที่ต้องใช้”ทีมเศรษฐกิจยุคใหม่”ในการเป็นที่”ปรึกษา” และทำหน้าที่ช่วย”ขับเคลื่อน” เรื่องนี้ก็เป็น”จุดอ่อน” ของ”รัฐบาลผสม” ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ”

หลังจากที่ปล่อยให้”ผู้บริโภคเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน” จากการ”ขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม” วันนี้”พิชัย นริพทะพันธ์” เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” จึง”ได้ฤกษ์” สั่งการ และ ลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อหา”สาเหตุ” ของ”น้ำมันปาล์ม”ที่มีการ”ขึ้นราคา” โดย”แถลงข่าว” ว่า จะแก้ปัญหาในต้นปี 2568 ก็ เป็นการ”บอกใบ้” ให้กับผู้”บริโภค” ได้รับรู้ว่า ต้อง”ควักเงิน” ซื้อ”ของแพง” อีก 2 เดือน ทั้งหมดเป็นการบอกว่า”กระทรวงพาณิชย์” ไม่สามารถ”บังคับ” ให้”โรงงานผู้ผลิต” และ”ผู้จำหน่าย” ลดราคา”ขายปลีก”ตามราคาเดิม เพราะประเทศนี้” นายทุน” อยู่เหนือ”อำนาจรัฐ” และ”เสนาบดี” ก็มี”หน้าที่” ในการ”แก้ต่าง” ให้กับ”นายทุน” ส่วนเรื่อง “ลงพื้นที่เพื่อดูข้อเท็จจริง” เรื่อง”น้ำมันปาล์มขึ้นราคา” ก็ไม่”จำเป็น” เพราะ”ข้อเท็จจริง” ที่ “นายทุน” เจ้าของ”โรงงานผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม” นำมาเป็น”ข้ออ้าง” ในการขึ้น”ราคา” คือ” ผลปาล์มสด” ที่มีราคาแพง ถึงกิโลกรัมละ 9.50 บาท ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่มีการ”ปลูกปาล์มน้ำมัน” ใน”ประเทศไทย” ที่มีการ”ตั้งข้อสงสัย” คือ” ราคาปาล์ม กิโลละ 9.50 บาท เพิ่งขึ้นได้ไม่กี่วัน ทำไมผู้”ผลิตน้ำมันปาล์ม” จึง”ฉวยโอกาสขึ้นราคา” ทั้งที่”น้ำมันปาล์ม” ที่วางขายอยู่เป็น”ของเก่า” ที่ผลิตไว้ก่อนหน้าที่”ราคาปาล์มสด” จะมีราคาแพง นี่เป็นเรื่อง”ฉวยโอกาส” หรือไม่ ประเด็นนี้ต่างหาก ที่”เสนาบดี” ต้อง”ใส่ใจ” และ”ควบคุม”

ก็เห็นด้วยนะกับ”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” ที่เรียกประชุม”คณะกรรมการบริการนโยบายพลังงาน” ( กบง.) เป็นการด่วน เพื่อแก้ปัญหาราคาของ”โบโอดีเซลบี100” ที่มาจาก”ปาล์มน้ำมัน” ซึ่งขึ้นราคาไปแล้วลิตรละ 48 บาท เป็น สองเท่า ของ เนื้อน้ำมันดีเซล ซึ่งหากยังใช้”ใบโอดีเซล” เป็น”ส่วนผสม”ของ”น้ำมันดีเซล” อย่างที่”เป็นอยู่” ก็ทำยิ่งทำให้”ราคาน้ำมันดีเซล” ต้องมีการ”ปรับราคาแพงขึ้น” ก็ต้องติดตามดูว่า” กบง.” จะ”ดำเนินการ”อย่างไร จะ ลดส่วนผสมของ”ไบโอดีเซล” ใน”น้ำมันดีเซล” ได้หรือไม่ และหากมีการลด ผู้ผลิต”ไบโอดีเซล” จะออกมา”โวยวาย” หรือไม่ นี้คือเรื่องของ”พลังงาน” ที่มี”เงื่อนปม”ในการ”ผูกมัด” กับ โน่น นี่ นั้น จน”ยุ่งเหยิง” ยากยิ่งในการแก้ปัญหา ให้”คนไทย” สามารถใช้” พลังงาน” ในราคาถูก

เรื่องของ”ตากใบ” ที่เป็น”ประเด็นร้อน” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เริ่มที่จะลด”ความร้อนแรง” ลงได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีเหตุที่”คนร้าย” บุกเข้า”ปลิดชีพ” นายกอาร์ม” วิเชษฐ์ ไทยทองนุ่ม” นายกเทศบาลตำบลรือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส อย่าง”อุกอาจ” ในโรงงาน”ผลิตเสื้อ”ของตนเอง “คนร้าย” ใช้”อาวุธปืนสงคราม” บุกเข้า”สังหาร” ใน”ห้องประชุม”ถึง 18 นัด เป็นการ”สังหาร” ที่”โหดเหี้ยม” ที่สำคัญ “นายกอาร์ม” ”คนดี”ของ”สังคม” ที่เป็นผู้สร้างผลงาน ทั้งในเรื่อง”การเมืองท้องถิ่น” และ”การศึกษา” เรื่องของ”กีฬา” เป็น”นายกสมาคมกีฬาจังหวัดนราธิวาส” ที่ ทำหน้าที่อย่าง”ทุ่มเท” และ โรงงาน”ผลิตเสื้อ” ก็เป็น “โรงงาน” ที่”สร้างงาน สร้างเงิน” ให้กับ”คนในท้องถิ่น” การ”สูญเสีย” นักการเมืองท้องถิ่น” อย่าง”นายกอาร์ม” จึงเป็นการ”สูญเสียคนดี” ที่ทุกคน”ใจหาย”

ประเด็นสำคัญ สำหรับ “พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช. ภาค 9 และ “พล.ต.ต. ไมตรี สันตยานุกุล ผบก.ภ.จว.นราธิวาส คือการ”คลี่คลายคดี” ต้องหาสาเหตุการ”ปลิดชีพ” ของ”นายกอาร์ม” ครั้งนี้ว่ามาจากสาเหตุอะไร เป็นเรื่อง”การเมือง” หรือเรื่อง”ความมั่นคง” เพราะเป็นไปได้ทั้งสองเรื่อง”การเมือง” แม้ว่า”นายกอาร์ม” จะประกาศ ไม่ลงสมัครเป็น”นายกเทศบาลรือเสาะ” ใน สมัยหน้า ที่จะมีการเลือกตั้งในกลางปี 2568 ก็จริง แต่”นายกอาร์ม” ประกาศที่จะส่ง”รองนายก” ในทีมของตนเองลง”รับไม้ต่อ” โดยตนจะเป็นผู้ที่”สนับสนุน” ดังนั้นในทางคดี ถ้าเป็นเรื่อง”การเมืองท้องถิ่น” ต้อง”สืบสวนสอบสวน” ว่า”คู่แข่ง”ของ”รองนายกอาร์ม” คือใคร และผู้ที่ให้การ”สนับสนุน”เป็นใคร เข้าถึง” แกนนำ” ของ”บีอาร์เอ็น”หรือ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่หรือไม่ เพราะความ”ขัดแย้งทางการเมือง” ใน สามจังหวัดและสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา” มักจะ”ลงเอย” ด้วยการใช้ปืน”กองกลาง” ที่”บีอาร์เอ็น” ใช้ในการ”สังหารเหยื่อ” และการ”เข้าถึง” กองกำลังติดอาวุธ” ในพื้นที่ ให้เป็น”มือปืน” ในการ”สังหารเหยื่อ” เพื่อ”เบี่ยงประเด็น” ให้”ตำรวจสรุปสำนวน” ว่าเป็นเรื่องของ”ความมั่นคง” เช่นเดียวกับคดี”สังหารนายกอาร์ม” ที่”ปลอกกระสุน” ซึ่งตกในที่เกิดเหตุ จำนวน 19 ปลอก มีการ”พิสูจน์” จาก”กองพิสูจน์หลักฐาน 10” ชัดเจนแล้วว่าเป็น”อาวุธปืนสงคราม” ที่มีการใช้”ก่อเหตุ” ปลิดชีพ” เจ้าหน้าที่รัฐ” ในพื้นที่ จ.นราธิวาสมาแล้ว 23 ครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 24 ก็ ขอให้”ฝ่านสืบสวนสอบสวน” อย่าได้”หลงประเด็น”เชื่อเรื่อง”พยานวัตถุ” เพียงอย่างเดียว แล้วสรุปว่าการ”สังหารนายกอาร์ม” เป็นเรื่องของ”ความมั่นคง”

แต่ ถ้ามี”หลักฐาน” ว่าการ”สังหารนายกอาร์ม” มาจากเรื่อง”ความมั่นคง” เพราะ”บีอาร์เอ็น” ต้องการ”กำจัด” คน”ไทยพุทธ” ไม่ให้เป็น”ผู้นำท้องถิ่น” และต้องการให้”ผู้นำท้องถิ่น” เป็นคนของ”บีอาร์เอ็น” ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่”น่ากังวล” ว่าพื้นที่ของ”ไทยพุทธ” นับวันจะ”หดแคบ” และจะต้อง”อพยพ” ออกจาก” พื้นที่มากขึ้น วันนี้ จ.นราธิวาส มีพื้นที่ซึ่งมี”ไทยพุทธ” เป็น”ผู้นำท้องถิ่น” เหลือเพียง 2-3 แห่ง เท่านั้น และ เชื่อว่าหลังสิ้น” นายกอาร์ม” คน”ไทยพุทธ” ส่วนหนึ่งใน”รือเสาะ” ก็จะ”อยู่ไม่ได้ เรื่องนี้เป็น”หน้าที่”ของ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ ที่ต้องส่ง”เจ้าหน้าที่” เข้าใน อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส” เพื่อลด”อิทธิพล” ของ” บีอาร์เอ็น” ให้ได้โดยเร็ว ที่สำคัญมีคน”บอกใบ้” ให้รู้ว่า”ผู้สั่งการสั่งตายนายกอาร์ม” เป็น”คนโต” ในพื้นที่ “บ้านยาแลเบาะ” และ”มือปืน” ก็อยู่ในพื้นที่”บ้านยาแลเบาะ”ที่อีกประเด็น” สายโจร” ในวันที่เกิดเหตุอยู่ใน”โรงงานผลิตเสื้อ” ถ้า” ตำรวจ” ใช้การ”ยึดโทรศัพท์” ของคนที่อยู่ในโรงงานมา”ตรวจสอบ” ก็จะรู้ได้ว่ามี”คนงาน” คนไหนเป็น”สายโจร” โทรไปแจ้งให้”มือปืน” ทราบว่า”นายกอาร์ม” อยู่ในโรงงานการ”คลีคลายคดี” ต้องใช้”เทคโนโลยี” สมัย ใหม่เข้าช่วย และคดีนี้ถ้า”ตำรวจ” จับ”มือปืน” และ”ผู้บงการ”ไม่ได้ ต้องมีการย้าย” ทั้ง” ผู้บัญชาการภาค 9 “ และ” ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส” ส่วน”ผกก.สภ.รือเสาะ” ซึ่งเป็น ท้องที่เกิดเหตุ ก็ต้อง”ตรวจสอบ” ข้อ”บกพร่อง” ของ”จุดตรวจ จุดสกัด” ในพื้นที่ด้วยว่ามีความ”บกพร่อง” อย่างไร จึงปล่อยให้”คนร้าย”ปฏิบัติการได้อย่าง”เสรี” และ”หลบหนี” อย่าง”ลอยนวล” ในขณะที่”ครอบครัว”ของ”นายกอาร์ม” ฝากความหวังในการ”จับคนร้าย” ไว้กับ” ว่าที่ ร.ต.ตระกูล โทธรรม” ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และ หวังว่าการ”รับปาก” ไม่เป็นเพียง”ลมปาก” เพื่อ”ปลอมใจ” แต่ต้องทำได้จริง

ส่วนที่คนใน”สังคมคาใจ” คือ”บทบาท”ของ”เอ็นจีโอ”ของ”ภาคประชาสังคม” และของ”กลุ่มสิทธิมนุษย์ชน” ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”เงียบกริบ” กับการ”เสียชีวิต”ของคนดีๆของสังคมที่มีแต่ให้อย่าง”นายกอาร์ม” ไม่เหมือกับการตายของ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ถูก”เจ้าหน้าที่วิสามัญ” ที่”กลุ่มคนเหล่านี้” จะออกมา”เคลื่อนไหว” เพื่อ”แสดงความเห็นใจ” นี้คือสิ่งที่”คนในพื้นที่” มองเห็นถึง”ความต่าง” ภายในสังคมของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้”ที่เห็นได้อย่าง”เด่นชัด”…..เดือน ตุลาคม ที่ผ่านมา “เจ้าหน้าที่รัฐ อย่างน้อย 2 ราย ถูก” กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น “ ทำการ”ซุ่มยิง” เสียชีวิต 2 ราย ส่วนอีกราย”ยิงต่อสู้” จึงเพียงได้รับ”บาดเจ็บ” วันนี้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จึงทำได้เพียงการ”แจ้งเตือน” ให้”กำลังพล” ที่เดินทางจาก”ที่พัก” เพื่อไป”ละหมาด” หรือเดินทางจาก”ที่พัก” เพื่อ”กลับบ้าน” เพิ่มความ”ระวัดระวังตัว” เพราะการ”ซุ่มโจมตี” เจ้าหน้าที่ ฯที่ไป”ละหมาด” และ”กลับบ้าน” เป็น”ยุทธวิธีหนึ่ง” ของ” แนวร่วม” ที่ได้ผล และต้อง “ปฏิบัติการ” ต่อไป เมื่อการ”แยกปลาออกจากน้ำ” ทำไม่ได้ผล เมื่องาน”การข่าว” ยัง”ล้มเหลว” วิธีการ”สุดท้าย”คือ” อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ” ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” เอวัง ก็มีด้วย”ปะการะฉะนี้”นะ โยม

วันก่อน”ศาลจังหวัด นาทวี “ ตัดสินจำคุก”อัชมัน เปาะเลาะ” ซึ่งเป็น”มือปฏิบัติการ” ในการ”ซุ่มโจมตี” และ”วางระเบิดแสวงเครื่อง” ฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ” ใน จ.สงขลา ซึ่งมีหมายจับ รวม 18 คดี โดย “พิพากษาจำคุก” 4 ปี 16 เดือน มีการ “ไถ่ถาม”กันมาว่า ทำไม่”ผู้ร้าย” ที่”เข่นฆ่า” เจ้าหน้าที่เสียชีวิตมากมาย จึงตัดสินจำคุกเพียงเท่านี้ ก็ขอบอกว่าอย่า”เข้าใจผิด” คดีที่”ศาลนาทวี” สั่งคำคุก “อัชมัน เปาะเลาะ” 4 ปี 16 เดือน เป็นคดีแรก นั้นคือ คดี”สะสมกำลังพลและอาวุธ” เพียงคดีเดียว ส่วนอีก 17 คดี ยังอยู่ระหว่าง”กระบวนการยุติธรรม” และ นี้คือความ”อ่อนด้อย” ของการ”สื่อสารกับสังคม” ทำให้”ข่าวสารสำคัญ” ไม่มีความ”กระจ่างชัด”

เรื่อง”เศรษฐกิจ” ในพื้นที่ของ”ภาคใต้” โดยโตเร็ว ถือว่า”เป็นบวก” โดยเฉพาะด้านของการ”ท่องเที่ยว” แค่”ภูเก็ต” จังหวัดเดียว และแค่”ตัวเลข” ของ”นักท่องเที่ยว” ที่ผ่าน”สนามบินภูเก็ต” มากถึง 30,000 คนต่อวัน ดังนั้น”เม็ดเงิน”จากการ”ท่องเที่ยว” ย่อม”สะพัด” ใน”เกาะภูเก็ต” ส่วนสิ่งที่ตามมานั้นคือเรื่องของ”อาชญากรรม” เรื่องการ”ต้มตุ๋น” เรื่องการ”หลอกลวง” และการ”เอารัดเอาเปรียบ”นักท่องเที่ยว” ทั้งจาก” มิจฉาชีพ” และ”ผู้ประกอบการ” ซึ่งเรื่องนี้ “ พ.ต.อ.พิสิษฐ์ สวัสดิถาวร” ผกก 2 บก. ทท.3 ซึ่งรับผิดชอบ “ตำรวจท่องเที่ยว” ต้องมีแผนในการ”ปฏิบัติหน้า” ในการดูแล “นักท่องเที่ยว” ให้มีความ”ปลอดภัย” และไม่ถูก”เอารัดเอาเปรียบ” เพราะยามนี้”เม็ดเงิน” ที่”หลังไหล” เข้ามาประเทศไทย มาจาก”อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” เท่านั้น….. ในขณะที่ ททท. ก็ มีแผนในการ”ขับเคลื่อน” เพื่อ”ส่งเสริมการท่องเที่ยว” ในจังหวัดอันดามัน” พังงา,กระบี่, ตรัง “และ” สตูล” ซึ่งมีความ”เติบโต” อย่าง”ต่อเนื่อง” หลังผ่านพ้นเรื่องของ”โควิด 19” โดย เชื่อว่าปี 2567 จะมี “นักท่องเที่ยว” เข้ามา “ท่องเที่ยว” ใน”จังหวัดอันดามัน” รวมทั้งสิ้น 30-35 ล้านคน ทั้งหมด น่าจะเป็น”เติบโต” ตาม”ธรรมชาติ” ที่”เสนาบดีท่องเที่ยวและกีฬา” ไม่ค่อยได้”พูดถึง” การ”ท่องเที่ยว” ใน”ภาคใต้” มากนัก

ส่วน”การท่องเที่ยว” ใน”ภาคใต้ตอนล่าง” ใน จ.สงขลา ก็ยังอาศัย” นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย” เป็น”ลมหายใจหลัก” ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ ตลอดปีที่ผ่านมา”นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย” มาเที่ยว หาดใหญ่แบบ”สม่ำเสมอ” และ”ล้นหลาม” ในห้วง”เทศกาล”ต่างๆ และใน”เทศกาลวันลอยกระทง” ก็ เชื่อว่า”หาดใหญ่” จะ”คลาคล่ำ”ไปด้วย”ชาวมาเลเซีย” ปรากฎการณ์นี้ ทำให้”นักธุรกิจ” และ”องค์กรเอกชน” ต่างไม่คิดที่จะ”ขยับขับเคลื่อน” แผนการ”ขยายการท่องเที่ยว” เพราะ”พอใจเม็ดเงิน” จาก”ชาวมาเลเซีย” ส่วน”เทศบาลนครหาดใหญ่” ที่มี” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” เป็น”นายกเทศมนตรี” ก็อยู่ระหว่างการ”สร้างซุ้มประตูไชน่าทวน์”ที่ “สวนหย่อมเซียงตึ้ง” เพื่อเป็น”สัญลักษณ์” ของการท่องเที่ยว ….. สำหรับใน “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็มีเพียง อ.เบตง จ.ยะลา เพียง อำเภอเดียว ที่การ”ท่องเที่ยว”ยังคง”คึกคัก” วัน”ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์” และห้วงที่มี”เทศกาลสำคัญ” ที่พักไม่เพียงพอ ร้านอาหาร”เต็มล้น” ไปด้วย นักท่องเที่ยว และ”ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง” ยังคงมี”เสน่ห์” ในการ”ดึงดูด”นักท่องเที่ยว ให้มาเยือน และ เร็วๆนี้ จะมีการสายการบิน”น้องใหม่” ที่ชื่อว่า”อีซีแอร์ไลน์” จะเปิดเที่ยวบินจาก” สนามบินนานาชาติหาดใหญ่” บินตรงไปยัง”สนามบินเบตง” ซึ่ง “เจ้าของสายการยิน” ได้นำเครื่องไป”ทดลองบิน” แล้ว เพื่อสร้างหา”ประสบการณ์” และสร้างความ”มั่นใจ” ให้กับ”ผู้โดยสาร” ถึง”ความปลอดภัย” มีความพร้อมบิน แต่ที่ยัง”บินไม่ได้” เพราะ”กรมการบินพลเรือน” ยัง”โอเอ้วิหารราย” ยังไม่ส่ง”ใบอนุญาต”ให้บินได้ นั้นเอง ก็หวังว่า” ทุกฝ่าย” โดยเฉพาะ”ฝ่ายความมั่นคง” จะต้อง”รักษาความสงบ”ของ”เมืองเบตง” ให้”ปลอดภัย”จากการ” ก่อการร้าย”ของ” บีอาร์เอ็น” เพราะนี้คือ”แหล่งปั้มเงิน” เพียงแห่งเดียวของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เหลืออยู่

เรื่องของการเมืองท้องถิ่น การเลือกตั้ง” องค์การบริหารส่วนจังหวัด” ซึ่งที่ผ่านมา”ผู้บริหารอบจ.” ต่างอาศัย”ช่องว่างของกฎหมาย” ลาออกก่อนครบวาระ เพื่อจัดให้มีการ”เลือกตั้งเฉพาะทีมผู้บริหาร” ส่วนการเลือกตั้ง” สมาชิกอบจ. หรือที่เรียกว่า “สจ.” ต้อง เลือกตั้งหลังอยู่ครบวาระ ซึ่งเป็น”เทคนิค” ของการ”เลือกตั้ง” ที่ หลายๆ จังหวัดได้ทำกันอย่างเป็น”ปกติ” แต่ วันนี้ “สุนทร บุญยิ่ง” จาก”เครือข่ายประชาชนต้านทุตริตและคอร์รับขั่น” ได้”ยื่นเรื่อง” ให้กับ”คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ” กกต.” พิจารณาว่า การ”ลาออก” ของ”ฝ่ายบริหาร” และ”เลือกตั้ง” ก่อน”ครบวาระ” เป็นการทำผิด”กฎหมายรัฐธรรมนูญ” ก็ต้องติดตามว่า” กกต.” จะมีความเห็นอย่างไร เพราะถ้า”ผิดกฎหมาย” ก็จะกลายเป็น”เรื่องใหญ่” ทางการเมือง ที่ สำคัญยุคนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้

ตามไปดูการ”เลือกตั้งนายกอบจ.นครศรีธรรมราช” ซึ่งมีการ”จับตามอง” จาก”ทุกภาคส่วน” เพราะวันนี้” กนกพร เดชเดโช” อดีตนายก อบจ. นครศรีธรรมราช” ที่ก่อน”ลงสนาม” ใครต่อใครบอกว่า”แบเบอร์”ไร้”คู่แข่ง” วันนี้ ยิ่งเดินหน้าหาเสียง ยิ่งเห็นชัดว่าคู่แข่งอย่าง”วาริณ ชินวงศ์” อดีต”ประธานหอการค้าจังหวัดนครศรีธรรมราช” และ”อดีตเลขานุการส่วนตัวของ”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” ไม่”ธรรมดา” เพราะกำลัง”หายใจรดต้นคอ” และอาจจะ”เต็งหาม” ใน วัน”หย่อนบัตรลงคะแนน” แม้ว่า” กนกพร เดชเดโช” จะมี”ลูกชายเป็น สส.เขต ถึง 2 คน แต่ก็อย่างลืมว่า”กระแส”ของ”ประชาธิปัตย์” ไม่สู้ดีนัก เมื่อ”เทียบกับภูมิใจไทย” ที่รู้กันว่าเป็นผู้”สนับสนุน”ให้”วาริณ ชินวงศ์” ลงสนามเพื่อ”ชิงตำแหน่ง” นายก อบจ.นครศรีธรรมราช ในครั้งนี้ ในขณะที่ ผู้สมัครหมายเลข 3 คือ อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ และหมายเลข 4 คือ สัณหพจน์ ศรีเมืองสุข” อดีต สส.ของ “พลังประชารัฐ” ก็มีส่วนในการทำให้”คะแนนเสียง”ของ”การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกแบ่งออกไป ก็ต้องติดตาม”โค้งสุดท้าย” ว่า” ประชาธิปัตย์” จะ”แก้เกม” โดยการ”ขย่ม” พื้นที่เพื่อ”ปิดทางชนะ”ของ”วาริณ ชินวงศ์” อย่างไร เพราะ”ประชาธิปัตย์” มักจะมี”ลูกไม้ใต้เฉี้ยน” มา”เล่นงาน” คู่ต่อสู้ได้เสมอ ฉะนั้น” ทั้ง”วาริณ ชินวงศ์” และ”พลพรรคสีน้ำเงิน” อย่างได้ประมาท

ส่วนใน จ.สงขลา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา”สุพิศ พิทักษ์ธรรม”หัวหน้าทีม”สงขลาพลังใหม่” อดีต “อธิบดีกรมฝนหลวงฯ ก็ได้เปิดตัว”ทีมสงขลาพลังใหม่” ทั้งฝ่าย”บริหาร” และ” สมาชิก อบจ.ทั้ง 36 คน ต่อ”สื่อมวลชน” เป็นที่”เรียบร้อยโรงเรียนสุพิศ” ไปแล้ว ใน ส่วนของ”ทีมที่ปรึกษา” ที่น่าสนใจคือได้”สมพร ใช้บางยาง” อดีต ผวจ.สงขลา และ อีกหลายตำแหน่ง รวมทั้ง”นายกสมาคมวอลเลย์บอล” มาเป็น”ประธานที่ปรึกษา” ซึ่งได้ประกาศต่อหน้า”ธารกำนัล” ว่า นอกจากจะ”ระดมสมอง”ให้คำ”ปรึกษา”แล้ว ยังจะทำหน้าที่ในการ”ตรวจสอบ” ถ้า” สุพิช พิทักษ์ธรรม” ได้เข้าไป”บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา” แล้วไม่เป็นไปตาม”นโยบาย” และ”คำมั่นสัญญา” ที่ให้ไว้ก็จะ”เดินออกจากทีมสงขลาพลังใหม่” เป็น”คนแรก” ก็หวังว่าจะไม่ได้เห็น” สมพร ใช้บางยาง” ต้อง”เดินออกจากการเป็นประธานที่ปรึกษาของการเมืองท้องถิ่นเป็นครั้งที่ 2”นะ

ส่วน “ทีมคู่แข่ง” ที่ถูก”จับตามอง” คือ”ทีมของ”ไพเจน มากสุวรรณ์” นายก อบจ.คนปัจจุบัน ที่บอกทุกคนที่”ถามไถ่” ว่ายังต้องการเป็น”นายกอบจ.สมัยที่ 2” เพราะยังมี”ภารกิจ” ที่ต้องการ”สานต่อ” และเห็น”นัยที่สำคัญ” คือการ”ลงพื้นที่อย่างถี่ยิบ”ก่อน”หมดวาระ” ในการ”ปฏิบัติหน้าที่” เพื่อ”พบปะประชนชน” เป็นการ”เช็คเรตติ้ง”หรือ” เสียงสนับสนุน” ซึ่ง”คอการเมือง” กำลัง”ใจจดใจจ่อ” อยากเห็น”โฉมหน้า”ของทีมงานของ”ไพเจน มากสุวรรณ์” ว่าจะ”พอฟัดพอเหวี่ยง” กับทีม” สงขลาพลังใหม่” ของ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” หรือไม่ รวมทั้งต้องการ” ว่าจะมี”บ้านไหน” ที่ให้การ”สนับสนุน” ทีมของ”ไพเจน มากสุวรรณ์”เห็นบ้านใหญ่ เพราะ”บ้านใหญ่อย่าง” ขาวทอง” และ”บุญญามณี” ที่เคยอยู่”เคียงข้าง”ไพเจน มากสุวรรณ์” เมื่อ 4 ปี ที่แล้ว ณ วันนี้”ย้ายข้าง” มายืน”ข้างเคียง”กับ” สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อย่าง”สง่าผ่าเผย” ทุกอย่างเป็น”อดีต” ส่วน”ปัจจุบัน” ก็เป็น อย่างที่เห็น ทั้งหมดคือ”สัจธรรม”ของ”การเมือง” ที่ไม่มีมิตรแท้ และ ศัตรูถาวร” คนที่อยู่ใน”สนามการเมือง” ต้อง”เข้าใจถึงสัจธรรม” นี้ให้ได้

เรื่อง”ยาเสพติด” และ”แรงงานเถื่อน” กลายเป็น”ปัญหาประจำถิ่น” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ไปแล้ว วันนี้ ตั้งแต่”พัทลุง”ลงมาจนถึง”สงขลา” และ ละเรื่อย”ไปถึง ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” และ”สตูล” กลายเป็น”แหล่งพักยา” และ”กระจาย”ยาเสพติด” ทั้ง”ไอซ์” และ”ยาบ้า” ที่สำคัญ”อาชีพการค้ายาเสพติด” กลายเป็น”อาชีพหนึ่ง” ที่ถูกยึด”เป็นอาชีพ” ถาวร ที่”ทำเงิน” ในการ”เลี้ยงชีพ” และ”เลี้ยงครอบครัว” การ”จับกุม” อย่างเดียว จึงไม่ใช่การ”แก้ปัญหา” ที่ถูกต้องถูกจุด”เป็นการ”เกาไม่ถูกที่คัน” เรื่องนี้”แพทองธาร ชินวัตร” จะประกาศว่าการแก้ปัญหา”ยาเสพติด”เป็น”วาระแห่งชาติ” อย่างเดียวไม่เป็นผล ต้องมีการ”จัดขบวนทัพ” ในการ”จัดการกับยาเสพติด” คือต้องมี” เจ้าภาพ” ที่”ชัดเจน” ไม่ใช่การจัดทัพแบบ” เบี้ยหัวแตก” ที่”ต่างคนต่างคิด” และ”ต่างคนต่างทำ” เชื่อเถอะ ถ้าเป็นอย่างที่เป็น” ชาติหน้า” โน่น ปัญหา”ยาเสพติด” จึงจะ”เบาบาง”

เช่นเดียวกับเรื่องของ”แรงงานเถื่อน” เรื่องของ”การค้ามนุษย์” ถ้า ไม่สามารถ”แก้ที่”ชายแดน” ที่เป็น”ปากประตู” ที่นำเข้า”แรงงานเถื่อน” โดย”ปล่อย” ให้”เข้ามา” และ”กระจาย”กันไปทั่วทุกภาค มี”เอเย่นต์”การ”ค้ามนุษย์” ทุก”จังหวัด” และการ”ตรวจค้น” บน “เส้นทางสายใต้” ยังไม่”จริงจัง” ไม่มี”เจ้าภาพ” ที่”ชัดเจน” มีการ”รับส่วยสาอากร” อย่างที่เป็นอยู่ ปัญหา”แรงงานเถื่อน” เห็นที่ต้องรอให้”ประเทศเพื่อนบ้าน” ที่เป็น”ต้นตอและต้นทาง” ต้อง”สิ้นชาติ” เสียก่อน เรื่อง”แรงงานเถื่อน” และการ”ค้ามนุษย์” ในประเทศไทยจึงจะ”ยุติ”ลงได้ และที่สำคัญ ถ้าทุกเรื่องทุกปัญหา ต้องรอให้”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เป็นผู้”สั่งการ” แล้ว ประเทศนี้จะมี” เสนาบดี” มี”รัฐมนตรี” มี”ปลัดกระทรวง” มี”อธิบดี” มี”ผู้ว่าราชการจังหวัด”มี”นายอำเภอ” มี”ผู้บัญชาการ” มี”ผู้การ มีผู้กำกับ” มี”แม่ทัพ นายกอง” ไว้ ทำ”ตะบักตะบวย” อะไรกัน….. แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง..เกาะกูดใครได้ใครเสียหรือแค่เกมการเมือง

เรื่อง”ร้อนๆ” สำหรับ”รัฐบาล”ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” และมี” แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” คือเรื่องของ”เกาะกูด” ที่ทั้ง”เพื่อไทย” ทั้ง”ทักษิณ ชินวัตร” ถูก” เฟคนิวส์” โหมกระหน่ำ ว่ามี”ผลได้เสีย” กับ”แหล่งก๊าซธรรมชาติ” และเป็น”ผู้ร้าย” ในการ”ยกแผ่นดินไทย” ให้กับ”กัมพูชา” ซึ่งโดย ข้อเท็จจริงเรื่องของ”เกาะกูด” เป็นแผนดินไทย ไม่ใช่ของ”กัมพูชา” และ”กัมพูชา”  ทั้ง”ฮุนเซ็น” ผู้พ่อ และ”ฮุนมาเน็ต” ผู้ลูก ซึ่งเป็น อดีตผู้นำ และ ผู้นำปัจจุบัน ก็ไม่เคยออกมากล่าวผ่าน”สื่อ” ว่า เกาะกูด เป็นของ”กัมพูชา” เรื่องข่าว”เกาะกูด” เป็นของ”กัมพูชา” เป็นเรื่องการ”ทำลายล้าง” ทาง”การเมือง” เพื่อผลของ”การเมือง”โดยมีคนในตระกูลของ”จันทร์ส่องหล้า” เป็น”เหยื่อ” ดังนั้น หน่วยงานไหนที่ออก”เต้น” ตามจังหวะการ”ตีกลอง” ของ”ศัตรูทักษิณ” จึงเป็นการ”เต้นผิดจังหวะ” และล่าสุด” ผบ.ทร.” ก็ออกมา พูดชัดเจนว่า”เกาะกูด”เป็นของ”ประเทศไทย”

แต่การออกมา”โหมโจมตี”ครอบครัวของ” ชินวัตร” ว่าอาจะมี”ผลประโยชน์ทับซ้อน” และอาจจะทำให้”ไทยเสียดินแดน” ก็เป็นเรื่องที่ทำให้” ทักษิณ ชินวัตร” และ”พรรคเพื่อไทย” รวมทั้ง”แพทองธาร ชินวัตร” จะได้”ระมัดระวัง” ยิ่งขึ้น ไม่ไปทำในเรื่องที่”ประชาชนสงสัย” ว่าจะมี”ผลประโยชน์ทับซ้อน” กับ”รัฐบาล”ของ”ประเทศกัมพูชา”   ความจริงเรื่องของ”เกาะกูด” วันนี้ยังไม่ต้อง”ไปไกล” ถึงเรื่อง”การ”แบ่งปันผลประโยชน์” ของ”ก๊าซธรรมชาติ” ระหว่าง”ประเทศไทย”กับ”กัมพูชา” แต่เรื่องที่”รัฐบาล” ชุดปัจจุบันต้อง ดำเนินการคือเรื่องของ”เอ็มโอยู” ที่มีการ”ลงนาม” ระหว่าง “ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย” กับอดีต”ผู้นำกัมพูชา” ว่าจะ”ยกเลิก”ได้หรือไม่ เพราะหลักฐานในการใช้เพื่อ”แบ่งเขตแดน” ต้องยึดตาม”สนธิสัญญา” ที่ทำไว้กับ”ฝรั่งเศส” เป็นสำคัญ  และ “เส้นต่างๆ” ที่เป็น”เส้นแบ่ง” ต้องมีความ”ชัดเจนถูกต้อง” และ”เป็นธรรม” ดำเนินการในเรื่อง”แบ่งปันเขตแดน” ให้มีความ”ชัดเจน” ให้ได้เสียก่อน ส่วนเรื่องการ”แบ่งปัน” ผลประโยชน์ เป็นเรื่องที่ต้อง”มาทีหลัง” ไม่ใช่เรื่องที่”เร่งด่วน” หรือ”ร้อนรน” จนทำให้”ประเทศไทย”ต้อง”เสียดินแดน” และ” ผลประโยชน์” โดยเฉพาะ”ประชาชน” ที่”เสพสื่อ” จน”คลั่งชาติ” ต้อง”ระมัดระวัง” และต้องมี”ความรู้ความเข้าใจ”ว่าไหนเป็น”สื่อจริง” หรือไหนที่เป็น”เฟคนิวส์ เรื่องของ “เกาะกูด” เป็นเรื่องที่”ทั้ง”แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี และ”ภูมิธรรม เวชยชัย” หรือ” เสี่ยอ้วน” ต้อง ชี้แจ้งกับ” สื่อมวลชน” ให้ “ชัดเจน” อย่าได้ไม่ตอบคำถาม “ซิ่งหนี” หรือทำ”หงุดหงิด” เพราะการให้”ข้อเท็จจริง”กับ”สื่อมวลชน” ที่มี”สังกัด” ที่ชัดเจน ดีกว่าปล่อยให้”เฟคนิวส์” ใน”โซเชียลมีเดีย” ทำการ”ตีกระหน่ำ” เพียงฝ่ายเดียว เพราะโดย”ธรรมชาติ” ของ”สื่อ” เรื่อง”เท็จ” ถ้าถูก”ผลิตซ้ำ”ทุกวัน มันก็จะกลายเป็น” เรื่อง” ในความ”รู้สึก”ของ”ผู้เสพสื่อ”

เรื่องของ”บอร์ดแบ็งค์ชาติ” ก็เป็นอีก”เรื่องร้อน” สำหรับ”รัฐบาล” ของ”พรรคเพื่อไทย” เพราะวันนี้ชื่อ”กิตติรัตน์ ณ ระนอง” กลายเป็นของ”แสลง” สำหรับคนใน”แบ็งค์ชาติ” และ”นักวิชาการ” ทั้งหลาย ที่ต่างออกมา”แสดงความคิดเห็น” ไม่ต้องการให้”กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ไปทำหน้าที่เป็น”บอร์ดของแบ็งค์ชาติ” ที่ไปใน”ฐานะ”ของ”ตัวแทน”ของ”พรรคเพื่อไทย” เพราะ”พรรคเพื่อไทย” ณ วันนี้ กลายเป็นที่”ไม่วางใจ”ของ”ประชาชน” ส่วนหนึ่ง โดยสงสัยในเรื่องการ”ใช้อำนาจ” ในการเข้าไป”กำกับดูแล” เพื่อให้ นโยบายของ”แบ๊งค์ชาติ” เป็นไปตามความต้องการของ”พรรคเพื่อไทย”…..ก็ไม่ผิดอะไรที่” ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะบอกว่าการส่ง”กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ไปเป็น”บอร์ดแบ๊งชาติ” ไม่ผิด เพราะ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” มี”คุณสมบัติ”ที่ครบถ้วน ส่วนเรื่องอื่นๆ จึงไม่ใช่ข้อ”พิจารณา” ก็น่าจะเช่นเดียวกับวันที่”พรรคเพื่อไทย” ส่งชื่อ”พิชิต ชื่นบาน” ให้เป็น”รัฐมนตรี” ก็มีการบอกว่ามี”คุณสมบัติ”ถูกต้อง สุดท้ายเป็นประเด็นให้ “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องหลุดจากตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ส่วนของ”กิตติรัตน์ ณ ระนอง” นอกจากเรื่องของ”ความถูกต้อง” ยังต้องคำนึงถึง”ความเหมาะสม” ด้วย ที่สำหรับวันนี้”พรรคเพื่อไทย” และคนของ”เพื่อไทย” กลายเป็นความ”หวาดระแวง”ของคน”ส่วนใหญ่” ไปแล้ว

ความจริงเรื่องของ”การเมือง” เรื่องของ”พรรคร่วม” เรื่องของ”เพื่อไทย” และเรื่องของ”แพทองธาร ชินวัตร” ยังมีอีกมากที่เป็น”ประเด็น” ให้”วิพากษ์วิจารณ์” แต่เพราะมี”ข่าว”ทนายต้ม” และ”ทนายหิวแสง” เข้ามา”แย่งเฟรมข่าว” ทำให้”ข่าว” อื่นๆ ที่เป็นเรื่อง”การเมือง” และเรื่อง”การมุ้ง” อย่างข่าว”บิ๊กโจ๊ก” และ”ภรรยา” กลายเป็น”ข่าวเล็ก” จึงไม่เป็นที่”สนใจ”ของ”สังคม” เรื่องนี้”อุ๊งอิ๊ง” เธอต้อง”ขอบคุณ” บรรดา”ทนาย” โดยเฉพาะ”ทนายต้ม” ให้มากๆ

เรื่องของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งมีผู้ที่ให้”แนวนโยบาย” กับ”ทักษิณ ชินวัตร” ให้ประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็นองค์กรก่อการร้าย” เพื่อที่จะได้”จัดการ”กับปัญหาของ”ไฟใต้” ให้เป็นไปตามที่ หน่วยงานความมั่นคง มีการ “แถลงข่าว” ว่าเรื่องของ”ไฟใต้” จะต้อง”ยุติ” ในปี 2570 แต่ … ล่าสุด ทราบว่าเรื่องที่จะ ประกาศให้” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น” องค์กรก่อการร้าย” น่าจะจบลงที่การ”เป็นหมัน” หลังจากที่”ทักษิณ ชินวัตร” มอบหมายให้”สหายใหญ่” หรือ”เสี่ยอ้วน” หรือ” ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้”หาข้อมูล” รายละเอียด ต่างๆ จาก” สภาความมั่นคงแห่งชาติ” (สมช.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ”(สขช.)”ตำรวจสันติบาล “ และ “ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ” หรือ ( ศรภ.) และ หน่วยงานอื่นๆ แล้ว ยังไม่”ตกผลึก” ดังนั้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน  ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่” บิ๊กอ้วน” นัดประชุมหน่วยงาน”ความมั่นคง” ทั้งหมดเพื่อ”ถกแถลง” ในเรื่องการ”ยกระดับ” ให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” จึงถูกเลื่อนออกไปแบบ”ไม่มีกำหนด” ดังนั้น เรื่องของ”ไฟใต้” ก็คงจะเดิน” ต้วมเตี้ยม” ไปแบบเดิมๆ ที่เดินมาแล้ว 20 ปี โดยที่ ไม่มีอะไรใหม่  นั้นคือ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ยังเป็น”เป้าหมาย” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” และจบลงที่”เจ็บ ,ตาย “  วาง”พวงหรีด , คลุมธงชาติ” และ”จ่ายเงินค่าเยียวยา”แล้ว”จบ” เพื่อรอให้เกิด”เคส ใหม่ “และ”ปฏิบัติการ” แบบเดิมๆ ส่วนฝ่ายที่ไม่อยากให้จบ เพราะยัง”พิสมัย” ในเรื่อง”งบประมาณ” ในการดับ”ไฟใต้” ปีละ 30,000 ล้านบาท ก็คง”ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” ในการที่”บีอาร์เอ็น” จะได้คงอยู่คู่กับ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”ตลอดไป การ”ผลาญงบประมาณ” เพื่อการ”ดับไฟใต้” จงเจริญ…..และ”บีอาร์เอ็น” ก็คงจะ “นอนตีพุง” ด้วยความ”สบายใจเฉิบ” ในการที่จะได้เป็น”องค์กรลับ”ต่อไป เพื่อที่จะได้”ปฏิบัติการ” สร้างความ”สูญเสีย” ทั้ง”ชีวิต” และ”ทรัพย์สิน” ให้กับ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต่อไป  ทั้งหมดคือความ”วินวิน” ของ ทั้งฝ่าย”ความมั่นคง”ของไทย และฝ่าย”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”ของ”บีอาร์เอ็น ความหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ในทางที่ดีขึ้น ณ วันนี้ยังน่าจะเป็นเพียง”ความฝัน”

ล่าสุด “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการ”แต่งตั้ง” ให้” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” อดีต “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) เป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และมีการตั้ง”หน่วยงานการข่าว” ที่เป็นหน่วยงานลับ” เป็นชุด”เล็กพริกขี้หนู” เพื่อดำเนินการ”ข่าวลับ”เพื่อแก้ปัญหา”ไฟใต้” ซึ่งจะได้ผลแค่ไหน อย่างไร ก็คงต้อง ติดตามกันต่อไป  ส่วนเรื่องการ”พูดคุยสันติสุข” ที่”หยุดชะงัก” ไปเป็นเวลานาน หลังการแต่งตั้งให้”ฉัตรชัย บางชวด” เป็น”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ( สมช.) แล้ว ก็ยังไม่เห็นการ”ขับเคลื่อน” เวทีของการ”พูดคุยสันติสุข” แต่อย่างใด ในขณะที่”บีอาร์เอ็น” ก็ไม่อยากที่จะ”ไปต่อ” กับการ”พูดคุยสันติสุข” แบบเดิมๆ ที่ผ่านมาแล้ว 12 ปี และ”มาเลเซีย” ซึ่งเป็น” ผู้อำนวยความสะดวก”ก็ไม่”แฮปปี้” กับแผนการ”พูดคุยสันติสุข”ที่เรียก ว่า”เจซีพีพี” เพราะ”มาเลเซีย” เห็นว่าเป็น แผนของ” เจนีวาคอลล์” ซึ่งเป็น”องค์กรต่างชาติ” ที่เป็น”ชาติตะวันตก”  ตรวจสอบ”ลมล่างลมเป็น” แล้ว เชื่อว่าการ “พูดคุยสันติสุข” ยังต้องมีการ”ขับเคลื่อนต่อ” แต่จะ”ขับเคลื่อน” อย่างไร น่าจะเห็นชัดในปี 2568 โน้น แต่สิ่งที่ต้อง”ระวังให้มาก” มีคนของ”สมช.บางคน ที่”โปรฝรั่ง” จะ”ชักใบให้เรือเสีย” เรื่องนี้ต้อง ระวังกันให้มาก

ส่วนในพื้นที่ หลัง “พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่” แม่ทัพภาคที่ 4” และ” ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ ก็มีการเข้าพบกับ” ตัวแทน” ขององค์กรต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือในการ แก้ปัญหาของ”ไฟใต้” การเข้าพบกับ”ผู้นำ” ทุกองค์กรในพื้นที่ เป็นส่วนหนึ่งในการเข้ารับ”หน้าที่”ของ”แม่ทัพภาค 4 คนใหม่ ซึ่ง เป็นเหมือนกับ”ทุกแม่ทัพที่ผ่านมา” ดังนั้น”จุดต่าง” ที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นคือ เข้าพบแล้ว ทำอย่างไร จึงจะทำให้” ผู้นำศาสนา” ผู้นำ”องค์กร”ต่างๆ ให้ความ”ร่วมมือ” ในการ”ดับไฟใต้” ไม่ใช่เพียงเข้าพบ”เพื่อแนะนำตัว” แต่ความ”ร่วมมือ” ไม่เกิด อย่างที่ผ่านมาแล้ว 20 ปี นี่ต่างหากที่เป็น”ปัญหา”ของการดับ”ไฟใต้”

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จับกุม”นักร้องสาวชาวมาเลเซีย” ซึ่งเป็น”ขวัญใจวัยรุ่น” กับพวกรวม 6 คน พร้อมยาบ้า ซึ่งเป็น”ยาเสพติด” จำนวน 6,000 กว่าเม็ด ในโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง ใน อ.สุไหงโก-ลก  เรื่องนี้กลายเป็น”ข่าวใหญ่” ใน ประเทศมาเลเซีย และ ใน ประเทศอินโดนีเซีย เรื่องนี้มีประเด็นที่” หัวหน้าตำรวจรัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย กล่าวถึงปัญหา”ยาเสพติด”และการ”จับกุม” ชาวมาเลเซียทั้ง 6 คนว่า เจ้าหน้าที่ไทย ปล่อยให้การ เสพ การค้า ยาเสพติด “ระบาด” ใน ผับ ในบาร์ ในคาราโอเกะ เป็นไปอย่างเสรี เป็นปัญหาให้ยาเสพติด”ระบาด” เป็นเหตุชาวมาเลเซีย กลายเป็นผู้เสพติด ที่ยากในการป้องกัน”  พล.ต.ต. ไมตรี สันตยานุกุล” ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ฟังคำ”วิพากษ์ วิจารณ์” ของ” หัวหน้าตำรวจรัฐ กลันตัน แล้ว ก็ความเห็นอย่างไรบ้าง และ”จริงหรือไม่” ที่” ใน”บาร์ ในผับ” ในห้องอาหาร ในโรงแรม ใน ราคาโอเกะ  ใน พื้นที่ “สุไหงโก-ลก” เป็นแห่ง ซื้อขาย และ เสพยา” จริงหรือไม่ นี้คือการ”ประจาน” ให้เกิดความ”เสียหาย”ต่อประเทศไทย แล้วจะ”แก้ไข” อย่างไร หรือ ปล่อยให้เป็นไปแบบเดิมๆ เพราะ”สุไหงโก-ลก” เป็น”เมืองท่องเที่ยว” ถ้าไม่”ขายยาบ้า”ไม่ขาย”เนื้อหน้าขา” ของ”ผู้หญิง แล้วจะให้”ขายอะไร” เรื่องนี้ว่าที่” ร.ต.ตระกูล โทธรรม” ผวจ.นราธิวาส “ทำหูทวนลม”ไม่ได้นะ

ในขณะที่”รองมุขมนตรี” ของ”รัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่าปัญหาของ”ยาเสพติด” และ”สิ่งของผิดกฎหมาย” มาจากการที่การ”ควบคุมแนวชายแดนหละหลวม” ไม่มีการสร้าง”รั้วกั้น” เพื่อป้องกัน”น้ำท่วม” และ”การค้าสิ่งของผิดกฎหมาย เช่น “ยาเสพติด” และ”คนเถื่อน” และ อื่นๆ  ไทยปล่อยให้มี”ท่าเรือ” ที่เป็น”ท่าข้าม” แม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่” ผิดกฎหมาย” ( เถื่อน )  เป็นจำนวนมาก เรื่องนี้”ผู้บริหารรัฐกลันตัน” มองเห็นจุด”บกพร่อง” และออกมา”วิพากษ์วิจารณ์” ประเทศไทยอย่าง”เข้มข้น” แต่”ไทย” ซึ่งเป็น”เจ้าของประเทศ” กลับมองไม่เห็น”ปัญหา”เรื่องการ”สร้างรั้วชายแดน” กั้นเขตแดนไทย-มาเลเซีย ในส่วนที่เป็นปัญหาระยะทาง 100 กิโลเมตรกว่าๆ เป็นเรื่องที่”ทำได้” และ”สมควรทำ”โดยใช้”งบประมาณ”ไม่เกิน 30,000 ล้าน ก็จะสามารถแก้ปัญหา เรื่อง”การก่อการร้าย” เรื่องของ”ไฟใต้” แล้ว ยังเป็นการ”ป้องกัน”ปัญหา”อาชญากรรม”ทุกชนิด ทั้งเรื่องการ”ค้ายาเสพติด” เรื่องของการ”ค้ามนุษย์” เรื่องการค้า”ของผิดกฎหมาย” ทุกอย่าง ดังนั้นจึงมีผู้ตั้งข้อ”สงสัย” ว่าที่”รัฐบาลไทย” ไม่ให้ความสนใจการ”สร้างรั้ว” เพื่อการกั้น”เขตแดน” มาจากเรื่องของ”ผลประโยชน์” ของ”เจ้าหน้าที่” กับ” ขบวนการอิทธิพล” ในการ”ค้าของเถื่อน” และอ้างว่าการ”สร้างรั้วกั้นชายแดน”ที่สร้างไม่ได้เป็นเพราะ”นักการเมือง” ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนคัดค้าน โดยอ้างเรื่อง”วิถีชีวิต”ของคน”ชายแดน” ที่ต้องมีการ”ข้ามไปมา” แบบ”เสรี” ไม่ต้องผ่าน”จุดตรวจ” ไม่ต้องใช้”เอกสาร” ในการข้าม”พรมแดน” การ”สร้างรั้ว” จึงเป็นการทำลาย”วิถีวัฒนธรรม” ของคนในพื้นที่ หรือทั้งหมดที่เป็น”เหตุผล” ไม่ให้มีการ”สร้างรั้วกั้นเขตแดน” เป็นเรื่อง”ผลประโยชน์” ทั้งของ”การเมือง” และ” เจ้าหน้าที่รัฐ” โดยมี”ขบวนการเถื่อน” ที่ร่วมกัน ต้องการให้เป็นอย่างนั้น

อีกเรื่องการที่มีผู้”ลักลอบขุดทราย” ในแม่น้ำสุไหวโก-ลก ในพื้นที่ ต.โละจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส ข่าวว่าทำกันเป็น”ขบวนการ” ไม่ใช่ฝีมือของ”ชาวบ้าน” เรื่องนี้ “นายอำเภอแว้ง” และ” ผกก.สภ.แว้ง จ.นราธิวาส ต้องมีการ”จับกุม” แค่ติดป้ายประกาศ อย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้การ”ลับลอบขุดทราย” หยุดลงได้ และอีกเรื่อง มีผู้”แจ้งข่าว” ว่า “รีสอร์ต” ที่พัก ใน”แนวชายแดน” ไทย-มาเลเซีย ใน อำเภอแว้ง ไม่ได้สร้างเพื่อให้”นักท่องเที่ยวพัก” แต่สร้างเพื่อให้”แรงงานเถื่อน” ที่เป็น”ชาวเมียนมา” เข้าพักก่อนที่จะได้”ไฟเขียว” ให้”ข้ามไปฝั่ง”ประเทศมาเลเซีย” และมี”นายหน้า” เก็บเงินจาก” แรงงานเถื่อน” หัวละ 500 บาทต่อวัน ของผู้ที่เข้าพักใน”รีสอร์ต” เพื่อส่งให้”เจ้าหน้าที่ตำรวจ” เรื่องนี้”จริง-เท็จ” อย่างไร ฝากให้”  พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี”ผบช.ภ.9 ทำการ”ตรวจสอบ” ด้วย

เรื่องความเดือดร้อนของ”ประชาชน” ทั้งประเทศ คือเรื่องของการ” แอบขึ้นราคา” ของ”น้ำมันปาล์มสำเร็จรูป” ที่ต้องใช้ใน”ครัวเรือน” และ พ่อค้าแม่ค้า ที่ต้อง”ขายอาหาร” และ”ขนมทอด” ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะ”ข้าวเหนียวไก่ทอด” และ”ปลาท่องโก๋” ที่เป็น”อาหารหลัก” ของ”คนใต้” ที่วันนี้คนขาย”ขาดทุนกำไร” จากการ”แอบขึ้นราคาของน้ำมันปาล์ม” สำเร็จรูป ก็ไหน”พิชัย นริททะพันธ์” รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ “คุยนักคุยหนา” ว่าเป็นคนที่มี”กึ๋น” แล้วทำไมปล่อยให้” พ่อค้า กลุ่มโรงงานน้ำมันปาล์ม” ทำการ”ลูบคม” จน”เสียเหลี่ยม” ถามว่าปัญหานี้จะแก้อย่างไร อย่าบอกนะว่า”ผลผลิตปาล์ม” ในภาคใต้ 6 จังหวัด”มีน้อย” และ”ราคาแพง” จึงเป็นตัว”ฉุดกระชาก” ให้ราคา”น้ำมันปาล์ม” ต้อง”ขึ้นราคา” เพราะคำตอบอย่างนี้แสดงว่าไม่มี”กึ๋น” ของการเป็น”เสนาบดี”…..วันนี้”เกษตรกร” ที่”ปลูกปาล์ม” มีความสุข เพราะ “ผลปาล์ม” ที่”ส่งขาย”ไปยัง”ลานเท” ขายได้กิโลกรัมละ 9.50 บาท ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เป็น”ความสุข” ของ “เกษตรกร” กลุ่มเดียว ที่ตั้งอยู่บน”ความทุกข์”ของ”ประชาชน”ทั้งประเทศ และที่จะตามมาคือเมื่อ”ผลปาล์มมีราคาแพง” ผู้ผลิต”ใบโอดีเซล” ก็ต้อง”ขึ้นราคา” ในการ”จำหน่าย” และ”ไปโอดีเซล”ให้กับ”โรงกลั่น”เพื่อนำไปเป็น”ส่วนผสม” ในน้ำมัน”ดีเซล”ที่เรียกว่า”ดีเซล บี 7 “ ที่ต้องมีราคาแพงขึ้นด้วย

ถึงแม้ว่า”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” รองนายกรัฐมนตรี และ” เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” จะประกาศขอ”ตรึงราคา” น้ำมันดีเซลที่ลิตรละ 33 บาท แต่ เมื่อต้อง”ซื้อไบโอดีเซล”ที่”แพงขึ้น” กองทุนน้ำมันก็จะ”ติดลบ” แบบ”บักโกรก” และสุดท้ายผู้ที่ต้อง”แบกภาระ” คือ” ประชาชน” ไม่ใช่”เสนาบดี” เพียงคนเดียว เรื่องนี้ก็เหมือนกับ”มะพร้าวราคาแพง”ลูกละ 30 กว่าบาท ส่งผลให้”กะทิสดที่คั้นแล้ว” จากที่เคย”ขาย” ให้ผู้”บริโภค” กิโลกรัมละ 90 บาท ขึ้นไปเป็น 110-120 บาท แล้วแต่พื้นที่ เรื่องนี้ทั้งกระทรวงเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ คือ”จำเลย” ของ”สังคม” ที่ต้องช่วยกันในการ”คิดอ่าน” ซึ่ง “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะนั่งเป็น”ทองไม่รู้ร้อน” ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” รับผิดชอบ เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้….. ที่สำคัญที่ “เสนาบดี” อาจจะไม่รู้” เพราะ”บ่มิไก๋” หรืออาจจะรู้แต่”บ่เซียงกัง” คือเรื่องของ”ผลปาล์มสด”จาก”ประเทศเมียนมา” ที่ “ทะลักเข้ามาทางชายแดน” ทั้งใน”ภาคใต้” และ”ภาคตะวันตก” โดยการ”แปลงสัญชาติ” เป็น”ผลปาล์มไทย” เพราะขายได้ราคาแพง เช่นเดียวกับ”มะพร้าว” ที่”มี”ขบวนการพ่อค้า”นำเข้ามาจาก” อินโดนีเซีย” ที่มี”ราคาถูก” เพื่อมา”สวมสิทธิ์” เป็น”มะพร้าวของไทย” ฟันกำไรกันเป็น”ขบวนการ” เรื่องเหล่านนี้ เป็น”เรื่องใหญ่” ที่คนเป็น”เสนาบดี” ต้องให้ความสนใจ

ส่วนชาว”สวนยางพารา” ที่”ยิ้มหวาน” มาร่วม สองเดือน วันนี้ชัก”หุบยิ้ม” และ”ยิ้มไม่ออก” เพราะราคายางพาราจากที่ “เกษตรกร” ขายได้ กิโลกรัมละ 90 กว่าบาท ( น้ำยางสด) วันนี้เหลือเพียง กิโลกรัมละ 60 บาทกว่า ทั้งที่”ภาคใต้เข้าสู่ฤดูฝน” ที่ทำให้”ผลผลิตออกสู่ตลาดลดน้อยลง” นี่ก็เป็นเรื่องที่” เสนาบดี” ของ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์”  และ”บอร์ดการยางแห่งประเทศไทย” โดย เฉพาะ” เพิก เลิศวังพงศ์” ประธานบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย” ต้องมี”คำตอบ” ให้กับ”ชาวสวนยาง” ที่ต่าง”วิตกกังวล” การ”ไหลลงแบบรูดทะราด” ของ”ราคายาง เวลา”ยางแพง” ก็ออกมา”แถลงข่าว” ว่าเป็น”ฝีมือ” ของ”บอร์ดการยาง” เวลา”ยางถูก” ก็ต้องออกมา”แถลง” ให้รู้ถึง”เหตุผล”ด้วย จึงจะเป็นผู้”บริหาร” ที่ดี ที่เมื่อต้องการ”รับชอบ” ก็ต้อง”รับผิด” ด้วยเช่นกัน

“รัตน์ ภูกลาง” ประธานเครือข่ายชมรมเสียงประชาชนจังหวัดตรัง ( สปช.) ออกมา แฉถึงการ”ทิ้งงาน” การ”ก่อสร้างสนามบินจังหวัดตรัง” ที่ตั้ง”งบประมาณ”ไว้ที่ 1.2 พันล้าน เรื่องนี้เป็น”เรื่องใหญ่” ที่การ”ทิ้งงาน” อาจจะมีเรื่องของการ”ทุจริต” ด้วยหรือไม่ ทั้งหมดคือเรื่องที่” ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง “ ทรงกลด สว่างวงศ์” ต้องแก้ไข และ” ปปช.จังหวัดตรังต้องเข้าไป”ตรวจสอบ” ข้อเท็จจริงตามที่” เครือขายชมรมเสียงประชาชน” ออกมา”เรียกร้อง …. รวมทั้งเรื่อง”ตั๋วเครื่องบินแพง” ที่”รุกลาม”จาก”สนามบินนานาชาติหาดใหญ่” ไปสู่ “สนามบินจังหวัดตรัง” ที่ทำให้ผู้โดยสาร ออกมา”เรียกร้อง” ให้มีการ”ตรวจสอบ” ถึงความ”ผิดปกติ” และให้”ภาครัฐ” เข้ามาแก้ปัญหา เรื่องนี้”พูดกันมาแล้วหลายหนหลายครั้ง” แต่”รัฐบาล” ไม่ได้ให้ความ”สนใจ” แบบที่เรียกว่า” ฟังหูซ้าย ทะลุหูขวา” ส่วน”หอการค้า,สภาอุตสาหกรรม”  และ “สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว”ต่าง”นิ่งเงียบ”แบบที่เรียกว่า”เจี๊ยะป้าบ่สื่อ” คือ”กินอิ่มแล้วนอน”

เรื่องของ”เมืองท่องเที่ยว” อย่าง”เกาะภูเก็ต , สมุย,เกาะพะงัน” วันนี้เต็มไปด้วย”ต่างชาติ” จาก”หลายๆชาติ” ที่เข้ามา”ทำมาหากิน” แบบที่”ไม่ยอมกลับบ้าน” ดังนั้นจำนวน”นักท่องเที่ยว”ที่อยู่ใน”ข่าย” ความผิด”โอเวอร์สเตย์” จึงมีอยู่เป็นจำนวนมาก และที่สำคัญมีการ”ลักลอบทำงาน” โดยที่ไม่มี”ใบอนุญาต” ให้”ทำงาน” เป็นการ”แย่งงาน”ของ”คนไทย” เรื่องนี้เป็น”เรื่องใหญ่” ที่ “ตรวจคนเข้าเมือง” และ”แรงงานจังหวัด” ต้อง”เอาจริง” ในการ”ตรวจสอบ” และการ”จับกุม” ถ้าทำไม่ได้” สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” ต้องมีการ”ปรับเปลี่ยน” ผู้บังคับการ ตม.6 จาก” พล.ต.ต.ทรงโปรด สุขศิริ” เป็น “บุคคลอื่น” ที่มี”ฝีมือ”มากกว่านี้…..เช่นเดียวกับที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งมีการ”ร้องเรียน” จากการผู้ประกอบกิจการนวดแผนโบราณ ว่า “ร้านนวดแผนโบราณ” ใน”หาดใหญ่”จำนวนเกือบ 200 แห่ง เป็นของ”นายทุนมาเลเซีย” และ”นายทุนเมียนมา” มากกว่าครึ่ง และมีการ”ตัดราคา” เพื่อ”แย่งชิงลูกค้า” ที่ทำให้เกิดความ”เสียหาย” กับ”ร้านนวดแผนโบราณ” ที่เป็นของ”คนไทย” เรื่องนี้หน่วยงานไหน ที่ต้อง”รับผิดชอบ” ซึ่งน่ามี”แรงงานจังหวัด”ร่วมอยู่ด้วย ต้องออกไป”ตรวจสอบ” และแก้ปัญหา ที่เกิดขึ้น

วันก่อนมี”ระเบิดปลอม” เกิดขึ้นที่ “ใจกลางเมืองหาดใหญ่” ซึ่งก็ขอ”ชื่นชม” ทั้ง”พลเมืองดี” และ”ตำรวจ” ทหาร,ปกครอง” ที่มีการ”แจ้งเหตุ” อย่าง”ฉับพลัน” และ”เข้าที่เกิดเหตุ” อย่าง”รวดเร็ว” ถ้าเป็น”ระเบิดจริง” การแจ้งเหตุ และเข้าถึงที่เกิดเหตุ อย่าง”รวดเร็ว” และ”มีความพร้อม” จะช่วยให้ความ”สูญเสีย” ลดน้อยลง….. แม้ครั้งนี้จะเป็น”ของปลอม” แต่”พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์” ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก็ไม่ควรประมาท โดยเฉพาะการ”ตรวจค้น” บ้านเช่า และ รีสอร์ต ในตัวเมือง หาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่”นิยม” ของผู้ที่เดินทางมาจาก” สามจังหวัดชายแดนภาคใต้”  สาเหตุที่เข้าพักใน”รีสอร์ต”  มากกว่าพักใน”โรงแรม” เพราะ”ราคาถูก” แต่ที่สำคัญคือ”ไม่มีการลงทะเบียน” ไม่มีการ”ถ่ายบัตรประชาชน” และไม่”จดทะเบียนรถยนต์” ที่ใช้เป็น”พาหนะ” และที่สำคัญ วันนี้ใน “เทศบาลนครหาดใหญ่” มี การนำเอา”บ้านหลังใหญ่” มาทำการ”รีโนเวต” ให้เป็น”ห้องพัก” และเปิดให้เช่า”รายวัน” แบบเดียวกับโรงแรมถึง 200 แห่ง เรื่องนี้ทั้งฝ่าย”ปกครอง” ฝ่าย”ตำรวจ” และ”สรรพากร” คงจะ”คิดออก” ว่าจะ”ทำอย่างไร” และมีความ”ผิดกฎหมาย” ใน”มาตรา”ไหนบ้าง

เรื่องการ”คืนทางเท้าให้ประชาชน” ของ”เทศบาลนครหาดใหญ่” ซึ่ง” เจ้าของร้านค้า” มีการ”ร้องเรียน มีการ”ฟ้องศาลแพ่ง” ให้ทำการ”เคลื่อนย้าย” แผงลอย ร้านค้า ที่ยึด”ฟุตบาธ” ทางเท้า เป็นที่”ขายของจำนวน 24 ราย ล่าสุด “ดร.กิตติ เริงเรืองกุลฤทธ์” ปลัดเทศบาลนครหาดใหญ่ ดำเนินการ”เคลื่อนย้าย” พ่อค้า แม่ค้า ทั้ง 24 ราย ให้ไปขายยังสถานที่ซึ่ง”เทศบาลจัดให้” นี้เป็นการ” ดำเนินการ” กับ” พ่อค้าแม่ค้า” ที่”ขายของ” ในที่”ห้ามขาย” ซึ่งมีการ”ร้องเรียน” ครั้งแรกที่” ตลาดสดพลาซ่า” ครั้งที่สอง ที่” หน้าตลาดกิมหยง” ทั้งสองเคส จบลงด้วยดี  เป็นการทำหน้าที่แบบ”บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุน” ไม่ต้องใช้” กำลัง” เข้าจัดการ” แต่ใช้”กฎหมาย” และการ”พูดคุย” เป็น”ทางออก” ชื่นชม

ในที่สุดการเลือกตั้ง”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา” ก็มีความ”ดุเดือด” เมื่อ” ไพเจน มากสุวรรณ นายก อบจ.ปัจจุบัน ไม่หวั่น”ทุนใหญ่” และ”เครือข่ายบ้านใหญ่” ที่ให้การ”อุ้มชู”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ที่ลาออกจากตำแหน่ง “อธิบดีกรมฝนหลวง”มาลงสมัครรับเลือกตั้ง”นายกอบ จ.สงขลา ซึ่งจะเปิดตัวอย่าง”ยิ่งใหญ่”  เหมือนกับ”มหกรรมคอนเสิร์ต” ที่”หน้าโรงแรมลีการ์เด็นส์พลาซา” หาดใหญ่ พร้อม สจ.ที่ให้กับ “สนับสนุน” โดยมี”บ้านใหญ่ขาวทอง” และ”บ้านใหญ่บุญญามณี” ให้การ”โอบอุ้ม” ก็ต้องคอยดู”ยุทธศาสตร์” และ”กลยุทธ์” ของ”ไพเจน มากสุวรรณ” นายกคนปัจจุบัน ที่ยังเดินหน้า”เฟ้นหา” สจ. “เลือดใหม่” เข้ามา”เสริมทัพ” เพราะ “สจ.เก่า” ส่วนใหญ่พร้อมเดินไปกับ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม”ว่าจะมี”จุดแข็ง”และ”จุดขาย” ทาง”การเมือง”อย่างไร  ไม่แน่นะ คนที่”เปิดตัวทีหลัง” อาจจะ”ปังกว่า” ก็เป็นได้ ส่วน”บ้านไหน” ที่จะ”โอบอุ้ม” ไพเจน มากสุวรรณ” เพื่อกลับมาเป็น”นายก อบจ สงขลา เป็น สมัยที่ 2 ยัง”มองไม่ชัด” แต่” เถ้าแก่หลี” หรือ” เฉลิมชัย ครุอำโพธ์” เจ้าของ”อาณาจักรเขาบันไดนาง” ฟันธง ไปแล้วว่า ใครมี”เงินมาก” คนนั้น”ชนะ” ได้เป็น” นายก อบจ.สงขลา ก็ต้องติดตามกันต่อไป เดือน กุมภาพันธ์ 2568 เป็นอันรู้เรื่อง แต่ก่อนถึงวัน”กาบัตร” เลือกตั้ง ครั้งนี้  เชื่อว่า”เงินจะสะพัด” จากการ”เลือกตั้ง”นายก อบจ.สงขลา ครั้งนี้ น่าจะไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท “ประชาธิปไตย” แบบ”ไทยๆ” จงเจริญ การ”ขายสิทธิ” และการ”ซื้อเสียง” เป็นเหมือนการ”ซื้อ-ขาย” สินค้าที่ถูกต้องตาม”กฎหมาย” ก็”หนุกหนาน” และ”ชื่นมื่น” สำหรับ”ประชาชน” ที่จะได้”รับทรัพย์” จากการ เลือกตั้ง ทุกครั้ง…..แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ…

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง..20 ปีจบคดีตากใบ แต่ความทรงจำไม่มีวันจบ

เริ่มต้นที่”ภาพใหญ่” ของประเทศ คือความ”เคลื่อนไหว” ของ”รัฐบาล” ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” และมี”ทายาท”ที่เป็น”เลือดเนื้อเชื้อไข” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ในการนำ”รัฐนาวา” ที่ประกอบด้วย 6 พรรคการเมืองเป็นพรรคร่วมรัฐบาล” ซึ่งวันนี้”ผ่านเดือนที่ 2 และ กำลังย่างเข้าเดือนที่ 3 ของ”รัฐบาล”ชุดนี้ ซึ่งย่างเข้าปีที่ 2 ถ้านับจาก” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี”สมัยแรก” ของ”เพื่อไทย” เป็น 2 ปี ที่ต้องพูดหรือเขียนว่า เป็น 2 ปี ที่นอกจาก”แจกเงิน” ให้”ประชาชน” กลุ่ม”เปราะบาง” คนละ 10,000 บาท ที่เป็นเรื่อง”จับต้อง”ได้จริง ใน “นโยบาย” อื่นๆ ก็ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่า”เป็นชิ้นเป็นอัน”…..เอาเรื่องของ”เศรษฐกิจ”เช่นเรื่อง”แลนด์บริจส์” หรือ”สะพานบก” ที่เป็น”โครงข่าย” ของ”โลจิสติกส์” เชื่อม”ทะเลจีนใต้”กับ”ทะเลอันดามัน” เพื่อให้เป็น”ทางเลือก หรือ”ทางเลี่ยง”การใช้”ช่องแคบมะลากา” ที่เป็น”เส้นทางเดินเรือ” ที่”แออัดยัดเยียด” แต่สุดท้ายเรื่องของ”แลนดน์บริจด์” ที่เคยมีการ”โปรโมท” และมีการ”โรดโชว์” ไป”ทั่วโลก” ครั้งที่”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ในวันที่ “แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” เรื่องของ”แลนด์บริดจ์” ก็กลายเป็นเรื่องของ”คลื่นกระทบฝั่ง” เพราะ”รัฐบาล” ชุดนี้ไม่มีการ”พูดถึง” เช่นเดียวกับเรื่อง.”ซอฟต์พาวเวอร์” ที่เป็น”ไฮไลต์”ในการ”หาเสียง” ของ”เพื่อไทย” วันนี้”มี”ก็เหมือน”ไม่มี” เพราะไม่มีความ”คืบหน้า” ที่ให้เห็นเป็น”หน้าตา” ของ”เพื่อไทย” สาเหตุอาจจะเป็นเพราะทั้ง”สองโครงการ” เป็น”โครงการ”ของ”เพื่อไทย” ไม่ใช่เป็น”โครงการ”ของ”พรรคร่วมรัฐบาล” เช่นเดียวกับการที่”เพื่อไทย” จะ”แจกเงิน”ให้”ประชาชน” ใน”เฟสสอง” คนละ 10,000 บาท วันนี้ก็เป็น”ลูกผีลูกคน”

เพราะการ”แจกเงิน” แบบ”ให้เปล่า” เป็น”โครงการ”ของ”เพื่อไทย” ที่ไม่ใช่เรื่องของ”พรรคร่วม” แจกไปแล้วผู้ที่ได้”คะแนนนิยม” เป็นของ”เพื่อไทย” ไม่ใช่ของ”พรรคร่วม” ดังนั้นการที่”เพื่อไทย” จะใช้”งบประมาณ”ก้อนใหญ่” เป็นเงินร่วม สองแสนล้าน” หรือมากกว่านั้น เป็นเรื่องที่ต้อง”ส่งผลกระทบ” กับ”งบประมาณ” ที่”พรรคร่วมรัฐบาล” ต้องใช้ใน”โครงการ”อื่นๆ ดังนั้น”พรรคร่วมรัฐบาล” จึงไม่ได้”แฮบปี้” และ อาจจะ”ขัดขวาง” หรือบอกให้พอแค่การแจก”เฟสแรก” และยิ่ง “เสถียรภาพ”ของ”รัฐบาล” อยู่ในสภาวะที่”ง่อนแง่น” จะ”ยุบสภา”วันไหนเดือนไหนก็ไม่รู้ การ”แจกเงิน”ให้”ประชาชน” คนละ 10,000 บาท ใน”เฟส 2 จึงเป็นการ”เอาเปรียบ” พรรคร่วมรัฐบาล เพราะเท่ากับปล่อยให้”เพื่อไทย” ใช้”เงินภาษี” ซื้อเสียง” ล่วงหน้า” ดังนั้น คงจะได้เห็นการ”ขัดขวาง” การ”แจกเงินเฟส 2 “ ของ”พรรคร่วม” ให้เห็นอย่างแน่นอน รวมทั้งนโยบาย”บ่อนเสรี” หรือ” อินเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” แม้จะเป็น “พรบ” แล้วก็จริง แต่ก็ถูกมองว่าเป็นโครงการของ”เพื่อไทย” ที่”พรรคร่วม” ต้องได้”ผลประโยชน์”ด้วย จึงจะไม่มี”ปัญหา”และ”อุปสรรค” ในการ”ขับเคลื่อน” ให้เป็น”มรรคเป็นผล” นั้นคือเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ที่ทุกเรื่องยัง”ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก” ที่จะ”อาศัย” ฝีมือของ”แพทองธาร ชินวัตร” ในการ”ขับเคลื่อน”ไม่เห็นโอกาสที่จะ”สำเร็จ”

ส่วนเรื่องของ”การเมือง” ยิ่ง”เดินหน้า” ยิ่งเห็น”ร่องรอย” ของ”ปัญหาอุปสรรค” มากมายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เรื่อง”นิรโทษกรรม” ที่แค่นำเรื่อง”ข้อสังเกต” เพื่อขอเสียง”เห็นด้วย” จาก”สภาผู้แทนราษฎร” ที่อย่าว่าที่”พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ไม่เอาด้วย” แม้แต่ สส.ของ”เพื่อไทย” จำนวน 115 คน ยังไม่ยกมือสนับสนุน ดังนั้นจึงไม่ต้อง”ถามถึง”ความ”ก้าวหน้า”ของ”พรบ.ประชามติ” ที่แม้ว่าหา”ทางออก” โดยการตั้ง”กรรมาธิการร่วม” ระหว่าง”สภาบน”กับ”สภาล่าง” สุดท้ายก็”ไม่ผ่าน”  ดังนั้นจึง”อย่าหวัง” ว่า”การที่จะ”แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ” จะประสบความสำเร็จ เพราะมองเห็น”ความมืดมน”แบบที่ไม่เห็น”แสงสว่าง”แม้เท่ากับ”แสงหิงห้อย” ด้วยซ้ำ” นี่คือความ”ตกต่ำ” หรือความ”เพลี้ยงพล้ำ” ทาง”การเมือง” ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่ยิ่ง”เดินหน้า” ยิ่ง”หดแคบ” และยิ่ง”ง่อนแง่น” บนถนนการเมือง วันนี้”บารมี”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” อาจจะ”ไม่เหมือนเดิม” รวมทั้ง”พรรคร่วม”ต่างมี”เส้นทาง” ของ”ตนเอง” จนยากที่”เพื่อไทย” จะอาศัยความ”เก๋าเกม” ทางการเมือง และ”ความยิ่งใหญ่” ในอดีตของ”เสี่ยแม้ว” เพื่อ”ชี้นิ้ว” หรือ”ครอบงำ” พรรคร่วมรัฐบาล ให้เดิน”ตามเกม”ที่กำหนดโดย”บ้านจันทร์ส่องหล้า” อีกต่อไป

ส่วนในเรื่องของ”คดีความ” ทั้งเรื่องการ”ร้องเรียน” จาก” นักร้อง” และ”นักการเมือง” ต่างพรรคต่างพวก ที่ร้องให้มีการ”ยุบพรรคเพื่อไทย” ทั้งจากการที่กล่าวหาว่า”ทักษิณ ชินวัตร” ทำการ”ครอบงำ” พรรคเพื่อไทย เรื่องของ”ยายเนื่อม”จากปัญหา”สนามกอล์ฟอัลไพน์”  และอีกหลายเรื่องหลายราว ล้วนแต่เป็น”จุดสลบ” ของ”เพื่อไทย” แม้ว่า”แกนนำ”ทุกคนจะ”ปากแข็ง” ว่าไม่มีปัญหา แต่ทุกคนก็”ขาสั่น” จากการถูก”กกต.” ออกมา”รับลูก” ทำการดำเนินการตามการ”ร้องเรียน” รวมทั้ง”คดี 112 “ ที่ยัง”คาราคาซัง” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ที่ต้อง”ต่อสู้คดี” ใน”ขบวนการยุติธรรม” และที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง”ร้องเรียน”การเป็น”นักโทษเทวดา” บนชั้น 14 ของ โรงพยาบาลตำรวจ  ทุกเรื่อง ทุกประเด็น ไม่ใช่เรื่อง”กล้วยๆ” แต่เป็นเรื่อง”คอขาดบาดตาย” สำหรับ”เพื่อไทย” ทั้งสิ้น…..ดังนั้นการที่”คนไทย” ตื่นนอนมาทุกวันจะได้เห็นแต่ข่าวจะมีการ”ยุบสภา” จึงกลายเป็น”ข่าวร้าย” เป็นข่าวที่ไม่เป็น”มงคล” สำหรับ”ประเทศไทย” เพราะ แสดงให้เห็นว่า” รัฐบาลมีปัญหา” ความมั่นใจในการ”ลงทุน” ทั้งจาก”คนในชาติ” และ”คนต่างชาติ” จึงไม่เกิดขึ้นกับ”รัฐบาล” ที่ไม่มี”เถียรภาพ” นี่ยังเป็น”โชคดี” ของ”รัฐบาล”ชุดนี้ ที่อย่างน้อย”ราคาพืชผลทางการเกษตร” เช่น”อ้อย,ยางพารา.มันสำปะหลัง,ปาล์ม” มีราคาสูง  จึงไม่ทำให้”เกษตรกร”เดือดร้อน ทำให้ไม่มี”ม็อบการเมือง” และไม่เกิดความ”เดือดร้อน”กับ”เกษตรกร”จึงไม่เป็น”ภาระ” ให้”รัฐบาล”ต้องแก้ปัญหา

แต่ สิ่งที่”รัฐบาล” ยังแก้ไม่ได้คือเรื่องของ”พลังงาน” เรื่องของ”ราคาน้ำมัน” และ”ราคาก๊าซ” ที่ยังคง”ลุ่มๆดอนๆ” ตาม สภาวะของโลก ที่ยังมีการ”สู้รบ” เป็นการทำ”สงครามย่อมๆ ใน”ภาคตะวันออกกลาง” รวมทั้งสงคราม”รัสเซีย-ยูเครน” ที่ยังไม่”ยุติ” ซึ่งล้วนมีผลกระทบกับ”ไทย” ในเรื่องของ”พลังงาน” ซึ่ง”กระทรวงพลังงาน” ที่มี”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ควบตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” และ”รัฐมนตรีพลังงาน” ก็ยัง”หาทางออก” ในการ”ควบคุม”ราคาพลังงาน ให้เป็นไปตาม”กลไก”ของ”กฎหมาย” ไม่ได้ และการเปิด”สัมปทาน” เพื่อ”ซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 36,00 เมกะวัตต์ ภายใต้นโยบายของ”กระทรวงพลังงาน” ก็ถูก”พรรคประชาชน” ออกมาถามถึงความ”โปร่งใส” และ”ผลประโยชน์ทับซ้อน” ทั้งการ”อภิปราย” ในสภาผู้แทนฯ และการส่ง”จดหมาย” สอบถามจาก” “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่เป็น”ตัวพ่อ”ของ”พรรคส้ม” ซึ่งอาจจะทำให้การเปิด”ประมูล” ต้อง”ล่าช้า”ออกไป เพราะต้องทำให้เรื่องการ”ประมูล” หรือ”สัมปทาน” ครั้งนี้ต้อง”โปร่งใส” และ”เป็นธรรม” กับทุกฝ่ายไม่ใช่ปล่อยให้”ยักษ์ใหญ่”ใน”ธุรกิจพลังงาน” ทำการ”ชุบมือเปิบ” อย่างที่เคยเป็นมา ดังนั้นเรื่องที่”คนไทย” จะได้ใช้”พลังงาน”ในราคาที่ถูก” จึงยัง”ห่างไกล”จากความเป็นจริง ก็ต้อง”ก้มหน้าก้มตา” หาเงินมาจ่าย”ค่าน้ำมันค่าก๊าซ” ในราคาที่ถูก”กลุ่มพลังงาน” ทำการ”ขูดเลือดเชือดเนื้อ” ต่อไปตาม”ยะถากรรม” เพราะ”รัฐบาล”ทุก”รัฐบาล” ต่างถูก”กลุ่มทุนพลังงาน” ทำการ”กำหนดราคา” ตามที่ต้องการ และถ้า”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” ซึ่งชื่อว่าเป็น”นักการเมืองมือสะอาด” ยังไม่สามารถ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ คนไทยก็ต้องยอมรับ”ชะตากรรม”ในเรื่อง”พลังงาน”กันเถอะ

จับตาปัญหาของ”สังคมไทย” ที่ มีแต่เรื่อง”ฟอนเฟะ” เกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่”ประชาชน” ให้ความสนใจติดตาม และ”วิพากษ์วิจารณ์” ถึงความ”เน่าเฟะ” ของ”ราชการ” เช่นเรื่องของ “ภรรยา”นายตำรวจคนดัง ที่มีเรื่อง”อื้อฉาว” จนมีการ”เปิดโปง”ว่า”คู่กรณี” ที่เป็นผู้”แจ้งความดำเนินคดี”เป็น”อาจารย์พิเศษ”ของ”โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน”ที่”ไม่ตรงปก” มีการ”สั่งปลด” จาก” โรงเรียนนายร้อยตำรวจ” จนมีคำถามว่า เกิดอะไรขึ้น และเกิดจากอะไร ที่ทำให้”โรงเรียนนายร้อยฯ” รับคนที่”ไม่ตรงปก” ไปเป็น”อาจารย์พิเศษ” นานหลายปีโดยไม่มีการ”ตรวจสอบ” และถ้าไม่มีเรื่อง”กรณีพิพาท”สังคมไทยจะทราบเรื่องนี้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่จบแค่”การปลด” แต่” พล.ต.อ.กิตต์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” ผบ.ตร. ต้องการ”สืบสวนสอบสวน” หาข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการเอา”คนผิด” มาลงโทษด้วย

ส่วนเรื่อง”ดิไอคอน” ท่ามกลางการออกมา”เปิดโปง” ขบวนการที่ต้นต้นจากการ”ขายของออนไลน์” จนนำไปสู่การเป็น”แชร์ลูกโซ่” เป็นเรื่อง”ฉ้อโกง” ที่ทำให้”ดาราน้อยใหญ่” และ”คนดัง” มากมาย” ต้องย้ายจาก”คฤหาสน์”ที่”สุขสบาย” ไป”กินข้าวแดง” อยู่ใน”เรือนจำ” เป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องที่ถูก”เปิดโปง” ขบวนการ”ขายสินค้าออนไลน์” ครั้งนี้คงจะได้”อานิสงส์” ที่ทำให้”ขบวนการ”ที่เป็น”ลักษณะเดียวกัน” หยุด”พฤติกรรม” ที่คล้ายๆกัน เพราะการย้ายจาก”คฤหาสน์” ไป นอนใน”เรือนจำ” ไม่ใช่เรื่องที่น่า”อภิรมย์” แต่อย่างใด ที่สำคัญเรื่องของ”ดิไอคอน” ถูก”ลากถู”ไปสู่การ”เปิดโปง” ทนายความ”บางคน บางกลุ่ม ให้สังคมได้เห็น”โฉมหน้า” ที่แท้จริง และกำลัง”สาวย่าน”ไปยัง”นักการเมือง” ระดับ”รัฐมนตรี” อีกด้วย กลายเป็นเรื่องที่”สังคมไทย” นำไป”เม้าท์มอยส์” กันอย่าง”มันส์ปาก”ทั้งประเทศ  ทั้งหมดเป็นการ”ยืนยัน”ว่า”สังคมไทยเน่าเฟะ” และต้องมีการ”สังคายนา” แต่ก็ต้องถามว่า”กระทรวงไหน” ที่จะเป็น”เจ้าภาพ” ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ไหนว่า”ยิ่งใหญ่” และ”มีเส้น” สุดท้าย” ปปช.ภาค 9   ก็ออกมาแถลงผล ชี้มูลความผิดของ”นายตำรวจภาค 9 ระดับ”นายพล” ที่ สมัยที่รับราชการเป็น”ผบก.ภ.จว.พัทลุง ได้ใช้”อำนาจหน้าที่” ในการนำ”รถบรรทุกบุหรี่หนีภาษี” ที่เกิด”อุบัติเหตุ”ตกร่องถนน นำไปเก็บรักษาที่”บ้านพัก” แทนการส่งให้”ร้อยเวร” ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสุดท้าย”รถบรรทุกบุหรี่เถื่อน” หายจ้อย อย่างไร้ร่องรอย ผ่านไปแล้ว หลายปี วันนี้ถูก ปปช.”ชี้มูล” ให้มีความผิดตาม “ม.157และ 158  และ มาตรา 200 วรรคหนึ่ง  นี่กระมังที่เขาเรียกว่า”ปลูกข้าวได้ข้าว ปลูกถั่วได้ถั่ว” ตำรวจคนอื่นๆ ต้องมองให้เป็น”อุทาหรณ์ จะได้ไม่ต้อง”เสียชื่อ” และ”เสียอนาคต” ตำแหน่ง ผบช. ที่ รออยู่ข้างหน้า”ดับกุบ”ไปอีก 1 ราย และนี่ก็คือ”ผลงาน”ของ”ปปช.ภาค 9 ที่ ประชาชนให้ความ”ชื่นชม”

จบไปแล้วสำหรับ”คดีตากใบ” เมื่อ”ศาลจังหวัดนราธิวาสได้สั่ง”จำหน่ายคดี” เพราะคดี”หมดอายุความ” เนื่องจาก” ตำรวจ”ไม่สามารถนำผู้ที่ถูก”กล่าวหา” ว่า”มีส่วน” ที่ทำให้มี”คนตาย” จากการถูก”ควบคุมตัว” ในคดีการ”ชุมนุม”ที่”ผิดกฎหมาย” ที่หน้า”สภ.ตากใบ” จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 หรือ 20 ปี ที่ผ่านมา เป็นอัน”ปิดฉาก” ในเรื่องของ”ขบวนการยุติธรรม”   สิ่งที่ตามมาจาก กรณีของ”ตากใบ” ฝ่ายที่ถูก”สังคม” ทำการ”วิพากษ์วิจารณ์” ในทาง”เสียหาย” มากที่สุดคือ”พรรคเพื่อไทย” และ”ตำรวจ” ที่ถูก”นักกิจกรรม” และ”นักการเมืองฝ่ายค้าน” เชื่อว่าเป็นผู้”เปิดทาง” ให้”ผู้ต้องหาทั้ง 14 คน” หลบหนีการ”จับกุม” เป็นผลสำเร็จ…..และ สิ่งที่ติดตามมาจากเรื่อง”ตากใบ” และ”ไม่จบ” แต่กลายเป็น”เงื่อนไข” ของ”บีอาร์เอ็น” นำไป”ขยายผล” ทั้งการ”ปลุกระดม”คนในพื้นที่ให้เห็นถึงความ”ไม่เป็นธรรม” ที่คน”มุสลิม” ที่ออกมาเรียกร้อง”ความเป็นธรรม” เพื่อให้”เกลียดชัง” เจ้าหน้าที่รัฐ และ”รัฐบาล” รวมทั้ง”ตีข่าว” ในสำนักข่าว”ต่างประเทศ” ใน”องค์กรมุสลิมโลก” ให้”เข้าใจ” ตามที่”บีอาร์เอ็น” และ”นักการเมือง”( บางคน ) นำเสนอ ที่เป็น”เหรียญด้านเดียว” เรื่องของ”ตากใบ” ทุกฝ่ายที่เข้ามา”เกี่ยวข้อง” ล้วนแต่นำเสนอในด้านที่”ตนเอง” หรือ”กลุ่มก้อน” หรือ”พรรคการเมือง” ของตนเองได้”ผลประโยชน์” โดยนำเอาเรื่องความ”อยุติธรรม” มาเป็น”เงื่อนไข” ในการ”นำเสนอ” ส่วน”ชุดความจริง” ไม่มีใครเอามา”ตีแผ่” ต่อสังคม” เพราะ”ทั้งผู้ชุมนุม” ทั้ง”เจ้าหน้าที่” ต่างก็มี”ความผิด” ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ที่สำคัญ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่เป็นผู้”จุดชนวน” ให้มีการ”ชุมนุม” อย่าง”ผิดกฎหมาย” และ”ปลุกระดม” ไม่ให้ผู้มา”ชุมนุม” เลิกชุมนุม ตามที่”เจ้าหน้าที่รัฐ”ได้”ร้องขอ” ไม่มีใคร”พูดถึง”  และที่สำคัญ ใคร และ “เงื่อนไข” อะไร ที่ทำให้”ครอบครัว”จำนวน 48 ครอบครัว ที่รับเงิน”เยียวยา”ไปแล้ว  กลับมาเป็น”โจทย์” ในการ”ยื่นฟ้อง” เจ้าหน้าที่ทั้ง 9 นาย ไม่มีใคร”สืบค้น” เพื่อหา”ความจริง” มา”ตีแผ่”ให้สังคมได้รับทราบว่า เป็นการ”ฟ้อง”เพื่อให้ผู้ถูก”กล่าวหา” ว่าเป็นผู้มีส่วนใน”การตาย”ของคนทั้ง 85 ศพ ให้”ติดคุก” หรือแค่ต้องการให้มีการ”เยียวยา”รอบที่ 2 ตามที่กลุ่มคนที่อยู่”เบื้องหลัง”วางแผน  เพื่อให้”ความหวัง” กับครอบครัวผู้”สูญเสีย”  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่”นักข่าว” หลายสำนัก ควรให้ความ”สนใจ” ในการ”สืบค้น” เพราะเรื่องของ”ตากใบ” มีมากกว่าการที่บอกกับสังคมว่า”ที่นี่มีคนตาย” และมี” คนที่ทำให้คนตาย”…… ที่สำคัญ เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของ”การเมือง” ที่มากกว่าเรื่องการ”เรียกร้อง”เพื่อหาความ”ยุติธรรม” ซึ่งเรื่องของ”สถานการณ์ความรุนแรง ความไม่สงบของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เป็น”เงื่อนปม” ที่แก้ยากที่สุดมาจากเรื่องของ”การเมือง” เพราะแม้แต่ “นโยบาย” การที่ฝ่ายความมั่นคง ต้องการ”สร้างรั้ว” แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้าน จังหวัดนราธิวาส ก็ถูก”ต่อต้าน” ด้วย”การเมือง” ซึ่ง”แม่ทัพภาค 4 “ทุกคนต่างรู้ดีถึงเรื่องของ”การเมือง” ที่เป็นทั้ง”ปัญหา”และ”อุปสรรค” ในการ”ดับไฟใต้” แต่ไม่มีใครกล้าที่จะ”พูดความจริง”

โดยเฉพาะกรณี”ตากใบ” ที่ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา “รัฐบาล” กองทัพ, กอ. รมน. และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “รวมถึง “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ” สมช.” ต่าง “ปิดปากเงียบ” ไม่มีการ”บูรณาการ” เพื่อ”สื่อสารกับสังคม” ในการให้”ข้อเท็จจริง”ของ”ตากใบ” ทำให้”ประชาชน” ผู้ที่เป็นผู้”เสพสื่อ” เชื่อในเรื่องที่ถูกนำเสนอโดย”นักการเมือง” ( บางคน บางพรรค ) และ “นักกิจกรรม เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษย์ชน “และ”ปีกการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ใน จังหวัดปัตตานี” ก็ไม่”แปลกใจ” ที่”งานด้าน”ประชาสัมพันธ์” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” กลายเป็น”เป็ดง่อย” ทั้งที่มี”งบประมาณ” มีเครื่องมือ” มี”บุคลากร” ในการ”ปฏิบัติหน้าที่” แต่ไม่ได้ทำ”ประโยชน์ให้”คุ้มค่า” เพรามี”คำสั่ง”จาก”ส่วนกลาง”ให้ทำหน้าที่”บอด ใบ้” ไม่ต้องออกมา”ตอบโต้” หรือ”สื่อสารข้อเท็จจริงกับ”ประชาชน” นี่คือความ”ล้าหลัง” ความ”ไม่เข้าใจ” ถึง วิธีการ”สื่อสารกับสังคม” ของทั้ง”รัฐบาล” ของ”กระทรวงกลาโหม” ของ”กองทัพ” ที่เข้าใจว่าการ”อยู่เฉย” คือการ”แก้ปัญหา”

เช่นเดียวกับเรื่องของ”เกาะกูด” จังหวัดตราด ที่ วันนี้” รัฐบาล”ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ “กระทรวงกลาโหม “ ที่มี” สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย เป็น”เสนาบดี” ที่ปล่อยให้”โชเชียลมีเดีย” นำเสนอข่าวที่”เป็นเท็จ” มากกว่า”เป็นจริง” นำเสนอ จนทำให้ผู้”เสพสื่อ” เชื่อว่าข่าวสารใน”โชเชียลมีเดีย” เป็นเรื่องจริง” ทั้งเรื่อง”กัมพูชา” จะยึดเกาะกูด เป็นของ “กัมพูชา” รวมทั้งเรื่องการ”แบ่งปันผลประโยชน์ “ ระหว่าง”นักการเมือง”ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่มี”สายสัมพันธ์” กับผู้นำของ”กัมพูชา” ทั้งหมดคือปัญหาของ”รัฐบาล” ที่ไม่”เข้าใจ” ไม่”สนใจ” ในเรื่องของการ”สื่อสารกับสังคม” พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคการเมืองที่มี”นักกฎหมาย”ที่เรียกว่า”กูรู” มากมาย มี “นักการเมือง” ที่มี”ความรู้” ในเรื่องการ”สื่อสารกับสังคม” แต่กลายเป็น”กิ้งกือตกท่อ” ทั้งในเรื่องของข้อ”กฎหมาย” และเรื่อง”การสื่อสารกับสังคม” นี่คือเรื่อง”แปลกแต่จริง”.…..ระเบิดที่ ใกล้กับ สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ซึ่งเป็น”คาร์บอมบ์” ลูกที่ 4 ของปี 2567 ที่”บีอาร์เอ็น” ใช้วิธี”ปล้นรถราชการจาก อบต.น้ำบ่อ มาประกอบระเบิด แบบ”มาเร็วเคลมเร็ว” แม้จะไม่มีคนตายคนเจ็บ มีแต่ความเสียหายในเรื่อง”อาคาร” และ “รถยนต์- จักรยานยนต์” แต่ก็ถือว่า เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ทั้ง ตำรวจ ทหาร ปกครอง มีความ”เลินเล่อ” แผนการป้องกัน งานการข่าว ไม่ดีพอ ที่ปล่อยให้”คาร์บอมบ์” เคลื่อนที่จาก”อบต.น้ำบ่อ มาถึง หน้า สภ.ปะนาเระ อย่าง เสรี “ พล.ต.ต.สันทัด เชื้อพุฒตาล” ผบก.ภ.จว.ปัตตานี จึงสั่งย้าย “พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ปานบุญทอง” ผกก.สภ.ปะนาเระ  และ นายตำรวจระดับ รอง ผกก. ไปช่วยราชการ แต่ในส่วนของ”ทหาร” ซึ่งมีฐานปฏิบัติการในพื้นที่ และ ฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็น”เบอร์หนึ่ง” ของ อำเภอ กลับไม่ต้องถูก”ทำโทษ” ทั้งที่งาน”ป้องกัน” เป็นงานที่ร่วมกัน 3 ฝ่าย นี่คือความ”ลักลั่น” ของ”ราชการ” ในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

สำหรับเรื่องของ”ความรุนแรง” ในพื้นที่ของ สามจังหวัด และ สี่อำเภอ ของ จังหวัดสงขลา แม้ว่าเรื่องของ”ตากใบ” จะจบแล้ว แต่เรื่องของ”ก่อการร้าย” ยังคง”เดินหน้า” เข้าสู่”โหมด”ของ”ความรุนแรง” ต่อไป และอาจจะ”รุนแรง” ยิ่งขึ้น เพื่อ”ตอบโต้” การที่”รัฐบาล” จะมีการประกาศให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” ซึ่งเป็นเรื่องที่”บีอาร์เอ็น” ต้อง”ตอบโต้” และ”ต่อสู้” เพราะ”บีอาร์เอ็น” ยังไม่พร้อมที่จะประกาศตัวเป็น” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”ที่มี”ตัวตน” อย่าง”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ในประเทศอื่นๆที่มีความ”ขัดแย้ง” และมีการ”แบ่งแยกดินแดน” เช่น ใน”ประเทศอินโดนีเซีย” ในประเทศ”ฟิลิปปินส์” เป็นต้น  ดังนั้น” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จึงต้องมีการ”ปรับเปลี่ยน” ทั้งด้านของ”ยุทธศาสตร์” และ”ยุทธวิธี” รวมทั้งการ”ถอดบทเรียน” ที่ผ่านมา เพื่อหา”จุดอ่อน” และ”จุดแข็ง” ทั้งของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และของ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” วิธีการที่ต้องนำมาใช้ในเรื่องของ”ยุทธวิธี” คือการ”ทุบทีละนิ้ว กินทีละคำ” อย่างที่ “พล.อ.หาญ ลีนานนท์” อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เคยใช้ในการแก้ปัญหาของภาคใต้ในอดีต ที่สำคัญงาน”การข่าว” ซึ่งเป็น”จุดอ่อน”ที่สุด”ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่ง”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์”  แม่ทัพภาคที่ 4 /ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 จะทำหน้าที่” ผอ.กองข่าว” เอง ก็น่าจะทำให้งาน”การข่าว” ดีขึ้น โดยเฉพาะ”งบประมาณ”ของงาน”การข่าว” คงจะไม่ถูก” เบียดบัง” หรือ”กระจุก” อยู่ใน”กระเป๋า” ของ” นายพล-นายพัน” แต่ไม่ลงถึงมือของ”มือทำงาน”ระดับล่าง ที่มีความสำคัญของงาน”การข่าว” และก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่การ”ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง” ใน”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ในครั้งนี้” พ.อ.เฉลิมชัย สุทธินวล” ได้ติดยศ” พล.ต. ในตำแหน่ง “เสนาธิการ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และทำหน้าที่” ผอ.ศสว. หรือ”ศูนย์สันติวิธี” ซึ่งเป็น”หัวใจ” ของงานด้าน”ภาคประชาสังคม” ซึ่งจากการติดตามการ”ปฏิบัติหน้าที่” ที่ผ่านมาในตำแหน่งต่างๆของ” พล.ต. เฉลิมชัย สิทธินวล” เชื่อว่างานของ”ศูนย์สันติวิธี” น่าจะช่วย”หนุนเสริม” ให้การแก้ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ภายใต้”บ่าไหล่” ของ” พล.ท. ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ให้ เหนื่อยน้อยลง

ส่วนงานด้าน”ประชาสัมพันธ์”ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า วันนี้ได้ พ.อ.เกียรติศักดิ์ ณีวงษ์ กลับมาทำหน้าที่ “หน.ศปชส” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “อีกครั้ง และเรื่องงานของ”ศปชส.” คือ”หัวใจ” ที่สำคัญ” ในการ”สื่อสาร”ถึงข้อเท็จจริง” ให้กับ”คนในพื้นที่” และ”คนทั้งประเทศ” รวมทั้ง”คนทั้งโลก” ได้รับรู้ “สถานการณ์จริง” ได้รับรู้”ข้อเท็จจริง” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งที่ผ่านมางานของ”ศปชส.” ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่สามารถเป็นคู่”ต่อสู้” ของ”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่ ซึ่งใช้”เงื่อนไข”ที่ เกิดขึ้นมา”บิดเบือน”โดยใช้”วาทกรรม” ในการทำ”ไอโอ” ปลุกระดมให้ประชาชน”หลงเชื่อ” และ”เข้าใจผิด” ใน สถานการณ์ต่างๆ เรื่องนี้” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 /ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ ต้องหาผู้ที่มี”ความรู้” มาทำหน้าที่”กำกับดูแล”งานของ”ศปชส” ด้วยจึงจะ”ตอบโจทย์”ของ”ศปสช.”

ฝน ฟ้า เริ่มแรงขึ้น ในพื้นที่ของภาคใต้ เพราะเดือน พฤศจิกายน เป็น”หน้าฝน” ของภาคใต้ ซึ่งจากการ”ประมวลข่าวสาร” ของ”กรมอุตินิยมวิทยา” และจาก”ประสบการณ์” ที่ผ่านมา เชื่อได้ว่า “หน้าฝน” ของ”ภาคใต้” ปีนี้ มีความ”รุนแรง” ไม่ต่างกับภาคอื่นๆ ที่มีความ”เสียหาย” จาก”อุทกภัย” อย่าง”ร้ายแรง” ในส่วนของ”กองทัพภาคที่ 4 “พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ออกตรวจเยี่ยม “ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย”ของ”กองทัพภาคที่ 4 “ เพื่อดูความพร้อมของ”กำลังพล” และ”ยานพาหนะ” รวมทั้ง”อุปกรณ์”ต่างๆ เพื่อ”รับมือ” กับ”อุทกภัย” และการ”อพยพ”ประชาชน ให้ทันท่วงที ถ้ามีเหตุ”ฉุกเฉิน” จาก”อุทกภัย” ….แต่ในส่วน”ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย” และในส่วนของ”ฝ่ายปกครอง” ที่มี”ผู้ว่าราชการจังหวัด” และ”ปกครองท้องถิ่น” มีความพร้อมในการ”รับมือ”กับ”อุทกภัย”แค่ไหน เพียงใดนั้น “อนุทิน ชาญวีรกุล” รองนายกรัฐมนตรี และ “เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” ต้อง”สั่งการ” ให้” อธิบดีกรมการปกครอง” และ”อธิบดีกรมการปกครองท้องถิ่น” ให้ติดตาม ตรวจสอบ ถึงความพร้อม รวมทั้งแผน”บูรณาการ” ระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้มี”ประสิทธิภาพ” ในการ”รับมือ” กับปัญหา”น้ำท่วม” ที่จะมาถึง โดยเฉพาะในพื้นที่”ฝั่งอันดามัน” ตั้งแต่ จ.ภูเก็ต,ระนอง,กระบี่” และ ตรัง” ที่จะปัญหาเรื่อง”ดินถล่ม” เกิดขึ้นจากการ”รุกพื้นที่ภูเขา” เพื่อสร้าง” บ้านพัก,รีสอร์ต” หรูหรา จนกลายเป็นปัญหาของ”ดินถล่ม” เมื่อมี”ฝนตกหนัก”….. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง..จับตาสถานการณ์ไฟใต้หลังคดีตากใบหมดอายุความ

ความ”ง่อนแง่น” ของ”รัฐบาล”ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็น”แกนนำ”และมี””แพทองธาร ชินวัตร” ที่เป็น”ดีเอ็นเอ” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่บน”เส้นทาง” ทาง”การเมือง” ซึ่งผ่านมาเพียง 2 เดือน  แต่ยาวนานเหมือน “ 2 ปี” และ”ถนนการเมือง” ของ” แพทองธาร ชินวัตร” ก็”ขรุขระ” เต็มไปด้วย”หลุมบ่อ”และ”ขวากหนาม” ที่ไม่ใช่ถนนที่เป็น”คอนกรีตเสริมเหล็ก” ……เมื่อมาเจอกับ”มรสุม”ลูกใหญ่คือเรื่องที่”กกต.” รับเรื่อง”ร้องเรียน” ของ”นักร้อง” ในประเด็นความผิดเรื่อง”ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี”ครอบงำ”พรรคเพื่อไทย ซึ่งหาก”กกต.”มี”พยานหลักฐาน” ว่า”ทักษิณ” มีการ”ครอบงำ”จริง นอกจากพรรคเพื่อไทยจะต้อง”ถูกยุบ” แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลอีก 6 พรรค ก็ต้อง”พลอยฟ้าพลอยฝน” ที่”ติดร่างแห่” มีความผิดจนถึงขั้น”ยุบพรรค”ไปด้วยเช่นกัน “มรสุม” ลูกนี้ อย่าคิดว่าจะ”ก้าวผ่าน” ไปได้ง่าย หรืออย่าคิดว่าเมื่อ”กกต. หยิบเอา”ประเด็น” เรื่องการ”ครอบงำพรรค” มาทำการ”ไต่สวน สืบสวน” แล้ว จะช่วยทำการ”ฟอกขาว” ให้กับ”พรรคเพื่อไทย” ได้ง่ายๆ เพราะ ทุกประเด็น ทุก”บริบท” ในการทำหน้าที่ของ”กกต.” ล้วนอยู่ใน”สายตา” ของ”นักร้อง” และ”นักกฎหมาย” รวมทั้ง”ประชาชน”ทั้งประเทศ

ถ้าเรื่องนี้ไม่”หนักหนาสาหัส” จริง” ทักษิณ ชินวัตร” คงจะไม่”เปิดบ้านจันทร์ส่องหล้า” หรือเปิด”ถ้ำเสือ”” ให้”เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกุล”  หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีมหาดไทย” ทำการ”จูงมือ”เสี่ยเน” หรือ” เนวิน ชิดชอบ”  ครูใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นผู้มี”บารมี”ของพรรคภูมิใจไทย เข้าไป”รื้อฟื้นความหลัง” เพื่อหาทางที่จะให้”รัฐบาลไปต่อ”หากเกิด”อุบัติเหตุ” เกิดขึ้นกับ”พรรคเพื่อไทย” และ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เป็นการหา”ทางลง” และ”ทางออก” ไว้ล่วงหน้า จนทำให้”กูรูทางการเมือง” ทำการ”จับจ้อง” ไปยัง” อนุทิน ชาญวีรกุล”  ในฐานะของ”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 3 หากไม่มีการ”ยุบสภา” แต่”กูรูการเมือง” ส่วนใหญ่ เชื่อว่า” ไม่มี”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 3 ที่มาจาก”พรรคการเมืองอื่น”ที่ไม่ใช่คนของ”พรรคเพื่อไทย” โดยเชื่อว่า”อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร” เดินไป”สุดทาง” แค่ไหน ก็จะจบแค่นั้น และ”ทางออก” คือการ”ยุบสภา” เพื่อ”เลือกตั้งใหม่”

เมื่อ “รัฐบาล” ไม่มี”เสถียรภาพ” เพราะปัญหา”การเมือง” จึงไม่ต้อง”มุ่งหวัง” ที่จะเห็นการ”เดินหน้า” ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” เพราะอย่าว่าแต่”นักลงทุนต่างชาติ” ที่จะมา”ลงทุน” ในประเทศไทย แม้แต่”นักลงทุน” ที่เป็น”คนไทย” ก็ยัง”คิดแล้วคิดอีก” ในการที่จะ”ลงทุน” เพราะความ”ง่อนแง่น” ความ”ไม่มั่นคง” ของ”การเมือง….ดังนั้น “นักลงทุน” ที่ยังมา”ลงทุน” ในประเทศไทย จึงมีเพียง”คนจีน” กลุ่มทุนจีน” ที่เดินทางเข้ามา”ซื้อที่ดิน” ซื้อ”สินทรัพย์” ที่มีราคาถูก เพราะ”เศรษฐกิจ” ที่”ตกต่ำ” เพราะ”คนจีน” ชอบที่จะ”ฉวยโอกาส” บุกประเทศ ที่มีปัญหา”เศรษฐกิจตกต่ำ” เพื่อจะได้ใช้ความ”ได้เปรียบ” เพราะสามารถ”ใช้ทุนใหญ่” ในการ”ไล่ทุบทุนเล็ก” ส่วน”ทุนเล็ก” ก็ถูก”ไล่กระเจิง” จน “ล้มหายตายจาก” ไปจาก”วงการธุรกิจการค้าการลงทุน” เช่นเดียวกับ”ประเทศไทย” ในยามนี้ที่เต็มไปด้วย”ทุนจีน” ที่เข้ามา”ยึด”กิจการ”ต่างๆ ตั้งแต่”อุตสาหกรรม” ขนาดใหญ่จนถึง”การค้าขายทางออนไลน์” และแม้แต่”ร้านก๊วยเตี๋ยว” ก็กลายเป็นของ”คนจีน” ไปหมดแล้ว  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่” กระทรวงทบวงกรม” ที่รับผิดชอบ ยังหาหนทางในการ”แก้ไข” ไม่ได้ และ”รัฐบาล” ก็ยังไม่ให้ความ”สำคัญ” ในการแก้ปัญหา เพราะ “รัฐบาล” หมดเวลาไปแต่ละวัน กับเรื่องการ”แก้ปัญหาทางการเมือง”

จำกันได้ไหม  ครั้งที่”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ทีมงาน”เศรษฐกิจ” ของ”พรรคเพื่อไทย” ทุกคน ต่างออกมาบอก”ประชาชน” เป็น”เสียงเดียวกัน” ว่า ถ้านโยบาย”เงินดิจิตัล” ไม่สามารถทำได้ “เศรษฐกิจไทย” จะ”วิกฤติหนัก” การ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” เพื่อ”ฟื้นคืนชีพ” ของ”ประเทศไทย” ต้อง”แจกเงิน” ผ่าน”โครงการเงินดิจิตัลวอลเล็ต” เท่านั้น ไม่สามารถใช้วิธีการอื่นๆ แม้แต่การ”แจกเงินสด” เพราะการ”แจกเงินสด” ไม่สามารถทำให้เกิด”พายุหมุน”” ทาง”เศรษฐกิจ”เกิดขึ้น ที่บรรดา”รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง” ต่าง”ยืนยัน”ว่า ถ้าไม่มีนโยบาย”ดิจิตัลวอลเล็ต” เศรษฐกิจไทยจะ”ไม่ฟื้น”…..แต่ สุดท้ายการ”แจกเงินเฟสแรก” ให้”ประชาชน” ผู้ถือ”บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” คนละ 10,000 บาท ก็แจกเป็น”เงินสด” และการ”แจกเงิน” ใน”เฟสที่สอง” ที่จะมีการแจกในเร็วๆนี้ก็จะเป็นการ”แจกเงินสด” เช่นเดียวกับการแจก”เฟสแรก”  ทั้งหมด”บ่งบอก”ให้”ประชาชน”ได้”รับรู้” ใน”สองเรื่อง” ด้วยกัน เรื่องแรก”เศรษฐกิจไทย” ไม่ได้”ตกต่ำ” จริงๆอย่างที่” “นักการเมือง” โดยเฉพาะใน”กลุ่มก้อน” ของ”รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง” บอกกับประชาชน  เพราะ”รัฐบาล” เดินทางมาเป็น”ปีที่สอง” แล้ว และโครงการ”แจกเงินดิจิตัล” ก็ไม่มีแล้ว แต่”เศรษฐกิจไทย” ก็ยัง”ไปต่อได้” ยังไม่ได้”ล้มละลาย” แต่อย่างใด ส่วนประเด็นที่สอง  แสดงว่าที่ผ่านมา”ประชาชน” ถูก”นักการเมืองหลอกลวง” ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” โดยต้องการที่จะทำโครงการ”แจกเงินดิจิตัล” ด้วยการ”หลอกว่า” ถ้าไม่มีการใช้”นโยบายแจกเงินดิจิตัลวอลเล็ต” ประเทศไทยจะต้อง”ล้มละลายทางเศรษฐกิจ และ”เงินดิจิตัล” เป็น”ยาวิเศษ” ในการ”ชุบชีวิต” ของ”ประเทศไทย ทั้งหมดคือเรื่องการ”หลอกลวง” ประชาชน เพื่อ”ผลประโยชน์” ของ”โครงการดิจิตัลวอลเล็ต” ตามที่มีการ”วิพากษ์วิจารณ์” ถึงเรื่อง”ผลประโยชน์ทับซ้อน” มาโดยตลอด

เรื่องความเดือดร้อนของ”เกษตรกร” ผู้เลี้ยงโคเนื้อ” และโคพื้นเมือง” ในประเทศไทย ที่”ราคาตกต่ำ” จน “เกษตรกร”จำนวนมากกำลัง”ถอนใจ” เลิกอาชีพการ”เลี้ยงโคเนื้อโคพื้นบ้าน” กลายเป็นว่า”คนไทย” จะหมดอาชีพไปอีกอาชีพหนึ่ง เพราะ”รัฐบาล” เพราะ”กระทรวงเกษตรสหกรณ์” และ” กระทรวงพาณิชย์” เป็นสองกระทรวงที่”อ่อนหัด” รวมทั้ง”ไม่รู้ร้อนรู้หนาว” กับความ”เดือดร้อน” ของ”เกษตรกร” ที่ปล่อยให้”วัวเถื่อน” จาก”ประเทศเมียนมา” เข้ามา”ตีตลาด”ในประเทศโดย”พ่อค้า” ซื้อ”วัวเถื่อน” จากประเทศเพื่อนบ้านใน”ราคาถูก” และ”ศุลกากร” ยังปล่อยให้มีการนำ”เนื้อเถื่อน” จาก”ต่างประเทศเข้ามา”ตีตลาด” จนกลายเป็นการ”ทำลายอาชีพ”การ”เลี้ยงโคเนื้อโคพื้นบ้าน” ของเกษตรกรไทย” ไปโดยปริยาย…..” กึ๊น” ของ”เสนาบดี” ของ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” และ”กระทรวงพาณิชย์ของ”รัฐบาลไทย” กับ”รัฐบาลลาว “และ “รัฐบาลเมียนมา” ที่มีการทำสัญญากับ”ประเทศจีน” ในการ”ส่งออก” โคเนื้อไปยัง”ประเทศจีน” ที่”รัฐบาลจีน” ให้”โควต้า” ทั้ง สองประเทศ” ประเทศละ 500,000 ตัว ต่อปี ส่วน “ประเทศไทย” มีการ”เจรจา”กับ”รัฐบาลจีน” ขอ”โควต้า” ส่งออกไป”ประเทศจีน” ปีละ 100,000 ตัว ผ่านมาแล้วกี่ปี ผ่านมาแล้วกี่รัฐบาล ยังไม่มีความ”คืบหน้า” จาก”รัฐบาลจีน” ก็ไหนว่า”จีน-ไทย” เป็น”มิตรประเทศ แต่ทำไม”เมียนมา-สปป ลาว” จึงได้ สิทธิจาก”รัฐบาลจีน” นี่เป็นเรื่องที่”รัฐบาล” ต้องถามตนเอง…..และที่สำคัญ วันนี้”ประเทศมาเลเซีย” มิตรประเทศทางตอนใต้ของไทย “สั่งแบน” 5 บริษัท”ส่งออก” โคกระบือ” ของ”ประเทศไทย” ทำให้”ไทย” ต้อง”เสียตลาดการส่งออก” ไม่สามารถ”ส่งออก”โคเนื้อ โคพื้นบ้าน”ได้ โดยอ้างเรื่องของ”โรคระบาด” แต่ทำไมที่”ชายแดนสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส “รัฐบาลมาเลเซีย” จึงเปิด”ไฟเขียว” ให้”ขบวนการค้าวัวเถื่อน” ส่ง”วัวเถื่อน” ที่”นำเข้า” จาก”ฝั่งเมียนมา โดยไม่มีการ”ตรวจโรค” การ”ส่งออก” คือการ”ต้อนวัวเป็น” ข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก ข้ามไป”ฝั่งมาเลเซีย” นี่ก็เป็น”คำถาม” ต่อ”รัฐบาลไทย” และ”รัฐบาล”ของ”มาเลเซีย” ถึง เรื่องที่เกิดขึ้น

วันนี้ ประเทศไทย กำลังสูญเสียอาชีพที่ทำมาตั้งแต่”บรรพบุรุษ” นั้นคืออาชีพ” เลี้ยงโคกระบือ” ให้กับ”ประเทศเพื่อนบ้าน” ที่ไม่ต่างกับที่”ประเทศไทย” ต้องสูญเสียอาชีพ”การทำการประมง” ที่เป็นอาชีพที่ทำมาตั้งแต่”ปู่ย่าตายาย” ที่สุดท้าย “รัฐบาล” ต้องทำตาม”คำสั่ง” ของ”สหภาพยุโรป” ที่ใช้”กฎหมายไอยูยู” เล่นงานจน”ชาวประมง” นำเรือออก”จับปลา” ไม่ได้ ต้อง”ขายเรือ” ให้กับ”กรมประมง” เพื่อไปหาอาชีพอื่นๆทำแทน แต่ “วิบากกรรม” ยังไม่หมด เพราะเรือที่”เข้าโครงการ” เพื่อ”เลิกอาชีพประมง” ผ่านมาแล้ว 3-4 ปี ที่นำเรือมา”จอดเทียบท่า” จนเรือหลายลำ”ผุพังจมลงสู้ก้นทะเล” ก็ยังไม่ได้รับเงิน”ค่าเรือ” จาก”กรมประมง” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” แต่อย่างใด มีการ”เรียกร้อง” ต่อ”กรมประมง” ต่อ”รัฐบาล” มาเป็นระยะๆ แต่คำตอบคือยังรอ”งบประมาณ” ล่าสุด ชาวประมง จ.ปัตตานี” ยื่นหนังสือ”ร้องเรียน” ในเรื่องดังกล่าวกับ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง”  เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ไปบอกกับ”รัฐบาล” ถึงความ”เดือดร้อน” ของ”เจ้าของเรือ” ซึ่งเป็นการ”เรียนร้อง” และ”ร้องเรียน” ครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว”อนาถนะ” กับเรื่องที่เกิดขึ้น แค่”งบประมาณ” ไม่เท่าไหร่ ทำไม”รัฐบาล” จึง”นิ่งดูดาย” ต่อความเดือดร้อนของ”ประชาชน” ก็ไหน “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี บอกกับคนทั้งประเทศว่า” เพื่อไทยมา” คนไทยจะมี”ศักดิ์ศรี” จะต้องอยู่ดี กินดี ไม่ใช่หรือ แล้วนี้ทำไม”เจ้าของเรือ” จึงต้องอยู่อย่าง”เสดสา” ต้องออกมา”เรียกร้อง” ขอความ”เห็นใจ” จาก”รัฐบาล” เป็นระยะๆ

ภาคใต้ คนใต้ ก็ไม่น้อยหน้ากว่าคนใน”ส่วนกลาง” ที่ตก”เป็นเหยื่อ” ของ”กลุ่มบอสต่างๆ” ของ”ดิไอคอน” ที่วันนี้”เหยื่อ” ที่”สูญเงิน” จากการ”ส่งเสริมการขายสินค้าทางออนไลน์” จนสุดท้ายกลายเป็นการ”หาลูกค้า” ให้กับ”ดิไอคอน” และกลายเป็น”แชร์ลูกโซ่” จาก จ.สุราษฎร์ธานี,นครศรีธรรมราช,พัทลุง,ตรัง จนถึง สงขลา พบมีผู้อยู่ใน”ข่าย” การ”ถูกหลอกลวง” ออกมา”แจ้งความ”กับ”ตำรวจ” มากๆขึ้น ซึ่งเชื่อว่าความ”สูญเสีย” ต้องมากกว่า 1,000 ล้าน เพราะแม้แต่ในพื้นที่ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ อย่าง”กระแสสินธุ์, บางกล่ำ” และ”คลองหอยโข่ง” จ.สงขลา ก็ยังมีผู้”เสียหาย” ผู้ที่ตกเป็น”เหยื่อ” ของ”ดิไอคอน” ทางหนึ่งเกิดจากการ”หลงเชื่อ” ในการ”โฆษณาชวนเชื่อ” จาก”ดาราชื่อดัง” รวมทั้งจาก” พระสงฆ์องคเจ้า” ที่เป็นผู้ที่”น่าเชื่อถือ”ของคนทั่งประเทศ และส่วนหนึ่งเป็นเพราะ”ช่องทางทำมาหากินตีบตัน” และเชื่อว่าการ”ค้าขายทางออนไลน์” เป็น”ช่องทาง”ในการ”ทำเงิน” เป็น”ธุรกิจใหม่” ของผู้”แสวงหาโอกาส” จึง”กระโจน” ลงไปสู่”หุบเหว” ของความ”หายนะ” วันนี้”ตำรวจ” กำลังทำงานอย่าง”รวดเร็ว” เพื่อนำเอาผู้”ต้องหา”มาสู่”ขบวนการของกฎหมาย” และการ”ยึดทรัพย์” เพื่อนำไปสู่การ”เยียวยา” ผู้ที่ได้รับความ”เสียหาย” แต่ถึงทางหนึ่งที่ต้องการทราบคือ ยังมี”บริษัทอีกมากมาย” ที่เป็นเหมือนกับธุรกิจของ”ดิไอคอน” ที่ยัง ดำเนินการอยู่ ซึ่ง”หน่วยงานที่รับผิดชอบ” ต้องเร่ง”ป้องกัน” ก่อนที่จะเกิดปัญหาอย่าง”ดิไอคอน” ประเด็นนี้คือ ประเด็นที่สำคัญ ที่ต้องมีการ”ล้อมคอกก่อนวัวหาย” ไม่ใช่เรื่องของ”วัวหายแล้วล้อมคอก” อย่างที่เกิดขึ้น

ค่าแรง 400 บาท คือ”ความหวังหนึ่ง” ของ”ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่ง “กระทรวงแรงงาน” โดย” พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน” พยายาม แล้ว 2 ครั้งในการเรียกประชุม”ไตรภาคี” แต่ก็”ล้มเหลว” เพราะมีการ”เล่นเกม” จาก”บางฝ่าย” และ ขณะนี้ก็ไม่สามารถเรียกประชุมครั้งใหม่ได้ เพราะมีการ”โยกย้าย” และ”แต่งตั้ง”อธิบดี”ใหม่ในหลายกรมของกระทรวงแรงงาน และยังต้องรอคำตอบจาก”ธนาคารแห่งประเทศไทย” เพื่อให้”ยืนยัน”ว่า “ตัวแทนของแบ็งก์ชาติ” ยังเป็น”กรรมการ”หนึ่งในห้า ของกรรมการหรือไม่ ซึ่งในการ”ตอบกระทู้ถาม” ของ”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน ต่อ”วุฒิสมาชิก รัฐสภา ยังยืนยันว่า “กระทรวงแรงงาน” จะดำเนินการ ประชุม”ไตรภาคี” เพื่อ “ผลักดัน” ให้มีการ”ประกาศใช้ค่าแรง” วันละ 400 บาท ให้ได้

ในห้วงที่เกิด”อุทกภัย”ของ”ภาคเหนือ” และ”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ทำให้”ขบวนการลำเลียงยาเสพติด” ทั่ง”ยาบ้า”และ”ยาไอซ์” รวมทั้ง” เฮโรอิน” ลงมายัง”ภาคใต้” ลดจำนวนลงเป็นอันมาก แต่ “หลังน้ำลด” ขบวนการค้ายาเสพติด กลับมา”คึกคัก” เหมือนเดิม เพราะมี”ออร์เดอร์” ค้างอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ หน่วยงานที่”รับผิดชอบ” ในการ”ปราบปราม” และ”จับกุม” ยังไม่มีการ”ตื่นตัว” และไม่มีการ”ปฏิบัติการ” อย่าง”เข้มข้น” ทั้งที่”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศให้การ”ปราบปรามยาเสพติด” เป็น”วาระแห่งชาติ” เรื่องนี้” พล.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร “ ผบ.ตร. ต้องมีการ”ติวเข้ม” ตำรวจภาคใต้ โดยเฉพาะใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งเป็น”ปากประตู” ในการ”ลำเลียงยาเสพติด” ข้ามไปยัง”ประเทศที่สาม” ให้มี”แผน” ในการ”ปราบปรามยาเสพติด”ให้สมกับคำว่า” วาระแห่งชาติ” จริงๆ…..เช่นเดียวกับเรื่องของ”ขบวนการค้าคนเถื่อน” ที่ วันนี้”เป็น”ฤดูกาล”ในการนำ”ชาวโรฮิงยา” จาก” ประเทศเมียนมา มายัง ประเทศไทย และ ส่วนหนึ่งมี”ปลายทาง” ที่”ประเทศมาเลเซีย ล่าสุด”ชาวโรฮิงยา” ที่”ซ่อน”มากับรถ”บรรทุกตู้ทึบ” ถูกตำรวจจับได้ที่ จ.ชุมพร และตรวจพบว่ามี”ชาวโรฮิงยา”  เสียชีวิต เพราะ”ขาดอากาศหายใจ” จำนวนมาก เรื่องนี้ นอกจาก” ตำรวจท้องที่” ที่ต้อง”เข้มงวดกวดขัน” กับการ”ค้ามนุษย์”แล้ว” พล.ต.ต.ทรงโปรด สุขศิริ” ผบก.ตม. 6 ซึ่งรับผิดชอบ “ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง” ต้องมี”นโยบาย” ในการ”ป้องกัน” และ”ปราบปราม” ที่ต้อง”เข้มข้น” กว่าเดิม โดยเฉพาะ พื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่ง”หลบซ่อน” ของ”แรงงานเถื่อน” ใน อำเภอต่างๆ ทั้งใน จ.สงขลา และ จ.นราธิวาส ที่ต้องมีการ”ทลาย”ให้”สิ้นซาก” เพราะไม่ใช่เรื่อง”ยากเย็น” แต่อย่างใด แต่ที่พื้นที่เหล่านั้นยังเป็นที่”หลบซ่อน”ของ”แรงงานเถื่อน” และเป็นที่ถูกจับกุมอย่าง”ซ้ำซาก” เป็นเพราะมีการเรียกรับ”ผลประโยชน์” จาก”เจ้าหน้าที่” ใช่หรือไม่

เรื่อง”ซ้ำซาก” แต่เป็นปัญหาใหญ่ของ”ประเทศ” นั้นคือเรื่องของ”ไฟใต้” หรือเรื่องของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่มี”บีอาร์เอ็น” เป็น”หัวหอก” และเบื้องหลังของ”บีอาร์เอ็น” ยังมี”องค์กรต่างชาติ” จาก”ชาติตะวันตก” เช่น”จีนีวาคอลล์” และอื่นๆ เป็น”พี่เลี้ยง” อยู่เบื้องหลัง ที่วันนี้ “ธง” หรือ”ยุทธศาสตร์” ของ”บีอาร์เอ็น” ยังใช้ความ”รุนแรง” เพื่อสร้าง”สถานการณ์”ด้วยการ”ก่อการร้าย” ในพื้นที่ของ”สามจังหวัด” และ”สี่อำเภอ”ของ”จังหวัดสงขลา” โดยเฉพาะในเดือน ตุลาคม ที่เป็นเดือนแห่ง”สัญลักษณ์”ของเหตุการณ์”ตากใบ” เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547  ที่ผ่านมาแล้ว 20 ปี แต่”เหตุการณ์ที่ตากใบ” ก็ยังเป็น”เหยื่อโอชะ” ของ”บีอาร์เอ็น” และกลุ่มนัก”กิจกรรม”ต่างๆ ที่มีความ”โน้มเอียง” ในการต้องการเห็นการ”แบ่งแยกดินแดน” ออกมา”เคลื่อนไหว” เพื่อการ”เปิดบาดแผล” แห่งความ”เกลียดชัง” ระหว่าง”ประชาชน” กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ”เพื่อ”ถ่างช่องว่าง” ให้มากขึ้น……โดยเฉพาะ “ตุลาคม” ปีนี้ มีการ”รื้อฟื้น” นำเอาเรื่องของ”ตากใบ” มา”ฟ้องร้อง”ต่อ”ศาลจังหวัดนราธิวาส” เพื่อ”เอาผิด” กับ”อดีต”ผู้บังคับบัญชา” ต่อเหตุการณ์”ตากใบ” เมื่อ 20 ปีก่อน โดย”ศาลจังหวัดนราธิวาส” ได้”ออกหมายจับ” 7 ผู้ต้องหา เพื่อให้มา”ต่อสู้” ตาม”ขบวนการยุติธรรม” ก่อนที่ “คดีจะขาดอายุความ” ใน”เที่ยงคืน” ของวันที่ 25 ตุลาคม 2567  แต่ “เจ้าหน้าที่” ก็ไม่สามารถ”ติดตาม” นำตัวของ”ผู้ต้องหา” ทั้ง 7 คนมาได้ ซึ่ง”องค์คณะของศาลจังหวัดนราธิวาส” นัดออกนั่ง”บัลลังก์” เพื่อ “แถลงผลของคดีนี้” ในวันที่ 28 ตุลาคม เพื่อเป็นการ”ปิดคดี” หาก ไม่มี”ผู้ต้องหา” ถูกนำตัวมาสู่”ศาลจังหวัดนราธิวาส” ตามกำหนด นั้นหมายความว่าหลัง”เที่ยงคืน” ของวันที่ 25 ตุลาคม 2567 คดี”ตากใบ” ขาดอายุความ ผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คน ที่”ศาลสั่งฟ้อง และ 7 คนที่ “อัยการสั่งฟ้อง” จะพ้นจากการถูก”ดำเนินคดี ตามข้อ”กฎหมาย” ซึ่ง วันนี้ ก็จะเห็นความ”พยายาม” ของ”นักกฎหมายบางคน” ที่กำลังหา”เหลี่ยม มุม” ในการที่จะ”ต่ออายุความ”ของ”คดีตากใบ” ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนว่าจะสามารถ”ต่ออายุความ”ได้ ก็ต้อง”ติดตาม”ความ”พยายาม” ของ”นักกฎหมาย” กลุ่มนี้ ว่าจะหา”เหลี่ยม มุม” อะไรมาเพื่อเป็นข้อเสนอในการ”ต่ออายุความของคดีตากใบ”

แต่ที่”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 คนใหม่ ต้องหาทาง”รับมือ” คือหลังวันที่ 25 ตุลาคม  2567 สถานการณ์ในพื้นที่อาจจะมี”ความรุนแรงเกิดขึ้น” เพราะ “บีอาร์เอ็น” จะอ้างถึง”ความชอบธรรม” ในการใช้”ความรุนแรง” ในการ”ก่อการร้าย”โดยอาศัยการ”ปลุกระดม” คนในพื้นที่ให้เกิด”อารมณ์ร่วม” ว่าเป็น”ความไม่เป็นธรรม” ที่ชาวบ้านใน อ.ตากใบ” จ.นราธิวาส ได้รับ จากการที่”ผู้ต้องหาทั้งหมด” พ้นจากการถูก”ดำเนินคดี” และวิธีการของ”บีอาร์เอ็น” อาจจะพุ่งเป้าหมายไปยัง”กลุ่มไทยพุทธ” เพื่อจุด”ชนวน”ของความรุนแรงให้เกิดขึ้น และเป็นการ”ยั่วยุ” ให้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ใช้”กำลัง”เข้า”จัดการ” กับ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น”…..สิ่งที่ต้อง ระวัดระวัง สำหรับ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คือเรื่องของ”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ “ปลุกระดม” ให้”เยาวชน” ออกมา”เคลื่อนไหว” และอาจจะมี”เด็กๆ” หรือ”ทหารเด็ก” สอดแทรก เข้าไปในพื้นที่ และ”เสียชีวิต” เพื่อให้เป็น”ชนวน”ของความ”ขัดแย้ง” และนำสู่เวทีของ”สหประชาชาติ”

วันนี้ “บีอาร์เอ็น” มีการ”ตั้งรับ”ข้อกล่าวหา หาก”รัฐบาล” จะประกาศให้”บีอาร์เอ็น”เป็นองค์กรก่อการร้าย” สิ่งที่”บีอาร์เอ็น” จะออกมา”แถลง”เพื่อ”ต่อสู้”กับการประกาศของ”รัฐบาลไทย”คือ โปรด แสดงหลักฐานการเป็น”องค์การก่อการร้าย”ของ”บีอาร์เอ็น” ให้” ชาวโลก และ สหประชาชาติ “ รวมทั้ง” องค์กรมุสลิมโลก” หรือ”โอไอซี” ได้เห็นและเชื่อ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่”ไม่ง่าย” สำหรับการที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการ”ประกาศให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์การก่อการร้าย” เพื่อที่จะ”ได้เปรียบ” ในการดับ”ไฟใต้” อาจจะไม่ง่าย และอาจจะ”ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง”…..ที่สำคัญ “รัฐบาลมาเลเซีย”เอง ก็ไม่มี”เสถียรภาพ” ทาง”การเมือง” และ มาเลเซียปกครองแบบ”สหพันธรัฐ”  โดยเฉพาะ”รัฐกลันตัน” ที่เป็น”ฝ่ายค้าน” ของ”มาเลเซีย” ซึ่งเป็นผู้ให้การ”โอบอุ้ม” ขบวนการบีอาร์เอ็น ให้อยู่ใน”รัฐกลันตัน” อย่าง”ปลอดภัย”  ถึงแม้”บีอาร์เอ็น” จะถูก”รัฐบาลไทย” ประกาศให้เป็น” องค์การก่อการร้าย” ก็ไม่ได้ทำให้”รัฐบาลกลาง” ของ”มาเลเซีย” ใช้”กฎหมาย” หรือ”อำนาจ” ในการ”บีบบังคับ” ให้”รัฐกลันตัน” ทำการ””อัปเปหิ” ขบวนการ”บีอาร์เอ็น” ออกจาก” รัฐกลันตัน” ก็ไม่อาจประสบความสำเร็จ ที่สำคัญ”บีอาร์เอ็น” จะดำรงตนเป็น” องค์กรลับ” มากขึ้นก็เป็นไปได้

ปิดท้ายด้วยเรื่องของ”การเมืองท้องถิ่น” ที่เป็นคำถามของคน”สงขลา” เรื่องการเลือกตั้ง”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา” ที่ วันนี้”ทั้ง”นายกชาย” หรือ “รมช. สาสุข” เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ สส.เขต 5 สงขลา ซึ่งเป็น”บ้านใหญ่ทางการเมืองสงขลา” และ”นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต”คีย์แมน”ภาคใต้ของ”ประชาธิปัตย์” ต่าง”เห็นพ้องต้องกัน” ว่าจะส่ง” สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ที่ได้ยื่นหนังสือ”ลาออก” จากการเป็น”อธิบดี” กรมฝนหลวง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อ”ลุยไถ” บนสนามการเมือง ซึ่งทุกฝ่ายเห็นว่า”สุพิศ” คงได้เป็น” นายก อบจ.สงขลา” โดยไม่มี”คู่แข่ง” เพราะ”คู่แข่ง” ที่”ผลุบๆโผล่” เป็นข่าวให้เห็นมีเพียงผู้สมัครของ”พรรคประชาชน” เพียงคนเดียว…. แต่นั่นแหละเรื่องของ”การเมือง” ไม่มีอะไรที่”แน่นอน” หรือ” แน่เหมือนแช่แป้ง”  เมื่อ “ไพเจน มากสุวรรณ์” นายก อบจ.คนปัจจุบันยังไม่ยอม”โยนผ้า” ที่จะบอกว่า”ยอมแพ้” แต่”ไพเจน” กลับเดินลงพื้นที่เพื่อ”เช็คเรตติ้ง” จาก” ประชาชน” รวมทั้งหา นักการเมือง”เลือดใหม่” เพื่อลงสมัครในตำแหน่ง”ส.อบจ.แทน”คนเก่าไป”ซบตัก” ของ” สุพิศ พิทักษ์ธรรม” “ โดยการ”จัดการของ” โกถึก” หรือ”สมยศ พลายด้วย” สส. เขต 3 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์  ดังนั้นอย่างเพิ่งเชื่อว่าการ”เลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา” จะไม่มี”สีสัน”หรือจะ”เงียบเหงา” เงินจะไม่”สะพัด” และ แม้แต่ ส.อบจ.” ที่ถูกผูก”ข้อมือ” เอาไว้กับทีมของ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” แล้ว  ก็ยังมีการ”เปลี่ยนแปลง”ได้เช่นกัน ถ้ามีข้อเสนอที่”ดีกว่า” เพราะนั้นคือ”ธรรมชาติ” ของ”การเมืองไทย” ไม่ว่าจะเป็น”ระดับชาติ” หรือ” ท้องถิ่น” ก็ตาม ….. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง..สั้น-ไม่สั้น..อายุรัฐบาลแพรทองธาร

รับรับตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เป็นเดือนที่ 2 แล้ว สำหรับ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย และเป็น”นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย และเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่เกี่ยวข้องกับ”ตระกูลชินวัตร” เป็นคนที่ 4. ถ้านับจาก”ทักษิณ ชินวัตร,สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ซึ่งทุกคนต่างมี”ชะตากรรม” ที่ต้อง”แบกรับ” จากเข้ามาเป็น”นายกรัฐมนตรี” ของ”ประเทศไทย” ทั้งสิ้น…..และเป็น เดือนที่ 2 ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” ที่ยัง มากด้วยการถูก”วิพากษ์ วิจารณ์” จาก” บุคคลต่างๆ” ของ สังคมไทย ในการทำหน้าที่”เบอร์หนึ่ง” ในฐานะ”นายกรัฐมนตรี” ที่ยัง”ไม่เข้าตา” ในความเห็นและความรู้สึก ของ”หลายบุคคล”จากหลายสาขาอาชีพ รวมทั้ง”สื่อมวลชน” ในหลายสำนัก ที่เห็นความ”อ่อนด้อย” การขาด”ประสบการณ์ทางการเมือง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องผ่านการ”บ่มเพาะ” เป็นเรื่องที่”สอนกันไม่ได้” จนกลายเป็น”จุดด้อย” ของ”รัฐบาล ที่ปรากฏ”เป็นข่าว” ทุกๆวัน ที่ยิ่งกลายเป็นการ”ตอกย้ำ” ให้สังคมขาดความ”เชื่อมั่น” ในตัวของ”ผู้นำรัฐบาล”มากขึ้น…..รวมทั้งความ”ขัดแย้ง” ทาง”การเมือง” ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของ”รัฐบาล” เช่นเรื่องของ”แบ๊งก์ชาติ” ที่กลายเป็นประเด็น”ความขัดแย้ง” ทั้งในเรื่อง”นโยบาย” และเรื่องของ”ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย” ที่เป็นเรื่องของ”ตัวบุคคล” ตั้งแต่ครั้งที่”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี และ”ความขัดแย้ง” ถูก”ส่งผ่าน” มายัง”รัฐบาล” ของ” แพทองธาร ชินวัตร”โดยความ”ขัดแย้งล่าสุด” ที่เกิดขึ้น คือเรื่องของการเข้าไป”แทรกแซง” การแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย การ”ขยายความขัดแย้ง” ระหว่าง”รัฐบาล”กับ”ธนาคารแห่งประเทศไทย” เป็นการ”บั่นทอน”เสถียรภาพของ”รัฐบาล โดยเฉพาะในเรื่องของ”เศรษฐกิจ”และ”การลงทุน” ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

และแม้แต่เรื่องการ แต่งตั้ง”ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ” เป็นที่”ปรึกษานายกรัฐมนตรี” ก็กลายเป็น”เงื่อนไข” ที่อาจจะนำไปสู่การ” ยื่นฟ้อง” ว่า”นายกรัฐมนตรี” ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ” ที่ไม่ต่างกับการที่”เศรษฐา ทวีสิน”  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรีสำนักนายก” นี่คือความน่าสนใจ ตรงนี้”พรรคเพื่อไทย” เป็นพรรคที่มี”กูรู” ทาง”กฎหมาย” จำนวนมาก เช่น”ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีสำนักนายก” และ”พิชิต ชื่นบาน” ที่เป็นคน”ใกล้ชิด” แกนนำของ”เพื่อไทย” ทำไม”มือกฎหมาย” เหล่านี้จึงไม่”เตือน” หรือให้”ข้อคิดเห็น”ว่าอะไรที่”ทำไม่ได้” เพราะ”สุ่มเสี่ยง” ต่อการตกที่”เก้าอี้”ของ”นายกรัฐมนตรี”…… และ สุดท้ายเรื่องของความ”สุ่มเสี่ยง” ที่จะเห็น”รัฐบาล” ของ”เพื่อไทย” ที่นำโดย”แพทองธาร ชินวัตร” จะเป็น”รัฐบาล”ที่”อายุสั้น” นั้นคือการที่”ฝ่าย”ศัตรู” จำนวนมาก ที่”พาเหรด”ในการ”จองกฐิน” ใช้”ศาล” เป็น”สนามยุทธ” หรือใช้”นิติสงคราม” เพื่อ”ทำลายล้าง” รัฐบาลของ”เพื่อไทย”ให้พ้นจาก”ถนนการเมือง” ซึ่งทั้งหมด”ปฏิเสธ”ไม่ได้ว่าเกิดจากการที่”ทักษิณ ชินวัตร” กลับเข้าสู่”ถนนการเมือง”นั่นเอง และนอกจากมีการใช้”นิติสงคราม”แล้ว ยังมีการ”ขู่ฟ่อๆ” มาจาก” ศัตรู” อีกหนึ่งภาคส่วนที่ ถนัด  ในเรื่องนำ”มวลชน”ลง”ถนน” ว่า เตรียมที่จะ”ขับไล่” รัฐบาลด้วยวิธีเดิมๆ คือการ”ลงถนน” อีกครั้งหนึ่ง โดย”เป้าหมาย”อยู่ที่”ขับไล่” รัฐบาลของ”แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งวันนี้ความผิดเดียวของเธอน่าจะเป็นเพราะเธอคือ”บุตรสาว”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” นั่นเอง

และอีกเรื่องที่กำลังกลายเป็น”ประเด็นใหญ่”ที่อาจจะสร้าง”ปัญหา” ให้กับ”รัฐบาล” คือ”คดีตากใบ” ที่เป็น”บาดแผล” ของ”ประชาชน” ใน “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”น่าจะจบ” แต่ถูกนำมา”ขยายผล” โดย”พรรคฝ่ายค้าน” และ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เพื่อให้เอาผิด”เจ้าหน้าที่” ที่เกี่ยวข้องกับ”คดีตากใบ” ที่มี”คนตาย” จำนวน 80 กว่าศพ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่ง”คดีนี้” วันนี้กลายเป็น”เหยื่อ” ของ”การเมือง”ที่เรียกร้องให้”พรรคเพื่อไทย” ในฐานะ”ของ”แกนนำรัฐบาล” ออกมา”รับผิดชอบ” การนำ”บุคคล” ที่ถูก”ออกหมายจับ” มารับผิดชอบตาม”กฎหมาย” ถ้า ผ่านวันที่ 25 ตุลาคม โดยผู้ต้องหาทั้งหมดยัง”ล่องหน” หมายถึง”คดีขาดอายุความ” และ”ผู้ต้องหา” ทั้งหมด”พ้นผิด” อะไรจะเกิดกับ”รัฐบาล” และ”พรรคเพื่อไทย” รวมทั้ง”สถานการณ์”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” จะเพิ่ม”ความเดือด” ความ”รุนแรง” ขึ้นหรือไม่ ทั้งหมดคือ”รายจ่าย” ที่”รัฐบาล”ต้องทำการ”แบกรับ” และคนในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” อาจจะต้องรับ”ชะตากรรม” ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดทั้งปวงคือความ”ง่อนแง่น” ของ”รัฐบาล”ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี ในฐานะ”ผู้นำประเทศ

ส่วนเรื่องที่”สรยุทธ สุวรรณเกสร” ทนายความ ที่ไป”ยื่นฟ้อง” กล่าวหา “ทักษิณ ชินวัตร” ในข้อหาตั้งแต่”ชั้น 14” จนถึงเรื่องการ”ครอบงำพรรค”ที่”ไพพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ประโคมโหมโห่” ว่าจะเป็น”จุดจบ” ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” ปรากฏว่าหลังการ”เป็นข่าว” กลับ”ไม่ปัง” อย่างที่มีการ”จั่วหัว”ไว้ และ”บ้านจันทร์ส่องหล้า” ก็ไม่ได้”ตื่นเต้น” หรือ”ตระหนกตกใจ” แต่อย่างใด  ดังนั้นเรื่องนี้ จึงยังไม่เป็น”ประเด็นใหญ่”เหมือนเรื่องการฟ้องให้ยุบ”พรรคก้าวไกล” แม้ว่า”คนฟ้อง” จะเป็น”คนเดียวกัน” แต่”น้ำหนัก” และ”สาระ” อาจจะต่างกัน

ไปต่อกันที่เรื่องของ”ไฟใต้” ในเดือน”ตุลาคม” ที่ “สถานการณ์”การ”ก่อการร้าย” รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีการ”โจมตี”แบบ”ฉาบฉวย” ต่อ”เป้าหมาย” ที่เป็น”ฐานปฏิบัติการ” เป็น”จุดตรวจ” ของ “ตำรวจ,ทหาร” แบบ”ไม่หวังผล” ในขั้นการ”สลายฐาน” แต่ก็มีความ”เสียหาย” มี”เจ้าหน้าที่”ต้อง”เสียชีวิต” และ”ทรัพย์สิน”ของ”ประชาชน” ได้รับความเสียหาย ล่าสุด”โจรใต้” มีการใช้”หลักหมุด” หรือ”หลักลาย” ที่ “ทางหลวงชนบท” ใช้ในการ ติดตั้งใน”ทางโค้ง”เพื่อ “สะท้อนแสง” ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนมีความ”ปลอดภัย”ด้วยการติดตั้ง”ระเบิดแสวงเครื่อง” ใน”หลักลาย” หรือ”หลักหมุด” ดังกล่าวเพื่อ”ทำร้ายเจ้าหน้าที่” ซึ่งเป็น”ชุดลาดตระเวน” หรือ” เจ้าหน้าที่ซึ่งต้องใช้”ยานพาหนะ” ในการ”สัญจร” แค่การ”ป้องกัน” การ”เจาะถนน”เพื่อใช้”ระเบิดแสวงเครื่อง” ของ”บีอาร์เอ็น” เจ้าหน้าที่ก็”ยุ่งยาก” พออยู่แล้ว นี่ชุด”เก็บกู้ระเบิด” ยังต้องมีหน้าที่”ตรวจสอบ” ถนนที่ติดตั้ง”หลักลาย” หรือ”หลักหมุด” สะท้อนแสง บนถนนสายต่างๆเพิ่มขึ้นอีก ก็ได้แต่”เห็นใจ” ในภารกิจที่เพิ่มขึ้น และ นี่ก็เป็นการ” พัฒนาการ”ของ” กลุ่มก่อวินาศกรรมของ”บีอาร์เอ็น”……และอีกเรื่องที่เกิดขึ้น”ถี่หยิบ” คือเรื่องการทำลาย”กล้องวงจรปิด” ในหลายพื้นที่ ทั้งใน จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานี ซึ่งส่วนใหญ่เป็น”กล้องวงจรปิด” ที่เป็นของ” ตำรวจ” แสดงให้เห็นว่า”บีอาร์เอ็น” กำลัง”หวั่นไหว” กับ”กล้องวงจรปิด” ที่เป็น”หลักฐานสำคัญ” ที่”ตำรวจ” ใช้ในการเป็น”หลักฐาน” สำคัญ” ในการ”มัดตัวผู้ต้องหา” เพื่อใช้ในการ”ฟ้อง” และ”ศาล” ให้”น้ำหนัก” ใน”ฐานะที่เป็น”พยานวัตถุ”สำคัญใน”กระบวนการยุติธรรม” และในเรื่องการที่” กองกำลัง”ของ”บีอาร์เอ็น” ให้ความสำคัญในการทำลาย”กล้องวงจรปิด” วันนี้ “เจ้าหน้าที่” ทุกฝ่ายยังไม่มี”แนวทาง” ในการที่จะ แก้ปัญหาได้ และหาก”แก้ไม่ได้” ใน”อนาคต” กล้องวงจรปิด ก็จะถูก”ทำลาย” จนไม่มี”เครื่องมือ” ในการ”ตรวจจับ”บรรดา”คนร้าย” ที่ ทำการ”ก่อเหตุ” ในพื้นที่ นี่ก็เป็นเรื่องที่” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4-ผอ.กอ.รมน.ภาค 4” ต้องหา”แนวทาง” ในการแก้ปัญหาเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่หลังการเข้ารับตำแหน่ง”แม่ทัพภาคที่ 4 “  ก็เห็นนะว่า “ พล.ท. ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 ได้มีการ”ปรับเปลี่ยน” ตำแหน่งหน้าที่ของ”บุคลากร” ในตำแหน่งสำคัญๆ เช่นงาน”การข่าว” งานด้าน”ยุทธวิธี” เพื่อการ”รับมือ” กับ”สถานการณ์” ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่าง”ต่อเนื่อง” รวมทั้งการ”ประชุม” กับ หน่วยงานต่างๆ มี”องค์กรเอกชน” เข้าพบเพื่อ”แสวงหาความร่วมมือ” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้า”ทุกฝ่าย” มีความ”มุ่งมั่นตั้งใจจริง” การแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ก็จะเดินไปได้โดยความ”ร่วมมือร่วมใจ” ของทุกภาคส่วน  แต่ในเรื่องการ”แสวงหาความร่วมมือ” จาก”ผู้นำทางศาสนา” ก็ยังไม่สามารถ”คาดหวัง” ที่จะประสบความสำเร็จ เพราะทุก”แม่ทัพภาค 4” ต่างก็ให้ความสำคัญกับ” ผู้นำศาสนา” และ”ขอความร่วมมือ” ในการแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ใน”มิติ”ของการใช้”หลักศาสนา” ในการ”บิดเบือน” ให้เป็นประโยชน์ต่อ”การก่อการร้าย” แต่ก็ไม่เคยได้รับ”ความร่วมมือ” อย่าง”จริงจัง” ดังนั้นการ”ขับเคลื่อน” ด้านอื่นๆยังพอ”คาดหวัง” ยกเว้นเรื่องของ”ผู้นำศาสนา” ที่ยังเป็น”ช่องว่าง” และ”จุดอ่อน” ที่”แก้ไม่หาย” และ”ถมไม่เต็ม”……การเดินทางมา”ติดตามสถานการณ์”ของ”ไฟใต้” จาก” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” หรือ”บิ๊กปู” เมื่อวันก่อน มีการ”เน้นย้ำ” ในเรื่องการ”ปรับปรุงประสิทธิภาพของงานการข่าว” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่งเป็นการแก้ที่”ตรงประเด็น” เพราะที่การ”ป้องกันเหตุ”ของความ”รุนแรง”ไม่ได้ ไม่รู้ว่า”บีอาร์เอ็น” จะ”ก่อการร้าย” ที่ไหน อย่างไร เป็นเพราะ “งบประมาณ” ที่เป็น”งบการข่าว” ไม่มีการ”แบ่งสันปันส่วน”ให้ถึงมือ”คนทำงาน” ถ้าจะแก้ไขให้ตรงประเด็น” ก็ต้องใช้”งบประมาณ” ที่เป็น”งบการข่าว” ที่มีอยู่”จำนวนมาก” ลงไปถึงมือของ”เจ้าหน้าที่” ระดับ”ปฏิบัติงาน” จริงๆ แต่ที่ผ่านมา”งบการข่าว” ต่าง”กระจุกตัว”อยู่ในมือของ”นายพล” และ”นายพัน” ส่วนผู้”ปฏิบัติงานการข่าว”ในพื้นที่ซึ่งเป็น”ตัวจริง” ต้อง”ปฏิบัติงาน”ในการ”ปิดทองหลังพระ” ท่ามกลางความ”ขาดแคลน”

และอีกประเด็นที่”บิ๊กปู” นำมากล่าวถึงใน”ห้องประชุม”ของ”กอ.รมน.ภาค 4ส่วนหน้า” คือเรื่องให้มีการ”เข้มงวด” แนวชายแดน จ.นราธิวาส ที่เป็น”ช่องทางธรรมชาติ” ที่มีมากกว่า 200 แห่ง ประเด็นนี้ “นายทหาร” ใน”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต่าง”รู้ดี” ว่า”ช่องทางธรรมชาติ” ในการ”ข้ามแม่น้ำสุไหวโก-ลก” คือ”จุดอ่อน” ในการ”ป้องกัน” ที่ไม่ได้ผล เพราะมีเรื่อง”ผลประโยชน์” ของ”อาชญากรรมข้ามชาติ” ที่มี”ผลประโยชน์” จำนวนมหาศาล” ทั้งกับ”เจ้าหน้าที่” และ”ผู้มี”อิทธิพล”ในพื้นที่ และ”นักการเมือง” รวมทั้ง”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่มี”ผลประโยชน์” กับ”อาชญากรรมข้ามชาติ” ซึ่งถ้า” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทำการ”แตะต้อง”หรือ”เข้มงวด” มากเท่าไหร่” ทั้ง”ระเบิด”ทั้งการ”โจมตี” ด้วยอาวุธต่อเป้าหมาย”ทางราชการ” ก็จะมากขึ้น  และนี่ก็คืออีกหนึ่ง”โจทย์หิน” สำหรับ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4” คนใหม่ ที่คนที่อยู่”ข้างเวที” อย่าง”ผู้เขียน” ทำได้เพียง”เอาใจช่วย”  ..สภาพเศรษฐกิจหาดใหญ่ ที่เป็นการรวมตัวของผู้นำ”หลายภาคส่วน” และมี”สิทธิศักดิ์ ตันมงคล” ทำหน้าที่เป็นประธาน มีการ เสนอทางออกของ”หาดใหญ่” ด้วยการ”สร้างเมืองหาดใหญ่2 “ ในพื้นที่ ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกับ “หาดใหญ่” เพื่อลดความ”แออัด”ของ”หาดใหญ่ “โดยการเริ่มต้นที่ต้องสร้าง “โรงพยาบาลหาดใหญ่” แห่งที่ 2 ด้วยที่ดินที่มีการ”บริจาค” ซึ่ง แผนการสร้างเมือง”หาดใหญ่ 2 “ จะถูก”ส่งต่อ” ให้กับ”เดชอิศม์ ขาวทอง” รมช.สาธารณสุข ในฐานะของ สส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 5 จ.สงขลา และ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อนำเสนอ”ครม.” ก็ต้องติดตามกันว่า “เมืองหาดใหญ่ 2” จะสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ ใน จ.สงขลา

นี่ก็นับเป็น”ข่าวดี” ของ”อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” เมื่อ”กองบัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง” มีการ”ต่ออายุ” ให้การเดินทาง”เข้า-ออก” ของ “นักท่องเที่ยว” และ”นักเดินทาง” ไม่ต้องเขียน”แบบฟอร์ม ตม.6” ไปถึง “ตุลาคม ปี 2568 หลังจากที่การ”ยกเลิก” การใช้”แบบฟอร์ม ตม.6” ที่ได้รับการ”ผ่อนผัน” จะหมดเวลาการผ่อนผันในวันที่ เดือน ตุลาคม นี้ ที่ผ่านมา หลังการ “ผ่อนผัน” ให้”นักท่องเที่ยว” ไม่ต้องเขียน”แบบฟอร์ม ตม.6” นักท่องเที่ยวที่เดินทาง” เข้า-ออก” ด่านชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา เพิ่มขึ้นถึง 30 เปอร์เซ็น นี่คือความ”ล้าหลัง” ของ”ส่วนราชการ”ของ”ประเทศไทย” ที่ไม่”สอดคล้อง” กับการ”พัฒนา”ของโลก  และหวังว่า “ตรวจคนเข้าเมือง” จะมีการ”ยกเลิก” การใช้”แบบฟอร์ม ตม.6” อย่างถาวร ทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ 8 แห่ง อย่างในปัจจุบัน เพราะเห็นแล้วว่าการ”ไม่ต้องใช้ ตม.6” ไม่ได้มี”ผลเสีย” แต่กลับส่ง”ผลดี” ต่อ”อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว”ที่เป็นหน่วยงานในการ”นำเงินตรา” เข้าประเทศ…..แต่ที่ต้อง”เข้มงวด” สำหรับ”เมืองท่องเที่ยว”ต่างๆ คือการปล่อยให้”ต่างชาติ” เข้ามา “แย่งอาชีพ” ของ”คนไทย” อย่างเช่นที่ อ.หาดใหญ่” จ.สงขลา ที่เป็น”เมืองท่องเที่ยว”ของ จ.สงขลา วันนี้”ธุรกิจนวดแผนโบราณ” ที่มีอยู่เกือบ 200 แห่ง กลายเป็นของ”นายทุนมาเลเซีย” และ”นายทุนเมียนมาร์” กว่าครึ่งหนึ่ง หน่วยงานไหน รับผิดชอบในเรื่องนี้ ต้อง”ใส่ใจ” ในการ”ตรวจสอบ” และ”ดำเนินการ” ให้ถูกต้องตาม”กฎหมาย” และอีก อาชีพหนึ่งที่ต้อง”ตรวจสอบ” เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ”ภาษี” และเรื่องของ”ความมั่นคง” นั้นคือใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีการนำเอา”บ้านพัก” มาทำเป็น”ห้องเช่า” แบบเดียวกับ”โรงแรม”ถึง 200 กว่าแห่ง สิ่งสำคัญคือ”ผู้เช่า” ไม่ต้องมีการ”ลงทะเบียน” ไม่มีการ”ตรวจสอบ”และบันทึกในเรื่องของ”ยานพาหนะ” กลายเป็น”ช่องว่าง” ให้”มิจฉาชีพ”  หรือบุคคลที่เป็น”ภัยต่อความมั่นคง” ทำการ”แอบแฝง” เข้ามาพัก และมี”เป้าหมาย” ในการ”ก่อการร้าย” ได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีการ”ตรวจสอบ” เหมือกับการเกิด”ห้องตาม”ในโรงแรม” เรื่องนี้ นอกจาก” ตำรวจ” แล้ว “สรรพากร” ใน จ.สงขลา ต้องให้ความ”สนใจ” ในการ”ตรวจสอบ”ด้วย

แต่เรื่องที่ต้อง”ชื่อชม” เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ถูกต้อง คือการแต่งตั้ง”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” เป็น”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ” สมช.” ที่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่”ลูกหม้อ”ของ”สมช.” ได้ทำหน้าที่” เลขาธิการ” เพราะที่ผ่านมาตำแหน่ง”เลขาธิการ สมช.” คือ”ขวัญ” และ”รางวัลปลอบใจ”ของ”นายทหาร” และ”นายตำรวจ” ที่”อกหัก” จาก ตำแหน่งหลัก ก็ต้องติดตามดู”บริบท” ของ” ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการ สมช. ที่เป็น”ลูกหม้อ” ของ”สมช.”ว่าจะ”ดีกว่า”และ”เก่งกว่า”  เลขาธิการ สมช. ที่เป็น”คนนอก” อย่างไร…..และอีกเรื่องคือการแต่งตั้ง” ผบ.ตร.” ที่”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี นั่งเป็น”ประธาน” ในการแต่งตั้งที่ทำได้อย่าง”หมดจด” ด้วยการแต่งตั้ง “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร” เป็น ผบ.ตร. ตามความของคณะกรรมการ”เสียงข้างมาก” เป็น 2 เรื่อง 2 งาน” ที่เป็นเรื่อง”ถูกต้อง” และไม่”ผิดฝาผิดตัว”…..แต่ยังมีอีกเรื่องที่”น่าเป็นห่วง” สำหรับ”ประเทศไทย” ที่ยังไม่เห็น” ครม.” ของ” รัฐบาล” ชุดนี้”ขยับ” ว่าจะมีการ”แผน” ในการ”รับมือ” อย่างไร กับปัญหาของ” สงคราม” ระหว่าง”อิสราเอล” กับ หลายประเทศใน”โลกอาหรับ” ที่มีโอกาสขยายตัวเป็น”สงครามใหญ่” หรือ”สงครามโลก” ซึ่งจะเกิดผลกระทบกับทุกประเทศ โดยเฉพาะ”ประเล็กเล็กๆ” อย่าง”ประเทศไทย” ทั้งในเรื่องของ” พลังงาน” ในเรื่องของ”ส่งออก” และ”นำเข้า” เรื่อง”สินค้าอุปโภคบริโภค” ที่ทุกอย่างต้อง”ขาดแคลน” และเกิด”ผลกระทบ” รวมทั้งเรื่องของ”ความมั่นคง” ในการ”ป้องกันประเทศ” ที่ต้องมีการ”เตรียมพร้อม” ในการ”รับมือ” เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องที่”ประมาท” ไม่ได้ แต่ ก็ยังไม่เห็นการ”รับมือ” ของ”รัฐบาล” ชุดนี้ ทั้งที่เป็น”รัฐบาล” ที่มีที่”ปรึกษา”ทั้ง”รุ่นใหญ่” สมัยที่เป็นที่”ปรึกษาของพ่อ” และที่ปรึกษา”รุ่นเล็ก” ที่น่าจะ”เข้าใจ” ใน สถานการณ์โลก ในปัจจุบัน นี่คือเรื่องที่”น่าเป็นห่วง” สำหรับ”รัฐบาล”ที่มองไม่เห็นเรื่องความ”สำคัญ”ของประเทศ

ใน “สัปดาห์ที่แล้ว” หลายจังหวัดของภาคใต้ ได้รับความ”เสียหาย” และ”สูญเสีย” จาก”เรื่องของ”ฝนตก น้ำท่วม” โดยเฉพาะ จังหวัดยะลา ที่ถนน”สายหลัก” ระหว่าง”ยะลา-เบตง” เกิดความ”เสียหาย” ถนน”สายรอง” ที่เป็นเส้นทางเข้าสู่ “สถานที่ท่องเที่ยว” ทั้ง”ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง “ และ”สวนหมื่นบุปผา”  รวมทั้ง “เส้นทาง” อีกหลายสาย ถูก”น้ำกัดเซาะ” และ”ดินถล่ม” บ้านเรือนพังพินาศหลายหลัง และมีผู้”เสียชีวิต” จาก”อุทกภัย” ครั้งนี้  ดังนั้น ทุกจังหวัดจึงต้องมี”ความพร้อม” ในการ”รับมือ” โดยเฉพาะ”พื้นที่”ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็น”พื้นที่ท่วมซ้ำซาก” ต้องมีการ”ป้องกัน” เช่น” ถนนกาญจนวนิช” หาดใหญ่-สงขลา  หลายจุดที่เมื่อ”ฝนตกหนัก” จะถูก”น้ำท่วม” เช่น หน้า”วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่” พื้นที่ “ น้ำน้อย-ควนหิน” อ.หาดใหญ่ และ อ.เมือง สงขลา ต้องมีการ”ระบายน้ำ” อย่างทันท่วงที  และสิ่งที่คนใน”หมู่บ้าน” ในพื้นที่”ท่วมซ้ำซาก” และ”เสียหายซ้ำซาก” ต้องการเห็นคือ”การแก้ปัญหาที่ถาวร” จาก” หน่วยงานของรัฐ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็น”ปัญหาซ้ำซาก” อย่างที่เป็นอยู่ เรื่องนี้ สส.เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ อย่าง”สมยศ พลายด้วง” หรือ”เสี่ยถึก” ต้องมีส่วนในการ”ขับเคลื่อน” เพราะเป็นเขตเลือกตั้งที่ 3 ที่”เสี่ยถึก” เป็น”ผู้แทน”

เป็น”ข่าวดัง” ของ จ.สงขลา เมื่อ เมื่อมีการ”ปิดใบปลิว” ทั้งทั้ง 16 อำเภอ ไม่ต้อนรับ”โชตินรินทร์ เกิดสม” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาคนใหม่ ทั้งที่ยังไม่ได้เดินทางมารับตำแหน่ง และไม่เคยทำหน้าที่อะไรใน จังหวัดสงขลามาก่อน มีการ”ถามไถ่” ถึง”สาเหตุ” ว่าเกิดจาก”ปัญหาอะไร” และ”ใครเป็นทำ”ผู้อยู่ใน”ขบวนการ”ทำ”ใบปลิว” และ”ปิดใบปลิว” จำนวน 6 คน” ทราบว่า”ตำรวจ” มี”รายชื่อ”หมดแล้ว แต่จะมีการ” ดำเนินการ”เอาผิดหรือไม่ ต้องถาม”ผู้เสียหาย” ส่วนสาเหตุของ”ใบปลิว” ไม่เอา”โชตินรินทร์ เกิดสม” เป็น”ผวจ.สงขลา ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า มีการ”วิ่งเต้น”จาก”ผู้หลักผู้ใหญ่” เพื่อให้คนของ”ตนเอง” มาเป็น” ผวจ.สงขลา” และเกิด”ผิดฝาผิดคิว” คือ”ไม่ได้มา” จนเป็นเหตุให้มีการ”ว่าจ้าง”ให้”คนกลุ่มหนึ่ง” ออกมา”ปฏิบัติการ” เพื่อ”การอ้าง”ประชาชน” ว่าไม่ต้องการให้”โชตินรินทร์”เกิดสม” เป็น ผวจ.สงขลา เรื่องมีแค่นี้

เขียนถึงเรื่องการ”โยกย้าย” กรมการปกครอง ก็ขอแสดงความยินดีและมีการ หลายท่าน ที่ได้รับการ”แต่งตั้ง” และการ”โยกย้าย” อาทิ “พันจ่าโท อนันต์ บุญสำราญ” รอง ผวจ.ยะลา ไปเป็น”รองผวจ.ตรัง,” จิรวัตร์ มณีโชติ “รอง ผวจ.เพชรบูรณ์ ที่ได้”คืนถิ่น” กลับบ้านเกิดเป็นรอง ผวจ.สงขลา,” ธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล” รอง ผวจ.ยะลา ที่ ยังไม่สามารถ”ขยับขึ้นชั้น ผวจ.” จึงต้องไปทำหน้าที่”รอง.ผวจ.”ที่”เมืองหอยใหญ่ ไขแดง” จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อจอ”ขึ้นชั้น” เป็น ผวจ.ในอนาคต…..ส่วน “ชวกิจจ์ สุวรรณคีรี “ ปลัดจังหวัดนครศรีธรรมราช ขยับใหญ่ขึ้นในตำแหน่ง “รอง ผวจ.นครศรีธรรมราช เหมาะสม เพราะทำหน้าที่เป็น”ปลัดจังหวัด” มาแล้ว 1 ปี นอกจากจะรู้ปัญหาของพื้นที่แล้ว ยังไม่ต้อง”เสียเวลา” ในการ “เก็บของเดินทาง” ขอแสดงความยินดีด้วย…..ที่ จ.นราธิวาส “กฤษณนันท์ กำไร  หัวหน้าสำนักงานจังหวัดนราธิวาส ก็ไม่ต้องเดินทางไปไหน เพราะคำสั่ง”แต่งตั้งโยกย้าย” ครั้งนี้ของ”กรมการปกครอง” ได้”ขยับขึ้นเป็น” รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส” ถิ่นเดิม และ “วิทยา  จันท์เสนะ “ ผู้อำนวยการบูรณาการความปลอดภัยบนท้องถนน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้รับการแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่” รอง ผวจ.สงขลา” หวังว่างานด้าน”การป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน” คงจะมีการ”บริหารจัดการ” ที่ดีขึ้น…..ส่วนนี่คงจะ”สมหวัง” สำหรับ”วิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์” รอง ผวจ.ตรัง ที่ได้ย้ายกลับ”ถิ่นเก่า” จ.นราธิวาส ในตำแหน่งเดิม คือ”รองผวจ.” เชื่อว่าคงจะใช้”ความรู้ความสามารถ” ทำหน้าที่ในความรับผิดชอบได้อย่างดี เพราะเรื่องความ”ขัดแย้ง” กับ”กลุ่มคนบางกลุ่ม” ที่เคยเกิดขึ้นได้รับการ”คลี่คลาย” แล้ว

ส่วนที่”กองทัพภาคที่ 4 กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”ตำแหน่งหลักๆ ที่คนในพื้นที่ต้อง”รับรู้” และให้ความสนใจมีดังนี้ “ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” เป็น แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 .”พล.ต.วรเดช เดชรักษา” หรือ”เสธอ้วน” เป็น รองแม่ทัพภาคที่ 4 /รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ และ”พล.ต.ชาคริต อุจะรัตน” หรือ” เสธคิ้ว”  เป็น “รองแม่ทัพภาคที่ 4 และ รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คนนี้มาจาก”รบพิเศษ” ที่มารับผิดชอบ “สายงานความมั่นคงภายในจังหวัด “ และ”สายงานการควบคุมกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งคงต้องติดตามว่างานด้าน”ยุทธการ” ในการ”รับมือ” กับ” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็น” จะมีการ”ปรับเปลี่ยน” อย่างไร

ส่วนสายงาน”ศูนย์สันติวิธี สายงานมวลชน และ กิจการพิเศษ สายงานประชาสัมพันธ์ สายงานสารสนเทศ สายงานกฎหมายและสิทธิมนุษย์ชน” ซึ่งเป็น”หัวใจ” ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” โดยเฉพาะ”สายงานการประชาสัมพันธ์ และสารสนเทศ” ที่เป็น”จุดอ่อน” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะได้รับการ”แก้ไข” หรือให้ความ”สำคัญ” หรือไม่ อย่างไร ต้องติดตาม ส่วนอีกคนที่ได้รับการ”ติดยศเป็น”พล.ต.” คือ” พล.ต.เสฎฐวุฒิ จันทนะ” ทำหน้าที่ รอง ผอ.สน. ปรมน. ภาค 4  /เลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 รับผิดชอบสายงาน”พิจารณากลั่นกรองงานทุกสายงาน” และ “พล.ท.สุรเทพ หนูแก้ว” ได้ติดยศ”พล.ท. ทำหน้าที่ ผอ.ศปป.5  กอ.รมน./ผอ.ศปนย. จชต. เป็นอีกตำแหน่งหนึ่ง ที่มีความสำคัญในการ”ดับไฟใต้ใต้”ผู้เขียนขอ”แสดงความยินดี”กับทุกท่าน ที่ได้รับการ “แต่งตั้ง” และหวังว่าด้วย”ความรู้”ความ”สามารถ”ของทุกคน จะต้องทำให้”สถานการณ์ความไม่สงบ”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ดีขึ้นกว่าเดิม” ให้ได้ เพราะ พวกท่านคือความคาดหวังของประชาชน  …..แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง..ครูใหญ่เซราะกราวบุกบ้านจันทร์ส่องแสงหล้าปิดดีลอะไร??

การเมืองยังไม่มีความ”แน่นอน” แม้ว่า”เพื่อไทย” จะดันให้ “แพทองธาร ชินวัตร” เป็น นายกรัฐมนตรี” ได้สำเร็จ แต่ เก้าอี้”นายกรัฐมนตรี” ของ” แพทองธาร ชินวัตร” ในยามนี้ ก็ยังไม่มีความ”มั่นคง” เพราะ”กูรู” ทาง”การเมือง” ของ”ประเทศไทย” ส่วนใหญ่ ไม่มีความ”มั่นใจ” ว่า “รัฐนาวา” ภายใต้การนำของ” นายกรัฐมนตรีหญิง”ที่ชื่อ”แพทองธาร ชินวัตร” จะสามารถ”อยู่ยาว” ถึง 6 เดือน หรือไม่ เพราะมีการ”พยากรณ์อาการ” ที่เกิดขึ้นกับ” รัฐบาล” ชุดนี้ พบว่า มีทั้งการ”เจาะยาง” มีทั้งการ”วางระเบิดเวลา” มีทั้ง”จั่นห้าว”และ”จั่นหับ” ที่เป็น”ขวากหนาม” เต็มไปหมด ซึ่ง”กับดัก” ที่ถูกวางไว้มากมาย คือ”ปัญหา” และ”อุปสรรค” ที่ทำให้”รัฐบาล” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” มีอายุสั้นกว่า”รัฐบาล”ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ……ยิ่งการ”ปรากฏตัว”ของ” ครูใหญ่เซราะกราว” อย่าง” เนวิน ชิดชอบ” มังกรบุรีรัมย์”ที่”เคียงกาย” ด้วย” เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล ที่”บ้านจันทร์ส่องหล้า” เมื่อหลายวันก่อน ในการเข้าพบ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต “นายกรัฐมนตรี” ที่แม้จะเป็นอดีต”นักโทษการเมือง” แต่ยังเป็น”บุคคล” ที่มาก”บารมี” ยิ่งทำให้ “คนการเมือง” และ”นักวิเคราะห์สถานการณ์” ต่าง”วิเคราะห์เจาะลึก” ไป”ต่างๆนาๆ” และทั้งหมดคือเรื่อง”การเมือง” คือเรื่อง”ทางออก” ทั้งเรื่อง”กฎหมายประชามติ” ที่ “สมาชิกวุฒิสภา” ไม่เห็นชอบการขอแก้ใน”มาตรา 13 จนต้องมีการ”ส่งคืน” และมีการตั้ง”กรรมาธิการร่วมกันระหว่างสองสภา  รวมทั้งเรื่องการ”แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ” ที่”เพื่อไทย” ต้องทำการ”ออมชอบ” กับ”ภูมิใจไทย” และ” สว.” สาย”สีน้ำเงิน” ซึ่งต้อง”อาศัย” บารมีของ”ครูใหญ่” อย่าง” เนวิน ชิดชอบ” การ”ปรากฎารของ”ครูใหญ่ เนวิน” จึงถูก” กูรูทางการเมือง” ตีความไป”สารพัดเรื่อง” แม้แต่เรื่องที่”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “รองนายกรัฐมนตรี” และ” เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย” จะเป็น”นายกรัฐมนตรี” คนต่อไป หาก”อุ๋งอิ๋ง” แพทองธาร ชินวัตร” ต้องถูก”ลอยแพ” ก่อนเวลาอันสมควร

แต่ เชื่อเถอะ การเมืองไทยยุค”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้อยู่”เบื้องหลัง” ในการ”กำหนดเกมการเมือง” จะไม่มี”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 3 ใน รัฐบาลชุดนี้ ถ้า”แพทองธาร ชินวัตร”ไปต่อในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี”ไม่ได้ ทางออกสำหรับ”การเมืองไทย” คือการ”ยุบสภาฯ” เพื่อการ”เลือกตั้ง” ครั้งใหม่ ให้”จับตา” การ”แจกเงินเฟส 2 ที่”เพื่อไทย” ต้องเร่ง”ผลักดัน” ให้เป็นไปตาม”นโยบาย” แจกเงินประชาชน  เพื่อ” ฟื้นเศรษฐกิจ” ที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า เพราะนี้คือการ”หาเสียงล่วงหน้า” ก่อนที่จะมีการ”ยุบสภา” เกิดขึ้น ……จากการ”พูดคุย” กับ” หัวหน้าพรรคการเมือง “ และกับ”เสนาบดีกระทรวงต่างๆ” ต่างมี”มุมมอง” ไปใน”ทิศทางเดียวกันถึงความ”ง่อนแง่น” ของ”รัฐบาล” ภายใต้การนำของ”แพทองธาร ชินวัตร” ที่เป็น”นายกรัฐมนตรี”เพียง 1 เดือน แต่มีเสียง”วิพากษ์วิจารณ์” จากหลาย”ฟากฝ่าย” ที่มองเห็นแต่”ด้านลบ” ของการเมืองไทย โดยเฉพาะใน”บทบาท” ของการ”ปฏิบัติหน้า” ของ”ผู้นำประเทศ ที่ถูกมองว่า”ด้อยประสบการณ์” และขาด”วุฒิภาวะ”ของผู้นำประเทศ,,,,,,ทางหนึ่ง อาจจะเป็น”เรื่องจริง” ในเรื่อง ในกรณีที่”ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง” ในการเป็น”เบอร์หนึ่ง” ของ”ประเทศ ที่ต้องมี”บทบาท” ทั้งใน”เวทีโลก” และการเป็น”ผู้นำ” รัฐบาล ที่”นายกรัฐมนตรี” ต้องมี”บารมี” และ”ประสบการณ์” จะอาศัยเพียง”บารมี”ของ”คนรอบข้าง” ที่” ครอบครัว” จัดตั้งมาไม่ได้ แต่ถูกทางหนึ่ง ก็ต้อง”ให้เวลา”กับ” นายกรัฐมนตรี” ในฐานะของ”คนรุ่นใหม่” ที่อาจจะใช้เวลาในการ”ศึกษา” และ”ทำความเข้าใจกับ”การเมือง” ซึ่งหากผ่านไประยะหนึ่ง ทุกอย่าง อาจจะดีขึ้น ก็เป็นไปได้ ก็ต้อง ติดตาม กันต่อไป และหากไปไม่ไหว ก็ให้เป็นไปตาม”ครรลอง” ของ”ใน”ระบอบประชาธิปไตย” นั้นคือการ”คืนอำนาจ”ให้กับ”ประชาชน” เพื่อการ”เลือกตั้ง” กันใหม่

อย่ามองแต่เรื่อง”เลวร้าย” เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นใน”รัฐบาลมือใหม่หัดขับ”ก็มีให้เห็น อย่างการ”โยกย้าย” ใน “สภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) ที่ครั้งนี้ไม่มีการ”ยื้อยุดฉุกกระชากลากถูก” ด้วยการเอาตำแหน่ง”เลขาธิการ สมช.” ให้กับ”บุคคล” ที่อยู่นอกหน่วย ที่เป็นมาแล้วกว่า 10 ปี การ”แต่งตั้ง” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช. ) ครั้งนี้”ฉัตรชัย บางชวด” ไม่ได้”ชวด” อย่างที่ผ่านมา เพราะได้รับการ”แต่งตั้ง” ให้เป็น”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ “ เป็นการได้”ลูกหม้อ” ของ “สมช.” ให้ทำหน้าที่ ซึ่งนี่คือความ”ชอบธรรม” ของการ”โยกย้าย” และ”แต่งตั้ง” ใน สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ต้อง”ชื่นชม” รัฐบาลชุดนี้…..และการ”แต่งตั้ง”ผบ.ตร.  สำหรับปีนี้  ที่ไม่มี”ข่าวคาว” ไม่มีความ”ขัดแย้ง” โดยมีการแต่งตั้งให้” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” รักษาการ ผบ.ตร. เป็น ผบ.ตร. ที่มีความ “เหมาะสม” โดยไม่มีข้อ”ครหา” ว่ามีการ”วิ่งเต้น” และมีการข้าม”อาวุโส” อย่างที่ผ่านๆมา…..สำหรับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์”  รับหน้าที่เป็น” ผบ.ตร. “ แล้ว จะ”จัดสรร” ตำแหน่งของ”บุคลกร” ในเครื่องแบบ”สีกากี” อย่างไร ที่จะต้องไม่”เล่นพรรคเล่นพวก” ไม่มีการโยกย้ายแบบ”ผิดฝาผิดตัว” หรือต้องมีการ”วิ่งเต้น” มีการใช้”เส้นสาย” ไปนั่งใน”ทำเลทอง” เพราะที่ผ่านมา”วงการตำรวจ” ได้รับความ”บอบช้ำ” จากการออกมา”ฟาดฟัน” กันเอง โดยเฉพาะ”ศึก” ระหว่าง” บิ๊กต่อ” พล.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” อดีต ผบ.ตร. กับ”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีต รอง ผบ.ตร. ได้สร้างความ”บอบช้ำ” และความ”หมดศรัทรา” ให้กับ”ประชาชน” ทั้งประเทศ ก็ได้แต่ หวังว่า 2 ปี ในสมัยของ”บิ๊กต่าย” พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” จะเป็นยุคของการ”กอบกู้” วงการ”สีกากี” ให้ดีขึ้นในสายตาของประชาชน

เรื่องสำคัญที่ทำให้”ประชาชน” เสื่อม”ศรัทธา” ต่อ”เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ทั่วประเทศ คือเรื่องการแก้ปัญหา”ยาเสพติด” ที่”ตำรวจ” นอกจากไม่”ใส่ใจ” ในการ แก้ปัญหา”ยาเสพติด” อย่างจริงจัง ทั้งที่เรื่อง”ยาเสพติด” เป็นเรื่องที่”นายกรัฐมนตรี” ประกาศให้เป็น” วาระแห่งชาติ”แล้ว “ตำรวจ” ในแต่ละ”พื้นที่” ยังถูก”ประชาชน” ตั้งข้อสังเกตุว่ามี”ผลระโยชน์” กับ”พ่อค้ายาเสพติด” และ กลุ่มผู้ที่เป็น”นักเดินยา” ในพื้นที่……วันนี้ ราคายาเสพติด”ขายส่ง” เม็ดละ 5 บาท ซื้อ 10,000  เม็ด แถม 1,000 เม็ด “ขายปลีก” เม็ดละ 20 บาท จำนวน”สารเสพติด” ที่”ลดน้อยลง” ในยาแต่ละเม็ด” เพื่อขายในราคาถูก ทำให้”ผู้เสพยา” ต้อง”เสพยา” ครั้งละ 5 เม็ด ถึง 10 เม็ด ยาถึงจะ”ออกฤทธิ์” ยิ่งทำให้”ผู้เสพ” เกิดความ”คลุ้มคลั่ง” ทำร้ายคนใน”ครอบครัว” และกลายเป็นที่”หวาดกลัว”ของผู้คนใน”สังคม” นี่คือ” พัฒนาการ”ของขบวนการ”ยาบ้า” ที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง”ตามให้ทัน”  และการแก้ไขต้องมีการ”บูรณาการ” ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ”ตำรวจ” ต้อง ปรับขบวนการใหม่ทั้งหมด การแก้ปัญหา”ยาเสพติด” จึงจะได้ผล

เรื่อง”โศกนาฎกรรม” ไฟไหม้รถบัสที่เป็นรถนำนักเรียนจาก จ.ชัยนาท” ไป”ทัศนศึกษา”  ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะในส่วนของ”การเมือง” ทั้ง”สภาล่าง” สภาผู้แทนราษฎร” และ”สภาบน” วุฒิสภา ต่าง หยิบประเด็นปัญหานี้ขึ้นมา เรียกร้องให้”รัฐบาล” ดำเนินการ”ล้อมคอก” เพื่ออย่าให้”โศกนาฎกรรม” “ย่างสด” ทั้ง ครู ทั้ง นักเรียน” เกิดขึ้นอีก ก็ต้องติดตามดูว่า” กระทรวงที่เกี่ยวข้อง” ทั้ง “กระทรวงคมนาคม” และ”กระทรวงศึกษาธิการ” จะ”ล้อมคอก” ได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะรถบัส ทั้ง”ประจำทาง” และ”ไม่ประจำทาง” ที่ใช้”ก๊าซ” เป็น”เชื้อเพลิง” เพราะ”ราคาถูก” กว่าการใช้”น้ำมันดีเซล” จำนวนเกือบ 20,000 คัน วันนี้มีการ”ตรวจสอบ”ไปแล้ว กี่มากน้อย และผลการ”ตรวจสอบ” มีจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ที่”ไม่ปลอดภัย” เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้อง”แถลง”ให้ประชาชนได้รับรู้  โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มี”รถบัสไม่ประจำทาง” ที่ใช้ในการ”ทัศนศึกษา” ทั้งนำนักเรียน ประชาชน ผู้นำศาสนา ไป”ทัศศึกษา” ตามโครงการของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ หน่วยงานอื่นๆ วันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการ”เรียกรถ”เหล่านี้ไป”ตรวจเช็ค” หรือไม่ อย่าให้เกิด”โศกนาฏกรรม” ขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยหาทาง”แก้ไข” เพราะมันไม่”คุ้มค่า” ……ส่วน “โรงเรียน” ที่ชอบ”เหมาเช่ารถราคาถูก” ในการพา นักเรียน ไป”ทัศนศึกษา” เพื่อเป็นการ”ประหยัดเงิน” และเพื่อหวัง”เงินทอน” จาก”โศกนาฏกรรม” ที่เกิดขึ้น ก็ต้องไป”ใคร่ครวญ” ให้รอบคอบ ให้ได้ว่า”ของถูกคือของไม่ดี” เช่นเดียวกับ”ของฟรีไม่มีในโลก” ที่สำคัญ การใช้”ความรู้” กับ”ผู้โดยสาร” ที่อยู่ในรถ ก่อนที่จะ”ออกเดินทาง” มีการ ปฏิบัติ กันหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด “อุติบัติเหตุ” รถ”พลิกคว่ำ” จะช่วย”ตนเอง” และ”ผู้อื่น” อย่างไร เมื่อเกิด”เพลิงไหม้” จะต้องช่วยกัน”ดับไฟ” อย่างไร และต้อง”เอาชีวิตรอด” แบบไหน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ “ต้องทำ” รวมทั้ง”อุปกรณ์” ในการ”ช่วยชีวิต”  และ”เครื่องไม้เครื่องมือ” ในการ”ช่วยชีวิต” นอกจากจะต้องมีประจำรถ ยังต้องมีการ”สาธิต” ให้ ผู้ที่อยู่ในตัวรถต้องเข้าใจในวิธีการใช้ด้วย

อะไรเกิดขึ้นที่ จังหวัดสงขลา หลังคำสั่งจาก”กระทรวงมหาดไทย” แต่งตั้งให้” โชตินรินทร์ เกิดสม” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย มาดำรงตำแหน่ง” ผวจ.สงขลา เพียง”ค่ำคืนเดียว” ก็มีการ”ปักป้าย” ติด”ใบปลิว” ในพื้นที่ อ.เมือง และ สิงหนคร ไม่เอา” โชตินรินทร์” เป็น” ผวจ.สงขลา  เกิดขึ้น”เกลื่อนเมือง”  ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เปิดปูม” ประวิติของ”ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาคนใหม่” อายุ 56 ปี ยังเหลือเวลาในการ”รับราชการ” อีก 4 ปี เป็นคน “จ.สุราษฎร์ธานี” เคยเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ก่อนที่จะไปเป็น”รองปลัดกระทรวงมหาดไทย”  ที่สำคัญไม่เคยทำหน้าที่ใดๆ ใน จ.สงขลา ดังนั้นเรื่อง”ใบปลิว” ไม่เอา”โชตินรินทร์” เป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา” จึงเป็นเรื่อง”คลื่นใต้น้ำ” ที่ไม่”ธรรมดา” เพราะ สังเกตุจาก”ใบปลิว” ที่ติดใน อ.เมือง “และ”สิงหนคร” มาจาก”แหล่งเดียวกัน”  และ ติดในพื้นที่”สองอำเภอที่ติดกัน เรื่องนี้ ต้องมี”เบื้องหลัง “ ที่ไม่”ธรรมดา”  สิ่งที่ต้อง”ติดตาม” กันยาวๆ คือหลังจากที่” โชตินรินทร์” มาทำหน้าที่เป็น” พ่อเมืองบ่อยาง” จะมี”คลื่นใต้น้ำ” แบบไหน อย่างไร คอยดูกันต่อไป

ส่วนที่ จ.พัทลุง “นิสากร วิศิษฐ์สรอรรถ” ผู้ว่าราชการหญิง ที่ เป็น” ผวจ.ใน จ.พัทลุง 2 ปี ไม่มี ประชาชน ออกมา”วิพากษ์วิจารณ์” ในด้านลบ ครั้งนี้มี คำสั่งให้ไปเป็น” ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็น”จังหวัดที่มีเพียง 3 อำเภอ และเป็น จังหวัดที่ “สงบเงียบ” ในขณะที่”พาตีเมาะ สดียามู” ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ที่เป็น “ผู้ว่าราชการจังหวังผู้หญิงที่เป็น”มุสลิม” เพียงหนึ่งเดียวของประเทศไทย ยังอยู่ที่เดิม เพราะ”ผลงาน” ที่ผ่านมา เป็นที่”พึงตาต้องใจ” ของประชาชน…..ส่วน” อำพล พงษ์สุวรรณ” ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ที่ต้องการ ขยับกลับมาเพื่อ”เกษียณอายุราชการที่”บ้านเกิด” จังหวัดสงขลา ก็ไม่”สมหวัง” ยังนั่งอยู่ที่เดิม และ”ว่าที่ ร.ต. ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ก็นั่งเป็น” ผู้ว่าราชการจังหวัด” เป็นปีที่ 2 ก็ ถูกต้องแล้ว เพราะการมาทำหน้าที่เป็น” ผู้ว่าราชการจังหวัด”เพียง 1 ปี แล้ว “วิ่งเต้น”เพื่อการ”โยกย้าย” หรือเพื่อ”เกษียณอายุราชการ ไม่สามารถสร้างการ”พัฒนา”พื้นที่ อย่างต่อเนื่อง เป็นการสร้างความ”เสียหาย” ให้กับ จังหวัด

เรื่องของ”ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้”หลังการเกิด”คาร์บอมบ์” ที่หน้าบ้านพักนายอำเภอตากใบ จ.นราธิวาส แล้ว ก็ ยังไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่ นั้นไม่ได้หมายความว่า” สถานการณ์ดีขึ้น” เป็นเพราะ” กองกำลังติดอาวุธ” ของ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ยังไม่มี”ช่องทาง” ในการ”ก่อวินาศกรรม” ใน”เป้าหมาย” ที่ต้องการ  ต่างหาก ดังนั้น “กองกำลัง” ทั้งที่เป็น “ฉก 1 ตัว” ฉก.หมายเลข 2 ตัว ต้อง”ตื่นตัว” ต้อง”ปฏิบัติการเพื่อ”กดดัน” ให้ให้” กองกำลังติออาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” มี”เสรีภาพ” ในการ”เคลื่อนไหว”  เพื่อให้เกิดความ”คล่องตัว” ในการ”ก่อการร้าย” ……ซึ่ง”แหล่งข่าว” แจ้งว่า มีการ”ลำเลียงระเบิดแสวงเครื่อง 2 ลูก” มา”ซ่อนไว้” ในพื้นที่ จ.นราธิวาส เพื่อเตรียมก่อเหตุ รวมทั้งยังมีรถที่เป็น”เป้าหมาย” ในการ”ประกอบคาร์บอมบ์” อีก 2 คัน และ  รถ “จักรยานยนต์” อีก 4 คัน และ ที่สำคัญ”เป้าหมาย” ของ” ชุดคุ้มครองตำบล” หรือ” ชคต.” ที่ “อ่อนแอ” ยังคงเป็น”เป้าหมาย” ของ” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ในการเข้า”โจมตี” ซึ่ง ต้องมีการ”ระวังป้องกัน”……ล่าสุด “ พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์” หรือ”บิ๊กปู” ก็เดินทางลงพื้นที่ เพื่อ ติดตาม สถานการณ์ความไม่สงบ และ ให้ แนวทางในการ ป้องกันเหตุ โดยมีการ เน้น แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่เป็น”ช่องทางธรรมชาติ” ให้มีการ”เข้มงวด” รวมทั้งการให้”เสริมสร้างกองกำลังท้องถิ่น” หรือ” กองอาสารักษาดินแดน” ให้มีความ”เข้มแข็ง” เพื่อให้เป็น กำลังสำคัญ ในการ ป้องกันเหตุ และ รักษาความสงบในพื้นที่…..ในขณะที่ “ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ ก็ บรรยายให้ทราบว่า” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ยังมี”เป้าหมาย” ในการแสดง”ศักยภาพ” และความมี”ตัวตน”โดยการ”ก่อการร้าย” ทุก”รูปแบบ” เป้าหมายยังอยู่ที่” เจ้าหน้าที่รัฐ” ซึ่ง “นโยบาย” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” คือการ”บูรณาการ” กับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น ตำรวจ “ และ “พลเรือน” รวมทั้ง ผู้นำศาสนา” “และ”ภาคประชาชน” เพื่อที่จะนำความ”สงบ” และ”สันติ” กลับคือสู่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้องติดตามดูกันว่า” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์”” แม่ทัพภาคที่ 4  และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 43 คนใหม่ จะใช้ความเป็น”ลูกหม้อ” ของ”กองทัพภาคที่ 4 แบบไหน อย่างไร ในการ”ลดความ”รุนแรง”ของ”ไฟใต้”

ที่ สำคัญ” แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย” ที่มี “แม่น้ำสุไหงโก-ลก” เป็น “เส้นกั้นเขตแดน” ติด”เส้นทาง” ในการ”ก่ออาชญากรรม” ทุกรูปแบบ” ทั้งการค้า “ยาเสพติด” การค้า” แรงงานเถื่อน” การค้า”วัวเถื่อน” การค้าของ”ผิดกฎหมาย” ที่เป็น”สินค้าหนีภาษี” ทุกประเภท  ซึ่ง มี”เจ้าหน้าที่ไทย และ มาเลเซีย รวมกันรับ”ผลประโยชน์” จาก”ขบวนการ”อาชญกรรม” ข้ามประเทศ   และยังมี” ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่รับ”ส่วยสาอากร” ของ”ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ จึงเป็นเรื่อง”ไม่ง่าย” ในการที่นจะ”ซีลแนวชายแดน” เพราะเมื่อเกิด”ผลประทบ” ให้” เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยเสียประโยชน์  ก็จะมีการ”จับมือ”กันระหว่าง” เจ้าหน้าที่” และ”กองกำลังบีอาร์เอ็น” สร้าง “สถานการณ์” ความรุนแรงเกิดขึ้น นี่คือ”ภัยแทรกซ้อน” ที่ “หลายแม่ทัพ” ที่ผ่านมา ไม่เคย ประสบความสำเร็จ ในการแก้ปัญหา”อาชญากรรมข้ามชาติ” ใน จ.นราธิวาส จนสุดท้ายกลายเป็นเรื่อง” เลยตามเลย” อาชญากรรมข้ามชาติ จึงกลายเป็น”ธุรกิจนอกกฎหมาย” ที่ “โตวันโตคืน” อย่างที่เป็นอยู่

หน้าฝนหรือหน้า”มรสุม” ที่เริ่มมาเยือน”ภาคใต้” เริ่มสร้างความ”เสียหาย” ให้กับหลายพื้นที่แล้ว ล่าสุด”สวนหมื่นบุปผา ที่ ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา ที่”โตหอง แซ้ลี้” นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว อ.เบตง จ.ยะลา “ทุมเท” ทั้ง”เงินทุน” และ”สรรพความคิด” จนกลายเป็น สถานที่ท่องเที่ยว “เลื่องชื่อ” ที่มี”นักท่องเที่ยว ทั้งไทย และ มาเลเซีย เดินทางมาเที่ยว เป็นจำนวนมาก ถูก”ฝนถล่ม” ได้รับความเสียหาย ทั้ง ถนนหนทาง และพื้นที่ของ “สวนหมื่นบุปผา”  ล่าสุด “อำพล พงษ์สุวรรณ” ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นำคณะลงพื้นที่ไป”ปลอบขวัญ” และหาทาง”เยียวยา”……ส่วนที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา น้ำฝนจาก”เทือกเขาสันกาลาคีรี” พัดถล่มพื้นที่ หลายตำบล ต้องมีการ” อพยพ”ผู้คนมายัง”ศูนย์อพยพ” เป็นการ”ชั่วคราว” โดยมี”เจ้าหน้าที่ทหาร จาก”กองพันทหารม้าที่ 31  กองพลทหารราบที่ 15 ให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที ทำให้ไม่เกิดการ”สูญหาย” หรือ”เสียชีวิต” นี้คือ คำตอบว่า”ทหารมีไว้ทำอะไร” เพราะ บางภารกิจ “ทหาร”จะมีความพร้อมมากกว่า”หน่วยงาน อื่นๆ….. ส่วน ชาวสวนยาง ที่ กำลัง ดีอกดีใจกับ”ราคายาง” ที่แพงขึ้น ก็กำลัง”เร่งมือ” ในการ”กรีดยาง” เพื่อ”สะสมเงิน” เพราะอีกไม่เกิน 1 เดือน เมื่อ ย่างเข้าหน้า”มรสุม” หมายถึงต้อง”หยุดกรีด” ไปโดย ปริยาย นี่คือการ”เล่นตลก”ของ”ธรรมชาติ” ที่ไม่ยอมให้ชาวสวนยาง” ร่ำรวย” หรือ”ลืมตาอ้าปาก” ส่วนชาว”สวนปาล์ม” ในภาคใต้ ปีนี้ ถือเป็น”ปีทอง” เพราะ “รับทรัพย์ล่ำซำ” กันถ้วนหน้า เนื่องจากราคาปาล์มล่าสุด ขึ้นราคาไปถึง กิโลกรัมละเกือบ 7 บาท แล้ว นั้นเอง แต่สิ่งที่ ติดตามมากับราคาปาล์มที่สูงขึ้น คือ”โจรเกิดขึ้นมากมาย” เพื่อ ลักผลผลิต”ของ”สวนปาล์ม” ที่เจ้าของสวนต้อง เข้า เวร ยาม ในการ รักษาผลผลิตอย่าให้ถูก”ขโมย” จาก “หัวขโมย” ซึ่งส่วนใหญ่คือคน”ว่างงาน” และ”คนที่ ติดยา”เสพติด” นั้นเอง

เรื่องการเมืองท้องถิ่น ของ จ.สงขลา ครั้งแรก คาดว่าจะมีการ”แข่งขัน”กัน”ดุเดือด” เพราะจะมีผู้สมัคร”สังกัดบ้านใหญ่”ถึง 3 ทีม แต่ สุดท้ายข่าวว่า”เคลียร์กันลงตัว” โดยการ”จัดการของ”นักการเมือง”ที่”มากบารมี” อย่าง”นายกชาย” หรือ”เดชอิศม์ ขาวทอง” รมช. สาธารณสุข  เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ สส.เขต 5 สงขลา ที่ทำให้ “ไพเจน มากสุวรรณ์” นายก อบจ.สงขลา คนปัจจุบัน ยอมที่จะ”พอแค่นี้” โดย”หลีกทาง” ให้”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อธิบดีกรมฝนหลวงฯ เป็นผู้ สมัครเพื่อ ชิงตำแหน่ง นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา โดยมี”มาดามปิ๋ม” หรือ”มาลัยทิพย์ ครุอำโพธิ์” หวานใจของ” เสี่ยถึก” หรือ”สมยศ พลายด้วง “ สส.เขต 3 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เป็น “รองนายก อบจ. โดยที่” นิพนธ์ บุญญามณี”  อดีต รมช.มหาดไทย และ อดีต”คีย์แมน” ของ”พรรคประชาธิปัตย์” หลีกทางไม่จัดทีมในการ ส่งผู้สมัครแข่งขัน นี่คือเรื่องของ”การเมือง” ที่เมื่อ”สมประโยชน์” ย่อมแปร”ศาสตราวุธ” มาเป็น”แพรพรรณ” ส่วน”คู่แข่ง” ของ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” จึงเหลือเพียง ทีมเดียวคือทีมของ”พรรคประชาชน” ที่จนถึงบัดนี้ยัง”อุบเงียบ” ไม่มีการ”เปิดตัว” ตามแบบฉบับของการเมือง”พรรคประชาชน” นั่นแหละ….. แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาแจกเงินหมื่นเฟส 2 พายุหมุนเศรษฐกิจจะมากี่โมง??

ภาพใหญ่ของการเมืองไทยคือการ”ขับเคลื่อน” ของ”รัฐบาล” ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็น”แกนนำ” และมี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ภายใต้การ”กำกับดูแล” และ”ฟูมฟัก” ให้เติบโตทางการเมือง และสร้าง”ผลงาน” ให้”เข้าตาประชาชน” โดย”ทีมงาน” ของ” ทักษิณ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ผู้เป็น”บิดา”  ซึ่งจากการ”จับกระแส”ทาง”การเมือง” ตั้งแต่”นายกหญิง” แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นทำหน้าที่”ผู้นำรัฐนาวาของประเทศไทย” มีทั้ง”กองเชียร์” ที่เป็น”นักการเมือง” ฝั่งของ”เพื่อไทย” ดาหน้าออกมาตอบโต้บรรดา”กองแช่ง”โดยเฉพาะ”คอลัมนิสต์”ของ”สื่อ”ต่างๆ ที่ออกมา” ปรามาส” โดยตั้งประเด็นการเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่มี”อายุน้อย” ไม่มี”พรรษาทางการเมือง “ และไม่มี”ประสบการณ์”ในการ”บริหารประเทศ มีการ”พยากรณ์อาการ”  รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” อาจจะเป็นรัฐบาลที่”อายุสั้นกว่า” รัฐบาลของ” เศรษฐา ทวีสิน”  ด้วยซ้ำ …… โดยเฉพาะตั้งแต่ ก่อน และ หลัง เข้า”รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ก็มี”นักร้อง” เป็นจำนวนมาก ที่ตั้ง”ประเด็น” ในการ”ร้องเรียน” เรื่องการทำผิด”กฎหมายรัฐธรรมนูญ” และ อื่นๆ ที่จะเป็นปัญหาที่”มะรุมมะตุ้ม””ให้รัฐบาลที่นำโดย”แพทองธาร ชินวัตร” ต้อง”พะวักพะวง” และกลายเป็น”รัฐนาวา” ที่อาจจะ “ขับเคลื่อน” ด้วยความ”เชื่องช้า” แบบที่เรียกว่า” ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” อย่างไรอย่างนั้น……แต่ หลังการ”กดสวิสซ์ แจกเงินให้ประชาชน” กลุ่มผู้พิการ”  และผู้ถือ”บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” คนละ 10,000  บาท  และการทำ”โพล” คะแนนนิยมในกลุ่ม  หัวหน้าพรรคการเมืองด้วยกัน ปรากฎว่าชื่อของ”แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ”นายกรัฐมนตรี” คน”ปัจจุบัน”     ถึงกับ”นำโด่ง”  ขึ้นแท่นเป็น นักการเมืองที่ประชาชนให้ความนิยมเป็น” อันดับหนึ่ง” ซึ่ง เชื่อว่า”คะแนนนิยม” นี้มาจาก”การ”แจกเงิน” ให้กับ”ประชาชน “ นั่นเอง

ประเด็นนี้น่าจะ”ตอบโจทย์” ได้เป็นอย่างดีว่า” ในวันที่”เศรษฐกิจ”ของประเทศไทย” อยู่ในภาวะที่”ย่ำแย่” การ”แจกเงิน”มีความหมายสำหรับประชาชน และ”รัฐบาล” ที่ใช้ นโยบายในการ”แจกเงิน” ก็ยังเป็น”รัฐบาล” ที่ประชาชนซึ่งเป็น”ชนชั้นรากหญ้า” ให้ความ”ชื่นชม” เพราะมารถ”ตอบสนอง” ความต้องการของ”ประชาชน”ได้ดีที่สุดดั่งคำพูดที่ว่า” เงินคือพระเจ้า” นั้นเอง…..จึงอย่า”แปลกใจ” ที่”รัฐบาล” ที่มี”เพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” จึงต้อง”ผลักดัน” ให้มีการ”แจกเงิน” ใน”เฟสสอง” ไม่ว่าจะเป็น”เงินสด” เหมือน”เฟสแรก” และอาจจะลดลงเพียงรายละ 5,000 บาท ก็ตาม เพราะเงิน 5,000 บาท ในยุคที่ทุกคน”กระเป๋ายอบแยบ” และการเงินในครอบครัว” ชักหน้าไม่ถึงหลัง” เงินจำนวน 5,000 บาท ย่อมมีความหมาย โดยเฉพาะ”ครัวเรือน” ที่อยู่กัน”หลายคน” ได้รับ”เงินแจก” คนละ 5,000 บาท “มัดรวมกัน” ก็ได้”เงินหมื่น” นะ…… จับ”อาการ”ของคนที่ได้”รับเงิน” 10,000 บาท ในเฟสแรก พบว่าจำนวนหนึ่งถึงกับ”ร่ำไห้” เพราะใน”ชีวิต” ยังไม่เคยรับรู้ว่า”เงินหมื่น” มากแค่ไหน เพราะ”ไม่เคยมี” หลายคนเอาเงินไป”ปลดหนี้” หลายคนเอาเงินไป”ถ่ายทอง” และไป”ถ่ายของ” ใน”โรงจำนำ” ดังนั้นการที่”ชนชั้นรากหญ้า” ได้”เงินแจก” คนละ 10,000 บาท คนที่เป็น”ผู้แจก” จึงกลายเป็น”เทวดา” ในความรู้สึกของประชาชน ส่วนเรื่องของ”เงินกู้” เรื่องของ”หนี้สิน” เป็นเรื่องที่”ประชาชน” ไม่ได้”รับรู้” และ”ไม่รู้สึกรู้สา” รวมทั้งเป็นเรื่องที่”อธิบาย” ยากมาก สำหรับประชาชนที่มี”องค์ความรู้” ไม่เท่ากัน…..ดังนั้น จึง เชื่อได้ว่า  นอกจากการ”ผลักดัน” ให้มีการแจกเงิน”เฟสสอง” ให้”เร็วที่สุดแล้ว “การเมือง”ของ”เพื่อไทย” จะต้องเป็น”นโยบาย” แบบการเมือง”บ้านใหญ่” เพื่อการ”ชิงความได้เปรียบ” กับ”พรรคการเมือง” อื่นๆ  และกับ”พรรคประชาชน” และ”การเมืองบ้านใหญ่” คือการเมืองที่ต้อง”ใช้เงิน” เป็น”ปัจจัย” ดังนั้น” เราๆ ท่านๆ” ก็ต้อง”ติดตาม” การ”บริหาร”ของ”รัฐบาล”ว่าจะ”หาเงิน”เพื่อใช้ในการ”ทำการเมืองบ้านใหญ่” มาจากไหน เป็นเรื่องที่ต้อง”เกาะติด” การ”บริหารประเทศ” ของ”รัฐบาล”

ยิ่งมีการ”พยากรณ์อาการ” ของ”รัฐบาล” ว่าอายุอาจจะสั้นกว่า”รัฐบาล” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ก็ต้อง”จับตา”พรรคการเมืองทุกพรรค เพราะหาก”เพื่อไทย” เกิด”สะดุดขาตนเอง” และ”หกคะเมนตีลังกา” ทุกพรรคการเมือง ต้อง”รับชะตากรรม”ด้วยกัน นั้นคือการ”ยุบสภา” เพื่อ”ล้างไพ่”และ”เลือกตั้ง”ใหม่ ซึ่งแน่นอนต้องสู้กับ”นโยบายบ้านใหญ่” ของ”เพื่อไทย” ที่ต้องใช้”ปัจจัย” ในการ”เกื้อหนุน” เพื่อการ”รักษาพื้นที่” การรักษาตัวเลขของ “สส.” ซึ่งทุกพรรคต่าง”หวัง” ที่จะได้ “สส.” เพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกพรรคจึงต้องมี”คลังกระสุนดินดำ” เพื่อการ”ยิงปูพรม” ในการ”เลือกตั้ง” ที่จะมาถึง ที่อาจจะ”เร็วสุด”คือ 6 เดือน นับแต่วันนี้ หรือ “หนึ่งปีครึ่ง” เป็นอย่างช้า

นับเป็นโศกนาฏกรรม” ครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2567  คือกรณี รถบัสนำนักเรียนเดินทางจาก จ.อุทัยธานี มายัง กรุงเทพฯ เกิดอุบัติเหตุ”ยางแตก” และ ชน”แท่งแบริเออร์” ทำให้เกิด”ประกายไฟ” และ”ลุกลาม”ไปยัง “ถังแก๊ส” ที่เป็น”เชื้อเพลิง”ของรถ  และ”ลุกลาม” อย่างรวดเร็ว  สาเหตุที่”ประตูปิดล็อก” ทำให้” นักเรียน” และ “ครู” ต้อง “หนีตาย” ไปยังประตู”ฉุกเฉิน” จึงไม่ทันไฟที่”ลุกลาม”อย่างรวดเร็ว ทำให้ นักเรียนเสียชีวิตถึง 25 ราย “เรื่อง”การช่วยเหลือ” เรื่องการ”เยียวยา” ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่น่าเป็นห่วง เพราะ มี”หน่วยงาน” ในการ”รองรับ” เข้าไปดูแล แต่เรื่องที่เป็นเหตุให้เกิด”โศกนาฏกรรม” ครั้งนี้มาจากสาเหตุอะไร เช่น”แก๊สรั่ว” ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ไม่มีการ”ตรวจสอบ” จนเป็นเหตุให้”แก๊ส”เป็น”เชื้อเพลิง” ที่ทำให้”ลุกลาม” อย่าง”รวดเร็ว” ส่วน”ประตูอัตโนมัติ” เมื่อ”เครื่องยนต์ดับ” เปิดไม่ได้ ก็เป็นอีกประเด็น ว่าจะมีการแก้ไข จะ”ป้องกัน” อย่างไร โดยเฉพาะกับ”รถยนต์” ที่ใช้”แก๊ส” เป็น”เชื้อเพลง” เชื่อเถอะ เราจะได้เห็นเรื่อง”วัวหาย แล้ว ล้อมคอก” อีกครั้ง

ก็เป็น สองเรื่องใหญ่ๆ หนักๆ ใน”รัฐบาล” แพทองธาร ชินวัตร” เรื่องแรกคือเรื่อง”อุทกภัย” หรือ”น้ำท่วม” และ”โคลนถล่ม”ใน” ภาคเหนือ” และ “ตะวันออกเฉียงเหนือ” ที่วันนี้ การ”ช่วยเหลือ” ผู้”ประสบภัย” ยังดำเนินการอยู่ ส่วนจะ”เยียวยา” ทั่วถึงหรือไม่  และจะมีการ”ทุจริต” ใน”งบประมาณ” หรือไม่ ต้องมีการ”ตรวจสอบ” เพราะ”นักการเมือง” ไม่เคย”หลาบจำ” กับเรื่องการ”ทุจริตคอร์รัปชั่น” โดยเฉพาะเรื่องของ”งบประมาณ” ในการ”ซื้อถุงยังชีพ” ทั้งที่มี”นักการเมืองท้องถิ่น” จำนวนมาก ที่วันนี้ไป”ตั้งวงการเมือง” ใน”เรือนจำ” เป็นจำนวนมาก แต่การ”ทุจริต” งบประมาณ” ก็ยังเกิดขึ้น นับไม่ถ้วน….. และที่ต้อง”เตือนกัน” คืออีก 1 เดือน ก็จะถึงฤดู”มรสุม” ของ”ภาคใต้” ซึ่งคงจะต้อง”หนักหนา” ไม่ต่างกับ”อุทกภัย” ใน”ภาคเหนือ” และ”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” หลายจังหวัด เท่าที่เห็น หลายพื้นที่ หลายจังหวัด หลายเทศบาล ยังไม่ได้มีการ”เตรียมรับมือ” ด้วยการ”กำจัดขยะ” ใน”คูน้ำ” ลำคลองหลายแห่งมีสภาพที่”ตื้นเขิน” ก็ยังไม่มีการ”ขุดลอก” เพื่อให้น้ำไหลได้สะดวก ลงในแม่น้ำ ก่อนที่จะไหลลงทะเล ที่เห็นมา “คูกลางถนน” ของถนนสายลพบุรีราเมศวร์” อำเภอหาดใหญ่- อำเภอเมือง ยังมีทั้ง หญ้า ทั้ง ต้นไม้ เต็มไปหมด”แขวงการทาง” ยังไม่”ตื่นตัว” ในการ”รับมือ” กับหน้า”มรสุม” ที่กำลังจะมา

วันนี้ “เมืองท่องเที่ยว” อย่าง”เกาะภูเก็ต” ที่ ฝนตกธรรมดา ก็มีเหตุ”น้ำท่วม” และ”ดินถล่ม” เช่นเดียวกับ”เมืองท่องเที่ยว” ที่เป็น”เกาะแก่ง” ก็ยังคงทำงานแก้ปัญหาแบบ”เช้าชามเย็นชาม” ไม่มีความ”กระตือรือล้น” ส่วนสองจังหวัดที่มีข่าวว่า มีการ”ประชุม” หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อ”รับมือ” กับ”น้ำท่วมดินถล่ม” คือ”จังหวัดพัทลุง” และ”จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่ง “จังหวัดพัทลุง” นั้น มี”น้ำตก” หลายแห่ง ในหลายอำเภอ ที่เป็น”ต้นเหตุ” ของ”น้ำถล่ม” หากรับน้ำไม่ได้ เช่นเดียวกับ”จังหวัดนครศรีธรรมราช” ที่น้ำจาก” เขาหลวง” คือสาเหตุของ”อุทกภัย” ส่วนจังหวัดตรัง ก็เป็นอีก “หนึ่งจังหวัด” ที่ “เสียหาย” จากการเกิดเหตุ”น้ำท่วม” ของทุกปี  ก็หวังว่า” ทรงกรด สว่างวงศ์ “ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และ”บุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง มีการประชุมหน่วยงาน เพื่อการ”รับมือ” กับ”น้ำท่วม” ในครั้งนี้ได้ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

อ่านข่าว พบว่า “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีกุล รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย มีการ”สั่งการ” อย่าง”เฉียบขาด” อย่าให้เกิดอาการ”เกียร์ว่าง” ของ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” เพราะทุกเรื่องที่เป็น”ความเดือดร้อน”ของ”ประชาชน” ทั้งเรื่อง”น้ำท่วม” เรื่อง”ภัยแล้ง” และอื่นๆ ที่เป็น”ความทุกข์” และความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน เป็นหน้าที่ของ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ทั้งสิ้น   ประเด็นที่น่า”เป็นห่วง” คือ จังหวัดที่ไม่มี”ผู้ว่าราชการจังหวัด” เพราะการ”เกษียณอายุ”  และยังไม่มีการแต่งตั้ง ผู้ว่าราชการคนใหม่ แม้ว่าจะมี”รองผู้ว่าราชการจังหวัด” รักษาการก็จริง แต่ก็ไม่เหมือนกับ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่เป็น “ตัวจริง” ซึ่ง”อนุทิน ชาญวีรกุล” หรือ”เสี่ยหนู” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” ต้องเร่งให้”ปลัดกระทรวงมหาดไทย” คนใหม่ ทำบัญชี”โยกย้าย” ทั้ง”ผู้ว่าราชการจังหวัด “ และ”นายอำเภอ” ให้”เสร็จสิ้น” โดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการ”บริหารราชการแผ่นดิน” และความ”สงบสุข” ของ”ประชาชน” สำหรับใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มีเพียง “จังหวัดสงขลา” ที่”สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดที่”เกษียณอายุราชการ” ส่วนที่เหลืออีก 4 จังหวัด ยังอยู่กับครบถ้วน แต่สิ่งที่ “ชาวสงขลา” ต้องการทราบคือ ใครจะมาทำหน้าที่” พ่อเมือง” เพราะมีข่าวว่า”พ่อเมือง” ของ”จังหวัดสงขลา”คนใหม่ จะเป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่มี อายุราชการเพียง 1 ปี ( อีกแล้ว ) ซึ่ง”ชาวสงขลา” ต่าง”ส่งเสียง”ไปยัง”  กรมการปกครอง” ให้แต่งตั้ง”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่ไม่ใช่มา”เกษียณอายุราชการ” เพราะ “สงขลา”เป็นเมืองใหญ่  เป็น”เมืองหลวง” ของ”ภาคใต้” ดังนั้น “ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จึงไม่ควรเป็น”ผู้ว่าฯหนึ่งปี” ที่มาเพื่อรอการ”พักผ่อน”

เรื่องของ”ไฟใต้” ที่”ล่าสุดคือการ”วางระเบิด”คาร์บอมบ์” ที่ หน้าบ้านพัก”นายอำเภอตากใบ “ จ.นราธิวาส แม้ว่า”นายอำเภอ” จะไม่ได้รับ”บาดเจ็บ” แต่”ประชาชน” ได้รับความ”สูญเสีย” มีผู้ได้รับ”บาดเจ็บ” เพราะอยู่ใกล้กับ”คาร์บอมบ์” และ บ้านเรือนหลายหลัง ที่เป็น”เหยื่อพระเพลิง” ที่เกิดจาก”คาร์บอมบ์” ลูกดังกล่าว….. ซึ่งมือก่อ”วินาศกรรม” ใช้”วิธี การ” มาเร็ว เคลมเร็ว” ด้วยการ”ปล้นรถเก๋ง” จาก”ชาวบ้าน ในพื้นที่ โดยมีการ”ประกอบระเบิด” เอาไว้ก่อน เมื่อ “ปล้นรถ” มาได้ ก็นำ”ระเบิดแสวงเครื่อง” ที่ประกอบไว้แล้ว ใส่ในรถที่ต้องการทำ”คาร์บอมบ์” ขับมาจอดในพื้นที่”เป้าหมาย” ก่อนที่จะ”จุดระเบิด” ส่วน”พลขับคาร์บอมบ์” ก็ใช้วิธีการเดิมๆ นั้นคือ”ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์” ที่มารอรับ และข้ามไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” ผ่านทาง”แม่น้ำสุไหงโก-ลก กลับไปนอนแบบ”สบายบรื่อสะดือบุ่ม”เพราะ มาเลเซีย ให้ที่พักพิง….. จากการตรวจสอบ”วัตถุพยาน” พบว่า”ถังแก๊ส” น้ำหนัก 14 กิโลกรัม เป็นของ”ประเทศมาเลเซีย” รวมทั้ง”วงจร” ที่ใช้ในการ”จุดระเบิด” ก็มาจาก”ประเทศมาเลเซีย” และ” กองกำลัง” ที่ทำหน้าที่”ก่อวานาศกรรม” ก็พบว่า”ข้ามมาจาก”เปิงกาลันกูโบร์” รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย และที่ปฏิเสธไม่ได้คือ”ฐานที่มั่น”ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” กระจายกันอยู่โดย”ฐานใหญ่” อยู่ที่”กลันตัน” ส่วน”หมู่บ้าน” ที่เป็นที่”หลบซ่อน” และเป็นที่”ฝึกการก่อวินาศกรรม” ฝึก”อาวุธ” ก็อยู่”ตรงกันข้าม” กับพื้นที่ของ”สุไหงโก-ลก และ “ฐานที่มั่น” ที่ รองลงมา และเป็น”สำนักตักศิลา” ในการ” บ่มเพาะ” ทาง”จิตวิญณาญ” อยู่ที่”รัฐตรังตานู” และ ยังมี”ฐานที่มั่น” ด้านชายแดนจังหวัดสงขลา ใน”รัฐเคดาห์” ซึ่งเป็นรัฐที่ติดกับ พื้นที่ อ.สะเดา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ดังนั้นถ้า”รัฐบาลไทย” ต้องการที่”ดับไฟใต้” ให้”สิ้นซาก” หนทางที่ดีที่สุด คือการ”เจรจา” กับ”นายกรัฐมนตรี”ของ”ประเทศมาเลเซีย” เพราะจาก”หลักฐาน” ต่างๆ ที่”ประจักษ์” ก็ตอบสังคมได้ชัดว่ามาจาก” ประเทศมาเลเซีย” และหลัง”ก่อเหตุ” ก็”หลบหนี” กลับไป”กลบดาน” ในที่มั่น ที่”ประเทศมาเลเซีย

พูดถึง”บริบท”ของ”ประเทศมาเลเซีย” ที่เป็น”เพื่อนบ้าน” ของ”ประเทศไทย”ที่เห็นได้ชัดว่ามีการกระทำที่”ย้อนแย้ง” และไม่ได้ให้ความ”ร่วมมือ” กับ”ประเทศไทย” ในการแก้ปัญหาที่เรียกว่า”อาชญากรรมข้ามชาติ” ยกตัวอย่าง 2 เรื่องให้เห็นกัน จะจะ 1. เรื่องของ”แรงงานเถื่อน” จาก”ประเทศเมียนมาร์” และอื่นๆ ที่”หลบหนีเข้าเมือง” และมา”หลบซ่อน” ในพื้นที่ จังหวัดชายแดน” อย่าง”นราธิวาส” และ”สงขลา” เพื่อข้ามไปยัง”มาเลเซีย” ด้าน อ.สะเดา จ.สงขลา และด้าน อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส เพื่อ”ข้ามไปขายแรง” ที่”ประเทศมาเลเซีย ปีละ”หลายหมื่นคน” ถ้า “เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” จับกุม”แรงงานเถื่อน” หรือ”ผู้หลบหนีเข้าเมือง” เหล่านี้ ในข้อหา”ลักลอบเข้าเมือง” ที่เป็นเรื่อง”ผิดกฎหมาย” เชื่อเถอะ” คนเถื่อน” เหล่านี้ก็จะไม่กล้าที่จะ”หลบหนี”ไปยัง”ประเทศมาเลเซีย”เพราะกลัวถูกจับกุม  และปัญหา”คนเถื่อน” ที่เดินทางมายัง”จังหวัดสงขลา” และ”นราธิวาส” ก็จะ”ยุติ”  ด้วยการร่วมมือจากมาเลเซีย แต่เพราะ มาเลเซีย ต้องการใช้ แรงงานเถื่อน ในภาคการเกษตร ประมง จึงเปิด”ไฟเขียว” ให้ “แรงงานเถื่อน” ลักลอบเข้าไปได้  2. เรื่องของ”ยาเสพติด” ที่”ทะลักทลาย” จาก” ประเทศเมียนมาร์” และมี”ปลายทาง” ใน” จ.สงขลา ,นราธิวาส” และ”สตูล” เพื่อใช้เป็น”พื้นที่พักยา” ก่อนที่จะ”ลำเลียง”ไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” ถ้า”มาเลเซีย” ทำการ”จับกุม” แบบที่”ปปส.ของไทย จับกุม ก็จะทำให้”ขบวนการค้ายาเสพติด” เลิกที่จะ”ลำเลียง” ยาเสพติด ข้ามไปยัง”มาเลเซีย” เพื่อส่งไปยัง”ประเทศยุโรป,สหรัฐอเมริกา “ และ ประเทศอื่นๆ แต่ที่ผ่านมา”เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” ไม่เคยมีการ”จับกุม” ยาเสพติด” ในพื้นที่ของ”มาเลเซีย” แม้แต่ครั้งเดียว เป็นเหตุให้”ขบวนการค้ายานรก” ใช้”เส้นทาง”ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อ”ส่งออก” ยาเสพติด ไปยัง”ต่างประเทศ” ด้วยการผ่าน”มาเลเซีย” เพราะ”ปลอดภัย” ที่สุด ด้วยไม่มีการ”จับกุม” แต่กลายเป็นว่า พื้นที่ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้”เป็นที่พักยา” และเป็นแหล่งในการ”ค้ายา” เป็นเหตุให้มี”คนติดยาเสพติด” เป็น จำนวนมาก ที่คือความไม่”จริงใจ” ของ”เพื่อนบ้าน” อย่างประเทศมาเลเซีย

และในขณะที่”สามจังหวัด” และ”สี่อำเภอ” ของ”จังหวัดสงขลา” ต่าง”จมปลัก” อยู่กับ”สถานการณ์” ของ”ความไม่สงบ” มาเลเซียก็”เดินหน้า” ในการ”พัฒนารัฐตอนเหนือ” ที่อยู่ติดกับ”ประเทศไทย” ให้มีความ”รุดหน้า” เช่นการสร้าง”คลังสินค้า” หรือ”แวร์เฮ้าส์” ในพื้นที่ 4,000  ตารางเมตร พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการ”ส่งออก” ด้วยระบบราง และมี”ท่าเรือ” ไว้”รองรับ” เพื่อเดินทางไปยัง”เมืองเซี่ยงไฮ้สาธารณรัฐประชาชนจีน” และมีการสร้างโรงานผลิต”ปีกเครื่องบินโบอิ้ง” ส่งให้กับ บริษัทโบอิ้ง ของ”สหรัฐอเมริกา” และยังเป็นที่ตั้งของ”มหาวิทยาลัย” ที่เป็น”อันดับ 5 ของประเทศ ทั้งหมด ตั้งอยู่”ประชิดติดชายแดนไทย” ที่”รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย” ที่” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ศอ.บต.” ทำสัญญาว่าเป็นเมือง”คู่แฝด” ของ จังหวัดสงขลา ซึ่งไม่มี”อุตสาหกรรม” ใหม่ๆ และ ใหญ่ๆ เกิดขึ้น อย่างที่เกิดขึ้นใน”รัฐเคดาห์” ประเทศมาเลเซียแต่อย่างใด และแม้แต่”เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งผ่านมาแล้ว กว่า 15 ปี ยังมี”โรงงานอุตสาหกรรม” ที่สนใจจะไป”ลงทุน” เพียงรายเดียว อนาถ นะ

เรื่องของ”ไฟใต้” ยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะก่อนหน้าที่มีการ”วางระเบิดคาร์บอมบ์” ที่หน้าบ้านพักนายอำเภอตากใบ จ.นราธิวาส “กลุ่มก่อวินาศกรรม” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ได้ทำการ”วางระเบิดแสวงเครื่อง” โดยมี”เป้าหมาย” ที่รถบัสของ”ตำรวจตระเวนชายแดน” กองกำกับที่ 41 จังหวัดชุมพร ซึ่งมีหน้าที่”ถวายการอารักขา” หลังจบสิ้นภารกิจ ถวายการอารักขา” ที่ จ.นราธิวาส ขณะเดินทางกลับ”ที่ตั้ง” เมื่อถึง ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี” จ.ปัตตานี  ก็ถูก”ระเบิดแสวงเครื่อง” ที่”คนร้าย” นำมา”ซุกซ่อน”ไว้ใน”กล่องที่ใส่มาตรวัดน้ำ ที่ติดตั้งอยู่ กลางสะพาน เมื่อ “รถบัส”ของ”ตชด. “ วิ่งเข้าสู่จุด”สังหาร” ก็มีการ”จุดระเบิดแสวงเครื่อง” โดย”โฟกัส” ไปยัง”พลขับ” เพื่อให้”สะเก็ดระเบิด” ทำร้าย”พลขับ” โดยหวังผลให้ “พลขับ”  บาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต ไม่สามารถ”ควบคุมรถ”ได้ และรถบัสก็จะตกลงไปใน”แม่น้ำสายบุรี” เป็นการหวัง”ฆ่าหมู่” ตำรวจตระเวนชายแดน” ที่นั่งมากับรถบัสคันดังกล่าว แต่ “โชคดี” ที่” พลขับ” แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็สามารถ”ควบคุมรถ” ไว้ได้ โดยมี”ผู้บาดเจ็บ” เพียง 4 ราย ทั้งหมดเป็นการ”บ่งชี้” ถึงการ”พัฒนาการ” ในการ”ก่อการร้าย” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องทำการ”ถอดบทเรียน” เพื่อการ”เอาชนะ” มือก่อ”วินาศกรรม” และ”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น…..ในขณะที่”นักการเมือง” ( บางคน ) ที่อยากเห็น”การแบ่งแยกดินแดน” ก็”เดินสาย” เพื่อการ”จัดกิจกรรม”ทางการเมือง ซึ่งล่าสุดมีการทำ”เสื้อยืด” ที่มีการ”สกรีน” คำว่า”รัฐปัตตานี” จำหน่ายในพื้นที่ และขณะเดียวกับ” เอ็นจีโอ” (บางคน ) ก็ทำการ”ถือป้าย” สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน และ”แชร์” ใน”โซเชียลมีเดีย” ก็ต้องถามฝ่าย”กฎหมาย” ของ”หน่วยงานความมั่นคง”ว่า “การกระทำของ”นักการเมือง” และ”เอ็นจีโอ” เข้าข่าย”ผิดกฎหมาย” ในเรื่อง”ความมั่นคง” หรือไม่ และถ้าเป็น จะดำเนินการอย่างไร หรือ เฉยๆ ทำเป็น”ไม่รู้ไม่ชี้” เพราะไม่ต้องการมี”ปัญหา”กับ”มวลชน” ที่เป็นผู้”สนับสนุน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ที่มีเป้าหมายในการ”แบ่งแยกดินแดน”

เห็นด้วยนะ ที่ หน่วยงานความมั่นคงมีความเห็นในการ ประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรการก่อการร้าย” เพราะการ”ปฏิบัติการ” ทางทหารของ”บีอาร์เอ็น” และการ”ขับเคลื่อน”งาน”มวลชน”หรือ”งานการเมือง” ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ไม่ใช่การ”ก่อความไม่สงบ” แต่เป็นการ”ก่อการร้าย”  การที่จะประกาศให้” บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรการก่อการร้าย” ต้องกล้าในการ”ตัดสินใจ” อย่าง”กังวล” กับเสียง”คัดค้าน” ที่ไม่เห็นด้วย” จาก”นักวิชาการโลกสวย” และจาก” นักวิชาการ” ที่”สนับสนุน” ขบวนการการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ว่าการ”ประกาศ” ว่า”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” จะเป็นการ”ยกระดับ” เพราะ โดยข้อ”เท็จจริง” บีอาร์เอ็น มีการยกระดับไปเป็น”องค์กรก่อการร้าย” โดยที่ไม่มีการ”ประกาศ” ไปแล้ว เช่นมีการ”เคลื่อนไหว” ใน”สหประชาชาติ” และใน”องค์กร”ระดับโลก” อีกหลายองค์กร…..ข้อดีของการ”ประกาศ” ให้”บีอาร์เอ็น” เป็น” องค์กรก่อการร้าย” จะทำให้”ประเทศ” และ”องค์กร” ที่ให้การ”สนับสนุนบีอาร์เอ็น” มีความผิดในข้อหาให้การ”สนับสนุนองค์กรก่อการร้าย” ต้องสร้างความ”กระอักกระอ่วน” ให้กับ”ประเทศมาเลเซีย” ที่ให้ที่”พักพิง” กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” รวมทั้ง”ภาคประชาสังคม” และ”ภาคประชาชน” ในพื้นที่ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” รวมทั้ง”เอ็นจีโอสากล” อย่าง”เจนีวาคอลล์” และ”องค์กรกาชาดระหว่างประเทศ “ อย่าง”ไอซีอาร์ซี” และ “องค์กร”ของ”ประเทศมหาอำนาจ” ที่มาทำ”กิจกรรม”ในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต้อง”ระมัดระวัง” ในการ”สนับสนุน” มวลชน  ของ”บีอาร์เอ็น”  รวมทั้ง”ขบวนการนักศึกษา”และ”นักสิทธิมนุษย์ชน” ที่”เคียงข้าง” กับ”มวลชน” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็จะต้อง”หยุดชะงัก” หาก “บีอาร์เอ็น” ถูก”ประกาศ” ให้เป็น”องค์กรก่อการร้าย” ส่วนที่มีการ”หวาดวิตก” ว่าการประกาศให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” จะทำให้เป็นการ”ผลัก”ให้”บีอาร์เอ็น”ไปเป็นพวกเดียวกับ”กลุ่มก่อการร้ายสากล” ใน”ประเทศตะวันออกกลาง” เป็นเรื่องที่” เหลวไหล” และเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าจะเป็น” กลุ่มแบ่งแยกดินแดน” ใน “จังหวัดอาเจะ ประเทศอินโดนีเซีย” และ” องค์กรก่อการร้ายในประเทศฟิลิปปินส์” ต้องมีการ”ร่วมมือ” กับ”องค์กรก่อการร้าย” ใน”ประเทศตะวันออกกลาง” ไปก่อนหน้านี้แล้ว

วันนี้”บีอาร์เอ็น” มีอาการ”หวั่นไหว” กับการที่”ฝ่ายความมั่นคง” จะมีการ”ประกาศ” ให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” เพราะ ณ วันนี้”บีอาร์เอ็น” ยังไม่พร้อมที่จะเป็น”องค์กรก่อการร้าย” บีอาร์เอ็น ยังต้องการเป็น”องค์กรลับ” เพื่อที่จะได้อาศัยอยู่ใน”มาเลเซีย” เพื่อใช้”มาเลเซีย” เป็น”ฐานที่มั่น”หรือเป็น”หลังพิง” เพื่อให้การ”ก่อการร้าย” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มี”ประสิทธิภาพ” หาก”รัฐบาล” และ”หน่วยงานความมั่นคง” มีความ”เห็นฟ้อง” ประกาศให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” การที่”บีอาร์เอ็น” จะใช้”มาเลเซีย”เป็น”ฐานที่มั่น” ต้องไม่”ราบรื่น” และต้อง”มุดลงใต้ดิน” ซึ่งสร้างความ”อ่อนแอ” ให้กับ”บีอาร์เอ็น” เป็นอย่างมาก ดังนั้น “ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” จึงพยายามที่จะ”สร้างกระแส” ว่าคนในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ไม่เห็นด้วยกับการ”ประกาศ” ให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” ก็ต้องถามว่า ประชาชน ที่ไม่เห็นด้วยมีกี่คน  ที่สำคัญ 20 ปีที่ผ่านมา “กองทัพ” คงจะ”ตกผลึก” แล้วว่า” นโยบาย” และ”ยุทธวิธี” ที่ ใช้ในการ”ดับไฟใต้” ไม่สามารถ”เอาชนะ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”การทหาร” หรือเรื่อง”การเมือง”……ปิดท้าย เดือน ตุลาคม นี้ จะมี”เหตุรุนแรง” ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” และมีความ”เคลื่อนไหว” จาก” มวลชน” ที่เป็น”ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น” และกลุ่ม”ภาคประชาชน”  และ”มูลนิธิ” และ”เอ็นจีโอ”  ในการจัด”กิจกรรม” เพื่อ”กดดัน” ให้” จำเลย” ทั้ง 7 ราย ที่”ศาลจังหวัดนราธิวาส” ออก”หมายจับ” ใน”คดีการชุมชุมที่ สภ.ตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ปี 2547  หรือ” 20 ปี ที่แล้ว  และเป็น”ภาระหน้าที่”ของ” แม่ทัพภาคที่ 4  และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 คนใหม่ คือ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” ในการ”วางแผน” เพื่อ”รับมือ” ทั้งกับความเคลื่อนไหวของ”มวลชน” และ”ระเบิด” ทั้งแบบ”แสวงเครื่อง”และ”คาร์บอมบ์” ที่ วันนี้”บีอาร์เอ็น” ใช้วิธีการ”มาเร็ว เคลมเร็ว” ก็ต้องให้ “โอกาส” และให้”กำลังใจ” กับ”แม่ทัพภาคที่ 4” คนใหม่ ในการ”นำทัพ” เพื่อ”รับมือ” กับ”บีอาร์เอ็น” ในเดือน”ตุลาคม” ส่วน”จำเลย” ทั้ง 7 คน ที่ ศาลนราธิวาส”ออกหมายจับ” และ “เจ้าหน้าที่”อีก 8 คน ที่ถูก”อัยการสั่งฟ้อง” ถ้า “ตำรวจ” หาตัวไม่พบ และ”จับกุม”มาส่ง”ศาลจังหวัดนราธิวาส”ไม่ได้” คดีเป็นอันพับ” เพราะ”หมดอายุความ” …..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง..ระวังก้าวพลาดแก้รัฐธรรมนูญหมวดจริยธรรมสุดซอย

การเมืองไทย เป็นการเมืองที่”แปลกประหลาด” โดยเฉพาะกับ”รัฐบาล”ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” ที่มีแต่เรื่อง”ร้อนแรง” เกิดขึ้นให้เป็น”ข่าว” เป็นระยะๆ เช่นเรื่องการแก้ไขปัญหา”วิกฤต”ที่เกิดจาก”อุทกภัย” ยังไม่ทันจบ เรื่องการ”แจกเงิน” ให้”ประชาชน” คนละ 10,000 บาท ก็ยัง”ชุลมุนชุลเก” เรื่องของ”นักโทษเทวดา” ชั้น 14 ก็ยัง”ฝุ่นตลบ” ทุกเรื่องคือปัญหาที่”บั่นทอน” การ”ขับเคลื่อน” การบริหารประเทศชาติ และทำให้”รัฐบาล” ไม่มี”เสถียรภาพ” แต่”รัฐบาล” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” กลัวว่าจะยัง”ยุ่งเหยิง” ไม่พอ หรือกลัวว่าจะไม่แสดง”ฝีมือ” ในการ”แก้ปัญหา”ของประเทศชาติ เป็นการโชว์”วิสัยทัศน์” จึงได้”หยิบยก” เอาเรื่องการ”แก้ปัญหารัฐธรรมนูญ” มา”เขย่า” เพื่อเป็นการ”เรียกแขก” ให้เดินหน้า”รุมถล่ม” รัฐบาล และ”พรรคการเมือง” ซึ่ง หลายพรรคทั้งที่เป็น”พรรคร่วมรัฐบาล” และ”ฝ่ายค้าน” ต่าง”เห็นพ้องต้องกัน” ที่จะแก้”รัฐบาลรายมาตรา” ซึ่งมีการ”วางน้ำหนัก” ในการแก้”รัฐธรรมนูญ” เพื่อ “ลดอำนาจ”ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ” และ”องค์กรอิสระ” โดยมีการ”เน้น”ไปยังเรื่อง”จริยธรรม” และเรื่อง”ทุจริต” ที่”นักการเมือง” เห็นว่าเป็น”อุปสรรค” ของ”นักการเมือง” …… ซึ่งเรื่องของ”จริยธรรม” ที่สร้างความ”เจ็บปวด” ให้กับ”นักการเมือง” ส่วนใหญ่ คงมาจากประเด็นของ”เศรษฐา ทวีสิน” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ที่”ตกเก้าอี้” จากตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” เพราะถูก”ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำการ”ชี้เปรี้ยง” ว่าทำผิด”จริธรรม” ที่ตั้งบุคคลที่ไม่มี”คุณสมบัติ” เป็น”รัฐมนตรี” รวมทั้งการตั้ง”รัฐบาล” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” มี ปัญหา อุปสรรค เป็นอย่างมาก ในเรื่องของ”กฎหมายจริยธรรม” ดังนั้นการแก้”รัฐธรรมนูญ” ที่มีการเสนอแก้เป็น”รายมาตรา” จึง “เน้น” ไปที่ให้มีการ”วางกรอบ” คำว่า”จริยธรรม” ให้”ชัดเจน” ว่า”กว้างไกล” แค่ไหน รวมทั้งการ”ทุจริต”ของ” นักการเมือง” ที่ต้องการให้มีการ “กำหนดเวลา” การ”สืบสวน ส่งฟ้องภายในกำหนดกี่ปี จึงจะ”หมดอายุความ”

นั่นเป็นความเห็น เป็นความต้องการของ”นักการเมือง” แต่ในความเห็นของ”ประชาชน” อาจจะไม่เห็นไปอย่าง”ความคิดเห็นของนักการเมือง” เพราะ”พฤติกรรม” ของ”นักการเมือง” และของ”พรรคการเมือง” ที่ผ่านมามีแต่”ข่าวคาว” ที่”เสื่อมเสีย” และผิด”จริยธรรม” นำความ”เสื่อมเสีย” ให้กับ”การเมือง” ถ้า”กฎหมายจริยธรรม” จะเป็น”เครื่องมือ” ของการทำ”ความสะอาด” ประเทศได้ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี สำหรับประชาชน ดังนั้นการที่”พรรคการเมือง” และ”นักการเมือง” จะ”รวมหัว”กันเพื่อแก้”รัฐธรรมนูญ” เพื่อ”ประโยชน์ส่วนตน” จึงอาจจะ”ไม่ง่าย” และ อาจจะเป็น”หนทาง” ที่นำประเทษชาติไปสู่ความ”ขัดแย้ง” ครั้งใหม่ “เพื่อไทย” ต้องไม่ลืมเรื่อง”นิรโทษกรรมสุดซอย” ที่เกิดขึ้นในสมัยที่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” และไม่ควรให้”ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”” ในห้วงเวลาที่ “หลานอา” อย่าง”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี  หรือ พรรคเพื่อไทย จะเอาแบบนั้น ก็ไม่ว่ากัน

เรื่องความ”ระหองระแหง” ระหว่าง”นัการเมือง”ใน”พรรคเพื่อไทย” กับ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” หรือ” แบ็งก์ชาติ” จาก”รัฐบาล” ชุด” เศรษฐา 1 “ จนมาถึง “อิ๋งค์ 1 “ ในเรื่องของ”ดอกเบี้ย” ก็ยังไม่จบ เพราะล่าสุด “พิชัย นริพทะพันธ์”  เสนาบดี กระทรวงพาณิชย์ ก็ ออกมา”วิพากษ์วิจารณ์” ถึง นโยบายของ” แบ็งก์ชาติ” ชนิดที่ถามถึง”การศึกษา”ของ”ผู้ว่าแบ็งก์ชาติ” ว่า จบมาจากไหน สงสัยว่า”เสนาบดีกระทรวงค้าขาย” จะเล่นผิด”บทบาท” หรือไม่ เพราะ วันนี้เรื่องของ”กระทรวงค้าขาย” ต้อง”คิดอ่าน” ว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้”นายทุน” ขึ้นราคาสินค้า ที่เป็นการสร้างความ”เดือดร้อน” ให้กับ”ประชาชน” “เสนาบดีกระทรวงค้าขาย” รู้หรือไม่ว่า ขณะนี้”พ่อค้า” มีการ”แอบขึ้นราคาสินค้า”โดยไม่มีการขอ”อนุญาต” จาก” กระทรวงพาณิชย์” ไปแล้ว จำนวนเท่าไหร่ วันนี้แม้แต่”ชาเย็น” และ”เครื่องดื่ม” ต่าง ก็ขึ้นราคาไปแล้ว แก้วละ ถุง ละ 5 บาท ชาวบ้านถามถึง”บทบาท” ของ”พาณิชย์จังหวัด” ว่ามี”หน้าที่” อะไร เพราะไม่เห็นการออกมา”ปฏิบัติหน้าที่” ตรวจสอบ หรือ”เอาผิด” กับ กลุ่ม”พ่อค้า แม่ค้า” ที่ ฉวยโอกาส” ในการ”ขูดรีด” ประชาชนชนแต่อย่างใด…..ส่วนเรื่องของ”แบ็งก์ชาติ” เป็นเรื่องที่ต้องมีการ” พูดคุย”กัน ด้วย”หลักการ” รัฐบาลอาจจะ”เห็นต่าง” จาก”นโยบายด้าน”การเงิน”ของ”แบ็งก์ชาติ” ก็เป็นเรื่องที่”ไม่ผิด” และ”แบ็งก์ชาติ” มีความ”เห็นต่าง” จาก”รัฐบาล” ก็ไม่ผิด แต่ทั้งสองฝ่ายต้องหาจุด”ลงตัว” ในการแก้ปัญหาด้าน”เศรษฐกิจ” ที่ต้องตั้งอยู่บน”หลักการ” และ”ข้อเท็จจริง” การ”วิวาทะ” ระหว่าง” ผู้ว่าการแบ็งก์ชาติ” กับ”นักการเมือง” ใน”ฟากรัฐบาล” ไม่ควรจะเกิดขึ้นแบบ”ฉาวโฉ่” ที่มีการส่งผลกระทบต่อความ”เชื่อมั่น” ของประเทศจาก”นักลงทุน” ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ อายเขา นะไม่น่าเป็นห่วง แต่การพาประเทศ”ล่มจม” นี่ซิที่น่าเป็นห่วง

เห็น” แพทองธาร ชินวัตร” เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ”ปราบปรามยาเสพติด” และยกให้การ”ปราบปรามยาเสพติด” เป็น”วาระแห่งชาติ” ก็ “ดีใจนะ” ที่”นายกรัฐมนตรี” รู้ว่าปัญหาของ”ประเทศชาติ” อยู่ที่ไหน ก็ต้องติดตามว่า หลังจากมีการประชุมมอบ”นโยบาย” แล้วการ”ขับเคลื่อน” จะได้ผลมากน้อยมากแค่ไหน  “เกาถูกที่คัน” หรือไม่ เพราะเรื่อง”ยาเสพติด” ไม่ใช่เรื่องใหม่ของ”ประเทศไทย” และของ”สังคมไทย” แต่เป็นเรื่อง”เรื้อรัง” และสร้างความ”เสื่อมทรุด” ให้กับ”สังคมไทย” ไม่มียุคสมัยไหนที่”สังคมไทย” ซึ่งเป็น”เมืองพุทธ”จะมีข่าว”ปิตุฆาต-มาตุฆาต” ให้เห็นกันทุกวัน…..เรื่องของการ”ต่อสู้”เพื่อการ”เอาชนะยาเสพติด” ลำพังใช้” ปปช., ตำรวจ,กอ.รมน.” ยังไม่ใช่”เส้นทาง” สู่ความ”สำเร็จ”การเอาชนะ”ยาเสพติด” ต้องใช้”กระทรวงมหาดไทย” โดยเฉพาะ”กรมการปกครอง”ซึ่งมี”นักปกครอง” อย่าง”ผู้ว่าราชการจังหวัด ,นายอำเภอ” เป็นผู้มี”บทบาท” มี”หน้าที่” มี”อำนาจ”  มี”กองกำลังอาสารักษาดินแดน”มี”กำนัน,ผู้ใหญ่บ้าน”เป็น”มือ เป็น ไม้” รับผิดชอบ “หมู่บ้าน,ตำบล” เรื่องการ”เอาชนะยาเสพติด” ต้องเริ่มที่”หมู่บ้าน”,ตำบล” ผกก.กับ นายอำเภอ คือ”คีย์แมน” ในการสร้างความ”สำเร็จ” ในการ”จัดการ”กับ”ผู้ค้า” และ”ผู้เสพ” การ”เอาชนะยาเสพติด” สุดท้ายคือ”ชัยชนะต้องมาจากหมู่บ้าน”

สำหรับประเทศไทย ทุกอย่างต่างกลายเป็น”ปัญหา” แม้แต่การ”ขึ้นค่าแรง” ให้กับ”ผู้ใช้แรงงาน” วันละ 400 บาท ที่เป็น “นโยบาย” ของ” กระทรวงแรงงาน” ซึ่งเป็นเรื่องที่”น่ายินดี” กับ”ผู้ที่ใช้”แรงงาน” ของประเทศไทย แต่สุดท้าย การประชุม”ไตรภาคี” ก็มีปัญหา เพราะมีการ”เบี้ยว”การประชุม ทำให้ประชุมไม่ได้ต้องมีการ “เลื่อน” ออกไปเป็นคุณภาพชีวิต” ของ”ผู้ใช้แรงงาน” จะ อยู่กันอย่างไร อย่าลืมว่า วันนี้มี”แรงงาน” และ”พนักงาน” ที่อยู่ใน “บริษัท ห้างร้าน” ที่ยังได้”ค่าแรง”ไม่ถึง 400 บาท ที่ยังรอความ”ช่วยเหลือ” จาก”รัฐบาล” ….. ส่วนแรงงาน”ฝีมือ” และ”แรงงาน”ที่มีการ”เหมาจ่าย” ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะแรงงานเหล่านี้”ค่าแรง” ไม่ใช่”ขั้นต่ำ” แต่”ถัวเฉลี่ย” ค่าแรงของงานเหล่านี้อยู่ 500-700 บาท ส่วนแรงงาน”เหมาจ่าย” ก็ไม่ต้อง”กังวล” เพราะคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่”แรงงาน” รายวัน ปัญหาของ”แรงงาน” วันละ 400 บาท ถ้ามีการ”ห่วงหน้าพะวงหลัง” เช่น ห่วง”เอสเอ็มอี”ว่าจะได้รับ”ผลกระทบ” จนต้องมีการ”ปิดกิจการ” ห่วงว่าการขึ้น”ค่าแรง” ผู้ที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่”แรงงานไทย” แต่เป็น”แรงงาน”จากประเทศต่างๆ เช่น”เมียนมาร์,กัมพูชา,สปป.ลาว  การ”ขึ้นค่าแรง” ก็ไม่ต้องทำ แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่ง “แรงงานต่างด้าว” ทั้งหมดเขาทำงานให้กับ”นายจ้างไทย” และเขาก็ต้องมี”คุณภาพชีวิต” ที่ดี รวมทั้งเงินที่ได้จาก”ค่าแรง” ก็นำมา กิน มาใช้ ในประเทศเหมือนกัน เรื่อง”ค่าแรง” จึงต้องดูในทุก”มิติ” จะดูเพียง ด้านหนึ่งด้านใด ไม่ได้

เรื่องที่”ควรกังวล” สำหรับ”แรงงานต่างชาติ” ไม่ใช่เรื่อง”ค่าแรง” แต่เป็นเรื่องการ”แย่งอาชีพ” ของ”คนไทย” เพราะ วันนี้”คนต่างชาติ” อย่าง”เมียนมาร์” ส่วนหนึ่งเป็น”นายทุน” ที่เข้ามาทำ”ธุรกิจ” เพื่อ”แข่งขัน”กับ”คนไทย” ยกตัวอย่างที่ จ.สงขลา อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นเมือง”ธุรกิจท่องเที่ยว” วันนี้มี”กลุ่มทุน” จาก” เมียนมาร์” เปิด”บริษัททัวร์” เป็นเจ้าของ”ร้านนวดแผนโบราณ” ร้าน”นวดแผนโบราณ” จำนวน 150 แห่ง ใน อ.หาดใหญ่ เป็นของ “เมียนมาร์” กับ”มาเลเซีย” หมอนวด ก็เป็น”เมียนมาร์” ที่”ค่าแรงถูก”กว่า”หมอนวดไทย” มีการ”ลดราคา” ให้กับ”ลูกค้า” จน จนธุรกิจของ”คนไทย” ต้องเลิกกิจการ” หมอนวดตกงาน”  ต้องเดินทางไปทำมาหากินที่”ประเทศมาเลเซีย” และถูก” โกงค่าแรง” และถูก”จับกุม” เพราะไม่มี”อนุญาต”การไป”ทำงาน” แม้แต่งาน”รับเหมาก่อสร้าง” ก็ถูก”กลุ่มทุน”ที่มาจาก” เมียนมาร์” ทำหน้าที่”ซับงาน” จาก” ผู้”รับเหมาชาวไทย” ไป ดำเนินการกลายเป็น”ผู้รับเหมา” รายย่อย  ที่”ผู้รับเหมาคนไทยชอบ” เพราะ”ราคาถูก” ไม่ทิ้งงาน  สรุปสั้นๆ วันนี้ ชาวเมียนมาร์ เข้ามา”ยึดครอง” ในส่วนของ”ตลาดแรงงาน” แล้วกว่า”ครึ่งประเทศ” เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นเรื่อง”สำคัญ” ที่”รัฐบาล” ต้องมองว่าเป็น”เรื่องใหญ่” และต้องเร่งแก้ปัญหา เพราะเป็นเรื่อง”ความมั่นคง” ของ”ประชาชน” และ”ประเทศชาติ”

พูดถึง” หาดใหญ่” ที่เป็น”หัวเมือง”ของภาคใต้  หลังจากพ้น”วิกฤตโควิด 19” มาได้ แม้ว่าจะมองว่า”การท่องเที่ยว” ของ”หาดใหญ่” ฟื้นแล้ว แต่ก็ยังไม่”สมบูรณ์” เต็มร้อย เพราะยังมีปัญหาที่”รอให้แก้” เช่น”เที่ยวบินไม่พอ” กับจำนวน”ผู้โดยสาร” และ”ตั๋วแพง” แบบ”ขูดเลือดเชือดเนื้อ” ของ”ผู้โดยสาร” มีคำถามจากคน”สงขลา” และ”ใกล้เคียง”ว่า เมื่อไหร่ “สนามบินนานาชาติหาดใหญ่” จะมีการเพิ่ม”เที่ยวบิน” ให้”เพียงพอ”กับ”ผู้โดยสาร” และเมื่อไหร่จึงจะมีความ”เป็นธรรม” ในเรื่องของ”ตั๋วโดยสาร” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่”รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา” ต้องดำเนินการแก้ไข…..อีกเรื่อง ที่”หาดใหญ่” เมื่อ”นักท่องเที่ยว” เริ่มเดินทางมา”เที่ยวหาดใหญ่” มากขึ้น แต่”ห้องพัก” ไม่พอ เพราะ โรงแรมที่ “ปิดตัว” ในห้วงที่ได้รับ”ผลกระทบ” จาก”โควิด 19” ยังไม่มีการ” เปิดให้บริการ” เพราะยังไม่ได้”ปรับปรุงซ่อมแซม” ถึง 23 โรงแรม “หาดใหญ่” วันนี้จึงเป็น”เมืองใหญ่” ที่มี”โรงแรมร้าง” กลางใจเมือง เป็น”จำนวนมาก”……แต่ อย่างไรก็ตาม ก็”ดีใจ” แทน” พ่อค้า แม่ค้า “ ใน อำเภอหาดใหญ่ ที่ได้รับ”อานิสงค์” จากการที่” นักท่องเที่ยว”ชาว”มาเลเซีย” เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก สัปดาห์ที่ผ่านมา เพียง 3 วัน ที่เป็น”วันหยุด” มีนักท่องเที่ยวจาก” มาเลเซีย” เดินทางผ่าน”ด่านศุลกากรสะเดา ,ดานศุลกากรปาดังเบซาร์ , ด่านศุลกากรประกอบ “จำนวน “110,000 “ กว่าคน และ แม้ว่า ณ วันนี้ “ชาวมาเลเซีย” ที่เข้ามา”ท่องเที่ยว” ส่วนใหญ่จะไม่มีเงิน”จับจ่ายใช้สอย” เหมือนในอดีต เพราะ”มาเลเซีย” ก็ประสบปัญหา”เศรษฐกิจ” ไม่แตกต่างจากประเทศไทย แต่การที่”เงินในกระเป๋า”น้อยลงของ”นักท่องเที่ยวมาเลเซีย” กลับส่งผลดีกับ” พ่อค้า แม่ค้า ร้านขายอาหาร ที่ไม่ใช่”ภัตตาคาร” และ ร้านค้า ต่างๆ ที่”ขายของไม่แพง”  รวมทั้ง”แผงลอย,รถเข็น” เพราะ ร้านค้าเหล่านี้ เหมาะสมกับ”เงินในกระเป๋า” ที่น้อยลงของ”นักท่องเที่ยว”

แต่ สิ่งที่ยัง”แก้ไม่ได้” หรือ”ไม่ต้องการ” ที่จะแก้ไข ก็ไม่รู้ นั่นคือเรื่องความ”ล่าช้า” ในการ เดินทาง”เข้าประเทศ” ของ”นักท่องเที่ยว” ที่ผ่านด่าน”ศุลกากรสะเดา” ที่ยังมีการ”เข้าแถวยาวเหยียด” เพื่อการ”ตรวจลงตราหนังสือเดินทาง”ของ”เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง” และ”เจ้าหน้าที่ศุลกากร” ที่ยังมี”เจ้าหน้าที่” น้อยกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว และยังไม่มี”ระบบวันสต็อปเซอร์วิส”ที่จะ อำนวยความสะดวกให้กับ นักท่องเที่ยว และ นักเดินทาง ที่สำคัญ “ด่านศุลกากรใหม่” ที่ใช้”งบประมาณ”ในการ”ก่อสร้างหลายพันล้าน” และ”ทิ้งร้าง” มาแล้วหลายปี ยัง”เปิดใช้ไม่ได้” เพราะไม่มี”ถนนเชื่อมต่อ” กับ” ด่านตรวจคนเข้าเมือง” ของ”ประเทศมาเลเซีย”  เรื่องนี้” เศรษฐา ทวีสิน” อดีต”นายกรัฐมนตรี” เคย”หารือ” กับ”นายกรัฐมนตรี” ประเทศมาเลเซีย มาแล้วตั้งแต่เดือนแรกที่รับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า ก็ต้องรอดู”ความสามารถ”ของ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีว่าจะ”จัดการ”กับปัญหาที่” คาราคาซัง” นี้อย่างไร หรือจะให้เป็น”อนุสรณ์สถาน” ให้กลายเป็น”ด่านตาบอด” เพื่อ”ประจาน” ความ”มักง่าย” ของ”กรมศุลกากร” ที่คิดแต่จะสร้าง แต่ไม่ได้คิดถึงการ”ใช้งาน” ซึ่งก็ไม่ต่างจาก” อความเรี่ยมหอยสังข์สงขลา” ที่ถูกปล่อย”ทิ้งร้าง” เป็นเวลา 15 ปี โดย”เปิดใช้งานไม่ได้” และ”ยืนโด่เด่” ประจานการ”ทุจริตตอร์รัปชั่น” ให้ผู้คนที่ สัญจร ผ่าน “สะพานติณสูลานนท์” ได้เห็นอยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน และ นี่คือประเทศไทยที่การ”บริหารประเทศ” และการ”ควบคุมกระทรวง ทบวงกรม ต่างๆ เป็นไปอย่าง”สุกเอาเผากิน” โดยคิดแต่เรื่องของ”เงินทอน” เป็น สำคัญ

เป็น”ข่าวดี” หรือเป็น”ข่าวเท็จ” ก็ไม่รู้ได้ แต่”ข่าวว่า” จังหวัดสงขลา ร่วมกับ”สำนักงานงาน ปปช.สงขลา และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการ”ประชุม” วางแผนในการแก้ปัญหา”โพงพาง” ที่“รุกร่องน้ำ” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ใน”ร่องการเดินเรือ” ความยาว 5 กิโลเมตร ซึ่งมี”โพงพาง” ที่”รุกล้ำร่องน้ำ” 150 กว่าปาก โดยจะ ดำเนินการ”รื้อถอน” ภายใน 6 เดือน แต่ ก็ไม่มั่นใจว่าจะ”จัดการ “ ตามแผนที่มีการประชุมกัน เพราะ สุดท้าย เมื่อ”สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัด เกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 กันยายน นี้ ต้องดูว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา”คนใหม่” คือใคร และมี”นโยบาย” อย่างไรกับเรื่องของ”โพงพาง” ที่เป็นปัญหา”เผือกร้อน” จนทำให้”โพงพาง” ที่ทำผิด”กฎหมาย”ข้อ ข้อแรก “โพงพาง” เป็นเครื่องทำการประมงที่”ผิดกฎหมาย” และข้อ 2 “โพงพาง” ทั้งหมด ในระยะทาง 5 กิโลเมตร “รุกล้ำร่องน้ำการเดินเรือ” ที่ผิด”กฎหมาย” ของ”กรมเจ้าท่า” แต่เพราะความ”หน่อมแน้ม”ของ”ผู้รักษากฎหมาย” จึงทำให้”โพงพาง” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ยืน”เย้ยฟ้าท้ากฎหมาย” ประจาน ผู้ถือ”กฎหมาย” อย่างที่เห็น

เรื่องของ”ไฟใต้” ที่ยังคง”โชนแสง” ล่าสุด”กองกำลังติดอาวุธ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ยกขบวน”วางเพลิง วางระเบิด” ที่ทำการ”เขตรักษาพันธุสัตว์ป่าฮาลาบาลา” ต.โล๊ะจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส  จับ 4 คนงาน บังคับให้บอกที่เก็บอาวุธ ก่อนที่จะยึด “ปืนผาหน้าไม้” ที่เป็น”ของหลวง” ไปกว่า 10 กระบอก เป็นการ”ปฏิบัติการ” ต้อนรับ” ตำแหน่ง”แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ “ พล.ต.ไพศาล หนูสังข์”  ซึ่งเรื่องการ”วางเพลิง วางระเบิด” และ” ปล้นปืน” ในครั้งนี้ ต้องมี”เบื้องหน้าเบื้องหลัง” ซึ่ง”ข่าววงใน” แจ้งว่า ก่อนหน้านี้มีการ”ย้าย” เจ้าหน้าที่มาจาก”ต่างถิ่นต่างภาค”มาทำหน้าที่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้  และมีการ”จับกุม” ชาวบ้านในพื้นที่ เกี่ยวกับ” พรบ.สัตว์ป่า,ป่าไม้” ดำเนินคดี และมีการ”เรียกเงิน” จากผู้ทำความผิด ล่าสุดมีการ”จับ” คนของ”ผู้นำท้องที่” และ”ขอแล้วไม่ให้” นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการ”ก่อการร้าย” ต่อ” ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา” แห่งนี้ เท็จจริง อย่างไร ต้องมีการ”สืบสวนสอบสวน” เพื่อหาความจริง เพื่อที่จะได้รู้”ต้นสายปลายเหตุ” ของปัญหา….เพื่อที่จะแก้ปัญหาได้ตรงจุด เพราะยังมี”หน่วยงาน” ที่”อ่อนแอ” ซึ่งไม่ใช่กำลังของ”ตำรวจ” และ”ทหาร” ซึ่งหากตกเป็น”เป้าหมาย” ของ” กองกำลังติดอาวุธ” ก็จะเกิดความ”สูญเสีย” ที่ไม่ใช่เฉพาะ”ที่ทำการ” และ”อาวุธปืน” แต่อาจจะเป็น”ชีวิต” ของ” เจ้าหน้าที่” ครั้งนี้”โชคดี” ที่”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ไม่ประสงค์ในการ”เอาชีวิต” ของ”เจ้าหน้าที่” จึงไม่มีผู้ใดต้อง”สังเวย” ให้กับ”ปฏิบัติการ” ที่เกิดขึ้น    แต่ ครั้งต่อๆไปใครจะกล้า”รับประกัน” ว่าจะไม่มีความ”สูญเสีย” และการที่” ผู้หลักผู้ใหญ่” ของ”เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ” ให้”สัมภาษณ์สื่อ” ว่าให้มีการ”เก็บรักษาอาวุธ” ให้อยู่ในที่”ปลอดภัย” นั้นหมายถึงการ”ปลดอาวุธ” ของ” เจ้าหน้าที่” ซึ่งยิ่งจะเป็น”อันตราย” ต่อ”เจ้าหน้าที่” ทางที่ดี และ”ถูกต้อง” จะต้องมี”ทหาร” หรือ”ตชด.” ที่ต้องเป็น”กำลังเสริม” เพื่อเพิ่มความ”เข้มแข็ง”  เป็นการ”ลดความ”เสี่ยง” ให้กับ” หน่วยงาน” ในพื้นที่

ส่วนผู้นำ”กองกำลังติดอาวุธ” ลงจาก”ป่าฮาลาบาลา” มา”ปฏิบัติการต่อ”สำนักงานเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าลาบาลา” ในครั้งนี้”การข่าว” ระบุว่าเป็นฝีมือของ”มันโซ ปูเต๊ะ” หนึ่งในมือ”หัวหน้าอาร์เคเค” ระดับ”ปฏิบัติการ” ในพื้นที่ของ จ.นราธิวาส ซึ่งมี”หมายจับ” ในคดีความมั่นคง จำนวนหลายหมายและหลัง”ปฏิบัติการ” ก็ได้”หลบหนี” ข้ามกลับไป”กลบดาน” ในประเทศมาเลเซีย เป็นที่”เรียบร้อย”โรงเรียนบีอาร์เอ็น” เจ้าหน้าที่คงได้แต่”ชะเง้อ” ผ่าน”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” เพื่อรอให้”มันโซ ปูเต๊ะ” ข้าม”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” มาหา”ภรรยา” ที่ฝั่งไทย แล้วค่อยทำการ”จับมา” หรือ”ปิดล้อมตรวจค้น” เพื่อ”วิสามัญฆาตกรรม”

ฤดูการ”โยกย้ายใหญ่” ในหน่วยงาน”ความมั่นคง” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ได้รับการ”แต่งตั้ง” ให้เป็น ผบ.ทบ. ตามความคาดหมาย เช่นเดียวกับการ”ปรับเปลี่ยน” ใน”กองทัพภาคที่ 4 “ เมื่อ”บิ๊กต้น” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” ซึ่งนั่งใน”ตำแหน่งแม่ทัพ” มาแล้ว 2 ปี ต้องลุกขึ้นจาก”เก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 4 “ ไปเป็น” หัวหน้าคณะนายทหารฝ่าย เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา  ผู้ที่”รับไม้ต่อ” ในตำแหน่ง”แม่ทัพภาคที่ 4 “ คือ” พล.ต.ไพศาล หนูสังข์” รองแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ ได้”ขยับ” ขึ้นเป็น” แม่ทัพภาคที่ 4 “  ซึ่งมีเสียง”ตอบรับ” จาก” ประชาชนในพื้นที่” และจาก”ผู้ใต้บังคับบัญชา” และ”องค์กรภาครัฐ” และ “เอกชน”  เป็นอย่างดี และ”คาดหวัง” ว่าการแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ใน 2 ปี ที่” พล.ต. ไพศาล” หนูสังข์” นั่งใน”ตำแหน่งแม่ทัพ” คงจะมีความ”สำเร็จ” ตามความ”คาดหวัง”…..ส่วน”พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์  แม่ทัพน้อยที่ 4 ซึ่งเป็น”นายทหาร”ที่”เติบโต” อยู่ในพื้นที่ของ”ภาคใต้” และเป็น”แคนดิเดด”” ในตำแหน่ง”แม่ทัพภาคที่ 4” ด้วย แต่อาจจะเป็นเพราะเหลือ”อายุราชการ” เพียง 1 ปี จึงมีการ”สับเปลี่ยนตำแหน่ง” ให้ไปทำหน้าที่”รองผู้อำนวยการ สำนักงานปฏิบัติภารกิจรักษาความมั่นคงภายในกองทัพบก” และผู้ที่ถูก “โยกย้าย” มาทำหน้าที่”แม่ทัพน้อยที่ 4 “ ได้แก่ “พล.ต.คมกฤช รัตนฉายา” ซึ่งเป็น”ทายาท”ของ”อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 “ พล.อ. กิตติ รัตนฉายา” ที่เป็นผู้”สลายกองกำลังของโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา” ในอดีต นั่นเอง

ส่วน”บิ๊กจ้อย” พล.ต.สุรเทพหนูแก้ว ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 44  ถูก”สับเปลี่ยน” ให้ไปทำหน้าที่” ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการที่ 5  สำนักงานปฏิบัติภารกิจ รักษาความมั่นคงภายในกองทัพบก ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเป็นกอง ที่มีการ”จับตามองเป็นพิเศษ” คือตำแหน่ง”รองแม่ทัพภาคที่ 4 “ ที่มีการ”ส่ง” พล.ต.ชาคริต อุจะรัตน์” จาก” หน่วยรบศูนย์สงครามพิเศษ” หรือ”หมวกแดง” จาก” ลพบุรี” มาทำหน้าที่”รองแม่ทัพภาคที่ 4  และ “รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่ง ต้องติดตามดูว่า ปฏิบัติการ”ทางทหาร”ของ” กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้าจะเพิ่มความ”เข้มข้น” ขึ้นหรือไม่  …… ซึ่งอาจจะ”สอดคล้องกับ” สถานการณ์ของ”ไฟใต้” ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยน”ยุทธศาสตร์” ในการ”ดับไฟใต้” ด้วยการประกาศว่า”บีอาร์เอ็น” เป็นองค์กรก่อการร้าย” ซึ่งหากมีการ”ยกสถานะ” ให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” การ”รับมือ” กับ” บีอาร์เอ็น” ก็จะ”เปลี่ยนบนโฉมหน้า” ไม่ใช่การ”ตั้งรับ” ที่”หน่อมแหน้ม” อย่างที่เป็นอยู่ใน “ปัจจุบัน” ซึ่งเรียกว่าเป็นสถานการณ์ของการ” ก่อความไม่สงบ” แต่โดยข้อเท็จจริงเป็นการ”ก่อการร้าย” นั่นเอง  และอีก”ประเด็น” ที่ต้อง”จับตามอง” คือเรื่องการเตรียมออก”กฎหมายใหม่”เพื่อบังคับใช้แทน” พรก.ฉุกเฉิน” ที่ต้องมีการประกาศ”ต่ออายุ” ทุกๆ 3 เดือน จนกลายเป็น”เงื่อนไข” ให้”ภาคประชาสังคม,เอ็นจีโอ,กลุ่มสิทธิมนุษย์ชน” และ”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” หยิบยก ขึ้นมาใช้”โจมตี” หน่วยงานความมั่นคง มาโดยตลอด   ดังนั้นจะเห็นถึง”บริบท”ของ”ความมั่นคง”ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะเห็นถึง”พัฒนาการ” ที่ไม่”หยุดนิ่ง” และมี”พัฒนาการ” ที่”รุนแรง”มากขึ้น

เรื่อง”การพูดคุยสันติสุข” ที่อาจจะต้องเปลี่ยนจาก”เรียกขาน” เป็นการ”พูดคุยสันติภาพ” เพื่อ”สันติสุข” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจะมีการ”เปลี่ยนตัว”ของ”หัวหน้าคณะพูดคุย” จาก” ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคง” ( สมช. )ที่เป็น” พลเรือน” มาเป็นอดีต”นายทหาร”อีกครั้ง ละที่ได้”สดับรับฟังมา” มีข่าว”เล็ดลอด” มาว่า อาจะมีการ”ย้าย” นันทพงศ์ สุวรรณรัฐ” รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ไปทำหน้าที่”เลขาธิการ สมช.” ปูน”บำเหน็จ” ให้เป็น “ซี 11 “ ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2568  “เท็จจริง “ อย่างไร ก็”หาข่าว” เอาเองละกัน แต่ที่”เป็นจริง”  สถานะของ”สมช. “ ใน วันนี้คือ”สถานที่พำนัก” ของคน”อกหัก” จาก”ตำแหน่งหลัก”  โดยมีตำแหน่ง” เลขาธิการ สมช.” เป็นรางวัล”ปลอบใจ” และที่สำคัญ”ลูกหม้อ” ของ”สมช.”ไม่มีทางที่จะ”เติบโต” เพื่อทำหน้าที่”เลขาธิการ” อีกแล้ว และนี่อาจจะเป็น”สาเหตุหนึ่ง” ที่”ยุทธศาสตร์”ด้านความมั่นคงของประเทศมี”ปัญหา” และการแก้ปัญหาด้าน”ความมั่นคง” ของ”ประเทศ” มีความ”ล้มเหลว” มาโดยตลอดในระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา

เรื่องของ”ยางพารา” ซึ่งเป็น”อาชีพ”ของ”เกษตรกร” ทั้งในภาคใต้ และ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และ อื่นๆ ที่วันนี้มีการ”ปลูกยางพารา” ในหลายพื้นที่ ซึ่ง”เพิก เลิศวังพงศ์” ที่เป็น”บอร์ดการยางแห่งประเทศไทย” ที่ต้องการให้”ชาวสวนยาง” หันมาทำ”ยางแผ่นดิบ” อีกครั้ง เพราะ”ตลาด” ต้องการ”ยางแผ่นดิน” มากขึ้น และ”ราคาดี” แต่ “ชาวสวนยาง” ไม่”นิยมทำยางแผ่นดิบ” ดังนั้น”ยางแผ่นดิบ” วันนี้ที่”ซื้อ-ขาย” ใน”ตลาดยางพารา” จึงเป็น”ยางแผ่นดิบ” ที่”ลักลอบ”นำเข้ามาจาก” ประเทศเมียนมาร์ ผ่านทางชายแดน จ.ระนอง และ กาญจนบุรี ซึ่งเป็นที่”รู้กัน” ในหมู่ของ” เจ้าหน้าที่” แต่มีการ”จับกุม” ที่น้อยมาก….การออกมาขอให้”ชาวสวนยาง” หันมา”ผลิตยางแผ่นดิบ” ของ”บอร์ดการยางแห่งประเทศไทย” คง”เสียเวลา” โดยเปล่าประโยชน์ เพราะ ชาวสวนยาง ได้”ขายเครื่องจักรเครื่องมือ” ในการทำ”ยางแผ่นดิบ” ให้กับ”คนค้าของเก่า” ไปตั้งแต่”ปีมะโว้” แล้ว นั้นเอง และในยามที่”เศรษฐกิจตกต่ำ” อย่างใน”ปัจจุบัน” คงจะไม่มี”ชาวสวนยาง” ที่ไหนจะ”ลงทุน” ซื้อ”เครื่องมือเครื่องใช้” ในการทำ”ยางแผ่นดิบ” รวมทั้ง”ชาวสวนยาง” ไม่มั่นใจว่า”ราคายาง” จะ”ทรงตัว” ในราคา”กิโลกรัมละ 80 บาท” จะไปได้”ตลอดรอดฝั่ง” หรือจะไปได้”กี่น้ำ” วันนี้เรื่องของ”บอร์ดการยาง” ที่สำคัญที่ควรทำคือเรื่อง” จับกุม” ผู้”ลักลอบ” นำเข้า”ยางแผ่นดิบ” จากประเทศเมียนมาร์  จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่”ถูกที่ถูกเวลา”และเป็นการ”เกาถูกที่คัน”

เห็นสภาพของ”ผู้เฒ่าผู้แก่” และ”คนตกงาน” ที่ไป”เข้าแถว” หน้าที่”ธนาคารกรุงไทย” และ”ธนาคารออมสิน” เพื่อการ”ผูกบัญชีพร้อมเพย์” แล้วก็ให้”เห็นภาพ” ของความ”ยากจน” และความต้องการ”เงินแจก” จำนวน 10,000 บาท จาก”รัฐบาล” เรื่องนี้” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ”แกนนำ”ของ”เพื่อไทย” ต้องคิดให้หนัก ว่าจะดำเนินการอย่างไร ในการ”แจกเงิน” ให้ประชาชน”เฟสสอง” เพราะมีการแจก”เฟสแรก”ไปแล้ว สำหรับผู้ถือ”บัตรคนจน-คนพิการ” ถ้าไม่มีการดำเนินการต่อ นั่นหมายถึงการเป็น”รัฐบาลสองมาตรฐาน” และที่สำคัญต้อง”กระทบ” กับ”ฐานเสียง” ของ”เพื่อไทย” และหาก”เพื่อไทย” หรือ”รัฐบาล”ชุดนี้ต้อง”สะดุดขาตนเอง” จาก”ข้อหา” ที่บรรดา”นักร้อง”ที่”เข้าคิว” ร้องจน”แน่นเอี๊ยด” และต้อง”ยุบสภา” ใน 6 เดือน หรือ 1 ปี รับรองว่า ที่คิดว่าจะกลับมาเป็น”เบอร์หนึ่ง” ในการเลือกตั้งสมัยหน้าล้วนเป็นเรื่อง”เพ้อเจ้อ” และ”เพ้อฝัน” เพราะจะถูก”ฐานเสียง”ลงโทษในฐานะที่เป็นพรรคการเมือง”สองมาตรฐาน” พูดแล้ว”ทำไม่ได้ “ นั้นเอง….น่าสงสาร สำหรับประเทศไทย แค่เรื่องที่ต้องการ”ขึ้นค่าแรง” ให้กับ”คนขายแรงงาน” เป็นวันละ 400 บาท ก็ยังทำไม่ได้  เพราะ”กลุ่มทุน” ทั้งประเทศไม่ยอมรับ โดยออกมาแสดงความ”ไม่เห็นด้วย” กับการ”ขึ้นค่าแรง” และ”ตัวแทน” ของ”นายจ้าง” ยังทำการ”บอยคอต” ไม่เข้าร่วมประชุม”ไตรภาคี” สุดท้ายการ”ขึ้นค่าแรง” ก็”ขับเคลื่อน”ไปไม่ได้  ก็ได้แต่เห็นใจในความ”ปรารถนาดี” ของ” พิพัฒน์ รัชกิจประการณ์” รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน พรรคภูมิใจไทย ที่พยายาม”ผลักดัน” การ”ขึ้นค่าแรง” เพื่อช่วยเหลือ”แรงงาน” ที่ต้องการให้”ขึ้นค่าแรง” อย่างเต็มที่ แต่ทำไม่ได้ ดังนั้น”แรงงาน” ที่”เรียกร้อง”การขึ้นค่าแรง ก็ต้อง”ร้องเพลงรอ” ให้”นายจ้าง” เห็นใจต่อไป “เข้าใจตามนี้นะ

หมดจากเรื่อง”การบ้าน” ก็มาดูเรื่อง”การเมือง” ซึ่งแม้จะเป็น”การเมืองท้องถิ่น” แต่ก็อยู่ในความสนใจของ”ประชาชน” ชาวจังหวัดสงขลา เป็นอย่างยิ่ง นั่นคือการเลือกตั้ง”นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ( อบจ.สงขลา ) ที่มีการ”เปิดหน้า” ให้เห็นกันจะๆ แล้วมา 3 ทีม จาก”สองบ้านใหญ่” ของ”สงขลา” ทีมแรกซึ่งเป็นทีมของ”นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต รมช.มหาดไทย ที่เคยเป็นกำลังสำคัญของ”ประชาธิปัตย์” ที่มีการ”จัดทีม”เอาไว้แล้ว แต่ยังขาด”หัวหน้าทีม” ซึ่งวันนี้คนใน”สงขลา” ก็ได้เห็นโฉมหน้าของ”หัวหน้าทีม” ที่จะมาทำหน้าที่”หัวรถจักร” ในการ”ลากโบกี้”ของ”ขบวนรถ”แล้ว นั้นคือ” มาดามปิ๊ม” หรือ”มาลัยทิพย์ ครุอำโพธิ์” ที่เป็น”หวานใจ”ของ”เถ้าแก่ถึก” หรือ”สมยศ พลายด้วง” สส. เขต 3 สงขลา นั้นเอง และ”ชัดเจน”ว่า”สังกัดบ้านใหญ่บุญญามณี”….. ส่วนทีมที่สองคือ”ไพเจน มากสุวรรณ” นายก อบจ.คนปัจจุบัน กับ”อธิบดีกรมฝนหลวงฯ “สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ซึ่ง ณ วันนี้ ทั้ง”สองเสือ” อยู่ใน”สังกัด”ของ”บ้านใหญ่ขาวทอง” หรือภายใต้การ”คอลโทรล” ของ”เดชอิศม์ ขาวทอง”  หรือ”นายกชาย” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ สส.เขต 5 สงขลา ซึ่ง”สัปดาห์ที่ผ่านมา” เดชอิสม์” ปิด”ห้องลับ” เรียก”สจ.” แต่ละคนเข้าพบเพื่อให้”ยืนยัน” ว่า” สจ. ทั้ง 16 อำเภอ จะให้การ”สนับสนุน” ใครระหว่าง”ไพเจน” กับ”สุพิศ” เพื่อที่จะได้”ตัดสินใจ” ว่าจะ”เลือกใคร” ให้อยู่ใน”สังกัด”ของ”บ้านใหญ่ขาวทอง”  แต่”แหล่งข่าว” กระซิบกระซาบ” ทั้ง”สองเสือ” ต่างไม่ยอมกัน ไม่ว่า”เดชอิศม์” จะเลือกใคร คนที่ไม่”ถูกเลือก” ก็จะลงสมัคร เพื่อให้”ประชาชน” เป็นผู้”ตัดสิน” แค่นี้”สนามเลือกตั้ง” ของ”อบจ.สงขลา” ก็”ระอุอ้าว” แล้ว แต่ “ข่าวว่า” พรรค”ประชาชน”กำลังดำเนินการ”คัดเลือก” ผู้สมัครเพื่อลง”แข่งขัน” ในสนาม อบจ.สงขลา กับเขาด้วย วันก่อนมีชื่อของ”ซากีย์ พิทักษ์คุมพล” ที่เป็น”ทายาท” ของท่านอดีตจุฬาราชมนตรี”อาซิส พิทักษ์คุมพล” ด้วย แต่ วันนี้”ข่าวว่า” เหลือเพียง”รายชื่อเดียว” แต่ยังไม่พร้อมที่จะ”เปิดตัว” และเพราะมัวแต่”ปกปิด” ตาม”สไตล์” ของพรรคประชาชน นี้แหละที่ทำให้”พ่ายแพ้”ทุกสนามเลือกตั้ง เพราะ”หาเสียง”ไม่ทัน”ผู้สมัครจากทีมอื่นๆ เพราะมัวแต่”ปกปิด”ผู้สมัครไม่ให้ใครรู้  นั้นคือ”สนามเลือกตั้ง”อบจ.สงขลา”  แต่เชื่อว่า”หนุกหนัดเหนียด”แน่นอน

ส่วนถัดมาเป็น “สนามเลือกตั้ง” ของ”เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับ”สนามนี้” ก็เป็น”ศึกชนช้าง” ซึ่ง”ช้างศึก” ที่”ไสช้าง” ลงสนามแล้ว และมาก่อนใครคือ”ทีมปลัดแป้น” หรือ” ณรงค์พร ณ พัทลุง” อดีตนายอำเภอหาดใหญ่ และ ปลัดจังหวัดสงขลา  ซึ่ง”เจ้าตัว” อ้างว่า”โพลนำโด่ง” ส่วนทีมที่สอง ที่”เปิดตัว”อย่าง”อึกทึก”ด้วย”หนังน้องเดียว” คือ” พ.อ.พิเศษ สุชาติ จันทรโชติกุล” ซึ่งก็เป็น”นักการเมือง” และ”นายทหาร” ชื่อดัง ที่”เจ้าตัว” ยัง”เชื่อมั่น” ใน”ฐานเสียง” ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ และมี”ยุทธศาสตร์” ในการ”หาเสียง” แบบ”ซึมลึก” ในพื้นที่    และที่ยังไม่”ขยับ”และยัง”ตั้งรับ” อยู่ในที่ตั้ง นั้นคือ” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่ คน”ปัจจุบัน” อดีดนายตำรวจ”คนดัง” อดีต”ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว” ที่ทำตัวเป็น”มังกรเหินฟ้า” ไร้”ร่องรอย” แต่ประกาศให้”ชาวหาดใหญ่”ทราบว่า”สู้ไม่ถอย” ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น”สมัยที่สอง”แบบ”ล้านเปอร์เซ็น” ซึ่ง”เกจิทางการเมือง” ยัง”เชื่อมั่น” ใน”ฐานะ” ที่เป็น”นายกคนปัจจุบัน” ที่มี”ความพร้อม”กว่าทีมของ”ผู้ท้าชิง” ก็ต้องติดตามดูกันแบบ”ยาวๆ” เพราะยังมีเวลาอีกหลายเดือน กว่าจะถึงวัน”รับสมัคร” ที่ ทุกอย่าง”เปลี่ยนได้”ตลอดเวลา

และ อีก”สนามการเมืองท้องถิ่น” อีกสนามหนึ่ง ที่แม้จะไม่มีการ”เลือกต้อง” พร้อมกับ”เทศบาล” อื่นๆ นั้นคือ”เทศบาลเมืองเขารูปช้าง” ที่มี”นราเดช คำทัปน์” เป็น” นายกเทศมนตรี” ที่อยู่ๆมีการ”ปลด”รองนายก ทั้งหมดออกจากตำแหน่ง จนกลายเป็น คำถามของ คนในเขตเทศบาล ว่า”เกิดอะไรขึ้น” กับ”เทศบาลเมืองเขารูปช้าง” อย่าลืม บอกชาวบ้านด้วยนะ ทุกคน อยากรู้….. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัดสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ของจริงหรือยาหอม? รื้อโครงสร้างพลังงาน ลดอำนาจผูกขาด?

ภาพใหญ่ทางการเมืองของประเทศไทย ในวันที่” แพทองธาร ชินวัตร” ได้ทำหน้าที่”แถลงนโยบาย” ของ”รัฐบาล” ให้กับ”รัฐสภา” เป็นที่เรียบร้อย และ”เข้ารับตำแหน่ง” การเป็น”นายกรัฐมนตรี” ตามที่”รัฐธรรมนูญ” กำหนดเป็นที่”ถูกต้อง” เพื่อทำหน้าที่ฝ่าย”บริหาร” ในการ”ขับเคลื่อน”ประเทศไทยตาม 10 นโยบาย”เร่งด่วน” ที่ได้มีการ”แถลงกับรัฐสภา” ไปยังประชาชน ทุกคน ของประเทศ ซึ่งทุกคนก็”มุ่งหวัง” ว่า นโยบาย”เร่งด่วน” 10 โครงการของ” รัฐบาล” ชุด” แพทองธาร 1 “ แม้จะมีการอ่านแบบ”นกแก้วนกขุนทอง” แต่ก็”มุ่งหวัง” ที่จะเห็นการ”เดินหน้า” แก้ปัญหาของประเทศให้”เป็นจริง” ส่วนการ”แถลงนโยบาย” ของ”รัฐบาล” ชุดนี้ จะสร้างความ”เชื่อมั่น” หรือไม่”เชื่อมั่น” ให้เกิดขึ้นกับ”ภาคส่วน” ของคนในประเทศ ที่มี”ความคิด”และ”การศึกษา” รวมทั้งการ”เข้าใจ” ในเรื่องของ”การเมือง” เรื่องของ”บ้านเมือง”ต่างกัน ก็ต้องหยุดการ”วิพากษ์วิจารณ์” เพราะ เราไม่สามารถที่จะ”แก้ไข” อะไรได้อีกแล้ว นอกจาก”ช่วยกันลุ้น” ให้”รัฐบาล” ชุดนี้ “เดินหน้า” ฝ่าฟัน ปัญหา อุปสรรค ต่างๆ ไปสู่”จุดหมายปลายทาง” อย่าได้นำเอาเรือที่ชื่อว่า”ประเทศไทย” ไป”อับปางกลางทะเล” อย่างที่ หลายคน”หวั่นใจ” กับการที่”นายกรัฐมนตรี” เป็น”ผู้นำ” ที่”ขาดประสบการณ์” ซึ่งต้อง” อาศัย” การ”สั่งการจาก”นายกตัวจริงของรัฐบาล ในการเป็น”เข็มทิศ” เพื่อนำพา”ประเทศไทย” ไปข้างหน้า ที่สำคัญ”กระแสสังคม” ที่”วิพากษ์วิจารณ์” อย่าง”รอบทิศทาง” ที่มีต่อ”รัฐบาล” จะทำให้” แพทองธาร ชินวัตร” ทนทานต่อ”แรงเสียดทาน” ของ “สังคมรอบข้าง” ได้แค่ไหน โดยเฉพาะกับคำพูดที่ว่า”รัฐบาล” นี้เป็น”รัฐบาล” ที่” พ่อคิด ลูกทำ” จะเป็นเหมือน”หนามตำใจ” ที่ยากจะ”ถอนทิ้ง”

ก็เห็นใจสำหรับ”นายกรัฐมนตรี” ที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทาง”การเมือง”แต่ต้องเข้ามา”แบกรับ”ความหวังของคนทั้งประเทศ และยังเป็นความหวังของ”ตระกูลชินวัตร” ที่”คาดหวัง” ว่า”แพทองธาร” จะต้อง”โดดเด่น”และประสบความสำเร็จทางการเมือง เพราะมี”ดีเอ็นเอ” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เต็มตัว  “แพทองธาร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่ ไม่มีเวลา”ฝึกงาน” และไม่มีเวลาในการ”ฮันนีมูน” เพราะหลัง”แถลงนโยบาย” ก็ต้องลง”พื้นที่” ติดตาม “สถานการณ์”ของ”อุทกภัย” ที่รุนแรงมาก ใน”ภาคเหนือ” และ “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ที่ประชาชนได้รับความ”เดือดร้อน” เป็นจำนวนมาก สำหรับในเรื่อง”ลงพื้นที่” พบประชาชน  อาศัยการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิง”  แพทองธาร “ สอบผ่าน”  ในด้าน”ภาพลักษณ์” ที่มีการนำเสนอทาง”สื่อ” แต่ในความเป็นจริง การจะ”สอบผ่าน” หรือไม่อยู่ที่การแก้ปัญหาของ”หน่วยงาน” ที่รับผิดชอบในพื้นที่ และหลัง”น้ำลด” จะดำเนินการอย่างไรกับการ”เยียวยา”ประชาชนชน”กับการ”ฟื้นฟู” ความ”เสียหาย” ที่เกิดขึ้น และที่”ขาดไป” ในการแก้ปัญหาของ”อุทกภัย”ครั้งนี้ คือ”รัฐบาล”ไม่มีการตั้ง”วอร์รูม” เพื่อการ”รับมือ” และ”สั่งการ” จนทำให้มองเห็นว่าการแก้ปัญหา”อุทกภัย”ครั้งนี้ ในสายของ”รัฐบาล” เป็นเรื่องของ”ภัยธรรมชาติ”ที่เป็นเรื่อง”ธรรมดา” ก็ต้อง”ติดตาม”กับต่อไปว่า”เรือประเทศไทย” ที่มี” แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายท้ายเรือหญิง” จะนั่งถือ” พังงา” นำเรือ”ฝ่าฟันคลื่นลม”ทั้งทาง”การเมือง”และ”คลื่นลม”ทาง”เศรษฐกิจ” ที่ “โหมกระหน่ำ ไปได้อย่าง”ตลอดรอดฝั่ง” หรือไม่ 6 เดือน ข้างหน้าคือ คำตอบ

ปัญหาใหญ่ ที่ยังรออยู่ข้างหน้า สำหรับ รัฐบาล ชุดนี้คือเรื่อง”พลังงาน” เพราะที่ผ่านมา 1 ปี ของ”รัฐบาล”ชุดเก่า” ซึ่งก็คือรัฐบาลชุดนี้ ได้ทำอย่างต่อเนื่อง คือยังไม่สามารถลด”ราคาพลังงาน” ให้ถูกลง การแก้ปัญหาที่ผ่านมาคือการ”ตรึงราคา” ไม่ว่าจะเป็น”น้ำมันดีเซล” ไม่ว่าจะเป็น”แก๊สหุงต้ม” ไม่ว่าจะเป็น”ค่าไฟฟ้า” ส่วน นโยบายที่ แก้อย่าง”ถาวร” คือการแก้ที่”โครงสร้าง” ยังไม่มี  ที่สำคัญ กระทรวงพลังงาน ไม่ได้อยู่ในการ”กำกับดูแล” ของ”พรรคเพื่อไทย” แต่เป็นกระทรวงที่”กำกับดูแล”ของ”พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่มี” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค”รองนายกรัฐมนตรี” ทำหน้าที่” เสนาบดี” ในการ”กำกับดูแล” และ ก็อยู่ระหว่าง”ร่างกฎหมาย” ทำ”กฎหมาย” เพื่อที่จะแก้ปัญหาของการ”ผูกขาดพลังงาน” อยู่ในขณะนี้ ก็ถือเป็น”โชคดี” ที่” เพื่อไทย” ไม่ได้ทำหน้าที่”กำกับดูแล” เรื่องของ”พลังงาน” เพราะอย่างน้อย”เพื่อไทย” ยังสามารถที่จะ”ออกตัว” ได้ว่า การที่”พลังงาน”มีปัญหา เป็นเรื่องของ”รวมไทยสร้างชาติ” เนื่องจากโดย”ข้อเท็จจริง” การแก้ปัญหา”โครงสร้าง” ของ”พลังงาน” ในประเทศนี้ “ยากมาก” เพราะ ทุกรัฐบาลปล่อยให้”กลุ่มทุนพลังงาน”กำหนดโครงสร้าง” ในการ”เอาเปรียบ” ประชาชน มาอย่างยาวนาน และไม่เคยมี”รัฐบาล”ไหนกล้าที่จะเข้าไป”แตะต้อง” แม้แต่”รัฐบาลทหาร” ที่มาจากการ”ยึดอำนาจ” มาจากการ”ปฏิวัติ” และ”รัฐประหาร” ก็ไม่กล้าที่จะ”ตอแย” กับ กลุ่มทุนพลังงาน” วันนี้ทุกคนจึงตั้ง”ความหวัง” ไว้ที่” เสนาบดี” กระทรวงพลังงาน” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่

อีกเรื่องที่”คาราคาซัง” จนคนไทยเกือบลืมไปแล้ว นั่นคือเรื่อง”เรือดำน้ำ” ของ”กองทัพเรือ” ที่ทำสัญญาซื้อจาก”ประเทศจีน” ตั้งแต่ครั้งที่”บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ์” เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง จนวันนี้”บิ๊กป้อม”  กำลังจะ”หมดสภาพ” เรือดำน้ำรุ่น”หยวนคาส” ที่มีปัญหาเรื่อง” เครื่องยนต์” ที่ “รัฐบาลจีน” ไม่สามารถซื้อจาก”ประเทศเยอรมันนี” มาติดตั้งใน” เรือดำน้ำ” ตามสัญญา กลายเป็นเรื่อง”ผิดสัญญา” แต่ “กองทัพเรือ” ก็ไม่กล้าที่จะ”ยกเลิกสัญญา” เพราะต้องการได้”เรือดำน้ำ” มาประจำการใน”กองทัพเรือ” ในขณะที่” พรรคเพื่อไทย” สมัยที่เป็น”ฝ่ายค้าน” อภิปรายอย่าง”ดุเด็ด” ให้ “ยกเลิกสัญญา” วันนี้” เพื่อไทย” เป็น”รัฐบาล” มี” สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชชยชัย”  รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็น”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม และต้องมีหน้าที่ในการร่วม”ตัดสินใจ” ในการจะเอาอย่างไรกับ”เรือดำน้ำ” ซึ่งหลังจากมีการ”แต่งตั้ง” ผบ.กองทัพเรือคนใหม่แทน “พล.ร.อ. อะดุง พันธุ์เอี่ยม “ ผบ.ทร. ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน นี้ เรื่องของ”เรือดำน้ำ” ที่”คาราคาซัง” จะต้องมีการ”พิจารณา” เพื่อที่จะ”เดินหน้าต่อ” หรือ”พอแค่นี้”  และต้องดู”จุดยืน” ของ”เพื่อไทย” ว่าวันที่เป็น”ฝ่ายค้าน” กับวันที่เป็น”รัฐบาล” จุดยืนเรื่อง”เรือดำน้ำ” จะ”ลงเอย” แบบไหน ที่สำคัญ “ เรือดำน้ำ” เกี่ยวข้องกับ”มหาอำนาจ” อย่าง”ประเทศจีน” ด้วย ดังนั้น”รัฐบาลเพื่อไทย” จึงอยู่ในสภาวะที่” กลืนไม่เข้า คายไม่ออก”

อีกเรื่องที่อยู่ในความ “สนใจ” ของ ผู้ใช้”แรงงาน”ทั่งประเทศ คือเรื่อง”ค่าแรง” ที่ กระทรวงแรงงาน จะมีการ”ขึ้นค่าแรง” ให้ผู้ที่ใช้” แรงงาน” วันละ 400 บาท และในการประชุม”ไตรภาคี” ที่ผ่านมาปรากฏว่าฝ่ายของ”นายจ้าง” ไม่เข้าร่วมประชุม ก็ไม่รู้ว่า”ไม่ว่าง” หรือเป็นเรื่อง”อารยะขัดขืน” เพราะไม่”ยอมรับ” การขึ้น”ค่าแรง” ในครั้งนี้ ปัญหาของ”ค่าแรง” เป็นที่”สัมพันธ์” กับการขึ้นราคา”สินค้า” ถ้า”ค่าแรงขึ้น” และราคา”สินค้า” ขึ้นตาม หรือ”ขึ้นก่อน” ล่วงหน้าไปแล้ว การ”ขึ้นค่าแรง” ก็ไม่เป็น”มรรคผล” กับผู้ที่ใช้”แรงงาน” แต่กลายเป็นการให้”ประโยชน์”กับ”นายทุน” ดังนั้นถ้า”กระทรวงแรงงาน” ขยับ”ค่าแรง”เพิ่มขึ้น แต่”กระทรวงพาณิชย์” ไร้ความสามารถในการ”ควบคุมราคาสินค้า” ก็เป็นเรื่องที่”เปล่าประโยชน์” แต่การ”ขึ้นค่าแรง” เป็นการเพิ่ม”คะแนนเสียง”ให้กับ”พรรคภูมิใจไทย” ที่เป็น”ผลงาน”ของ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน…..ส่วนเรื่องการ”ควบคุมราคาสินค้า” ที่ผ่านมาในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี”เศรษฐา ทวีสิน” เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์คือ” ภูมิธรรม เวชชยชัย” หรือ”เสี่ยอ้วน” ยัง”สอบไม่ผ่าน”เพราะยังปล่อยให้”กลุ่มทุน” ขึ้นราคาสินค้าแบบ”รังแกประชาชน” วันนี้ “เสนาบดี” กระทรวงพาณิชย์เปลี่ยนเป็น” พิชัย นริพทะพันธ์” ก็อย่างเพิ่ง”ติเรือทั้งโกลน”  ลองให้”โอกาส” ในการทำงานกัน”สักตั้ง” จะได้รู้ว่ามี”ฝีมือ” หรือเป็นแค่”ราคาคุย” เท่านั้น

สำหรับ”รัฐมนตรีป้ายแดง” อย่าง”เดชอิศม์ ขาวทอง” (นายกชาย) รัฐมนตรีช่วย”สาธารณสุข” ซึ่งยังไม่รู้ว่า”สมศักดิ์ เทพสุทิน” เสนาบดี “ว่าการ” จะมอบให้ “กำกับดูแล” ส่วนไหน “กรมไหน” ของ”กระทรวง”  แต่ก็”เชื่อมือ” ว่าไม่ว่าจะได้”กำกับดูแล” กรมไหน หน่วยไหน คงจะทำหน้าที่ได้”เฉียบขาด” เพราะเคยผ่านมา”การเมือง” เป็นถึงอดีต”นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา” มาแล้ว ห่วงก็แต่ว่า “รัฐบาล” จะมี”งบประมาณ” ให้ทำงานการ”แก้ปัญหา” และการ”พัฒนา” อย่าง”เพียงพอ” หรือไม่ เท่านั้น……เพราะดูๆไปแล้ว ที่น่า”ห่วงใย” ที่สุดคือ”ผู้ที่ต้องทำหน้าที่” หัวหน้าคณะเศรษฐกิจ” ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็น” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี หรือ”พิชัย ชุณหะวชิร “ รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง” เพราะเรื่อง”เศรษฐกิจ” การค้าการ”ลงทุน” ที่”เดี้ยง”มา ตั้งแต่”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี จนถึง ขณะนี้ ที่เห็นได้”ชัดเจน” มีแต่เรื่องการลงทุนของ”กลุ่มทุนจีน” ใน”อุตสาหกรรม”รถยนต์ไฟฟ้า” เท่านั้น  ที่”บริษัทจีน” เข้ามาลงทุนใน”อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า” ส่วนการลงทุนด้านอื่นๆ ยังไม่เห็น…..โดยเฉพาะโครงการใหญ่ๆอย่าง”แลนด์บริดจ์” หรือ”สะพานบก” ที่จะเป็นการ”เชื่อมต่อ” ทะเลอันดามัน”กับ”อ่าวไทย” ที่ จ.ระนอง- ชุมพร  ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี”เศรษฐา ทวีสิน” เดินทางไป”โรดโชว์” กับประเทศ”อุตสาหกรรม” ใหญ่ๆ มาแล้วทั่วโลก ก็ยังไม่เห็น”มรรค ผล” อะไร มีแต่คำว่า”ต่างชาติสนใจ” ที่จะมาลงทุน แต่การ”ลงทุน” จริงๆ ที่ปรากฏให้เห็นเป็น”รูปธรรม” ยังไม่มี นี้คือความ”กดดัน” ของผู้ที่เป็น”หัวหน้าคณะเศรษฐกิจ” ใน “รัฐบาล” ชุดนี้  ส่วนที่จะ”ฝากความหวัง” ไว้กับเรื่อง”บ่อนการพนันเสรี” หรือ”อินเตอร์เทนเม็นท์คอมเพล็กซ์” เพื่อให้เป็นโครงการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ก็ยังเป็นเรื่อง”หวังยาก” เพราะแค่เริ่ม”ขับเคลื่อน” ก็เต็มไปด้วย”ขวากหนาม” จาก กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ที่มีทั้ง”กลุ่มการเมือง” ที่ไม่ได้รับ”ผลประโยชน์” จากโครงการดังกล่าว และ กลุ่มประชาชน และกลุ่ม”ภาคประชาสังคม” เป็นจำนวนมาก และถ้าโครงการใหญ่ๆ เกิดขึ้นไม่ได้ “เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศ” ก็จะ”ไปไม่ได้” บริษัท ห้างร้าน กลุ่ม “ธุรกิจเอสเอ็มอี” ก็จะ”ล้มหายตายจาก” ไปเรื่อยๆ ผลกระทบได้อยู่แค่” เจ้าของธุรกิจ” ที่”สิ้นเนื้อประดาตัว” แต่หมายถึงจำนวนคนที่”ตกงาน” มากยิ่งขึ้น และที่ตามมาคือเรื่อง”อาชญากรรม” ที่จะเพิ่มขึ้นแบบ”เงาตามตัว” และกลายเป็น”ปัญหาสังคม” ที่สร้างความ”เดือดร้อน” ให้เกิดขึ้นทุก”อณูแผ่นดิน”

มาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านเขาทันสมัยเพราะเดินเข้าสู่”อุตสาหกรรม”ที่เรียกว่า”เซมิคอนดักเตอร์” ซึ่งเป็น “เทคโนโลยี”ชั้นสูง เป็นการ”พัฒนาอุตสาหกรรม”ไปอีกขึ้นหนึ่ง ในขณะที่”ประเทศไทย” ยังคง”มะงุมมะงาหรา” อยู่กับ เรื่องเดิมๆ ที่”วนเวียน” อยู่กับ”ปมความขัดแย้งทางการเมือง” ยังเดินหน้าเข้าสู่”โหมดการล้างแค้น” การ”ล้างอาย” มุ่งแต่เรื่อง”ล้างบางศัตรู” ใน”สภาผู้แทนราษฎร” วันนี้มีแต่เรื่อง”โต้เถียง” ระหว่าง”ฝ่านค้าน”กับ”ฝ่ายรัฐบาล” โดยมี”ฝ่ายแค้น” เข้า”ผสมโรง” จนมองไม่เห็นว่าจะมีการ”ปรองดอง” เพื่อร่วมมือกัน”พัฒนาประเทศ”ไปสู่ความ”รุ่งเรือง” ของประเทศ…..อย่างปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่นอกจากเรื่อง”ความไม่สงบ”ที่มาจาก”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ยังมีเรื่องของการ”พัฒนา” ที่ทุก”รัฐบาล” ไม่ได้”จริงจัง” ไม่มีโครงการใหญ่ๆเกิดขึ้น ทั้งที่หลายโครงการ หลายพื้นที่ ไม่ได้มีความ”รุนแรง”  แต่ก็ไม่มีการ”สนับสนุน” ให้มีโครงการใหญ่ๆเกิดขึ้น เช่น “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” หรือ”เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมในอนาคต” ที่”ผลักดัน” โดย”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) ครั้งที่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ซึ่งเป็นโครงการที่”ลงทุนโดยเอกชน” แต่ถูก”ขัดขวางจากเอ็นจีโอ” และไม่มีการ”สานต่อ” ทำให้”กลุ่มทุน” ไม่มั่นใจ และ”ไม่รอ” เพราะการ”ขับเคลื่อน” ของ”สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่เป็น”เจ้าภาพ” ของโครงการนี้”เชื่องช้า” ยิ่งกว่า”เรือเกลือ” และยังถูกมองว่า”มีธง” ที่ไม่ต้องการให้มีโครงการ”ขนาดใหญ่” เกิดขึ้นใน อ.จะนะ ด้วยซ้ำ จึงทำให้”คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้” เห็นถึงความไม่”จริงใจ” ในการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” และเป็นการ”เข้าทาง” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น”ที่นำไป”โฆษณาชวนเชื่อ” ว่า”รัฐบาล” ไม่”จริงใจ” กับการแก้ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เรื่องการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ณ วันนี้จึงต้องติดตามดูว่า รัฐบาล ชุดนี้ ที่นำโดย”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะมี”นโยบาย” อย่างไรกับการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ไม่มีทั้ง” สส “ของ” พรรคเพื่อไทย” และไม่มี “กลุ่มธุรกิจ”ของ”พรรคเพื่อไทย” เข้ามา”ลงทุน” ในพื้นที่ ไม่เหมือนกับ”เกาะภูเก็ต” ที่ในครั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” มีการ”เทียวไล้เทียวขื่น” ระหว่าง”กรุงเทพ-ภูเก็ต” เป็น ว่าเล่น เพราะ อาณาจักรของ”แสนศิริ” ที่ยิ่งใหญ่ มีการ”ลงหลักปักฐาน” บน”เกาะภูเก็ต” นั่นเอง

ข่าวจาก”วงใน” หน่วยงาน”ความมั่นคง” ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” แจ้งว่า”บีอาร์เอ็น” มีการ”สั่งการ” ให้”กองกำลังติดอาวุธ”ที่”เคลื่อนไหว” ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ให้เตรียม”ก่อเหตุความรุนแรง” ในเดือน ตุลาคม ที่จะถึง ซึ่งเป็นเดือนแห่ง”สัญลักษณ์” ของความ”สูญเสีย” ของ”ประชาชน” ที่เป็น”มุสลิม” ใน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547  ซึ่งจะครบ 20 ปี ในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 นี้ โดยจะมีการ”ผสาน”กับ” มวลชน และ “ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”ขบวนการ”บีอาร์เอ็น” และ”เอ็นจีโอ” ในชื่อ”มูลนิธิ”ต่างๆ และ กลุ่มของผู้ที่เรียกตัวเองว่า” นักเคลื่อนไหว”ในเรื่อง”สิทธิมนุษย์ชน”  และ”ฝ่ายการเมือง” ใน “สภาผู้แทนราษฎร” ที่มีทั้งการ”ชุมนุมประท้วง “ การจัด”กิจกรรม” ต่างๆ ในพื้นที่และ”ส่วนกลาง” และการ”ก่อการร้าย” ในพื้นที่ เพื่อ”รำลึก” ถึง”ความสูญเสีย” ของ”ประชาชน” ที่”ก่อม็อบ” ปิดล้อม สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส เพื่อให้”ปล่อยตัว””ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ( ชรบ.) ที่ถูก เจ้าหน้าที่จับกุมในข้อหา”ลักอาวุธปืนราชการ” ไปให้กับ”แนวร่วม” ขบวนการบีอาร์เอ็น และเป็นการ”กดดัน” ให้ เจ้าหน้าที่ติดตาม”จับกุม” “ข้าราชการระดับสูง” ที่”ศาลจังหวัดนราธิวาส” ทำการ”ออกหมายจับ”และไม่มีการ”รายงานตัวที่ศาล”จำนวน 7 คน หลังจากที่”มูลนิธิผสานวัฒนธรรม” และ”ชมรมทนายความมุสลิม” นำ ประชาชนจำนวน 47 ราย ซึ่งได้รับเงิน”ค่าเยียวยา” จาก”ภาครัฐ” ไปแล้ว “เป็นโจทย์ฟ้อง” เพื่อเอาผิดทาง”อาญา” กับ”ข้าราชการระดับสูง ที่เป็น” อดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ 4 อดีต ผบช.ตำรวจภูธรภาค 9 อดีต ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส อดีต ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และ อดีต ผกก.สภ.ตากใบ ….. นอกจากนั้น “แหล่งข่าว” ยังแจ้งว่า หลังมีการประกาศ”แต่งตั้ง” แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ ซึ่ง”ธรรมเนียม” ของ”บีอาร์เอ็น” ต้องมีการ”ต้อนรับ” ผู้ที่เป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 “ คนใหม่ด้วยการ”ก่อการร้าย” ดังนั้น หน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ ปกครอง จึงต้องเตรียมพร้อมในการ”รับมือ” แต่เนิ่นๆ แต่ทางที่ดีที่สุดในการ”ป้องกันเหตุ” คือ”หน่วยงานความมั่นคง” ต้อง”เปิดเกมรุก” เพื่อ”จำกัดเสรีภาพ”การ”เคลื่อนไหว” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” เสียก่อน  ดีกว่าการ”ตั้งรับ” เพียงอย่างเดียว

ล่าสุด”กองกำลังติดอาวุธ” ทำการ”วางเพลิง” ที่ทำการ “องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโหนด” ต.บ้านโหนด อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา “วอดวาย” ทั้ง สำนักงาน ทั้งรถดับเพลิง และ “ตู้เอทีเอ็ม” ที่อยู่หน้า “ อบต.” เป็นการ”เสียหายยับเยิน” ที่สำคัญซึ่งที่เป็นที่สังเกตคือ คืนเกิดเหตุ”ไม่มีเวรยาม” และหลังเกิดเหตุ จนถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่ ยัง จับกุมใครไม่ได้ เพียงแต่”เชื่อว่า” ผู้ที่เป็น”หัวหน้าโจร” เป็นคนเดียวกับที่เคยก่อเหตุ”วางระเบิดนางเงือก”ที่”แหลม สมิหลา” สงขลา เมื่อปี 61 ก็ แสดงว่า”คนร้าย” หรือ” แนวร่วม” รายนี้ยังคง”วนเวียน” เพื่อ”ก่อเหตุ” ในพื้นที่ของ 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา ไม่ได้”หลบหนี”ไปไหน “ตำรวจ,ทหาร” ต่างหาก ที่ไม่ได้”ติดตาม” เพื่อ”จับกุม” มาลงโทษ…..ส่วนการตั้งข้อ”สังเกต” อีกเรื่อง คือการที่”แนวร่วม” ทำการ”เคลื่อนไหว” ด้วยการ”พ่นสี” บนถนนหลายสายในพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็น”ตัวอักษร” ว่า” อส.ลาออก” บางแห่งที่”แนวร่วม” ปฏิบัติการ อยู่ห่างจาก”ฐานปฏิบัติการ” ของ”เจ้าหน้าที่เพียง 200 เมตร แสดงว่า”แนวร่วม” ไม่มีความ”เกรงกลัว” เจ้าหน้าที่รัฐ และต้องการที่จะ”เยาะเย้ย” เจ้าหน้าที่ เหมือกับจะบอกว่า”ไม่มีน้ำยา” และที่ สำคัญ ทำให้เป็นที่”รู้กัน” ว่า ในเวลากลางคืน ไม่มีการ”ลาดตระเวน” รอบฐานปฏิบัติการ นี้ถ้า”แนวร่วม” เปลี่ยนจากการ”พ่นสี” เป็นการใช้”เครื่องยิงระเบิด” ยิงเข้าไปใน”ฐานปฏิบัติการ” ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คง”ดูไม่จืด”

เขียนกันหลายครั้งแล้วเรื่อง”จลาจล- จราจร” ของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทั้งใน”เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ “ และ”เขตเทศบาลเมืองคอหงส์” ซึ่งใน”เขตเทศบาลนครหาดใหญ่” มีการ”จัดกิจกรรม” เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ” และ”การท่องเที่ยว” ด้วยการ”ปิดถนน” สายต่างๆ เพื่อใช้เป็น”พื้นที่จัดงาน” แต่ผู้รับผิดชอบ”งานจราจร” ไม่มีการ”วางแผน” ในการแก้ปัญหา”จราจร” ว่าจะ “จัดการ” อย่างไรที่จะไม่ให้เกิดการ”จลาจล”กับการ”จราจร” รวมทั้งไม่มีการ”ติดป้าย” เพื่อประชาสัมพันธ์ รวมทั้งการใช้”สื่อ” ในการ”ประชาสัมพันธ์” เพื่อให้ผู้ที่”ใช้รถใช้ถนน” ให้รู้ว่ามีการ”ปิดถนน”เพื่อ”จัดกิจกรรม”  ตรง จุดไหน บริเวณใด เพื่อให้ผู้”ใช้รถใช้ถนน” ที่ไม่มีความ”จำเป็น” ที่จะเข้าไปใน”ตัวเมือง” สามารถ”หลีกเลี่ยง” ไปใช้”เส้นทาง”อื่นๆ ได้  เรื่องการ”แต่งตั้ง” ตำรวจที่มาทำหน้าที่”รอง ผกก.จราจร” ไม่ว่าจะเป็นที่ สภ.ไหน ควรจะมีการ”พิจารณา” แต่งตั้งนายตำรวจที่มี”วิสัยทัศน์” ในเรื่องของการ”จราจร” อย่าได้ แต่งตั้ง”นายตำรวจ” ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการ”จัดการจราจร” มาทำหน้าที่ เพื่อให้แก้ปัญหาของ”การจราจร”จะได้มี”ประสิทธิภาพ” เช่นเดียวกับการ”ซ่อมถนน” สาย”สี่แยกคลองหวะ-ถึง สี่แยกสนามบินใน” อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่มีการปล่อยให้”ผู้รับเหมา” ทำตามใจชอบ ไม่มี”ตำรวจจราจร” มาดูแลเพื่อจัดการ”การจราจร” จนทำให้”รถติด”กัน”ยาวเหยียด” เสีย เวลา เสียอารมณ์ นี้ถ้ามีการ”ติดป้าย” ที่ต้นทาง เพื่อให้รู้ว่ามีการ”ซ่อมแซม ปรับปรุง” ถนนสายดังกล่าว ผู้ที่”ใช้รถใช้ถนน”ก็จะได้”เลือก” เส้นทางอื่นๆ ในการ”สัญจร” สภาพของ”จราจร” ก็จะ”จลาจล” น้อยลง ก็ ฝากเรื่องนี้ให้กับ” พล.ต.ตเชาวลิตร เลื้ยงสุพงศ์” ผบก. ภ.จว.สงขลา “พิจารณา” ในเรื่องการแก้ปัญหา”จราจร” ของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นเมือง”เศรษฐกิจ-การท่องเที่ยว” และ”การคมนาคม”ด้วย

คดี”โกดังพลุระบิด” ที่  ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ผ่านไปแล้วกว่า 1 ปี  แต่การช่วยเหลือ”ประชาชน” ที่ได้รับความ”เสียหาย” ซึ่ง”บ้านพัง”ทรัพย์สิน เสียหาย ยังไม่”สะเด็ดน้ำ” ส่วน”สองผัวเมีย” ที่เป็น”เจ้าของโกดังเก็บพลุ” ได้ยื่นประกันตัวต่อศาล โดยอ้างว่าจะได้ออกมา”ดำเนินการ” หาเงินมา”ชดใช้” ค่าเสียหายให้กับ “ประชาชน” โดยนำหลักทรัพย์ที่ดิน 15 แปลง มา”ค้ำประกัน” และมีการ”ไกล่เกลี่ย” ค่า”เสียหาย” จาก 300 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท มีการ นัดจ่ายเงินให้กับ”ผู้เสียหาย” และ”สุดท้าย” ก็”ผิดนัด” ก็เป็นหน้าที่ของ” โอราฬ กุลวิจิตร”  ประธานสภาทนายความภาค 9  ที่จะต้อง ติดตาม”จำเลย” ของคดีนี้มาเพื่อให้ ดำเนินการตาม “สัญญา” หรือไม่ก็ต้องให้มีการ”ขายทอดตลาด” หลักทรัพย์ ที่ใช้ในการ”ค้ำประกัน” เพื่อเป็นการ”ชดใช้” ความเสียหายให้กับ”ประชาชน”……ปีนี้พื้นที่ จ.สตูล ประสบกับ”อุทกภัย” บ่อยครั้งมาก สาเหตุ นอกจาก”ฝนตกชุก” แล้ว อาจจะมีเรื่องของการ”ทำลายป่า” เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งการ”ตื้นเขิน” ของ” แม่น้ำ ลำคลอง จนทำให้ สภาพของ”ภูมิศาสตร์” ที่ เปลี่ยนไป แต่ที่น่าชื่นชม สำหรับ จ.สตูล คือ หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง มีการ ช่วยเหลือ ประชาชน ที่ประสบปัญหา”น้ำท่วม” ได้อย่าง รวดเร็ว ในขณะที่ “ศักระ กปิลกาญจน์” ผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศแจ้งเตือน ให้ประชาชน เฝ้าระวังสถานการณ์ และให้มีการ”อพยพ”  เพื่อความ”ปลอดภัย” โดยมีการ”เตรียมที่พักพิง” ให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนไว้พร้อมสรรพ……ที่สำคัญ จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน ไม่ว่าจะเป็น “กระบี่,ภูเก็ต,ตรัง” ต้องมีการ เตรียมพร้อม รับมือ”น้ำท่วม” และ”ดินถล่ม” เพราะเกิดขึ้นบ่อยมาก ซึ่งล้วนมาจาก สาเหตุของการ”บุกรุกพื้นที่”ในการทำการเกษตร และเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อ ป้องกันความ”สูญเสีย” ที่เกิดขึ้น จาก”อุทกภัย” ที่ทุกฝ่ายเชื่อว่า ภาคใต้ ปี 2567  จะเป็นปีที่เกิด”อุทกภัย” ในภาคใต้ด้วยความรุนแรง “ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท” ฝ่ายปกครอง” และ”ท้องถิ่น” รวมถึง”หน่วยงานป้องกันสาธารณภัย” และ” หน่วยงานของ”กองทัพ” ในพื้นที่ต้องมีการ”ประชุม” เพื่อการ”วางแผนรับมือ” ให้ทันท่วงที “ตัวอย่าง” ที่เกิดขึ้นกับ” จังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” คือ”บทเรียน” ที่จะต้องไม่เกิดขึ้นในภาคใต้

หลัง“สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ลงพื้นที่”ขันน็อต” ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง ให้”เข้มงวด” ต่อกลุ่ม”มิจฉาชีพ” ที่ “ลักผลผลิต”ทางการ”เกษตร” ในพื้นที่  อ.สทิงพระ จ.สงขลา ทำให้ เจ้าหน้าที่”กระตือรือล้น” ป้องกัน และ จับกุม “คนร้าย” ทำให้”เกษตรกร” สบายใจได้พักหนึ่ง แต่ วันนี้ “สถานการณ์” การ”ลักขโมย” ผลผลิตของ”เกษตรกร” ในพื้นที่กลับมา”ชุกชุม” อีกครั้งหนึ่ง เจ้าของสวนกล้วย สวนปาล์ม สวนมะพร้าว รวมทั้ง พืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ต่างได้รับความ”เดือดร้อน” ต้อง”จับปืน” เฝ้าสวน เป็น”ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” จนมีคำถามว่า”เราเสียภาษี”ทำไมในเมื่อ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่รับ”เงินเดือน” จาก”ภาษี”ของประชาชน ไม่ได้ทำหน้าที่ในการดูแล”ประชาชน”เลย ……ส่วนสาเหตุที่”โจรผู้ร้าย” ในพื้นที่ซึ่ง”ชุกชุมยิ่งกว่ายุง” มาจากเรื่องของ”ยาเสพติด” ที่ในพื้นที่มีผู้”ติดยา” มีผู้”ค้ายา” จำนวนมาก  และคน”ติดยา” ส่วนใหญ่”ว่างงาน เมื่อต้องการใช้เงินเพื่อ”เสพยา” จึงต้อง,ลักเล็กขโมยน้อย” และสุดท้ายเมื่อไม่มี”ทรัพย์สิน” ให้ “ลักขโมย” จึงต้อง “ลักขโมย” ผลผลิตทางการเกษตรไปขาย เพื่อ”เสพยา” เรื่องนี้ต้องแก้ที่”ต้นตอ” นั้นคือ” การ”จับกุมผู้ค้ายาเสพติด” และการ”นำตัวผู้”ติดยา”ไป”เข้าคุก” หรือ”สถานฟื้นฟู” แต่ทั้งสองเรื่อง วันนี้เหมือนไม่มี”เจ้าภาพ” เพราะทั้ง”ตำรวจ” และ”ฝ่ายปกครอง” ไม่ได้มองว่าเรื่อง”ยาเสพติด” เป็นเรื่อง”สำคัญ” เป็น”วาระแห่งชาติ” จึงมีการ”จับกุม” ตามที่”กำหนด”เป้าหมายเอาไว้ เพื่อเป็น”ผลงาน”เท่านั้น ไม่ได้มีการ”กวาดล้าง”แบบ”ล้างบาง” หรือ”ขุดรากถอนโคน”  ที่ สำคัญ” เจ้าหน้าที่ “ จำนวนมากมี”ผลประโยชน์” กับ “ขบวนกาค้ายาเสพติด” เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของ”รัฐบาล” ที่มี” แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ถามว่า”คนไทยจะอยู่อย่างมีกิน มีเกียรติ มีศักดิ๋ศรี ได้อย่างไร “ถ้าในทุกพื้นที่ของ”ประเทศไทย” เต็มไปด้วย”ยาเสพติด” และเต็มไปด้วย”คนติดยา”……แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ครม.ครอบครัว สมบัติผลัดกันชม

เริ่มที่ภาพใหญ่ของประเทศ นั่นคือเรื่องของ”การเมือง” ที่เป็นเรื่อง”ใกล้ตัว” ของประชาชน เพราะถ้า”การเมืองดี รัฐบาลมีเถียรภาพ” ย่อมนำพาประเทศเดินหน้าไปสู่ ความ”สำเร็จ” ของการ แก้ปัญหาทุกอย่างที่”คั่งค้าง” กันมาในรอบหลายปี ทั้งเรื่อง”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ของประชาชน เรื่อง”ผลผลิตทางการเกษตร” ที่เกี่ยวข้องกับ”วิถีชีวิต” ของคนที่เป็น”เกษตรกร” ซึ่งเป็นคน”ส่วนใหญ่” ของประเทศ ที่สำคัญ “รัฐบาลที่มีเถียรภาพ” จะทำให้เกิดการ”ลงทุน” ทั้งจาก”ภายใน”ประเทศ และ “กลุ่มทุน” ที่มีจากภายนอกประเทศ……แต่เมื่อดู”ครม.อิ๊งค์ 1 “ ตั้งแต่เริ่มต้นในการนำ”บุคคล” จาก”พรรคการเมือง” ต่างเข้ามานั่งในตำแหน่ง”เสนาบดี” ที่ ส่วนหนึ่ง เป็น”มือใหม่” ที่ทำหน้าที่ในการ”สืบทอด” ตำแหน่งจากคนใน”ครอบครัว” เหมือกับ” กระทรวงต่างๆ” เป็น”สมบัติส่วนตัว” ของ”ครอบครัว “ ของ”วงศ์ตระกูล” ก็ ค่อนข้าง ที่จะเป็นห่วงว่า “รูปร่างหน้าตา” ที่เป็นแบบนี้ ของ”ครม.” น่าจะไม่มี”เสถียรภาพ” ทั้ง”ภายใน” และ”ภายนอก” เพราะเป็น”ครม.” หรือเป็น”รัฐบาล” ที่มี”จุดอ่อน” ตั้งแต่”หัวจรดเท้า” ให้ถูก”วิพากษ์วิจารณ์” จาก”นักวิชาการ” และ”สื่อมวลชน”  และกลายเป็น”ช่องทาง” ให้มีการ”ร้องเรียน” จาก” นักร้องอาชีพ” และจาก”ฝ่ายค้าน” และ”ฝ่ายแค้น” จน”รัฐบาล” ต้องทำหน้าที่ในการ”ขับเคลื่อน” แบบที่เรียกว่า” ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก”

ยิ่งฟังการ”แถลงนโยบาย” ของ”ครม.”ชุดนี้ ก็ยังค่อนข้าง”ว้าเหว่” เพราะยังมองไม่เห็นว่าจะมีการ”พัฒนาการ” ที่”ก้าวหน้า” กว่ารัฐบาล”ชุดเก่า” ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” ทำหน้าที่”นายกรัฐมนตรี” ใน 1 ปี ที่ผ่านมา ก่อนที่จะ”สะดุดขาตนเอง” จากการถูก”ศาลรัฐธรรมนูญ” ตีความว่ามีความผิดด้าน”จริยธรรม” อย่างร้ายแรง  “เหลียวหน้า แลหลัง” จึงยังมองไม่เห็น”อนาคต”ของประเทศ”และของ”ประชาชน”ว่าจะ”อยู่ดี กินดี”ตามที่มีการ”แถลง 10 นโยบายเร่งด่วน” จริงหรือไม่  แต่ก็ เอาเถอะ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกอย่างต้อง”เดินหน้าต่อไป” ก็ขอ”เอาใจช่วย” นายกรัฐมนตรีหญิง “แพทองธาร ชินวัตร” ให้ใช้ “สติปัญญา” ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา เพื่อ”บริหารประเทศ”ให้ เดินไปข้างหน้าอย่าง”เป็นมรรคเป็นผล”เพราะนอกจาก “คณะรัฐมนตรีใน ครม.” แล้ว ยังมี”ยอดคุณพ่อ” อย่าง”ทักษิณ ชินวัตร” ที่ต้อง”ปกป้อง” และ”ผลักดัน” การ”บริหารประเทศ” ของ”นายกรัฐมนตรี” แพทองธาร ชินวัตร” อย่าง”เต็มความสามารถ” สิ่งที่ต้องติดตามดูอีกเรื่องคือการที่”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี “ย้ำแล้วย้ำอีก”ว่า “ครม.ใหม่ ผู้นำใหม่ มี รัฐมนตรีหญิงถึง 8 คน ว่าสุดท้ายแล้ว “คนรุ่นใหม่” ที่เป็น”ครม.ใหม่” จะมีอะไรที่ใหม่ๆให้กับ “คนไทย” และ”ประเทศไทย” และเรื่อง “บ่อนการพนันเสรี และการให้ต่างชาติเช่าที่ดิน และ “ทรัพย์สิน” อื่นๆ เป็นเวลา 99 ปี ถือว่าเป็น”นโยบายใหม่” หรือไม่ รวมทั้งทำอย่างไรให้”ประเทศไทย” ก้าวทันประเทศต่างๆ อย่าง มาเลเซีย,อินโดนีเซีย,เวียดนาม” ที่ไปไกลกว่าเรามากแล้ว นี่ต่างหากคือ”เรื่องใหม่” ที่คนไทยต้องการเห็น

ส่วนเรื่องการออกมา”เปิดโปง” ถึง”เบื้องหลัง เบื้องหน้า” ของการเป็น”นักโทษเทวดา” ใน “ชั้น 14 “ ของ “โรงพยาบาลตำรวจ” ก่อนหน้านี้ จาก””พล.ต.อ.เสรี เตมียเวส” ซึ่งเป็น”เพื่อนรัก” ที่กำลัง”หักเหลี่ยม และ”เฉือนคม” แบบที่ตั้งใจจะ”เอาให้ตายคาเขียง” ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่คนในประเทศให้ความ”สนใจ” ดูแล้ว”ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ได้”หวั่นไหว”อะไร กับการออกมา”เปิดโปง”ของ”พล.ต.อ.เสรี เตมียเวส” ที่วันนี้การ”เปิดโปง” เรื่องราวของ”ทักษิณ” ลุกลามไปยัง “บุคคล” อื่นๆ เป็นจำนวนมาก  แต่  มีคำถาม จาก”สังคมไทย” ต่อ” พล.ต.อ.เสรี เตมียเวส” เช่นกันว่า  เรื่อง”เลวร้าย” ใน”ขบวนการ” ทั้งหมดที่นำมา”เปิดโปง” ถ้า”สมมุติว่า”พล.ต.อ.เสรี เตมียเวส” ไม่มีการ”สะบั้นไมตรี” กับ”ทักษิณ ชินวัตร” สังคมไทยจะรู้เรื่องนี้หรอไม่

ความหวังแรกของ”ประชาชน” ครึ่งค่อนประเทศ ที่หวังไว้กับ”รัฐบาล” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” นั้นคือการได้รับการ”แจกเงิน” ตามนโยบายของ”พรรคเพื่อไทย” คนละ 10,000 บาท ก็คงจะไม่”แห้ว” อย่างแน่นอน แต่จะได้รับ”แบบไหน” และ”เมื่อไหร่” ยังต้องรอความ”ชัดเจน” ซึ่งกลุ่มผู้”เปราะบาง” ที่ถือ”บัตรประชารัฐ”น่าจะเป็นผู้ที่เข้าถึง”สิทธิ”การได้รับ”แจก”ก่อนกลุ่มอื่นๆ ก็ต้องถามไปยัง”รัฐบาล” ว่า ถ้าเปลี่ยนจาก”เงินดิจิตัล” ที่”กำหนดให้ใช้เงินเพื่อ”ซื้อสินค้า” ใน”อำเภอ” ที่ผู้ได้”สิทธิ์” มาเป็นการ”แจกเงินสด” ที่ ประชาชนผู้ได้”รับแจก” เงินใช้ซื้ออะไรก็ได้และใช้ที่ไหนของประเทศก็ได้ จะเป็นการ”ตอบโจทย์” ของการทำให้”เศรษฐกิจ” ของประเทศ”เติบโต” หรือมีการ”หมุนเวียน”ของเงินถึง 4 รอบ ตามที่ “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รมช.คลัง ได้ เพียรพยายามในการ “โน้มน้าว” ให้เห็นถึง”ประโยชน์”การใช้ระบบ”ดิจิตัลวอลเล็ต”  เพื่อการ”กระตุ้น” เศรษฐกิจของประเทศให้”ฟื้นตัว” ดังนั้นถ้าเปลี่ยนเป็น”แจกเงินสด” และให้มีการ”ใช้จ่ายตามใจชอบ” ก็แสดงว่าการแจกเงิน 10,000 บาท ครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับการ”ฟื้นตัว”หรือไม่”ฟื้นตัว” ของ”เศรษฐกิจ” ใช่หรือไม่     แต่เป็นการ”แจกเงิน” ตาม”พันธะสัญญา” ที่ให้ไว้กับ”ประชาชน” เพื่อเป็นการหวัง”คะแนนเสียง” เพียงอย่างเดียว  อย่างนั้น ใช่หรือไม่

ในส่วนที่ต้องติดตามดูการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ”ของ”รัฐบาล” ชุดนี้ ก็ต้องติดตามบทบาทของ”รองนายกฝ่ายเศรษฐกิจ” คือ” พิชัย ชุณหวชิร” ที่ควบ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง” ว่าจะมี “นโยบาย” เศรษฐกิจ แบบไหน อย่างไร เพราะใน”รัฐบาล” เศรษฐา “ ที่ผ่านมา “พิชัย” ยังไม่ได้ แสดงความรู้ ความสามารถในเรื่อง”เศรษฐกิจ –การคลัง” ให้ “ประชาชน” ได้เห็นอย่างชัดเจน    เนื่องจาก ทั้ง”เสนาบดี-และ”รัฐมนตรีช่วย” มัวแต่”ยุ่งเหยิ่ง”กับการเข็น”โครงการดิจิตัลวอลเล็ต” จนไม่ได้”ใส่ใจ” กับเรื่องอื่นๆ โดยปล่อยให้เป็นการ”ขับเคลื่อน”ของ”เศรษฐา ทวีสิน”…….เสนาบดี”คนใหม่”อีกหนึ่งคนที่มาทำหน้าที่เป็น”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” คือ”พิชัย นริพทะพันธ์” อดีต “เสนาบดีกระทรวงแรงงาน”ที่มาทำหน้าที่”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” ซึ่งต้องดูฝีมือเรื่องการแก้ปัญหา”สินค้าแพง” เพื่อ”ปากท้องของประชาชน” เรื่อง”สินค้าจีน” ที่เข้ามา”ทุบตลาด”ของไทย จนทำให้ผู้ทำการค้า และ ธุรกิจ ต่างๆ ได้รับผลกระทบจนกำลัง”ล้มละลาย” และ การขับเคลื่อนในเรื่องของ “FTA ที่ “ล่าช้า” จะแก้อย่างไร นี่ก็ต้องรีบ”แสดงฝีมือ” ให้”ประชาชน”เห็นโดยเร็ว เช่นกัน ทุกปัญหาล้วน”รอไม่ได้” ทั้งนั้น……ส่วน”รองนายกฝ่ายความมั่นคง” ที่ใน อดีตของ รัฐบาล ”เศรษฐา ทวีสิน” ได้”มอบหมาย” ให้ใครอย่างเป็นทางการนั้น” ใน”รัฐบาล”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” มีการ”มอบหมายที่ชัดเจนว่าเป็นหน้าที่ของ”ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็น”รองนายกฝ่ายความมั่นคง” และเป็น”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม โดยมี “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล  นาคพาณิชย์” เป็น”รัฐมนตรีช่วย” กลาโหม ก็ได้แต่ “คาดหวัง”ว่าทั้ง”สหายใหญ่” และ”บิ๊กเล็ก” คงจะมองเห็นเรื่องของ”ความมั่นคง” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยต้องมีการ”ผ่าตัดโครงสร้าง” หน่วยงานความมั่นคงเสียใหม่  เพราะ ณ วันนี้ “สถานการณ์” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการ”เปลี่ยนแปลง”ไปมากแล้ว แต่ “โครงสร้าง” และ”นโยบาย”ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังไม่มีการ”เปลี่ยนตาม” ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงไม่”ตอบโจทย์” และไม่ได้ทำให้”สถานการณ์”การก่อการร้าย และการต่อสู้ทาง”การเมือง” ตามไม่ทัน “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่มีการ”ปรับเปลี่ยน”ไปตาม”สถานการณ์”

เดือนตุลาคม นี้ กองทัพภาคที่ 4 มีการ เปลี่ยนแปลง แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ แทน “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” หรือ”บิ๊กต้น” ที่เป็น แม่ทัพ ครบ 2 ปี ซึ่งข่าวว่าจะไปติดยศ”นายพลเอก” ที่”กองทัพไทย” และใครจะมาทำหน้าที่”แม่ทัพภาคที่ 4 “ คนใหม่ ซึ่งขณะนี้ก็มี 2 รายชื่อ นั่นคือ” พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยที่ 4 และ “พล.ต.ไพศาล หนูสังข์” รองแม่ทัพภาคที่ 4 และ รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งก็”มีดี” และ”มีนาย” ทั้งคู่ ก็ต้องตามดูว่า” สหายใหญ่” และ”บิ๊กเล็ก”  เสนาบดีกลาโหม และ รอง เสนาบดี กลาโหม จะ”หยิบรายชื่อ” ของใครมาเป็น” แม่ทัพภาคที่ 4 “ เพราะถึงอย่างไร คนเป็น” แม่ทัพภาคที่ 4” ก็มีความ”สำคัญ” กับ นโยบายของการ”ดับไฟใต้” และปัญหา”ภัยแทรกซ้อน” อื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องการ”ป้องปรามยาเสพติด, การตัดไม่ทำลายป่า” และ” ขบวนการ”ค้าของเถื่อน” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้…..รวมทั้งต้องจับตาตำแหน่งการแต่งตั้ง” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ “ (สมช.) แทน “พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” เลขา สมช. ที่มีเวลาทำงานเพียง 6 เดือน ก็ต้อง เกษียณอายุราชการ ข่าวว่า ตำแหน่ง “เลขาธิการ สมช.” มี”นายตำรวจ”  และ”นายทหาร” ที่เป็นคนของ”ทักษิณ” จะ”ไสลด์” จาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจาก”กองทัพบก”เข้ามา”เสียบ” อีกครั้ง  ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่อยากจะถามว่า คนที่มาจาก”หน่วยอื่น”มี”ความรู้ ความสามารถ”เพียงพอหรือไม่ ถ้ามาเพราะ”อกหัก” จาก “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” หรือ”กองทัพบก” และมาเพื่อขึ้นเป็น” ซี 11 “ รัฐบาลต้อง”ใคร่ครวญ” ให้”รอบคอบ” เพราะการที่”ไฟใต้” ไม่สามารถ”มอดดับ” ส่วนหนึ่งมาจากการ”ไร้ประสิทธิภาพ” ของ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ( สมช. ) ที่มี”เลขาธิการ” ที่มาจาก” ทหาร,ตำรวจ” ที่ไม่ใช่”ลูกหม้อ” ของ “สมช.” และ  “สมช.” วันนี้ ทำงานสนองนโยบายความมั่นคงทาง”การเมือง” มากกว่า”ความมั่นคงของ”ประเทศชาติ”

ข่าว”วงใน” แจ้งว่า มีอดีต”นายทหาร” หลายคน เข้าพบกับ “ทักษิณ ชินวัตร” เพื่อ”พูดคุย”ถึงการ”ขับเคลื่อน” เวทีการ”พูดคุยสันติสุข”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้  ที่มี”ฉัตรชัย บางชวด “ รองเลขาธิการ สมช. ทำหน้าที่เป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย เพื่อให้มีการ”เปลี่ยนตัว” จาก” ฉัตรชัย บางชวด” เป็น”นายทหาร”ที่ “เกษียณอายุราชการ” แล้ว เรื่องนี้ แสดงว่า”ทักษิณ ชินวัตร” จะกลับมามี”บทบาท” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการ”ขับเคลื่อน” การ”พูดคุยสันติสุข” ที่เริ่มต้นจาก” ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้”ริเริ่ม” ในสมัยที่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี และมี”พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” อดีต “เลขาธิการสภาความมั่นคง” ที่ทำหน้าที่”หัวหน้าคณะพูดคุย” ในชื่อ”การพูดคุยสันติภาพ” และมี” พ.ต.อ. ทวี สองส่อง” อดีตเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) เป็นผู้ร่วม”ขับเคลื่อน” ที่”เข้มแข็ง” ก็ต้องติดตามดู”บทบาท” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะมี”กลเม็ดเด็ดพราย” อะไร ที่จะใช้ในการ”ขับเคลื่อน” เวทีการ”พูดคุย” ระหว่าง”รัฐบาลไทย” กับ”บีอาร์เอ็น” และต้องติดตาม”ปฏิกิริยา”ของ”แกนนำบีอาร์เอ็นฝ่ายทหาร” ว่าจะ”เห็นด้วย”ที่จะมี”ทักษิณ ชินวัตร” อยู่เบื้องหลังในการ”พูดคุย” หรือไม่ รวมทั้ง”ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น” หรือ”ภาคประชาสังคม”ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังคงทำการ”ไอโอ” ว่า”ทักษิณ ชินวัตร” คือ”ส่วนหนึ่ง” ของการ”ซ้อมทรมาน, อุ้มหาย” รวมทั้งการ”ฆ่าตัดตอน”และการ”ตายหมู่” 83 ศพ ของ”คดีตากใบ” ที่ถูก”บีอาร์เอ็น”ปลุกระดมให้มีการ”รื้อฟื้น” คดีขึ้นใหม่ในขณะนี้การเข้ามาของ”ทักษิณ ชินวัตร” จะทำให้”ไฟใต้”ลดความร้อนแรง หรือ”โชนแสง” ยิ่งขึ้น เป็นสิ่งที่ต้องติดตาม

นักท่องเที่ยว”ต่างชาติ” เข้ามาท่องเที่ยวใน เมืองท่องเที่ยว ที่เป็น “เกาะแก่ง” อย่าง” เกาะพะงัน.เกาะสมุย,เกาะเต่า” และ อื่นๆ ใน จ.สุราษฎร์ธานี และ จังหวัดอื่นๆ มากเท่าไหร่ “ไกด์เถื่อน” ที่เป็น”คนต่างชาติ” ที่เข้ามา”แย่งอาชีพ” ของ”ไกด์คนไทย” ก็มากขึ้น”เป็นเงาตามตัว” มีการเปิด”สำนักงาน” มีการ”เช่าบ้าน” อยู่อย่างเปิดเผย แต่การ”จับกุม” ยังน้อยมาก ก็ต้องฝากเรื่องนี้ให้กับ 2 หน่วยงานช่วยกัน”ตรวจสอบ นั้นคือ” กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว” ที่มี”พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ “ ผบช.ตำรวจท่องเที่ยว และ “พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ “ ผบก. ตรวจคนเข้าเมือง ที่ต้องมีการ”บูรณาการ”ด้วยกัน ทั้งงาน”การข่าว” และการ”จับกุม เพื่ออย่าให้”ต่างชาติ” เข้ามา”แย่งงาน”ของ”คนไทย”

”ศึกสายเลือด” ใน”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ยังคง”ลากยาว” เพราะ”บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่ยอมจบ ยังมีการ”ไฟเขียว” ให้”ลูกน้อง” ที่ต้องคดีให้ออกมา”ลากไส้” ตำรวจที่อยู่ใน”ก๊วน” ที่มี”เส้นทางการเงิน” ในการ”รับ”ส่วย” ล่าสุดมีการ”แฉ” ถึง”ตำรวจ” อีก 33 คน และส่วนหนึ่งของเป็น”ก๊วน” ที่อยู่ใน”เส้นเงินสีเทา” ในภาคใต้ “ยุทธการ”นี้ หมายถึง”กูเลว” มึงก็”ชั่ว” ส่วนผลการ”สืบสวนสอบสวน” ทราบว่ากำลังเดินหน้าต่อโดยมี”เส้นทางการเงิน”ไปยัง” บุคคลใกล้ชิด” อีก 3 ราย ดังนั้นเรื่องของ”บิ๊กโจ๊ก” จึงยังไม่จบแค่มี”ราชโองการให้ออกจากราชการ” และ”บิ๊กโจ๊ก” ก็ยังมี”หมัดเด็ด” เป็นชุดๆ ในการ”ลากจูง” กลุ่ม”ตำรวจ” ที่”เก็บส่วย” และ”รับส่วย”และยิ่งใกล้หน้า”โยกย้าย” คนที่”ถูกแฉ” ก็ยิ่ง”หนาวๆร้อนๆ” เพราะเรื่องนี้”ส่งผล” ถึงการ”โยกย้าย” แน่นอน

ชาวบ้านที่ อ.นาทวี จ.สงขลา เขาสงสัย ฝากคำถามถึง “ทวี บุญสอน” ผอ.แขวงการทางสงขลา 2 ( นาหม่อม ) ที่ แขวงการทางเพิ่งติดตั้งหมุดสะท้อนแสงได้เดือนเศษ หน้า โรงพยาบาลนาทวี  อ.นาทวี จ.สงขลา  แต่วันนี้มีการนำ” แท่งแบริเออร์” มาวางทับหมุดสะท้อนแสง” แท่งแบริเออร์” ทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเดือดร้อน  ในการกลับรถ รถเก๋ง รถจักรยานยนต์ มองไม่เห็น แม้แต่ นักเรียนเทศบาลก็มองไม่เห็นเพราะ”แท่งแบริเออร์” สูงมาก ชาวบ้านสงสัยว่า แขวงการทางงบเยอะ  ถ้าอย่างไรก็ ช่วยตรวจสอบ เพื่อให้เห็นว่าชาวบ้าน”เดือดร้อน” จริงหรือไม่

เรื่องของ”ชาวเมียนมาร์” ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ทั้งที่”ถูกต้อง” และที่”เถื่อนๆ” ที่นี้เคย เขียนมาหลายปีว่าจะเป็น”ภัยความมั่นคง” ถ้าไม่มีการ”ควบคุม” ที่ดีพอ อย่างล่าสุด”การจัดตั้งศูนย์การเรียนภาษาของชาวเมียนมาร์ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ที่ถูกผู้ว่าราชการจังหวัด”  เจษฎา จิตรัตน์  “ สั่งปิดไปแล้วนั้น มีการ”ตรวจสอบ” หรือไม่ว่า “ศูนย์การเรียน” เหล่านี้ยังมีอยู่ที่ไหนบ้าง เรื่องนี้”กอ.รมน.จังหวัด” ต้องทำหน้าที่ในการ”ตรวจสอบ” และ “ดำเนินการ” ให้เป็นไปตาม”กฎหมาย” อีกเรื่องที่จะเป็น”ภัยความมั่นคงในอนาคต” คือ” คนเมียนมาร์” ที่เข้ามา “ทำงาน”ในประเทศไทย จะ”แต่งงาน”กับคน”เมียนมาร์” ด้วยกัน และ “ลูก” ที่เกิดมาก็จะได้”สัญชาติไทย” แต่ไม่”เลือดเนื้อเชื้อไข” ที่เป็น”คนไทย”   ดังนั้นเราจึงต้องรับภาระทั้งในเรื่อง”งบประมาณ” ในการ”เลี้ยงลูกเมียนมาร์” ตาม”กฎหมาย” และใน”อนาคต” อาจจะเป็น”ภัยความมั่นคง” เกิดขึ้นก็ได้ เรื่องอย่างนี้”ฝ่ายความมั่นคง” และ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” คิดเห็นอย่างไรกับปัญหานี้ หรือยังมองว่า”ยังห่างไกลตัว” จึงยังไม่ต้องมีการ”คิดอ่าน” ทั้งการ”ป้องกัน” และการแก้”ปัญหา”

อาชีพการ”เลี้ยงโค” ในภาคใต้ กำลัง”ล่มสลาย” เพราะปัญหา”โคเป็นๆ” ที่ราคาถูก จากที่เคยขายให้”โรงฆ่าสัตว์” ตัวละ 40,000 บาท เหลือเพียง 20,000 บาทเศษ ทั้งที่ราคา”เนื้อหน้าเขียง” ยังขายให้กับผู้ซื้อ กิโลกรัมละ 270 บาท สอบถาม”ต้นสายปลายเหตุ” ทราบว่า มีการนำ”เนื้อแพ็ค” จาก”ต่างประเทศ” เข้ามา”ตีตลาด” ซึ่ง”เนื้อแพ็ค” ที่เป็น”เนื้อเถื่อน” ราคาถูก กว่ามาก  และขณะเดียวกันก็มีการ”นำเข้าโคเถื่อน”จากประเทศเมียนมาร์ เข้ามาทาง อ.แม่สอด จ.ตาก และ อำเภอชายแดน  จ.แม่ฮ่องสอน และ ชายแดนไทย-เมียนมาร์ ด้าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็เป็น เส้นทางนำเข้า”โคเถื่อน”  ซึ่งอยู่ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เป็น”ผู้แทนระดับชาติ” และ”เครือข่าย” ที่เป็น”กลุ่มทุน”ของ”นักการเมือง” เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ “เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” อย่าง” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เสนาบดีป้ายแดง” ที่ต้อง ดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน   แต่นั้นแหละ จะแก้อย่างไร ในเมื่อใน”เครือข่าย”นี้มี”นักการเมือง” ร่วมอยู่ด้วย

วันก่อน ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา ได้มีโอกาส “เสวนา” กับ” อู๋ ตงเหมย” กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดสงขลา ในโอกาสที่ ครอบรอบ 30 ปี ของ การก่อตั้งสำนักงานกงสุลจังหวัดสงขลาที่มีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน” ที่มีความ”ก้าวหน้า” อย่าง”มั่นคง” ในฐานะที่”จีน-ไทย” ไม่ใช่คนอื่นไกล” แต่เป็น” พี่น้องกัน” โดย “กงสุลใหญ่” ได้ สนับสนุน ส่งเสริม ให้มีการ ส่งออก”มะพร้าวน้ำหอม” ของ”สงขลา” และ”ภาคใต้” ไปยัง “มณฑลไหหลำ” สาธารณรัฐประชาชนจีน มีการ”เปิดทาง” ให้ “ผู้นำข้า” ที่เป็น “บริษัทของคนจีน ได้พบปะกับ”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ที่”มณฑลไหหลำ” ที่มีความต้องการ”มะพร้าวน้ำหอม” เป็นจำนวนมาก ก็ต้องติดตาม”บริบท” ของ” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา” ว่าจะมีการ”สานต่อ” อย่างไร เพราะเรื่อง”การค้าระหว่างประเทศ” ต้องมี”กระบวนการ” หลายขั้นตอน ที่ต้องมีการ”ประชุมเสวนา” ทั้ง “ผู้ส่งออก” และ”เกษตรกร” เพราะ”ผลไม้ทุกชนิด” ที่ส่งออกไปยัง”ต่างประเทศ” เน้นที่”คุณภาพ” และต้องไม่มี”สารพิษตกค้าง” เสียดายที่”สมนึก พรหมเขียว” จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน นี้ ก็ฝาก”ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา” ก่อนที่จะ”หมดหน้าที่” ให้”มอบหมาย” เรื่องดีๆอย่างนี้ให้”รองผู้ว่าราชการจังหวัด” ทำการ”สานต่อด้วย”……และที่น่าสนใจที่เป็น”สาระสำคัญ”จากการ”เสวนา” กับ”กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน” คือเรื่อง”ทุเรียนของจังหวัดชุมพร” ซึ่งเป็นที่ต้องการของ”สาธารณรัฐประชาชนจีน” ในการส่งออก”ทุเรียนไทย” 900,000 กว่าตัน ของปีที่ผ่านมาเป็น”ทุเรียน” จาก” จ.ชุมพร ของภาคใต้ถึง 400.000 ตัน ด้วยกัน ซึ่งฟังแล้วยังเห็นว่า”อนาคต” ของ”ผลไม้ไทย” หลายชนิดยัง”สดใส” ในการ”ส่งออก” ไปยัง”ประเทศจีน”

ผลงานในการทำหน้าที่ตรวจสอบการ”บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ” และ”อุทยานแห่งชาติ” ใน สามจังหวัด และ 4 อำเภอของ จังหวัดสงขลา ของ”พล.ต.ต.พิชญวุฒิ สงวนสมบัติศิริ “ ผบก. ตชด.ภาค 4  มีให้เห็นเป็นระยะๆ พบการ”บุกรุกป่า”ด้วยการ”ตัดไม้ “ เพื่อ”แปรรูป” ส่งขายให้”นายทุน” และนำเอา”พื้นที่เพื่อทำการเกษตร ปลูกสวนยาง สวนทุเรียน สวนผลไม้  นี่คือปัญหาที่เป็น”ภัยแทรกซ้อน” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่สิ่งที่ชวนสงสัยคือ ในการ”จับกุม”ทุกครั้งไม่เคยได้”ผู้ต้องหา” และหลังการ”แจ้งความลงบันทึกประจำวัน” เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่เคย”สืบสวน สอบสวน” หาผู้ทำความผิดมาลงโทษ นี่อาจจะเป็น สาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ “มอดไม้” ไม่เกรงกลัว”กฎหมาย” เพราะทำผิดโดยไม่ต้อง”รับโทษ”

เรื่องของ”จราจร” ในพื้นที่ สภ.หาดใหญ่ และ สภ.คอหงส์  ซึ่งมีการ”ตั้งด่าน” จับกุมผู้ทำผิด”กฎหมายจราจร” มีการ”ร้องเรียน” ถึงความ”เดือดร้อน” และยังมีกลุ่ม”ชาวมาเลเซีย” ที่เข้ามาในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ และ ถูก”จับกุมในข้อหา”ผิดกฎหมายจราจร” ก็ เข้าใจนะ ทั้งกับ” พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์  ผกก.สภ.หาดใหญ่ และ พ.ต.อ.บัญฑรู เทพสุวรรณ ผกก.สภ. คอหงส์ ที่ต้อง”เคร่งครัด”และ”กวดขัน”วินัยการ”จราจร” เพื่อความ”ปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน” แต่ก็ต้อง”กำชับ” ลูกน้อง ที่เป็น ตำรวจจราจร” ให้อยู่ใน”สายกลาง” และต้องมี”มาตรการ” อื่นๆที่ไม่ใช่การ”จับกุม” เพียงอย่างเดียว เพื่อการแก้ปัญหาการทำผิด”พรบ.จราจร” มาเป็น”ตัวช่วย”

เจ้าของเรือประมงที่เข้าโครงการให้”รัฐบาลซื้อเรือคืน” ผ่านไปแล้ว 5 ปี เรือที่”เข้าโครงการ” ยังไม่ได้รับเงินจากรัฐบาลอีกจำนวนนับ 100 ลำ เจ้าของเรือต้องมี”ค่าใช้จ่าย” ในการ”จ้างคนเฝ้าเรือ” เพื่อ “สูบน้ำออก” ป้องกัน”เรือจม”และป้องกัน”คนมาขโมยสิ่งของในเรือ เพราะเรือแต่ละลำ มีราคา 5 ล้าน 10 ล้าน เรื่องนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด ประมงจังหวัด หมดทางที่จะแก้ปัญหา นี่ก็เป็นเรื่องที่ “ครม.แพทองธาร ชินวัตร” ต้องเร่งแก้ปัญหา เพราะปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับ”ชาวประมงจังหวัดสงขลา” แต่เป็นทุกจังหวัด ที่มีอาชีพในการ”ทำประมง”

ฝนตกน้ำท่วม เป็นปัญหาที่”ซ้ำซาก” เช่นเดียวกับที่ ประชาชน ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประสบอยู่  ซึ่งการแก้ปัญหาก็เป็นอย่าง”ซ้ำซาก” นั้นคือ”แจกถุงยังชีพ” ทั้งจาก”ภาครัฐ”และ”เอกชน” พร้อมทั้งมี” นายกรัฐมนตรี”  สส. ที่เป็น”นักการเมือง” ลงพื้นที่ และ”ชี้โบ้ชี้เบ้” รับปากกับ”ประชาชน” รวมทั้ง”ออกทีวี” ที่จะ แก้ปัญหาด้วยการ ทำ โน่น สร้างนี้  เช่นการ”สร้างเขื่อน” สร้าง”อ่างเก็บน้ำ” และ กั้นตลิ่ง ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ”งบประมาณ” ทั้งสิ้น( ถ้าได้สร้าง) ก็ต้องมี”เงินทอน” รวมทั้งมีการตั้ง”คณะทำงาน” เพื่อ”ศึกษาปัญหา”ที่เกิดขึ้น …..จริงๆแล้ว เรื่องการ”ศึกษาผลการะทบ”จาก”อุทกภัย” และ”ภัยแล้ง” รวมทั้งปัญหาเรื่องทุกเรื่องของประเทศนี้  ไม่จำเป็นต้อง”ตั้งงบประมาณเพื่อการศึกษา” ให้”สิ้นเปลือง” เพราะทุกเรื่อง ทุกปัญหา มี หน่วยงาน ได้ทำการ”ศึกษา” ไว้หมดแล้ว สิ่งที่”ขาดคือ” ไม่มีการ”ผลักดัน” ให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น…..และ ภาคใต้ อีก  1-2 เดือน ก็จะเข้า”หน้าฝน” ที่ต้องมีเรื่อง”น้ำท่วม” เข้ามาให้ต้องแก้ปัญหา ความ”เดือดร้อน”ของประชาชน” วันนี้ “ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย” องค์กรปกครองท้องถิ่น” ตั้งแต่ อบจ. เทศบาล จนถึง อบต. และ ฝ่ายปกครอง ที่มี “ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ แต่ละพื้นที่มีความพร้อมในการ”รับมือ” การเกิดขึ้นของ”อุทกภัย” แค่ไหน เร่งทำการ”บูรณาการ” เพื่อการ”รับมือ” เสียแต่เนิ่นๆ อย่าให้”ไฟลนก้น” แล้วค่อย ดำเนินการ เพราะนั้นจะเข้าสุภาษิต” ถั่วสุกงาไหม้”  โดยเฉพาะภาคใต้ ช่วงเวลาที่มี”น้ำท่วม” จะเป็น ห้วงเวลา ที่มีการ”เปลี่ยนผ่าน”ตำแหน่ง ระดับสูงทุกตำแหน่ง ตั้งแต่”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ขึ้นไป ทำให้ หลายจังหวัด”ขลุกขลัก” ในการ แก้ปัญหา”อุทกภัย”

แต่ก็ยัง”อุ่นใจ” ใน”ภาคใต้” มีหน่วยงานของ”กองทัพ” ทั้ง “กองทัพภาคที่ 4 “ ทัพเรือภาคที่ 2 และภาคที่ 3 มี กองบังคับการนาวิกโยธิน ใน จ.นราธิวาส  โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ปัตตานี ,ยะลา นราธิวาส” มี”ค่ายทหาร และกำลังพล ปฏิบัติการในพื้นที่ ที่พร้อมที่ “รถราม้าช้าง” และ”กำลังพล” ในการให้การ”ช่วยเหลือ” ประชาชน ได้ทันท่วงที พอที่จะให้”อุ่นใจ” กับ”ประชาชน” แต่นั้นแหละ” ประชาชน” ก็ต้อง”เตรียมพร้อม” ติดตาม”ข่าวสาร” และ”ตั้งรับ” การมาของ”อุทกภัย” ที่สำคัญ”ไม่ประมาท” แบบที่”รอให้น้ำท่วม” แล้วค่อย”เก็บของ” หรือ”อพยพ” แล้วก็ออกมา”โทษฟ้าโทษดิน” โดยเฉพาะ”โทษเจ้าหน้าที่” ว่าไม่พร้อมในการ”ช่วยเหลือ”  ทั้งที่”หลักการ”ที่ถูกต้องคือ”ตนเป็นที่พึงของตนเอง”……ส่วน เทศบาลนครหาดใหญ่  อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วันนี้ โอกาสที่จะมี”น้ำท่วม” และสร้างความ”เสียหาย” อย่างใน”อดีต” น่าจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะมี “คลอง ร.5” ที่เป็น”คลองสำคัญ” มีความพร้อมในการ”รับมวลน้ำ” เพื่อออกไปยัง”ทะเลสาบสงขลา” แต่ยังมีปัญหาเรื่อง”น้ำท่วมขัง” ในพื้นที่”ลุ่มต่ำ” ในเขตเทศบาลนครหลายใหญ่ ที่ยังเป็นความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน ที่” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศบาลนครหาดใหญ่  ซึ่งมีข่าวว่ามีการ”เตรียมพร้อม” ในการ”รับมือ” เอาไว้แล้ว เที่ยวนี้ต้อง”เต็มที่” กับปัญหา”น้ำท่วมขัง” หรือ”น้ำรอระบาย” เพราะปี 2568  มีการ”เลือกตั้ง” ระดับ”เทศบาล” ที่” พี่หลวงคร” ประกาศที่จะลงสนาม”สู้ศึก” เป็นครั้งที่สอง

ส่วนในระดับอำเภอของ อำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา ยังเชื่อมั่นในการเป็น”มือทำงาน” ของ”เอก ยังอภัย ณ สงขลา” นายอำเภอหาดใหญ่ ที่มีการ”เตรียมการ” รับมือกับ”น้ำท่วม” ทั้งในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ โดยการ”บูรณาการ” กับ”เทศบาลนครหาดใหญ่ และกับ” เทศบาลต่างๆ  อบต. และ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้มี”ความพร้อม” กับการดูแล”ประชาชน” เรื่อง”ภัยธรรมชาติ” เป็นเรื่อง”ห้ามไม่ได้”ก็จริง แต่ถ้า ทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง มีการ”บูรณาการ” อย่างมี”ประสิทธิภาพ” ก็จะเป็นการ”ผ่อนหนัก เป็นเบา”

ผ่านไปทาง”เมืองชายแดน” อำเภอสะเดา จ.สงขลา “โฟกัส” ไปยังพื้นที่ ต.สำนักขาม ซึ่งเป็นเมือง”เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว”  วันนี้เรื่องของ”ยาเสพติด” เบาบางลงพอสมควร จากการ”เข้มงวด”ของ” พ.ต.อ.สุรจิต เพชรจอม” ผกก.สภ. สะดา ส่วนเรื่องของ”สถานบันเทิง” ก็มีการ”เปิด-ปิด”ตามเวลาที่”กฎหมาย” กำหนด ส่วนใครไม่ทำตามก็”ดำเนินการตามกฎหมาย”  “ด่านนอก” ในวันที่” อาญาจักร “ของ”เสี่ยวจาง” หรือ”โทนี เตียว” ล่มสลาย และ ถูกส่งตัวให้ประเทศจีน ดำเนินคดีในข้อหา”ฉ้อโกง” ประชาชนชาวจีน ถึง 400,000 ล้านหยวน วันนี้”ด่านนอก” จึงเป็น”เมืองชายแดน ไทย-มาเลเซีย” ที่ไม่เหมือนเดิม อีกต่อไป ….. แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า  สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง..จับตาทักษิณคัมแบ็ค ครม.สืบสันดาน

เห็นกันชัดๆแล้ว สำหรับ”โฉมหน้า ครม.” ของ”รัฐบาลอิ๊งค์ 1” ว่าพรรคไหน ส่งใครมาทำหน้าที่”เสนาบดี” และเป็น”เสนาบดี” ของ”กระทรวงไหนบ้าง ซึ่ง ส่วนใหญ่ ในตำแหน่งหลักๆ ในกระทรวงเบิ้มๆ” ไม่มีการ”เปลี่ยนแปลง” ยกเว้น “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รู้ตัวว่าเป็น”สายล่อฟ้า” จึง”ถอยฉาก” ไปเป็น”รัฐมนตรีเงา” โดยยกตำแหน่งให้ “นฤมล สินภิญโญวัฒน์” และ”อัครา พรหมเผ่า” ผู้เป็น”น้องชาย” ทำหน้าที่” รัฐมนตรีว่าการ และ รัฐมนตรีผู้ช่วยว่าการ เป็นการ”รู้เขา รู้เรา” ไม่สร้างความ”หนักใจ” ให้กับ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง “รู้เรา” คือ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” เพราะหากยังเสนอตัวเป็น”เสนาบดี” เกิด”จับพลัดจับผลู” มีผู้”ร้องเรียน”ให้”ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำการตรวจสอบเรื่อง”จริยธรรม” นอกจากจะ”ชวด” ตำแหน่ง”เสนาบดี”แล้ว” ยังไม่อาจ”เล่นการเมือง”ต่อไปอีกต่างหาก ที่ สำคัญจะเป็นการ”ฉุดลาก” ให้” “แพทองธาร ชินวัตร” หรือ”นายกลูก” ต้อง”หลุด”จาก”เก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกด้วย…..เช่นเดียวกับ”ชาดา ไทยเศรษฐ์” รมช.มหาดไทย ที่วินาทีสุดท้าย ไม่มั่นใจในตัวเองจึง”หลบฉาก” มาทำหน้าที่ สส.เพียงอย่างเดียว  โดยส่ง”บุตรสาว” รับตำแหน่ง “รมช.มหาดไทย” ที่มี”ยอดคุณพ่อ” ทำหน้าที่เป็น” ผู้ช่วย รัฐมนตรีช่วย เป็นตำแหน่ง”ช่วยรัฐมนตรี” ที่”วุ่นวายพิลึกกึกกือ”  แหม เล่นบทเดียวกับ”นายใหญ่” เลยนะเนี่ย ไม่ธรรมดาจริงๆ    แต่ในความรู้สึกของ”ชาวบ้านร้านช่อง” ฟังมาว่าไม่มีใคร”แฮปปี้” เพราะรู้สึกเหมือนว่า”ตำแหน่งทางการเมือง”ของ”รัฐบาล อุ๊งอิ๊ง 1 “ กลายเป็น”รัฐบาลครอบครัว” ที่ตำแหน่ง”รัฐมนตรี” เป็นของ”ครอบครัว” ที่คนใน”ครอบครัว” ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ในการ”บริหารกระทรวง”  เรื่องแบบนี้ถ้า”ผู้นำรัฐบาล” ไม่”แคร์ต่อความรู้สึก”ของ”ประชาชน” ก็เป็นเรื่อง”อันตราย” ทางการเมือง และอาจจะทำให้เกิดความ”เสื่อม” ที่มากขึ้นกับเรื่องของ”การเมือง”

คาบนี้”ประชาธิปัตย์” ไม่ต้องเป็น”แม่สายบัว” ที่แต่งตัวเก้อ” เพราะมี”เจ้าบ่าว” หามเกี้ยว มารับเข้าร่วมรัฐบาลได้”ร่วมหอลงโรง” ร่วมเป็น”รัฐบาล” โดยได้”รางวัล” ในการทำให้”พรรคแตก” เป็น”สองเสี่ยง” ด้วยตำแหน่ง “เสนาบดี”กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ที่เป็นของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน”  ส่วน “รัฐมนตรีช่วย” อีกหนึ่งตำแหน่งเป็นของ”เดชอิศม์ ขาวทอง” หรือ”นายกชาย” ที่ รอตำแหน่ง”รัฐมนตรี” มานาน ครั้งนี้”สมหวัง” เสียที่ แต่หลังจากนี้ไป ก็ต้อง”ติดตาม”ว่า ทั้ง”เฉลิมชัย” และ”เดชอิศม์” จะเดินไปบนเส้นทางที่”ปูหินอ่อน” หรือเป็นเส้นทางของ”ขวากหนาม” เพราะมี”นักร้อง” เข้าคิว”จองกฐิน” ร้อง”ศาลรัฐธรรมนูญ” ในเรื่องของ” จริยธรรม” เพื่อ”โค่น” รัฐบาลของ”แพทองธาร ชินวัตร”.มากมายจน”นับหัวไม่ถ้วน”…..ก็น่าเป็นห่วงสำหรับ”รัฐบาล”ของ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิง คนที่ 2 ของประเทศไทย จาก”ตระกูลชินวัตร” ทั้งคู่ เพราะฟังจากข่าว  จาก”บุคคล” ในวงการเมือง ในประเด็นมี”สส.ที่เป็น”เสนาบดี” ที่มี”สีเทา” ที่”เข้าข่าย” อาจจะถูก” สอย” โดย”ศาลรัฐธรรมนูญ” ถึง 11 คน  ถ้าเรื่องนี้”มีมูล” ก็ แสดงว่า”รัฐบาลอิ๊งค์  1 “ น่าจะเป็น”รัฐบาล” ที่”อายุสั้น” ไม่ต่างจาก”รัฐบาล”ของ”เศรษฐา  ทวีสิน” ที่มีอายุเพียง 1 ปี ก็ “สะดุดขาตนเอง” จน”หกล้ม” จาการแต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรี” แต่ก็ยังไม่”เข็ดหลาบ” และยังคงปล่อยให้”ประวัติศาสตร์” ซ้ำรอย

แต่นั่นแหละ เป็นที่รับรู้ว่า สำหารับ”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้อยู่เบื้องหลังของ”รัฐบาลคุณลูก” ในการ”ขับเคลื่อน” เดินเกมการเมืองแล้ว เขายังเป็น”ทักษิณคนเดิม” ที่ชอบเล่น”เกมเสี่ยง”ที่ทั้ง”หวาดเสียว” และ”ท้าทาย” จนยอมที่จะเอา”ทายาท”เข้ามา”เสี่ยง”กับ”เกมการเมือง” ในครั้งนี้    ก็ต้อง”เกาะติด” เส้นทางของ”รัฐบาล” ที่”เปลือกนอก”เข้มแข็ง” เพราะมีเสียง”สนับสนุน”จากพรรคการเมืองอย่าง”ท่วมท้น” แต่ ภายใน”เปราะบาง” เพราะอย่างน้อย 2 พรรคการเมือง” ทั้ง”ประชาธิปัตย์” และ”พลังประชารัฐ” เต็มไปด้วยความ”ขัดแย้ง”ภายในพรรค ที่เป็นเหมือน”เม็ดกรวดในรองเท้า” ที่”ทุกย่างก้าว”ของ”รัฐบาล” ทั้ง”เจ็บจี๊ด” และทั้ง”รำคาญ เพราะ”ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน, และ”จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” นักการเมืองรุ่น”ลายคราม” ที่เป็น”ฝ่ายค้าน” ของ”ประชาธิปัตย์” ต้อง”ค้านทุกเม็ด” กับ นโยบายของ”รัฐบาล” ที่เห็นว่า”ไม่ถูกต้อง…..และขณะเดียวกัน “รัฐบาล”ชุดนี้ ยังต้อง ผจญกับ”พรรคฝ่ายค้าน” อย่าง”พรรคประชาชน” ที่มี”ณัฐพงค์ เรืองปัญญาวุธ” เป็น หัวหน้าพรรค แล้ว ยังต้อง” ผจญ”กับ”พรรคฝ่ายแค้น”พลังประชารัฐ” ที่มี”ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค และ”แน่นอน”คนอย่าง”ลุงป้อม” ย่อมไม่ใช่”ตะเกียงขาดน้ำมัน” ไม่ใช่”สมันน้อย” แต่เป็น”ตัวเม่น” ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจ”แตะต้อง”หรือ”ตอแย”ง่ายๆ เชื่อเถอะ มี”ศัตรู”อย่าง”ลุงป้อม”รัฐบาลยอมจะอยู่แบบ”ไม่เป็นสุข”แน่นอน  …..แถมวันนี้”ทักษิณ ชินวัตร” ยังได้”ผลักมิตร” อย่าง”พล.ต.อ.เสรี เตมียเวส” ไปร่วมกับฝากฝั่งของ”ศัตรู”   จนกลายเป็น”หอกข้างแคร่” คอย”ทิ่มแทง” ให้อยู่แบบ”ไม่เป็นสุข” จนมี”กูรูทางการเมือง” พยากรณ์อาการ”ของรัฐบาล”แพทองธาร ชินวัตร” ว่า อาจจะเป็น”รัฐบาลครึ่งปี” หรือเต็มที่ก็”ปีครึ่ง” หลังจากนั้นก็”ยุบสภา” ทำการ”ล้างไพ่” เพื่อ”เลือกตั้ง” เพื่อ”ตั้งเกมการเมือง” ใหม่อีกครั้ง  ก็”เอาใจช่วย” นะ เพราะอย่างไรเสียก็อยากเห็น”รัฐบาล”เดินหน้าไปได้”ตลอดรอดฝั่ง” เพื่อแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” และปัญหา” ปากท้อง” ของประชาชน รวมทั้ง “สารพัดปัญหา”

วันนี้ทุกคนจึง”ใจจดใจจ่อ” ต้องการเห็น”ฝีมือ” ในการแก้”สารพัดปัญหา”จาก”มันสมอง”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เพราะ หลายคนที่ได้ฟัง”วิสัยทัศน์” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ในงาน”ดินเนอร์ทอค” ที่ผ่านมา ต่าง”เห็นพ้องต้องกัน”ว่า วิสัยทัศน์”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ยัง”เฉียบแหลม” ก็ต้องติดตามกันแบบ”เกาะติด” ว่าจะทำอะไร ที่ทำให้”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง”ของประเทศ และ ประชาชน มีการ”เปลี่ยนแปลง” ที่ดีขึ้น…..แต่สำหรับ”รากหญ้า” แล้ว สิ่งที่ต้องการคือการ”แจกเงิน” คนละ 10,000 บาท จาก “รัฐบาล” เพราะ วันนี้ ทั้ง”กระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวา” ของ”ชนชาวรากหญ้า”  ต่างแบนแฟบ ที่มีอยู่คือ”หนี้สิน” แต่”ชนชาวรากหญ้า” จะได้”รับแจก” เงินสดจาก”รัฐบาล” คนละ”10,000 บาท ได้จริงหรือไม่นั้น ยังไม่มีอะไรที่ “แน่นอน”  เพราะยังมีปัญหาของ”ข้อกฎหมาย” และยังมีปัญหา”งบประมาณ” ดังนั้นเรื่องการ”แจกเงินสด”ให้กับ”กลุ่มเปราะบาง” และการแจกเงิน”ดิจิตัล” ให้กับคน”กลุ่มอื่นๆ” จึงยังไม่ง่ายนัก ประชาชน ยัง”ต้องรอ” แต่ก็เป็นการรอที่”มีหวัง” นะ เพราะการ”แจกเงิน” ก็เป็น”ความหวัง”ในการ”กอบกู้เศรษฐกิจ” และการแก้ปัญหา”ปากท้อง” ของ”ประชาชน” รวมทั้ง”คะแนนเสียง” ของพรรคจากการ”แจกเงิน” ในครั้งนี้ด้วย

สิ่งที่ต้องติดตามดูอีกเรื่อง คือเรื่องของการแก้ปัญหาความมั่นคงของประเทศ เมื่อ”ภูมิธรรม เวชยชัย” หรือ” เสี่ยอ้วน รับตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” และ”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม เพื่อรับผิดชอบงานด้าน”ความมั่นคง” ในการ”คุม”ตะหาน” และกำกับดูแล”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ” ศอ.บต.” ซึ่งก็ต้องติดตามดูว่า จะมีการ”แก้ปัญหาความไม่สงบ” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร  เพราะในยุคของ”เศรษฐา ทวีสิน” หนึ่งปีที่ผ่านไป “เสี่ยนิด” ละเลยปัญหาความไม่สงบ ให้ความสนใจในเรื่อง”เศรษฐกิจ”และ”การค้าชายแดน” จนทำให้”สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้”ย่ำแย่” ทำให้”ไฟใต้โชนแสง” ขึ้นมาอีกครั้งอีกครั้ง  สิ่งที่อยากเห็นคือ”เสี่ยอ้วน” ต้องมีการปรับ”โครงสร้าง”ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ให้สามารถ”ตอบโจทย์” ความเปลี่ยนแปลง”ของ”สถานการณ์” ที่หลายอย่าง”เปลี่ยนไป” และต้อง”ปรับเปลี่ยน” ให้”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ” ศอ.บต.” กลับมาเป็นหน่วยงานที่มี”ประสิทธิภาพ”เหมือนในอดีต รวมทั้งต้องมี”ผู้นำ” ที่มี”วิสัยทัศน์” และมี”ยุทธศาสตร์” ให้”สอดคล้อง” กับ สภาพความเป็นจริง และความต้องการของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ที่ สำคัญ การแต่งตั้ง”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ”สมช.” หลังการเกษียณอายุราชการของ” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” ในเดือนกันยายน ที่จะถึงนี้ “นายกรัฐมนตรี” หรือ”รัฐบาล” จะตั้งใครเป็น”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ “สมช.” ที่สำคัญคือต้องทำให้”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” กลับมามี”หน้าที่”มี”บทบาท” ของการเป็น” สภาความมั่นคงแห่งชาติ “ ที่แท้จริง เป็นผู้กำหนด”ยุทธศาสตร์”ของ”ความมั่นคงของชาติ” ไม่ใช่ความมั่นคงในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” และผู้ที่มาทำหน้าที่เป็น”เลขาธิการสภาความมั่นคง” ต้องเป็น”ลูกหม้อ” ที่มี”ความรู้ความเข้าใจ” ในการวาง”ยุทธศาสตร์”ด้าน”ความมั่นคง” ที่ผ่านมา ที่ “สภาความมั่นคง” อยู่ในสภาพของ”เป็ดดอน” เป็นเพราะ”มีการยกตำแหน่ง”เลขาธิการสภาความมั่นคง” ให้กับ”นายพล” ที่มาจาก”กองทัพ” และมาจาก”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” เพื่อเป็น”รางวัลปลอบใจ” ที่ถูก”ปัดตก” จากตำแหน่งใน หน่วยของตนเอง จนกลายเป็น”ธรรมเนียม”ในการ”โยกย้าย”ใน”กองทัพ” ที่”ผู้นำรัฐบาล” จะยกตำแหน่ง” เลขาธิการสภาความมั่นคง” ให้กับคน”อกหัก”เพื่อให้มาพักที่”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ในขณะที่”ลูกหม้อ” หรือ”คนใน” ไม่เคยได้ขึ้นถึงตำแหน่ง”เลขาธิการ” ดังนั้น “ขวัญ”และ”กำลังใจ” ของ”ลูกหม้อ”หรือ”คนใน” ของ” สภาความมั่นคงแห่งชาติ” จึง”ตกต่ำ”และ”เช้าชามเย็นชาม” เพราะไม่มีความหวังในการเป็น”เลขาธิการ” ที่เป็นตำแหน่ง”สูงสุด”ของหน่วยงาน ครั้งนี้ก็ได้ข่าวว่า จะมี”นายตำรวจ” บางคนรอที่จะ”ไสลด์” จาก”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปนั่ง”เสวยสุข” ในตำแหน่ง”เลขาธิการสภาความมั่นคง” อีกแล้ว

ทั้งหมดทั้งปวง ที่กล่าวมาทั้งหมด ต้องดูการ”ขับเคลื่อน” ของ” ครม. ซึ่งผ่านการ”ทูลเกล้า” มีการประกาศรายชื่อ”เสนาบดี” กระทรวงต่างๆ เป็นที่”เรียบร้อยโรงเรียนทักษิณ” ครม.ใหม่จะมีการประชุมนัดพิเศษวันที่ 7 และวันที่ 11  จะมีการ”แถลงนโยบาย”ให้ ประชาชนได้รับทราบสำหรับ”ประชาชน” ก็ต้องให้ความ”สนใจ” ในเรื่อง”นโยบาย” ของ”รัฐบาล” เพื่อที่จะได้”รับรู้” ว่าหลังการ”แถลง” ทำได้จริงหรือไม่ และหากไม่ได้ทำตามที่”แถลง” ก็จะได้ให้”บทเรียน” แก่”พรรคการเมือง”ที่”ตระบัดสัตย์” ในการ เลือกตั้งใน ครั้งต่อไป

กลับมาที่ สถานการณ์ ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แม้ว่าในวัน”สัญลักษณ์” ในการครบรอบ 70 ปี ของการ”สูญหาย”ของ”หะยีสุหลง โต๊ะมีนา” ผู้ที่เป็นผู้นำ”จิตวิญญาณ” ของชนชาว”มาลายู” และวันก่อตั้ง”เบอร์ซาตู” รวมถึง”วันชาติ” ของ”มาเลเซีย” ที่ตาม”ปฏิทินโจร” จะมีการ”ก่อการร้าย”เกิดขึ้นในทุกปี แต่ในเดือน”สิงหาคม” ปีนี้  ไม่มีเหตุ”รุนแรง”เกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็น”โชคดี” ของเจ้าหน้าที่ และ “ประชาชน” ที่ไม่มีความ”สูญเสีย” เกิดขึ้น และต้องยกความดีความชอบ” ให้กับ” กองกำลัง” ของ”ทหาร” ในพื้นที่ ซึ่งสามารถ”ป้องกัน”เหตุร้ายไว้ได้……แต่ในขณะเดียวกันก็จะเห็นว่า”บีอาร์เอ็น” เน้นหนักในการ”ก่อกวน” ด้วยการ”ทิ้งจดหมาย” และ”ส่งจดหมาย” ไปยัง”กองอาสารักษาดินแดน” ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ “ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา สะบ้าย้อย,เทพา,จะนะ,นาทวี” อย่างต่อเนื่อง ด้วยการ”ข่มขู่ คุกคาม” ให้ ถอนตัวจากการทำหน้าที่” กองอาสารักษาดินแดน” ด้วยการ”ลาออก” รวมทั้งการ”พ่นสี” บนท้องถนน ด้วยคำว่า” อส.ลาออก” ในหลายพื้นที่ ซึ่งต่อไปคงจะมีการส่ง”จดหมายถึง” ลูก เมีย พ่อ แม่” ของผู้ทำหน้าที่”อาสารักษาดินแดน” เป็นการ”กดดัน”และ”คุกคาม” นี่เป็นอีก”สงคราม”ใน”รูปแบบหนึ่ง” ที่อาจจะมีผลต่อ”สถานการณ์” ในพื้นที่ ไม่มาก ก็น้อย เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องการ”ข่มขู่ คุกคาม” เพียงอย่างเดียว แต่มีการ”มุ่งร้าย” เอา”ชีวิต” ของผู้ทำหน้าที่”อาสาสมัคร” เหล่านี้ด้วย เพราะ”ฉากทัศน์” ต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือการ”เชือดไก่ให้ลิงดู” ด้วยการ”เข่นฆ่า” อาสาสมัครในทุกพื้นที่  และอาจจะ”ลามไปถึง”พ่อ แม่ “ และ”ภรรยา”

ดังนั้น นับแต่นี้ไป” ผู้บังคับบัญชา” ของ”อาสาสมัคร” ทุก “ชุดคุ้มครองตำบล” หรือ” ชคต.” ต้อง กำชับให้ อาสาสมัคร”ทุกนาย ที่เดินทางออกจาก”ฐานปฏิบัติการ” เพื่อ”กลับบ้าน” ต้อง” ระวังป้องกันตนเอง” อย่าคิดเพียงว่า สถานการณ์” ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการ”ข่มขู่” หรือ”เล่น”สงครามจิตวิทยา” ของ”บีอาร์เอ็น” และการที่”บีอาร์เอ็น” ไม่มีการ”ก่อเหตุร้าย” ในเดือน”สิงหาคม” เหมือนทุกปี  “ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็อย่าได้คิดเข้าข้างตนเองว่า เป็นเพราะ”เจ้าหน้าที่” มีมาตรการ” ในการ”จำกัดสิทธิเสรีภาพ” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” และ”แนวร่วม” อย่างได้ผล แต่อาจจะมาจาก”ปัจจัยอื่น” ของ”บีอาร์เอ็น” หรือเป็นห้วงการ”ทดลองงาน” ให้”สมาชิก”ที่เป็น”กลุ่มหน้าขาว” ฝึกการ”ปฏิบัติการ” ด้วยการ”ทิ้งใบปลิว,พ่นสีบนถนน” และ”ทำลายกล้องวงจรปิด” และ”หลอกล่อ” ให้ “กองกำลัง” นิ่งนอนใจ ว่าไม่มี”เหตุร้าย” เกิดขึ้น และ ลดการ”ปฏิบัติการ”ทาง”ยุทธวิธี”ลง เพื่อให้”เข้าทาง” ให้”กองกำลังติดอาวุธ” ลงมือ”ปฏิบัติการ” ครั้งใหญ่ในเดือน “กันยายน” ซึ่งเป็นเดือนแห่งการ”โยกย้าย” การ”วิ่งเต้น” หาตำแหน่งของ”ผู้นำหน่วย” และ”ช่องว่าง” ในการ”สั่งการ”และ”บังคับบัญชา” ก็จะเกิดขึ้น และเป็น”โอกาส” ให้กับ”บีอาร์เอ็น”ได้ก่อเหตุตามความต้องการ

และตาม”ปฏิทินโจร” เดือน”ตุลาคม” จะตรงกับวัน”สัญลักษณ์”ของการ”ตายหมู่”จากกรณีของ”การชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ” ซึ่งใน “ตุลาคม” ปีนี้ อาจจะมีการ”เฉลิมฉลอง” ครั้งใหญ่ของ”บีอาร์เอ็น” ที่สามารถ”ปลุกระดม” อย่างต่อเนื่องถึง 20 ปี ในการ”รื้อฟื้น” คดีการ”ตายหมู่” ที่ “ตากใบ” ให้”ประชาชน” ฟ้องต่อศาลด้วยตนเอง และ “ศาลจังหวัดนราธิวาส” ก็ได้”ไต่สวนมูลฟ้อง”และรับเป็นคดีอาญา โดยมี”อดีต”ข้าราชการ” ระดับสูง ตั้งแต่”อดีต”แม่ทัพ,ผบช.ภาค 9 ,รองปลัดกระทรวงมหาดไทย,จนถึงระดับต่ำสุด คือ “ผกก.สภ.ตากใบ” ซึ่งผู้ถูก”กล่าวหา” แต่ละราย ขณะนี้มีอายุ ใกล้จะ 80 ปี”มะรอมมะร่อ” นี้คือ”ผลพวง”จากการ”ปฏิบัติหน้าที่” ในการแก้ปัญหา”ไฟใต้” ที่สุดท้ายกลายเป็นผู้ต้อง”คดีความ” ซึ่งถือเป็น”วิบากกรรม” ที่ต้องให้”กำลังใจ” กับผู้ที่”ทำหน้าที่เพื่อรักษาแผ่นดิน” ทุกคน…..ส่วนผู้ที่เป็น”สารตั้งต้น” ในการ”ปลุกระดม” นำ”ชาวบ้าน” จำนวนนับพันคนออกมา”ล้อมโรงพักตากใบ” เพื่อชิงตัว 5 ชรบ. ที่ถูกจับกุมในข้อหา”นำอาวุธปืน”ที่เป็น”ของหลวง” ไปให้กับ” แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ไม่มีใครกล่าวถึง ทั้งที่เป็นผู้”จุดชนวน” ในการก่อเหตุให้เกิดการ”จลาจล” จนนำไปสู่การ”จับกุม” และการ”ตายหมู่” เกิดขึ้น เรื่องคดี”ตากใบ” เป็นเรื่องที่”ประชาชน” รับรู้”ความจริง” เพียงด้านเดียว” ส่วน”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ก็”พูดความจริง” เฉพาะด้านที่มีการ”ตายหมู่” แต่ที่”บีอาร์เอ็น” อยู่เบื้องหลังในการ”วางแผน” ในการ”ปลุกระดม” และ”ขนคน”ไป”ตายหมู่” ไม่มีการกล่าวถึง

เมื่อหลายเดือนก่อน ตำรวจ บชภ. 9 ชุดปราบปราม”น้ำมันเถื่อน” นำทีมโดย “พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย”  ผกก. 3 กก.สส. ภาค 9  นำกำลังเข้า “อายัด” การนำเข้าน้ำมันจาก”ประเทศมาเลเซีย” ซึ่งเป็นของ”กลุ่มทุนการเมือง” ใน จ.สตูล –ปัตตานี ในขณะที่นำรถบรรทุกน้ำมัน  18 ล้อ จำนวน 3 คน เข้ามาจอดยัง ลานจอดรถ ที่อยู่ในเขตควบคุมของ”ด่านศุลกากรสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งขณะเข้าตรวจสอบ ผู้ที่ “ควบคุม” รถ ไม่สามารถ “แสดงเอกสาร” การนำเข้าน้ำมันจาก “ประเทศมาเลเซีย” ต่อ “เจ้าหน้าที่” จึงมีการแจ้งข้อกล่าวหาการ นำเข้าน้ำมันดีเชล โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการ ควบคุมตัว ผู้ควบคุมรถมาแจ้งข้อหายัง สภ.สะเดา จ.สงขลา…..ในข้อหา การนำน้ำมันเข้ามาในราอาณาจักรโดยไม่ถูกต้องพนักงานไม่มีใบอนุญาตประเภท 4 รถบรรทุกพ่วงในส่วนพ่วงไม่มีการจดทะเบียน  แต่”พนักงานอัยการ” ทำการ”สั่งไม่ฟ้อง “ในคดีดังกล่าว  …..วันนี้ บริษัทผู้นำน้ำมันดีเซลทั้งหมด ได้ส่ง หนังสือร้องขอ”ความเป็นธรรม” ไปยัง “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล “ ผบ.ตร. ในข้อกล่าวหาว่า “พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย” และพวก ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  สำหรับ หลักฐาน ที่”พนักงานอัยการ” สั่ง”ไม่ฟ้อง” ในคดีดังกล่าว เนื่องจาก” นายด่านศุลกากรสะเดา ให้ปากคำว่า รถบรรทุกน้ำมันทั้งหมด อยู่ในเขตควบคุมของศุลกากร และ น้ำมันของกลาง จำนวน หนึ่งแสนกว่าลิตร เป็นน้ำมันที่มีการขอ”ทรานส์ซิส” หรือขอ”ผ่านประเทศไทย” ไปยัง ประเทศที่สาม แต่ในขณะที่”ตำรวจ” เข้าตรวจสอบ” เจ้าของน้ำมัน อยู่ระหว่างการ ดำเนินการทาง”เอกสาร” ในการขอ”ทรานส์ซิส” กับ “เจ้าหน้าที่ ศุลกากร ยังไม่แล้วเสร็จ ในขณะที่ ตัวแทนของ”สำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา” ให้ถ้อยคำว่า คนขับรถที่มาจากประเทศมาเลเซียไม่ต้องมี”ใบอนุญาตขนส่ง” ประเภทที่ 4 เพราะไม่ใช่เป็นคนไทย ที่ต้องทำตาม”กฎหมายไทย”

ต่อไปในการ “ตรวจสอบ” และการ”จับกุม” รวมทั้งการ”ตั้งข้อกล่าวหา “ตำรวจ” ต้องมีความ”รอบคอบ” ให้มากกว่าเดิม  โดยเฉพาะหาก ไม่มีความร่วมมือ”ระหว่างหน่วยงาน” ผลของคดีก็จะเป็นอย่างที่เห็น ก็ต้องติดตามดูว่า” พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุ้ย” และ คณะ ที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ จาก บริษัทผู้นำเข้า น้ำมันที่เป็นการ”ทรานส์ซิส” เส้นทาง จะหา”พยาน หลักฐาน” อะไรในการ”ชี้แจง” หรือต่อสู้ข้อกล่าวหา หากมีการ”แจ้งความ” เพื่อดำเนินคดี  หรือการที่ไม่มีการ”แจ้งความ” ดำเนินคดี  แต่เลือกที่จะ”ร้องเรียน” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะต้องเพียง”ปราม” อย่าให้” ตำรวจชุด” ปราบปรามน้ำมันเถื่อน” เข้ามา”ยุ่มย่าม” ใน”เส้นทาง” ของ”ขบวนการน้ำเข้าน้ำมันแบบ”ทรานส์ซิส” เส้นทาง ก็เป็นได้…..เรื่องเส้นทางนำเข้าน้ำมันจากประเทศมาเลเซีย โดยวิธีการ”ทรานส์ซิส” ผ่านทางด่าน”ศุลกากร” อำเภอสะเดา   ณ ปัจจุบัน กลายเป็น”ช่องทาง”ของการ”นำเข้าน้ำมันที่ถูกต้องตามกฎหมายศุลกากร” แต่หลังจากผ่าน”พิธีการศุลกากร” แล้ว รถบรรทุกน้ำมัน จะมีการส่งน้ำมันไปยัง”ประเทศที่สาม” เช่น “เมียนมา,สปป.ลาว “ และ”กัมพูชา “ หรือไม่  ยากที่จะมีการ”เปิดเผย” แต่ที่ เกิดขึ้นแล้ว และเป็น”คดีความ”แล้ว อย่างน้อยก็ 2 คดี  คดีแรกมีการแจ้ง”ทรานส์ซิส” ไปยัง สปป.ลาว ผ่านทางด่านศุลกากรบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ แต่มีการนำน้ำมันทั้ง 5 คันรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ ขายในประเทศ คดีนี้ถูก”ศุลกากรบึงกาฬ” แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ บริษัทผู้นำเดินการในการ”นำเข้า”   ส่วนคดีที่สอง คือการ”ทรานส์ซิส” เส้นทางของ”โกฟุก” พ่อค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ใน จังหวัดระนอง ซึ่งทำมากว่า 10 ปี นอกจากการ”ส่งออกทิพย์” ยังมีการ”ขอคืนภาษี” ในการ”ส่งออก” ที่ทำให้” ประเทศไทนต้องสูญเสียเงินกว่านับ 10,000 ล้านบาท

ดังนั้นเรื่องการนำเข้าน้ำมัน”ทรานส์ซิส” จึงเป็น “ขบวนการ”ที่ต้องมีการ”ตรวจสอบ” เพราะเป็นการ”ร่วมมือกัน” ระหว่าง”นายทุน” กับ” เจ้าหน้าที่รัฐ” ในการ”แสวงหาผลประโยชน์”ร่วมกัน ที่สำคัญ “ผลประโยชน์” ในการ”โกงชาติ” ด้วยวิธีการ”ทรานส์ซิส” นำน้ำมันจาก”มาเลเซีย” โดยอ้างไป”ประเทศที่สาม” แต่”ขายในประเทศไทย”มีผล”กำไร” มหาศาล ที่ “กรมศุลกากร” กระทรวงการคลัง ต้องมีการ”ควบคุม”อย่าง”เข้มงวด”…….โดยเฉพาะในวงการ นำเข้าน้ำมันจากประเทศมาเลเซียในรูปแบบ”ทรานส์ซิส” เป็น”ขวนการใหญ่” มีทั้งแต่”นักการเมืองระดับชาติ” มี”นายตำรวจ”เป็น”เครือข่าย” ระดับประเทศ  ในทุกภาค  เป็น “เครือข่าย” ที่มีผลกำไรปีละนับ”หมื่นล้าน”เรื่องนี้”ดีเอสไอ” ต้องให้ความ”สนใจ” ให้มากกว่านี้เพราะ”ดีเอสไอ” เป็นหน่วยงานเดียวที่”จัดการ”กับ”ขบวนการ”นี้ได้

การตัดไม้ทำลายป่าใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ยังเกิดขึ้นได้ทุกวัน ล่าสุด “พล.ต.ต. พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ” ผบก. ตชด. ภาค 4  นำกำลัง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตรวจสอบ พบการทำลายป่าใน พื้นที่ อ.กาบัง จ.ยะลา ในหลายหมู่บ้าน หลายตำบล มีทั้งการ”รุกป่า” เพื่อทำการ”เกษตร” มีทั้งการ”รุกป่าสงวนแห่งชาติ” เพื่อ”ตัดไม้”และ”แปรรูป” และมีทั้งการ”กรานต้นไม้ให้ยืนตาย” เพื่อรอการ”ตัดโค่น”ซึ่งมีรายงานจาก” ปปช.ภาค 9 ว่า จากการ”บินสำรวจ” พบป่าไม้ในพื้นที่ 3 จังหวัด ถูก”บุกรุก” ไปแล้ว “เก้าแสนกว่าไร่” การแก้ปัญหา”การรุกป่าสงวนแห่งชาติ” และ”การบุกรุกอุทยานแห่งชาติ” ลำพัง “ตำรวจ” ทหาร” และ”หน่วยอนุรักษ์ป่า” ยังไปได้ผล ตราบใดที่ยังไม่มอบหน้าที่ให้”ฝ่ายปกครอง” เข้า”รับผิดชอบ” ในการแก้ปัญหา ด้วยการดึงเอา”ผู้นำท้องที่” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามาเป็น”ผู้รับผิดชอบ” หมูบ้านไหน ตำบลไหน มีการ “ตัดไม้ทำลายป่า” ต้อง”คาดโทษ” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หมูบ้านไหน ตำบลไหน “ป้องกันป่า” ได้ผล มีการให้”ความชอบ” เช่นเดียวกับ”นายอำเภอ” อำเภอไหน ที่”ปล่อยปละละเลย” ไม่”ป้องกันป่า” ก็ต้องมีการ”ตัดแต้ม” และมีการ”พิจารณา” ส่วน นายอำเภอ อำเภอไหน ที่มี ผลงานในการ”ป้องกันป่า” ต้องได้”ความชอบ” ถ้าทำได้แบบนี้ การป้องกันป่า ในสามจังหวัด สี่อำเภอก็จะได้ผล ก็ฝากให้” อนุทิน ชาญวีรกุล” เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” และ “รองนายกรัฐมนตรี” นำไป”พิจารณา”…… แล้วพบกันใหม่ ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง จับตา ครม.อิ๊งค์1 ไม่มีลุงดึง ปชป.ร่วม

ภาพใหญ่ของ”การเมืองไทย” ณ วันนี้ยังมี”ฝุ่นตลบอบอวล” การจัดตั้ง”คณะรัฐบาล”เพื่อเข้าบริหารประเทศ ของ”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 31 ที่มี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”ผู้กุม”บังเหียน” ของ”ประเทศไทย” ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ยัง”ไม่นิ่ง” คนไทยทั้งประเทศที่ติดตาม”ข่าวสาร”ต่าง”ใจจดใจจ่อ” เพราะต้องการให้”ประเทศไทย” มี”ครม. “เพื่อให้ประเทศไทย”เดินหน้า” เพื่อ”แก้ปัญหา” ของ”ประเทศชาติ” โดยเฉพาะในเรื่องของ”ปาก –ท้อง “ และ”เศรษฐกิจ” โดยรวมของประเทศ ที่ยิ่งนานวันยิ่ง”ย่ำแย่” และไม่เห็น” อนาคต”ของตนเอง และของประเทศชาติ……แต่ โดยข้อเท็จจริง คงเป็นเรื่องยากที่การ”จัดตั้งรัฐบาล” จะทำได้อย่าง”รวดเร็ว” ตามความต้องการของ”ประชาชน” เพราะการจัดตั้ง”รัฐบาล” ครั้งนี้มีเรื่องของ”จริยธรรม” ที่”ศาลรัฐธรรมนูญ” ใช้ในการ”ตัดสิน” ให้”เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” เข้ามาเกี่ยวข้อง คำว่า”จริยธรรม” เป็น”ข้อกำหนด” ที่”กว้างไกล” จนทำให้ “สส.” ทุกคนที่แต่ละ”พรรคการเมือง” ส่งเข้า”ประกวด” ในตำแหน่ง”เสนาบดี” ต้องมีการ”ตรวจสอบ” อย่าง”ละเอียดรอบคอบ” เพราะหากเกิดการ”ผิดพลาด” ผลกระทบไม่ได้ตกอยู่กับ”สส.” เพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดกับผู้ทำหน้าที่”แต่งตั้ง” นั้นคือ”นายกรัฐมนตรี” ดังนั้นถ้าเกิดผิดพลาด “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีต้อง”กระเด็นกระดอน” จากตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี”ด้วย

รวมทั้งยังมีปัญหาของ”สองพรรคการเมือง” ที่ต้องการเข้าร่วม”รัฐบาล” ทั้ง” พลังประชารัฐ” ของ”ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ  ที่ยังไม่หยุดในการ”เล่นเกม”กับ”ก๊วน”ของ”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อการ”ทำล้ายล้าง” ซึ่งกันและกัน รวมทั้งการ”พยายาม” เข้าร่วม”รัฐบาล” ของ”พรรคประชาธิปัตย์” ของ” เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ที่ถูก”สื่อ”ตั้งฉายาให้เป็น”พรรคอะไหล่” หรือ”ยางสแปร์” ที่ต้องการเข้าร่วม”รัฐบาล”ให้ได้ โดยไม่อยากที่จะ”รอ” เป็น”พรรคอะไหล่” อีกต่อไป ซึ่งทั้ง 2 พรรค ใครจะ”เข้าวิน” ได้เป็น”พรรคร่วม” หรือไม่เป็น”ทั้งสองพรรค” ก็อยู่ที่การ”ตัดสินใจ” ของ”ผู้นำพรรคตัวจริง” อย่าง” ทักษิณ ชินวัตร” ที่วันนี้ไม่มีการ”เหนียมอาย” ที่จะบอกสังคมว่า ตนเองคือ”ผู้นำ” ตัวจริงของ”รัฐบาลอิ๊งค์ 1 “……แต่ไม่ว่า”พลังประชารัฐ” และ”ประชาธิปัตย์” จะได้เข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่อย่างไร  สิ่งที่พรรคการเมืองทั้งสองพรรค ได้รับคือความ”ยับเยิน” ของ”สองพรรคการเมือง” ที่ถูก”เกมการเมือง”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ทุบทำลาย จนเสียหายอย่าง”ยับเยิน” โดยเฉพาะพรรคการเมือง”เก่าแก่” อย่าง”ประชาธิปัตย์” ที่มี”ชวน หลีกภัย” ถูก” สื่อ” เชิญไป”ออกรายการ” และ”สัมภาษณ์” ถึงความ”ขัดแย้ง” ภายในพรรค จนเป็นข่าวที่”เละตุ้มเป๊ะ” ในสายตาของ”ชวน หลีกภัย” เห็นว่าถ้า”ประชาธิปัตย์” เป็น”ต้นไม่ประชาธิปไตย” วันนี้”ต้นไม้ต้นนี้” มี”หนอนบ่อนทำลาย” อยู่ภายในต้นไม้ แต่การที่”ชวน หลีกภัย” พยายาม “กำจัดหนอนบ่อนทำลาย” ต้น”ไม้ประชาธิปไตย” เป็นเหมือนการใช้”ขวานฟัน” ต้นไม้ดังกล่าว ซึ่งสุดท้ายนอกจาก”หนอนไม่ตาย” แล้ว” ต้นไม้ประชาธิปไตย” ก็มี”แผลเหวะหวะ” จาก”คมมีดโกน” ของ”ชวน หลีกภัย” ไปด้วย”

เช่นเดียวกับ”วิธีการ” ทำลาย”พรรคพลังประชารัฐ” ที่ถ้าเปรียบ”พรรคพลังประชารัฐ” เป็น”กอไผ่” ฝ่ายที่”เดินเกม” เพื่อการทำลาย” ก่อไผ่กอนี้” ด้วยการนำ”ต้นไผ่” มาทำเป็นด้ามของ”มีดพร้า” เพื่อใช้ในการ”ฟาดฟัน” กอไผ่ ที่ชื่อ” พลังประชารัฐ” ให้”ย่อยยับ” และ หลังจากนี้ไป ไม่ว่าทั้ง”สองพรรค” จะได้”เข้าร่วมรัฐบาล” หรือไม่ก็ตาม” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ”พรรคการเมืองทั้งสองพรรค” ถูก “เกมการจัดตั้งรัฐบาล” ทำให้”อ่อนแอ” และจะไม่”เหมือนเดิม” อีกต่อไป โดยเฉพาะ”พลังประชารัฐ” ที่ใน “อนาคต” ในการ”เลือกตั้ง” ใน”สมัยหน้า” ยังจะเหลือเพียง”ตำนาน” และ”และอาจจะเป็นการ”ปิดฉาก 3 ป” และปิดฉากของคำว่า”บูรพาพยัคฆ์” อย่างสิ้นเชิง และเป็นไปอย่างที่”อิ๊งค์” เคย”หาเสียง”เอาไว้ว่า” มีเราไม่มีลุง” ซึ่ง”เธอทำได้จริง” จาก “เกมการเมือง” ณ วันนี้ที่ 3 ปี กำลังจะเป็น”ตำนาน”ทางการเมือง …..แต่ เชื่อเถอะ หลังจาก “แถลงนโยบาย”ของ”รัฐบาล” ที่อย่างเร็วก็ “กลางเดือนกันยายน” สิ่งที่ตามมา คือจะมี”นักร้อง” เป็นจำนวนมาก ที่”พาเหรด” เข้าร้องเรียนกับ”องค์กรอิสระ” เพื่อให้”เอาผิด” กับ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ “รัฐมนตรี” กระทรวงต่างๆ ที่มี”ข้อมูล” ในเรื่องของการผิด “จริยธรรม” ซึ่งจะกลายเป็น”อุปสรรค” ที่เป็นการทำลาย”เสถียรภาพ”ของ”รัฐบาล”  และสร้างความ”ไม่มั่นใจ” ให้กับ”ต่างชาติ” ต่อ นโยบาย ของประเทศไทย และใน”จุดแข็ง” ที่”รัฐบาลอิ๊งค์ 1 “ มี”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็น”บิดา” เป็นเหมือน”เกราะ” ในการ”ป้องกัน”ภยันตราย และเป็น”มันสมอง”ในการ”ขับเคลื่อน” การบริหารประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็น”จุดอ่อน” ทั้งกับ”รัฐบาล” และกับ”นายกรัฐมนตรี” จากการที่ถูก”นักร้อง, นักกฎหมาย,นักวิชาการ”ร้องในเรื่องของการ”ครอบงำ” รัฐบาล ซึ่งยิ่ง” ทักษิณ ชินวัตร” ออก”สื่อ” เพราะ แสดงความ”คิดเห็น” เกี่ยวกับเรื่อง”การเมือง” มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้”บดบัง” ความรู้ความสามารถของ”นายกรัฐมนตรี” แพทองธาร ชินวัตร” ไปเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้”ชาวบ้านร้านช่อง” ต่าง”หายใจโล่งอก” ใน กรณีที่ฝากความหวังไว้กับ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่ “รัฐบาล” ชุดนี้ ยังคง”เดินหน้าต่อ” ด้วยวิธีการ”แจกเงินสด” สำหรับกลุ่ม”เปราะบาง”  และเป็นเงิน”ดิจิตัล” สำหรับ”ประชาชน” ทั่วไป ที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป โดยอยู่ใน”เงื่อนไข” ที่”รัฐบาลกำหนด” .ซึ่งเป็น”ทางออก” ที่”ประชาชน”พอใจ และ”พรรคเพื่อไทย” ก็ได้ทำในเรื่อง”คะแนนเสียง” และการ”รักษาสัญญาประชาคม” ที่”หาเสียง” ไว้ ส่วน”หนี้สิน” จากการ”กู้เงิน” ก็เป็น”หน้าที่”ของ”ประชาชน” ทุกคน ทั้งที่”มีสิทธิ์” และ”ไร้สิทธิ์” ในการ”แจกเงิน” คนละ 10,000 บาท ที่จะเป็น”ลูกหนี้”เงินกู้ครั้งนี้โดยถ้วนหน้า และ สิ่งที่ต้อง”ติดตาม” และ”ตรวจสอบ” คือ การ”แจกเงิน” ครั้งนี้จะทำให้”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศ” ฟื้นคืนมา ตาม”ทฤษฎี” ของนัก”เศรษฐศาสตร์” จริงหรือไม่ ถ้าไม่เป็นจริง ก็ถือว่า” เป็นกรรม” ของประเทศและของ”คนไทย”ทุกคน

ถ้ามองในสิ่งที่ดี สำหรับ”รัฐบาลอิ๊งค์ 1 “  คือ แต่ละกระทรวงยังเป็น”ผู้บริหารคนเดิม” หรือ” เสนาบดี”คนเก่า ยังทำหน้าที่ในการ”บริหาร”ต่อไป ซึ่งทำให้มีการ”ทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง” ในการ”ขับเคลื่อน” งานของแต่ละกระทรวง เช่น”กระทรวงยุติธรรม” ที่ 1 ปี ที่ผ่านไป  “พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” เสนาบดี” ได้ทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาด้าน”ความเป็นธรรม” ในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของ”หนี้ กยศ.”และ”มหกรรมแก้หนี้”เพื่อให้” “เจ้าหนิ้” ที่เป็น “สถาบันการเงิน” ได้มีโอกาสในการพบกับ”ลูกหนี้” เพื่อทำการ”ไกล่เกลี่ย” โดยไม่ต้อง เดินทางมายัง”ส่วนกลาง” ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่”ลูกหนี้” ต่าง “พึงพอใจ” เช่นเดียวกับ”กระทรวงแรงงาน” ที่”จับกัง 1 “ พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดี” ผลักดันให้”กรมทุกกรม” ในกระทรวงแรงงาน มี “ผลงาน” ในการ”ช่วยเหลือแรงงาน” และในการแก้ปัญหาเรื่อง”แรงงานเถื่อน” ที่มี”ผลงาน” เป็นเชิง”ประจักษ์” ที่ต่าง”จับต้องได้” นี้คือ”จุดแข็ง” ของ”รัฐบาลอิ๊งค์1“ ที่มีการทำงานอย่าง”ต่อเนื่อง” โดยไม่ต้องรอให้มีการ”แถลงนโยบาย” แล้วค่อยเริ่มงาน อย่างการตั้ง”รัฐบาล” ใหม่ที่”เสนาบดี” ต้องใช้เวลาในการ”ศึกษา”และการเป็น” เสนาบดีฝึกงาน”

เรื่องของ”พลังงาน” ยังเป็นเรื่อง”สำคัญ” สำหรับ”ประเทศไทย” เพราะการที่”พลังงาน”โดยเฉพาะ”ราคาน้ำมัน” ที่มี”ราคาแพง” คือ”ปัจจัย”ที่ทำให้ภาค”การผลิต” และ”ภาคการขนส่ง” ใช้เป็น”ข้ออ้าง” ในการ”ขึ้นราคา” ของ”สินค้า” ทุกชนิด เพราะล้วนแต่”ข้องเกี่ยว” กับ”ราคาน้ำมัน” ซึ่งที่ผ่านมา”กระทรวงพลังงาน” ไม่มี”อำนาจ” ในการเข้าไป”กำกับสั่งการ” ให้”โรงกลั่น” ที่เป็นของ”กลุ่มทุนพลังงาน” ทำให้”ราคาน้ำมันถูกลง” โดยปล่อยให้” กลุ่มทุน” ที่เป็นเจ้าของ”โรงกลั่น” ทั้ง 5 โรง กำหนดราคา”ขึ้น-ลง” ตามที่ต้องการ โดยการอ้าง”กลไก”ของ”ตลาดโลกที่มีการ”ขึ้น-ลง” ทั้งที่ “น้ำมันดิบ”และ”ก๊าซ” ส่วนหนึ่งเป็นของ”ประเทศไทย” ที่”ขุด” ขึ้นมาจาก” อ่าวไทย” วันนี้มีข่าวว่า” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน”พีระพันธ์  สาลีรัฐวิภาค” กำลัง”ปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน” เตรียม”ยื่นร่างกฎหมายเข้าสู่ ครม.” ตาม นโยบาย”รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง” เพื่อให้”กลไก” ราคาน้ำมันเกิดความ”เป็นธรรม” กับ”ประชาชน” เรื่องนี้ แค่เป็นข่าว ก็”ได้ใจ” คนไทยทั้งประเทศ

เรื่องของ”อุทกภัย”ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของภาคเหนือ และ ภาคอื่นๆ แม้จะเป็น”ภัย” ที่เกิดขึ้นจาก”ธรรมชาติ” ก็จริงอยู่ ที่เป็นเรื่องที่”เหนือกฎเกณฑ์” ของการ”ควบคุม” แต่ สิ่งที่ทำให้”อุทกภัย”มีความ”รุนแรง” มากขึ้น”  เป็นเพราะ”เจ้าหน้าที่” ปล่อยให้มีการ”ตัดไม้ทำลายป่า” ทำลาย”ธรรมชาติ” ที่เกิดขึ้นอย่าง”ต่อเนื่อง” เช่นในพื้นที่”ภาคเหนือ” ภูเขาทั้งหมดกลายเป็น”ภูหัวโล้น” ในขณะที่”แม่น้ำ ลำคลอง” และ”ห้วย หนอง คลอง บึง ที่มีอยู่ต่าง”ตื้นเขิน”   ระบบ”ชลประธาน” และ”เขื่อน” ที่มีอยู่ ไม่สามารถ”บริหารจัดการ” กับ”มวลน้ำ” ตาม”ธรรมชาติ” จำนวน”มหาศาล” จึงกลายเป็น”โศกนาฎกรรม”กับ”มนุษยชาติ”และความ”สูญเสีย” ทางด้านของ”ทรัพย์สิน” ที่”ยากจะประเมินค่า” เรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”ไม่ว่าจะเป็น”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่”เสนาบดี” ต้องมีการ”บูรณาการ” กับ”กระทรวง”มหาดไทย” ซึ่งเป็นกระทรวงที่ดูแล รับผิดชอบ “กรมการปกครอง” ที่มี”กลไก” ตัว “เล็กสุด” ในพื้นที่ทุก หมู่บ้านคือ” ผู้ใหญ่บ้าน” กำนัน” จนถึง”นายอำเภอ และ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่ต้อง “จับมือ” เพื่อทำงานร่วมกัน จึงจะได้ผลในการลดการ”ทำลายธรรมชาติ” ซึ่งเป็น”ต้นเหตุ”ของ”อุทกภัย และที่สำคัญ”รัฐบาล” ต้องให้ความ”สำคัญ” กับ”ปัญหา” เหล่านี้ อย่าง “จริงจัง”

เช่นเดียวกับ จ.ภูเก็ต” ที่ได้รับความ”เสียหาย” อย่างร้ายแรง จากรณี” ดินโคลนถล่ม” ที่ทำให้มีผู้”เสียชีวิต” ถึง 13 คน ในจุดเดียว เรื่องนี้ต้อง ถาม หน่วยงานในพื้นที่ ต้องถาม” ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่ทำหน้าที่”กำกับดูแล” ว่าทำไม่จึงมีการ”ปล่อยปละละเลย” ให้การ “โค่นป่า” บน”เทือกเขา” จนทำให้เกิด”โศกนาฎกรรม” ครั้งสำคัญ และ หลังจากนี้ไป  จะมีการ”แก้ไข” ที่จะไม่ให้”ประวัติศาสตร์” เกิดขึ้นแบบ”ซ้ำรอย” อย่างไร “ภูเก็ต” คือ”เมืองท่องเที่ยว” คือ”เพชรเม็ดงาม” ของภาคใต้” และ”ประเทศไทย” รายได้นับ”แสนล้าน” ของ”ภูเก็ต” ล้วนมาจาก”เม็ดเงิน” ของการท่องเที่ยว เมื่อข่าวนี้ สะพัดออกไปทั่วโลก ย่อมส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยว”ไม่มากก็น้อย”……ที่ สำคัญ  วันนี้ หน่วยงานทุกหน่วย ทั้งที่เป็น”ภูมิภาค” และ”ท้องถิ่น” ต้องมีแผนในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ”เกาะภูก็ต” ซึ่งไม่ใช่มีเพียงเรื่อง”อุทกภัย” ที่เกิด”ดินโคลนถล่ม” เพียงอย่างเดียว แต่เรื่อง”ฝนตกน้ำท่วม” กลายเป็นปัญหาใหญ่ของ”เกาะภูเก็ต” ไปแล้ว และเรื่องการแก้ปัญหา”สารพัด” ของ”เกาะภูเก็ต”  ลำพัง”ผู้ว่าราชการจังหวัด” และ”หน่วยงาน” ในพื้นที่ คงไม่มี”ปัญญา” ในการ”แก้ปัญหา” ต้องเรียกร้องให้”รัฐบาล” เร่งดำเนินการ ก่อนที่จะมีการ”กระทบกระเทือน” ถึงเรื่องของ”การท่องเที่ยว” ที่เป็น”รายได้หลัก” ของ”เกาะภูเก็ต” แห่งนี้ …… ซึ่งก็เหมือนกับ”หลายๆเกาะ” ในภาคใต้ที่เป็น”แหล่งท่องเที่ยว” เช่น “เกาะพงัน,เกาะเต่า, เกาะสมุย,เกาะพีพี และอีกหลายแห่ง ที่มีปัญหาเรื่อง”น้ำ” และ”ขยะ” เรื่อง”ไฟฟ้า” ซึ่งเป็นเรื่องที่”ผู้ว่าราชการจังหวัด” และ”หน่วยงานท้องถิ่น” ไม่สามารถที่จะ”แก้ไข” ด้วยตนเอง และเรื่องเหล่านี้ ก็”คาราคาซัง” ที่”รัฐบาลแล้ว รัฐบาลเล่า ไม่เคยให้ความ”สำคัญ” กับ ปัญหาเหล่านี้

ปัญหาการ”รุกที่ดิน” ของ”อุทยานแห่งชาติ” ที่ “เกาะหลีเปะ อ.เมือง จ.สตูล ในยุคที่” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีต รอง ผบ.ตร. “เรืองอำนาจ” มีการใช้”กฎหมาย” ที่เป็น”ยาแรง” กับผู้ที่”บุกรุกเข้าครอบครอง” แต่หลังจากที่”บิ๊กโจ๊ก” เจอกับ”วิบากกรรม” จนต้องถูกสั่งให้”ออกจากราชการ”เรื่องความคืบหน้าของ”คดีการบุกรุกที่ดิน” ของ”กรมอุทยานแห่งชาติฯ” บนเกาะหลีเปะ อ.เมือง จ.สตูล ก็ไม่มีการ”สานต่อ” วันนี้”นายทุน” จึงกลับมา”เริงร่า” อีกครั้ง นี้คือ”วัฏจักร”การ”บังคับใช้กฎหมาย” ของประเทศไทย……เช่นเดียวกับปัญหาของ”โพงพาง” กว่า 1,500 ปาก ใน”ทะเลสาบสงขลา ที่เป็นเครื่องมือประมงที่”ผิดกฎหมาย”ที่ส่วนหนึ่งเป็นเครื่องมือ”ทำลายล้างสัตว์น้ำตัวเล็กตัวน้อย” และส่วนหนึ่งมีการใช้”เล่ห์กล” สร้าง”โพงพาง” เพื่อให้กีดขวาง”ร่องน้ำ”ของการเดินเรือ”พาณิชย์” เพื่อให้เรือ”พาณิชย์” เหล่านั้น “เฉี่ยวชน” กับ”โพงพาง” เพื่อที่เจ้าของจะได้เรียก”ค่าเสียหาย” การที่จะแก้ปัญหาให้”โพงพาง” หมดไปจาก”ทะเลสาบสงขลา” นอกจากใช้”กฎหมาย” เข้า”จัดการ”แล้วยังต้องใช้”งบประมาณ” ในการแก้ปัญหา ซึ่งจำได้ว่า ในหลายเดือนก่อนที่”เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น”เข้า”จับกุมโพงพาง” จนนำมาถึงการ”ปิดแพขนานยนต์”เพื่อให้เกิดความ”เดือดร้อน” กับประชาชน เป็นการ”ต่อรอง” มิให้”เจ้าหน้าที่” เข้า”รื้อถอนโพงพาง” ที่”ผิดกฎหมาย” สมนึก พรหมเขียว “ ผวจ.สงขลา ได้ทำหนังสือ ร้องไปยัง”ทุกกระทรวง” ทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ”โพงพาง” ทั้ง”กรมเจ้าท่า” ทั้ง”กรมประมง” และ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” แต่ นี่ผ่านไปแล้ว 3 -4 เดือน ยังไม่มีคำตอบจาก”หน่วยงานส่วนกลาง” นี่คือการ”บริหารประเทศ” ที่เหมือกับ”ไม่มีการบริหาร” โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ”หน่วยงานระดับจังหวัด” ที่ไม่อาจจะ”แก้ไข”ปัญหาที่เกิดขึ้นได้  ก็เป็นการ”ยกตัวอย่าง” ให้เห็นกันแบบ”จะจะ”ถึงความ”ล้มเหลว” ในการแก้ปัญหาต่างๆ ของ”ประเทศไทย

เช่นเดียวกับเรื่อง”ปลาหมอคางดำ” ที่ยังเป็นเรื่อง”ราคาคาซัง” ผ่านไปแล้วหลายเดือนการ ที่การแก้ปัญหา”ปลาหมอคางดำ” ใน จ.สงขลา และ นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสองจังหวัดที่พบการ”แพร่ขยายพันธุ์”ของ”ปลาหมอคางดำ”มีจำนวนมาก โดยเฉพาะ “จังหวัดสงขลา” ที่แหล่ง”แพร่พันธุ์” ของ”ปลาหมอคางดำ” ส่วนใหญ่ที่”ชุกชุม” อยู่ใน อ.ระโนด”  ที่ สำคัญ วันนี้ใกล้”ฤดูฝน” ที่”ภาคใต้” จะมี”น้ำหลาก, น้ำท่วม” เกิดขึ้น ทุกจังหวัด ถ้ายังมีการ”ขจัด” ปลาหมอคางดำ ให้หมดไป” หน้าฝนที่จะมาถึง”ปลาหมอคางดำ” ก็จะ”แพร่พันธุ์” ไปทั่วทุกหน ที่เป็นพื้นที่”น้ำท่วม” โดยเฉพาะ”ทะเลสาบสงขลา” น่าเป็นห่วงว่า จะกลายเป็นที่”แพร่พันธุ์” ของ”ปลาหมอคางดำ”  เพราะเป็นพื้นที่”น้ำกร่อย” ที่”ปลาหมอคางดำ” แพร่พันธุ์ ได้อย่างดียิ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้น ย่อมต้องมี”ผลกระทบ” กับ”ชาวประมงพื้นที่บ้าน” ใน 3 จังหวัด ที่มีอาชีพในการทำการประมงในรอบๆ “ทะเลสาบสงขลา” เรื่องนี้” ประมงจังหวัดสงขลา” คิดอ่านอย่างไรก็เร่งดำเนินการเพราะ”หายนะ” ใกล้เข้ามาแล้ว

วันก่อนเห็นข่าวจาก”สำนักงานป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ” สำนักงาน ปปช.ภาค 9 ที่บินสำรวจ”ผืนป่า” ในพื้นที่ 3 จังหวัด “ปัตตานี ,ยะลา,นราธิวาส “ และ” 4 อำเภอของ จ.สงขลา พบว่า”ป่าสงวนแห่งชาติ” ถูกทำลายไปหลายแสนไร่ เป็นการ”บุกรุกป่า “ ด้วยการ “โค่นไม้ใหญ่” เพื่อการ”แปรรูป” หรือการ”ทำไม้เถื่อน” หลังจากนั้นจึงนำที่ดินที่ถูก”บุกรุก” ขายให้กับ”นายทุน” และ”ชาวบ้าน” ในพื้นที่เพื่อการทำการ”เกษตร” เช่นการ”ปลูกยางพารา” และ”พืชอื่นๆ”  ก็ต้องถาม”หน่วยงานพิทักษ์ป่า” และ”กำลังของ”ทหาร” ในพื้นที่ ว่า อยู่กันอย่างไร จึงมีการ”ปล่อยปละ” ให้มีการการ”ทำลายป่า”เป็น”แสนๆ ไร่” โดยที่ไม่สามารถ”ปกป้องผืนป่า” ที่เป็น”เขตอุทยาน” และ”ป่าสงวนแห่งชาติ” เอาไว้ได้ โดยเฉพาะ”กอ.รมน,ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งนอกจากมีหน้าที่ในการแก้ปัญหา”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” แล้ว ยังมีหน้าที่ในการ”ป้องกันภัยแทรกซ้อน” นั้นคือเรื่อง”ป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า” ที่เป็น”ทรัพยากรธรรมชาติ” และการ”ป้องกันปราบปราบยาเสพติด” ซึ่งกำลังจะบอกกับ” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ว่า งานด้าน”ภัยแทรกซ้อน” ของท่าน “ล้มเหลว” ทั้ง 2 เรื่อง ก็ขอฝากไปยัง” แม่ทัพภาคที่ 4 “คนต่อไปที่จะมา”รับไม้ต่อ” จาก” แม่ทัพต้น” ในอีก 1 เดือนข้างหน้าว่า ต้องมี นโยบาย ในการ “ป้องกันป่าไม้” ที่เป็นทั้ง”ป่าสงวนแห่งชาติ” และ”อุทยานแห่งชาติ” ซึ่งกำลัง”ย่อยยับ” ให้ กลับคืนมา…..ที่สำคัญ ที่ต้องตั้งเป็น”ข้อสังเกต” คือการเข้าพื้นที่ของ”เจ้าหน้าที่” พบแต่”ต้นไม้” ทั้งที่”แปรรูป”และที่ยังเป็น”ท่อนซุง” กับ”ผืนป่า” ที่ถูกทำลาย รวมทั้ง”เครื่องมือ” ในการใช้”โค่นป่า” เช่น “รถแทรกเตอร์,รถแบคโฮ” แต่ไม่เคยมี”ผู้ต้องหา” ติด”ปลายนวม” เพื่อการลงโทษตาม”กฎหมาย” แต่อย่างไร เรื่องนี้ต้องมีการ”ซูเอี๋ย” กันเกิดขึ้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ “ตำรวจ” จะทำการ”สืบสวนสอบสวน” ไม่ถึงตัวของ”มอดไม้” และ”ผู้บงการ” เอ้า “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.ภาค 9 ต้องทำการ”สังคายนา” ลูกน้องในพื้นที่ซึ่งมีการ”ตรวจพบการ”บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ” และ”อุทยานแห่งชาติ” เพื่อให้ได้”ต้นสายปลายเหตุ”ว่า ทำไมทุกคดี จึงทำได้เพียง”รับแจ้งความ” แต่ไม่มีการการ”สืบสวนสอบสวน” เพื่อเอา”คนผิด” มา”ติดคุกติดตะราง” ให้มีการ”เข็ดหลาบ”

สำหรับ”ฝ่ายปกครอง” ก็ไม่ควร”นิ่งนอนใจ” กับเรื่องของ”กลุ่มทุน” และ”มอดไม้” ที่ทำลายป่าไม้ซึ่งเป็น”ทรัพยากรของชาติ” นายอำเภอ แต่ละอำเภอ ที่มี “คดีความ” เรื่องการ”ตัดไม้ทำลายป่า” การ”บุกรุกป่าเพื่อทำการเกษตร” ท่านจะไม่ลอง”ถามไถ่” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในแต่ละพื้นที่เพื่อหาตัว”ผู้ทำความผิด” มาลงโทษ บ้างเลยหรือไร  บรรทัดนี้ ก็ ฝากไปยัง”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล  “เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย “ให้มีการ”ลงแส้” นายอำเภอทุกพื้นที่ ซึ่งมีการ”ตัดไม้ทำลายป่า” ด้วย การป้องกันป้าไม้ จึงจะได้ผล

กลับมาที่เรื่องของ”ไฟใต้” ที่ วันนี้”ปลายหอก” ของ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” กำลัง”พุ่งตรง” มายัง” กำลังกองอาสารักษาดินแดน” ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทำหน้าที่”ชุดคุ้มครองตำบล” หรือ”ชคต.” ที่ ล่าสุด”บีอาร์เอ็น” ใช้วิธีการ”ทิ้งใบปลิว” ใน”ศาสนาสถาน” ใน หลายพื้นที่ เพื่อ “ข่มขู่” กองกำลังอาสารักษาดินแดน” ให้มีการ”ถอนตัว” และให้”ลาออก” จากการเป็น”เจ้าหน้าที่รัฐ” ซึ่งล่าสุดที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี มีการ”ส่งจดหมาย” ระบุชื่อ” อส.ทั้ง 14 คน” ที่ประจำชุด”คุ้มครองตำบลตะโละแมะนา” ให้”ลาออก” หรือให้ทำตัวเป็น”สายข่าว” ของ”บีอาร์เอ็น” มีการ”ข่มขู่” โดยบอกว่าถ้ายังทำหน้าที่เป็น”กองกำลังให้กับรัฐ” เมียจะเป็นหม้าย ลูกจะเป็นกำพร้า นี้คือ”อหังการ์” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องไม่ปล่อยให้”เห่าหอน” เพื่อ”ข่มขู่” และสร้าง”สถานการณ์”ของความ”ปั่นป่วน” ให้เกิดขึ้น…..และการที่”บีอาร์เอ็น” ทำการ”จ่อปลายปืน” ไปยัง”กองกำลังอาสารักษาดินแดน” แสดงให้เห็นว่า”บีอาร์เอ็น” กำลัง”หวั่นไหว” กับการที่” กรมการปกครอง” ร่วมมือกับ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่จะมอบ”ภารกิจ” การ”คุ้มครองตำบล” ให้กับ” กองกำลังอาสารักษาดินแดน” ด้วยการ”ฝึกทบทวนด้าน”ยุทธการ” และ”การข่าว” แบบ”เข้มข้น” ซึ่งในปี งบประมาณ 2567 มีการ”ฝึกทบทวน” เพื่อสร้าง”ประสิทธิภาพ” ให้กับ”กองกำลังอาสารักษาดินแดน”ถึง 12 รุ่น แสดงว่าการ”เพิ่มกำลัง อส.” และการที่จะใช้”กำลังของ อส.” ในการ”ดับไฟใต้” เป็น นโยบาย ที่”ถูกทาง” จึงทำให้”บีอาร์เอ็น “ มีความ”หวั่นไหว” และมุ่งในการ”ทำลายล้าง” จึงอยู่ที่ว่า” กรมการปกครอง” และ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะใช้”มาตรการ” อย่างไร ที่ทำให้”อาสารักษาดินแดน” ไม่”ตกใจ” และไม่”ถอดใจ” ด้วยการ”ลาออก” จากการ”ข่มขู่” ของ”บีอาร์เอ็น”

อีกเรื่องที่”บีอาร์เอ็น” ออกมา”ประโคมโหมโห่” ว่าทำสำเร็จ นั้นคือการให้” ครอบครัว”ของผู้ที่คนใน”ครอบครัว” ได้รับความ”สูญเสีย” จากกรณีการ”ชุมนุม” ที่หน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส” เมื่อ 19 ปี ก่อน ที่ทำให้มีคนที่รวมชุมนุม และถูก “ควบคุมตัว” เสียชีวิตจากการ”ควบคุมตัว”ที่ไม่ถูกต้องตามหลักการปฏิบัติถึง 83 ราย พิการ บาดเจ็บ อีก จำนวนหนึ่ง ซึ่งคดีนี้มีการ”ฟ้องร้อง” โดยการเป็นโจทก์”ฟ้องเอง”จาก”ทายาท” ของผู้ที่”สูญเสีย” ต่อ “ศาลจังหวัดนราธิวาส” และได้มีการ”ไต่สวนมูลฟ้อง” และ”ศาลจังหวัดนราธิวาส” รับเป็น”คดีอาญา” เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ ผ่านมา โดยมี”เจ้าหน้าที่” ซึ่งมีหน้าที่”รับผิดชอบ” ในการ”สลายการชุมนุม” และการ”ควบคุมตัวผู้ถูกจับกุม”  จำนวน 9 ราย และถูก”ศาลสั่งฟ้อง 7 ราย” ซึ่งมีตั้งแต่ อดีต แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการตำรวจ  รองปลัดกระเทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด จนถึง อดีต ผกก.สภ.ตากใบ ที่ตกเป็น”จำเลย” และต้องทำการ”สู้คดี” เพื่อ”แสดงความบริสุทธิ์” และ หนึ่งในนั้น คือ” พล.ท.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ ปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย และก่อนหน้านี้มีชื่อเป็น”แคนดิเดต” ที่จะได้เป็น” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” แต่หลังจากที่กลายเป็น”จำเลย”ในคดีนี้คงจะ”หมดโอกาส” ที่จะเป็น”เสนาบดี” ในฐานะที่เป็น”คนเหนือ” และเป็นศิษย์”มงฟอร์ด” เช่นเดียวกับ”ทักษิณ ชินวัตร” เรื่องนี้”ชัยชนะ” เป็นของ”บีอาร์เอ็น” เพราะ”บีอาร์เอ็น” ใช้”เงื่อนไข” ของคดี”ตากใบ” เป็น”เครื่องมือ” ในการ”ปลุกระดมมวลชน”มาถึง 19 ปี และทำได้สำเร็จก่อนที่ “คดีนี้จะขาดอายุความ”เพียงไม่กี่เดือน ที่สำคัญ ทุกคนที่”เสียหาย” ที่”สูญเสีย” จากคดีที่ สภ.ตากใบ ต่างได้รับการ”เยียวยา”ถ้วนหน้า โดยผู้”เสียชีวิต” รับเงินเป็นค่าเยียวยารายละ 7 ล้าน 5 แสนบาท ส่วนผู้ บาดเจ็บ และ ทุพลภาพ ก็มีการ”เยียวยา” ที่”ลดหลั่น”ลงไป ทุกฝ่ายเข้าใจว่า”คดีนี้จบแล้ว” แต่”สุดท้าย”เป็นการ”เริ่มต้นใหม่” เพื่อหา”ผู้ที่ทำผิด” ในคดีอาญาที่ทำให้”มีการตาย” บาดเจ็บ และ”พิการ” เกิดขึ้น ซึ่งคงต้องใช้เวลาในการ”สู้คดี” กันอีกหลายปี และนี่คือความ”สำเร็จ”ของ”บีอาร์เอ็น” ต่อ นโยบาย 5 ไม่ ที่มีการ”ปลูกฝัง” และ”บ่มเพาะ” ต่อคนในพื้นที่ เพราะ “ 1 ใน 5ไม่ “ ของ”บีอาร์เอ็น”คือ”ไม่ให้อภัย” สำหรับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” และ”คนไทยพุทธ” ต่อทุก กรณี ที่เกิดขึ้น

สุดท้าย “โทนี่ เตียว” หรือ”เตียว วุย ฮวด” หรือ” เสี่ยว จาง” เจ้าพ่อการเงิน” หรืออาชญากรโกงคริปโตร”  เจ้าของ”อาณาจักร เอ็มบีไอ กว่า 10,000 ล้านบาท ที่ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ชายแดนไทย – มาเลเซีย ซึ่งมี”หมายแดง” ในข้อหา”ฉ้อโกง” เงินของ”ประชาชนชาวจีนแผ่นดินใหญ่” กว่า สี่แสนล้านหยวน” ก็ถูก “ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไทย” ส่งตัวไปให้”ทางการจีนดำเนินคดี” ตามคำสั่งของ”สำนักงานอัยการสูงสุด” ตาม”สนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดน” หลังจากที่ถูก”ควบคุมตัวอยู่ที่ ตม.สวนพลู” กว่า 2 ปี  จบสิ้นแล้วสำหรับ” อาณาจักรเอ็นเตอร์เทนเม้นคอมเพล็ก” ที่ครบวงจรมูลค่า นับหมื่นล้าน ที่”ชายแดนไทย” มาเลเซีย” ซึ่งคงรอการ”ขายทอดตลาด”ตาม”กฎหมาย” ที่น่า”หดหู่” วันนี้ “ทุกกิจการ” ในอาณาจักร” เอ็มพีไอ” ของ”เสี่ยว จาง” กลายเป็น” เมืองร้าง” ส่วน”ตำรวจ” ที่เป็นผู้เข้า”จับกุม” เจ้าพ่อทางการเงินคนสำคัญของ “มาเลเซีย” คือ”บิ๊กโจ๊ก”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. ที่ ขณะนั้นที่  ”ยิ่งใหญ่”จน”สยบทั้งปฐพี” ซึ่งวันนี้ทิ้งผลงานเอาไว้นั่นคือคดีของ” เสี่ยวจาง” หรือ” โทนี่ เตียว” ที่ หลบเข้ามาอยู่ใน ประเทศไทย โดยไม่มีใคร”กล้าแตะต้อง” แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง จับตาเปลี่ยนตัวนายกฯ ดิจิตอลวอลเล็ตจะไปต่อหรือพอเค่นี้

เริ่มที่เรื่อง”การเมือง” ของ”ประเทศไทย” เพราะ”การเมือง” เป็นทุกอย่าง” สำหรับทุกคน “การเมือง” คือ”ลมหายใจ”ของประเทศและประชาชน ถ้า”การเมืองดี” เป็น”การเมือง”ที่มี”เสถียรภาพ” ไม่มีความ”ขัดแย้ง” ทั้งใน”รัฐบาล” และ”ประชาชน” ในประเทศ ใครๆก็อยากมา”ลงทุน” ในประเทศไทย แต่การที่จะเห็น”การเมืองดี” มี”เสถียรภาพ” สิ่งแรกที่ต้องดู”คือผู้นำ”คือ”พรรคร่วมรัฐบาล” และ”นโยบาย”ของ”รัฐบาล”….วันนี้ประเทศไทย ได้”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 31 คือ”อิ๊งค์” หรือ” แพทองธาร ชินวัตร” ที่มาจาก”หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” และเป็น”ดีเอ็นเอ” ของ” ทักษิณ ชินวัตร” อดีต “นายกรัฐมนตรี” ที่เป็น”นายกรัฐมนตรี” ตัวจริง เสียงจริง ในการ “กำกับดูแล” นโยบายของ”รัฐบาล” ชุดใหม่ ซึ่งมาแทนที่”เศรษฐา ทวีสิน” ที่”ตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ทั้งที่บริหารประเทศได้เพียง 1 ปีและเป็น  1 ปีที่ยังไม่ปรากฏ”ผลงาน” ที่”เป็นชิ้นเป็นอัน” และกำลังอยู่ในห้วงของการเป็น” ผู้นำขาลง” ที่ไม่ใช่”ความหวัง” ของคน”ส่วนใหญ่” ดังจะเห็นว่าการหลุดจากตำแหน่ง” นายกรัฐมนตรี” ของ”เสี่ยนิดเศรษฐา ทวีสิน จึงไม่ได้มี”ปฏิกิริยา” ใดๆ จากคนทั้งประเทศ เหมือน”อยู่”หรือ”ไป” ค่าเท่ากัน

เช่นเดียวกับการที่”พรรคร่วมรัฐบาล” มีการ”โหวต” เพื่อเลือก แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี” แทน”เศรษฐา ทวีสิน” คนส่วนใหญ่ในประเทศก็ไม่ได้”ตื่นเต้น” หรือ”ดีอกดีใจ”การได้”ผู้นำประเทศคนใหม่”  ในการนำพาประเทศที่กำลัง”เข้าตาจน” ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ละ”ปากท้อง” ของคน”ส่วนใหญ่” ที่ตกอยู่ในฐานะ” จนทั้งแผ่นดิน” ที่คน”ส่วนใหญ่” ต่างมี”อารมณ์ร่วม” ไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะเชื่อว่า ใครจะเป็น”นายกรัฐมนตรี” เป็นเพียงการ”เปลี่ยนผู้นำ” จาก”คนหนึ่งไปสู่คนหนึ่ง” แต่ผู้ที่”กุมบังเหียน”เพื่อ”สั่งการ” ให้”นายกรัฐมนตรี” ซ้ายหันขวาหัน ยังคงเป็น”ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็น”เจ้าของพรรคเพื่อไทย” และเป็น”ผู้นำประเทศตัวจริง” ซึ่งเป็นที่คนทั้งประเทศต่าง”รับรู้”  ส่วนจะเป็น เช่นนั้น จริงหรือไม่ คนไทยก็จะได้เห็นกันในไม่ช้านี้……แต่การ”เปลี่ยนแปลง” ในทาง”การเมืองไทย” ที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ ที่ต้อง”จับตามอง” และมองใน”ด้านบวก” ไว้บ้าง ก็คือ”ประเทศไทย” กำลังก้าวไปสู่การได้”ผู้นำยุคใหม่” ใน”ทางการเมือง” เพราะ”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 31 “แพทองธาร ชินวัตร” นอกจากเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่เป็น”สตรี” คนที่ 2 ของประเทศแล้ว ยังถือว่าเป็น”คนรุ่นใหม่” ที่มี”อายุอานาม” เพียง 38 ที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ”ฝ่ายบริหาร”  ในขณะที่ “เสี่ยเท้ง” ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุธ หัวหน้าพรรคประชาชน ก็มี”อายุอานาม”ที่”ไล่เลี่ย”กันคืออายุ 37 ปี ถือว่าล้วนเป็น”คนรุ่นใหม่”ที่เป็น”คนหนุ่มคนสาว”ในการ”นำพาประเทศ”ให้ก้าวไปข้างหน้า ถ้า”พรรคร่วมรัฐบาล” และ” บ้านจันทร์ส่องหล้า” สามารถทำให้”แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี” ที่เป็นคน”เจนใหม่” มีความ”เข้มแข็ง” และมี”นโยบาย” ในการ”นำพาประเทศ” ออกจาก”จุดอับ” ทางด้าน”เศรษฐกิจ” ที่เป็นเรื่อง”เปราะบาง”ที่สุดของประเทศในขณะนี้ได้จริง สังคมไทยอาจจะได้เห็น”การเมืองใหม่” ที่ไม่ใช่”การเมืองน้ำเน่า” เกิดขึ้นกับ”ประเทศไทย” ก็อาจจะเป็นไปได้   ก็ได้แต่”คาดหวัง” และอยากให้เกิดนะ

จับตา”ปรากฏการณ์” ของ”สังคมไทย” พบว่า หลังมีการ”เปลี่ยนตัว”นายกรัฐมนตรี” จาก ”เศรษฐา ทวีสิน”เป็น”แพทองธาร ชินวัตร” เรื่องแรกที่”คนไทยส่วนใหญ่”ต่างถามถึงด้วยความ”กังวล”คือเรื่องของ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ว่า”เพื่อไทย” ยังจะ”ไปต่อ” หรือไม่ เพราะเรื่องของ”ดิจิตัลวอลเล็ต” เป็นเรื่องที่”เพื่อไทย” สร้าง”ความหวัง” ให้กับประชาชนในการที่จะได้รับ”เงิน 10,000 บาท เพื่อการ”ใช้จ่าย” รวมทั้งมีการให้ผู้ที่”มีสิทธิ์” ทำการ”ลงทะเบียน”แล้วถึง 30 ล้านคน  ถ้า”รัฐบาล”ชุดนี้”ยกเลิก” โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” จริงตามที่”เป็นข่าว” เชื่อเถอะ” ทัวร์ลง” ที่”อุ๊งอิ๊ง” และที่”เพื่อไทย” ชัวร์ป้าด  เพราะโดยข้อเท็จจริงที่ยากในการ”ปฏิเสธ” คือ” ดิจิตัลวอลเล็ต” ไม่ใช่นโยบายของ”เศรษฐา ทวีสิน” แต่เป็น นโยบายที่”เพื่อไทย” ที่ใช้ในการ”หาเสียง” และบุคคลที่”ตะโกน” บนเวทีหาเสียงในการ”ขายฝัน” เรื่องของ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ในทุกเวทีของการปราศรัย”กับ”ประชาชน” ทั้งประเทศก็คือ”แพทองธาร ชินวัตร” ที่ วันนี้ได้รับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี”แล้ว ซึ่งยิ่งต้อง”ปฏิบัติตาม” สัญญาประชาคม  และนี้ก็จะเป็น”โจทย์ยาก” และเป็น”โจทย์หิน” สำหรับการก้าวสู่ตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” สำหรับ”อุ๊งอิ๊ง” หรือ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศ ซึ่งวันนี้”คนไทย” นำเอา”เทปการหาเสียง” ของ”อุ๊งอิ๊ง” มา”รีเพลย์” เพื่อเรียกร้องความ”ทรงจำ”กันทั้งประเทศโดยผ่าน”โซเชียลมีเดีย”

และเรื่อง”สัญญาประชาคม” ที่จะตามมา”หลอกหลอน” ทั้งกับ”แพทองธาร ชินวัตร” และ”สส.” ของ”เพื่อไทย”  นอกจากเรื่อง”ดิจิตัลวอลเล็ต” แล้ว ยังมีอีกหลาย”กระบุงโดย” ที่ยัง”ไม่ได้ทำ”หรือ”ทำไม่ได้” นั้นคือ” ราคาค่าแรง 600 บาท” เงินเดือนผู้จบปริญญาตรี 25,000 บาท “เพื่อไทยเอามา ยาเสพติดหมด” และ”น้ำมันถูกลง ค่าไฟถูกลง” รวมทั้ง”คุณภาพชีวิตของทุกคนจะดีขึ้น”  และอีกมากมาย ที่เป็นเหมือน”คำมั่นสัญญา” กับ”ประชาชน”ในการ”หาเสียง” และเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้ทำ สิ่งเหล่านี้จะถูก”หยิบยก” ขึ้นมา”ทวงถาม” ซึ่งต้องติดตามดูกันว่า” เพื่อไทย” จะตอบคำถามเหล่านี้อย่างไร และ”นายกรัฐมนตรี” จะทนแรง”เสียดทาน” กับปัญหาเหล่านี้ได้ขนาดไหน…..เพราะอย่างลืมว่า”อิ๊งค์”คือ”ไพ่ใบสุดท้าย” สำหรับ”ตระกูลชินวัตร” ในทางการเมือง เพราะหาก”แพทองธาร ชินวัตร” และ”เพื่อไทย” เกิดเดิน”สดุดขา”ตนเอง” หรือเกิดความ”ขัดแย้ง” ในพรรคร่วมรัฐบาล “ชัยเกษม นิติสิริ” คงไม่ใช่”ไพ่ใบสุดท้าย” ที่อยู่ในมือของ”เพื่อไทย” เพราะเกมการเมืองที่ผ่านมาในการที่”สส.”ต้องการ”ดัน”ให้”อิ๊งค์” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ได้มีการเปิด”จุดอ่อน” ของ”ชัยเกษม  นิติสิริ” อย่าง”ล้อนจ้อน” จนไม่มีโอกาสที่จะเป็น”นายกรัฐมนตรี” หาก”อิ๊งค์”เกิด”อุบัติเหตุ”ทางการเมือง เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ” เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่ง”ทางออก”ของ”เพื่อไทย” มีทางเดียวคือ”ยุบสภา”เพื่อ”เลือกตั้ง”ใหม่เท่านั้น หรือการ”เปิดทาง” ให้”พรรคร่วมรัฐบาล” เป็น”นายกรัฐมนตรี”คนที่ 32 ของประเทศไทย  ไม่เกิน 6 เดือน คนไทยจะได้เห็นกัน แต่ เชื่อเถอะ ถ้ามีการยกเลิก”ดิจิตัลวอลเล็ต”จริงตามที่เป็นข่าว   เพื่อไทยคงเจอกับ”แรงแค้น” ของ”คนจน” ทั้งประเทศ ที่ในการ”เลือกตั้ง” ครั้งต่อไป ไม่มีทางที่จะเป็นพรรคการเมืองที่จะได้”คะแนนเสียง” มาเป็นอันดับหนึ่ง แน่นอน ไม่ต้อง”ฟันธง”และ 6 เดือนข้างหน้า จะได้เห็นว่า” รัฐบาล”ชุดนี้”ปัง”หรือ”พัง” จะได้เห็นกันจะจะแน่นอน

แต่สิ่งที่”คนไทย” ซึ่งเป็น”เสียงส่วนใหญ่” ที่ต้องการให้ไปกับ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นั้นคือ เรื่องของการ”ออกกฎหมาย” ให้คน”ต่างชาติ” เข้ามา”ลงทุน” ในประเทศโดยการเช่า”ที่ดิน” เป็นเวลา 99 ปี และเรื่องของการ”ออกกฎหมาย”ให้มีการ”เปิดบ่อนเสรี” หรือที่เรียกว่า”อินเตอรเทนเม้นท์คอมเพล็กซ์” ซึ่งอันแรกเรียกว่า”กฎหมายขายแผ่นดิน” อันที่สองเรียกว่ากฎหมายทำลาย”ศีลธรรมแลสังคม” ซึ่งในเรื่องของการ”เปิดบ่อนเสรี” ก็มี”พรรคภูมิใจไทย” และ”พรรคประชาธิปัตย์” ออกมาทำการ”คัดค้าน” แสดงความไม่เห็นด้วยไปแล้ว แต่นั่นแหละ”การเมือง” เป็นเรื่อง”สับปลับ” วันนี้บอก”ไม่เห็นด้วย” เพราะ”ผลประโยชน์ขัดกัน” วันหน้าเมื่อมีการ”จัดสรรผลประโยชน์ลงตัว” ก็อาจจะ”พลิกลิ้น” และบอกว่า”เห็นด้วย” โดย อ้าง โน้น นี่ นั้น  ตัวอย่างมีให้เห็น มากมาย…..และที่ต้อง”จับตามอง”การ”แถลงนโยบาย” ของ”รัฐบาล” หลังการเข้า”ถวายสัตย์” ก็จะได้เห็นว่า”นโยบาย”ของ”รัฐบาล”ชุดใหม่ว่าจะมีอะไรที่”แตกต่าง”กว่า นโยบายของ”รัฐบาล”ชุดที่แล้วซึ่งมี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่มีอายุเพียง  1 ปี และจะมีการ”สับเปลี่ยน”ตำแหน่ง”รัฐมนตรี” และ”สับเปลี่ยนกระทรวง”กันหรือไม่ เพราะ”ประชาชน” อย่าง”เราๆท่านๆ” ไม่ได้ไป”รับรู้” ว่าการที่”ทุกพรรคการเมือง” เดินทางไปยัง”บ้านจันทร์ส่องหล้า” เพื่อ”เห็นด้วย”กับการให้”พรรคเพื่อไทย” ส่ง”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” นั้นมี”ดีลลับ” ระหว่าง”พรรคร่วม” กับ”พรรคเพื่อไทย” ในเรื่องของ”กระทรวงเล็กกระทรวงใหญ่” หรือไม่อย่างไร เพราะสำหรับเรื่องของ”การเมือง” ทุกอย่างคือ”ผลประโยชน์” และทุกอย่างขึ้นอยู่กับการ”ต่อรอง” ทั้งสิ้น

แต่การที่”เพื่อไทย” ส่ง”แพรทองธาร ชินวัตร” ที่เป็น”เลือดเนื้อเชื้อไข” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” มองใน”มุมบวก” ก็อาจจะ”เป็นคุณ” กับประเทศไทย เพราะ”ทักษิณ ชินวัตร” จะต้อง”เต็มที่เต็มถัง” ในการใช้”ความรู้ความสามารถ” และ”คอลเน็คชั่น” ที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อช่วยให้การ”บริหารรัฐบาล” ของ”บุตรสาว” ไปสู่ความ”สำเร็จทางการเมือง”  ซึ่ง ณ วันนี้ก็ไม่ต้อง”ตะขิตตะขวง” หรือ”เหนียมอาย” อีกต่อไป และหากการที่”ทักษิณ ชินวัตร” เข้ามาช่วย”บุตรสาว” บริหารประเทศ และ”เป็นคุณ กับ”ประชาชน” ได้จริง ก็เป็นสิ่งที่ “น่ายินดี” เพราะไหนๆ ประเทศนี้ก็ หนีไม่พ้น”เงาร่าง” ของ”ทักษิณ” อยู่แล้ว ก็ต้อง ยอมรับความจริงว่า” แม้จะผ่านไป 17 ปีที่”ทักษิณ” หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ”ทักษิณ” ก็ยังมี”อิทธิบารมี”ในทาง”การเมือง” อย่างเต็มเปี่ยม   และ”ทักษิณ” จะมี”บทบาท” อย่างไรในการ”โอบอุ้ม” ผู้เป็น”บุตรสาว”ประชาชนคนไทยก็จะได้เห็นกันในไม่ช้านี้  ในเมื่อวันนี้ คนไทยทั้งประเทศต่างมีความเห็นไปทางเดียวกันว่า”ประเทศไทย” มี”นายกรัฐมนตรี” เข้ามาบริหารประเทศที่เดียว “2 คน” ถ้ายังทำความ”เจริญ” ให้กับ”ประเทศชาติ”ไม่ได้ใน”ชาตินี้” ก็ไม่รู้ว่า”ประเทศชาติ” จะมีความ”เจริญ” ในชาติไหน

แต่ที่”ชัดเจน” คือ”พรรคประชาธิปัตย์” ยังเป็น”พรรคการเมือง” ที่”ไม่มีเสียงตอบรับ” จาก”พรรคเพื่อไทย” เหมือนเดิม และต้องทำหน้าที่”ฝ่ายค้าน”ต่อไป ซึ่งในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ “ประชาธิปัตย์ “ 25 เสียง ไม่มีการ”แตกแถว” เหมือนครั้งที่มีการโหวตเลือก” เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” อาจจะเป็นเพราะ”ประชาธิปัตย์” มีการ”สำเหนียก” แล้วว่า“เพื่อไทย” และ”พรรคร่วม” มัดรวมกัน”แข็งโป๊ก” และยังไม่จำเป็นที่จะมี”ประชาธิปัตย์” เข้าร่วม เพราะไม่ต้องการ”แบ่งเค้ก”แบ่ง”กระทรวง” และแบ่งตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ให้กับ”ประชาธิปัตย์” ดังนั้น เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้อง”อดทน” ในการเป็น”ฝ่ายค้าน” ต่อไป ที่สำคัญต้อง”แสดงบทบาท”ของ”ฝ่ายค้าน” ให้”เข้าตาประชาชน” เพื่อผลการเลือกตั้ง”สมัยหน้า” เพราะที่ผ่านมา 1 ปี “ประชาธิปัตย์” ยังไม่”คืนฟอร์ม” ฝ่ายค้านที่มี”คุณภาพ” เหมือนในอดีต

จับตาต่อไปคือเรื่องการ”ดับไฟใต้” ซึ่งที่ผ่านมา”เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ให้ความ”สำคัญ” กับปัญหาของ”ไฟใต้” ไม่มีการ”ใส่ใจ” กับปัญหาการ”แบ่งแยกดินแดน” โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ” กองทัพ” ที่มี”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทำหน้าที่ในการ”ดับไฟใต้” ที่ยังไม่”ตอบโจทย์”  ครั้งนี้ “รัฐบาล” ชุดใหม่ จะแต่งตั้งใครเป็น”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง” เพื่อ”รับผิดชอบ”กับการ”ดับไฟใต้” และจะมีการ”เปลี่ยนตัว” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม จาก”สุทิน คลังแสง”เป็นผู้อื่นหรือไม่ รวมทั้งจะมีการแต่งตั้ง”รัฐมนตรีช่วยกลาโหม”  ที่มี”ความรู้ความสามารถ” รับหน้าที่ด้าน”ความมั่นคง” หรือไม่ รวมทั้ง”แพทองธาร ชินวัตร” จะทำหน้าที่ใน”หมวก” ของ”ผอ.กอ.รมน.” หรือไม่ ประเด็นเหล่านี้ เกี่ยวกับการ”ดับไฟใต้” ทั้งสิ้น…..โดยเฉพาะ “นโยบาย”ที่เกี่ยวกับ”ยาเสพติด” ซึ่ง”ระบาดหนักมาก” ทั่วประเทศ และเป็นสาเหตุของ”อาชญากรรม” ที่”คนติดยา” ก่อความรุนแรงที่ทุกวันมีแต่”ข่าว มาตุฆาต ปิตุฆาต” เกิดขึ้นทุกวัน  รวมทั้งการ”ประทุษร้ายต่อทรัพย์ ที่”เบ่งบาน” ทั้ง”แผ่นดิน” ซึ่ง 1 ปี ที่ผ่านมา” อดีตนายกรัฐมนตรี”เศรษฐา ทวีสิน” ก็ได้แต่”สั่งๆๆ” ให้ หน่วยงานทุกหน่วยแก้ปัญหา”ยาเสพติด” แต่เหมือนการ”สั่งขี้มูก” ที่ไม่หน่วยงานไหนทำแบบ”จริงจัง” และไม่เป็นไปตามที่มีการ”หาเสียง” ที่ตะโกนบนเวทีการหาเสียงว่า” เพื่อไทยมายาเสพติดหมดไปจากประเทศไทย” นี่ก็เป็นอีก”โจทย์ใหญ่” ที่ “คนไทยทั้งประเทศ” รอดู”ฝีมือ”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ที่จะ”ผลักดัน” การแก้ปัญหาผ่าน”บุตรสาว” อย่างไร

ที่สำคัญที่สุด ในการ”ตัดสิน” ให้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย”ตกสวรรค์” พ้นจาก”เก้าอี้” นายกรัฐมนตรี ในครั้งนี้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตัดสินโดยการ”ยึดหลัก” ของ”จริยธรรม” ดังนั้นในการ”แต่งตั้ง” บุคคลต่างๆ เข้ามารับตำแหน่งใน”รัฐบาล” ต้องมีความ”โปร่งใส” และ”สะอาดสะอ้าน” หากใครที่มี”ตำหนิ” ในเรื่อง”จริยธรรม” เมื่อมีการ”ฟ้องร้อง” ต้องใช้”มาตรฐาน” เดียวกับที่ใช้ในการตัดสิน”เศรษฐา ทวีสิน”  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่”ผู้จัดการรัฐบาล” อย่าง”เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการ”นายกรัฐมนตรี” ต้อง”ระมัดระวัง” เพราะ”สี่เท้าย่อมช้าง” อย่าให้เป็น”กิ้งกือตกท่อ” เพราะมี”อนาคต”ของ”แพทองธาร ชินวัตร” เป็นเดิมพัน…..และที่ต้องติดตามดูอีก”ประเด็น” คือ” เรื่องของ”พลังงาน” เรื่องของ”น้ำมัน-ไฟฟ้า-ก๊าซ” ที่ “กระทรวงพลังงาน”ที่มี”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้า”พรรครวมไทยชาติชาติ” เป็นหัวหน้าพรรค และเป็น”รองนายกรัฐมนตรี” ในฐานะ”เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” ที่ 1 ปี ผ่านไป การแก้ปัญหา”พลังงาน” ยังไม่มีความสำเร็จ ราคา” น้ำมัน ราคาไฟฟ้า ราคาก๊าซ” ยังไม่มีท่าที่ว่าจะ”ลดลง” กลายเป็น”เงื่อนไข” ของการทำให้”สินค้าขึ้นราคา”จนกลายเป็นเรื่อง”แพงทั้งแผ่นดิน” และ”จนทั้งแผ่นดิน” เรื่องนี้เป็น”หนามยอกอก” ของ”เพื่อไทย” เพราะมีการ”หาเสียง” จนเป็น”สัญญาประชาคม”ว่า”เพื่อไทยมา” น้ำมัน ไฟฟ้า ก๊าซ ลงทันที   และมีข่าวว่า “เพื่อไทย” ต้องการ”กระทรวงพลังงาน” มา “กำกับดูแล” เพื่อแก้ปัญหา”พลังงาน” ซึ่ง”พรรครวมไทยสร้างชาติ” จะ”ยินยอม” หรือไม่…..รวมทั้งยังมีข่าวว่ามี”ดีลลับ” ระหว่าง”เพื่อไทย” กับ”เจ้าพ่อพลังงาน” ของ”ประเทศไทย” ที่ต้องการให้เปลี่ยน”รัฐมนตรีพลังงาน” จาก” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ไม่ยอม”ตามใจ” ทำความต้องการของ”เจ้าพ่อพลังงาน”ในเรื่องของ”ผลประโยชน์” ที่ต้องการ เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้อง “จับตามอง”

ส่วนเรื่อง”แลนด์บริดจ์” หรือ”สะพานบก” ที่เชื่อมระหว่าง จ.ระนอง กับ จ.ชุมพร ซึ่ง”เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี  เดินทาง”ข้ามน้ำข้ามทะเล” ไปทำ”โรดโชว์” กับ”ประเทศต่างๆ” มากมาย  รัฐบาลชุดใหม่ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็นผู้นำรัฐบาล จะ”เดินต่อ”หรือ”พอแค่นี้”  เพราะโครางการนี้”ทับซ้อน” อยู่กับโครงการ”เซ้าท์เทิร์นซีบอร์ด”  ถ้าไม่มีการ”สานต่อ” ก็จะเป็นประเด็นที่สร้างความ”สับสน” ให้เกิดขึ้นกับ”นโยบายเศรษฐกิจ” ของ”ประเทศไทย ที่ไม่มีความ”แน่นอน” ในสายตาของต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นความ”เสียหาย” กับ”ประทศไทย ทั้งสิ้น

เมื่อประเทศมี”นายกรัฐมนตรี” ที่เป็น”คนใหม่” หลายภาคส่วนก็ต้องมี”ความหวัง”ว่า สถานการณ์ของ”ประเทศไทย” จะต้องดีขึ้น เช่น “จักรพรรณ วัลแอ” เลขาธิการสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยภาคใต้ ฝากให้ “นายกรัฐมนตรี”คนใหม่ ผลักดันในเรื่องของ”ธุรกิจรายย่อย” หรือ”เอสเอ็มอี” และเรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” ที่รู้สึกว่าจะ”กระตุ้นไม่ขึ้น”โดยขอให้มีการ”ผลักดัน” ในเรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” ให้เป็นอีก”ทางออกทางหนึ่ง” ของการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ที่ “ซบเซา” ทั้งประเทศ ก็โครงการนี้เป็นโครงการของ “อิ๊งค์” ตั้งแต่เริ่มต้นในการ”หาเสียง” ก็เชื่อว่า”นายกรัฐมนตรี”  แพทองธาร ชินวัตร ต้องให้ความ”ใส่ใจ” และ”ผลักดัน” ให้เดินหน้าแน่นอน แต่จะได้ผลหรือไม่  เป็นเรื่องของการ”พิสูจน์ฝีมือ” รวมทั้ง “หน่วยงานของรัฐ” ให้ความ”สนใจ” ที่จะทำให้เป็นผล”สำเร็จ” หรือไม่  เพราะ ประเทศไทย “กลไก” ในการ”ขับเคลื่อน” ทุกอย่างยัง”รวมศูนย์” อยู่ที่”ราชการ” และที่สำคัญ”ราชการไทย” ยังคงความเป็น”เช้าชามเย็นชาม” เป็นส่วนใหญ่

ถ้าไม่มีเรื่อง” เสี่ยนิด”เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี”ตกสวรรค์” จากคำสั่งของ”ศาลรัฐธรรมนูญ”เข้ามา เชื่อว่า เรื่องการ”โปรดเกล้า ฯ” ให้พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ของ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” หรือ”โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” คงเป็น”ข่าวพาดหัวหน้า 1 “ แต่เพราะมีข่าว”เศรษฐา ตกสวรรค์” เกิดขึ้น จึงทำให้ข่าวการ”พ้นตำแหน่ง” ของ”บิ๊กโจ๊ก” กลายเป็น ข่าวเล็กๆ  และ ต่อจากนี้ไป เรื่องความ”ขัดแย้ง” ใน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ด้วยการ”สาวใส้ให้กากิน” ให้ประชาชนเห็นถึงความ”ฟอนเฟะ” ของ “ตำรวจไทย” น่าจะลดน้อยลง เพราะ”บิ๊กโจ๊ก” เหลือ”ความหวังเดียว” ในการกลับคือสู่”ปทุมวัน” คือการ”ฟ้องศาลปกครอง” และ”ชนะคดี” ซึ่งต้องใช้เวลาไม่เร็วนัก….ส่วน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” จะได้ใครมาเป็น” ผบ.ตร.” คนต่อไป เดือนกันยายน ที่จะถึง ก็คงจะรู้กัน ซึ่งก็เห็นชื่อ”แคนดิเดต” อยู่หลายคน อาทิ “พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร, พล.ต.อ.ธนา ชูวงค์. พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวดทรวง” แต่ในยุคที่”บ้านจันทร์ส่งหล้า” ถืออำนาจเต็มเปี่ยม อาจจะมี”ม้ามืด” ที่พร้อมเป็น”ม้าใช้ทางการเมือง” ถูกเลือกให้เป็น” ผบ.ตร.” คนต่อไปโดยวิธีการ”พิเศษ”ก็เป็นได้ เพราะ “ปฏิเสธ” ไม่ได้ว่า “องค์กรตำรวจ” ยังไม่”หลุดพ้น” จากการเป็น”เครื่องมือของนักการเมือง” และนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่” การเมือง” ไม่ยอมให้มีการ”ปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้เป็นผลสำเร็จ

หลังการที่”แนวร่วม” หรือ”กองกำลังติดอาวุธ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน” บีอาร์เอ็น” ปฏิบัติด้วยการใช้”ระเบิดไปป์บอมบ์” ขว้างเข้าใส่ “จุดตรวจ” ในพื้นที่ ต.ปาลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ทำให้ “ชาวบ้าน” ถูก”ลูกหลง” ได้รับ”บาดเจ็บ” จำนวน 3 ราย มีเสียง”เรียกร้อง” จาก”ชาวบ้าน” ในชุมชน” ดังกล่าว ขอให้มีการ”ย้ายจุดตรวจ” ของ”เจ้าหน้าที่หาร” ออกจาก”ชุมชน”และมีการแสดงความ”อึดอัดขัดข้อง” ที่”จุดตรวจ”ดังกล่าว “ปิดทางเข้าออก” ของ”ชุมชน” รวมทั้งมีการ”ส่งโดรน” ขึ้น”ปฏิบัติการตรวจตรา” ที่”ชาวบ้าน” ต่างรู้สึกว่าเป็นการ”ละเมิดเสรีภาพ”…..เรื่อง”จุดตรวจ จุดสกัด” ที่มีการ ตั้งติดกับ”ชุมชน” อยู่ติดกับ”ตลาดนัด” เป็นเรื่องที่ เคยมีการ”พูดแล้วเขียนแล้ว” หลายครั้งว่า เป็นเรื่องที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องมีการ”พิจารณาให้รอบคอบ”  อย่าคิดแต่ความ”สะดวกสบาย” ของ”กำลังพล” และอย่าคิดที่จะเอา”ประชาชนมาเป็นเกราะกำบัง” เพราะเชื่อว่า” บีอาร์เอ็น” ไม่กล้าที่จะ”โจมตี” เนื่องจาก “ชาวบ้าน” จะถูก”ลูกหลง” ดังนั้นหลายครั้งที่มีการ”โจมตี” ทั้งด้วย”อาวุธปืน” และ”ระเบิดแสวงเครื่อง” รวมทั้ง”คาร์บอมมบ์”  ทำให้ “ชาวบ้านรับเคราะห์”ไปด้วย และยังทำให้ “เจ้าหน้าที่” ทำการ”ยิงตอบโต้” กลุ่ม”แนวร่วมไม่สะดวก” เพราะกลัว”กระสุนปืน” จะไปโดยชาวบ้าน เรื่องนี้” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องเอาไปเป็น”การบ้าน” เพื่อทำการ”แก้ไข”

ที่ สำคัญ หลังเกิดเหตุ หลัง”ชาวบ้าน” ได้รับ”บาดเจ็บ” หรือ”เสียชีวิต”  แทนที่”ชาวบ้าน” จะไป”กล่าวหา” หรือ”ประณาม” กองกำลังติดอาวุธ” และ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ ว่าเป็น”คนผิด” แต่  “เปล่าเลย” กลายเป็นว่าผู้ที่”ผิด” ในสายตาของ”ชาวบ้าน” คือ “เจ้าหน้าที่รัฐ”  ไม่ใช่ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์อ็น” นี่คือ”ความรู้สึกของชาวบ้าน” ที่เป็นคนในพื้นที่  ซึ่งยังมอง”เจ้าหน้าที่เป็นจำเลย” และการ”ดับไฟใต้” ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ล้วนมาจาก”ความรู้สึก” ที่ไม่ใช่”ข้อเท็จจริง”เป็นไปตามที่เคยบอกไว้ว่า”สงครามความรู้สึก คือปมลึกของไฟใต้” นั้นเอง และจะแก้อย่างไร ใครเป็นคนแก้ หรือไม่มี”หน่วยงานไหนยากแก้” เพราะแต่ละหน่วยงานต่างมี”ผลประโยชน์” จาก”ไฟใต้” แฝงอยู่ทั้งสิ้น

คำสั่ง “คสช.” ที่ “พล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา” อดีต นายกรัฐมนตรี ให้อำนาจ “หัวหน้า คสช.” ใช้ในการ”บอนไซ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) ให้เป็นหน่วยงานที่”เล็กลง” และให้”เดินตามหลัง” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เป็นเวลา 9 ปี บัดนี้ “สภาผู้แทนราษฎร” และ”วุฒิสภา” ได้ทำการ”ยกเลิก” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  และอีก 120 วัน ก็จะมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) ต้องดำเนินการ ให้ “ศอ.บต.” เป็น หน่วยงานที่มี”พรบ.” ของ “ศอ.บต.” เต็มใบอีกครั้ง และจะมี”สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่มาจาก”ภาคส่วนของประชาชนในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นอีก “ขาหนึ่ง” ที่เป็น”อิสระ” ในการ”สร้างความมั่นคง” ให้เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ควบคู่กับ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็หวังว่าคงจะไม่มีการ”ขัดขา” ระหว่างสองหน่วยงาน เหมือนใน”อดีต” ที่เคยเกิดขึ้น  และก็ต้องติดตามดูว่า “พ.ต.ท. วรรณพงศ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. จะมีการ”โยกย้าย” กลับไปยัง”กระทรวงยุติธรรม” หรือยังจะ”แฮปบี้” กับตำแหน่ง “เลขาธิการ ศอ.บต.” หรือไม่ ถ้ายังอยู่ต่อ ก็คงจะได้เห็น”ยุทธศาสตร์” ของ” ศอ.บต.” ในการ แก้ปัญหาด้าน เศรษฐกิจ การเมือง ความยุติธรรม สังคมจิตวิทยา และการ พัฒนาคุณภาพชีวิต ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้แบบที่”ตอบโจทย์” ของปัญหา ที่สำคัญการเลือก”บุคคล” ใน”สาขาอาชีพต่างๆ”และผู้”ทรงคุณวุฒิ”ที่จะมาเป็น”สภาที่ปรึกษาฯ” ต้องได้คนดี มีความรู้ และ”เสียสละ” เรื่อง”เสียสละ” เป็นเรื่อง”สำคัญที่สุด” เพราะที่ผ่านมา บุคคลที่ได้รับเลือกมามีจำนวนไม่น้อยที่ ไม่ได้”เสียสละ” และคิดเพียงเรื่อง”ค่าตอบแทน” เป็นด้านหลัก

หลังจากที่”เจ้าหน้าที่ทหาร” ที่รับผิดชอบพื้นที่ “แนวชายแดน” จังหวัดสงขลา ด้าน อ.สะเดา ที่เป็นแหล่งการลักลอบขนน้ำมันเถื่อน” จากประเทศมาเลเซียเข้ามายังประเทศไทย ทำให้ “ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” ค่อนข้างจะ”ซบเซา” เหลือเพียงแต่”ขบวนรถบรรทุกสินค้าข้ามชาติ” ที่ยังอาศัยการ”เข้า-ออก” ประเทศมาเลเซีย และ เติมน้ำมัน”ราคาถูก” จากฝั่งมาเลเซีย เข้ามา”จำหน่าย” ให้”คอกน้ำมันเถื่อน” ใน พื้นที่ อ.สะเดา อ.หาดใหญ่ ซึ่งหาก”เจ้าหน้าที่เอาจริง” และไม่”อิงกับผลประโยชน์” มีหรือที่”ขบวนการค้าของเถื่อน” จะ”เหิมเกริม” ขนกันได้ทั้งวันทั้งคืน

องค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา ซึ่งมี”มุขตาร์ มะทา” นักการเมือง”คุณภาพ”  ได้รับการประเมินด้าน”คุณธรรม” และความ”โปร่งใส”ในการเป็นหน่วยงานของรัฐประจำปีงบประมาณ 2567  ด้วยคะแนน 98.7 คะแนน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์”ผ่านดี”  คือความ”ภาคภูมิใจ” ของ”คณะผู้บริหาร อบจ.ยะลา และความ”ภาคภูมิใจ”ของ”ประชาชน” ที่ได้นักการเมือง”มือสะอาด” ในการเข้าไปบริหารท้องถิ่นระดับจังหวัด…..และ บรรทัดนี้ขอแสดงความ”ชื่นชม” นวัช บุญธรักษา” นายอำเภอศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ที่ ป.ป.ช. ได้ประกาศผลประเมิน”คุณธรรม” และ”ความ”โปร่งใส” ในการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ ระดับต่ำกว่ากรม” (อำเภอ ) ประจำปีงบประมาณ 2567  ที่ทำการปกครองอำเภอศรีประจันต์ ผลคะแนน 99.60 ระดับ “ดีเยี่ยม” ดีใจแทนชาว” ศรีประจันต์” ที่ได้ นายอำเภอที่มี”คุณภาพ” เพื่อการ”พัฒนาบ้านเมือง”…….. แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า  สวัสดีครับ

นายไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ยุบ ‘ก้าวไกล’ป้ายต่อไปสอย ‘เศรษฐา’จับตา 14 ส.ค. รอด-ไม่รอด?

ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เดือนสำคัญทาง”การเมือง” อีกเดือนหนึ่ง ที่เป็นการ”ชี้ชะตา” ของ”การเมือง”ประเทศไทย เพราะมี 2 เรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่อง”การเมือง” เรื่องแรก”ศาลรัฐธรรมนูญ” ตัดสิน”อนาคตของพรรคการเมือง”หัวก้าวหน้า” อย่าง”พรรคก้าวไกล” ที่ก้าวเร็วเกินกว่า”สังคมส่วนใหญ่” จะ รับได้ ด้วยการ”ยุบพรรค” ตามข้อกล่าวหาที่มีการกระทำที่เกี่ยวกับ”ความมั่นคงของรัฐ” ในเรื่องของ”สถาบันพระมหากษัตริย์” และเนื่องจาก” คอลัมน์ข่าวสังคมภูมิภาค” ชิ้นนี้ มีการส่ง”ต้นฉบับล่วงหน้า” ก่อนการ”ลงดาบ” ของ”ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” หนึ่งวัน จึงไม่อาจรู้ล่วงหน้าถึง”ชะตากรรม” ของ”พรรคก้าวไกล” แต่ก็เชื่อว่ามีการตัดสินด้วยการ”ยุบพรรค” อย่างแน่นอน ส่วนจะมี”สส. และกรรมการบริหาร” ที่ถูก”ตัดสิทธิ์ทางการเมือง” กี่คนและเป็นระดับ”หัวกระทิ” หรือไม่ ยังไม่ทราบจำนวน…..แต่ด้วยวิธีนี้ ก็ต้องสร้างผลกระเทือนให้เกิดขึ้นกับพรรค”ก้าวไกล” ในระดับ”สึนามิ” ทางการเมือง ที่อาจจะเป็นการ”บอนไซ” ให้พรรคก้าวไกล เติบโตช้าลง เพราะนอกจากจะมี”สส.ที่เป็น”กรรมการผู้บริหารพรรค” จะถูก”ตัดสิทธิ์” ทางการเมืองแล้ว ยังเชื่อว่าหลังการที่พรรค”ถูกยุบ” จะทำให้มี”สส. กลุ่มหนึ่ง มีการ”ย้ายสังกัด”จาก”พรรคก้าวไกล” ไปอยู่ยังพรรคการเมืองอื่นๆ เพราะ “สส. กลุ่มนี้ ไม่มีการถูก”ฝังชิป” หรือปลูกฝัง”อุดมการณ์” แต่ได้เป็น”สส.” เพราะ “กระแส” ของ”พรรคก้าวไกล” ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่แม้แต่ส่งคนที่”ขาดคุณสมบัติ” ลงสมัครก็ยังได้รับการ”โอบอุ้ม” จาก” ประชาชน ดังนั้นการที่”ก้าวไกล” ถูก”ยุบพรรค” ตามที่มีการ”คาดการ” ไว้ล่วงหน้า แม้ว่า”แกนนำ” ของ”พรรคจะออกมาพูดว่า การที่”พรรคถูกยุบ” ไม่ส่งผล”กระเทือน”ต่อพรรคจึงเป็นเรื่องของ”คนปากแข็ง” ที่ไม่ยอมรับ”ความจริง” เพราะการ”ยุบพรรคก้าวไกล” ต้อง”ส่งผล” ให้การ”เติบโต” อย่าง”ก้าวกระโดด” ในการเลือกตั้งในอีก 3 ปี ข้างหน้า จำนวน “สส.” ต้องไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

พรรคเพื่อไทย ที่เป็น”คู่แข่ง” โดยตรงรวมทั้งพรรค”ภูมิใจไทย” ที่เป็นพรรค”อันดับสาม” จึงได้”อานิสงค์” จากการที่”ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำการ”ยุบพรรคก้าวไกล” ในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งการ”เลือกตั้ง” ในระดับ”ท้องถิ่น” ที่ผ่านมา จะเห็นการกลับมา”ฟื้นฟู” การเมืองแบบเก่าคือการเมือง”บ้านใหญ่” ที่เป็น”นโยบาย”ทางการ”เลือกตั้ง”ของ”เพื่อไทย” ยังพอมี”มนต์ขลัง” รวมทั้งอีกหลายพรรคการเมือง ก็ยังคงนโยบายของ”บ้านใหญ่” เป็นฐานทางการเมือง ซึ่งเรื่องของ”บ้านใหญ่” ทาง”การเมือง” ยังมี”มนต์ขลัง” ในอีกหลายภาค หลายพื้นที่ของประเทศไทย…..ส่วนเรื่องที่สอง ที่ยังต้องให้ความ”สำคัญ” คือการที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ต้องฟังคำ”พิพากษา” ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ”ในคดีที่ถูก” 40 สมาชิกวุฒิสภา” ยื่นฟ้องต่อ”ศาลรัฐธรรมนูญ”ว่าทำผิดกฎหมาย ในการ”แต่งตั้ง”ให้”พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรี” โดยอ้างว่า”ไม่มีคุณสมบัติ” ของการเป็น”รัฐมนตรี” โดย”ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดอ่านคำ”ตัดสินคดี” ในวันที่ 14 สิงหาคม แม้ว่าหลายฝ่ายจะ”มั่นอกมั่นใจ” ว่า”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” จะสามารถ”เล็ดรอด”ร่างแหของ”กฎหมาย”ไปได้ เพราะมีที่ปรึกษาด้าน”กฎหมาย” อย่าง” วิษณุ เครืองาม” ที่ถูกผู้คนทั้ง”ยกย่อง” ว่าเป็น”กูรูแห่งจ้าวกฎหมาย” และมีผู้”ถากถาง” ว่าเป็นนักกฎหมายตำรับ”ศรีธนนชัย”แห่ง”กฎหมาย” แต่ก็ยังมีคน”บางส่วน” เชื่อว่ามีโอกาสที่”เกมพลิก” ที่ทำให้”เศรษฐา ทวีสิน”อาจจะ”หลายท้องอองลอง” ตกจาก”เก้าอี้ สร.1 “

ซึ่งหากเป็น เช่นนั้นจริงการเมือง”ก้าวต่อไป” คงจะ”ยุ่งเหยิง” เพราะ”เพื่อไทย” ต้อง”เคลื่อนไหว” ในการตั้ง”เกมการเมือง” เพื่อให้สามารถเป็น”แกนนำ” ในการ”จัดตั้งรัฐบาล” โดยต้องได้ตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ก็อาจจะ”จับมือกัน”เพื่อการ”ต่อรอง” ทางการเมือง และการ”ต่อรอง” ในเรื่องของ”ตำแหน่ง”เสนาบดีกระทรวงสำคัญๆ ตาม”ขนบ”การเมืองแบบไทยๆ ซึ่งก็คงจะเป็นความ”วุ่นวาย” ที่ไม่ส่ง”ผลดี” กับ”ประเทศไทย และ”คนไทย”  ที่ยังอยู่ระหว่าง”ปากเหว” ของ”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ที่หาก “รัฐบาล”ไม่มี”เสถียรภาพ” มีแต่ความ”โกลาหลทางการเมือง” ประเทศไทย และคนไทย ก็มีโอกาสที่จะ”ร่วงจากปากเหว” ไปยัง”ก้นหุบเหว” แค่คิดก็”หวาดเสียว” กับ”อนาคต”ของ”ประเทศไทยและคนไทย” เพราะ 10 เดือน ที่ผ่านมา โดยที่”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำรัฐบาล” และ”เศรษฐา ทวีสิน” เศรษฐี นักธุรกิจ”อสังหาริมทรัพย์” ที่ประสพความสำเร็จในเรื่อง”อสังหาริมทรัพย์” เป็น “นายกรัฐมนตรี” ยังไม่สามารถ”แสดงฝีมือ” ในการสร้างความ”เติบโต” ให้กับ”เศรษฐกิจ” และแก้ปัญหา”ปากท้อง” ของ”ประชาชน” ที่เป็น”ชนชั้นกลาง และ”ชนชั้นล่าง” ให้มี”คุณภาพชีวิต”  ที่ดีขึ้นแต่อย่างใด…..และเพราะการนำพาประเทศไทยเดินไป”ข้างหน้า” แบบ”ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก” นี้เอง  ที่หาก”เศรษฐา ทวีสิน” ไม่ถูก”ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำการ”ลงดาบประหารชีวิต” ก็ต้องมีการ”ปรับ ครม.” อยู่ดี ซึ่ง พรรคร่วมรัฐบาล ต่าง”รับรู้” ถึง”กระแสการปรับ ครม.” แล้วทุกพรรค ซึ่งก็ต้องติดตามดูว่า “ครม .เศรษฐา 3 “ ที่ 1 ปี มีการ”ปรับ ครม.”ถึง 3 ครั้ง จะมี”หน้าตา” ที่”หล่อเหลา สวยงาม” หรือจะ”ขี้เหร่” กว่าเดิม เพราะการ”ปรับ ครม. แต่ละครั้งของ”รัฐบาล” เป็นการปรับเพื่อ”สนองตัณหา” ของ”นักการเมือง” ไม่ได้เพื่อประโยชน์ของ”ประชาชน” แต่อย่างใด

ที่สำคัญในการ”ปรับ ครม. ครั้งนี้ แม้แต่” พรรคประชาธิปัตย์” ที่ถูกหลอก ให้เป็น”แม่สายบัว” ที่”แต่งตัวเก้อรอ”ขันหมาก” มาแล้ว 1 รอบ ก็ยังมีความหวังยัง”ชะเง้อชะแง้”  รอ” เจ้าบ่าว” เพื่อ”เอาเกี้ยว” มาเชิญ”เข้าร่วม” ครม.” โดยมีการวางตัว”เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็น “รัฐมนตรีว่าการ” และมี”เดชอิศม์ ขาวทอง” หรือ”นายกชาย” เป็น”รัฐมนตรีช่วย” กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ก็ขออย่าให้เป็น” แม่สายบัว” ที่รอ”ขันหมากเก้อ” เป็น”คำรบสอง” นะ เห็นใจ และ สงสาร เพราะการเป็น”ฝ่ายค้าน” สำหรับ”นักการเมือง” มี “รสชาติ” ที่” ฝาดขม” เป็นอย่างยิ่ง

โครงการ “ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่เป็น”ไม้เด็ด” ของพรรคเพื่อไทย ในการ”หาคะแนนเสียง” และหวังว่าจะเป็น”สึนามิ” ในการ”สร้างความ”เติบโต” ให้กับ”เศรษฐกิจ”ของประเทศ  ผ่านความ”เห็นชอบ” ของ”สภาผู้แทนราษฎร” และ ผ่านความเห็นชอบของ” วุฒิสมาชิก” หรือ”สภาสูง” ไปเรียบร้อย มีการเปิดให้”ผู้มีสิทธิ์” ทำการ”ลงทะเบียน” ในเดือนสิงหาคม และมีผู้”มีสิทธิ์” ลง”ทะเบียน” ไปแล้ว 25 ล้านคน ส่วนจะสามารถ”แจกเงิน” ให้”ผู้มีสิทธิ์” คนละ”10,000 บาทเมื่อไหร่ ก็ต้องติดตามดู ที่สำคัญที่ทุกฝ่าย”เป็นห่วง” คือ โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” จะเป็น”สึนามิ” ที่ทำให้”เศรฐกิจ” ของประเทศโตแบบ”ก้าวกระโดด”ตามความต้องการของ”พรรคเพื่อไทย” จริงหรือไม่ และถ้า”ไม่จริง” นอกจากคนไทยทั้งประเทศจะ”มีหนี้เพิ่ม”อีก 500,000 ล้านบาทแล้ว ยังจะเกิด”สึนามิ” แห่งความ”หายนะ” ครั้งใหญ่ที่ยิ่งกว่า”วิกฤติต้มยำกุ้ง” เพราะ”วิกฤติต้มยำกุ้ง” ผู้ได้รับ”ผลกระทบ” เป็น นักลงทุน และ กิจการ ระดับบน แต่”วิกฤติเศรษฐกิจ” ครั้งนี้ ผู้ที่”รับเคราะห์” เป็นคน”ระดับกลาง” และ”ระดับล่าง” ทั้งประเทศ ซึ่งหาก”กระสุนนัดสุดท้าย” ใน”รังเพลิง” เกิดการ”ด้าน” หรือ”ยิงพลาดเป้าหมาย” คนไทยทุกคนคือคนที่หนีไม่พ้นความ”เสดสา” ครั้งใหญ่ ที่คงจะต้อง”ตัวใครตัวมัน”……แต่ในเมื่อ”ดิจิตัลวอลเล็ต” เป็น นโยบาย”เรือธง” ของ”พรรคเพื่อไทย” และเป็นโครงการที่ “เพื่อไทย” ไม่ฟังเสียง”คัดค้าน” แม้แต่เสียง”คัดค้าน”ของ”ธนาคารแห่งประเทศไทย” และ”ปปช.” รวมทั้ง”กฤษฎีกา”  และในเมื่อ”เพื่อไทย” เชื่อมั่นว่า”ดิจิตัลวอลเล็ต” เป็น”ของดีจริง”  เมื่อมี”มติ” เห็นชอบให้ดำเนินการได้ทั้งจาก”สภาล่าง” และ”สภาบน” ก็ต้องเร่งให้”เพื่อไทย” ดำเนินการโดยเร็ว เพระหาก”ดิจิตัลวอลเล็ต” เป็นนโยบายที่”ดีจริง” เศรษฐกิจประเทศไทยจะได้”ฟื้นตัว” ได้จริงในปี 2567  เพื่อให้ ประเทศไทย “หลุดพ้น” จาก”ปากเหว” ของ”เศรษฐกิจ ปากท้อง”ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ

แต่ถ้าจะคิดว่า”ดิจิตัลวอลเล็ต” จะทำให้”เพื่อไทย” ได้”คะแนนนิยม” เพิ่มมากขึ้นจากประชาชน ก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ของ”เพื่อไทย” มีความ “ผิดพลาด” หลายประการ ประการแรกเป็นการสร้างความ”เหลื่อมล้ำ” ให้กับ”สังคม” เพราะเงินที่ใช้ในการ”แจกประชาชน” จำนวน 450,000 ล้านบาท ทุกคนที่เป็น”หุ้นส่วน” ประเทศไทย มี”หนี้” ที่ต้อง”แบบรับ” เท่าเทียมกัน แต่มีกลุ่มคน จำนวนหนึ่ง ไม่ได้รับ”อานิสงค์” จากการ”แจกเงิน” ในครั้งนี้ เช่นคนที่มีเงินฝาก 500,000 บาทขึ้นไป  และ “ร้านค้า” ที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ ซึ่งมีเป็นจำนวนมากคนเหล่านี้ ไม่แสดงออกแต่”ไม่พอใจ” กับนโยบายของ”เพื่อไทย” อย่างแน่นอน…..ประเด็นที่สอง เรื่อง”เงินดิจิตัล” เป็นเหมือนกับ”ทุกข์ลาภ”ของ”ประชาชน”ผู้”มีสิทธิ์” เพราะเป็นการ”แจก” ที่มี”เงื่อนไข” มากกมาย เช่น”ประชาชน”ต้องการได้”เงินสด” เพื่อนำไป”ใช้จ่าย”ตาม”อเนกประสงค์” แต่”วัตถุประสงค์ของ”เพื่อไทย” ให้ใช้ในการ”ซื้อสินค้า” ที่มีการ”จำกัด” ว่าซื้อสินค้าอะไรได้ และ”ซื้ออะไรไม่ได้” สร้างความ”อึดอัด” ให้เกิดขึ้นกับประชาชน  สิ่งที่สำคัญ คนที่”ใช้แรงงาน” และ”ลูกจ้าง” จาก”ชนบท” จำนวนมาก ที่”ได้สิทธิ์” แต่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ซึ่งถูก”กำหนด” ให้ใช้เงิน”ดิจิตัล” เขาต้อง “ขึ้นรถลงเรือ” เพื่อกลับไป”ใช้สิทธิ์” ในการ”ซื้อสินค้า” ยัง”อำเภอ”ที่เป็นที่อยู่ตาม”บัตรประชาชน” แล้วจะ”คุ้มค่า”หรือไม่กับการ”เดินทาง” เพื่อไป”ซื้อสินค้า” ตามที่มีการ”จำกัด” เอาไว้  และยังมี”อะไรต่อมิอะไร” อีกมากมาย ในการ”เข้าถึง” การได้สิทธิขอรับ”แจกเงิน” ในครั้งนี้ ดังนั้นโครงการ”แจกเงิน” ในครั้งนี้ของ”เพื่อไทย” จึงเป็นการ”แจก” ที่คนที่”ได้รับ” นอกจากไม่”ขอบคุณ” แล้วยังมีเสียง”ก่นด่า” ตามมาอีก ไม่เชื่อ” สส.เพื่อไทย” ก็ส่ง”หัวคะแนน”ลงพื้นที่ไปฟังเสียง สะท้อน ของประชาชนได้

หมดเรื่องของ”การเมือง” ก็มาติดตาม “สถานการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้” ก่อนที่” เศรษฐา ทวีสิน”นายกรัฐมนตรี จะเดินทาง ลงพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อพบกับ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย เพื่อ”หารือ” ในเรื่อง การแก้ปัญหา และการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้”  “ทหาร-ตำรวจ” และฝ่าย”ปกครอง” ก็มีการเปิด”ยุทธการคลองช้าง” ปิดล้อม” กองกำลังติดอาวุธ” อาร์เคเค” ที่ “หลบซ่อน” อยู่ในสวนยางบ้านคลองช้าง ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี จำนวน 3 คน ที่เป็นกลุ่ม”กองกำลังติดอาวุธ” ที่เคลื่อนไหว ในพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ และ ใกล้เคียง เพื่อก่อเหตุร้าย ต่อ”เจ้าหน้าที่รัฐ” “ยุทธการคลองช้าง” มีการ”ปิดล้อม”พื้นที่เพื่อ”จับกุม” กองกำลังติดอาวุธ”อาร์เคเค” ถึง 5-6 วันด้วยกัน มีการใช้กำลัง”ครั้งใหญ่” ถึง 300 นาย ในการ”ปิดล้อม” และ”ข่าวว่า” ถึงขั้น”อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 “บางคน ต้องลงมา”บัญชาการรบ” ด้วยตนเอง สุดท้ายต้องใช้”รถแทรกเตอร์” ของ”ทหารช่าง” เกรดเส้นทางเข้าไป”วิสามัญฆาตกรรม”กองกำลัง”อาร์เคเค” ได้ตาม”เป้าหมาย โดยเป็นการ”ลงทุน” ที่”มหาศาล” และไม่”คุ้มค่า” แต่อย่างใด” เพราะ”ทหาร-ตำรวจ” และฝ่าย”ปกครอง” แม้จะลดจำนวน”อาร์เคเค” ได้ 3 ศพ แต่จากการที่”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ทำการ”ปลุกระดม” และ”ไอโอ” เหตุการณ์”ปิดล้อม” และ”วิสามัญ” ที่”คลองช้าง” มีการทำ”พิธีศพ” ของ”คนตาย” ให้เป็น”ผู้พลีชีพ” หรือ”ชาอีด” มีคนจำนวนมาก ที่เป็น”คนหนุ่ม” และ”เยาวชน” เข้าร่วม”แห่ศพ” และยกย่องให้เป็น”วีระบุรุษ” สิ่งที่”บีอาร์เอ็น”ได้ไปจากการ”วิสามัญ” ที่เกิดขึ้นคือได้”ประชาชน”ในพื้นที่เข้าไปเป็น”แนวร่วม” จำนวนมาก ที่ถูกสร้างให้”เกลียดชัง”เจ้าหน้าที่รัฐ” และ”รัฐบาล” และ”ยุทธการที่คลองช้าง” ยังกลายเป็น”เงื่อนไข” ให้”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” มีการ”เคลื่อนไหว” อย่าง”ต่อเนื่อง” ทั้งการ”ปลุกระดม” คนในพื้นที่ให้ยืนอยู่ฝ่ายของ”บีอารเอ็น” รวมทั้งมีการนำ”เยาวชน” ลงไปดู”สถานที่” ซึ่งเป็นพื้นที่ในการ”ปิดล้อม” เพื่อเปิด”ยุทธการคลองช้าง” ด้วยการ”ปลุกระดม” ว่า เจ้าหน้าที่”จงใจ” ในการ”วิสามัญฆาตกรรม”

ก็ เข้าใจนะ ว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โดยการ”สั่งการ” ของ” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  ได้ใช้มาตรการจาก”เบา”ไม่หา”หนัก” มีการ”ประกาศให้มอบตัว” มีการให้เวลาในการ”วางอาวุธ” แต่ไม่ได้ผล เพราะ”อาร์เคเค” กลุ่มนี้ เลือกที่จะ”สู้ตาย” แต่ก็ต้องถามว่าไม่มีทางในการ”จับเป็น” ได้เลยหรือ เช่นการทำให้”อาร์เคเค” ใช้ “กระสุนจนหมด” แล้วจึง”ปิดล้อม” เพื่อ”จับเป็น” เพราะจะได้ไม่เป็นการเดินเข้าสู่”กับดัก” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ต้องการให้”เจ้าหน้าที่” ทำการ”วิสามัญฯ” ที่ ทำให้”บีอาร์เอ็น” ได้รับประโยชน์ อย่างที่เห็นจากการ” แห่ศพ” ของผู้ที่ถูก”วิสามัญ” ในครั้งนี้…..ที่ สำคัญ หลังการจบลงของ”ยุทธการคลองช้าง” ที่ ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็ไม่มี”แผน” ในเรื่องงาน”มวลชน” ปล่อยให้”ปีกทางการเมือง” เข้าไป”ปลุกระดม” คนในพื้นที่ให้เกิดความ”หวาดกลัว” มีการนำ”เยาวชน” เข้าไปดู”สถานที่การวิสามัญ” เพื่อ”บ่มเพาะ” ให้”เยาวชน”เหล่านี้ เป็น”ปรปักษ์” กับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ถามจริงๆเถอะ “กอ.รมน ภาค 4 ส่วนหน้า”ยุคของ”แม่ทัพต้น” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” มี”น้ำยา” ในการ”รับมือ” กับ”บีอาร์เอ็น” แค่นี้จริงๆ หรือ  เชื่อเถอะ นโยบาย” สันติวิธี” ใช้ได้ใน”บางเรื่อง” และ”บางเรื่อง” ถ้า”สันติวิธี” ใช้ไม่ได้ก็ต้องมีการ”บังคับใช้กฎหมาย” อย่าง”เข้มข้น” จึงจะทำให้”สถานการณ์” ดีขึ้น การที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ปล่อยให้” แนวร่วม” และ”ประชาชน” ไม่”เคารพกฎหมาย” และอยู่เหนือ”กฎหมาย” นั่นหมายถึงการ”ยินยอม” ให้”บีอาร์เอ็น” ยึดครองพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”ไปแล้วโดย”พฤตินัย” และยิ่งจะมีการ”ขยายอำนาจ” ออกไปให้ “กว้างขวาง” ยิ่งขึ้น อันตราย นะ

และก่อนที่”เศรษฐา ทวีสิน” และ คณะ จะเดินทางลงพื้นที อ.สุไหงโก-ลำ จ.นราธิวาส” แนวร่วม”บีอาร์เอ็น” ยังทำการ”ปล่อยข่าว” หรือทำ”เฟกนิวส์” ว่ามีการ”วางระเบิด”เพื่อ”ก่อกวน” ในพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” ถึง 30 จุด เพื่อต้อนรับ” นายกรัฐมนตรี” และคณะ ที่สร้างความ”ตื่นตระหนก” ให้กับ” คนไทยพุทธ” ในพื้นที่ และที่สำคัญคนในพื้นที่เชื่อว่ามีการก่อกวนด้วยการ”วางระเบิด”และ”ขว้างระเบิด” เป็นเรื่องจริง ที่ไม่”เป็นข่าว” เพราะ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”ปิดข่าว” เพื่อมิให้ถูก”ตำหนิ” จาก” นายกรัฐมนตรี” นายเศรษฐา ทวีสิน และ “ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. และ นี่ก็เป็น”ชัยชนะ” ใน”สงครามข่าวสาร” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น…… แต่ที่เป็น”คำถาม” ของคนในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มากที่สุด คือการที่”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” เดินทางมาพบกับ” อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย และมีข่าวจาก”สื่อมวลชน” ที่นำเสนอ”สารัตถะ” ของการที่”ผู้นำระดับสูง” ของทั้งสองประเทศมาการ”พูดคุย”กัน มีเพียงเรื่องการก่อสร้าง” สะพานข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก” แห่งที่ 2  และ “นายรัฐมนตรีมาเลเซีย” เพียงมีการรับปากว่าจะ”ผลักดัน” ในเรื่องการ”พูดคุยสันติสุข” ระหว่างตัวแทน”คณะการพูดคุย”ฝ่ายไทย กับ”คณะการพูดคุยสันติภาพ” ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” อย่างเต็มที่ ซึ่งในความรู้สึกของคนใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นการพบปะ”และ”พูดคุย” ที่ไม่ได้”ตอบโจทย์”การแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้…..เพราะปัญหาที่คนใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต้องการเห็น คือการขอให้”นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย” สั่งการให้”บีอาร์เอ็น” หยุดการ”ปฏิบัติการ”ด้วยการใช้”อาวุธ” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งเชื่อว่า” ผู้นำรัฐบาลมาเลเซีย” ทำได้ เพราะ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ทุก”ขบวนการ” ไม่ว่าจะเป็น” บีอาร์เอ็น”หรือ”พูโล” ต่างมี”ฐานที่มั่น” ในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะ”รัฐกลันตัน” ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ จ.นราธิวาส แต่น่า”เสียดาย” ที่ไม่มี”สื่อมวลชน” นำเสนอข่าวที่”ประชาชน”ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้อยากจะได้ฟัง

ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ไม่ใช่เรื่อง”เศรษฐกิจ” หรือเรื่อง”การค้าชายแดน” ไม่ใช่เรื่อง”สะพานข้ามแม้น้ำสุไหงโก-ลก” แห่งที่ 2 ปัญหาความ”แออัด” ความ”ล่าช้า” ในการ”สัญจร” จากฝั่งมาเลเซียจาก” รันเตาปันยัง” เข้ามายังฝั่งไทย ที่ อ.สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส เป็นปัญหาจาก” เจ้าหน้าที่”ตรวจคนเข้าเมือง” เจ้าหน้าที่”ศุลกากร” มีความ”ล่าช้า” ในการให้”บริการ” ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะในวันหยุด และวันเทศกาลต่างๆ เท่านั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นทุกวัน   ความล่าช้า ความแออัด ความไม่”คล่องตัว” ในการ”สัญจรข้ามแดน” เกิดจากการไม่”พัฒนา” และไม่”ปรับปรุง” การให้บริการแบบ”วันสต็อปเซอร์วิส”ของหน่วยงานที่รับผิดชอบต่างหาก ต่างหาก ดังนั้นต้องแก้ปัญหาตรงนี้ซึ่งเป็น”ต้นเหตุ”แห่งปัญหา ของทุกด่านพรมแดนที่ไม่เฉพาะที่ อ.สุไหงโก-ลก” ด่านพรมแดนที่”เบตง” จ.ยะลา และด่านที่”สะเดา “จ.สงขลา ก็เป็นเช่นนี้…..และที่สำคัญ ที่”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” ต้อง”เข้าใจ” เรื่องการไม่มีการ”ลงทุน” เรื่องความ”ซบเซา”ของ”การค้าชายแดน” มาจากเรื่องของ”ความไม่สงบ” ที่เกิดขึ้นยาวนานถึง 20 ปี ถ้าเรื่องของ”ไฟใต้” มีการ”คลี่คลาย” เรื่อง”ธุรกิจการค้า” ของ”เมืองชายแดน”ทุกเมือง จะกลับมา”เติบโต” ด้วยตัวของมันเองโดย”อัตโนมัติ”….. เช่น อ.เบตง จ.ยะลา ที่มีการ”เติบโต” ของการ”ค้าชายแดน” และ”การท่องเที่ยว” ล้วนมาจาก “เบตง” ไม่มีการ”ก่อการร้าย” จึงทำให้”นักท่องเที่ยว” หลั่งไหลมาเที่ยว มีกิน มาช็อป แต่ถ้ามี”ระเบิด”เกิดขึ้นใน”เบตง”เมื่อไหร่” ก็จะเกิดผล”กระทบ” ขึ้นในทันที ส่วนใน อ.สุไหงโก-ลก” อ.ตากใบ” และ”อ.เมือง” จ.นราธิวาส เป็น”เป้าหมาย” ของการ”ก่อการร้าย” ของ”บีอาร์เอ็น” จึงส่งผลให้”การค้าชายแดน” และ”การท่องเที่ยว” ไม่มีการ”เติบโต” เท่าที่ควร

และอีกหนึ่งปัญหา ที่ หน่วยงานของรัฐทุกหน่วย”มองข้าม” และไม่ต้องการที่จะ”แก้ไข” คือการปล่อยให้”ชายแดนของแม่น้ำสุไหงโก-ลก,ตากใบ,แว้ง”  เป็น ดินแดน ที่มีการ”ค้าของเถื่อน” ค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ และ อื่นๆ กลายเป็น”ชายแดน” ที่เป็น”ทำเลทอง” ของการ”ก่ออาชญากรรม” ที่ แม้แต่” ทหาร” ก็ไม่มีการใช้”กฎหมาย” เข้าไปดำเนินการ “จุดผ่านแดน” หรือ”ท่าข้าม” กว่า 200 แห่ง ที่เป็น”ท่าข้าม”หรือ”ช่องทางธรรมชาติ” คือจุดที่”กองกำลังติดอาวุธ” และ”แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน “ข้ามไป-มา” ระหว่าง ชายแดนไทย –มาเลเซีย อย่าง”เสรี” เป็นการ”ปล่อยปละ” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เหมือนกับ” เจตนา” ที่จะ”จงเจาะ” ให้เกิดความ”หวะหลวม” ใน “แนวชายแดน”ของ”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” ประเด็นนี้ ก็เป็นประเด็นสำคัญ ที่ทำให้” บีอาร์เอ็น” มี”เสรีภาพ” ในการ”ก่อการร้าย” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี “ พล.อ.ชัยเจริญ หินเธาว์” ผบ,ทบ. และ” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์”  เลขาธิการสภาความมั่นคง ต้องให้ความ”สนใจ”และแก้ปัญหาเพื่อการ”ตอบโจทย์” ด้านความมั่นคง

เรื่องอื่นๆ กันบ้าง มีเสียงสะท้อนจาก” ผู้นำท้องที่” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา  ถึงความร่วมมือระหว่าง”ผู้นำท้องที่”กับ “ฝ่ายปกครอง” ของ”อำเภอสะบ้าย้อย” ที่ยังไม่สามารถ”หลอมรวม” ให้เป็น”เนื้อเดียวกัน” ปัญหาอยู่ตรงไหน และมาจาก”ปัจจัย” หรือ”เงื่อนไข” อะไร “มงคล สินยัง” นายอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา น่าจะเป็นผู้รู้ดีกว่าใครเพื่อน อย่าลืมว่า “ผู้นำท้องที่” มีความสำคัญต่อ”ฝ่ายปกครอง”เป็นอย่างยิ่ง ถ้า”กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” ให้ความร่วมมือ ปัญหาทุกอย่างใน”พื้นที่” แก้ไขได้ เพราะไม่มีใครที่จะรู้”ปัญหา” ในพื้นที่ได้เท่ากับ “กำนัน- ผู้ใหญ่บ้าน” ดังนั้นปัญหานี้จึงต้องแก้ไข……ส่วนที่ จ.ปัตตานี ก็มีเรื่องที่มีชาวบ้านร้องเรียนมาว่า ต้องการให้”ปปช. ปัตตานี ตรวจสอบ กลุ่มเลี้ยงโค 2 กลุ่ม ในอยู่ในโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” เพราะมีการ”ซื้อโคที่ไม่ตรงปก” ไม่ใช่”แม่โคพันธุ์พื้นที่” ตาม”เงื่อนไข” ของโครงการมาเลี้ยง เท็จจริง อย่างไร ปปช. ปัตตานี ต้องมีความ”โปร่งใส” อย่าทำหน้าที่แบบ” เลือกข้าง”

ขอชื่นชม “ณรงค์พร ณ พัทลุง” หรือ” ปลัดแป้น” นายกสมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย ที่เห็นความสำคัญของ”นักเรียน” ที่ไม่ได้ทาน”อาหารกลางวัน” ล่าสุดมีการประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ เพื่อระดมความคิดเห็นในการ”จัดหาทุน” เพื่อใช้ในเป็น”เงินทุน” ในการให้ นักเรียน ได้มี”อาหารกลางวัน”ได้ทานอย่าง”อิ่มท้อง” เพื่อให้มี”นักเรียน” สามารถมี”คุณภาพชีวิต” ที่ดี

ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอ”แสดงความยินดี”กับ”พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์” อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีต ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ที่ได้รับตำแหน่ง” รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 “ เห็นการทำหน้าที่ในการประชุมทั้ง 2 นัด แล้ว มีความ”เข้มแข็ง” สมกับการเป็น”ทหาร” ขอ”ชื่นชม

สังคมเสื่อมหนัก  ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส มี คดีการ”รุมโทรมเด็ดหญิง” อายุ 12 ปี โดย กลุ่มเยาวชนชาย เกือบ 20 คน ที่ วันนี้กลายเป็น”ผู้ต้องหา” จากการ ร้องเรียน ของ มารดาของผู้”เป็นเหยื่อ”  หลังมีการ”ร้องเรียน” ปรากฏว่า”เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ทำหน้าที่ได้”รวดเร็ว” จับกุมผู้ร่วมใน”ขบวนการ”ได้แล้ว 7 คน การจับกุม เป็นปัญหา”ปลายเหตุ” เพราะ”ต้นเหตุ”ของปัญหาคือเรื่อง”ยาเสพติด” และเรื่อง”ความเสื่อมของสังคม” ในพื้นที่ ประเด็นนี้ ใคร หน่วยงานไหน ที่จะแก้ปัญหา ที่สำคัญ”ผู้ปกครอง” ต้องให้ความ”ใส่ใจ” กับ”บุตรหลาน”เพื่อป้องกันเป็น”ด่านแรก”

เรื่อง “บุกรุกพื้นที่” ใน ภาคใต้ ยัง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกจังหวัด ล่าสุด  เจ้าหน้าที่”ดีเอสไอ” นำกำลังลงตรวจสอบพื้นที่ อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ร่วมกับนิคมสหกรณ์อ่าวลึก สหกรณ์จังหวัดกระบี่ พบมีการบุกรุกพื้นที่ เกือบ 800 ไร่ เพื่อใช้ในการทำสวนปาล์ม และ สวนทุเรียน โดยนายทุนเศรษฐีใหญ่ของ จ.ภูเก็ต นี้คือปัญหา”ซ้ำซาก” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ หลายอำเภอของ จ.กระบี่ ที่เหมือน”ทศนิยม” ไม่รู้จบ และไม่รู้ว่าใครคือ”เจ้าภาพ”ในการแก้ปัญหา ….. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา ยุบ-ไม่ยุบ ‘ก้าวไกล’ตายสิบเกิดแสน?

เรื่องใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของ”คนไทย” ทั้งประเทศ ในวันนี้ คือเรื่องการตัดสินความ”ผิด- ถูก” ของพรรคก้าวไกล ซึ่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ”นัดการอ่านคำตัดสินในวันที่ 7 สิงหาคม สำหรับ”พรรคก้าวไกล” จะถูกยุบหรือไม่ถูกยุบ” ไม่ใช่สาระที่สำคัญ เพราะถ้า”ถูกยุบ” เขาก็มีการตั้ง”พรรคใหม่” และ”หัวหน้าพรรค” คนใหม่ที่จะมาแทนที่”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ไว้แล้ว และการที่”พรรคถูกยุบ” อาจจะ”ถูกใจ” ของ”แกนนำพรรค” เพราะอาจจะ”ส่งผล” ในทาง”บวก” ที่ทำให้”มวลชน” หันมา”สนับสนุนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจจะได้”คะแนนสงสาร” มากขึ้น เพราะความเห็นของคน”ส่วนหนึ่ง” เห็นว่า”ก้าวไกล” ถูก”รังแก” และเป็นการ”ตัดสิน” ที่ไม่”ชอบธรรม” ทั้งทางการเมือง และทาง”กฎหมาย” ส่วน”พรรคการเมือง”บางพรรค” ที่เห็น”วิกฤติ”ของ”พรรคก้าวไกล” เป็น”โอกาส” ที่จะได้”ซ้อนซื้อ” สส.ของ”ก้าวไกล” ที่มีข่าวว่าจะ”ตีจาก” ไปหาสังกัด”พรรคใหม่” หลังที่”ก้าวไกลถูกยุบ” ก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ หรือ อาจจะมี”สส. แตกแถว” ออกจาก”ก้าวไกล” แต่คาดว่าไม่กี่คน ไม่ได้ทำให้”ก้าวไกล”สะเทือน และหลังมีการตั้ง”พรรคใหม่” ก็ยังทำหน้าที่เป็น”พรรคฝ่ายค้าน” เหมือนเดิม

อีกเรื่องที่อยู่ในความ”สนใจ”ของ ประชาชน มากกว่าคือเรื่อง”ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดอ่านคำ”ตัดสิน” อนาคตการเป็น”นายกรัฐมนตรี” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ในวันที่ 14 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ จากกรณีที่ 40 สว. ซึ่งเป็น สว. ชุดเก่า ได้”ยื่นฟ้อง”ต่อ”ศาลรัฐธรรมนูญ” ในการแต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” ให้เป็น”รัฐมนตรี” ซึ่งยังไม่มีอะไรที่แน่ชัดว่า”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” จะ”รอดสันดอนปากน้ำ” ได้นั่งเก้าอีก “สร.1 “ ต่อไปหรือจะ”ร่วงละลิ่ว” จาก”ตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ประเด็นนี้คือการ”ลุ้นระทึก” ของ”รัฐบาล” และของ”พรรคเพื่อไทย” รวมทั้งของ”คนไทย” ทุกคน เพราะถ้าเกิด”เศรษฐา ทวีสิน”หรือ”เสี่ยนิด” เกิด”ไม่รอดสันดอนปากน้ำ” หมายถึง”พรรคเพื่อไทย” ต้องรับ”ศึกหนัก” ในการ”สรรหา” ผู้นำ”รัฐบาล” คนใหม่ ซึ่งขึ้นบัญชีรายชื่ออยู่ 2 คน คนแรก”ขายยาก” ใน”ตลาดการเมือง” ในยุคที่”ข้าวยากหมากแพง” ส่วนคนที่สองคือ”อุ๊งอิ๊ง”  แพทองธาร ชินวัตร แม้จะเป็น”ดีเอ็นเอ” โดยตรงของ” ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรคเพื่อไทยที่เป็น”ตัวจริง-เสียงจริง” แต่” อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร  ยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่เป็น”สตรีคนที่สอง” ที่จะได้ตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” เพราะยังอยู่ใน”สะถานะ”ของ”ผลไม้จำบ่ม” ที่ ใกล้เคียง กับ”สถานะ”ของ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกที่มีศักดิ์”เป็นอา” ซึ่ง ณ วันนี้ยังต้อง”นิราศจากแผ่นดินเกิด” ที่สาเหตุมาจาก”ผลไม้จำบ่ม” จนต้อง”แพ้ภัย”ของ”การเมือง”จากฝ่ายตรงข้าม…… ที่สำคัญ หาก “พรรคร่วมรัฐบาล” เกิดการ”ตีรวน”เกิดขึ้น เพื่อการ”เปลี่ยนขั้ว” การเป็น”ผู้นำรัฐบาล” “เพื่อไทย” ก็คงจะ”เหนื่อยหนัก” อีกครั้งในการที่จะต้องรักษาสถานการณ์เป็น”แกนนำ” เพื่อการเป็น”รัฐบาล” ต่อไป ซึ่งมีข่าวว่า “เพื่อไทย” ไม่ได้ประมาท มีการประชุมเพื่อ”หาทางอก” เอาไว้แล้ว หากเกิดกรณีที่”พลิกล๊อค” จากการ” ตัดสิน” ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ”เกิดขึ้น เพราะ”การเมืองไทย” อะไรก็เกิดขึ้นได้

สำหรับเรื่อง”เศรษฐกิจ-ปากท้อง”  ที่เป็น”ปัญหาใหญ่” ของ”คนทั้งประเทศ” ในขณะนี้ จะเห็นว่า” ครม.เศรษฐกิจ” ที่นำโดย”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี  ยัง”คลำเป้า” ไม่เจอ เป็นการ”ชกลม” แบบ”วันต่อวัน” นอกจากข่าวความ”คืบหน้า” ของโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่เป็น”ความหวัง” ของ”ประชาชน” ที่จะได้ใช้เงิน 10,000 บาท  เพื่อเป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” แล้ว “ข่าวดี” ในเรื่องอื่นๆ แทบจะไม่มี”บนกระดานข่าว” แทบจะมองไม่เห็น   โดยเฉพาะในเรื่อง”หุ้น” ของ”ตลาดหลักทรัพย์” ที่กำลัง”ต่ำเตี้ยเรี่ยพื้น” สภาพเหมือนกับช่วงที่มีการ”ระบาด” ของ”โควิด 19” สมัยที่”ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น”นายกรัฐมนตรี” …. ข่าวร้าย รายวัน คือการปิดตัวของโรงงานอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งมากที่สุดในพื้นที่ภาคตะวันออก  ซึ่งนอกจากมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศแล้ว ยังมีผลกระทบกับการ”ตกงาน” และ”ว่างงาน”  ซึ่งหมายถึง”ปากท้อง”และ”ความยากจน” ที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นปัญหาของสังคม ที่ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน ต้องมีการ”บูรณาการ” ด้วยกัน นี้เป็น”งานหนัก” ของ”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน ที่ต้อง”แบกรับ” จาก”ผลพวง”ของ”ครม.เศรษฐกิจ” ที่ยัง”คลำเป้า” การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่พบ

ส่วนเรื่อง”การตลาดอื่นๆ” เช่นการ”ส่งออก, การท่องเที่ยว,การลงทุน,” และราคา”พืชผล”ทางการเกษตร มีแต่”ทรงกับทรุด” เช่นราคาของ”ปาล์มน้ำมัน” และ”ราคาของ”ยางพารา” เป็นต้น ในขณะที่”ราคาสินค้า” ขึ้นแล้วไม่ลง ซึ่งเป็นเรื่องที่”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” ที่มี”ภูมิธรรม เวชยชัย” ผู้นั่งควบกับตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี”อยู่ด้วย ต้องมีการ”พิจารณา”เพื่อ “ตรึงราคาสินค้า” อย่าให้มีการ”ขึ้นราคาตามใจชอบ”……ส่วน”พืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำ” ก็เป็นหน้าที่ของ” รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ผู้ทำหน้าที่”เสนาบดี” ในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะ”ราคายางพารา” กับราคา”ปาล์มน้ำมัน” ที่ต้องไปดูที่”ต้นตอ” ของ ปัญหา ซึ่ง”กลไก” ทั้งหมดยังอยู่ที่”พ่อค้าคนกลาง” และ”บอร์ดการยาง” ที่เคยแถลง”นโยบาย” เรื่องของ”ยางพารา” เอาไว้อย่าง”สวยหรู” ในการที่จะ”ดูดซับ” ยางจาก”ตลาด” เพื่อการใช้ในการ”ผลิตสินค้า” เพื่อ”จำหน่าย” ภายในประเทศ วันนี้ “นโยบาย”ที่”สวยหรู” เป็นเรื่องที่”ทำได้จริง” หรือเป็นเพียง”น้ำยาบ้วนปาก”  เท่านั้น ก็ต้องบอกกันตรงๆว่า “เกษตรกร” เขาเบื่อแล้วกับเรื่องการให้”ยาหอม,ยาลม,ยาดม,ยาหม่อง”

เรื่องของ”ไฟใต้” ที่กลับมา”โหมเชื้อ” ให้”ลุกโชน” อย่างเต็มที่อีกครั้ง สิ่งที่ หายไปหลายปีคือการ”ฆ่าแล้วเผา” ที่หายไปจากพื้นที่เป็น 10 ปี ที่กลับมาเกิดขึ้นอีกแล้ว ในพื้นที่ของ”ต.พ่อมิ่ง” อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี  นี่เป็น”ศพแรก” และอาจะได้เห็น”ศพที่สอง และที่สาม เกิดขึ้น หาก “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ยังไม่มีการการ”ปรับเปลี่ยน” วิธีการ” ในการ”รับมือ” กับ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” เพราะตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ทุกคนจะเห็นถึงการ”เพลี่ยงพล้ำ” ของ” “เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่การ”ปฏิบัติการ” ต่อ” กองกำลังติดอาวุธ” ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอ ของ จังหวัดสงขลามีแต่”เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่”บาดเจ็บ” และ”ล้มตาย” เกิดขึ้นทุกครั้งที่ออก”ปฏิบัติการ” คำถามจาก”คนในพื้นที่”และ”คนในประเทศ”คือ”ความสูญเสีย” ที่เกิดขึ้นมาจากอะไร ในเมื่อ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ไม่ใช่”นักรบของพระเจ้า” ที่”เก่งกาจ” มาจากไหน ที่ฝึกอาวุธอย่าง”เปิดเผย” ก็ไม่มี”  อาวุธยุทโธปกรณ์ ก็ ด้อยกว่า แต่ทำไม่ดูเหมือนทุก”สนามการต่อสู้”  เจ้าหน้าที่รัฐ จึงมีแต่ความ”สูญเสีย” เหมือกับว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ” เป็นผู้ที่”อ่อนหัด” ในการเข้า”ปฏิบัติการ” เช่น กรณีของการปิดล้อม”บ้านคลองช้าง” ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ที่เกิดการ”สูญเสีย” เจ้าหน้าที่ทหาร 1 นาย บาดเจ็บ 2 นาย การเข้า”พิสูจน์ทราบ” ความ”เคลื่อนไหว” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ที่”หลบซ่อน” อยู่ใน”ป่ายาง” มีการใช้เวลา 4 วัน ในการ”ปฏิบัติการ”การการ”รุกคืบ” และ”ปิดล้อม” ที่ไม่ประสบความสำเร็จ โดย”กองกำลังติดอาวุธ” หลบหนีไปได้  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องมี”คำตอบ” ให้กับ”ประชาชน” เพราะ”ข่าวสาร” ที่ถูก”เผยแพร่” ออกไปโดย”สื่อมวลชน” เป็นการทำให้ความ”ไม่เชื่อมั่น” และความ”ศรัทธา” ต่อเจ้าหน้าที่รัฐ”เสื่อมถอย” เพราะในการ”ปฏิบัติการ” ต่อ” แนวร่วม” หรือ”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” เหมือนกับว่า” เจ้าหน้าที่” สู้ไม่ได้ และ”สูญเสีย” มาโดยตลอด

ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป”ประชาชน” ที่ไหนจะกล้าให้ความ”ร่วมมือ” กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ” ถามหน่อย……โดยเฉพาะการ”ฆ่าแล้วเผา” ประชาชน จาก อ.สะเดา จ.สงขลา ในพื้นที่  ต.พ่อมิ่ง อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี  “พล.ต.ต.สันทัด เชื้อพุฒตาล” ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ต้องเร่งให้ “พ.ต.อ.ชัยวัฒน์  ปานบุญทอง “ ผกก.สภ.ปะนาเระ เร่ง สืบสวนสอบ สอบสวน ข้อเท็จจริง ว่าเป็นการกระทำของ” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” หรือเป็นการกระทำของ”คนร้าย” กลุ่มไหน เรื่องนี้เป็นความ”ความกังวล” ของคนในพื้นที่ต่อ”สถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่สร้างความ”หวั่นไหว” และที่สำคัญไม่มีใครเชื่อ”น้ำมนต์” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่ ประกาศว่า”เราเดินมาถูกทางแล้ว” ในนโยบายของการ”ดับไฟใต้” …… เคย บอกกล่าว มาแล้วร่วม 2 ปี ว่า สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่าได้”วิเคราะห์” ว่า”การก่อเหตุที่ลดลง คือความ”สำเร็จ” ของการ”ดับไฟใต้” แต่การ”ดับไฟใต้” จะ ประสบความสำเร็จ และบอกว่า”เดินมาถูกทางแล้ว” ต้องดูจากงาน”การเมือง” และการ”บ่มเพาะ” ผู้คนเข้าสู่ขบวนการต้อง”ลดลง” การสร้าง”หมู่บ้านเข้มแข็ง” ต้องไม่เกิดขึ้น หรือ”ขยายตัว” จากเดิมที่มีอยู่ แต่โดยข้อเท็จจริง วันนี้”หมู่บ้านเข้มแข็ง” เพิ่มขึ้น  การ”บ่มเพาะ”การ”จัดตั้ง” การสร้าง”เครือข่าย” และการ”ขับเคลื่อน”ของ”ปีกทางการเมือง” ใน”ภาคประชาชน” มีความ “เข้มแข็ง” และ”ขยายตัว” งาน”มวลชน” ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่ มีการตอบรับจาก”มวลชน” มากขึ้น นั่นคือความสำเร็จด้าน”การเมือง” หรือ”งานมวลชน” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มองข้าม และไม่ให้ความสำคัญ แต่ให้ความสำคัญ กับการ”ก่อเหตุ” จึงเป็นเหตุให้”หลงกล” ต้อง”ยุทธศาสตร์” ของ”บีอาร์เอ็น” มาโดยตลอด

และในเดือน สิงหาคม นี้ ก็มีเรื่องที่ต้องติดตามอยู่ 2 เรื่อง กล่าวคืน วันที่ 3 สิงหาคม “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะมีการ”พบปะ” เพื่อ”หารือ” กับ” อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรี ประเทศมาเลเซีย  ซึ่ง”สาระ” ในการพบกัน ถ้ามีแต่เรื่อง” เศรษฐกิจ” และ”การค้าชายแดน” เรื่องการ”สร้างสะพานข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก” แห่งที่ 2  โดยไม่นำเอาเรื่องของ”การแบ่งแยกดินแดน” ที่ทั้ง”บีอาร์เอ็น” และ”พูโล” ต่างมี”ฐานที่มั่น” อยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยมี”เป้าหมาย” ในการ”ก่อการร้าย” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ก็”ป่วยการ” และ”เสียเวลา” ในการ”พบปะหารือ” เพราะเรื่องใหญ่ที่สุด สำหรับ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ณ วันนี้ไม่ใช่เรื่อง”เศรษฐกิจ” และ”การค้าชายแดน” แต่เป็นเรื่อง” การก่อการร้าย” ที่หากยังไม่มีทาง”ยุติ” ต่อให้มีการ”สร้างสะพาน” เพื่อ”เชื่อมชายแดนไทย-มาเลเซีย” อีกกี่แห่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้”เศรษฐกิจ”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดีขึ้น……เอาง่ายๆคิดแบบไม่ต้องใช้”สมอง” ให้มาก แค่”บีอาร์เอ็น” สั่งการให้” กองกำลังในพื้นที่”  วางระเบิดแสวงเครื่อง ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาสสัก 2 เดือน ครั้ง วางระเบิดแสวงเครื่อง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ปีละครั้ง  วางระบิด ใน อ.สะเดา หรือ หาดใหญ่ จ.สงขลา  “เศรษฐกิจ” และ”การค้า” ของ”เมืองชายแดน ก็จะ”เละตุ้มปะ” เมืองชายแดนที่”ฟื้นตัว” หลังการหมดไปของ”โควิด 19 ก็จะกลายเป็น”เมืองร้าง” ดังนั้น เรื่องที่”เศรษฐา ทวีสิน” ต้อง”ปรึกษาหารือ” กับ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ” บีอาร์เอ็น” ไม่ใช่เรื่อง”เศรษฐกิจ-การค้าชายแดน”

และมี ประเด็น ที่น่าสนใจคือ ก่อนที่จะถึง วันที่ 3 สิงหาคม ที่มีการ”นัดพบ” ระหว่าง”ผู้นำทั้งสองประเทศได้มีกลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนสันติสุขในดินแดนดารุสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้  ได้ส่ง “จดหมายเปิดผนึก” ถึง“นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ผ่านทาง”กงสุลใหญ่ประเทศมาเลเซีย” เพื่อขอร้องให้มีการ “ปราบปราม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” และ”พูโล” ซึ่งเป็นสองขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่มี”ฐานที่มั่น” ในประเทศมาเลเซีย” หากประเทศมาเลเซีย มีความ”จริงใจ” ในการช่วยเหลือประเทศไทยในเรื่องการแบ่งแยกดินแดน เพียงแค่มาเลเซีย สั่งการให้”บีอาร์เอ็น” และ”พูโล” หยุดการ”ปฏิบัติการ” ในพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าไม่”ทำตาม”  รัฐบาลมาเลเซีย จะไม่ให้ใช้ประเทศมาเลเซียเป็น”ฐานที่มั่น” ทั้ง”บีอาร์เอ็น “ และ”พูโล” ก็จะ”สิ้นฤทธิ์” ในการที่จะ”ขับเคลื่อน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ในทันที และ เมื่อ”กองกำลังติดอาวุธ” และ”เครือข่าย” ในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ถูก”ตัดหัว” ก็จะง่ายที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะทำการ”กวาดล้าง” อย่าง”ถอนรากถอนโคน”……และอีกเรื่อง ที่ต้อง เฝ้าระวัง” ในเดือน สิงหาคม นี้ คือการ”ปล่อยข่าว” จาก” ขบวนการบีอาร์เอ็น” ว่าจะมีการก่อเหตุครั้งใหญ่ในวันครบรอบ 70 ปี การ”หายสาบสูญ” ของ”หะยีสุหลง โต๊ะมีนา” อดีตผู้นำทาง”จิตวิญญาณ” ของชาว”มุสลิม” ซึ่งเชื่อว่าในห้วงเวลาดังกล่าว ต้องเกิดเหตุ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน  และเป็นหน้าที่ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่ต้องมีแผนในการ”รับ-รุก” กับ”กองกำลังติดอาวุธ” เพื่อป้องกันความสูญเสีย โดยเฉพาะกับ ชีวิต และ ทรัพย์สิน ของ”ประชาชน” ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

เรื่องของ”ยาเสพติด” ยังเป็นเรื่องใหญ่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่หันไปทางไหนก็มีแต่เรื่องของ”ยาเสพติด” ทั้งการขายและการเสพ ทุกหน่วยงานมุ่งแต่เรื่อง”การบำบัด” แต่”ต้นตอ” ของ”ยาเสพติด” คือการ”จับกุม” ซึ่งเป็นหน้าที่ของ”ตำรวจ” กลับ”หย่อนยาน” แต่ละ”โรงพัก” ไม่มีการ”เอาจริง”กับผู้ค้า”รายย่อย” ที่เป็นต้นเหตุของการ”ระบาด” ที่ สำคัญ””เจ้าหน้าที่” มี”ผลประโยชน์” ในการเรียกเก็บเงินจาก””พ่อค้ายาเสพติด” ในพื้นที่ เรื่องนี้ “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9  ต้องเร่งดำเนินการ ให้ ตำรวจ ทุก สภ.”เอาจริง” กับการ จับกุม”พ่อค้ารายย่อย” ใน หมู่บ้าน ตำบล ให้หมด และต้องมีแผนในการ”ป้องกัน” หมู่บ้าน ตำบล” ให้เป็นพื้นที่”ปลอดยาเสพติด”…..ที่ สำคัญ คือการ”เอาชนะยาเสพติด” ฝ่ายปกครอง โดย”นายอำเภอ” ในทุกพื้นที่ต้อง”เอาจริง” ด้วยการนำ “ผู้นำท้องที่” หรือ” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” มาเป็น”กำลังสำคัญ” ในการ”ป้องกัน และปราบปราม ยาเสพติด ไม่ใช่การ”ปราบปราม ป้องกัน” เป็นหน้าที่ของ”ตำรวจ” เพียงอย่างเดียว เรื่องของ”ยาเสพติด” เป็นเรื่องการ”บูรณาการ”ของทุกภาคส่วน การ”เอาชนะยาเสพติด” ที่ได้ผลคือ”ชัยชนะต้องมาจากหมู่บ้าน” เท่านั้น  ดังนั้น “”อนุทิน ชาญวีรกุล” หรือ” เสี่ยหนู” เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ต้อง”เร่งมือ” ในการทำให้”ฝ่ายปกครอง”และ”ตำรวจ” เป็น”เนื้อเดียวกัน” ในการ”ป้องกันและปราบปราม” ไม่ใช่เป็น”เนื้อเดียวกัน” ในเรื่องของ”ผลประโยชน์” จาก”ขบวนการค้ายาเสพติดอย่างที่เป็นไปแล้วใน หลายพื้นที่

เรื่องของ”ราษฎรไทย” ที่เข้าไปในประเทศมาเลเซีย และถูก”เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” ยิงเสียชีวิต และจับกุมได้ 2 รายใน แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ “รัฐเคดาห์”  ซึ่ง “เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” อ้างว่า “ราษฎรไทย” ที่เป็นคน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา อยู่ใน”ขบวนการธุรกิจผิดกฎหมาย” ในเรื่องของการ”โจรกรรมรถยนต์” และ”เรื่องของ”ยาเสพติด” เรื่องการทำ”ธุรกิจผิดกฎหมาย” ของคนใน”แนวชายแดน” ทั้งที่เป็น”คนไทย” และ”คนมาเลเซีย” เป็นเรื่อง”ปกติ” สำหรับผู้คนในเมืองชายแดน  แต่เรื่องที่ไม่”ปกติ” คือเรื่องที่หลังการเกิดเหตุ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง”สำนักงานคณะกรรมการส่วนภูมิภาค” หรือ” สน.กชภ.” ที่ขึ้นกับ”กองทัพภาคที่ 4” ไม่มีการ”แถลงข้อเท็จจริง” ที่เกิดขึ้น ให้กับประชาชนได้รับทราบ เช่น”คนตาย” และ”ผู้ถูกจับกุม” ทำผิดตามที่”ตำรวจมาเลเซีย” มีการ”กล่าวหาหรือไม่ มี”พยาน หลักฐาน” ในการ”ทำผิด”มี หรือไม่ และการ”จับตาย” ที่เกิดขึ้นกับ”ราษฎรไทย” เป็นเรื่องที่”สมเหตุสมผล” หรือไม่ รวมทั้งผู้ที่ถูกจับกุมที่เป็น”คนไทย” มีการเข้าไป”ช่วยเหลือ” ทางด้าน”กฎหมาย” หรือไม่ และ อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่อง สำคัญ…….นี้ถ้า”ชาวมาเลเซีย” เข้ามายังพื้นที่ของ”อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา” ที่เป็นพื้นที่”อำเภอชายแดน” และถูก” ตำรวจไทย”ทำการ”วิสามัญ” และ”จับกุม” ป่านนี้คงกลายเป็น”เรื่องใหญ่” ของฝ่าย”มาเลเซีย” ที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ”นั่งไม่ติด” ต้องทำการ”ชี้แจงข้อเท็จจริง” ที่เกิดขึ้น โดยต้องมี”พยานหลักฐาน”ในการ ยืนยัน นี่คือความ”แตกต่าง” ซึ่ง”สาระสำคัญ” คือ”ไม่ว่าจะ”ผิด”หรือ”ถูก” ชีวิตของ”คนไทย” ต้องมีค่า และมีความ”สำคัญ” ไม่ใช่เรื่องทั้งหมดถูก”ปิดเงียบ” โดย”สน.กชภ.” ทำได้เพียง “นำศพคนตาย”กลับมาแล้วจบ ที่สำคัญเรื่องนี้”ฝ่ายปกครอง” อย่าง”มงคล สินยัง” คนเป็นนายอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา ต้องมีความพร้อม ในเรื่องการ”ประสานงาน” กับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานให้”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ได้ทราบในรายละเอียด

นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ กรณีที่”พ่อค้าเจ้าของล้งทุเรียน”จาก จ.ชุมพร” ที่ไปตั้ง”จุดรับซื้อทุเรียน” ใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา ถูก คนร้ายบุกเข้า”ปลิดชีพ” ในขณะที่อยู่ใน”จุดรับซื้อ” เรื่องนี้ แยกแยะ เป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรก “พล.ต.ต. เสกสันต์ ชูรังสฤษฎ์  ผบก.ภ.จว.ยะลา ต้องดำเนินการ “สืบสวนสอบสวน” ว่าสาเหตุในการ”สังหารโหด” เป็นเรื่อง”ความขัดแย้ง” ในการทำ”ธุรกิจการค้าทุเรียน” หรือมาจากฝีมือของ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น”ที่ต้องการ”สร้างสถานการณ์” หรือไม่ เพื่อเป็นการ”คลี่คลายคดี”ที่เป็น”ข้อเท็จจริง” และ หลังจากนี้ต้องมีการจัด”เจ้าหน้าที่” เพื่อ”รักษาความปลอดภัย” ให้กับ”พ่อค้าล้งทุเรียน” ทั้งที่มาจาก”ต่างถิ่น” และใน”พื้นที่” เพราะถ้าการ”สังหารโหด” ครั้งนี้มาจากเรื่อง”ธุรกิจการค้าทุเรียน”  ก็อาจจะมีการ”สังหารโหด” เกิดขึ้นเป็นรายที่ 2 ที่ 3 ตามมา เพราะ ณ วันนี้ เป็นห้วงเวลาของเกษตรกรชาวสวนทุเรียน ที่มีผลผลิตออกสู่ตลาด เป็นการ”สร้างรายได้” อย่าให้การ”สังหารโหด” ผู้เป็น”พ่อค้าเจ้าของล้ง” ครั้งนี้เป็นสาเหตุของความ”หวาดกลัว” ของ”พ่อค้า” รวมทั้ง”ฉวยโอกาส” ในการ”กดราคารับซื้อ” ผลผลิตจากชาวสวน อย่าลืมว่า”ทุเรียนจังหวัดยะลา” มี”มูลค่าการส่งออก” หลายพันล้าน ในแต่ละปี…..และ “อำพล พงษ์สุวรรณ” ผวจ. ยะลา ก็ต้องไม่” ละเลย” กับเรื่องที่เกิดขึ้น  ต้องส่ง”เจ้าหน้าที่” ลงพื้นที่เพื่อ”สร้างความมั่นใจ” ให้กับทั้ง”เจ้าของสวน” และ”ล้งทุเรียน” กับเรื่องที่เกิดขึ้น รวมทั้งเรื่อง”ทุเรียนเป็นหนอน” ที่เป็น”ข่าวใหญ่” ว่า ถูกพ่อค้าจีน” ทำการ”ตีกลับ” หรือ”ส่งคืนสินค้า”ซึ่งใน”ข่าว” อ้างว่าเป็น”ทุเรียน” จอง จ.ยะลา เรื่องนี้เป็นความ”เสียหาย” ที่ จังหวัดต้องเข้าไปดำเนินการ และป้องกันอย่าให้มีการ”ใช้ประเด็น” ของ”ทุเรียนยะลาเป็นหนอน” เพื่อเป็นช่องทางให้”พ่อค้า” ฉวยโอกาส” กดราคา”หน้าสวน” เพราะมีการ”ร้องเรียน”จาก”เจ้าของสวน” ว่า หลังมีข่าว”ทุเรียนเป็นหนอน” และถูก”จีนตีคืน” ทำให้”ราคารับซื้อ” ใน พื้นที่ลดลงเป็นอย่างมาก

เรื่องการ”ตัดไม่ทำลายป่า” ในพื้นที่ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็นเรื่องที่”ป้องกันไม่ได้” ทั้งที่ในพื้นที่ มีทั้ง”ทหาร-ตำรวจ” และ”กองกำลังท้องถิ่น” เป็น จำนวนมาก และในแต่ละ หมู่บ้าน ตำบล ต่างมี หน่วยงานของรัฐที่ขึ้นต้อนด้วยคำว่า” อาสาฯ” อยู่ทุกพื้นที่ ล่าสุดมีการพบการ”ตัดไม้ทำลายป่า” ที่ ต.บาละ อ.กาบัง จ.ยะลา โดย”นายทุน” ให้เครื่องจักร อย่างรถ”แบคโฮ” ร่วมกับ”เลื่อยยนต์” เข้าไป “ตัดไม้ และไถทำลายป่า  ที่สำคัญ ในรอบเดือน  กรกฎาคม นี้ มีการ”พบการ”ทำลายป่าสงวนแห่งชาติ” แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งใน  อ.บันนังสตา-ธารโต –กาบัง จ.ยัลา และใน อ.เทพา-สะบ้าย้อย จ.สงขลา  ติดๆกัน และในบางแห่งพบว่า มีการ นำไม้ป่า ออกมา”ส่งขาย” ให้กับ” โรงงานไฟฟ้าชีวภาพ” ในพื้นที่เพื่อใช้เป็น”เชื้อเพลิง” ในการ”ผลิตไฟฟ้า” การทำไม้ในป่าสงวนแห่งชาติ อาจจะเกินกำลังของ หน่วยอนุรักษ์ป่า” ดังนั้นหน้าที่”ป้องกันป่าสงวนแห่งชาติ” ต้องเป็นหน้าที่ของ” ตำรวจตระเวนชายแดน” ที่มี”ขีดความสามารถ”ซึ่ง”พล.ต.ต.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ” รักษาการ ผบก. ตชด.ภาค 4  ต้อง เข้าไป ดำเนินการ ก่อนที่”ป่าสงวนแห่งชาติ” ใน แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย จะถูก”บุกรุก”จนหมดสิ้น…., เช่นเดียวกับที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ที่”แหล่งข่าว” แจ้งมาว่า ป่าสงวนแห่งชาติ ในแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย มี”นายทุน” สั่งการให้”มอดไม้” เข้าไป”กรานต้นไม้ใหญ่” จำนวนหลายร้อยต้น เพื่อการ เตรียมการ เข้าไป”ตัดไม้ทำลายป่า” เรื่องนี้ฝากให้” ว่าที่ ร.ต.ตระกูล โทธรรม ผวจ.นราธิวาส สั่งการให้”นายอำเภอศรีสาคร” เจ้าของพื้นที่”ตรวจสอบ” และ”ดำเนินการด้วย” เรื่องการ”ตัดไม้ทำลายป่า” การ”บุกรุกป่าสงวน” เพื่อขายไม้และใช้เป็นที่”ทำกิน”

วิธีการ”ป้องกัน” ง่ายนิดเดียว ถ้าฝ่ายปกครองมีความ”จริงใจ” แค่สั่งการให้”ผู้ใหญ่บ้าน” และ”ผู้ช่วย” เป็นผู้”รับผิดชอบ” ถ้า หมู่บ้านไหน มีการ”บุกรุกป่าสงวน” และมีการ”ตัดไม้” ก็ต้อง”เอาผิด” กับ” ผู้ใหญ่บ้าน” และ”ผรส.” หรือ”ผู้ช่วย” รวมทั้ง”เอาผิด”กับ”กำนัน” ที่เป็นผู้รับผิดชอบในตำบลนั้นๆ เช่นการ”คาดโทษ” และการ”ปลดออก” จากตำแหน่ง ส่วนการ”เอาผิด”กับ”นายอำเภอ” ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมีการ”เอาผิด” ในด้านการ”บกพร่อง” ด้วยการ”ตัดแต้ม” หากแก้ไขไม่ได้ผล ก็ต้อง”เอาผิด” ตาม ระเบียบวินัยของการ”ปกครอง” ไม่เชื่อ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ในพื้นที่ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้นำไป”นำร่อง” ปฏิบัติดูสัก 1-2 ตำบล เชื่อว่าการ”ตัดไม่ทำลายป่า” จะต้อง”ลดลง” เชื่อเถอะเรื่องการ”ตัดไม่ทำลายป่า” ถ้า”ผู้นำท้องถิ่น” ไม่ร่วมด้วย หรือไม่”รับผลประโยชน์” เกิดขึ้นไม่ได้ และเชื่อเถอะ” ไม่มีเรื่อง”ผิดกฎหมาย” อะไรที่ “ผู้ใหญ่บ้าน” และ” ผรส.” จะไม่รับรู้

เรื่องนี้ก็สำคัญ ที่ต้อง เรียนไปถึง “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) และ ผอ. ปปช. ปัตตานี เรื่องการที่”กลุ่มผู้เลี้ยงวัว” จำนวน 2 กลุ่ม ในโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ที่ จ.ปัตตานี ไป ซื้อวัวพันธุ์พื้นบ้าน” ที่ไม่”ตรงปก” หรือผิด”เงื่อนไข” ในข้อตกลง จาก””พ่อค้าวัว”  เพราะมี”ราคาถูก” และ”ตัวโต” แต่ใน ระยะยาว จะเกิดปัญหาขึ้น  วันก่อนที่เป็นโครงการ”ส่งมอบโค” เฟสแรก ที่มีการร้องเรียนเรื่อง”โคไม่ตรงปก”  ปปช. ก็ได้มีการ”ตรวจสอบ” ไปแล้ว และไม่พบการ”ทุจริต” แต่ วันนี้มี”เคสใหม่เกิดขึ้น” ต้องการให้มีการตรวจสอบจาก” ปปช. เพื่อให้เกิดความ”เป็นธรรม” และที่สำคัญ เป็นการ”ช่วยเกษตรกร” ให้ได้”วัว” ที่เป็นไปตาม”เงื่อนไข” เพื่อสร้างรายได้ให้กับ”กลุ่มเกษตรกรในโครงการโคบาลแดนใต้” ตามที่ “ ศอ.บต.” และ”กระทรวงเกษตรต้องการ ถ้า “ปปช. ไม่ทำ ก็ฝากถึง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “สั่งการ” ให้”อธิบดีกรมปศุสัตว์” ลงพื้นที่ เพื่อทำการ”ตรวจสอบข้อเท็จจริง.” เพราะชาวบ้านไม่กล้า”คาดหวัง” กับการ ทำหน้าที่ของ”ปศุสัตว์” ในพื้นที่……แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’ปลาหมอคางดำ’ เอเลี่ยนสปีชีส์ ส่อทำ ‘รัฐบาล’คางเหลือง!

การบ้าน การเมือง ประเทศไทย ภายใต้”รัฐบาลผสม” ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”หัวเรือใหญ่” และมี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายท้ายเรือ” ยังคงเดินหน้าฝ่า”มรสุม” ด้วยความ”โครงเคลง” มรสุมทาง”การเมือง” คือประเด็นการ”ชี้ชะตา” ของ”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” จาก”ศาลรัฐธรรมนูญ” จากกรณีแต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรี” ที่แม้ว่าจากการติดตามความ”เคลื่อนไหว” ของ”นักกฎหมาย” และ”นักการเมือง” การตัดสินของ”ศาลรัฐธรรมนูญ” น่าจะ”มีคุณ” กับ”เสี่ยนิด” มากกว่า”มีโทษ” แต่เมื่อเรื่องยัง”คาราคาซัง” อยู่ก็ยังไม่มีอะไรที่ไว้วางใจได้ และประเด็นทาง”การเมือง” ที่เป็น”มรสุม” ลูกที่สอง คือเรื่องของ”พรรคก้าวไกล” ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” กำหนดวันที่ 7 สิงหาคม 2567 เป็นวัน”ตัดสิน” เพื่อ”ชี้ชะตา” ของ”พรรคก้าวไกล” ซึ่งทั้ง”นักกฎหมาย” และ”นักการเมือง” ต่างเชื่อว่า”มีโทษ” มากกว่า”มีคุณ” กับ”พรรคก้าวไกล” แม้จะมี”รูรอด” จากการถูก”ยุบพรรค” และมีคนถูก”ตัดสิทธิ์” ทาง”การเมือง” แต่ เสียงส่วนใหญ่ เชื่อว่า”ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่เลือกที่จะออก”ประตูนั้น” และ”มรสุม”ทาง”การเมือง” ทั้งสองลูก ก็ไม่”เป็นคุณ” กับ”ประเทศไทย”และ”มรสุม” ทาง”การเมือง”ลูกที่สาม ที่กำลัง”โหมกระหน่ำ” คือความ”ขัดแย้ง” ในพรรคร่วมรัฐบาล จากเรื่องการ”แก้กฎหมาย” ให้”กัญชา” กลับไปเป็น”ยาเสพติด” ที่มองไกลเหมือนไม่มีอะไร แต่ใน”เบื้องลึก” พรรคภูมิใจไทย ไม่”ยินยอม” มีการเดินเกม”ต่อรอง” และ”แลกเปลี่ยน” เรื่องนี้อย่า”ประมาท” กับ”เสือยิ้มง่าย” อย่าง”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีวะกุล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  ที่รั้งตำแหน่ง”รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” การที่จะเอา”กัญชา” กลับไปเป็น”ยาเสพติด” ไม่ง่ายอย่างที่คิด

รวมทั้งเรื่อง”ปุ๋ยคนละครึ่ง” ที่เป็น โครงการเพื่อ”ช่วยเกษตรกร”ที่เสนอโดย “ร.อ.ธรรมนัส  พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จาก”พรรคพลังประชารัฐ” ที่ หลายพรรคไม่เห็นด้วย และมองว่าเป็นการ” เอื้อนายทุน” มากกว่าช่วย”ชาวนา” นี้คือ”รอยร้าว” ที่ เริ่มเกิดขึ้นแล้ว หลังที่ “รัฐบาลผสม”ชุดนี้ บริหารประเทศมาเพียง 10 เดือน และ ต่อแต่นี้ไปจะมีเรื่อง”ขัดแย้ง” ระหว่าง”พรรคร่วม” ติดตามมาอีก”หลายกระบุงโกย”  และแม้แต่ใน”พรรคเพื่อไทย”เอง” วันนี้ก็มีรอย”ปริร้าว” จาก”คน”กันเอง” นี้คือเรื่องของ”สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” ที่เป็น”มรสุม” ทางการเมือง ซึ่งหาก”เศรษฐา ทวีสิน” รอดพ้นจากคำ”พิพากษา”ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ” ก็ยัง”ไม่ง่าย” ในการนำ”เรือเพื่อไทย” ในการ”ฟันฝ่า” พายุ คลื่นลม ที่ โหดกระหน่ำ ที่ สำคัญ วันนี้ชื่อของ”เสี่ยนิด”เศรษฐา ทวีสิน” ขายไม่ได้ทั้งในเรื่องของ”การเมือง” และเรื่อง”เศรษฐกิจ” ความ”เชื่อมั่น”ต่อ” เสี่ยนิด” กำลัง”ลดน้อยลง” ทุกวันๆ ไม่เหมือนกับตอน”หาเสียง” และตอนรับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ใหม่ๆ…..เช่นเดียวกับ”มรสุม”ด้าน”เศรษฐกิจ” ที่เป็นเหมือน”สึนามิ” ลูกใหญ่ ที่ “โหมกระหน่ำ” ที่เรียกว่า”วิกฤติฐานราก” เช่น “หนี้ครัวเรือน 16 ล้านๆ  สินเชื่อทั้งระบบ 13.6ล้านๆ  หนี้เสีย 1.14 ล้านๆ ที่ สำคัญ ณ วันนี้ โรงงานในประเทศ “ปิดตัว” หรือ”เจ๊งบ๊ง” ไปแล้ว 2,000 โรง “วิกฤตเศรษฐกิจ” ครั้งนี้”ใหญ่หลวง” ที่เกินกว่าการ”แจกเงิน” ให้ประชาชนคนละ 10,000 บาท ตาม โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” จะสามารถ”ปะผุ”  เรือรั่วลำนี้ได้ และ”วิกฎติเศรษฐกิจ” ครั้งนี้ก็เป็น”วิกฤตของรัฐบาล” ที่ต้องหา”ทางออก” โดยเร็ว ก่อนที่ เรือลำนี้จะ จมลง

หนึ่ง”ทางออก” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” คือการให้”ฟรีวีซา” กับ”นักท่องเที่ยว”จากทั่วโลก ให้เดินทาง”เข้าประเทศไทย” ถึง 93 ประเทศ เพราะที่ผ่านมา 10 เดือน ที่”รัฐบาล” เข้ามาบริหารประเทศ เปิดให้มี”ฟรีวีซ่า” ไปแล้วหลายประเทศ แต่จำนวน”นักท่องเที่ยว” และ”เม็ดเงิน” ที่มากับการท่องเที่ยว  ก็ยังไม่”เข้าเป้า” ประเด็น”ฟรีวีซ่า” ทางหนึ่งเป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยอาศัย”การท่องเที่ยว” เพื่อหา”เม็ดเงิน” เข้าประเทศในยามที่”เศรษฐกิจ”ของไทย”ชักหน้าไม่ถึงหลัง” นั้นคือมองใน”ส่วนดี” แต่อีกประเด็นที่ต้อง”สังวรณ์”และ”พึงระวัง” รวมทั้งหาทาง”ป้องกัน”และ”รับมือ” คือการเปิดโอกาสให้กลุ่ม”อาชญากรข้ามชาติ” และผู้ที่”ฉวยโอกาส” เดินทางเข้า”ประเทศไทย” ด้วยจุดประสงค์อย่างอื่นๆ ที่เป็น”ภัยความมั่นคง” เป็น”ภัยเศรษฐกิจ”   เพราะวันนี้”ประเทศไทย” คือ”แดนสวรรค์” ของ”คนร้าย” ของ”อาชญากร” ของคน”ว่างงาน” จาก”ต่างประเทศ” ที่เข้ามาใช้”ประเทศไทย” ในการ”ก่ออาชญากรรม”แม้แต่ 6 ศพ” ของ”ชาวเวียดนาม” ที่มา”ฆ่ากันตาย” กลางโรงแรม”กลางกรุง” ก็เป็นการ “เลือก” ประเทศไทย” ในการ”ก่อเหตุ” และอีก”มากมายหลายคดี” ที่ “คนต่างชาติ” เข้ามาใช้”พื้นที่ของประเทศไทย” ในการ”ก่อเหตุ” ซึ่งหาก”รับมือไม่ได้” และ”ป้องกันไม่ดี” จะเป็นการ”ทำลายการท่องเที่ยว” ที่”เสียมากกว่าได้” ก็เป็นได้ นี้ไม่ใช่”มองโลกในแง่ร้าย” แต่เตือนกันด้วยความ”หวังดี”

อีกเรื่องที่เป็นเหมือน”โซ่ตรวน” ที่”คล้องคอ”ประเทศไทย และคนไทย คือเรื่อง”น้ำมันแพง.ค่าไฟแพง,สินค้าแพง” แต่”ค่าแรงถูก” 10 เดือน ผ่านไปแล้ว สำหรับ”รัฐบาลผสม” ที่มี”เพื่อไทย”เป็น”แกนนำ” แต่แนวทางในการ”แก้ปัญหา” ยังคง”มะงุมมะงาหรา” หา”ประตูออก”ไม่ได้ เมื่อ”น้ำมันดีเซล” ลิตรละ 34 บาท เบนซิน” 47 บาท” ภาคการผลิต ภาคการขนส่ง ก็ต้อง”ขึ้นราคาสินค้า” และการ”ขึ้นราคา”ก็บวกในสินค้าที่”ผลิต” และในค่าขนส่ง  ดังนั้น” สินค้า” จึง”ขยับ” ขึ้นตามราคาของ”น้ำมัน” ตลอดเวลา คนที่”รับกรรม” ต้อง”แบบภาระ” คือ”ประชาชน” ที่กลายเป็นผู้ที่”ผอมแห้งแรงน้อย”ลงทุกวัน เมื่อ”เงินในกระเป๋า”ไม่มี “กำลังซื้อจึงหดหาย” สิ่งที่ตามมาคือ”ร้านค้าทยอยปิดตัว”  ร้านอาหาร เจ๊งกันเป็นแถว เดินไปทางซ้ายเจอคำว่า”เซ้งร้าน” เดินไปทางขวาเจอคำว่า”ให้เช่า” แม้แต่”ร้านค้ารถเข็น” และคนขายของ”แบกะดิน” คนขาย”ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้” ก็ หมดอาชีพ อยากให้ “เศรษฐา ทวีสิน” และ”ครม.เศรษฐกิจ” ลงพื้นที่แบบ”เงียบๆ” เพื่อที่จะได้”สัมผัสข้อเท็จจริง” ไม่ใช่การลงพื้นที่แบบ”อึกทึกคึกโครม” ที่เป็นการ”สร้างฉากสร้างภาพ” ทาง”การเมือง” เพราะที่ท่านเห็นเป็น”ของปลอม”

เรื่องการ”แพร่ระบาด”ของ”ปลาหมอคางดำ” จากเรื่องที่คิดว่า”เล็กๆ” วันนี้กลายเป็นเรื่อง”ระดับประเทศ” ไปแล้ว เป็นเรื่องของ”ภัยแทรกซ้อน” ที่อาจจะทำให้”รัฐบาลคางเหลือง”จากเรื่องของ”ปลาหมอคางดำ” แน่นอนไม่ใช่”ความผิด” ของ”รัฐบาลชุดนี้” เพราะการ”นำเข้า”ปลาหมอคางดำ” เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่”กรมประมง”ก็ต้อง”รับผิดชอบ” ที่ไม่ได้”ควบคุม” บริษัทที่”นำเข้า” ซึ่งมีเพียง”บริษัทเดียว” ดังนั้นการที่”ปลาหมอคางดำ” หลุดลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ” และมีการ”แพร่พันธุ์” ไปทั่วประเทศจาก”น้ำท่วม” ที่เกิดขึ้นทุกปี “บริษัทที่นำเข้า” ต้อง”รับผิดชอบ” เพราะในการ”ทำลายปลาหมอคางดำ” ไม่”รอบคอบรัดกุม” จะทำ”ไขสือปฏิเสธ” ความรับผิดชอบต่อ”หายนะ” ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ก็อยู่ที่”รัฐบาล” จะดำเนินการอย่างไร เพราะ”เจ้าสัว” รายนี้ไม่ธรรมดา…..ส่วน กรมประมง ที่สังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ต้อง”คิดอ่าน” หาวิธีในในการแก้ปัญหาที่”วิกฤติ” ในครั้งนี้ให้”รอบคอบ” และ”รวดเร็ว” แค่การ”ปล่อยปลากะพงขาว” ลงไปเพื่อจัดการกับ”ปลาหมอคางดำ” ไม่ใช่”ทางออก” ที่”ถูกต้อง” เพราะ”ปลากะพงขาว” อยู่ใน”น้ำนิ่ง” และ”น้ำเน่า”ไม่ได้” ส่วน”ปลาหมอคางดำ” อยู่ได้ และ”เจริญพันธุ์” อย่างรวดเร็ว เกิน”ขีดความสามารถ”ของ”ปลากะพงขาว” ที่จะ”จับตาย” ปลาหมอคางดำ ที่ สำคัญ “ปลากะพงขาว” ที่นำไปปล่อยใน”แม่น้ำ ลำคลอง” ยังถูก”ชาวบ้านทอดแห” นำขึ้นมาเป็น”อาหาร” อีกต่างหาก

ที่ จ.สงขลา วันนี้”ปลาหมอคางดำ” ถูกพบใน”ทะเลสาบสงขลา” แล้ว และยังพบอีกว่า”ปลาหมอคางดำ” เจริญเติบโตได้ดี และชอบที่จะอยู่ใน”น้ำกร่อย”อย่าง”ทะเลสาบสงขลา” นี้คืองานหนักของ”เจริญ โอมณี” ประมงจังหวัดสงขลา ที่ต้อง”คิดอ่าน” เพื่อ”จัดการ”กับ”ปัญหา” ที่เกิดขึ้น เพราะ”ทะเลสาบสงขลา” เป็น”แหล่งอาหาร” เป็นที่”ทำมาหากิน” ของ”ชาวประมง” ที่อยู่ รายรอบของพื้นที่ “ทะเลสาบ” แห่งนี้ และ นี้คือความ”กังวล” ของคนในพื้นที่……ที่ สำคัญ อีกไม่กี่เดือน ก็จะเป็น”หน้าฝน”ของ”ภาคใต้” ซึ่งจะเป็น”ฤดูกาล” ที่จะมี”น้ำท่วม” และ”น้ำหลาก” โดยเฉพาะในพื้นที่”คาบสมุทรสทิงพระ” อ.ระโนด,กระแสสินธุ์,สทิงพระ ,สิงหนคร” ถ้ายังแก้ปัญหา”ปลาหมอคางดำ”ไม่ได้” แม่ปลา ,ลูกปลา,ไข่ปลา” ก็จะถูก”กระแสน้ำ” พัดพาไปยังพื้นที่ต่างๆ น่าจะเป็นการ”แพร่พันธุ์” ครั้งใหญ่ในภาคใต้ของ”ปลาหมอคางดำ” ที่ต้องทำให้”เกษตรกร” ผู้มีอาชีพ” เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา” ประสบกับ”หายนะ”ครั้งใหญ่ที่ยิ่งกว่า”คางเหลือ” แน่นอน

แม้ว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการจาก”องค์กรกาชาดระหว่างประเทศ “ หรือ” ไอซีอาร์ซี” ที่มีการ”ปิดสำนักงาน”ที่ “หาดใหญ่” จ.สงขลา หลังจากที่”ถอยร่น” มาจาก”ปัตตานี” เกือบ 2 ปี โดยอ้างว่า”สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายอแดนภาคใต้”ดีขึ้น มีการ”บังคับใช้กฎหมาย” มากขึ้น”และภารกิจไม่คุ้มกับงบประมาณ” แต่ก็อย่าเพิ่ง”เชื่อใจ” องค์กรจาก”ประเทศตะวันตก” เหล่านี้ เพราะถึงจะไม่มี”สำนักงาน” ก็อาจจะส่ง “เจ้าหน้าที่” มา”ปฏิบัติการ” ในสิ่งที่”เขาต้องการ” ได้ตลอดเวลา ….. และถึงแม้จะไม่มี”ไอซีอาร์ซี” คอย”กวนหมวน” อยู่ในพื้นที่ของ”สามจังหัดชายแดนภาคใต้” แต่ก็ยังมีอีกหลายองค์กรจาก”ชาติตะวันตก” และ”สหภาพยุโรป” ที่ยังมี”หน่วยงาน” อยู่ในพื้นที่ของ “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ในการ”เชื่อมกับ”ภาคประชาสังคม” เพื่อทำ”กิจกรรม” ที่องค์กรเหล่านี้ต้องการซึ่งมีหลาย”กิจกรรม” ที่มีลักษณะ”หมิ่นเหม่” ต่อ”ความมั่นคง” และมีความพยายามที่จะ”แทรกแซง” สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้  แต่อย่างไรก็ตามการ”ถอยร่น” ของ”ไอซีอาร์ซี” ก็เป็นผลดีกับ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ส่วนคนที่”เสียประโยชน์” ก็น่าจะเป็น”นายพลผู้เฒ่า” ที่เป็นที่”ปรึกษา” และเป็น”ล็อบบี้ยิตส์” ให้กับ”ไอซีอาร์ซี” เงินเดือนๆละ 200,000  หดหาย

สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วันนี้ยังคงมองไม่เห็น”ทิศทาง” ที่จะเดินไปสู่ความสงบ เห็นได้จากการ”ต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน” ในครั้งนี้  มีการอ้างถึงความต้องการของคนในพื้นที่ถึง ร้อยละ 65 ว่าต้องการให้มีการใช้ “พรก. ฉุกเฉิน” ต่อไป และสิ่งที่ตามมา ถ้า “สถานการณ์” ยัง”รุนแรง” โดยมีทั้งการ”ก่อเหตุ” จาก” กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” และการ”ปิดล้อมตรวจค้น” ของ” เจ้าหน้าที่สามฝ่าย” อย่างที่เป็นอยู่อาจจะมี”จุดตรวจ,ป้อมยาม” เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่มีการ”ปรับลด”ลงไปแล้วจำนวนหนึ่ง เพราะเข้าใจว่าเหตุการณ์ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ดีขึ้นแล้ว เรื่องนี้” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผบก.กอ.รมน.ภาค 4 “ ต้องคิดให้รอบคอบ เพราะการเพิ่มขึ้นของ”จุดตรวจ จุดสกัด”  ด้านหนึ่งเป็นการ”เพิ่มความปลอดภัย”ของประชาชน แต่อีกด้านหนึ่งหมายถึงความ”ล้มเหลว” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ใน”ภารกิจ”ของการดับ”ไฟใต้” ที่ ผ่านมาแล้ว 20 ปี ใช้”งบประมาณ”ไปแล้วไม่น้อยกว่า 600,000 ล้าน แต่”ไฟใต้” ยัง”ปะทะเชื้อ”อยู่ทุกวัน

ที่เห็นชัดถึงความ”ล้มเหลว” อีกด้านหนึ่งของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” คือเรื่องการ”ป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ” เช่น”ป่าไม้” ในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ “ทหาร”,และ” หน่วยอนุรักษ์ป่า” ของ จ.ยะลา ได้ ตรวจพบการทำลายป่าสงวนแห่งชาย “เทือกเขาสันกาลาคีรี”  แนวชายแดน” ไทย-มาเลเซีย” บริเวณ หลักเขตที่ 45 A บ้านคลองปุด หมู่ 7 ต.บาละ อ.กาบัง จ.ยะลา มีการ “ตัดไม้ทำลายป่า” มีการ”ขายไม้” และเอาที่ดินมาทำ”สวนทุเรียน” จำนวน 2 แปลง เนื้อที่กว่า 7 ไร่ และ เหมือนเดิมคือ”ไม่มีผู้ต้องหา”.ส่วนที่ จ.สงขลา  สำนักป้องกันป่า สข 6  อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ก็ ตรวจพบ การ”ตัดไม้ทำลายป่า” ใน” บ้านน้ำเชี่ยว”  ต.เขาแดง และ”ป่าควนเจดีย์” ซึ่งเป็น”ต้นน้ำคลองเทพา”พบมีการ”ทำลายป่าต้นน้ำ”ไปถึง 12 ไร่ จากกากติดตามเส้นทางในการนำไม้ลงจาก”เทือกเขา” พบว่าไม้ท่อนจำนวนมาก ถูกนำไปขายให้กับ”ลานไม้ 5 แห่ง ในพื้นที่ของ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และ”ลานไม้” ทั้ง 5 แห่ง ก็พบว่า นำไม้ไปขายให้กับ”โรงไฟฟ้าชีวะมวล” ในพื้นที่

ก็ เคยพูดหลายครั้ง เรื่อง”เชื้อเพลิง” สำหรับ”โรงไฟฟ้าชีวะมวล” จำนวน 15 โรง ในพื้นที่ของ ของ จ.ยะลา ปัตตานี” และ”4 อำเภอของ จ.สงขลา ถึงปัญหาของ”เชื้อเพลิง” เพราะ รู้ว่า วันนี้”สวนยางแก่” ไม่มีให้”โค่น” แล้ว “ไม้ยางพารา” ที่จะใช้เป็น”เชื้อเพลิง” ให้”โรงไฟฟ้า” จึง”ขาดแคลน” ส่วนการ”ส่งเสริม” ให้”เกษตรกร” ในพื้นที่”ปลูกไผ่”ซึ่งเป็น”พืชเศรษฐกิจ” เพื่อขายให้กับ”โรงงานไฟฟ้า” ที่เป็นโครงการของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เหมือนกับการ”ส่งเสริม” ให้มีการ”ปลูกหญ้าเนเปียร์” ก็ไม่มี”เกษตรกร” ให้ความสนใจ ดังนั้น “โรงไฟฟ้าชีวะมวล” จึง”ขาดแคลน”  เชื้อเพลิง ที่ใช้ในการ”ผลิตกระแสไฟฟ้า” สุดท้ายจึงมี”นายทุน”สั่งการให้”มอดไม้” บุกรุก”ป่าสงวนแห่งชาติ” เพื่อ”ตัดไม้ทำลายป่า” นำไม้ไปขายให้กับ”โรงงานไฟฟ้าชีวะมวล” อย่างที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้ และ ปัญหานี้จะแก้อย่างไร ใครจะเป็นคนแก้  แต่เท่าที่รู้จาก”คนวงใน” มี “โรงงานไฟฟ้าชีวะมวล” บางโรง ในพื้นที่ นำเอา”ถ่านหิน” มาเป็น”เชื้อเพลิง” เป็นการแก้ปัญหาการ”ขาดแคลน” ไม้ยางพารา กันแล้ว ถามว่าการใช้”ถ่านหิน” เป็น”เชื้อเพลิง” ผิด”ข้อตกลง” หรือไม่ และเป็น”มลภาวะ” หรือไม่ ทั้งหมดคือ”ปัญหา”ของการ”พัฒนา” ที่ขาด”ทิศทาง” ที่”ถูกต้อง” ที่เกิดขึ้นใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้”

เช่นเดียวกับโครงการ”โคบาลแดนใต้” ที่เป็นอีกหนึ่งโครงการของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) ที่อยู่ในการ”กำกับดูแล” ของ”กรมปศุสัตว์” ซึ่งเป็น โครงการ”ที่ดีมาก” ถ้ามีการ”ควบคุม” ให้เป็นไปตาม”เงื่อนไข” และ”ข้อตกลง” รวมทั้ง”เกษตรกร” ที่เข้าร่วมโครงการ มีความรู้ ความเข้าใจ ในการ”เลี้ยงโคพันธุ์พื้นเมือง” แต่ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือขาดการ”ควบคุม” ให้เป็นไปตาม”เงื่อนไข” ของ”สัญญา” ที่ ผลสุดท้าย โครงการ”หยุดชะงัก” และมีการ”ตรวจสอบ” ถึงความ”ผิดพลาด” ที่เกิดขึ้น …..และจากการตรวจสอบ ทั้งของ”ศอ.บต. ทั้งของ”กรมปศุสัตว์” และของ”ปปช.” ไม่พบการ”ทุจริต” แต่พบถึงความ”หละหลวม” และความ”ไม่พร้อม” ของ”เกษตรกร” ผู้เข้าร่วมโครงการ ที่เห็นแต่”ส่วนดี” แต่ไม่เห็นส่วนของ”ปัญหา” ที่ตามมาหลังจาก”รับแม่พันธุ์โค”มาแล้ว มีการ “ร้องเรียน” มีการขอ”ยกเลิก” และขอ”จัดซื้อแม่พันธุ์” เอง ที่อาจจะกลายเป็นปัญหาใน”อนาคต” เพราะเลี้ยงแล้ว “ลูกที่ตกมา” ไม่เป็นไปตามที่ต้องการของตลาด…..วันนี้มี”เกษตรกร”ผู้เลี้ยง ที่ จ.ปัตตานี 2 กลุ่ม ที่ไปซื้อ” แม่พันธุ์โคอเมริกันบาร์มันห์” มาเป็นแม่พันธุ์ แทนที่จะเป็นจะ”โคพื้นเมือง” ซึ่งเป็นการ”ไม่ตรงปก” และจะมีปัญหาในอนาคต เรื่องนี้ “กรมปศุสัตว์” ต้องเร่งรัดให้”ปศุสัตว์จังหวัด” เข้าตรวจสอบ และ ชี้แจงให้ “เกษตรกร” รับทราบ ถึง”ผลดี ผลเสีย” ที่จะตามมา อย่ามองแค่ “ซื้อถูก” และได้”โคตัวโต” มาเลี้ยง และนี้คือความไม่เข้าใจและ”มักง่าย” ของ”เกษตรกร” ที่จะสร้าง”ผลเสีย” ให้เกิดขึ้น และในส่วนของ”ศอ.บต.” เอง ก็ต้องทำหน้าที่ ติดตามดูแล เพราะโครงการ”โคบาลแดนใต้” เป็น “นโยบาย” ที่มาจาก” ศอ.บต.”โดยตรง แม้ว่าผู้ที่”รับผิดชอบ” จะเป็น” กรมปศุสัตว์ “ ก็ตาม   โดยเฉพาะที่ จ.สตูล ที่”กลุ่มผู้เลี้ยง” มีปัญหา เพราะมีการ”สร้างคอกรวม” อยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นที่”ทำกินของชาวบ้าน” แต่ไม่มี”เอกสารสิทธิ์”  และไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก”ปศุสัตว์จังหวัด” ในการ”แก้ปัญหา”ที่เกิดขึ้น

เพิ่งตื่น “รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพิ่งรับรู้ถึงปัญหา”ราคายางพารา” ที่ราคา”รูดทะราด” อย่างผิดสังเกต จาก “กิโลกรัมละ เกือบ 90 บาท แต่ถูก”กดราคา”ลงมาทุกวัน วันละบาท 2 บาท จาก”พ่อค้าคนกลาง” วันนี้เหลืออยู่ที่ กิโลกรัมละ 50 กว่าบาท ในกรณีที่ “เกษตรกรขายน้ำยางสด”   ข่าวว่า มีการส่ง”มือปราบจุจริต” ลงพื้นที่  เพื่อ ลุยตรวจสอบ ตลาดซื้อ-ขาย ยางพารา โดยเน้น บริษัทที่ทำการ”กดราคา” ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน ก็จะคอยดู”ฝีมือ” เพราะที่ผ่านมา”ข้าราชการประจำ” ไม่เคยเอาชนะ” พ่อค้าคนกลาง”ได้แม้แต่ครั้งเดียว  เห็นแต่ สุดท้าย คือไป”ยกมือไหว้” เพื่อ”ขอร้อง” พ่อค้า ให้ช่วยเหลือ โดยการ”เพิ่มราคารับซื้อให้สูงขึ้น” เป็นการ” แก้ผ้าเอาหน้ารอด” เพื่อสร้าง”ผลงานการเมือง” ทั้งสิ้น

เดือดร้อนกันไปทุก”หย่อมย่าน” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจาก”ความจน” หรือเกิดจาก”ผู้ติดยาเสพติด” แต่วันนี้ “เกษตรกร” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ “ปลูกมะพร้าวปลูกปาล์มน้ำมัน” ปลูกกล้วย ปลูกสะตอ” และ อื่นๆ ต่าง ได้รับ”ผลกระทบ” จากการที่”พืชผลทางการเกษตร” ถูก “ลักขโมย” ทั้ง “ลูกอ่อน ลูกแก่” จนสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ที่ จ.สงขลา “สมนึก พรหมเขียว” ผวจ. และ”พล.ต.ต.เชาวลิตร เลี้ยงสุพงษ์” ผบก.ภ.จว. สงขลา มีการ ประชุม นายอำเภอ และ ผู้กำกับ” เพื่อให้ “ร่วมมือกัน” ป้องกันการลักขโมย พืชผลทางการเกษตรไปแล้ว ส่วนจะได้ผลแค่ไหน ต้องติดตาม แต่ในจังหวัดอื่นๆ ยังไม่มีการ”สั่งการ” ให้มีการ”ป้องกัน”และการ”จับกุม” อย่างจริงจัง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความ”ทุกข์ความเดือดร้อน” ให้กับคนที่เป็น”เกษตรกร” ที่ส่วนใหญ่เป็น”คนจน” สมควรที่ “พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมขวัญ” ผบช.ภ.9 ต้อง “สั่งการ” ให้ ตำรวจในทุกพื้นที่ ทุก สภ. ต้องตั้งชุด”ปฏิบัติการ” ตรวจสอบ จับกุม  “มิจฉาชีพ” ให้ได้ และต้อง”สอบสวน”ว่าเป็นคนที่”ติดยาเสพติด” หรือเป็นคน”ว่างงาน” หรือ”ตกงาน” จนต้องยึดอาชีพ”ลักขโมย” พืชผลทางการเกษตร หรือไม่ อย่างไร เพื่อการแก้ปัญหาจะได้ถูกต้อง  ที่ สำคัญ “พ่อค้า” ที่เป็น”คนกลาง” ในการ”รับซื้อของโจร” ต้อง ลงโทษ ให้”เข็ดหลาบ”

ข่าวว่าเรื่อง”เรือน้ำมันเถื่อน” ที่ถูก”โจรกรรม”ไปจาก”ท่าเรือตำรวจน้ำที่สัตหีบ” และถูกติดตาม”จับกุม”ได้ใน”อ่าวไทย” ในขณะที่”กำลังหลบหนี” และเรือของกลางถูกนำเข้าฝั่ง เก็บไว้ที่ ท่าเรือ “กองกำกับตำรวจน้ำสงขลา” มีความคืบหน้า โดย “พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรวง” จเรตำรวจแห่งชาติ  แถลงว่ามีการ”ออกหมายจับ” ตัวการใหญ่คือ” เสี่ยโจ้” หรือ” สหชัย เจียรเสริมสิน” นายทุน”ค้าน้ำมันกลางทะเล” ที่เป็น”คนดัง” ใน”ภาคใต้” และเป็น”ขวัญใจ” ของคนใน”เครื่องแบบ” หลายหน่วยงาน ที่มีหน้าที่ในการ”ป้องกันปราบปราม”น้ำมันเถื่อน” เพราะ”เสี่ยโจ้” เป็นนายทุนที่”มือหนัก” และ”ใจถึง”……แต่ไม่ต้องกลัวว่าการ”จับเสี่ยโจ้” จะทำให้”การค้าน้ำมันเถื่อนในอ่าวไทย” จะถูกทำให้หมดไป เพราะยังมี”นายทุน” คนอื่นๆ และ “ลูกน้อง” ที่เป็น” มือซ้าย มือขาว” ของ”เสี่ยโจ้” ยัง อยู่กัน”ครบครัน”  หลังถูกออก”หมายจับ” เสี่ยโจ้” คงจะเก็บตัวเงียบสักพัก ก็เหมือนกับทุกครั้งที่”เสี่ยโจ้” มีเรื่อง เช่นการ”หนีศาล” ที่ จ.ปัตตานี การหนีคดี”ฟอกเงิน” ที่ สงขลา ซึ่งมี”หมายจับคาอยู่” ก็ไม่เห็นว่า”เสี่ยโจ้” จะถูกจับ ก็ขนาดมานั่ง”กินข้าวต้มกุ๋ย” ที่”ห้วยขวาง” ถูก”ตำรวจจับได้” ส่งมารับทราบข้อหาที่ สงขลา สุดท้าย”เสี่ยโจ้” ยัง”ล่องหน” ไปอย่างหน้าตาเฉย นี่คือ”อินทธิฤทธิ์” ของ”เสี่ยโจ้” ที่ครั้งนี้ก็ต้องติดตามว่า”หมายจับ” ของ”ตำรวจ” ที่มีต่อ”เสี่ยโจ้” จะสามารถนำตัว”เสี่ยโจ้” มา รับการ”ลงโทษ” หรือไม่ ที่สำคัญ วันนี้”เสี่ยโจ้” ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย และ”เสี่ยโจ้ ” ก็เป็นคน”สองสัญชาติ” ด้วย

มาดูเรื่องของ”การเมือง” ในพื้นที่ภาคใต้ การ”ขับเคลื่อน”  โครงการ”มหกรรมแก้หนี้”ของ” กระทรวงยุติธรรม”ที่มี”พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง “ เป็น”รัฐมนตรี”  เพื่อช่วยเหลือ”ลูกหนี้ทั้งระบบ” ให้ได้มีโอกาสในการพบกับ”สถาบันการเงิน” ที่เป็น”เจ้าหนี้” โดยมีหน่วยงานของ”กระทรวงยุติธรรม” เป็น”คนกลาง”  ซึ่งพบว่า”มหกรรมแก้หนี้” ที่จัดขึ้นที่  จ.สงขลา และที่ จ.ชุมพร” สร้างความ”ประทับใจ” ให้กับ”ลูกหนี้” เป็นอย่างยิ่ง” เป็น”ผลงาน”ของ”พรรคประชาชาติ” ที่เป็น”รูปธรรม” ที่”จับต้องได้…… เช่นเดียวกับ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ “รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ของพรรค”ภูมิใจไทย”  ที่มี”ผลงานการแก้ปัญหาแรงงาน การผลิตคนเข้าสู่แรงงานคุณภาพ การควบคุมแรงงานต่างชาติ ให้อยู่ภายใต้”กฎหมาย”  ส่วนในพื้นที่ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีการ”จับมือ” กับ”โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา” เพื่อการ”พัฒนาการเรียนการสอน” ให้”สอดคล้อง”กับความต้องการของ “สถาบันการศึกษา” ในพื้นที่ เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด

ส่วน”พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็น”พรรคฝ่ายค้าน” วันนี้ยังคงทำตัว”เรื่อยๆมาเรียงๆ” เพราะการเป็น”พรรคฝ่ายค้าน” การลงพื้นที่ เพื่อทำ”กิจกรรมทางการเมือง” จึงไม่”หวือหวา “ เหมือนพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีทั้ง”งบประมาณ” และทั้ง”อำนาจ” อยู่ในมือ  แต่ใน จ.สงขลา ก็เห็น”กิจกรรม” การ”ลงพื้นที่ พบปะประชาชน เพื่อแก้ปัญหาความ”เดือดร้อน”ของ สส.”น้ำหอม” สุภาพร กำเนิดผล  สส.เขต 6 และ”เดชอิศม์ ขาวทอง” หรือ”นายกชาย” สส เขต 5  และ “เลขาธิการพรรค” และ”เสี่ยถึก” สมยศ พลายด้วง” สส.เขต 3  ที่ยังมี”กิจกรรม” ทางการเมืองให้ปรากฏ……และอีกคนที่”เป็นข่าว” จากการ”อภิปราย” ใน “สภาผู้แทนราษฎร” คือ” สส.เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์” สรรเพชญ บุญญามณี”  นักการเมืองอนาคตไกล ทายาทของ”นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย” ล่าสุด “อภิปราย”เรื่องการ”ขูดรีด” ประชาชน”ด้วยการขึ้น”ค่าไฟฟ้า” ของ”รัฐบาล” ทำให้”ได้ใจ”ของ”ประชาชน” ทั้งประเทศ…..แต่เรื่องการ”ขึ้นค่าไฟฟ้า” ข่าวว่า” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” เสนาบดีกระทรวงพลังงาน มีคำสั่ง ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ”ตรึงราคาเดิม”เอาไว้ก่อน เพราะไม่ต้องการให้”ประชาชน” แบกรับภาระค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยจะไป”แก้ปัญหา”ส่วนหนี้” ของ”การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ก็ต้องหา”ทางออก” ที่เหมาะสม  นอกจากนั้น ยัง”เห็นข่าว” รัฐมนตรีพลังงาน ไป”เจรจา” กับ”  รัฐมนตรีพลังงานของ”รัสเซีย” เพื่อที่ แนวทาง ซื้อน้ำมันราคาถูก เพื่อแก้ปัญหา”น้ำมันแพง” ที่”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” ยังไม่สามารถ ดำเนินการกับ”กลุ่มโรงกลั่น” ทั้ง 5 โรงในประเทศ เพื่อทำให้มีการ”ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้”น้ำมันมีราคาถูกลง ส่วนการ เจรจา เพื่อ”ซื้อนำมัน”จาก”รัสเซีย” จะ ทำได้ หรือไม่ ก็ต้อง ติดตามกันต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่”ไม่ง่าย” แต่ก็เห็นถึงความ”ตั้งใจ” ในการแก้ปัญหา”น้ำมันแพง” ที่เกิดขึ้น

สำหรับการเมืองท้องถิ่น วันนี้ต้อง”จับตา” ความเคลื่อนไหวของ”องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เพราะมีการ”ลือกันสนั่นเมือง” ว่า”ไพเจน มากสุวรรณ์” นายก อบจ.สงขลา ตัดสินใจที่จะ”ลาออก” จาก”ตำแหน่ง” ในสิ้นเดือนนี้ เพื่อให้มีการ”เลือกตั้งใหม่” ก่อนหมดวาระ เหมือนกับที่ หลายๆจังหวัด ได้มีการ”ลาออก” และ”เลือกตั้ง” กันใหม่ ส่วน”ไพเจน “ จะลงรับสมัครเป็น”สมัยที่ 2 หรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ แต่ที่แน่ๆ “การเมือง”ไม่ว่าจะเป็น”ระดับชาติ” หรือ”ท้องถิ่น” ไม่มีอะไรที่”แน่นอน” และยังไม่มี”มิตรแท้” และ”ศัตรูถาวร” คนที่”ขัดแย้งกัน” แบบ”ไม่เผาผี” วันที่”ผลประโยชน์”ลงตัว ก็กลับมา”จูบปาก กอดคอ” แถลงข่าว อยู่ในทีมเดียวกัน มีให้เห็นกันบ่อยๆ….. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’ดิจิทัลวอลเล็ต’ กระสุนนัดสุดท้าย? เพื่อไทย

ถนนการเมืองในภาพใหญ่ของประเทศไทย ยังไม่มีอะไรที่”เปลี่ยนแปลง”ไปในทิศทางที่มี”ความหวัง” และ”อนาคต”  กับประเทศชาติ และ ประชาชน เส้นทาง”การเมือง”ของการเป็น”นายกรัฐมนตรี” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ยังเต็มไปด้วยความ”ขรุขระ” ไม่มีอะไรที่”ราบรื่น” โดยเฉพาะปัญหา”ทางเศรษฐกิจ” ปัญหา”ปากท้อง” ของ”ประชาชน” วันนี้จึงเกิด”ปรากฏการณ์ ที่”จนทั้งแผ่นดิน” และสินค้าอุปโภคบริโภคที่”แพงทั้งแผ่นดิน”  ก็เห็นใจนะกับ”เศรษฐา ทวีสิน” ที่”เดินสาย” ในการ”ขับเคลื่อน” เรื่องของ”เศรษฐกิจ” แบบไม่มี”หยุดพัก” แต่กลับไม่มี”ผลลัพธ์” ที่เป็น”ด้านบวก” เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่”คนในพรรคเพื่อไทย” ที่เป็น”พรรคเดียวกัน” ออกมา”วิพากษ์วิจารณ์” ถึงการ”ไร้ผลงาน” ทั้งที่มีการ”เดินสาย” ลงพื้นที่ในทุกภาคของประเทศไทย….การ”เดินสาย” เพื่อพบ”ประชาชน” เป็นเรื่องงาน”การเมือง”  เป็นการสร้าง”ฐานการเมือง” และ”สร้างภาพ”  โดยการให้”ความหวัง” และให้”ยาหอม” กับ”ประชาชน” ในเรื่องของการ”พัฒนา” โดยการ รับปาก ในการ “ขับเคลื่อน”โครงการต่างๆ ลงในพื้นที่  ซึ่งเป็นเรื่อง”นามธรรม” แต่จะเป็น”รูปธรรม” ได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และต้องดู”งบประมาณแผ่นดิน” เป็นสำคัญ ซึ่งสุดท้ายอาจจะเป็นได้เพียง”ยาหอม” เพราะ “ภาพใหญ่” ของประเทศไทย ณ วันนี้ คือ”รัฐบาลถังแตก” แม้แต่โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ก็มีการ”ปรับแล้วปรับอีก” และสุดท้ายก็ต้อง”ปรับลดวงเงิน” และ”ปรับลดคน”ที่จะได้รับ”แจกเงิน”  ที่ ต้อง”ผูกพัน”กับ”งบประมาณ”ของปีหน้า หรือปี 68 นี้คือการ”ดิ้นรน” อย่าง”สุดกำลัง” ของ”เพื่อไทย”ที่ แสดงให้เห็นถึง “อุปสรรค” ที่”ประเดประดัง” เข้าใส่”รัฐบาล” จนเกินกว่าที่จะ”รับมือ” กับปัญหา”เศรษฐกิจ” ที่”ตกต่ำ” และยังไร้”หนทาง” ในการแก้ไข

ก่อนเลือกตั้ง”พรรคเพื่อไทย”  และ”เศรษฐา ทวีสิน” คือ”ความหวัง” ของ”ประชาชน” ที่”คาดหวัง”ว่าหลัง”เลือกตั้ง” ประเทศไทยที่นำโดย”เพื่อไทย” จะต้อง”ดีกว่า” และ”เก่งกว่า” รัฐบาลของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ถูกมองว่าไม่รู้เรื่อง”เศรษฐกิจ” แต่หลังการเป็น”รัฐบาล” ผ่านมาถึง 10 เดือน คนทั้งประเทศก็”สิ้นหวัง” กับ”เพื่อไทย” และ”เศรษฐา ทวีสิน” ผู้ที่ประสบความสำเร็จในเรื่อง”ธุรกิจ” ที่เป็น”กูรู” ทางด้าน”เศรษฐกิจ” ก่อนที่จะเข้าสู่”ถนนการเมือง” แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่”ประชาชนคาดหวัง” ในตัวของ”เสี่ยนิด” ที่เป็น”นายกรัฐมนตรี” และ”เพื่อไทย” ก็ไม่ได้”เก่งกาจ” ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” เหมือนอย่างในอดีต ที่”ทักษิณ ชินวัตร” เคย”สร้างชื่อ”เป็น”นายกรัฐมนตรี” ในนามของ”พรรคไทยรักไทย” และหลังจากที่”ทักษิณ ชินวัตร” เดินทางกลับประเทศไทยคนส่วนใหญ่ก็มี”ความหวัง” ขึ้นอีกครั้งว่า “ทักษิณ” จะกลับมาทำหน้าที่ “สั่งการ” ให้พรรคเพื่อไทย แก้ปัญหา”เศรษฐกิจ”ปัญหา”ปากท้อง” เพื่อให้เป็นไปตามที่”เศรษฐา ทวีสิน” และ”อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร  ได้ตระเวนหาเสียงไว้กับ”ประชาชน” แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างนั้น เพราะ”ทักษิณ ชิวัตร” กลับประเทศไทยแบบ”หลงยุค” จึงยังคงติดอยู่กับ”ความคิดแบบเก่า” เช่นเรื่อง”การเมืองบ้านใหญ่” มองปัญหา”เศรษฐกิจ” แบบไม่”ตอบโจทย์” ของปัญหาและของประเทศ   ทำให้ปัญหาของ”ประเทศไทย” ยังคง”ดำดิ่ง” สู่ “ก้นมหาสมุทร” อย่าง”รวดเร็ว”  จนกำลังหมดทาง”เยียวยา”.โรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมยานยนต์ ก้าวสู่”วิกฤต” แรงงานตกงานเพิ่มขึ้น  ผู้ประกอบการ”รับไม่ได้” กับการขึ้น”ค่าแรง” วันละ 400 บาท  นักท่องเที่ยว ที่เข้ามาประเทศไทย ไม่เป็นไปตาม”เป้าหมาย” จน”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีต้อง”ขยายฟรีวีซ่า ถึง 93 ประเทศ เพื่อหวังจะ”ตอบโจทย์การท่องเที่ยว  ทั้งหมดคือ”ระเบิดเวลา” ที่รอให้”รัฐบาล” ทำการ”ถอดสลัก” และหาก”จัดการ”ไม่ได้ผล ปัญหาทุกปัญหาก็พร้อมที่จะ”ระเบิด”

ความหวัง”หนึ่งเดียว” ในการกู้”ศรัทธา” ของ”เพื่อไทย” ให้กับคืนมา คือการ”แจกเงิน” ในโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต”  ที่”เป็นตาย” อย่างไรก็ต้อง”แจก”ให้ได้  เพราะเป็นความหวัง”หนึ่งเดียว” ที่ “เพื่อไทย” เชื่อว่าจะสามารถ”ฟื้นเศรษฐกิจ” และฟื้น ”ความศรัทธา” ของประชาชนให้กลับคืนมา เป็นความหวังของ”กระสุนนัดสุดท้าย” ที่มีอยู่”ในปืน” ถ้า”กระสุนนัดนี้” ยิง”พลาดเป้า” นั่นหมายถึงการ”จบสิ้น” ในทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นการ”ดับความหวัง” ของประเทศ และประชาชน…..ข่าวว่า หลังได้รับ”เอกสารใบบริสุทธิ์” ในการ”พ้นโทษ” ทักษิณ ชินวัตร มีโปรแกรมในการ”บินไปประเทศจีน” เป็นการเดินทางไป”ต่างประเทศ”ครั้งแรก หลังกลับมา”รับโทษ” ครบ 1 ปี และเลือก”ประเทศจีน” เป็นประเทศแรก ที่ไปเยือน ซึ่งลึกๆ คงจะมีเรื่องการไป”พบปะ” และ”เจรจา”ทาง”การค้า” เพื่อช่วย”เพื่อไทย”ในการ”ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” เพราะ”ทักษิณ” มี มิตร สหาย ที่เป็น”นักธุรกิจ” อยู่ในประเทศจีน ก็ขอให้”สำเร็จ” เพราะ วันนี้”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศไทย” ใกล้ถึง”ป่าช้า” แล้ว ถ้ายังหาทาง”ฟื้นฟู” ไม่ได้ มีอย่างเดียวคือ”ไม่ฝัง ก็เผา”

เรื่องของ”ไฟใต้” สัญญาณอันตราย เมื่อ”แกนนำ” ใน”รัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย”ไฟเขียว” ให้ “กลุ่มก่อการร้าย” ในพื้นที่ “ก่อเหตุ” ได้ตามความต้องการ “สถานการณ์” ของ”ไฟใต้” จึงกลับมาสู่”โหมดความรุนแรง” อีกครั้ง “กองกำลังติดอาวุธ” แต่ละ จังหวัด มีการกำหนด”เป้าหมาย” ในการ”ก่อการร้าย”ด้วยตนเอง จึงอย่า”แปลกใจ” ที่ “ระเบิดแสวงเครื่อง” และการ”โจมตี” เจ้าหน้าที่รัฐ และ”ผู้นำท้องที่” จะเกิดขึ้นอย่าง”ถี่ยิบ” และไม่เลือก”เป้าหมาย” ดังนั้นจึงมี”ระเบิดแสวงเครื่อง” ในพื้นที่”สาธารณะ” จึงเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจาก”ห่างหาย”ไปนาน และเรื่อง”ปล้นปืนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน” ( ชรบ.) ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และ”ปฏิบัติการ” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็เป็นการ”ประกาศศักดา” ด้วยการ”แสดงตน”อย่าง”เปิดเผย” แถมยัง”เล่นกับ”กล้องวงจรปิด” อย่างไม่กลัวการ”ติดคุกติดตะราง” หลังจากนี้ไป เชื่อว่า สถานการณ์ความรุนแรง ยัง”เดินหน้า”ต่อไป โดยเฉพาะก่อนที่”เศรษฐา ทวีสิน” จะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อ”พบปะ”กับ”อันวาร์ อิบราฮิบ” นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ซึ่งกำหนดเป็นวันที่ 3 สิงหาคม 2567

วันนี้พื้นที่ อ.โคกโพธิ์ และ”หนองจิก” จ.ปัตตานี กำลังเป็น”พื้นที่อันตราย” เพราะ”บีอาร์เอ็น” มี”เป้าหมาย” ในการ”ก่อการร้าย” เพื่อแสดงถึง”ศักยภาพ” เพื่อ”ข่มขวัญ” คนในพื้นที่  สังเกตหรือไม่ว่า หลังจากที่”อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และ “เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความ”เข้มแข็ง” ให้กับ “ชุดคุ้มครองหมู่บ้าน” หรือ”ชคต.” ซึ่งเป็นกำลังของ”กองอาสารักษาดินแดน” และมีแผนในการที่จะให้ “ฝ่ายปกครอง” และ”กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน “ มี “บทบาท” ในการเป็น”อาสารักษาดินแดน” เพื่อทำหน้าที่”ป้องกัน”และ”ปราบปราม” เหมือนในอดีต หลังจากนั้น” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็หัน”ปากกระบอกปืน” เข้า”เล่นงาน” ผู้นำ”ท้องที่” มี”ผู้ใหญ่บ้าน” และ” ผุ้ช่วย” ตกเป็น”เหยื่อ” คมกระสุนไปแล้วหลายราย  นี่คือการ”ข่มขู่”และ”ข่มขวัญ” เพื่อมิให้”ผู้นำท้องที่” ร่วมมือกับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ในการ”ดับไฟใต้” เพราะ”บีอาร์เอ็น” ทราบดีถึง”จุดแข็ง” ของผู้นำท้องที่ ซึ่งหาก”ร่วมมือ” กับ”ตำรวจ,ทหาร” เมื่อไหร่ จะเป็น”ภัยอันราย” กับ”แนวร่วม” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่”แฝงตัว” อยู่ใน”หมู่บ้าน” ก็ต้องถามว่า “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะ”แก้เกม” ของ”บีอาร์เอ็น” อย่างไร

หลังจากมีการ”ปล้นปืน” ที่เป็น”ปืนหลวง” ที่ไว้ให้กับ”ชรบ. ไว้ป้องกันหมู่บ้าน เกิดขึ้นใน 3 อำเภอของ จ.ยะลา ได้ปืนไป 7 กระบอก และจนถึงป่านนี้ “ตำรวจ” ยังไม่ได้”ออกหมายจับ” คนร้าย ซึ่งในแต่ละจุดที่เข้าไป”ปล้นปืน” มีการ”ยกโขยง” ไป แสดง”ศักดาโจร” จุดละ  8 -10 คน และ จุด”ปล้นปืน” ที่ ต.ลำใหม่ อ.เมือง ยะลา มีการ”ยกโขยง”ไปถึง 17 คน ถ้าไม่เรียกว่า”หยามน้ำหน้า” ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไร รวมทั้งการ”ปล้นปืน” ครั้งนี้มี”คนใน” ที่”สมรู้ร่วมคิด” กับ”แนวร่วม” หรือไม่ เจ้าหน้าที่ยังไม่มี”คำตอบ….. และที่ต้องถามต่อไปคือ เมื่อการ”ปล้นปืน” ของ”ชรบ. ทำกันง่ายๆแบบ”ปอกกล้วยเข้าปาก” อย่างที่เกิดขึ้น  นายอำเภอแต่ละอำเภอ รวมทั้ง “ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะมีการ”แก้ไข” หรือ”รับมือ” กับ” กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” อย่างไร  ทุกหมู่บ้านต่างมี “ชรบ. และทุก”ชรบ. ก็เป็น ชาวบ้าน ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนการใช้”อาวุธ”และ”ยุทธวิธี” ในการ “ป้องกัน” และ”ต่อสู้” กับ”กองกำลังติดอาวุธ” หน้าที่คือ การเข้า”เวร-ยาม” ดูแล โรงเรียน เพื่ออย่าให้ใครเข้ามา “ก่อการร้าย” เท่านั้น และถ้า “กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ต้องการที่จะ”ปล้นชิง” อาวุธปืนของ”ชรบ. รับรอง”เกลี้ยงฉาด” หมดทั้ง อำเภอ ก็ต้องถามไปยัง “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ทั้ง 4 จังหวัด และ นายอำเภอทั้ง 4  อำเภอของ จังหวัดสงขลาว่า ท่านได้”เตรียมการ” ป้องกันการ”ปล้นปืน ชรบ.”อย่างไร หรือต้อง”ขอปืนคืน” เพื่อป้องกัน”ปืนไปอยู่ในมือโจร” ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือ”บีอาร์เอ็น” ต้องการ”ทำลาย”กองกำลังภาคประชาชน” เพื่อสร้างความ”โดดเดี่ยว” ให้กับ”ทหาร,ตำรวจ” ในการ”ต่อสู้”กับ”บีอาร์เอ็น” และคำถามสุดท้ายคือ ถ้ายังต้องให้ “ชรบ.” ทำหน้าที่ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน” ฝ่ายปกครองจะแก้ปัญหาการ”ปล้นปืน” อย่างไร  เพราะหาก”ปล่อย”แบบ”เลยตามเลย” ปืนในมือของ”ชรบ. “ ทั้งหมด ก็จะกลายเป็นปืนของ”บีอาร์เอ็น” หมดแน่

ที่ ชายแดน อ.ตากใบ และ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยังคงเป็น”สวรรค์วิมาน” ของ กลุ่ม”ขบวนการของเถื่อน” เช่น” วัวเถื่อน” ถูก”จูงข้าม”แม่น้ำ สุไหงโก-ลก”  โดยเป็นการ”ลักลอบส่งออก” โดยไม่ต้องมีการแจ้งการ”เคลื่อนย้าย” และไม่ต้องมีการ”กักกัน” เพื่อ”ตรวจโรค” ส่วนในพื้นที่ อ.ตากใบ มีการส่ง”เนื้อหมูเถื่อน” ที่ ลำเลียงโดย”รถห้องเย็น” จาก” จ.ราชบุรี และ นครปฐม” นำข้าม”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” ไปยังประเทศมาเลเซีย แถมยังมีการ”ส่งออก”เนื้อไก่ แบบ”เถื่อนๆ” จาก อ.สุไหงโก-ลก” ข้ามไปยัง”ฝั่งมาเลเซีย” วันนี้ ชายแดน อ.สุไหงโก-ลก และ ตากใบ จ.นราธิวาส คือพื้นที่ของ”ขบวนการนอกกฎหมาย” เป็นเรื่อง”ประหลาด” ที่”ชาวบ้านชาวช่อง” รู้ไปทั่วว่าเป็นของ”นายทุน” กลุ่มไหน  และที่”ไม่รู้ไม่เห็น” อะไรเลย คือ” เจ้าหน้าที่รัฐ” ทุกหน่วยที่”ปฏิบัติการ” ในแนวชายแดน   ก็ฝากให้ “ว่าที่ ร.ต.ตระกูล โทธรรม “ ผวจ. นราธิวาส ส่ง”สายลับ”ไป”ตรวจสอบ”ด้วย

น้ำมันเถื่อน “เชื้อชั่วที่ไม่เคยตาย” ไปจาก อ.สะเดา จ.สงขลา  หลังจากที่”รัฐบาลมาเลเซีย” ประกาศขึ้นราคา”น้ำมันดีเซล” จากลิตรละ 16 บาท เป็นลิตรละ 26 บาท ขบวนการ “ลักลอบ”นำเข้า”น้ำมันเถื่อน” จาก”ประเทศมาเลเซีย” ผ่านทาง”ด่านพรมแดน” อ.สะเดา และด่านพรมแดน ต.ปาดังเบซาร์  ก็หันมา”นำเข้า” น้ำมัน”เบนซิน “ อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” ด้วยรถ”บรรทุก 18 ล้อ “และ “รถกระบะตู้ทึบ” มีการใช้ “เส้นทางถนนชนบท และ ถนน”คอนกรีต” ที่สร้างโดยงบประมาณของ”อบต. ใน ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา คืนละหลาย”คาราวาน” จน”ถนนพัง” เพราะ”รับน้ำหนัก” ไม่ไหว ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนใน หมู่ที่  2-3 ต.ปริก ร้องเรียนมา หน่วยไหน ที่มีหน้าที่ในการ”รับผิดชอบ” เร่งไป”ตรวจสอบ” ด้วย

เรื่องของ”โคบาลแดนใต้” ที่เป็นโครงการ “ส่งเสริม” ให้”คนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้”เลี้ยงโค” ซึ่งเป็นโครงการที่”ผลักดัน” โดย “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) และดำเนินการ”กรมปศุสัตว์” ส่วน”แหล่งเงินกู้” จาก” ธกส.” โครงการนี้ “หยุดนิ่ง” ไปพักหนึ่ง เพราะมีการ”ร้องเรียน” เรื่อง”โคไม่ตรงปก” มีการ “ตรวจสอบ” จากหลายฝ่าย รวมทั้ง ปปช. ด้วย แต่ สุดท้าย ก็ตรวจไม่พบว่ามีการ”ทุจริต” แต่มีปัญหาที่มาจาก “ผู้เลี้ยง” เป็นส่วนใหญ่ วันนี้โครงการนี้”เดินต่อ” โดย”กรมปศุสัตว์” แต่เป็นการ”เดินหน้า” ที่มีปัญหาเกิดขึ้น โดยปล่อยให้”ประชาชน” ที่อยู่ในโครงการ นำเงินกู้ไปซื้อ วัว หรือ โค กันเอง  ซึ่งก็แน่นอนที่มี “พ่อค้า” นำ “วัวหรือ โค” มา ขายให้ “ผู้เลี้ยง” ในราคาถูก และ”ผู้เลี้ยง” ก็ “ดีอกดีใจ” ที่ได้”ของถูก” กว่า “โค หรือ วัว” ของ”บริษัทที่เป็นผู้”ร่วมโครงการ” โดยไม่ได้มี”ความรู้” ว่า”ของถูก” เป็นของที่”ไม่ตรงปก” ไม่ใช่โคหรือวัวในโครงการที่มีการทำ”ทีโออาร์” เอาไว้กับ”กรมปศุสัตว์”  และ”ปศุสัตว์” ในพื้นที่ ก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่ต้องการ”ขัดแย้ง” และ”ขัดใจ” กับ”ชาวบ้าน”  และถ้าเป็นแบบนี้”ปลายทาง” ของโครงการ”โคบาลแดนใต้” ก็จะกลายเป็นว่า”ชาวบ้าน” เป็นผู้”รับเคราะห์” โครงการ”โคบาลแดนใต้” ไม่ได้ช่วยให้ชาวบ้าน “ลืมตาอ้าปาก” หรือหลุดพ้นจาก”ความยากจน” เรื่องนี้ “ร.อ .ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วย”ไขลาน” ปศุสัตว์จังหวัด ให้”ตรวจสอบ” วัว หรือ โค ที่มี “พ่อค้า” ขายในราคาถูก ให้กับ”ชาวบ้าน” ว่าเป็นไปตาม “เงื่อนไข” ของโครงการ “โคล้านตัว” หรือ”โคบาลแดนใต้” หรือไม่

เรือนำเที่ยว ไม่มี”ชูชีพ” ให้กับ”นักท่องเที่ยว” ยังเป็นข่าวบ่อยๆ ล่าสุดเรือ”สปีดโบ๊ต” ที่พานักท่องเที่ยวไป”เกาะพีพี” จ.กระบี่” ที่”ล่มกลางทะเล” ปล่อยให้ “นักท่องเที่ยว” เกาะหัวเรือรอความตาย  เพราะไม่มีใคร”ใส่เสื้อชูชีพ” ก็ปรากฏเป็นข่าวเพื่อ”ประจานความชุ่ย” ของ “เจ้าหน้าที่” ผู้ เกี่ยวข้อง ที่”หละหลวม” ไม่มีการ”ตรวจตรา” โชคดีที่มีเรือลำอื่น อยู่ ใกล้ๆ จึง”ช่วยชีวิต” ของ กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนได้ทัน ก่อนที่จะเป็นเกิด”โศกนาฏกรรม” กลางทะเล ให้เป็นเรื่อง”ฉาวโฉ่” และ ทำลายการท่องเที่ยวให้”ย่อยยับ” อีกครั้ง เรื่องนี้ “ผู้ว่าราชการจังหวัด “ และ” ผู้บังคับการตำรวจภูธร” รวมทั้ง”ตำรวจท่องเที่ยว” ต้องร่วมกัน”รับผิดชอบ” และ” หาทาง”แก้ไข” ไม่ใช่ เกิดขึ้นแล้ว ปล่อยเลย โดยไม่”เอาผิด” กับ “เจ้าของเรือ” และเจ้าของ”กิจการท่องเที่ยว.….เช่นเดียวกับที่ “เกาะพะงัน” จ.สุราษฏร์ธานี ที่ “ตำรวจท่องเที่ยว” จับกุม”ชาวเมียนมา” ซึ่งถือใบอนุญาตการทำงานที่เป็น”ของปลอม” หลังการจับกุม “สอบสวนทวนความ”แล้ว พบว่า มี”บริษัทแห่งหนึ่ง” เป็นผู้”ขายเอกสารปลอม” ให้กับ”ชาวเมียนมา” เพื่อใช้เป็นหลักฐาน ในการ”ทำงาน” บนเกาะพะงัน “ ก็หวังว่า คดีนี้ไม่จบแค่ “เอาผิด” กับ”ชาวเมียนมา” แต่ต้อง”เอาผิด”กับ”บริษัท” ที่เป็นผู้ ทำ”เอกสารปลอม” เพื่อขายให้กับ”แรงงานต่างชาติ” ด้วย

วันที่ 18-19  กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีการ ประชุมของ”คณะพูดคุยสันติสุข” ที่จัดโดย สภาความมั่นคงแห่งชาติ “ หรือ” สมช.” มีหน่วยงาน”การข่าว” มี”ตัวแทนกระทรวงต่างประเทศ” และ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่มี “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  และ” พล.ต.ไพศาล หนูสังข์” รองแม่ทัพภาคที่ 4 เข้าร่วมประชุม เพื่อ”ถกแถลง” ในการ”หาทางออก” เพื่อ”ขับเคลื่อน” เวทีการ”พูดคุยสันติสุข” หลังจากที่ “รัฐบาลมาเลเซีย” ได้มีการเปลี่ยนตัว”ผู้อำนวยความสะดวก” ในการ”ขับเคลื่อนเวทีการพูดคุย” เป็น”ดาโต๊ะ มูด ราบิน” อดีต”คีย์แมน” ฝ่ายความมั่นคง  เท่าที่ได้ฟังมา ปรากฏว่า บางคน ใน “สภาความมั่นคงแห่งชาติ พยายาม “โน้มน้าว” ให้การ”พูดคุย” เป็นไปตามที่ องค์กรต่างประเทศ จาก”ชาติตะวันตก” ต้องการ ด้วยการเปิดรับทั้ง “เจนีวาคอลล์” และ”ไอซีอาร์ซี” ให้เข้ามามี”ส่วนร่วม” ในการ”พูดคุย” และการ”ดับไฟใต้” ในพื้นที่ ประเด็นนี้คือ กำลัง”ชักศึกเข้าบ้าน” โดยการ”คล้อยตาม” นักวิชาการที่มี”ดีกรีเป็นดอกเตอร์” และ อดีตนายทหารที่”เกษียณอายุ” และไปเป็นที่”ปรึกษา” ทำหน้าที่”ลอบบี้ยิสต์” ให้ หน่วยงานความมั่นคง เห็นชอบ กับ การเข้ามาของ”ชาติตะวันตก” ถามว่าเงินเดือนในที่ปรึกษา”200,000 บาท”  คุ้มค่าไหมกับการที่ทำให้ประเทศไทย”เสี่ยง”ต่อการ”เสียดินแดน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

หลังจากที่”สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา”ออกโรง” ร่วมกับ “พล.ต.ต. เชาวลิต เลี้ยงสุพงษ์ “ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา เรียกประชุม นายอำเภอ และ ผู้กำกับ ใน 4 อำเภอของ”ลุ่มน้ำทะเลสาบ” เพื่อแก้ปัญหา “ขะโมยขะโจร” ที่มีอย่าง”ชุกชุม” ทำการ”ลักขโมย” พืชผลทางการเกษตร “ผลปาล์ม, มะพร้าวน้ำหอม” และ อื่นๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับ”เกษตรกร” เป็นอย่างมาก วันนี้ ตำรวจ ในหลายพื้นที่ เริ่ม”จับกุม” หัวขโมย ได้พร้อมกับ”ของกลาง” ได้จำนวนหนึ่ง  นี้อาจจะเป็นการแก้ปัญหาที่”ปลายเหตุ” เพราะต้นแห่งแห่งการ”ลักทรัพย์” มาจากการ”ติดยาเสพติด” จึงต้อง”ขวนขวาย” ลักขโมย ผลผลิตทางการเกษตรไปขาย เพื่อนำเงินไป”ซื้อยาเสพติด” ดังนั้นการแก้ปัญหาคือการ”จับกุม”พ่อค้ายาและคน”เดินยา” ในหมู่บ้าน ส่วนคน”ติดยา” ก็เร่งนำตัวไป”บำบัด” เพราะนี้คือ”ต้นเหตุ” ของปัญหาทั้งหมด ที่สำคัญ”ตำรวจ” ในทุกพื้นที่รู้ดีว่า”พ่อค้ายา” เป็นใคร และคนที่”เดินยา” เป็นใคร ทำไม่จึงไม่จับ และอีกเรื่องคือการ”จับกุม” พ่อค้า ที่”รับซื้อของโจร” ต้องติดตาม”จับกุม” มารับโทษด้วย เพราะถ้าไม่มีผู้” รับซื้อ” ก็จะไม่มีการ”ขโมย” ประเด็นนี้”พล.ต.ต.เชาวลิต เลี้ยงสุพงษ์ “ ผบก. ภ.จว.สงขลา ต้อง”สั่งการ” ให้ ตำรวจ ทุกพื้นที่”ขุดรากถอนโคน”

เรื่องของ”ปลาหมอคางดำ” กลายเป็นปัญหา”ระดับชาติ” ไปแล้ว ที่ภาคใต้มี 2 จังหวัด ที่เป็นแหล่ง”ระบาด”และ”แพร่พันธุ์” คือที่ จ.สงขลา และ นครศรีธรรมราช  ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว  และในการแก้ปัญหาก็ต้อง”รวดเร็ว” ทั้งใช้วิธีการ”จับตาย” หรือจะใช้วิธีการ”ถูกกิน” โดยการปล่อยพันธุ์ปลากะพง เพื่อ”จัดการ”กับ”ปลาหมอคางดำ” ก็แล้วแต่  เพราะช้าเท่าไหร่ ผู้มีอาชีพ”เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา” จะต้อง”หมดตัว”  เรื่องนี้ “ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้อง”ไล่ล่า” ให้ถึง”ตัวการ” ที่ นำเข้า “ปลาหมอเพชฌฆาต” มาสร้างความ”หายนะ” ให้กับ ประชาชน ผู้เป็น”ต้นเหตุ” ต้องจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

เรื่องของ”การเมือง” การ เลือกตั้งใน”องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หรือ” อบจ.” ที่จะมีการเลือกตั้งในต้นปี 2567  วันนี้หลายจังหวัดเริ่มได้ยิน”เสียงปี่กลอง” ทางการเมืองดังแล้ว อย่างที่ จังหวัดสงขลา ชาวบ้าน”ถามไถ่กันให้แซด” ว่า มีผู้สมัครกี่คน และจะมีคนของ”ก้าวไกล” ลง”ชิงชัย” ตำแหน่ง “นายก อบจ. “หรือไม่  ก็ “สืบเสาะ” จาก”พรายกระซิบ” ว่าในการ เลือกตั้งครั้งใหม่  คนสงขลา จะได้ “นายก อบจ.” คนใหม่ที่ชื่อ “สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อธิบดีกรมฝนหลวงฯ เพราะมีข่าวว่า”ไพเจน มากสุวรรณ” นายก อบจ.คน ปัจจุบัน จะ”ไม่ไปต่อ” โดยจะพอแค่สมัยเดียว ส่วน”ก้าวไกล” มีความต้องการ”นายกเทศบาล” มากกว่า “นายก อบจ.” และต่อจากเลือกตั้ง”องค์กรบริหารจังหวัด” ก็จะเป็นการเลือก”ระดับเทศบาล” ซึ่งหลายเทศบาลมีการ”แข่งดุ” และมีผู้ที่”พิสมัย” ตำแหน่ง”นายกเทศบาล” หลายคน ดังนั้นปี 2568 จึงเป็นปี”เงินปีทอง” เพราะการ”เลือกตั้งท้องถิ่น” บางพื้นที่ใช้เงินมากกว่าการเลือกตั้ง สส. ด้วยซ้ำ

ถามดังๆจาก “เจือ  ราชสีห์ “ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ว่า “คนสงขลาจะเอาแบบไหน”เรื่อง โรงพยาบาลสงขลา ที่จะยกระดับให้เป็นโรงพยาบาลอำเภอเมือง หรือจะเป็น แบบไหน ก็ได้ แต่ต้องให้ประโยชน์กับ “ประชาชน” ให้มากที่สุด เรื่องนี้”คาราคาซัง” มานานมากแล้ว จบได้จะเป็นการดีที่สุด

หลังจากที่ สภาผู้แทนราษฎร ลงมติ ให้ ยกเลิก “กฎหมาย”ของ”คสช.” ที่”บังคับใช้” กับ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) แล้ว วันนี้ “ศอ.บต. ก็ไม่ต้องขึ้นกับ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าอีกต่อไป และ ศอ.บต. จะมี”สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” กลับคืนมา มีการใช้”พรบ.ศอ.บต.” แบบเต็มฉบับ ก็ต้องติดตามดู “ฝีมือ” ในการบริหาร ศอ.บต. จาก” “ปลัดบิลลี่” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์”  เลขาธิการ ศอ.บต. ว่าจะมี”ยุทธศาสตร์” ในการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่างไร เรื่องนี้ประชาชนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้โปรดติดตาม

ปัญหาของ”คนเถื่อน” ทั้งจาก”เมียนมา” และ” สปป.ลาว” รวมทั้ง”โรฮิงยา” จาก รัฐยะไข่ ยังกลายเป็น ปัญหาใหญ่มากๆ สำหรับประเทศไทย และ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น สงขลา และ นราธิวาส คือ”ทางผ่าน” และเป็นสถานที่”หลบซ่อน” ของ ขบวนการ”คนเถื่อน”  ที่จับได้จับไป จับเท่าไหร่ก็ไม่หมด สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะ ยังมี”เจ้าหน้าที่บางคน” รู้เห็นเป็นใจ” โดยพบว่า “รีสอร์ท” ที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ที่กลายเป็นที่”พังพิง” ของ”คนเถื่อน”เพื่อรอ”ไฟเขียว” จาก”เจ้าหน้าที่ ฝั่งมาเลเซีย  ถ้า “พล.ต.ต. ทรงโปรด สุขศิริ” ผบก. ตม. 6 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ อยากรู้ข้อเท็จจริง ลงไปดูได้ว่า”รีสอร์ท” ใน อำเภอชายแดนไทย-มาเลเซีย เขาสร้างให้ใครพัก “นักท่องเที่ยว” หรือ”คนเถื่อน”

วันก่อน ได้ฟัง”นายพล”จาก “กองบัญชาการสอบสวนกลาง” ผู้รับผิดชอบ คดี”เสี่ยโจ้” น้ำมันเถื่อน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่าจะออก”หมายจับเสี่ยโจ้” และ”พวก” ที่อยู่ใน”ประเทศไทย” แต่รอจนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นว่า ความคืบหน้าของการ”ออกหมายจับ” ทั้ง”เสี่ยโจ้” และ”ผู้เกี่ยวข้อง” แต่อย่างใด ก็หวังว่า คดีของ”เสี่ยโจ้” นอกจาก”ตำรวจ” ที่ถูก”โยกย้าย” และตั้งกรรมการสอบเพื่อ”เอาผิด”ทาง”วินัย” แล้ว  ต้องมี”คนผิด” ที่เป็น”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” เป็น”จำเลย” ด้วย อย่าให้”คดีเสี่ยโจ้” หายไปกับ”สายลมแสงแดด” เหมือกับ”หลายเรื่องหลายคดี”ที่เกิดขึ้น

เสียงบ่นจาก “ผู้ประกอบการ” ต.พังลา อ.สะเดา จ.สงขลา ถึงการทำหน้าที่”เอียงข้าง” ฟังความข้างเดียว” ของ” เจ้าหน้าที่กองสาธารณสุข เทศบาลคลองแงะ อ.สะเดา จ.สงขลา   เรื่องของ ปั๊มน้ำมัน ในพื้นที่ ที่ถูกร้องเรียกจาก”ผู้ค้าน้ำมันเถื่อน” ว่ามีกลิ่นเหม็น เวลา รถบรรทุกน้ำมันไป”ส่งน้ำมัน” ซึ่งก็รู้อยู่ว่าเป็นการ”กลั่นแกล้ง” จาก”ผู้ค้าน้ำมันเถื่อน” ถ้าจะ”จัดการเรื่องของกลิ่น” กองสาธารณสุข” ต้องเร่ง”จัดการ”กับ”กลิ่นเหม็น” และ”น้ำเสีย” จากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ด้วย เพราะ”ชาวบ้าน” ร้องเรียนกันมาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เห็นมีการ”จัดการ” ตามที่ชาวบ้านร้องเรียน เรื่องนี้ “สุวัฒ เลิศจิตต์ธรรม” นายกเทศบาลตำบลคลองแงะ” อย่าลืม สอบสวน หาข้อเท็จจริงในการทำหน้าที่ของกองสาธารณสุขด้วย ว่าตั้งอยู่บน”ข้อเท็จจริง” และความเป็นธรรม หรือไม่    แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณัพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา #Saveทับลาน ป่ามรดกโลก ที่จะถูกเฉือน 2.6 แสนไร่

เมื่อ”ศาลรัฐธรรมนูญ” เปิดโอกาสให้”พรรคก้าวไกล” ได้”ยืดอายุยืดเวลา” เพื่อการ”ต่อสู้คดีที่โดน”ยุบพรรค” ไปอีก 7 สัปดาห์” ก็เป็น”ช่องทาง” ในการที่จะยัง”มีลุ้น” ว่า “สุดท้าย”ของ”ท้ายสุด” พรรคก้าวไกล จะมีโอกาสที่จะ”ไปต่อ” โดยไม่ถูก”ยุบพรรค” หรือไม่ เพราะยังพอมี”ช่องทาง” ให้เห็นถ้าการ”ตัดสิน” ยึดหลักของ”ข้อกฎหมาย” โดยที่ไม่มี”ใบสั่ง” เรื่องการ”ยุบพรรคก้าวไกล” ใน”สายตา” ใน”ความรู้สึก” ของ”ประชาชน” กลุ่มหนึ่ง มองว่า”ศาลรัฐธรรมนูญ”ต้องการ”ประหารชีวิต”ของ”ก้าวไกล” ตาม”ใบสั่ง” โดย ไม่ได้ยึดหลัก”กฎหมาย” ซึ่งหาก”ศาลรัฐธรรมนูญ”ไม่ทำการ”ไต่สวน” ด้วยความ”รอบคอบ” ความเสียหาย ก็จะตกกับ”ศาลรัฐธรรมนูญ” อย่าง”หลีกเลี่ยง”ไม่ได้ เพราะ”คนส่วนหนึ่ง” มีความ”รู้สึก” เช่นนั้นไปแล้ว ดังนั้นการที่”ศาลรัฐธรรมนูญ” ยึดเวลาให้”ก้าวไกล” ได้มีการ”ชี้แจง” และมีการ”ไต่สวน” เพิ่มเติม จึงเป็นอีก”ทางออก” ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่อาจจะทำให้”ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่ถูกมองว่าการ”ยุบพรรคก้าวไกล” เป็นการทำตาม”ใบสั่ง”……ความจริงทุกฝ่าย ก็รู้ ว่าการ”ยุบพรรคก้าวไกล” เป็นการที่”ยิ่งยุบยิ่งโต” และผู้ที่ถูก”ตัดสิทธิ์ทางการเมือง” ถ้าสมมุติว่า”ก้าวไกลถูกยุบ” ก็มีไม่ถึง 10 คน และวันนี้”คนแถวสาม” ของ”ก้าวไกล” ก็เป็น”นักการเมือง” ที่มี”คุณภาพ” และมี”จิตวิญญาณ” ของการเป็น”ก้าวไกล” และถ้า”ก้าวไกลถูกยุบ” หัวหน้าพรรคคนใหม่ของ”ก้าวไกล” ที่จะมาแทน”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ก็มีการเห็น”เงาร่าง”กันแล้วว่าเป็นใคร    ดังนั่นการ”ยุบก้าวไกล” แม้จะส่งผลสะเทือนเกิดขึ้น  แต่ก็ไม่ได้เป็น”สึนามิ” พอที่จะทำให้”ก้าวไกล” สูญหายไปจาก”ถนนการเมืองของประเทศไทย” แต่ยิ่งทำให้”ก้าวไกล” โตขึ้นด้วยซ้ำ ก็ต้องติดตามว่า สุดท้ายแล้ว “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะมีความเห็นอย่างไรกับสิ่งที่”ก้าวไกล” ทำลงไป ว่าจะมี”ความผิด”ถึงขึ้น”ลงโทษประหาร” หรือไม่

ตรวจสอบ”อาการเศรษฐกิจ” ในห้วงของเดือนกรกฎาคม พบว่า”อาการเศรษฐกิจ” ยังน่าเป็นห่วง”ระดับล่าง”คือความ”ซบเซา” ของ”ตลาดสด” และ”ตลาดริมทาง” ที่ผู้คน”หายไป” มีแต่”คนขาย” ในขณะที่”คนซื้อ” อยู่ในสภาพที่เรียกกว่า”โหรงเหรง” โรงรับจำนำ ก็”ร้างผู้คน” เพราะไม่มี”ทรัพย์สิน” อะไรที่จะนำมา”จำนำ”อีกแล้ว ส่วน”ศูนย์การค้า” มีแต่”คนเดินตากแอร์” มากกว่าคนที่เข้าไปเพื่อ”จับจ่ายใช้สอย” ตลาดรถยนต์”มือสอง” อยู่ในสภาพของการ”ซังกะตาย” หลายแห่งพบเห็น”รถยนต์” ที่ถูกยึดมาจอดเป็น”พะเนินเทินทึก” บ้านเช่า ห้องแถว ตึกแถว ติดประการคำว่า”ให้เช่า” และ”ขาย”  บ้านเมืองหลายแห่งเป็น”เมืองร้าง” เอ๊ะนี้ เกิดอะไรขึ้นกับ “บ้านนี้เมืองนี้”…..ประชุม ครม. เศรษฐกิจ ก็แล้ว”ขุนคลัง” รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ก็เปลี่ยนแล้ว แต่ทำไม่จึงยังไม่”ตอบโจทย์” ของการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” และ”ทักษิณ ชินวัตร” ก็กลับมาเพื่อทำหน้าที่”เบื้องหลัง” ของพรรคเพื่อไทยแล้ว แต่ทำไม่”เศรษฐกิจไทย” ทุกภาคส่วนยัง”โงหัว”ไม่ขึ้น    เรื่องนี้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะตอบ”ประชาชน”อย่างไร เพราะ”อายุ”ของ”รัฐบาล” ก็ย่างเข้าเดือนที่ 10 แล้ว แต่ปัญหา”เศรษฐกิจ” ก็ยัง”ไม่เห็นหน้าเห็นหลัง” นี้ถ้าผู้ที่เคยขึ้นเวที”เวลาหาเสียง” เป็นคนที่”หน้าบาง” อาจจะไม่กล้าไป”ต่างจังหวัด” เพื่อพบปะ”ประชาชน” เพราะที่”ตระโกน”หาเสียงบนเวที “เพื่อไทยมา”ยาเสพติดหมดค่าไฟถูกลงทันทีลดราคาน้ำมันทันทีคุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้น” หรือ ทั้งหมดล้วนแค่ เรื่อง”โกหกมดเท็จ” ทั้งสิ้น

ส่วนเรื่อง”เงินดิจิทัล” ซึ่ง”หัวเด็ดตีนขาด” และอาจจะมีคน”ติดคุก” ใน”อนาคต” ก็ต้องทำให้ได้นั้น ข่าวว่ายังต้องมีการ”ลากยาว” ไปถึงวันที่ 24 กรกฎาคม  เพื่อให้”นายกรัฐมนตรี” ทำหน้าที่ในการ”แถลงความคืบหน้า” อีกครั้ง ก็ยังไม่แน่ใจว่า จะได้ทันใช้ในปี 2567 หรือไม่ แต่ที่สำคัญ จะมั่นใจได้อย่างไรว่า หลังการ”แจกเงิน” ให้”ประชาชน” คนละ 10,000 บาทแล้ว จะทำให้”เศรษฐกิจ”โดยภาพรวมของประเทศชาติจะดีขึ้น และที่ต้องถามคือ นอกจาก”รัฐบาลเพื่อไทย” คาดหวังในเรื่องของ”เงินดิจิทัล” ว่าจะช่วย”ฟื้นฟูเศรษฐกิจ”แล้ว “เศรษฐา ทวีสิน” และ “ครม.เศรษฐกิจ” ยังมี”ช่องทาง” อื่นๆในการ”ฟื้นฟูเศรษฐกิจ”ของประเทศอีกหรือไม่ หรือมีเพียงโครงการ”ดิจิทัลวอลเล็ต” ที่เป็น”นัดเดียวในปืน” เท่านั้น และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ปี 2568 เศรษฐกิจ”ของประเทศไทย น่าจะ”ยับเยิน” ที่ยิ่งกว่า”ต้มยำกุ้ง” แน่นอน “คนไทย” เตรียมตัวเตรียมใจ”ตั้งรับ”กันให้ดีนะ

ความวิตกกังวลของ”เกษตรกรชาวสวนยาง” ทั่วประเทศคือ ราคายางที่เคย”ทะยาน”ไปที่ กิโลกรัมละ 80 กว่าบาท ในกรณีของ การขาย”น้ำยางสด” และราคา”ยางก้นถ้วน”ที่ขึ้นไปถึง กิโลกรัมละ 40 บาท วันนี้ ราคา”น้ำยางสด” ตกลงมาอยู่ที่ กิโลกรัมละ 60 กว่าบาท เป็นการ”ส่งสัญญาณ”อะไรกับเรื่องของ”ราคายางพารา” และถ้าราคา”ยางพารา” ยังตกต่ำไปที่กิโลกรัมละ 40 กว่าบาท เหมือนใน”รัฐบาลลูงตู่” ซึ่งเป็น”ราคาขาย” ที่ไม่”คุ้มทุน”  ชาวสวนยางจะอยู่กันอย่างไร ประเด็นนี้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  รวมทั้ง”บอร์ดการยางแห่งประเทศไทย” ต้องมี”คำตอบ” ให้กับ”เกษตรกรชาวสวนยาง” อย่าเพียงแต่การออกมาเพื่อ”เอาความชอบ” ในขณะ ที่”ยางพารา” ขึ้นราคา แต่เมื่อ”ราคายางตกต่ำ” กลับไม่มีใครออกมา”ชี้แจง” เพื่อการ”รับผิดชอบ”และวันนี้ เท่าที่”รู้ข่าว” มี”พ่อค้ายางชาวไทย” ที่ไป”กว้านซื้อยางแผ่น” ในราคาถูกจาก”ประเทศเมียนมา” ติดต่อประสานงานมายัง” เจ้าหน้าที่”แนวชายแดน” อ.กระบุรี จ.ระนอง เพื่อขอนำ”ยางเถื่อน” เข้ามาขายใน”ประเทศไทย” ถ้า”ยางเถื่อน” จาก”เมียนมา” และจาก”สปป.ลาว” มีการถูกนำเข้ามา”มากมาย” ก็จะยิ่งมีผลกระทบกับราคายางในประเทศ และที่มีการ”นินทา”กันตาม”ร้านน้ำชา” ก็คือมี”ส่วนหน้า” ที่อ้างว่าเป็นคนของ”เสนาบดี” มา”เก็บส่วย”จาก”ขบวนการนำเข้าพืชผลทางการเกษตร”ที่เป็น”ของเถื่อน” แม้แต่ที่”ด่านพรมแดนสำนักขาม” อ.สะเดา จ.สงขลา ก็มีคนที่”อ้างตัว”ว่าเป็น”ส่วนหน้า” ของ”เสนาบดี” มาทำการ”เก็บส่วย” จาก”ขบวนการนำเข้า”หัวหอม, หัวกระเทียม,น้ำมันปาล์ม” จากประเทศมาเลเซีย ทำเอา”พ่อค้า แม่ค้า” ที่ นำเข้า”สินค้าเถื่อน” ต้อง ถอนหายใจเฮือกๆ นี่กระมั่ง ที่คนโบราณเรียกว่าการ”ทำนาเลี้ยงนก”

ยืนยันมาแล้วว่า วันที่ 3 สิงหาคม 2567 นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” จะเดินทาง”ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” อีกครั้ง  เพื่อพบปะกับนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย “อันวาร์ อิบราฮิม” เพื่อที่จะมีการ”เจรจาต้าอ่วย” ในเรื่องปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน 1 เรื่อง”การแบ่งแยกดินแดน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง เกี่ยวพันแบบ”แยกไม่ออก” กับ “ประเทศมาเลเซีย” เพราะ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” และอื่นๆ เช่น “พูโลเก่า พูโลใหม่” ต่างมี”ฐานที่มั่น” อยู่ใน”รัฐกลันตัน” ที่เป็น”รัฐฝ่ายค้าน”ของ”ประเทศมาเลเซีย”  และ แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ฝั่งของ”มาเลเซีย” มีหมู่บ้าน”จัดตั้ง” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ใช้ในการ”ฝึกอาวุธ” และ”ฝึกการก่อวินาศกรรม” ของ”สมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ที่ สำคัญ”อุปกรณ์ในการประกอบระเบิด” ล้วนถูก”ลำเลียง”มาจากฝั่งของ”ประเทศมาเลเซีย” โดยการข้าม”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” ซึ่งเป็น”พรมแดน”กั้นระหว่างประเทศทั้งสอง ปัญหาการ”แบ่งแยกดินแดน” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนที่”เกี่ยวข้อง”กับ”รัฐบาลมาเลเซีย” นายกรัฐมนตรีของไทย”ต้องกล้า” ที่จะพูด”ความจริง” เพราะ”ความจริง” ที่พูด มี”ประจักษ์พยาน” มี”หลักฐาน”ที่ “ชัดเจน” เรื่อง”ความมั่นคงของชาติ” ไม่ใช่เรื่องที่ต้อง”พูดคุยใต้โต๊ะ” แต่ต้อง”พูดดังๆ”ให้ ประชาชนทั่วโลกได้รับรู้   ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงจะได้รับการแก้ไข

ปัญหาที่สองคือเรื่อง”เศรษฐกิจ”ของ”เมืองชายแดน” ทั้งที่ อ.สุไหงโก-ลก อ.แว้ง อ.ตากใบ” จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นอำเภอที่มี”ด่านพรมแดน” ของทั้งสองประเทศ ที่ต้องมีการพัฒนาร่วมกัน ใช้”ทรัพยากรร่วมกัน” และต้องมี”ผลประโยชน์ร่วมกัน” เช่นเรื่อง”สะพานข้ามพรมแดนสุไหงโก-ลกแห่งที่ 2 “ ที่พูดคุยกันมากว่า 20 ปี จะต้อง”สำเร็จ” ในรัฐบาลนี้ สะพานข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่ ต.ตาบา อ.ตากใบ เมื่อไหร่ที่จะ ร่วมมือกันก่อสร้าง เพื่อแทนที่”เรือขนานยนต์” เพื่อความสะดวกของคนทั้งสองประเทศ และเพื่อส่งเสริม”การค้าเมืองชายแดน” และ”ด่านพรมแดนบูเก๊ะบูงอ” อ.แว้ง จ.นราธิวาส ทำอย่างไร ที่จะได้เห็น”ศักยภาพ” อย่างเต็มที่ เป็นต้น…..ส่วนเรื่อง”ความมั่นคง”ในพื้นที่ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นเรื่องภายใน” ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องมีการ”ปรับเปลี่ยน” การทำหน้าที่ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หรือไม่ อย่างไร เพราะที่ผ่านมา ต้อง”ยอมรับ”ว่า โครงการของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” แก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่สำเร็จ ไม่มี”ศักยภาพ” ในการ”เอาชนะ” การ”จัดตั้ง”ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” งาน”การข่าว” ที่”เข้าไม่ถึง” งาน”มวลชน” ที่ยังขาด”ความร่วมมือ” จาก”ประชาชน” การ”แยกปลาออกจากน้ำ” ทำไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าใน”หมู่บ้าน” มี”แนวร่วม” ของ”บีอาร์เอ็น”กี่คน  เมื่อเกิดเหตุ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็จะบอกว่าเป็น”กลุ่มหน้าขาว” เป็นผู้ก่อเหตุ ทำให้”ป้องกันยาก” เพราะไม่มี”ประวัติ” แต่เมื่อมีการ”ตรวจสอบ” และทำการ”จับกุม” ผู้ที่”ก่อเหตุ” ก็พบว่า ส่วนใหญ่เป็น”คนหน้าเก่า” ที่ไม่ใช่”กลุ่มหน้าขาว” มีการ”ก่อเหตุซ้ำซาก” มาแล้วหลายครั้ง ดังนั้น”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” อย่ามา”โมเมโมมะ” เพื่อ”ปกปิด”ความ”บกพร่อง” ของตนเอง

วันนี้ สถานการณ์ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอ ที่น่าเป็นห่วง ไม่ใช่แค่เรื่องของ”เหตุร้ายรายวัน” แต่อีกเรื่องที่”น่าเป็นห่วง” คือ เรื่องการทำ”ไอโอ” ของทั้ง”ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น” ที่อยู่ใน”คราบไคล” ของ”ภาคประชาสังคม” ซึ่งเป็นผู้ที่”เห็นต่าง” จากรัฐ ที่สร้าง”เงื่อนไข” หยิบทุกประเด็นที่เกิดขึ้นในพื้นที่ มาทำ”ไอโอ” เพื่อให้ประชาชนที่เป็น”มุสลิม” กลุ่มที่”เห็นต่าง” และมี”อคติ” กับ”ข้าราชการ” เพื่อสร้างความ”เกลียดชัง” เจ้าหน้าที่รัฐ และ”คนไทยพุทธ” โดยอาศัย”โชเชียลมีเดีย” ในการ”เผยแพร่…..ในขณะเดียวกันก็มี”ไอโอ” ที่ทำโดย”มือลึกลับ” ในการ “โจมตี” ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ และกลุ่ม”สิทธิมนุษย์ชน” ที่เป็นฝ่ายที่”ยืนเคียงข้าง” ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น และมีกลุ่ม”ไทยพุทธสุดโต่ง” ที่ร่วม”ผสมโรง” ในการ”ส่งไลน์,ส่งเฟซ และช่องทางต่างๆใน”โลกออนไลน์” จนกลายเป็นการ”แยกพวก,แยกกลุ่ม,แยก แขก แยก ไทย” สร้างความ “แตกแยก” และความ”เกลียดชัง” ที่ทำให้”ช่องว่าง” ระหว่าง”ไทยพุทธ” กับ”มุสลิม” ในพื้นที่ ยิ่งห่างจากกัน เรื่องของ”พหุวัฒนธรรม” จึงเป็นเรื่องของความ”ล้มเหลว” แต่สิ่งที่จะมาแทนคือ”มุสลิมโฟโมเบีย” หรือสร้างให้เกิดกระแส”อักลี่อิสลาม” เกิดขึ้นใน”แผ่นดินปลายด้ามขวาน” นี่คือเรื่องที่”รัฐบาลกองทัพ,สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ต้อง”สำเหนียก” และต้องเร่งดำเนินการในการ”แก้ปัญหา” เพราะถ้าปล่อยไว้จะ”ร้ายแรง”ยิ่งกว่า” ระเบิดรายวัน” เพราะ ผลผลิตจาก”ต้นไม้พิษ” ที่ถูก”ปลูกขึ้นในหัวใจ”ของผู้คน จะส่งผลร้ายต่อ”แผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้”ใน อนาคต

ระเบิดคาร์บอมบ์ ที่ข้าง”แฟลตตำรวจ” อ.บันนังสตา จ.ยะลา ผลในการ”ซักถาม”ผู้ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา และจากหลักฐานทาง”นิติวิทยาศาสตร์” บวกกับงาน”สืบสวนสอบสวน” ของ”ตำรวจ” กำลัง”งวดลงทุกขณะ” เคสนี้ไม่ยาก เพราะมีทั้งผู้ที่”ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ” และผู้ที่เป็น”ของจริงตัวจริง” ที่ “แฝงตัว” อยู่ใน อบต.ธารโต และในพื้นที่ของ อ.ธารโต จ.ยะลา ซึ่งตัว”ละคร” ส่วนใหญ่มาจาก”พื้นที่ต่างๆของ จ.นราธิวาส อีกไม่นาน “ตำรวจ” คงจะ”ปิดคดี” มีทั้งได้ตัวของผู้”ร่วมงาน” และส่วนหนึ่งก็เป็นการ”ออกหมายจับ” ซึ่งเป็น”มือประกอบระเบิด” ที่พื้นที่ของ อ.บันนังสตา ที่หลังก่อเหตุได้”หลบหนี”ไปแล้ว…..ส่วนการย้าย” พ.ต.อ.ระนน สุระวิทย์ “ ผกก.สภ. บันนังสตา พร้องทั้ง รอง ผกก.ป.และ รอง ผกก.สืบสวน ไปทำหน้าที่อื่น ก็เป็นเหตุอันสมควร เนื่องจากพื้นที่”เขตเทศบาลบันนังสตา” เกิดเหตุจาก”แนวร่วม” หรือ”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น”บ่อยมาก แสดงให้เห็นว่า”ตำรวจ” ภายใต้การนำของ” พ.ต.อ.ระนน สุระวิทย์” อยู่ในอาการที่”เอาไม่อยู่” และขาดความ”ร่วมมือ” จาก” หน่วยอื่นๆ การ”โยกย้าย” ผู้ที่”อ่อนล้า” และ”ชาชิน” กับสถานการณ์ออกจากพื้นที่ เพื่อเปลี่ยน”ผู้นำคนใหม่” จึงเป็น”ทางออก” อีกทางหนึ่ง เผลอๆ คนที่”ถูกย้าย” ยกมือ”สาธุ ท่วมหัว” ด้วยซ้ำ…..แต่ผู้ที่ต้อง”รับผิดชอบ” กับ สถานการณ์ของ”บันนังสตา” ต้องมี”ฝ่ายปกครอง” ร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะ”นายอำเภอบันนังสตา” คือผู้ที่เป็น”ประธานการป้องกันและรักษาความไม่สงบ” ก็เป็นหน้าที่ของ”อำพล พงษ์สุวรรณ” ผวจ. ยะลา ที่ต้องมีการ”พิจารณา” อย่าให้”ตำรวจ” ต้องกลายเป็นผู้ที่”รับเคราะห์” จาก สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว

เป็นข้อสังเกตว่า สถานการณ์ของความ”รุนแรง” ที่เกิดขึ้นใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ฝ่ายปกครอง” เป็นหน่วยงานที่”ลอยตัว” อยู่เหนือ”สถานการณ์” โดยปล่อยให้” ทหาร,ตำรวจ” เป็นสองหน่วยงานที่”ออกหน้า” และกลายเป็นผู้”พลีชีพ” ถ้า “รัฐบาล” ถ้า”กองทัพ” ถ้า”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องการที่จะเห็น”ความสงบ”เกิดขึ้นใน”แผ่นดินปลายด้ามขวาน” ต้องสร้างให้”ชุดคุ้มครองตำบล” หรือ”ชคต.” เป็น หน่วยงานที่”เข้มแข็ง” มี”ขีดความสามารถ” ในการที่จะ”ต่อกร” กับ”แนวร่วม”ของ”บีอาร์เอ็น”ได้อย่าง”พอฟัดพอเหวี่ยง” ต้องเอา”กำนัน,ผู้ใหญ่บ้าน” และ”ผสร.” มีทำหน้าที่เป็น” อส. “ หรือ”กองอาสารักษาดินแดน” อีกตำแหน่งหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่”ป้องกันปราบปราม” อย่างในอดีต เมื่อรวมตำแหน่งทั้งสองตำแหน่งเข้าด้วยกัน จะมี”ค่าตอบแทน”ไม่ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ความตั้งใจในการ”ปฏิบัติหน้าที่” ก็จะมี”ประสิทธิภาพ” สามารถ”รับมือ”หรือ”ต่อกร” กับ” แนวร่วม”ของ”บีอาร์เอ็น” อย่างได้ผล เชื่อเถอะ ในหมู่บ้าน ใครเป็น”แนวร่วม”ของ”บีอาร์เอ็น” มีกี่คน”ผู้ใหญ่บ้าน” และ”ทีมงาน” รู้หมด การที่จะ”แยกปลาออกจากน้ำ” ก็จะได้ผล เชื่อเถอะ ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้  แพ้ ชนะ อยู่ที่”มวลชน” และ”ชัยชนะต้องมาจากหมู่บ้าน” เท่านั้น

”มีควันต้องมีไฟ” มีเจ้าของสวนยางพารา ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ร้องเรียนมาว่า มีผู้อ้างตัวเป็น”ทหาร” ไปเรียก”เก็บเงิน” จากการ”โค่นไม้ยาง” ในสวนยางของตนเอง มีภาพถ่ายที่ส่งมาเป็น”หลักฐาน” ที่”ชัดเจน”ของการเข้าไป”พูดคุย” หนึ่งในนั้น”แต่งเครื่องแบบ” ก็ฝากถึง “ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 ทำการ”ตรวจสอบ” ข้อเท็จจริงว่ามีผู้ไป”แอบอ้าง” เป็น”ทหาร” เพื่อทำการ”ตบทรัพย์”จริงหรือไม่

นี่ก็เป็นเรื่อง”เสียหาย” เมื่อ” ปปช.สงขลา โดย “ราม วสุธนภิญโญ” ผอ. ปปช. สั่ง”ลงดาบ” ภาษิต สุขสันต์” นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองหอยโข่ง จ.สงขลา มีความผิดในข้อกล่าวหาว่า”เอารถหลวงไปจำนำ” พร้อมทั้งส่งเรื่องให้”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย   และจาการติดตาม ตรวจสอบ พบว่า แต่ละปี มีผู้บริหาร”องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น” ถูก” ปปช. ดำเนินคดีในการ”ทุจริต” ทั้งที่”ตั้งใจ” และแบบ”ไม่ตั้งใจ” เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้การ”ทุจริต” ในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น”เข็ดหลาบ” ยังมีเรื่อง”ทุจริต” เกิดขึ้นมากมายใน”อบต. โดยเฉพาะพื้นที่ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้”

หลังจากที่”ยืดเยื้อ”กันมา”พักใหญ่” ปัญหาระหว่าง”พ่อค้าแม่ค้า” ที่”ขายสินค้า”บน”ทางเท้า” ที่ ถนนมนตรี 1  ตลาดพลาซ่า เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ก็จบลงด้วยดี เมื่อ”กิตติ เรืองเริงกุลฤทธิ์” ปลัดเทศบาลนครหาดใหญ่”เอาจริง” ไม่มีการ”ผ่อนผัน” อีกต่อไป เพราะมีการ”ผ่อนกัน”มาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งมีการ”จัดที่” ให้ทุกคนได้มีที่”ขายของ” แม้จะเป็นที่”ไม่ใหญ่” เหมือนที่เดิม แต่ก็เป็น”ช่องทาง” ในการ”ทำมาหากิน”ได้อยู่ เรื่องทั้งหมดจึงจบลงด้วยไม่มีการ”ยื้ดยุดฉุดกระชาก” เพราะไม่มีการ”ใช้กำลัง” เพื่อเข้า”รื้อถอนร้านค้า” เรื่องนี้ต้อง”ชื่นชม” ผู้เป็นพ่อค้าแม่ค้า” รวมทั้ง”ผู้ขับรถสี่ล้อ” ที่”เคารพกฎหมาย” และเห็นกับ”ประโยชน์ส่วนรวม

ส่วนเรื่องที่ ประชาชนส่วนหนึ่ง ใน อ.คลองหอยโข่ง ข.สงขลา ออกมา”เคลื่อนไหว” ต่อต้านมิให้”รถบรรทุกขยะ”ของ”เทศบาลนครหาดใหญ่ เดินทางไปยัง”โรงคัดแยกขยะ”ที่ อ.คลองหอยโข่ง โดยอ้างเรื่อง “กลิ่นเหม็น” เรื่อง”น้ำเสีย” เรื่อง”ความปลอดภัยบนท้องถนน” มีการ”ร้องเรียน” ให้” สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ย้าย”นายอำเภอคลองหอยโข่ง” ออกจากพื้นที่เพราะเรื่องของ”ขยะ” เรื่องนี้มีการ”เคลื่อนไหว” มาหลายครั้งก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องของ”การเมือง” แอบแฝง อยู่ด้วย และ”การเมือง” ทำให้มีการ”แตกแยก” ของผู้นำ”ท้องที่ ท้องถิ่น” เกิดขึ้น เรื่อง”ขยะหาดใหญ่” เป็นเรื่อง”ส่วนรวม”ที่ทุกฝ่ายต้องให้ความ”เห็นใจ” และให้ความ”ร่วมมือ” ในการร่วมกัน”หาทางออก” ของปัญหา อย่า “ปฏิเสธ” การใช้พื้นที่ในการ”ทิ้งขยะ” เพราะ”ขยะมูลฝอย” มีกันทุกบ้านทุกหลังคาเรือน คน”คลองหอยโข่ง” ก็มีเที่ยวหาดใหญ่ มาทิ้งขยะในเทศบาลนครหาดใหญ่เช่นกัน เมื่อ”โรงงานคัดแยกขยะ” ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.คลองหอยโข่ง” เทศบาลนครหาดใหญ่ ก็ต้องนำขยะไปส่งให้”โรงคัดแยก”ได้     เรื่องนี้” สมนึก พรหมเขียว” ในฐานะของ”พ่อเมือง” ต้องทำตัวเป็น”ท้าวมาลีวราช” ในการ “สลายความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้น

เมื่อ ตำรวจไซเบอร์ นำกำลังลงพื้นที่”ต่างจังหวัด” ไม่ใช่เรื่องการ”กวาดล้างบ่อนการพนันออนไลน์” และ”บัญชีม้า”  แต่เป็นการ”รุกเข้าโจมตี” ผู้”ปล่อยเงินกู้ดอกโหด” ล่าสุดมีการเข้าจับกุม” นายทุนดอกโหด” ใน อ.รัตภูมิ อ.เทพา และ อ.หาดใหญ่ ใน ตำบลรอบนอก” เช่น”ตำบลเกาะสะบ้า,ตำบลท่าชะมวง” และ”ตำบลทุ่งตำเสา” ผู้ต้องหาทั้งหมดเป็น”ผู้หญิง” ทั้งหมดเป็น”สัญญาณ”ว่า “นายทุนดอกโหด” ทั้งหลายกำลังจะได้”รับกรรม”ที่ก่อขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการ”ทำลาย” แหล่ง”เงินกู้”ของ”ชาวบ้าน” ที่ไม่มี”หลักทรัพย์” ไปกู้เงินกับ “สถาบันการเงิน” ที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ งานนี้ “ พ.ต.อ.กู้เกียรติ วงศ์พันธ์”  ผกก. 2 บก.สอท. 5 เป็นผู้นำ”ปฏิบัติการ

เป็นเรื่องที่”ชักเข้าชักออก” คือเรื่องการ”เอากัญชา” กลับไปเป็น”ยาเสพติด” อีกครั้ง ใน”รัฐบาล”ของ”เศรษฐา ทวีสิน” หลังจากที่ใน”รัฐบาล”ของ”ลูงตู่” มีการ ออกกฎหมาย ให้”กัญชา”พ้นจากการเป็น”ยาเสพติด” ทางหนึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะ “ประเทศไทย” ยังไม่มี”ขีดความสามารถ”ในการ”ควบคุม” พืชเสพติด” ทั้ง”กัญชา”ทั้ง”กระท่อม” ให้อยู่ใน”กฎหมาย”ได้ การปล่อยให้”ทั้ง”กัญชา” และ”กระท่อม” พ้นจากการเป็น”ยาเสพติด” จึงเป็นปัญหาของ”สังคม” แต่อีกทางหนึ่งการที่”รัฐบาล” มีการ”ชักเข้าชักออก” ในเรื่องของ”นโยบาย” ที่ สำคัญๆ นอกจากทำให้”นักลงทุน” ที่มีการ”ลงทุน” ในเรื่องของ”กัญชา”ไปแล้วต้อง”เจ็บตัวฟรี” รัฐบาลจะ”เยียวยา”เขาอย่างไร   และที่สำคัญ”การ”ชักเข้าชักออก” ใน “นโยบาย”ที่”สำคัญๆ” ของ”รัฐบาล” จะเป็นต้นเหตุให้”ต่างชาติ” ที่จะเข้ามา”ลงทุน” ในประเทศไทย ขาดความ”มั่นใจ” เช่นวันนี้” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี “เดินหน้า”ไป “โรดโชว์” ในโครงการ”แลนด์บริดจ์” ว่าดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้ แต่วันหนึ่งมี “กระแสต่อต้าน” มาจากหลายฝ่าย และจากการศึกษาของ”นักวิชาการ”พบว่า “เสีย”มากกว่า”ดี” และเราก็”ยกเลิก”โครงการ”แลนด์บริดจ์” อย่างนี้ แล้วใครจะ”มั่นใจ” ที่จะมาลงทุนกับเรา

เรื่องของ”อุทยานแห่งชาติทับลาน” ที่กำลังจะเอาพื้นที่ 265,286.58ไร่  ออกจาก”ป่าสงวนแห่งชาติ” กำลังเป็นเรื่องที่”รัฐบาล” ถูก”กล่าวโจมตี” จาก “ประชาชน”ทุก”หัวระแหง” จนเกิดกระแส #Saveทับลาน เรื่องนี้” เศรษฐา ทวีสิน” อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่”จิ๊บจ้อย” เพราะจะเป็นอีกเรื่องที่จะทำให้”รัฐบาลซวนเซ” โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่”รัฐบาลชุดนี้” ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของ”ฟื้นเศรษฐกิจ”ของประเทศชาติ และไม่ประสบความสำเร็จในเรื่อง”ปากท้องของประชาชน” เรื่องการ”เอาพื้นที่ป่า”มาทำเป็นที่ทำกิน เรื่องการให้”ต่างชาติ” เช่าที่ดินได้เป็นเวลา 99 ปี ล้วนแต่เป็น”ความเสื่อม” ของ”รัฐบาล” ใน”สายตา” ของ”ประชาชน”ทั้งสิ้น  รัฐบาลต้อง”ใคร่ควรญ” ให้ รอบคอบ ก่อนการตัดสินใจ

เรื่อง”เรือน้ำมันเถื่อน” ของ”เสี่ยโจ้” ยังคง”วุ่นวาย”ต่อไป หลังจากการ”เด้ง” ผู้การตำรวจน้ำ ไปช่วยราชการ แล้ว โดย”บิ๊กก้อง” ล่าสุด “พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรวง” จเรตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมา”สำทับ” ว่า ใครที่มีส่วน”เกี่ยวข้อง”กับ”น้ำมันเถื่อน”ของ”เสี่ยโจ้” จะ”ลากคอ” มารับผิดตามกฎหมายให้หมด  ถ้าอย่างนั้น”ตำรวจน้ำ” ที่มี”เส้นทางการเงิน” กับ”เสี่ยโจ้ “ น่าจะเป็น หน่วยงานแรกๆ ที่”หนาวๆร้อนๆ” ส่วนภาค”เอกชน” ที่ทำหน้าที่”หิ้วเงิน” เพื่อ”จ่ายส่วย” ให้กับ”หน่วยงานของรัฐ” ที่รับส่วย”น้ำมันเถื่อน” อย่าง”เสี่ย ช ช้าง” ผู้ทำธุรกิจ”ปั้นน้ำเป็นตัว” ถ้า”ตำรวจเอาจริง” คงจะต้อง”เข้าปิ้ง” เป็นคนแรก แต่ เชื่อเถอะ”คำราม” ไปอย่างนั้นแหละ สุดท้าย ก็”หยวนๆ” เพราะในธุรกิจผิดกฎหมาย หรือ”อาณาจักรของเถื่อน” เป็นเรื่อง”ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” เขาไม่ฆ่าแกง” หรือเอา”ให้ถึงตาย” กันหรอก ประชาชน

เรื่องของ”คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ” กกต.” ที่ยังคง”อ้ำอึ้ง” ไม่มีคำตอบให้กับ”ประชาชน” ที่ติดตามความ”เคลื่อนไหว” ของ”กกต.ชุดนี้ ว่าจะท่านจะตัดสินใจอย่างไรกับการ”เลือกตั้ง สว.” ที่ผ่านไปแล้วหลายวัน แต่ยังไม่มีการ”ประกาศรับรอง” อย่างเป็นทางการ” ทางออกของ” กกต.ชุดนี้” มีเพียง“สองทางออก” หนึ่งคือ”รับรองไปก่อน” แล้วตั้งคณะ”สืบสวนสอบสวน” เพื่อ”สอย” คนที่ทำ”ผิดกฎหมาย” ทีหลัง และอีก”ทางออกหนึ่ง” ถ้าท่านคิดว่าท่าน”บกพร่อง” ท่าน”ผิดพลาด”อย่าง”ร้ายแรง” ที่จัดให้มีการ”เลือกตั้ง” ที่ไม่”บริสุทธิ์ยุติธรรม” ก็ต้องกล้าที่จะ”ฮาราคีรีตนเอง” โดยประกาศให้การ”เลือกตั้ง สว.ครั้งนี้เป็นโมฆะ” แต่ต้องมี”หลักฐาน” ที่ชัดเจน ไม่อย่างนั้น ผู้ที่ได้เลือกตั้งทั้ง 200 คน และที่”ขึ้นบัญชีสำรอง”อีก 100 คน รวม 300 คน จะกลายเป็น”โจทย์” ยื่นฟ้องร้อง กกต.ชุดนี้  ซึ่ง กกต.ชุดนี้จะ “รับไหว” หรือไม่ อย่าลืม”บทเรียน” ในการให้”ใบแดง” สส. เขต 8 จ.เชียงใหม่ ที่”กกต”แพ้คดีผู้ที่ กกต.ตัดสิทธิ์ ทำการ”ฟ้องร้อง” และ”ชนะคดี”  ศาลสั่งให้ กกต.ต้องจ่าย”ค่าปรับ 70 ล้านบาท  เรื่องนี้อย่าเข้าใจว่า”จ่ายเงินหลวง” แล้วจะจบ เพราะใน”กระบวนการ” ยังมีการ”สอบสวน”เพื่อหาคนผิดที่”บกพร่อง”และ”เลินเล่อ” สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นเพื่อรับผิดชอบกับ”เงินหลวง”ที่เสียไป

บรรทัดสุดท้าย “ลูกศิษย์ลูกหา”ของ” อาจารย์ภัทร” วัดนาทวี จ.สงขลา ต่าง”ยินดีปรีดา” ที่”อาจารย์ภัทร” ได้รับการ”แต่งตั้ง”ให้เป็น”เจ้าคุณ”เป็น”พระวชิรสุนทร” ( สุภัทร อริโย” รองเจ้าคณะจังหวัดสงขลา เจ้าอาวาสวัดนาทวี ขอกราบนมัสการ ขอรับ” ….. และพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ประกาศจับตาย! ‘หมอคางดำ’เอเลี่ยนสปีชีส์ ทำลายสัตว์น้ำประจำถิ่น

ภาพใหญ่ของ”ประเทศไทย” และ”สังคมไทย” ยังให้”น้ำหนัก” ในเรื่องของ”การเมือง” อาจเป็นเพราะ”การเมือง” คือ”เข็มทิศ” ในการนำพา”ประเทศชาติ” ไปสู่ความ”รุ่งเรือง” และความ”ล้มเหลว” นั้นเอง   เรื่องการ”ยุบพรรคการเมือง”พรรคก้าวไกล เนื่องจาก” ผู้เขียน” ส่ง”ต้นฉบับล่วงหน้า”ก่อนวันที่ 3 กรกฎาคม” จึงไม่ขอเขียนถึงเพราะยังไม่ทราบผลว่า” ก้าวไกล” จะมีโอกาส”ก้าวต่อไป” หรือ” หยุด “ก้าว” ในวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และหากถูก”ยุบพรรค” ก็ต้องพบกับสภาพของ”แพแตก”  สส.ต้องหาพรรคใหม่”สังกัด” ที่ สำคัญจะมี”งูเห่า” ที่ย้ายไปอยู่”พรรคอื่นๆ” เท่าไหร่  ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ “เกิดขึ้นได้” และ ชวนติดตาม …..ส่วนเรื่องการตัดสิน”อนาคตทางการเมือง” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ที่ใกล้เข้ามา ก็ยังเป็นเหตุ”ระทึก” สำหรับ กับ”ประเทศไทย” และกับพรรคเพื่อไทย เนื่องจาก ”กระแส” และ”สถานการณ์” จาก”ข่าวสาร” ที่ได้รับฟังมา มีความเป็นไปได้ที่จะออก”หน้าไหน”  ก็ได้ เรื่องการแต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรี” ถ้าบอกว่าผู้ที่”ลงนามแต่งตั้งผิด” ก็”ออกได้” แต่ถ้า”ไม่ผิด” แม้จะ”ออกได้” แต่ต้องมี”เหตุมีผล” ที่”ศาลรัฐธรรมนูญ” ต้องชี้ให้เห็นตามข้อ”กฎหมาย” และต้อง”ฟังได้” ว่า”ไม่ผิด” เพราะอะไร

ถ้า”เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจาก”บ่วงแร้ว” ใน”คามผิด” ฐานแต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรี” ผ่านไปได้ “เก้าที่ สร 1 “ สำหรับ” เสี่ยนิด” ก็คงจะ”ลากยาว” เนื่องจาก” เพื่อไทย” หาคนในพรรคที่เป็นแบบ”เสี่ยนิด” ไม่ง่าย ที่สำคัญ” ผู้ที่มี”อำนาจตัวจริง” ของ”บ้านจันทร์ส่องหล้า” ยัง”ยืนยัน” ที่จะไม่ให้” อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร” ที่เป็น”ดีเอ็นเอ” ตัวจริงของ”เพื่อไทย” ก้าวสู้ตำแหน่ง” เบอร์ 1 “ของพรรคเพื่อไทย เพราะ”บทเรียน” ที่เกิดขึ้นกับ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีต”นายรัฐมนตรี”ที่เป็นเหมือน”ผลไม้บ่ม” ยังตาม”หลอกหลอน” คนใน”ตระกูลชินวัตร” อยู่   และจนถึงบัดนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ยัง”หาแผน” ในการพา”น้องสาว” อย่าง”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กลับบ้านกลับเมือง ไม่ได้…..แต่ถ้า”เส้นทางการเมือง”ของ”เสี่ยนิด” ต้อง”สะดุดหยุดลง”ที่ปัญหาของการแต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” เป็น”รัฐมนตรี” มีการถามว่า “รัฐบาล” จะไปต่ออย่างไร ถ้าไม่เอา”อุ๊งอิ๊ง” ที่เป็นเหมือน”ผลไม้บ่ม” ขึ้นมาแทนที่”เสี่ยนิด” และจะเอาใคร ถ้าจะเอา”ชัยเกษม”  ก็”เสี่ยง” ในเรื่องที่ไม่มี”จุดขาย”ทั้งทาง”การเมือง”และ”เศรษฐกิจ” หนทางในการ”นำพาประเทศ” อาจจะไม่ถูก”ยอมรับ” จาก”คนส่วนใหญ่ ที่อาจจะพาให้”เพื่อไทย”ยิ่งมี”ปัญหาอุปสรรค” กับการ”เลือกตั้ง” ใน”อนาคต”

วันนี้”โฟกัส” ยังจับไปที่” อนุทิน ชาญวีรกุล” รองนายกรัฐมนตรี และ เสนาบดี”กระทรวงมหาดไทย อีกครั้ง  ซึ่งถ้าเทียบกับ”พรรคการเมือง” ที่เป็น”พรรคร่วมรัฐบาล” ทั้ง”ตัวเลข สส.”ของ”ภูมิใจไทย” และ”คุณสมบัติ” ของ “หัวหน้าพรรค” เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล  ยัง”กินขาด” กว่า”ทุกพรรคการเมือง” ที่เป็น”พรรคร่วมรัฐบาล” โดยเฉพาะ”พรรคสีน้ำเงิน” คือ”พรรคที่แสงออกถึงการเป็นพรรคการเมืองที่”ปกป้อง”แถบ”สีน้ำเงิน” บน”ธงชาติไทย” ที่”ชัดเจน” การเมืองไทย” พลิกแพลง” และ”พลิกไปพลิกมา” ได้ทั้งสิ้น ก็ต้องติดตามกับแบบ”วันต่อวัน” แต่”เอาเถอะ” ไม่ว่าใครจะมาเป็น”ผู้นำประเทศ” คนไทยส่วนใหญ่ขอเพียงให้”นำพาประเทศชาติ” ไปให้”รอดปลอดภัย” ทำให้”เศรษฐกิจ”ของประเทศ”ฟื้นตัว” สินค้าต้องไม่”ขูดรีด” เงินในกระเป๋าของ”ชาวบ้าน” แบบที่”ขึ้นราคา”ได้”ขึ้นราคาดี “และ”รัฐบาล”ก็”ไร้น้ำยา” ในการ”สั่งผู้ผลิต ผู้ขาย” อยู่ภายใต้คำสั่งของ”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” และ”พืชผลทางการเกษตร” ต้อง”คงเส้นคงวา” เพราะ “เกษตรกร” คือ  คนส่วนใหญ่ของประเทศไทย

เมื่อ”ตำรวจ” ที่ต้อง”ผดุงความยุติธรรม” ให้กับ”ประชาชน” ต้อง”เดินสาย” เพื่อเรียกร้อง”ความเป็นธรรม” ให้กับ”ตนเอง” อย่างที่”บิ๊กโจ๊ก”  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีต รองผบ.ตร. กำลังดำเนินการอยู่  ยิ่งเป็นการ” ตอกย้ำ” ให้”ประชาชน” เห็นถึงความ”แตกแยก” การ”แบ่งพรรคแบ่งพวก” ใน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” อย่าง”ถึงแก่น” การออกมา”ขับเคลื่อน” เพื่อเรียกร้องความ”ยุติธรรม”ให้กับ”ตนเอง” ของ”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ พักพาล ในครั้งนี้ จึงเป็นการ”แก้ผ้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้”ล้อนจ้อน” ในสายตาของ”ประชาชน” อย่าง แท้จริง และ ขณะเดียวกันก็เป็นการ”แก้ผ้า” ของตนเอง ให้ปรากฏแก่”สาธารณชน” ด้วย เช่นกัน” เอ้า ใครมี”ไฝฟ้าราคีคาว” มากกว่าใคร ประชาชนก็”ตัดสิน” กันเอาเอง   ล่าสุด” พ.ต.อ.พงศ์รัตน์ ไพพรรณรัตน์ “  รอง ผบก. อก.บชภ. 9 ยื่นหนังสือขอ”ความเป็นธรรม”ต่อ”อัยการสูงสุด” โดยอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก”อัยการภาค 2 “ ในเรื่องการ”สั่งฟ้องคดี” สมัยที่รับราชการอยู่ที่  จ.ชลบุรี เมื่อ ปี 2536 ที่ผ่านมา  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่”บ่งบอก” กับสังคมได้ว่า”ความไม่เป็นธรรม” ไม่ได้เกิดกับ”ประชาชน” เท่านั้น แต่”ความไม่เป็นธรรม” มีอยู่ในทุกหน่วยงานของประเทศนี้ และปัญหานี้” รัฐบาล” มองอย่างไร จะแก้อย่างไร เพื่อสร้างความ”เป็นธรรม” ให้เกิดขึ้นในทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะกับ”ตำรวจ” ซึ่งเป็น”ต้นธาร” ของการสร้างความ”เป็นธรรม” ให้กับ”ประชาชน”

เรื่องของ”ปลาหมอคางดำ” ที่ถูก”นำเข้ามาโดยฟาร์มเลี้ยงปลา”แห่งหนึ่ง และมีการ”หลุดรอด”จากการ”ทำลาย” แพร่พันธุ์” ในแหล่งน้ำอย่าง”รวดเร็ว” วันนี้”ภัยคุกคาม” จาก”ปลาหมอคางดำ”มาถึง”ภาคใต้”แล้วในหลายจังหวัดโดยมีพื้นที่ระบาดหนักในจ.นครศรีธรรมราช และเริ่มพบเจอในจังหวัดใกล้เคียง ทั้งนี้มีการประกาศจับตายให้ค่าหัวกิโลละ20บาท ล่าสุด”ชาวบ้าน”พบ”ปลาหมอคางดำ”ใน”ลำคลอง” หลายแห่ง ใน อ.ระโนด จ.สงขลา ซึ่งเป็น แหล่งการทำประมง  เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา ของ”เกษตรกร” โดย “บรรจง นะแส” ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย” กล่าวว่า หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ ต้องเร่งดำเนินการในการ”แก้ปัญหา” โดยเร็ว และ”สมาคมรักษ์ทะเลไทย” พร้อมให้ความร่วมมือ เพื่อหยุด”ภัยคุกคาม”ของ”เกษตรกร” ในจังหวัดสงขลา และ ใกล้เคียง  เรื่องนี้” สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา คงต้อง”เหนื่อย” อีกครั้ง

ชาวบ้านมีการถามถึงความ”คืบหน้า” เรื่องคดี”น้ำมันเถื่อน” ของ”เสี่ยโจ้” และ”พวก” ที่อยู่ในการ”กำกับดูแล” ของ” พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว “ รอง ผบช.ก. ว่าไปกันถึงไหนแล้ว  จะมีการ”ออกหมายจับ”  เสี่ยโจ้” ได้จริงหรือไม่ รวมทั้ง มี”ตำรวจน้ำ” กี่นายที่”เกี่ยวข้อง”กับการ” โจรกรรมเรือของกลาง” จาก”  สถานีตำรวจน้ำสัตหีบ” เพราะข่าว”ล่าสุด” มีเพียง “ตำรวจชั้นประทวน” 2 นาย ที่ทำหน้าที่”เฝ้าของกลาง” ที่ถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 157 นั่นคือการ”ละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่” แต่ที่เป็น”ตัวเป้งๆ” ระดับ” นายพัน-นายพล” มีกี่คน ทำไม่ผลการ”สอบสวน” จึงช้ายิ่งกว่าเรือที่ไม่มี”เครื่องยนต์” และที่อ้างว่า หลังเกิดเหตุ”เสี่ยโจ้” ทำการ”กบดาน” อยู่ใน ประเทศเขมร ก็เป็นเรื่อง”โมเมโมมะ” เพราะมีผู้พบเห็น”เสี่ยโจ้” ยังคง”เข้า-ออก” ระหว่าง “กัมพูชา” กับ”มาเลเซีย” และ”ระหว่าง”กัมพูชา”กับ”เวียดนาม” เพื่อ “เล่นการพนัน” อยู่ในสองประเทศ ที่ สำคัญเรือ”น้ำมันเถื่อน” ของ”เสี่ยโจ้” และ”พรรคพวก” ยัง”ลอยลำ” ขายน้ำมันเถื่อนใน”น่านน้ำสากล” และยังส่งขายน้ำมันให้กับ”ลูกค้า” ในประเทศกัมพูชา เหมือนเดิม เชื่อ เถอะ สุดท้าย “กฎหมาย” ก็”เอาผิด” เสี่ยโจ้ และ พรรคพวก ไม่ได้ มีแต่”ลูกเรือ” ที่เป็น”ผู้ต้องหา” นั้นแหละที่”ติดคุก” แน่นอน

สถานการณ์ความ”รุนแรง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้”คาร์บอมบ์ “ ลูกแรก ของปี 2567 เกิดขึ้นที่ ใกล้”แฟลตตำรวจ” อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก่อนหน้านี้ปี 2566 “คาร์บอมบ์” ก็เกิดกับ”แฟลตตำรวจ” ที่ จ.นราธิวาส ทำไม”เป้าหมาย” ของ”คาร์บอมบ์” จึงเป็น”แฟลตตำรวจ” เหตุผลเพราะ”ปฏิบัติการง่าย” มีคนที่”เข้า-ออก” พลุกพล่าน ป้องกันยาก คนที่เป็น”เป้าหมาย” ย่อมเป็น”ตำรวจ” และคนใน”ครอบครัว”  เพียงแต่หลังเกิดเหตุ” ตำรวจ” ไม่เคย”สำเหนียก” ในการหาทาง”ป้องกัน” ยังคงให้”แฟลตตำรวจ” แต่ละแห่ง มีการ”ระแวดระวังภัย” แบบ”หละหลวม” เช่น “แฟลตตำรวจ” ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งกลายเป็น”เป้าหมาย” ของการ”ก่อวินาศกรรม” มี”ตลาดนัด” ใน”บริเวณใกล้เคียง” แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานของรัฐทั้ง”ตำรวจ,ทหาร,ปกครอง” ยังไม่เข้าใจ”ยุทธศาสตร์” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” บีอาร์เอ็น” ว่า “ทุกสถานที่ราชการ” คือ”เป้าหมาย” ที่ต้องมีการ”ทำลายล้าง” ดังนั้นที่ตั้งของ”ราชการ” ทุกหน่วยงาน จึงต้องไม่มี”ที่ขายของ” ไม่มี”ตลาดนัด” และไม่มีที่”ชุมนุม” ของ “ประชาชน “ เพื่อเป็นการ”ป้องกันเหตุ” และเป็นการ”รักษาความปลอดภัย”  และ”ลดความสูญเสีย”ที่ได้ผล…..โดยเฉพาะพื้นที่ “เขตเทศบาลตำบลบันนังสตา” ที่ เกิดเหตุการณ์”ลอบโจมตี” เกิดขึ้นบ่อยมาก และ “เป้าหมาย” ก็ “วนเวียน” อยู่ในบริเวณ “ตลาด ตู้เอทีเอ็ม, ร้านสะดวกซื้อ, หน้าที่ว่าการ โน่น, นั่น, นี่” แต่ กลับไม่มีการ”บูรณาการ” ในการ”เฝ้าระวังป้องกัน ที่ชัดเจน ทั้งที่ กำลังของ”ตำรวจ” และ”กองอาสารักษาดินแดน” มี”เพียงพอ” ในการ”ระวังป้องกัน ก็ไม่โทษใคร เพราะ เหตุเกิดแล้ว แต่ หลังจากนี้ต่างหาก ที่”ทุกหน่วยงาน ใน”เขตเทศบาล” ต้อง”ร่วมมือกัน” ในการ”บูรณาการ” เพื่อให้มี”แผนงานที่สมบูรณ์” เพื่อการ”รักษาความสงบความปลอดภัย” ที่ได้ผล

สิ่งที่อยากเห็นจาก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” คือการ”บล็อกพื้นที่อำเภอบันนังสตา” ด้วยการใช้”การเมือง” และ”การทหาร” ในการทำให้”หมู่บ้าน,ตำบล” ทุกแห่งของอำเภอ “ปลอดจากแนวร่วม” ทุกระดับในพื้นที่  เพื่อทำให้เป็น”พื้นที่ปลอดภัย” ให้เป็นการ”นำร่อง” ของ จังหวัดยะลา  วันนี้ใน พื้นที่ของ “บันนังสตา” มีทั้ง “ทหาร” จาก” กองทัพภาคที่ 3 “ มีทั้ง”ตชด.ซึ่งเป็น”ชุดปฏิบัติการพิเศษ” จาก”ค่ายดารารัศมี” มี กำลังจากส่วนต่างๆ “ปฏิบัติการ” อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทำไม 20 ปี ที่ผ่านมา”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จึงไม่สามารถทำให้”บันนังสตา” เป็นอำเภอแรกของ จ.ยะลา ที่เป็น อำเภอ ที่”สงบสุข”ได้ ต้องถามว่า “ทำไม่ได้”เพราะเหตุใด หรือ”ไม่ทำ” เพราะเหตุใด……ที่สำคัญ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็น พื้นที่ ซึ่งต้องมีการ”บันทึก”เอาไว้ว่า ได้สร้างความ”สูญเสีย” ให้กับ”บุคคลสำคัญๆ เป็นจำนวนมากที่สุด ตั้งแต่ปี  2547 เป็นต้นมา อาทิ.” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา” ผกก.สภ.บันนังสตา  หรือ” หมวดตี้,หมวดแคน” ผบ.พัน” และ รอง ผวจ.ยะลา ต่างเอา”ชีวิต” มา”ทอดร่าง” ไว้ที่นี้ทั้งสิ้น คนเหล่านี้ “รัฐบาล” ควรจะทำ”อนุสรณ์”แห่งการ”สละชีพ” เพื่อ”ปกป้องแผ่นดิน” แต่ น่าเสียดาย ที่ทุก”ชีวิต” กลายเป็นเรื่อง”สูญเปล่า” เพราะวันนี้”แผ่นดินบันนังสตา” ยังเป็นแผ่นดิน” ที่”อำนาจรัฐ” ยังอยู่ใต้”อิทธิพล” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่มีกำลังพลแค่” หยิบมือเดียว” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ “ ผบ.ทบ. ,พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค “ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  เห็นเป็นอย่างไร กับเรื่องที่เกิดขึ้นใน อ.บันนังสตา

ส่วนที่”สุทินคลังแสง” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ท่านออกมาให้”สัมภาษณ์” ว่า “การข่าว” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังดีมีประสิทธิภาพ ก็”เคารพ” ใน”มุมมอง”ของท่าน ซึ่งอาจจะมองจาก” หอคอยงาช้าง” แต่ก็ต้องถามท่าน”เสนาบดี”ว่า ถ้า”การข่าว” ยังดีและมีประสิทธิภาพ   หน่วยงานของรัฐ จะต้อง”สูญเสีย” แบบ”ซ้ำซาก” ขนาดนี้หรือไม่ “คาร์บอมบ์” ที่”บันนังสตา” เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น……และ หลังจาก”คาร์บอมบ์” ที่ “แฟลตตำรวจบันนังสตา  ซึ่งผู้ที่ลงไปดูเหตุการณ์มีทั้ง” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. และ”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. รวมทั้ง ผู้นำหน่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องติดตามว่าจะมี”มาตรการ” อย่างไร ที่”ผิดแผก”ไปกว่าเดิม ในการสร้างความ”ปลอดภัย” และ”สร้างความมั่นใจ” ให้กับ”ประชาชน” ว่าเหตุการณ์อย่างนี้ จะ”ป้องกันได้”ส่วนที่จะให้การ”การันตี”ว่าจะ”ไม่เกิด” ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่”ถ้าป้องกันแล้ว” และ”เต็มที่” กับการ”ปฏิบัติหน้าที่แล้ว”  ยัง “ป้องกัน”ไม่สำเร็จ นั้นเป็นเหตุ”สุดวิสัย” ที่ทุกฝ่ายต้อง”ยอมรับ”ในเหตุที่เกิดขึ้น

เชื่อ เถอะ “บีอาร์เอ็น” ไม่ได้ “เก่งกาจ”ไปกว่า”ทหาร,ตำรวจ” ในพื้นที่ เพียงแต่”บีอาร์เอ็น” มี”ยุทธศาสตร์” ที่ดี มีการ”จัดตั้ง”ที่เป็น”ระบบ” และมีการใช้”อิทธิพล” ในการสร้างความ”หวาดกลัว” ให้กับ”ประชาชน” ในพื้นที่ จนทุกคน”เงียบสงบ” ไม่”กระโตกกระตาก” ให้”เจ้าหน้าที่ “เข้าถึง” ข้อมูล ข่าวสาร ใน หมู่บ้าน ตำบล ที่ สำคัญ”บีอาร์เอ็น” มีการ”บ่มเพาะ” จนลึกซึ้งถึง”จิตวิญญาณ” พร้อมที่จะ ”สู้ตาย” ในกรณีที่ถูก”เจ้าหน้าที่รัฐ” ทำการ”ปิดล้อม” และ “จับกุม” ส่วน “หน่วยงานของรัฐ” ผ่านมา 20 ปี แผนการ” แยกปลาออกจากน้ำ” ยังทำไม่ได้ผล เมื่อ”แยกปลาออกจากน้ำ” หรือแยก”ประชาชน” ในหมู่บ้าน ตำบล ไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่า ใครคือ”ประชาชน” ใครคือ”แนวร่วม”ที่เป็น สมาชิกของ”บีอาร์เอ็น” เมื่อ”ไม่รู้เขา” ก็ทำอะไร”เขาไม่ได้” ยิ่งงาน”การข่าว” ที่เป็น”หัวใจ”ของการ”แพ้ ชนะ” ใน สงครามประชาชน กลายเป็น”จุดอ่อน” และ”จุดบอด” ปล่อยให้”แนวร่วม” เกาะหลัง เจ้าหน้าที่ ปล่อยให้”แนวร่วม” สามารถ”แฝงตัว” ในหน่วยงานของเจ้าหน้าที่ ทุกอย่างจึง”จบเห่” ชีวิต และ สถานที่ กลายเป็น”เป้าหมาย” ของการถูก”ทำลายล้าง” อย่าง”สะดวกโยธิน” ทั้งหมด ยืนยันว่าไม่ใช่”เจ้าหน้าที่ไม่เก่ง” แต่เพราะ”โครงสร้าง” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 “ บิดเบี้ยว ไม่มี”ยุทธศาสตร์” ในการ”เอาชนะ” ฝ่ายของ”บีอาร์เอ็น” ต่างหาก ที่ทำให้”แพ้ซ้ำซาก” และ”สูญเสียซ้ำซาก” เกิดขึ้น

หลังการ”เสียชีวิต” เพราะถูก”ลอบยิง” ของ “รอนิง ดอเลาะ” อดีต”เหยื่อซ้อมทรมาน” ที่เป็น”เอ็นจีโอ” ใน”กลุ่มด้วยใจ” ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี “ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็ฯ” ก็ทำ”ไอโอ” ว่าการตายของ”รอนิง ดอเลาะ” เป็นฝีมือ”เจ้าหน้าที่รัฐ แม้ว่า” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะ”งัดเอาหลักฐาน” จากการ”พิสูจน์ปลอกกระสุนปืน” ที่ใช้ในการก่อเหตุว่า มีการ”ก่อเหตุ” ใช้”ปฏิบัติการ” ต่อ” เจ้าหน้าที่” และ”ประชาชน”มาแล้วในพื้นที่ 8 คดี แต่”ชาวบ้าน” ไม่”สนใจ” และ”ไม่ให้ค่า” ในหลักฐานทาง”นิติวิทยาศาสตร์” และเชื่อ”ไอโอ” ของ”บีอาร์เอ็น”ว่า”รอนิง ดอเลาะ” เสียชีวิตเพราะ”เจ้าหน้าที่”  เรื่องนี้คือ”เรื่องใหญ่ “เป็นเรื่องการ”จุดไฟในใจคน” ที่”บีอาร์เอ็น” ทำได้สำเร็จ  ก็ต้องถาม “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ว่าจะ”แก้เกม” นี้อย่างไร หรือ “ปล่อยไป” และ”ช่างมัน”

จากคำสั่งของ” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ที่ สั่งการ ให้ทุก บชภ. ดำเนินการ “ค้นหา” และ”กวาดล้าง”  กลุ่มผู้มี”อิทธิพล” ทั้ง 5 กลุ่ม โดย “กองบัญชาการตำรวจภาค 9 “ มีการเข้า”กวาดล้าง 14 จุด ได้”ผู้ต้องหา” สำคัญๆ หลายราย ที่ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถ”จับกุม” ผู้ค้ายาเสพติด ในพื้นที่ ต.ปากรอ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งเป็น”หลานชาย”ของ”ศักดิ์ ปากรอ” อดีต “คนร้าย” ที่ ก่อคดี”ฆ่ายกครัว 5 ศพ” ที่ อ. สิงหนคร เมื่อหลายปีก่อน ได้ทั้ง”ยาเสพติด” และ”อาวุธ เครื่องกระสุน” เยี่ยม …..นี่ก็ เยี่ยม “พาตีเมาะ สะดียามู” ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ที่เป็น”มุสลิมคนแรกของประเทศ”ที่ก้าวถึงตำแหน่ง”ผู้ว่าราชการจังหวัด”  ออก”คำสั่ง” ถึง นายอำเภอ ใน จ.ปัตตานี ให้มีการ”ตรวจสอบ”การจัด”กิจกรรม”ของ”โรงเรียนตาดีกาสัมพันธ์” ของ ทุกแห่ง ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ให้การจัด”กิจกรรม” เป็นไปอย่าง”ถูกต้อง” ไม่”หมิ่นเหม่” ต่อ” กฎหมาย” และในเรื่องของ”ความมั่นคง” เพราะที่ผ่านมามีการใช้”งบประมาณของรัฐ” ใน การจัด”กิจกรรม” ที่”หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย” เป็นการ”ให้ร้ายและโจมตี” หน่วยงานของรัฐ และ”รัฐบาล” เข้ากับคำ”พังเพย” ที่ว่า” ไม้ค้อนแปะตีหัวแปะ” นั้นเอง ต่อไปนี้ โรงเรียนไหน ยังยอมให้” แนวร่วม” ของ”บีอาร์เอ็น” เข้าไป”แทรกแซง” ในการ”จัดกิจกรรม” ที่ไม่ถูกต้อง นอกจากจะไม่สนับสนุน”งบประมาณ”แล้ว อาจจะมีการ”บังคับใช้กฎหมาย” ต่อผู้ที่ ทำความผิดด้วย เรื่องนี้” ผู้ว่าราชการจังหวัด” ทุกจังหวัด ต้อง ดำเนินการใน”แนวทาง” ที่เป็นแบบเดียวกัน ปัญหาจึงจะแก้ได้

เรื่องของ”บุหรี่ไฟฟ้า” กลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาของสังคมอีกเรื่องหนึ่งของประเทศไทย  สำหรับใน”ภาคใต้” เมืองท่องเที่ยวทุกแห่ง เช่น” ภูเก็ต” และ”เมืองที่มี”เกาะแก่ง” ต่างๆ ที่มี”ฝรั่งมั่งค่า” เข้ามาท่องเที่ยว มีการ”ขายอย่างเสรี” แต่ที่สำคัญคือ” วันนี้”เยาวชนไทย” ต่างหันไป”เสพบุหรี่ไฟฟ้า” อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” ประเด็นนี้ต่างหากที่ต้องให้ความ”สนใจ” และต้อง”ป้องกัน” เมื่อ”ป้องกัน” แบบอื่นๆ เช่นการ”รณรงค์” การให้”ความรู้” เพื่อให้เกิด”ความกลัว” ไม่เป็นผล ก็ต้องมีการ”บังคับใช้กฎหมาย”ให้”เข้มข้น” ที่สุด อย่างเช่นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ “เอก ยังอภัย ณ สงขลา” นายอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา “กวาดล้าง” ร้านค้าบุหรี่ไฟฟ้า ได้”ของกลาง” เป็น”จำนวนมาก” เมื่อ”ตำรวจ” อาจจะ”กำลังไม่พอ” อาจจะ”มองไม่เห็น” ฝ่าย”ปกครอง” ก็ต้องทำหน้าที่ในการ”หนุนเสริม” เพราะทั้งหมดทั้งปวงคือเรื่องการสร้างความ”สงบเรียบร้อย” ให้กับ”สังคม

ข่าวว่ามี”คนของนักการเมือง” ใน”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ตั้งเป็น”ทีม” ในการ”เดินสาย” เพื่อการ”ตีกิน” การนำเข้า”สินค้าทางการเกษตร” ทาง”ด่านชายแดน” ทุกภาคของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่”ชายแดนจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง” และที่ภาคใต้ ทั้งชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา ชายแดน อ.วังประจัน จ.สตูล และ ชายแดนของอำเภอต่างๆ ใน จ.นราธิวาส และที่ชายแดน จ.ระนอง” ซึ่งมีทั้งเรื่อง”ยางพารา ,ปาล์ม” ลูกปูดำ และ อื่นๆ มีการ”นินทา” ถึงการ”จ่ายส่วย” ที่”เป็นกอบเป็นกำ” เรื่องอย่างนี้”มีไฟจึงมีควัน” ก็ต้องฝากถึง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่า”ปล่อยวาง” ให้มีการ”แอบอ้าง”เพื่อเรียกรับ”ผลประโยชน์” จาก”ผู้นำเข้า”สินค้าเกษตร” แบบ”ผิดกฎหมาย”

สถานการณ์จาก”ภัยสงคราม”ความ”ขัดแย้ง”ใน”เมียนมา” ทำให้”แรงงานเถื่อน” จาก”ประเทศเมียนมา” ไหลทะลักเข้ามาในประเทศไทย ทั้ง”หนีภัยสงคราม” และ”หนีความยากจน” จากความไม่สงบที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งของ”คนเถื่อน” ที่”หลบหนีเข้าเมือง” และต้องการไปทำงานยัง”ประเทศมาเลเซีย” ก็จะถูก”ขบวนการค้ามนุษย์”นำมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้ “สงขลา,นราธิวาส” ซึ่งเป็น 2 จังหวัด”ยอดฮิต” ที่ เชื่อมต่อกับ”ชายแดนประเทศมาเลเซีย” ที่มี”ช่องทางธรรมชาติ” ให้ “หลบหนี”ได้ “สะดวก” ล่าสุด”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดี กระทรวงแรงงาน สั่งการ ให้”หน่วยงาน” ของ”กระทรวงแรงงาน” ที่ รับผิดชอบกับเรื่อง”คนเถื่อน”และ”แรงงานเถื่อน” ดำเนินการอย่าง”เฉียบขาด” เป็นการช่วย”รับมือ” ตำรวจ และ “ฝ่ายปกครอง “ อีกแรงหนึ่ง ในการ”สกัดกั้น” แรงงานเถื่อน ที่เกิดขึ้น สำหรับในพื้นที่ของ”ภาคใต้” ก็ “จับแล้วจับอีก” จับกันไม่มีทางหมด เพราะมีผู้ที่”เสี่ยง” ในการ”หลบหนีเข้าเมือง” เพื่อการได้ใช้”ชีวิต” ที่”ดีกว่า” หาก”หลบหนี”ได้สำเร็จ นี่คือปัญหาของ”อีกประเทศหนึ่ง” ที่มีผลกระทบกับ”ประเทศหนึ่ง” และต้องทำการ”แบกรับ” เอาไว้” เช่น จับกุม ได้”แรงงานเถื่อน” และ”คนเถื่อน”ได้แล้ว ต้องดำเนินการตาม”กฎหมาย” ลงโทษ ควบคุมตัวใน”เรือนจำ” ทั้งหมดคือ”งบประมาณ” ที่ “ประเทศไทยต้อง”แบกรับ โดยไม่มีทาง”หลีกเลี่ยง”.ปัญหานี้แก้อย่างไร ต้องถาม”รัฐบาล” ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี”

ภูเก็ต เป็น เมืองท่องท่องเที่ยว”ชั้น 1 “ ของภาคใต้ หรือของ”ประเทศไทย” ก็อาจจะเป็นได้ แต่ ณ วันนี้ ปัญหาของ”เกาะภูเก็ต”คือ”ฝนตก น้ำท่วม” อย่าง”รุนแรง” ล่าสุด” โสภณ สุวรรณรัฐ” ผวจ.ภูเก็ต” ต้องประกาศให้” อำเภอกระทู้” เป็นพื้นที่”ภัยพิบัติ” จากการที่”ฝนตก น้ำท่วม” ซึ่ง สร้างความ”เสียหาย” และความ”สูญเสีย” ให้กับการ”ท่องเที่ยว” แบบ”ประเมินค่า”ไม่ได้ เรื่องนี้” กระทรวงมหาดไทย” ต้อง มีการ”ดำเนินการ” แก้ปัญหาอย่าง”เร่งด่วน” ทั้งในเรื่อง”เฉพาะหน้า” และใน”อนาคต” และข่าวว่า “ตำรวจ” เกาะภูเก็ต” จะมีการ”เอาจริง” กับเรือ”สะปีดโบ๊ต” ที่ ฝ่าฝืน”กฎหมาย” ในการนำ”นักท่องเที่ยว” เดินทางใน”ทะเล” ก็ “ดีใจ” ที่ “ตำรวจ” ตื่นจาก”ภวังค์” เห็นความสำคัญของ ปัญหานี้ ก่อนที่จะมีการ”สูญเสีย” ที่สร้างความ”เสียหาย” ให้กับการ”ท่องเที่ยว” ของ”เกาะภูเก็ต” อีกครั้ง

เกษตรกรชาวสวนยาง เริ่มจะ”ใจหงายใจคว่ำ” อีกครั้ง เพราะ”ราคาน้ำยางสด” ที่ “เจ้าของสวน” เคย”ขายได้” ในราคา กิโลกรัมละ 84 บาท วันนี้ ลดลงมาเหลือ กิโลกรัมละ 60 กว่าบาท ทำเอา”ชาวใต้”  ต้องนั่ง”กาศทวด” เพื่ออย่าให้ราคา”ร่วงลง” มากกว่านี้ เอ้า” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ “สั่งการ” ให้”บอร์ดการยางแห่งประเทศไทย” ตรวจสอบหน่อยซิว่า “ราคายางที่ตกต่ำ” เกิดจากสาเหตุอะไร และจะ”แก้อย่างไร” กับปัญหาที่เกิดขึ้น

ตรวจความ”ก้าวหน้า”ของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) ใน ยุคที่ได้”ปลัดบิลลี่” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ มาทำหน้าที่เป็น”เลขาธิการ ศอ.บต.” ปัญหา”ภายใน” ที่”หมักหมม” มานาน เรื่องความ”ขัดแย้ง” ของ”บุคคลลากร” มีการ”แก้ไข”ไปได้”บางส่วน” ข่าวว่า” ดร.เจ๋ง” ชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการ ศอ.บต. กำลังจะ”อำลา” ศอ.บต. ไปยัง “ตำแหน่งใหม่” ที่ “ส่วนกลาง” ก็เท่ากับว่า ศอ.บต. จะมี”รองเลขาธิการ” ใหม่หมด และจะมีครบจำนวน 4 คน ก็ หวังว่าถ้ามีการ”จัดการปัญหาภายใน” ได้”ลงตัว” เป็นคนที่มาจาก” ขั้วเดียวกัน” ก็จะทำให้การ”ขับเคลื่อน” งานใน”มิติการพัฒนา” และ”อื่นๆ” จะ”บรรลุผล” เพราะ ขณะนี้”ศอ.บต.” ในสายตาของ”ประชาชน” ในพื้นที่ของ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จังหวัดสงขลา ยังไม่มี”อะไรที่ใหม่”กว่า “ศอ.บต.” ในยุคที่มี” พล.ร.ต”สมเกียรติ ผลประยูร” เป็น เลขาธิการ ศอ.บต. สิ่งที่ ศอ.บต. ทำได้ดี และ “รวดเร็ว” คือการ “ลงพื้นที่” ให้การ”ดูแล” และ”เยียวยา” ผู้ที่ได้รับ”ผลกระทบ” จาก”สถานการณ์ความ”รุนแรง” ที่ “รอมดอน หะยีอาแว” ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ทำได้ดี เช่นเดียวกับ” นพ.สมหมาย บุญแกลี้ยง” ผู้ช่วย ศอ.บต. ที่ลงพื้นที่ในนาม”ตัวแทน” ของ” เลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อ พบปะ “มวลชน” ทำได้ดี แต่ที่ “ประชาชน” อยากเห็นคือ” ยุทธศาสตร์ในการพัฒนา” ที่ “ศอ.บต.” มีต่อ”พื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้

ในส่วนของ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ” สมช.” ที่มี”พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรวจน์” เป็น”เลขาธิการ” ก็ มีคำสั่ง”แต่งตั้ง” ให้” พล.อ.ชินวัตน์ แม้นเดช “ อดีต “รองแม่ทัพภาคที่ 4 “ เป็นประธาน”คณะยุทธศาสตร์” ในการติดตามการ”ปฏิบัติการ” ของ หน่วยงานความมั่นคง ในพื้นที่ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งดูรายชื่อ”นายทหาร” ที่เป็น”คณะทำงาน”อย่าง”เสธฉ้ง” ก็เห็นว่ามีความ”เหมาะสม” ด้วยประการทั้งปวง ก็ หวังว่า อย่ามัวแต่”ประแป้งแต่งตัว” ให้นาน เพราะเรื่องของ”ไฟใต้” รอไม่ได้ แม้แต่”วินาที”เดียว

5 -7 กรกฎาคม มีการจัด”มหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 14 ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา   พิธีเปิด ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1  เซ็นทรัล เฟสติวัส หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ประธานในพิธีเปิดคือ “นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต รมช.มหาดไทย ในงานนี้ คน”หาดใหญ่” จะได้พบกับ บริการของสถาบันทางการเงิน มากมาย ที่จะมีให้”ทั้งด้านความรู้” และให้”บริการ” มีการ”สัมมนาด้านการเงิน” และมี”ศิลปินดัง”โตโน ภาคิน” มา พบกับทุกท่าน…แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา 200 ว่าที่ ‘สว.’ กับการเลือกตั้งพิสดารที่สุดในโลก!

30 มิ.ย. 2024
115

ภาพของการเมืองใหญ่ ที่เป็นเรื่อง”ชี้เป็นชี้ตาย” ของ ประเทศไทย ยังเป็นเรื่องของ”เศรษฐกิจ”ของประเทศ ที่มองไปทั่ง 180 องศา  ก็ยังคงเป็นบรรยากาศแบบ” มืดแปดด้าน” การท่องเที่ยวที่ว่าดี ก็ยังไม่ดีจริง นักท่องเที่ยวเข้ามายัง”ไม่ตามเป้า” ที่สำคัญ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้จ่าย”แบบฟุ่มเฟือย” เหมือนในอดีต…อสังหาริมทรัพย์ที่”ติดลบ” บ้าน,คอนโด” ที่ยัง”ขายไม่ออก” ต้องรอแรงซื้อจาก”ต่างชาติ” ตลาดหุ้น หรือ”ตลาดหลักทรัพย์” ที่ตั้งแต่”เศรษฐา ทวีสิน” เข้ามาบริหารประเทศ ยังไม่เห็น”วี่แวว” ความหวังว่า”ตลาดหุ้นไทย” จะ”โงหัว”ขึ้น มีแต่ลงสู่”จุดต่ำ” แม้จะไม่ถึงจุด”ต่ำสุด” แต่ก็”ติดลบ”เป็น”เป็นประวัติการณ์”……ก็เห็นนะว่า “เศรษฐา ทวีสิน” มีการ”ดิ้นรน” อย่าง”สุดกำลัง” ในการที่จะทำให้”เศรษฐกิจ” ของประเทศดีขึ้น แต่เมื่อ”ไม่ดีขึ้น” ก็ต้อง”ยอมรับความจริง” ว่า วิธีการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” ยังไม่ใช่ “แนวทาง” ที่ถูกต้อง  ดังนั้น ครม .เศรษฐกิจ ของ”เพื่อไทย” ต้อง”คิดใหม่ทำใหม่” หรือต้อง”ขบโจทย์ให้แตก” ว่าทำไม่ นโยบาย ในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ที่”เพื่อไทยใช้” จึงไม่สามารถนำ”ประเทศไทย” ในการ”ฟันฝ่าอุปสรรค” ให้ ดีขึ้นอย่างที่ต้องการ…..เชื่อ เถอะ แม้ว่า “รัฐบาล” จะมีการ”ผ่านงบประมาณ” ไปได้ เพราะ”มือของฝ่ายค้าน” สู้มือของฝ่าย”รัฐบาล” ที่ยังอยู่ในช่วงการ”สะสมเสบียงกรัง” และยังไม่มี”พรรคการเมืองไหน” ที่มีความพร้อมในการ”เลือกตั้ง” ดังนั้น”พรรคร่วม” จึงยัง”เหนียวแน่น” ในการ”จับขั้ว” เพื่อ”ขับเคลื่อน” ประเทศไปข้างหน้าแบบ”ถูลู่ถูกัง” โดยไม่เกรงใจประชาชน ที่เป็น”เจ้าของประเทศ”แต่เพียง”ในนาม” เท่านั้น

วันที่ 3  กรกฎาคม “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะมีการ”ชี้ขาด” ว่า” เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี มีความผิด ตามการ”กล่าวหา” ของ” สมาชิกวุฒิสภา” ในการ”แต่งตั้ง” พิชิต ชื่นบาน เป็น”รัฐมนตรีสำนักนายก” ซึ่งก่อนหน้านี้ “กูรู”ทาง”กฎหมาย” ต่างมั่นใจว่า “เสี่ยนิด” อาจจะไปไม่รอด แม้ว่า”พิชิต ชื่นบาน” จะ”ลาออก” ไปแล้วก็จริง เพราะ”ความผิด” อยู่ที่คน”เซ็นแต่งตั้ง” ที่ยังทำหน้าที่เป็น”นายกรัฐมนตรี” อยู่ …..แต่หลังจากที่”เศรษฐา ทวีสิน “ ได้”วิษณุ เครืองาม” อดีต” รองนายกฝ่ายกฎหมาย”ในสมัยของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี” มาทำหน้าที่”ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย” เพราะทุกคนต่างรู้”กิตติศัพท์” ของ”วิษณุ เครืองาม” เป็นอย่างดี ในการ”พลิกฤาษีลงล่าง” แสดง”อภินิหาร” ในเรื่องของ”กฎหมาย” ของ”ประเทศไทย” มาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้จึงเชื่อว่า”เศรษฐา ทวีสิน” ต้องมี”รูรั่ว” ของ”กฎหมาย” ให้”รอดพ้น”จากการ”พิพากษา” ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้”เสี่ยนิด” สามารถ”ไปต่อ” ในตำแหน่ง” นายกรัฐมนตรี” ของ”ประเทศไทย” ต่อไปจนกว่า เจ้าของ”พรรค” ที่เป็น”ตัวจริง” จะต้องการ”ปรับเปลี่ยน” ผู้นำประเทศ

ส่วนเรื่องการ”ลงดาบ” เพื่อ”ประหารชีวิต” ของ”พรรคก้าวไกล ที่โดย”ข้อเท็จจริง” นักกฎหมาย”ส่วนหนึ่ง” เห็นว่า”พฤติการณ์” ของ”พรรคก้าวไกล” ยังไม่ควรที่จะถึงการ”ยุบพรรค” แต่ “คนส่วนใหญ่” กลับเชื่อว่า”พรรคก้าวไกล” ต้องถูก”ศาลรัฐธรรมนูญ” สั่งยุบทั้งหมดเป็น”ความเชื่อ” ของคน”ส่วนใหญ่” ของประเทศนี้ ซึ่งก็จะทราบกันในวันที่ 10 กรกฎาคม ว่า ยังจะมีพรรคการเมืองที่ชื่อ”ก้าวไกล” อยู่บนถนน”การเมือง”ของประเทศนี้หรือไม่ และจะมี”พรรคการเมืองใหม่” ที่”อุบัติใหม่” มาแทนที่”พรรคก้าวไกล” เพื่อทำการ”ขับเคลื่อน” นโยบาย ทางการเมืองของ”พรรคก้าวไกล”ต่อไป ซึ่งเป็น”อุบัติการณ์” ของการ”ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” ของ”พรรคก้าวไกล” ที่”ศาลรัฐธรรมนูญ” ได้แต่”ยุบพรรค” แต่ไม่สามารถ”ประหัตประหาร” อุดมการณ์ ของคนในพรรคให้”ม้วยมอด”…..ส่วนหลังจากที่มีการ”ยุบพรรคก้าวไกล”แล้ว จะมี “สส.ของพรรคย้ายไป”สังกัดพรรคใหม่” จำนวนเท่าไหร่นั้น  ในวงการของการเมืองเชื่อว่า”มีแน่” แต่ก็ถือเป็นเรื่อง”ปกติ”ของ”การเมือง” และในพรรคก้าวไกลก็เช่นกัน ที่ในการ”เลือกตั้ง” ที่ผ่านมา มี”นักการเมือง” กลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่”เนื้อแท้” ของพรรคก้าวไกล แต่”โหนกระแส” ของพรรคก้าวไกล จนได้เป็น “ผู้แทน” และเมื่อ”พรรคถูกยุบ” ก็จะย้ายไปอยู่”พรรคการเมืองอื่น”ที่”อ้าแขนรอ” เพราะต้องการเพิ่ม”ตัวเลข” ของ สส.ของพรรค เพราะ “จำนวน สส.” ที่เพิ่มขึ้น   สามารถ”ต่อรอง” ทางการเมือง ในการ แสวงหา”ผลประโยชน์” ที่ต้องการได้ นั่นคือ”ฉากทัศน์” ทาง”การเมือง”ของ”ประเทศไทย” ในเดือน กรกฎาคม

ถามมาจากประชาชน โดยเฉพาะ”ชาวรากหญ้า” ถึงเรื่องการ”แจกเงินหมื่น” จากโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่”เพื่อไทย” ยัง”เชื่อมั่น”ว่าจะเป็น”ยาวิเศษ” ในการ”ฟื้นคืนชีวิต” เศรษฐกิจของประเทศได้ ก็ตอบให้”สบายใจ” กันได้ว่า”เงินดิจิตัลวอลเล็ต” จะมีการ”แจกถึงมือ” ของ”ประชาชน”อย่างแน่นอน และต้องเป็นภายในปี 2567 นี้ แต่ที่ไม่”มั่นใจ” คือ”เงินดิจิตัลวอลเล็ต” จะเป็น”ยาวิเศษ” อย่างที่ “รัฐบาล” โดยเฉพาะ”ฝ่ายเศรษฐกิจ”ของ”เพื่อไทย” คาดหวัง น่าจะ”ไม่ง่าย” เผลอๆ เสียเงิน 500,000 ล้านบาท  เสีย”ดอกเบี้ยเงินกู้” และ “สร้างหนี้” ให้กับ”ประเทศชาติ” และ”ประชาชน” โดยที่ได้ผล”ตอบแทน” ที่ไม่”คุ้มค่า” อย่างที่เรียกว่า”ไปทั้งโซ่ทั้งลิง” นั่นเอง

เรื่องความ”อื้อฉาว” ในวงการ”สีกากี” ยังไม่จบง่ายๆ ครั้งแรก ที่เข้าใจว่าหลังการที่ “พล.ต.อ.กิตต์รัฐ เพ็ชรพันธุ์” รักษาการ ผบ.ตร. “จรดปากกา” เซ็นคำสั่งให้”บิ๊กโจ๊ก”  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. ออกจากราชการ แล้ว เรื่องคงจะจบ แต่เมื่อ”บิ๊กโจ๊ก” ดิ้นรนสู้”เต็มเหนี่ยว” ทุกประตูที่มี”รู”หรือ”ช่อง” ให้”เล็ดลอด” ยิ่งทำให้การ”ต่อสู้” ระหว่าง”บิ๊กโจ๊ก” และ”คณะ” กับ”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” หรือ”บิ๊กต่อ” ผบ.ตร. และ”ลูกทีม” ยิ่งทำให้เรื่องความ”ขัดแย้ง” ในวงการ”สีกากี” ทั้ง”รุนแรง” และ”ร้าวลึก” ……และยิ่งได้”มือกฎหมาย” ที่มี”อภินิหาร” อย่าง”วิษณุ เครืองาม” ที่ปรึกษากฎหมายของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีเข้ามา”ข้องเกี่ยว” ยิ่งทำให้”บิ๊กโจ๊ก” มี”พลัง” ในการ”ดิ้นรน” กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เซ็นคำสั่งให้” บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล กลับเข้ามารับตำแหน่ง ผบ.ตร. อีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้” พล.ต.อ.กิตต์รัฐ เพ็ชรพันธุ์” รักษาการ ผบ.ตร. อยู่หลายเดือน โดยที่”บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่ได้กลับมาเป็น”เบอร์ 2 ของ” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ “ยิ่งทำให้”บิ๊กโจ๊ก” ออกอาการ”ทั่งเหวี่ยงทั้งวีน” ถึงกับ”ลั่นปาก” จะฟ้อง”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ “ใครต่อใคร” ในวงการ”สีกากี” โดยเฉพาะ”พล.ต.อ. กิตต์รัฐ เพ็ชรพันธ์” รองผบ.ตร. ผู้ที่ เซ็นคำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจาก”ราชการ” ซึ่ง”บิ๊กโจ๊ก” และ”ลูกทีม” เห็นว่าเป็น”คำสั่ง”ที่”ไม่ชอบ” ด้วย”กฎหมาย” ซึ่ง เรื่อง”ชอบ”ไม่ชอบ” ด้วย”ข้อกฎหมาย” ใน”คำสั่ง” ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายต่าง”ตีความ” เข้าข้างตนเอง ที่สุดท้ายแล้วคงต้องรอการ”ชี้ขาด” จาก”กูรู” ด้าน”กฎหมาย” อีกครั้ง เรื่องของวงการ”สีกากี”ของประเทศไทย จึงยังคง”อื้อฉาว” ต่อไป จนกว่าจะผ่านการ”แต่งตั้ง” ผบ.ตร. คนใหม่ แทน”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ที่แม้จะได้กลับมา นั่งในตำแหน่ง “ผบ.ตร. แต่อีก 3 เดือน ก็ต้องพ้นตำแหน่งจากการ”เกษียณอายุราชการ”

สำหรับ ผบ.ตร. คนใหม่จะเป็นใคร ก็ต้องติดตามดูว่า” การเมือง” ต้องการให้ใครมาเป็น”เบอร์ 1 “ ของ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” เพราะ”หน่วยงานนี้” ไม่ต้องการคน”มีฝีมือ” ในการ” ดูแลความ”สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” และ”ทุกข์-สุข” ของ”ประชาชน” แต่ต้องการเพียงให้”หน่วยงาน” รับใช้”การเมือง” เป็น”ด้านหลัก” ดังนั้นใน”วงการสีกากี”ของ”ประเทศไทย”  จึงตกยู่ใน”วังวนน้ำเน่า” แบบไม่มีวัน”ถอนตัวขึ้น” หาก”การเมือง” ยังต้องการ”ตำรวจ” เป็น”เครื่องมือ” ทางการเมือง อย่างที่เป็นอยู่…..แต่จากการติดตามดู ในห้วงที่” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เพ็ชรพันธุ์” หรือ”บิ๊กต่าย” รักษาการ ผบ.ตร.  มีการ”สั่งการ” ให้”ตำรวจ” หยุดการ”รับส่วย” จนทำให้”ขบวนการจ่ายส่วย” ทั้ง”บ่อนการพนัน” ทั้ง”บ่อนออนไลน์” ทั่ง”วงการค้าของเถื่อน” ต่าง”ระสำระสาย”ไปทั่ว โดยเฉพาะ”บ่อนการพนัน”ที่มี”ที่ตั้ง” ในการ”เปิดบ่อนถาวร” กลายเป็น”บ่อนวิ่ง” เพื่อมิให้”ตำรวจท้องที่”เดือดร้อน หากมีการ”จับกุม” จาก”หน่วยอื่นๆ” ที่เข้ามา”ตีเมืองขึ้น” ก็ทำให้”ภาพลักษณ์” ของ”ตำรวจ”ดีขึ้นในสายตาของประชาชน

โดยข้อเท็จจริง “ตำรวจไทย” มี”ฝีไม้ลายมือ” ไม่แพ้”ตำรวจ”ในประเทศอื่นๆ ที่มี”ชื่อเสียง” จะเห็นว่าถ้า”ตำรวจ” ตั้งใจทำหน้าที่ มี”ผู้บังคับบัญชาที่ดี” มี”ขวัญกำลังใจ” มี”สวัสดิการ” ที่ทำให้”ครอบครัว” มีความสุข งานทุกเรื่องที่อยู่ในความ”รับผิดชอบ”ของ”ตำรวจ”ไปได้ดี และมี”ประสิทธิภาพ” เช่นเรื่องการ”ปราบปรามจับกุมยาเสพติด” เรื่องการ”ปราบปรามจับกุมผู้ร้าย” ไม่ว่า “เล็ก-ใหญ่”  ตำรวจไทย  ทำได้สำเร็จทุกเรื่อง……ยกเว้นที่จะไม่ทำอย่าง กรณีของ” แป้ง นาโหนด” หรือ”เชาวลิต ทองด้วง”  ที่มี”เจตนา” จะปล่อยให้”หลบหนี” โดยการ”ช่วยเหลือ” ให้หลบหนี ออกจาก”ประเทศไทย” เพราะ เกรงว่าถ้า”แป้ง นาโหนด” ถูก”จับกุม” โดย”ตำรวจ”จาก”ส่วนกลาง” ความลับมากมาย ที่อยู่กับ”แป้ง นาโหนด” อาจจะถูก”คายออกมา” ทำให้”ตำรวจน้อยใหญ่” ใน ผบช.อาจจะติด”ร่างแห”ซวยไปด้วย แต่สุดท้าย ด้วยความที่ไม่เห็น”กฎหมาย” อยู่ใน”สายตา” ทำให้”แป้ง นาโหนด” ต้องพบกับ”จุดจบ”เร็วกว่าที่คิด และ”จนมุม” ให้กับทีมงานของ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรียุติธรรม จบเรื่องของ”แป้ง นาโหนด” ที่เป็น”เด็กสร้าง” ของ”ตำรวจบางนาย” แห่งเมือง”พัทลุง”

อีกเรื่องที่”โด่งดัง” ในขณะนี้คือเรื่องของ”เสี่ยโจ้” หรือ”สหชัย เจียรเสริมสิน” ที่เป็น”พ่อค้าน้ำมันเถื่อน” ที่ว่ากันว่าเป็น”เด็กสร้าง” ของ”ตำรวจน้ำ” ที่รู้กันดีในวงการว่าที่มีหน้าที่”เก็บส่วยน้ำมันเถื่อน”ทั่วประเทศ ซึ่งครั้งนี้”บังอาจ” วางแผนในการ”โจรกรรมเรือที่เป็นของกลาง” พร้อมทั้ง”น้ำมัน” จาก สถานีตำรวจน้ำ สัตหีบ จ.ชลบุรี ที่ถูก”จับกุมโดยตำรวจน้ำ” จนมีเหตุให้ต้องมีการ”ตามล่าตามล้าง”กลาง”ทะเลอ่าวไทย” แม้ว่าสุดท้าย “ตำรวจน้ำ” จะสามารถติดตาม”เรือของกลางทั้งสามลำ” กลับมาได้ แต่”น้ำมันของกลาง” และ”ผู้ต้องหา”อีก 8 คน ก็”หายจ้อย”……วันนี้ “สังคมไทย” กำลัง”จับตามอง” ว่า คดีนี้จะจบอย่างไร “ตำรวจสอบสวนกลาง” ที่เป็นผู้กำกับหน่วยงานของ”ตำรวจน้ำ” จะสามารถ”ล้วงลึก” ในการ”เอาผิด” กับ”ตำรวจใหญ่” ที่ร่วมมือกับ”เสี่ยโจ้” ในการ “โจรกรรมเรือของกลาง”ได้หรือไม่ และ สามารถ”สืบสวนสอบสวน” เพื่อหา”พยานหลักฐาน” ในการ  ออกหมายจับ” เสี่ยโจ้” และ”ลูกน้อง ที่อยู่ใน ภาค”ตะวันออก” ที่เป็น “เครือข่าย” ของ”เสี่ยโจ้” ได้หรือไม่ และที่สำคัญข่าว”วงใน” ให้”เบาะแส” ว่า เรื่องทั้ง 3 ลำ ของ”เสี่ยโจ้” และ”น้องชาย” ก่อนที่จะ”ถูกจับ” ต่าง”ลอยลำ” ใน”น่านน้ำสากล” ไม่ได้อยู่ใน”น่านน้ำไทย” แต่ถูก”ลากเข้ามา” เพื่อ”แจ้งข้อหา” และ”จับกุม” โดยมีสาเหตุจากความ”ไม่พอใจ” ที่เรือทั้ง 3 ลำไม่มีการ”จ่ายส่วย” โดยอ้างว่าอยู่”นอกน่านน้ำ” เรื่องนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดในวงการ”เจ้าหน้าที่รัฐ” กับ”ผู้ค้าน้ำมันเถื่อน” เพียงแต่หลังถูกจับมามี”นายทุน” คนไหน”เหิมเกริม” ขนาดวางแผน”โจรกรรมเรือที่เป็นของกลาง”…..เรื่องนี้ถ้า”เสี่ยโจ้” พร้อมที่จะ”แตกหัก”ก็ต้อง”แสดงหลักฐาน” ให้”ศาลเห็นว่า” ในวันที่ถูก”จับกุม” เรือทั้งหมดอยู่”นอกน่านน้ำไทย” แต่เชื่อเถอะ  เรื่องของ”เสี่ยโจ้” เดี่ยวก็หายไปหลังจาก”สื่อ” เลิกให้ความสนใจ สุดท้ายก็มีการ”ฟ้องลูกเรือ” ในข้อหา”ร่วมกัน” ในการ “โจรกรรมเรือและน้ำมันของกลาง” ส่วนตัวของ”เสี่ยโจ้” และ”พวก ก็ไม่มี”พยานหลักฐาน” ในการ”เอาผิด” คือ”สาวไม่ถึง”ว่างั้น

ก็ผ่านไปแล้ว สำหรับการเลือกตั้ง”สมาชิกวุฒิสภา” แบบ”พิสดารบันลือโลก” ที่มีอยู่แห่งเดียวในโลกที่”ประเทศไทย” ที่ใช้เวลาในการ”เลือกตั้ง” แบบ”ข้ามวันข้ามคืน” จนได้ สว. จำนวน 200 คน และขึ้น “ทะเบียนสำรอง” อีก 100 คน แทนคนที่”ถูกสอย” คนที่”ลาออก” และ”ตาย” โดยไม่มีการ “เลือกตั้งใหม่” โดยรวมก็ถือว่า” คณะกรรมการการเลือกตั้ง”  ( กกต. ) สอบผ่าน แม้ว่าจะมี”บางเรื่อง” ที่”ขลุกขลัก”  เช่นปัญหาเรื่อง”นับคะแนน” เรื่องของ”เครื่องเสียง” แต่ก็ให้อภัยกันเถอะ เพราะการ”เลือกตั้ง” แบบที่” ปรมาจารย์” ทาง”กฎหมาย “มีชัย ฤชุพันธ์” เขียนขึ้น เพื่อใช้ในการ”เลือกตั้ง สว. ครั้งนี้ เป็น”ของใหม่” ทั้งผู้ที่จัดให้มีการเลือกตั้ง” และ”ประชาชน” ที่เข้าไปลง”สนาม” ในการ “เลือกตั้ง” จึงค่อนข้าง”อลเวง” ในบางจุด บาง จังหวะ และ บางเรื่องบางราว แต่ไม่ต้องไป”แก้ไขอะไร” เพราะเชื่อว่า” กฎกติกา” การเลือกตั้ง” แบบนี้จะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จะต้องมีการ”แก้ไข” หรือมีการ”ปรับเปลี่ยน” ใน”อนาคต” อย่างแน่นอน

ปัญหาของ” กกต.คือเรื่องการมีการ”ร้องเรียน” เพื่อให้มีการ”ตรวจสอบ” และ”เอาผิด” กับผู้ที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งกว่า 600 กว่าเรื่อง ทั่วประเทศ ที่มี”ผู้ร้อง” ให้มีการ”ตรวจสอบ” ที่มากที่สุดน่าจะเป็นปัญหาของ”ผู้สมัคร” ที่”ไม่ตรงปก” กับ”วิชาชีพ” ที่มีการระบุไว้กว้างๆ และการ”ตั้งข้อสังเกต” จากผู้สมัคร( บางคน) ที่ “สอบไม่ผ่าน” และ”คะแนนไม่สวย” ทั้งที่เข้าใจว่าตนเอง”โปรไฟล์” ดี แต่ทำไม”คะแนนน้อย” จึงออกมา”ตั้งข้อสังเกต” เพื่อให้” กกต. ทำการ”ตรวจสอบ” ในทาง”กลับกัน” ถ้า”ผู้ร้อง” ได้”คะแนนมาก” คงจะไม่”ตั้งข้อสังเกต” และอาจจะ”ชื่นชม” ว่าเป็นการ”เลือกตั้ง” ที่ดี  แต่เชื่อเถอะ สุดท้าย กกต. ก็ต้องทำตาม”กรอบของกฎหมาย” คือทำการ”รับรอง” ผู้ที่ได้รับการ”เลือกตั้ง” ไว้ก่อน แล้วค่อย”สอย” ผู้ที่”ทำผิด” ภายหลัง” ( ถ้ามีหลักฐานเพียงพอ)  ส่วน สว. ชุดนี้ ซึ่งถูก”ปรามาส” จากหลายฝ่าย จะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน อย่างไร ก็ต้อง”ติดตาม” อย่าเพิ่ง”ติเรือทั้งโกลน”……ส่วนที่ต้องถือว่า”เซอร์ไพร์” มากที่สุดคือการที่”สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ที่”สอบตก” ไม่สามารถ”เข้ารอบ” สุดท้ายในการ”เลือกตั้ง” ครั้งนี้ เนื่องจาก” ในกลุ่ม” ที่” “นายกสมชาย” อยู่นั้นไม่มี”พรรคพวก” ที่”สนับสนุน”  จึงทำให้ได้”คะแนน” น้อย  ถือเป็นเรื่อง “ปกติ” ของการ”เลือกตั้ง” ทุกระดับของ”ประเทศไทย” ก็ไม่ต่างกับ”คนดัง” คืออื่นๆ ของ”ประเทศไทย” ที่ต่าง”สอบตก” กับ”กติกา” ของการ “เลือกตั้ง” ครั้งนี้ ที่การสร้าง”เครือข่าย” มีความสำคัญกว่าการสร้าง “ภาพลักษณ์” และการนำเสนอ”ผลงานประวัติ” ของผู้สมัคร และต้อง แสดงความยินดีกับ” บิ๊กเกรียง”  พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีต แม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งลงสมัครใน กลุ่ม 1 และได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงสุด 75 คะแนน สูงกว่า ทุกคน ใน ทุกกลุ่ม

เรื่องของ”ไฟใต้” ที่เป็นปัญหา”ทศนิยมไม่รู้จบ” สถานการณ์”สงบ”ได้ไม่กี่วัน ในห้วงของ”รายอฮัจยี” ที่หลังจากผ่านห้วงของ”รายอฮัจยี”แล้ว สถานการณ์ความรุนแรง ก็ติดตามมาเหมือน”ปกติ” ล่าสุด”ปฏิบัติการ” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ยังคงเป็น”เป้าหมาย” ของการ”ปฏิบัติการ” ที่”กองกำลังอาสารักษาดินแดน” ในพื้นที่ อ.ศรีบรรพต  จ.นราธิวาส และก็คงจะเกิดขึ้นกับทุกพื้นที่ของ สามจังหวัดและสี่อำเภอของ จ.สงขลาตามแต่”โอกาส” ที่เกิด”ช่องว่าง” ของ “กองกำลัง” ในพื้นที่ “เป้าหมายชัด “โอกาสมี ทางหนีพร้อม” เมื่อไหร่ ความ”สูญเสีย” ก็เกิดในทันที เรื่อง”ความสูญเสีย” ของ” เจ้าหน้าที่รัฐ” และ”กองกำลังท้องถิ่น” กลายเป็นเรื่องที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ป้องกันไม่ได้ เรื่องนี้ ตลอดระยะที่ผ่านมา “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำได้แค่”เตือน” ให้”กำลังพล” ระมัดระวัง เท่านั้น ส่วนเรื่องการป้องกันกลายเป็นเรื่อง”ชีวิตใครชีวิตมัน” เพราะ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ห่วงใยในเรื่องของ”อาวุธปืนหลวง” ที่ไม่ต้องการให้ตกใน”มือ”ของ” กองกำลังติดอาวุธ” เท่านั้น ดังนั้น”ปืนหลวง” จึงห้ามนำติดตัวหลังจากการ”ออกเวร” ในขณะที่”ภาคประชาสังคม” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ไม่ได้”สนใจ” การออกมา”ตักเตือน” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่ “ร้องขอ” ให้หยุดการ”จัดกิจกรรม” ต่างๆ ที่”หมิ่นเหม่” กับ”กฎหมาย” ของ”ความมั่นคง” ล่าสุดในการจัด”กิจกรรมกีฬากำปง” ก็มีการนำ”เด็กๆ”ออกมา”แสดงออก” ที่เหมือนกับการทำผิด”กฎหมาย” ต่อ”เด็กๆ และ เยาวชน เรื่องนี้ฝ่ายที่รับผิดชอบ”ภาคประชาสังคม” ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องไม่”เงียบเฉย” เพราะยิ่ง”เงียบเฉย” ก็จะยิ่งสร้างความ”ฮึกเหิม” ให้กับ”ปีกทางการเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” แต่ในขณะเดียวกับการ”บังคับให้กฎหมาย” ก็ต้องทำความเข้าใจกับ”ประชาชน” และ”สังคม” เพราะ”บีอาร์เอ็น” ก็ต้องการ”ยั่วยุ” ให้มีการ”บังคบใช้กฎหมาย” กับการจัด”กิจกรรมหมู่บ้าน” เพื่อสร้าง”เงื่อนไข” ให้เห็นว่า”ประชาชน”ถูก”รังแก” จาก” “เจ้าหน้าที่รัฐ

ส่วนประเด็น”การพูดคุยสันติสุข” ที่”หลายฝ่าย” มี”แนวคิด” จะเชิญอดีต”รองประธานาธิบดี” ของประเทศอินโดนีเซีย มาเป็น”ผู้อำนวยความสะดวก” ในการ”ขับเคลื่อน” การ”พูดคุยสันติสุข” แทนอดีต “ผบ.ทบ. ของประเทศมาเลเซีย ก็คิดกับให้”รอบคอบ” ว่า” มาเลเซีย” คิดอย่างไร และ”พอใจ” หรือไม่ รวมทั้ง”บีอาร์เอ็น” เอง เห็นอย่างไรกับการให้” ตัวแทนของอินโดนีเซีย” เข้ามาเป็น”ผู้อำนวยการ” จะเป็นการ”แก้ปัญหาหรือการสร้างปัญหา” เพราะรู้อยู่แล้วว่า ไม่ว่าใครจะเป็น”ผู้อำนวยการ” ปัญหาของ”ไฟใต้”ของไม่มีการ”ยุติ” เพราะการ”พูดคุย”หรือการ”เจรจา” เป็นเพียง “ ฉากทัศน์” แห่งความ”หลอกลวง” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ไม่มีความ”จริงใจ”  แต่เป็นการใช้การ”เจรจา” เพื่อการ”ถ่วงเวลา” ในการสร้างความ”เติบโต” ทาง”มวลชน” เพราะการสร้าง”มวลชน” ให้”เติบโต” และ”สนับสนุน” ขบวนการเท่านั้น จึงจะทำให้”บีอาร์เอ็น” ประสบความสำเร็จ ตามที่ต้องการ สำหรับเรื่องที่ต้องการให้”เปลี่ยนตัว” ผู้อำนวยความสะดวกในการ”พูดคุยสันติสุข” ระหว่าง รัฐบาลไทย กับ บีอาร์เอ็น จาก” อดีตผู้บัญชาการกองทัพบก” ของ ประเทศมาเลเซีย เป็น “อดีตรองประธานาธิบดี” ประเทศอินโดนีเซีย มาจาก”แนวคิด”ของ” พล.อ. นิพัทธิ์ ทองเล็ก” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว

”รอนิง ดอเลาะ” ผู้ประสานงาน”กลุ่มด้วยใจ” ที่เป็น”ภาคประชาสังคม”ใน จ.ปัตตานี ถูก”คนร้าย” ยิงเสียชีวิต ที่บ้านพัก หลังเกิดเหตุ “แนวร่วม” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ออกมาทำ”ไอโอ”ว่าเป็น”ฝีมือ”ของ”เจ้าหน้าที่รัฐ” วันนี้ผลพิสูจน์”ปลอกกระสุนปืน” ที่ใช้ในการ”ก่อเหตุ” มีหลักฐานว่าเป็น”ปืน” ที่ เคยใช้ก่อเหตุ ฆ่าเจ้าหน้าที่ และประชาชน มาแล้วหลายคดี นั้นเป็น”ข้อเท็จจริง” ตาม”หลักฐาน” แต่ในความเป็นจริง”ชาวบ้าน”ไม่เชื่อเรื่อง”หลักฐาน” เรื่อง”นิติวิทยาศาสตร์” แต่ชาวบ้านเชื่อตามที่”บีอาร์เอ็น” ทำการ”ไอโอ” นี่คือ”สงครามความรู้สึกที่เป็นปมลึกของไฟใต้”…….เรื่องของคดี”ตากใบ” ที่มี”คนตาย” จากการถูก”ควบคุมตัว” เสียชีวิต 80 กว่าศพ “เหยื่อ” ที่”เสียชีวิต” ได้รับเงิน”เยียวยา”แล้วคนละ 7,500,000 บาท ส่วนเรื่อง”คดีอาญา” ในการ”เสียชีวิต” ของ”ประชาชน”จำนวนมาก” อัยการสั่งไม่ฟ้อง” เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง วันนี้ผ่านมาเกือบ 20 ปี คดีกำลัง”หมดอายุความ” ในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ที่จะถึงนี้  ปรากฏว่า”ผู้เสียหาย” จาก”ครอบครัวผู้”สูญเสีย” จำนวน 48 คน มอบหมายให้”ทนาย” ยื่นฟ้องในคดีอาญาต่อ” เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้จำนวน 9 คน เพื่อ”เอาผิด”ตาม”ป.วิอาญา” ที่ทำให้มี”คนตาย” และการ”ข่มขืนใจ” ส่วนเรื่อง “ ป.วิอาญา 157 “ ในการ”ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” ฟ้องไม่ได้เพราะ”ขาดอายุความ” คดีนี้วันนี้อยู่ระหว่างการ”ไต่สวน” ของ”ศาลจังหวัดนราธิวาส    ทั้งหมดเป็นการ”สอดคล้อง”กับการออกกฎ 5 ไม่” ซึ่งหนึ่งใน”กฎ 5 ไม่ “ คือ”ไม่ให้อภัยคนสยาม” ในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น อย่าง กรณี”ตากใบ” ที่มีการ”ชดใช้”โดยการ”เยียวยา”และ”ขอโทษ” ก็ไม่ให้อภัย  ที่สำคัญ สำหรับ”สถานการณ์ของ”ไฟใต้” เรื่องการ”ขอโทษ” และการให้”อภัย” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องการให้”อภัย” ถ้าไม่มีการให้”อภัย” สถานการณ์ก็จะไม่”คลี่คลาย” เพราะยังมี”ไฟแค้นในจิตใจ” จะเห็นว่า”ยุทธศาสตร์”ของ”บีอาร์เอ็น” ทั้ง”ลึกซึ้ง” ทั้ง”น่ากลัว”

เรื่องของ”น้ำมันเถื่อน” ที่ไม่เกี่ยวกับ”เรือน้ำมันที่ถูกโจรกรรม”ของ”เสี่ยโจ้” คือเรื่องการ”ลักลอบค้ามันเถื่อน” ที่ ชายแดนอำเภอสะเดา ที่หลังจาก “รัฐบาลมาเลเซีย” มีการ “ขึ้นราคาน้ำมัน” จากลิตรละ  16 บาท เป็นลิตร ละ 26 บาท ทำให้การ ลักลอบ นำเข้าน้ำมันดีเซล จากประเทศมาเลเซีย เข้าประเทศไทย ลดจำนวนลง เพราะ กำไร ที่ น้อยลง  ทำให้”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” ใน จ.สงขลา หันไป “ลักลอบ” นำเข้า”น้ำมันเบนซิน” แทน และ จำนวนมากขึ้น เพราะได้ กำไร มหาศาล เนื่องจาก”เบนซิน” ใน “มาเลเซีย” ราคาเพียงลิตรละ 16 บาท แต่ “เบนซิน” ในประเทศไทย ลิตรละ 40 บาท ทำ กำไรลิตรละ 20 กว่าบาท”จ่ายส่วย” ให้ “ทุกหน่วยตกลิตรละ 10 บาท ขบวนการน้ำมันเถื่อน” ยังมีกำไร”บานแบอะ”  ถ้าจะ”หยุด” ไม่ให้”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” นำเข้า”น้ำมันเถื่อน”เข้ามา “ ศุลกากร” ที่รับผิดชอบ “แนวชายแดน”ทุกด่านของ จ.สงขลา  ต้องทำหน้าที่ให้”เข้มแข็ง”กว่าที่เป็นอยู่ “ผู้ค้ามันเถื่อน” และ”ผู้ที่”ขนน้ำมันเถื่อน” ไม่ได้”วิเศษวิโส”มาจากไหน ถ้าจะ”จับกุม” หรือจะ”เข้มงวด” ทุกแนวชายแดน “น้ำมันเถื่อน” ก็จะหมดไป ที่สำคัญ” เจ้าหน้าที่บางหน่วย” ไม่เคยให้ความสนใจกับปัญหา”น้ำมันเถื่อน” ที่ชายแดนและมองว่าปัญหา”น้ำมันเถื่อน” เป็นเรื่องของ”กองทัพมด” ที่เป็น”วิถีชีวิต”ของคนในแนวชายแดน แต่โดย”ข้อเท็จจริง” ขบวนการ”ค้าน้ำมันเถื่อน” ไม่ใช่คนใน”ท้องถิ่น” แต่เป็นผู้คนจาก”พื้นที่อื่น” ที่เข้ามาทำการค้าน้ำมันเถื่อน โดยมี”นายทุน” ตั้ง”แท็งค์” ตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อ”รับซื้อ” และ”ลำเลียงโดย”รถบรรทุกน้ำมัน” เพื่อ”ส่งขาย” ให้กับ”ผู้ต้องการ” ใน จังหวัดภาคกลางเป็นหลัก

มีคดีแปลกๆ  ที่มีการ”เรียกรับเงิน” จาก”ตำรวจ”เกิดขึ้นเป็นประจำในพื้นที่ของ จ.พัทลุง ล่าสุด มีการ”เรียกรับเงิน” และมีการ”คืนเงิน” จนกลายเป็น”ข่าวฉาว” เกิดขึ้นอีกแล้ว  เรื่องนี้ “พล.ต.ต. ณฐกรณ์ กาญจนาภรณ์” ผบก. พัทลุง อย่ามองว่าเป็น”เรื่องเล็กน้อย” เพราะเป็นความ”เสื่อมเสีย” ที่”ร้ายแรง” ของวงการ”สีกากี”  ที่สำคัญทำไมเรื่อง ทำนองนี้เกิดขึ้นเป็นประจำใน”ท้องที่” ของ จ.พัทลุง ประเด็นนี้ต้องหา”สาเหตุ” เพื่อที่จะแก้ปัญหาได้ถูกจุด

ประชาชนจาก 13 อำเภอ 73 ตำบล 588 หมู่บ้าน  จาก จ.นราธิวาส ที่ไม่ได้รับเงิน”ช่วยเหลือ” จาก” น้ำท่วมใหญ่” ในเดือน ธันวาคม  2566   ผ่านมาแล้ว 7 เดือน  ประชาชน ยังไม่ได้รับความ”ช่วยเหลือ” ทั้งที่ “ร้องเรียน”ไปยัง”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ร้องเรียนกับ”กมลศักดิ์ วาลีเมาะ” สส.พรรคประชาชาติ แต่ทุกอย่าง”เงียบเชียบ” วันที่ 27 ที่ผ่านมา ชาวบ้านกว่า 5.000 คน จึง”ยกขบวนบุกศาลากลาง” อีกครั้ง คำตอบจาก  “วสันต์ ไชนทวีวงศ์”  ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.นราธิวาส ก็คือ อยู่ระหว่างการสำรวจเพื่อหา”ผู้ตกหล่น” ทุกอำเภอ เพื่อใช้เป็น”หลักฐาน” ในการ”ของบประมาณ” นี่คือระบบ”ราชการไทย” ที่ยัง”อืดอาดยืดยาด” ไม่มีการ”พัฒนา” ให้มีความ”รวดเร็ว” กับความต้องการและความ”เดือดร้อน”ของประชาชน” คือคือ”จุดบอด”ของระบบ”ราชการ” ที่มีแต่”ยาหอม” ที่ให้ความหวังชาวบ้านไปแบบวันๆ   ซึ่งยังไม่เห็นว่า”รัฐบาลเพื่อไทย” จะทำการ”อนุรักษ์” ระบบราชการที่”โหลยโถ้ย” อย่างนี้โดยไม่ยอม”ปฏิรูป” ให้”หน่วยงานรัฐเป็น”ที่พึ่ง” ของ”ประชาชน”ได้อย่าง” รวดเร็ว หรือ”นักการเมือง” ของประเทศนี้ ถนัดแต่เรื่องการ”ให้ความหวัง”และการ”โปรยยาหอม” ให้”ประชาชน” หลงเชื่อ แต่ไม่มี”น้ำยา” ที่จะ”แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น …..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา! ขุดรากถอนโคน จอมบงการปมเรือน้ำมันเถื่อนล่องหน

21 มิ.ย. 2024
117

ภาพใหญ่ของประเทศไทย ต้องเริ่มที่เรื่องของ”การเมือง” เมื่อ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าสู่ขบวนการของ”กฎหมาย” ได้รับการ”ประกันตัว” เพื่อต่อสู้คดี  ต่อไปนี้ความสนใจในเรื่องของ”ทักษิณ ชินวัตร”ในเรื่องของ”คดี 112 ก็คงจะลดน้อยลง เพราะเรื่องของ”คดีความ” ที่อยู่ใน”ขบวนการของศาลสถิตย์ยุติธรรม” คงจะไม่”สิ้นสุด” ในเร็ววัน ที่ต้องติดตามคือหลังจากที่”ทักษิณ ชินวัตร” ได้ประกันตัว “บทบาท” ในทาง”การเมือง”ของ”อดีต”นายกทักษิณ” ยังจะ”หวือหวา” อย่างที่ผ่านมาหรือไม่ หรือต้อง”สงบเสงี่ยม” เพราะมี”ดีล” อะไรบางอย่าง อย่างที่”กูรูทางการเมือง” มีความเห็น  แต่ เชื่อเถอะ คนอย่าง”ทักษิณ ชินวัตร” อยู่นิ่งไม่เป็น และ อุปนิสัย”ปากไว” คิดเร็ว ทำเร็ว” เป็นของ”ติดตัว” ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เชื่อว่าหลังจากนี้ “ทักษิณ” คือ” พยัคฆ์เสียบปีก” ที่พร้อม”ทะยาน”ในเรื่องของ”การเมือง” เป็น”หัวหน้าพรรคตัวจริง”ของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งอาจจะเป็น”นายกตัวจริง” ในการ”ขับเคลื่อน” ประเทศไทย ให้พ้นจาก”เศรษฐกิจ”ที่”ดิ่งเหว” รวมทั้งการ”ต่อสู้” กับ”พรรคก้าวไกล” ที่วันนี้”ทุกโพล” ที่มีการ”สำรวจ” ออกมา “คะแนนเสียง” ของ”ก้าวไกล” ยัง”นำโด่ง” ทิ้งห่างทุกพรรคการเมือง

ผลการ”วินิจฉัย” ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ” เกี่ยวกับเรื่องการ”เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา” ว่า”กฎหมายลูก” ขัดกับ”รัฐธรรมนูญ” หรือไม่ จากการ”ยื่นเรื่อง”ของ สว.ชุด “รักษาการ” ที่ “กำลังหมดอำนาจ” ให้”ตีความ” และ”ศาลรัฐธรรมนูญ” ก็ได้”วินิจฉัย”ว่า การ”เลือกตั้ง “สมาชิกวุฒิสภา” ที่ผ่านมาแล้ว 2 ขั้นตอน”ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ”……ก็ต้องติดตามกันอย่าง”ไม่กระพริบตา” ถึง”ขบวนการ”ของการ”ขับเคลื่อน” ก่อนที่จะถึงวันที่ 26 มิถุนายน ที่จะมีการ”เลือกตั้ง” ในรอบการ”ตัดเชือก” ว่าจะมีการ”แจกกล้วย” เพื่อการ”กวาดต้อน” ผู้สมัคร” ให้เข้า”สังกัด” เพื่อทำหน้าที่เป็น”โหวดเตอร์” ให้กับผู้ที่ต้องการเป็น”สว. หรือไม่ประการใด และที่สำคัญถ้าเรื่องการ”จัดตั้ง” และการ”แจกกล้วย”เป็นเรื่องจริง” คณะกรรมการ การเลือกตั่ง” หรือ” กกต. จะจัดการอย่างไร หรือ “กกต.เป็นได้แค่”ตรายาง” ของการ”เลือกตั้ง เท่านั้น แต่ก็ถือว่าการ”วินิจฉัย” ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นคุณกับประเทศ ที่ไม่ทำให้การ”เดินหน้า”ของประเทศไทยต้องติด”บ่วงแร้ว” ทาง”การเมือง” ซึ่งจะนำมาถึงความ”โกลาหล” ครั้งใหญ่

ส่วนการ”ตัดสิน”ในเรื่องที่”เศรษฐา ทวีสิน” ถูก”กล่าวหา” ว่าทำผิด”กฎหมายรัฐธรรมนูญ” ในการแต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” ให้เป็น”รัฐมนตรีสำนักนายก” “ศาลรัฐธรรมนูญ เลื่อนไป”พิจารณา” ในวันที่ 10 กรกฎาคม กลายเป็นเรื่องการ”ทอดเวลา” ให้ทั้ง”กูรูทางการเมือง” และ”กูรูทางกฎหมาย” โดยเฉพาะกลุ่มที่”หิวแสง” ได้แสงความ”คิดเห็น” กันอีกหลายวัน แต่”หลายฝ่าย” เชื่อว่า” เศรษฐา ทวีสิน” ยังอยู่รอด”ปลอดภัย” ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ตาม”รัฐธรรมนูญ”…..สำหรับ”ก้าวไกล” ที่ยังมีการ”รอลุ้น” การ”พิพากษา” จาก”ศาลรัฐธรรมนูญ” ในวันที่ 3 กรกฎาคม ว่าจะถูก”ยุบพรรค” หรือจะได้”ไปต่อ” นั้น “สดับตรับฟัง” จากเสียงส่วนใหญ่ มีความเห็นไปใน”ทิศทางเดียวกัน”ว่า “ผิด ตก ยกเว้น” ไม่มีการกล่าวถึง เพราะ”มีธง” ที่”ชัดเจน” ให้มีการ”ยุบพรรคก้าวไกล” ส่วนถ้าคำ”พิพากษา” ให้”ก้าวไกล” ได้”ไปต่อ” โดยไม่มีการ”ประหารชีวิต” ทั้ง”หมอดู และ”โหรานุโหร” ก็จะกลายเป็น”ไอ้ห้อยไอ้โหน” เช่นเดียวกับ”กูรูทางการเมือง” ก็จะ”หน้าแหก” แบบที่”หมอไม่รับเย็บ” กันทั้งประเทศ

เรื่อง”น้ำมันเถื่อน” เรื่องการ”โจรกรรม” เรื่องของกลางที่เป็นเรือ”บรรทุกน้ำมันเถื่อน” จาก”สถานีตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี นำ น้ำมันไปขายที่ประเทศกัมพูชา และเตรียม”ดัดแปลงเรือ” เพื่อใช้ใน”กิจการค้าน้ำมันเถื่อน”ต่อไป  เรื่องนี้เป็นเรื่อใหญ่เป็น”ข่าวดัง” และเป็นความ”อัปยศ”ของวงการ”ตำรวจน้ำ” ซึ่งในการที่”เรือของกลาง” ทั้ง 3 ลำ พร้อม”ลูกเรือ” จำนวน 16 คน ที่”หลบหนี” ไปจากที่ทำการ”ตำรวจน้ำสัตหีบ” จะมี”คนในเรื่องแบบ” รู้เห็นเป็นใจกับ”นายทุน” หรือไม่นั้น”บิ๊กเต่า” พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” บอกกับ”นักข่าว” ว่า มีการตั้ง”คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง” และจะมีการ”ตรวจสอบเส้นทางการเงิน”ด้วย ฟังได้แต่บอกตรงๆว่า”ไม่ค่อยเชื่อ” เพราะยังจำได้ดี และยัง”เก็บหลักฐาน” ที่เป็น”รายชื่อ” ของ”คนในเครื่องแบบ” จำนวน 4  แผ่นกระดาษ เอ 4  จำนวน 20 กว่าราย ที่มีทั้ง ชื่อ ยศ ตำแหน่ง หมายเลขบัญชีธนาคาร จำนวนเงินในการ”จ่ายส่วย” ในแต่ละเดือน และบางรายมีชื่อ”ภรรยา” ของ”ข้าราชการ” ระดับ”นายพล” และระดับ”ผู้อำนวยการ” ทั้งที่เป็น”ศุลกากร” และ”สรรพสามิต” ที่ยึดได้จากบ้านของ”เสี่ยโจ้” นายสหชัย เจียรเสริมสิน” ที่ อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งผู้ที่”ตรวจค้น” และ”จับกุม” คือ” พล.อ.จตุพร กลัมพสุต” อดีต รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในฐานะของผู้รับผิดชอบ”ภัยแทรกซ้อน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  แต่”บัญชีรายชื่อ” ทั้งหมดที่ยึดได้จากบ้านของ”เสี่ยโจ้” กลายเป็น”กระดาษชำระ” เพราะไม่มีการใส่ใน”สำนวนการสอบสวน” เพื่อหา”ข้อเท็จจริง” ขนาดมี”หลักฐานทนโท่” ยังไม่มีการ”เอาผิด” แล้วยังประสาอะไรจะไป”สืบสวนเส้นทางการเงิน” คนที่รับ”ส่วยสาอากร” จากผู้”ค้าน้ำมันเถื่อน” คงจะไม่”โง่เง่าเต่าตุ่น” ให้”สืบค้น” เพื่อเป็น”หลักฐาน” ในการ ผูกมัดตนเอง

เรื่องการ”สืบสวนสอบสวน” เพื่อหา”คนผิด” ในเรื่อง”น้ำมันเถื่อน” ที่ ถูก “ตำรวจน้ำ” จับกุมได้ที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี สิ่งที่” บิ๊กเต่า” และ” ผู้บังคับการตำรวจน้ำ” ไม่ได้ให้รายละเอียดกับ”ประชาชน” คือ” เรื่องทั้ง 3 ลำ เป็นของใคร  เพราะเรือทั้ง 3 ลำนี้ที่ถูก”จับได้” วิ่งบรรทุกน้ำมันเถื่อน อยู่ใน”น่านน้ำภาคตะวันออก” มาหลายปี ย้อมมี”เจ้าของ” ที่อยู่ในพื้นที่ จ.ระยอง หรือไม่ก็ ชลบุรี เป็นไปได้หรือที่”ตำรวจ” จะไม่รู้ว่าใคร”เป็นเจ้าของเรือ” และเป็นไปได้หรือที่”ตำรวจน้ำ” ในพื้นที่จะไม่รู้ว่า “น้ำมันเถื่อน” ที่อยู่ในเรือ”เป็นของใคร” เป็นไปได้หรือที่”ตำรวจน้ำ” และ หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้า”น้ำมันเถื่อน” ใน”ทะเลภาคตะวันออก” จะไม่รู้ว่า มี”เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน” คนไหนใน จ.ระยอง ที่” มีตั๋ว” ในการนำเข้า”น้ำมันเถื่อน” เดือนละ 5 ล้านลิตร เป็นใคร ขนาด”ตำรวจ”แค่”ยศจ่า” ยังรู้ดี เรื่องนี้มีหรือที่”บิ๊กก้อง” และ”บิ๊กเต่า” จะไม่รู้ ยกเว้น ไม่ต้องการ”แตะต้อง” และให้เรื่องทั้งหมดจบลงที่”เสี่ยโจ้” เพียงคนเดียว…..โดยข้อเท็จจริงในวงการ”ค้าน้ำมันเถื่อน” เสี่ยโจ้” เป็น”นายทุน” เจ้าของ”เรือแท็งค์เกอร์” ที่”ลอยลำ” ขายน้ำมันเถื่อน” ในน่านน้ำสากลของ”อ่าวไทย” โดยมีเรือ”ประมงดัดแปลง” จาก”ภาคใต้” ตั้งแต่ จ.นราธิวาส จนถึง”ภาคตะวันออก” จ.ชลบุรี,ระยอง ,ตราด” ของ”นายทุน” บนฝั่งของทุกจังหวัดในชายทะเลเป็น”ลูกค้า” ในการรับ”น้ำมันเถื่อน” จาก”เสี่ยโจ้” เพื่อนำ”ขึ้นฝั่ง” ดังนั้นคนที่”ทำผิด” จึงไม่ใช่”เสี่ยโจ้” เพียงคนเดียว แต่เป็น”กลุ่มทุน” จากทุกจังหวัดที่ติดชายทะเล”อ่าวไทย” ที่เป็น”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” เรื่องนั้น”ตำรวจ” ไม่พูดถึงเหมือนกัน การโยนความผิด” ให้”เสี่ยโจ้” เป็นการ”ปิดคดี” ที่ไม่”กระทบกับนายทุน” ที่เป็นผู้มี”อิทธิพล”และ สุดท้าย “เสี่ยโจ้” ก็พ้นจาก”ความผิด” เหตุผลคือ” เรือแทงค์เกอร์” ของ”เสี่ยโจ้” จอดใน”น่านน้ำสากล” ไม่ได้ทำ”ผิดกฎหมาย” ในประเทศไทย” เรือทั้ง 3 ลำ ไม่มีชื่อของ”เสี่ยโจ้” น้ำมันเถื่อนในเรือที่อ้างว่าเป็นของ”เสี่ยโจ้” ก็เป็นเพียงการ”สอบถาม”จาก”ลูกเรือ” แต่ไม่มี”หลักฐาน” ในการ”ยืนยันทางกฎหมาย”

ที่สำคัญนาย”สิริชัย เจียรเสริมสิน” หรือ”เสี่ยโจ้” ที่ หนีหมายจับ” จาก”ประเทศไทย 2 คดี ได้เปลี่ยน”สัญชาติ”ไปถือ”สัญชาติ” ของ”กัมพูชา” ไปแล้ว เพราะมีผู้พบเห็น”เสี่ยโจ้” ในบ่อนคาสิโนที่”เก็นติ้ง” ประเทศมาเลเซีย และ”บ่อนคาสิโน “ ที่”เมืองโฮจิมินท์ซิตี้” ประเทศเวียดนามพบว่า”เสี่ยโจ้”ใช้”พาสปอร์ตของประเทศกัมพูชา” ในการเดินทาง  เชื่อเถอะ “คดีการค้าน้ำมันเถื่อน” และการโจรกรรมเรือและน้ำมันของกลาง” ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จบลงแบบ”ง่ายๆ” โดยให้”เสี่ยโจ้ ปัตตานี” เป็นผู้ที่”ทำผิด” แต่เพียงผู้เดียว “เอวังพอดี” ด้วยปะการะฉะนี้” จบข่าว

ก็ ชื่นชม นะ กับการที่” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ประกาศต่อหน้า”ฑูตานุทูต” จำนวน 12 ประเทศ ที่เป็น”มุสลิม” ที่เดินทางมาเยือน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” แบบ”ชัดถ้อยชัดคำ”ว่า” แผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่แผ่นดิน”ดารุนฮารบี” หรือแผนดินที่มีความ”ขัดแย้งทางศาสนา” ซึ่งเรื่องนี้”อาซิส พิทักษ์คุมพล” อดีตจุฬาราชมนตรี” ผู้”ล่วงลับ” ก็เคยมีการ”ฟัตวา” ให้กับ บรรดาผู้ที่นับถือ”ศาสนาอิสลาม” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาแล้ว ก็หวังว่าการออกมา”ยืนยัน” ของ” บิ๊กต้น” พล.ท. ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 ฯ ในครั้งนี้ จะทำให้บรรดา”นายู” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้”หูตาสว่าง” ไปตกเป็น”เครื่องมือ”ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินบีอาร์เอ็น” ในการ”ปลุกระดม”หรือทำ”ไอโอ”โดยใช้”ศาสนา”เป็น”เครื่องมือ” เมื่อแผ่นดินของ”จังหวายแดนภาคใต้” ไม่ใช่แผ่นดิน”ดารุนฮารบี” เรื่องการสร้าง”นักรบพระเจ้า” กับผู้ที่ถูก”วิสามัญฆาตกรรม” จากการ”ต่อสู้” กับ”เจ้าหน้าที่”ก็เป็นเรื่องที่”ผิดหลักศาสนา”เช่นกัน …..และ ต่อมา “พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ “ รองแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้ให้”สัมภาษณ์” กับ”สื่อมาเลเซีย” ถึงเรื่องการที่”มาเลเซีย” ปล่อยให้กลุ่มภาคประชาสังคม ที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ใน”ประเทศไทย”ให้พื้นที่ของ”รัฐกลันตัน” และ”รัฐปีนัง” ในการจัด”กิจกรรม” ที่มีผลกระทบต่อ”ความมั่นคง” ของ”ประเทศไทย” เป็นการ”ติง” ไปยัง”รัฐบาลมาเลเซีย” เพื่อให้ได้”รับรู้” และให้มีการ”ตรวจสอบ” และ”ไม่อนุญาต” ให้มีการจัด”กิจกรรม” ที่เป็นภัยต่อ”ความมั่นคง” ของ”ประเทศไทย” ใน”ฐานะ”ที่”มาเลเซีย” เป็น”มิตรประเทศ” และเป็น”เพื่อนบ้าน” ที่มี”แนวชายแดน”ติดกัน ที่สำคัญวันนี้”ทั่วโลก” ต่าง”รับรู้” ว่า” มาเลเซีย” ให้การ”สนับสนุน” ขบวนการ”แบ่งแยกดินแดน” ทุกขบวนการ โดยการให้ใช้”พื้นที่”ของประเทศมาเลเซียเป็น”ฐานที่มั่น” โดย สำนักงานใหญ่ของ”บีอาร์เอ็น” อยู่ที่”รัฐกลันตัน”

ขณะที่”พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยที่ 4 ก็มีการ”ล้อมคอก” ภายในพื้นที่ของ 3 จังหวัด 4 อำเภอของ จ.สงขลา มีการวาง”กติกา” กับ โรงเรียนตาดีกา ในการจัด”กิจกรรม” ต่างๆ ต้องแจ้งให้หน่วยงาน”ของรัฐ” ที่ รับผิดชอบโรงเรียนตาดีกา ได้รับรู้ล่วงหน้า เพื่อให้”กิจกรรม” ที่จะมีการจัดขึ้นอยู่ในกรอบที่ไม่”หมิ่นเหม่” หรือผิด”กฎหมาย” ที่เป็นภัยกับ”ความมั่นคง” ของประเทศ ถ้า” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มีการ”ผนึกกำลัง”  และมี”แนวทาง” ที่มีความ”ชัดเจน” และกล้าที่จะ”พูดความจริง” และกล้าที่จะ”ขับเคลื่อน” ก็จะเห็นถึง”แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” พอที่จะเป็น”ความหวัง”ว่า”ไฟใต้” จะ”เบาบาง”ลง…..โดยเฉพาะเรื่องของการ”พูดคุยสันติสุข” ที่เรียกโดยฝ่ายไทย” และเป็นการ”เจรจาสันติภาพ” ที่เรียกโดย”บีอาร์เอ็น” ข่าวว่าทั้ง “ฝ่ายไทย” และ”รัฐบาลมาเลเซีย” มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องการ”เปลี่ยนตัว” ผู้ที่ทำหน้าที่”อำนวยความสะดวก” ในการ”พูดคุย” เพราะ”นายพลเฒ่า” อดีต “ผบ.ทบ.” ของ มาเลเซีย กำลัง”ทำเกินหน้าที่”ของ”ผู้อำนวยความสะดวก” เป็นผู้”ชี้แนะ” และ”วางกรอบ” ของการ”พูดคุย” ที่มาจาก”ความเห็นส่วนตัว” มากขึ้นมากๆ และก็เป็นข่าว”วงใน” เหมือนกันว่า  “ฝ่ายไทย” ก็อยากจะ”เปลี่ยนตัว” หัวหน้าคณะพูดคุยของไทยจาก”ฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็น”บุคคลอื่น” ซึ่งเป็นคนที่”เพื่อไทย” เลือกเอง ไม่ใช่มาจาก”ฝ่ายความมั่นคง” ที่ชี้ว่าจะต้องเป็น”คนของทหาร” เพราะ วันนี้”เพื่อไทย” มีความ”แข็งแกร่ง” มากขึ้น ไม่เหมือนกับที่ตอนตั้ง”รัฐบาล”ใหม่ๆ ที่อาจจะ”เอออวย”ทำตามที่” ทหาร” ต้องการ เพื่อรักษา”ความสัมพันธ์” อันดี

ส่วนเรื่องที่”หนักใจ” ทั้ง”ผู้ที่เป็น”รัฐบาล” อย่าง”เพื่อไทย” และนายกรัฐมนตรี” อย่าง”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน และ”คนไทย” ทั้งประเทศ คือเรื่อง”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” เพราะผ่านไปแล้วเกือบ 1 ปี ของ”รัฐบาล”ชุดนี้ ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” การค้า ,การลงทุน” ยังไม่มี”แสงสว่างที่”ปลายอุโมงค์” ให้มองเห็น โรงงานเจ๊ง ปิดตัวเอง เพิ่มขึ้นทุกเดือน “คนงาน” ที่”ตกงาน” ในวันที่อายุเลย 40 จะไปหางานที่ไหนทำ ความ”ลำบากยากจน” ของคนใน ประเทศ เพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมๆกับการ”ปิดตัวของโรงงาน”” พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน ผลิตแรงงานฝีมือ  ออกมาได้ก็จริง แต่ถ้า”เศรษฐกิจ” ที่ไม่”ขยับ” ไม่”กระเตื้อง” ถึง”กระทรวงแรงงาน” จะ”พัฒนา” ตลาดหุ้นดิ่งเหว” หันไป”ทางขวา” เห็นตัวเลของ”หนี้ครัวเรือน” ที่สูงเกิน”เกณฑ์มาตรฐาน” ก็รู้ถึงความ”เสดสา” ของ”ชาวรากหญ้า”  หันไปดู “พ่อค้า แม่ค้า” ใน “ตลาด ที่เคยมีเปิด”ร้านรวง” อยู่มากมาย วันนี้ เหลืออยู่กี่ร้าน เหตุผลที่ต้อง”ล้มหายตายจาก” เนื่องจาก”กำลังซื้อ”ของ”ชาวบ้าน” ที่เป็น”ลูกค้าประจำ” ต่าง”หดหาย” เพราะเงินใน”กระเป๋า” ที่ น้อยลงๆ ทุกขณะ จนกลายเป็น”โดมีโน่”  แม้แต่คนที่มี”รถยนต์” ที่เคยนำไปเข้า”ไฟแนนซ์” ในการ”หมุนเงิน”  วันนี้”ไฟแนนซ์” ปฏิเสธด้วยการไม่ปล่อย”สินเชื่อ”ก็ต้องถาม”คณะรัฐบาล” ที่ทำหน้าที่”บริหารบ้านเมือง”ว่า ถ้า “สภาพของบ้านเมือง” เป็นอย่างนี้ “บ้านนี้เมืองนี้” จะ”เดินหน้า” หรือจะ”ขับเคลื่อน”อย่างไร ……ก็ไม่เถียงนะถ้า “เสนาบดี” กระทรวงเกษตร “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” จะบอกว่า ว่า “ผลผลิต”ทางการ”เกษตร” เช่น “ยางพารา,อ้อย,มันสำปะหลัง” ราคาดี แต่ถ้า” เสนาบดี” กระทรวงพาณิชย์อย่าง” เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย” ไม่สามารถ”ควบคุมราคาสินค้า” ปล่อยให้มีการ”ขึ้นราคา” ตามใจชอบ เงินที่ได้มาจากการขาย”ผลผลิต” ทางการ”เกษตร” ก็ถูก”กลืนกิน”ด้วยราคาสินค้าที่แพงขึ้น เขาเรียกว่า”รายได้” ที่ได้มาถูก”สูบรีด” จาก “กลุ่ม”เจ้าสัว” ผู้”ผลิตสินค้า” ไปจนหมดสิ้น

อีก”ปัจจัย” คือเรื่องของ”ราคาน้ำมัน” ที่ “เสนาบดี”ของ”กระทรวงพลังงาน”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” ไม่สามารถ”ควบคุม”ได้ ทำให้ กลุ่มผู้ประกอบขนส่ง ต้องประกาศ”ขึ้นค่าขนส่ง” ฝ่ายของ”สายการผลิต” ก็ อย่างว่า”ต้นทุน”เพิ่มขึ้นจาก”ราคาน้ำมัน” และ”ค่าขนส่งสินค้าที่แพงขึ้น “ จึงต้อง”ขึ้นราคาสินค้า” เป็นไปตาม”ลูกโซ่” ดังนั้น วันนี้” เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน”นายกรัฐมนตรี” เห็นทีต้อง”หยุดทัวร์ต่างประเทศ” ก่อน และ หันมาทุ่ม”สรรพกำลัง” ในการ”กอบกู้”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ของคนในประเทศเสียก่อน ก่อนที่จะ”ย่ำแย่”ลงไปกว่าที่เป็น เพราะการ”ทัวร์ต่างประเทศ”ของ”เสี่ยนิด” ที่ไปมา มากมายหลายประเทศ ยังไม่เห็นอะไรที่”งอกเงย” ให้เห็น”เป็นชิ้นเป็นอัน” แม้แต่”ผ้าขะม้า” ที่ไป”ใส่โชว์” ก็ไม่มี”ยอดสั่งซื้อ” จาก”ต่างประเทศ”ให้เห็น……อีกโครงการหนึ่ง ที่”มีทีท่า” ว่าจะ”แผ่วปลาย” คือเรื่องของ” ซอฟต์พาวเวอร์” ของ”อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เคยมีการ”กล่าวขวัญ” มีการ”ผลักดัน” อย่าง”ร้อนแรง” วันนี้เรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” หน้าไปจาก”หน้าข่าว” หายไปจากความ”สนใจ” และหายไปจากการ”ผลักดัน” ของ”กระทรวง ของ หน่วยงานต่างๆอย่างน่าฉงน

หลังจากที่”สมศักดิ์ เทพสุทิน” ไปทำหน้าที่”เสนาบดี” กระทรวงสาธารณสุข ได้ไม่นาน ผลงาน”ชิ้นแรก” ที่ชาวบ้าน “พึงพอใจ” คือเรื่องการทำให้การ”ครองครองยาบ้า 5 เม็ด “ เป็น”ผู้ค้า” ส่วนการเป็น”ผู้เสพ” คือการมี”ยาบ้า” เพียงเม็ดเดียว ความจริงการเป็น”ผู้ค้า” และ”ผู้เสพ” ไม่ได้อยู่ที่ 1 เม็ด หรือ 5  เม็ด ที่อยู่ที่ การ”สอบสวน”ของ”ตำรวจ” หลังจาก”จับกุม” มีเพียง 1 เม็ด ก็เป็น”ผู้ค้า”ได้ ถ้ามี”หลักฐาน” ในการ”สืบสวนสอบสวนว่าเป็น”ผู้ค้า” เช่นเดียวกับมี 5 เม็ด ก็อาจจะมีไว้”เพื่อเสพ” ก็ได้ แต่ เมื่อ”กฎหมาย” บัญญัติ ว่า มี 1 เม็ด ถือเป็น”ผู้เสพ” ประชาชนพอใจ ก็ถือว่าเป็น”ความดีความชอบ” ของ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” ที่กลายเป็น”ผลงาน” ที่เข้าตาประชาชน ผิดกับ”ชลน่าน”สีแก้ว “ อดีต รัฐมนตรีสาธารณสุข  ที่เอาแต่”อธิบาย”ถึง”หลักการ” โดยที่”ชาวบ้าน”ไม่”รู้เรื่อง” และ”ไม่เข้าใจ” ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน  ทั้งหมดคือความสำคัญของการ”สื่อสาร”กับ”สังคม”

กลุ่มผู้ประกอบการ จังหวัดสงขลา เคลื่อนไหวแล้ว กับการประกาศ”ขึ้นค่าแรง” วันละ 400 บาท ของ “รัฐบาล” มีการ”รวมตัว” เข้าพบ”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา เพื่อ”คัดค้าน”การขึ้น”ค่าแรง” วันละ 400 บาท และ เชื่อว่า เรื่องการ”ขึ้นค่าแรง” ไม่ใช่เฉพาะที่ จ.สงขลา ที่ออกมา”เคลื่อนไหว” ทำการ”คัดค้าน” ทุกจังหวัด ก็จะมีการ”เคลื่อนไหว” ที่เหมือนกัน เพราะการขึ้น”ค่าแรง” แบบ”ก้าวกระโดด” เป็นเรื่องที่” กลุ่มทุน” โดยเฉพาะธุรกิต”เอสเอ็มอี” รับไม่ได้ และสิ่งที่ตามมา ถ้า ”รัฐบาล” ยังมีการ”ขึ้นค่าแรง”ตามที่มีการ”ประกาศ” ที่จะเริ่ม บังคับใช้ในเดือน ตุลาคม นี้ ประเทศไทยจะมีคน”ว่างงาน”เกิดขึ้น กับนโยบายการ”ขึ้นค่าแรง” ในครั้งนี้ เรื่อง”ค่าแรง 400 บาท ทางหนึ่ง “เห็นใจ” และ”เห็นด้วย” ที่คนจนจะมี”ค่าแรง” เพิ่มขึ้นเพื่อใช้”ต่อสู้”กับ”ค่าครองชีพ” ที่มีแต่”สูงขึ้น” อีกทางหนึ่ง ก็เห็นใจ” และ”เข้าใจ” ผู้ประกอบการ ที่ต้อง”แบกภาระ” เพิ่มขึ้น ในขณะที่”รายรับ” หรือ”กำไร” น้อยลง ดังนั้น หลังจากนี้  “รัฐบาล” คงต้อง”รับฟัง” ข้อ”เท็จจริง” อย่าง”รอบด้าน” อีกครั้ง ว่าจะมีการ”เดินหน้า” หรือการ”ปรับเปลี่ยน” การขึ้น”ค่าแรง” เพื่อให้ทั้ง”นายจ้าง” และ”ลูกจ้าง” ไปด้วยกันได้

หลังจากที่มีการ”เข้มงวด”การ”ขายน้ำกระท่อม” ใน พื้นที่ จ.สงขลา มาได้ระยะหนึ่ง วันนี้จำนวนผู้”ขายน้ำกระท่อม” เริ่มกลับมา”ต้มขาย” และ”วางจำหน่าย” ทุก”หัวระแหง” อีกครั้ง ล่าสุด”เอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา สั่งให้เจ้าหน้าที่”ฝ่ายปกครอง” ออก”กวาดล้าง” สามารถจับกุม”น้ำกระท่อม”ได้เป็นจำนวนมาก เรื่องของ”น้ำกระท่อม” วันนี้กลายเป็นปัญหาสังคมและเป็นปัญหา”โลกแตก” เพราะผู้ที่ใช้”แรงงาน” 80 เปอร์เซ็น ขาดน้ำกระท่อม เมื่อไหร่”ลงแดง” ไม่มีแรงทำงาน ผู้ได้รับ”ผลกระทบ”คือ”ผู้”รับเหมา”……ในขณะที่ปัญหาของ”ยาบ้า” และ”ยาไอซ์”  ยังคง”ระบาดหนัก” ในพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ ล่าสุด ตำรวจ สภ.นาทวี จ.สงขลา จับกุม “นายทุนมาเลเซีย” ที่เข้ามา”สั่งซื้อ” ยาไอซ์  ที่ อ.นาทวี จ.สงขลา ในขณะที่ “ลำเลียง” ไปยัง ชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อส่งไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” นี่คือผู้ค้าที่ถูกจับได้ แต่ที่”เล็ดรอด” ไปได้ ไม่รู้จำนวนมากน้อย เท่าไหร่…..ที่สำคัญ ก่อนการเลือกตั้ง ปัญหาของ”ยาเสพติด” เป็น”วาระแห่งชาติ” ในการ”หาเสียง”ของ”พรรคเพื่อไทย” หลัง”เลือกตั้ง” ปัญหาของ”ยาเสพติด” ถูกพรรคเพื่อไทย”พูดถึงน้อยลง” เพราะมัวแต่”มะงุมมะงาหรา” กับเรื่องของ”เศรษฐกิจ” วันนี้เรื่องการแก้ปัญหาการ”ระบาด” และการค้า”ยาเสพติด” จึงกลายเป็นเรื่องของ”กระทรวงยุติธรรม” เพราะมี”สำนักงานป้องกันและปรามปรามยาเสพติด” อยู่ในกระทรวง ดังนั้นจึงเห็นภาพของ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรียุติธรรม”  ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไป ภาคกลาง ภาค อีสาน เป็นว่าเล่น เพื่อ แก้ปัญหาการ”ระบาด”ของ”ยาเสพติด” ปัญหาของ”ยาเสพติด” ทุกฝ่าย ต้องร่วมมือ หรือ”บูรณาการ” เพื่อแก้ปัญหา ตราบใดที่ “ต่างฝ่ายต่างทำ โอกาสที่จะแก้ปัญหาการระบาดของยาเสพติด ก็ยัง”ล้มเหลว” เหมือนเดิม

หลังจากที่ “มาเลเซีย” ขึ้นราคาขายน้ำมันดีเซล ในประเทศของเขาเป็น ลิตรละ 26 บาท การ”ลักลอบ”นำเข้าน้ำมัน”ดีเซล” จากประเทศมาเลเซีย”ลดน้อยลง” แต่กลุ่ม”นายทุน” หันไป”ลักลอบ”นำเข้า”น้ำมันเบนซิน”มากขึ้น เพราะ “น้ำมันเบนซิน” ในประเทศมาเลเซีย ยังคงขายในราคาลิตรละ 16 บาท ในขณะที่”น้ำมันเบนซิน” ในประเทศไทย ลิตรละ เกือบ 40 บาท ก็ต้องถามว่า”ศุลกากร” ในแนวชายแดน ทำอะไรกันอยู่ จึงไม่มีการ”จับกุม” พวกท่านเห็นหรือไม่ว่า ริมถนน ทุกสาย ทั้งที่เป็น”ทางหลวงจังหวัด”และ”ทางหลวงอำเภอ” เต็มไปด้วยการ”ขายน้ำมันเถื่อน” ถ้า”น้ำมันเถื่อน”เหล่านี้ไม่ผ่านมาจากจะมาทางไหน เรื่อง”น้ำมันเถื่อน” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้”อธิบดีกรมศุลกากร” ต้องมาเห็นด้วยตา จะรู้ว่ามีการ”เปิดไฟเขียว” จาก หน่วยงานของท่าน จริงหรือไม่….. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก…

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’น้ำมันเถื่อน’ไม่ยอมตาย! ย้ายเส้นทางขนส่งจากบกลงทะเล

15 มิ.ย. 2024
109

การเมือง”ภาพใหญ่” ทั้งการ”ติดบ่วง” ความผิดตาม ม.112 ของ “ทักษิณ ชินวัตร “ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ดู”อึมครึม” มาหลายวัน แต่หลังจาก”นายใหญ่” ขึ้น”โชว์ตัว” ในงาน”บวชลูก” ของ “นักการเมืองใหญ่” ใน จ.ปทุมธานี” พร้อมประกาศบนเวทีด้วย”น้ำสียงที่หนักแน่นจริงจัง” ในการ”กลับมา” เพื่อเคียงข้าง”มวลชน” ที่ “สนับสนุน” และบอกอีกว่าความ”วุ่นวาย” ที่”สับสนอลหม่าน” ทำให้มีการ”เข้าใจผิด” มาจาก”คนในป่า” นี่เป็นการ”เปิดศึก” ที่”ชัดเจน” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ต่อผู้นำ”คนในป่า ที่แม้จะไม่บอก”ชื่อ แซ่” แต่คนรู้ทั้งประเทศว่า”หมายถึงใคร” และเป็นการ”การันตี” ว่า “ทักษิณ” พร้อมเข้าสู่”ขบวนการยุติธรรม”ใน”คดี” ที่ถูก กล่าวหา…..ส่วนในกรณีที่” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่”ติดบ่วงแล้ว” เรื่องแต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” อยู่ใน”ศาลรัฐธรรมนูญ” วันนี้ฝ่ายที่”เชื่อมั่น” ว่า”เสี่ยนิด” จะได้”ไปต่อ” มี” น้ำหนัก” และ”เหตุผล” ที่ น่าฟังได้ ว่า ยังเป็น”ตัวเลือก” ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” มากกว่า”ตัวเลือก” อื่น จาก”พรรคการเมือง”อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น”ป่ารอยต่อ” หรือจาก”พรรคที่เป็น”ดีเอ็นเอ”ของ”บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต”นายกรัฐมนตรี” เมื่อ”ผู้ที่จะมาแทนที่”เสี่ยนิด” ยังไม่ใช่”แพทองธาร ชินวัตร” ผู้เป็น”ดีเอ็นเอ”ของ”นายใหญ่” ก็แสดงว่า”เสี่ยนิด”เศรษฐา ทวีสิน” ต้องได้”ไปต่อ” ในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” และที่สำคัญ “”รัฐบาล” เพิ่งมีอายุเพียง”หนึ่งขวบ” ยังไม่เหมาะไม่ควรที่จะ”เปลี่ยนม้ากลางศึก” เพราะการให้”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” นำประเทศไปแบบ”ถูกลู่ถูกกัง” ก็จริง แต่ก็ยังมี”ทีม”จาก”กระทรวงการคลัง” มี”ทีม” ของ”เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย “รองนายกรัฐมนตรี”และ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง” รวมทั้งมี”นายใหญ่” ที่คอยเป็นผู้ “กำหนดเกมการเมือง” อยู่”หลังฉาก”

รอดูหลัง”งบประมาณ” ผ่านสภาผู้แทนราษฎร และโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ผ่านความ”เห็นชอบ” มีการ”ส่งผ่าน” เงิน “ 10,000 บาท ให้ถึงมือ “ประชาชน” เพื่อ”จับจ่ายใช้สอย” ในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ให้”ตะกร้าเงิน” มีการ”หมุนเวียน”ถึง 4 รอบ ตามที่“รัฐมนตรีช่วยคลัง” เผ่าภูมิ” เคยให้ “สัมภาษณ์” กับ”สื่อมวลชน” มาแล้วหลายครั้ง วันนี้ทุกคนรอดู”ผลลัพธ์” ของการแจกเงินตามโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ว่าจะ”เป็นจริง” ตามที่ให้”สัมภาษณ์”ไว้หรือไม่ และที่สำคัญ ถ้า”ดิจิตัลวอลเล็ต” ไม่สามารถ”ฟื้นเศรษฐกิจ”ของ”ประเทศ” และไม่สามารถทำให้”ปากท้อง”ของ”ประชาชน” ในระดับ”รากหญ้า” ให้พ้นจาก”วิกฤติ” สิ่งที่ตามมาคือ”ต้มยำกุ้ง”รอบที่สองใช่หรือไม่ หรือ”หวยเกษียณ” จะเป็นอีก”ทางเลือก”อีกหนึ่งทางของ”รัฐบาลเพื่อไทย” ที่จะมา”เขย่า” ให้เกิดความ”คึกคัก” กับ”ประชาชน” ที่จะทำได้”รวดเร็ว”กว่าโครงการ”อินเตอร์เทนเม็นท์คอมเพล็กซ์” หรือ”การเปิดบ่อนการพนัน” แบบถูกต้องตามกฎหมาย”อย่าง” มาเลเซีย, กัมพูชา” เพื่อนบ้านของประเทศไทยที่มี”บ่อนเสรี” คอย”กวาดต้อน” เศรษฐี นักการพนันไป”จับจ่ายใช้สอย” เพื่อนำเงินเข้าประเทศ  ซึ่ง”บ่อนเสรี” แม้จะมีการ”เคลื่อนไหว” อย่าง”คึกคัก” ในหมู่ของ”นักลงทุน” ในไทยที่พร้อมจะ”ร่วมดีล” กับ”กลุ่มทุนต่างประเทศ” แต่ก็ยังเป็นเรื่องของ”อนาคต” ที่ รอไม่ได้ หาก “รัฐบาล” ไม่สามารถทำให้”เศรษฐกิจ” ในประเทศ”กระเตื้องขึ้น”ก่อนผ่านปี 2567 ขึ้นปี 2568 เมื่อไหร่”สึนามิ”ทาง”เศรษฐกิจ” จะเกิดกับ”ประเทศไทย

ซึ่งฟังการประชุม”ครม.เศรษฐกิจ”ที่มี”เสี่ยนิด” นั่ง”หัวโต๊ะ” ก็เห็นชัดว่ามี”ความหวัง”ที่จะ”ฟื้นเศรษฐกิจ” โดยการ”เบิกจ่าย”ของ”ภาครัฐ” ให้ได้”ตามเป้า” และต้องการ”เพิ่มยอด” ของ”นักท่องเที่ยว” ที่เป็น”ต่างประเทศ” ตามที่ต้องการ ซึ่งล้วนแต่ยังไม่มี”ความแน่นอน” ยิ่งเห็น”ตลาดหลักทรัพย์” ที่”ดิ่งลง”จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี 7 เดือน ยิ่ง”ว้าเหว่” กับการ”ผงกหัว”ของ”เศรษฐกิจไทย” ในปี 2567…..การเลือก”สมาชิกวุฒิสภา” ( สว.) ผ่านระดับอำเภอไปแล้ว เพราะการ”คัดค้าน” ของกลุ่ม สว.ปัจจุบัน ที่ต้องการให้มีการ”ชะลอการเลือกตั้ง” รวมทั้งการ”ขู่” จะ “เล่นงาน” กกต. ว่าเป็นการจัดให้มีการ”เลือกตั้ง สว.” ที่”ส่อ” จะ”ผิดกฎหมาย”  ไม่เป็นผล  เพราะ กกต. ไม่ เลื่อน การ เลือกตั้ง วันที่ 16 ก็จะมีการเลือกตั้ง ระดับจังหวัด ซึ่งเป็นไปตาม”ไทม์ไลน์”  ที่จะมีการ”เลือกตั้ง” ระดับประเทศ ในวันที่ 26 มิถุนายน ที่จะถึงนี้…..ส่วนหลังจาก “เสร็จสิ้น” การ”เลือกตั้ง” ในระดับประเทศไปแล้ว จะมีการ”ร้องเรียน” เกิดขึ้น อย่าง”มากมาย” ขนาดไหน ซึ่งเป็นการ”ร้องเรียน” จาก สว.กลุ่มที่อยาก”รักษาการ”ยาวๆ กับ ผู้สมัครที่”แพ้เลือกตั้ง” ต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะการ”เลือก สว.” ครั้งนี้ มีความ”ผิดปกติ” เกิดขึ้นมากมายจริงๆ โดยเฉพาะการ”จัดฮั้ว”  ด้วยการ”จัดตั้ง” ผู้ที่ลงสมัครในทั้ง 20 กลุ่ม  เพื่อเลือก ผู้สมัคร ตั้งแต่ ระดับ”อำเภอ”ไปยัง”จังหวัด” และจาก”จังหวัด”ไปยัง”เมืองทองธานี” เพื่อการเป็น” สมาชิกวุฒิสภา” ซึ่งจะมี”ผู้ทรงเกียรติ”ที่เป็น”ผู้ทรงเกียรติ” จริงๆ สักกี่คน ”ร่างทรง” กี่คน

ที่ จังหวัดยะลา จังหวัดเดียว ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ร.ต.อ.สมนึก กุลมณี” ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดยะลา พบผู้”สมัคร” ที่ถูก”ว่าจ้าง” ให้มา “สมัคร” มากถึง 30 กว่าคน นี้ถ้าทุกจังหวัด มีการ”เอาจริง” ทำการ”ตรวจสอบ” ผู้ที่มาสมัคร ที่”ไม่ตรงปก” ที่มี “พิรุษ” ที่มาแบบ”เงะๆงะๆ” น่าจะมี”มือปืนรับจ้าง” ในการลง”สมัคร สว.” หลายร้อยคน ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า”กกต. จะมีการ”ดำเนินการ” อย่างไรกับผู้ที่พบว่ามี”หลักฐาน” และมีการ”สารภาพ” ว่าเป็น”มือรับจ้าง” อย่างไร และจะมีการ”สาวไปถึงผู้ที่บงการ” อยู่เบื้องหลังหรือไม่….เรื่องการ”เลือกตั้ง สว.” ในครั้งนี้ เป็นการ”บ่งชี้” อย่าง”ชัดเจน” ว่า วิธีคิดของ”มีชัย ฤชุพันธ์” ผู้ที่เป็น”หัวหน้าคณะ” ในการ”เขียนกฎหมาย” เพื่อใช้ในการ”เลือกตั้ง สว.” ในครั้งนี้”ล้มเหลว” เพราะแม้จะ”ออกแบบ” อย่าง”รัดกุม” ที่สุด  ให้มีการ”เลือกโดยตรง” จาก”ประชาชน” เพื่อไม่ต้องการเห็นการ”ซื้อเสียง” จาก”ประชาชน” แต่สุดท้าย ด้วยความที่”คนไทย” มี”ดีเอ็นเอ” ของ”ศรีธนนชัย” ใน”ตัวตน” ก็ทำให้เห็นว่า”นักจัดตั้ง” และ”นักเลือกตั้ง” รวมทั้ง”พรรคการเมือง” มีวิธีการที่ใช้”ช่องว่าง” ของ”กฎหมาย” ให้เป็นประโยชน์

แต่อย่างไรก็ขอแสดงความยินดีกับใครต่อใครหลายคนที่เป็นคน”มีชื่อเสียง” อาทิ” พล.ต.อ.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ” นายตำรวจน้ำดี อดีต “ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9” พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีต” แม่ทัพภาคที่ 4 “ กมล รอดคล้าย อดีตแลขาธิการ สพฐ “วิชัย โภชนกิจ “ อดีต” อธิบดีกรมการค้าภายใน”  อุดม ไชยชูลี” อดีต ผอ.หาดใหญ่วิทยาลัย เป็นต้น ท่านเหล่านี้เป็นคนที่มี”คุณภาพ” ก็ขอ”อวยพร” ล่วงหน้า ให้ทุกท่านเข้าถึง”เมืองทองธานี” ไปถึงรอบ”ตัดเชือก” เข้ารับตำแหน่ง” สมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติ” ส่วน”กลุ่มจัดตั้ง” ขาดทั้ง” คุณวุฒิ-วัยวุฒิ” แต่”ทะเยอทะยาน” เพื่อการเป็น”ผู้ทรงเกียรติ” ก็ให้กลับไปถามตนเองว่าจะ”เข้าไปทำอะไร” ในเรื่องที่”ตนเองไม่ความชำนาญ” การเข้าไปนั่งเป็น”ตุ๊กตาใบ้” ใน”รัฐสภา” อายเขานะ…..แต่ที่ต้องชื่นชม” คือ”สนามเลือกตั้ง สว.” ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่ง “เอก  ยังอภัยณ สงขลา” นายอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา สร้าง”บรรยากาศ”การเลือกตั้งให้มีการ”ผ่อนคลาย” เป็นกันเอง  ปล่อยให้การ”เลือกตั้ง” มีความเป็น”ธรรมชาติ”ของ”สังคมคน” ที่ต้องมีการ”โอภาปราศรัย” มีการ”แนะนำตนเอง” ก่อนที่จะ”ตัดสินใจ” ในการ”เลือก” โดยไม่ได้”เคร่งครัด” กับ”กฎระเบียบ” ซึ่ง”คนเขียนกฎหมาย” น่าจะอยู่บน”หอคอยงาช้าง” จนละเลยความเป็น”สังคมของมนุษย์”   ผู้อยู่ใน”สนามเลือกตั้ง สว.” ของ “หาดใหญ่” ฝาก “ขอบคุณ” เจ้าหน้าที่” ฝ่ายปกครอง” ทุกท่าน ที่”เหน็ดเหนื่อย” กับภารกิจในการ”เลือกตั้ง สว.”ในครั้งนี้

กลับจากการ”ดูงานเรื่องการจัดการขยะมูลฝอย” ที่”มณทลหางโหว” ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แล้ว “งานที่ยังรอ”สะสาง” ของ”สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา คือเรื่องการใช้”กฎหมาย” จัดการกับ”โพงพาง” 13 แถว  จำนวน 159 ปาก ที่เป็นปัญหาเรื่องของการ”รุกล้ำร่องน้ำการเดินเรือ” และเป็นเครื่องมือประมงที่”ผิดกฎหมาย”  ที่สร้างปัญหาให้กับการ”จราจรทางน้ำ” ของเรือทุกประเภท แม้จะมีการ”แจ้งความ” เพื่อ”เอาผิด”กับ”เจ้าของโพงพาง” จำนวน 30 ราย ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความ”คืบหน้า” จาก”ขบวนการของ”กฎหมาย” จาก”โรงพัก”ไปยัง”อัยการ” และ”ศาล” เรื่องนี้เป็นเรื่อง”ละเอียด” แต่ก็ให้เข้าใจถึงคน”สงขลา” จำนวนมาก ที่รอที่จะเห็น”ความศักดิ์สิทธิ์” ของ”ขบวนการยุติธรรม” อย่าลืมว่า”ความล่าช้า”ของ”ขบวนการยุติธรรม” คือความ”อยุติธรรม”…..ส่วน กระทรวงต่างๆ ที่”เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องการทำ”ผิดกฎหมาย” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ทั้ง”กระทรวงคมนาคม” ที่มีหน้าที่กำกับดูแล”กรมเจ้าท่า” และ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่มีหน้าที่กำกับดูแล”กรมประมง” ทำไมจึงไม่”สั่งการ” ให้”ประมงจังหวัด” และ”เจ้าท่าภูมิภาคสงขลา” ดำเนินการกับผู้ที่”ทำความผิด” รวมทั้งการ”แก้ปัญหาชาวประมง” ที่มีการอ้างว่าถ้าไม่ได้ทำ”โพงพาง” แล้ว “ครอบครัวจะล่มสลาย” ปัญหาของ”ทะเลสาบสงขลา” วันนี้ถูก”ปล่อยปละ” ให้กลายเป็นเรื่อง”ใหญ่โต” เกินกว่าที่” ผู้ว่าราชการจังหวัด” เพียงหน่วยงานเดียว จะแก้ได้ การแก้ปัญหาของ”ทะเลสาบสงขลา” ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องลงมา”เล่นด้วยกัน” ที่ สำคัญ” สส.ในพื้นที่ทั้ง 9 คน ต้องทำให้เป็น”นโยบาย” เพื่อให้ “รัฐบาล” เข้ามาเป็น”เจ้าภาพ”

โดยเฉพาะ”ความป่วยไข้” ของ”ทะเลสาบสงขลา” ที่ กลายเป็น”แหล่งรับน้ำเสีย” จาก”โรงงานอุตสาหกรรม” สารเคมีและ”ยาปราบวัชพืช”จากการทำ”เกษตรสมัยใหม่” และสิ่ง”เน่าเสีย” จากการ”เลี้ยงปลาในกระชัง” จนทำให้”ทะเลสาบตื้นเขิน” ที่”หน้าแล้ง” คนสามารถลงไป”เดินได้” แล้ว ถ้า”รัฐบาล” ยังไม่มีแผนการ”ขุดลอก” เชื่อว่าอีกไม่นาน”ทะเลสาบสงขลา” จะกลายเป็น”อ่างน้ำเสีย”ขนาดใหญ่ ไม่ใช่ ”เพชรเม็ดงาม” อย่างที่มีการเล่าขานในอดีต…..ที่ผ่านมาในการ”หาเสียง”ของ”นายกชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง “เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ “ และ”สส.เขต 5 จ.สงขลา  ได้ทำโครงการ”คืนเอกราชสิ่งแวดล้อม” ให้ จังหวัดสงขลา  โดยการ”เอาจริง” และ”เอาเรื่อง” กับ “โรงงานอุตสาหกรรม” ที่ปล่อยสิ่ง”ปฏิกูล” ลงใน”แม่น้ำลำคลอง” และไหลลง”ทะเลสาบสงขลา” วันนี้ยังมีการ”ขับเคลื่อน” อยู่หรือไม่ รวมทั้งเรื่องการ”ขุดลอกทะเลสาบสงขลา” ที่เคย”หาเสียง”กับ”ประชาชน”เอาไว้ วันนี้มีความ”คืบหน้า” อย่างไร หรือไม่ เรื่องนี้”ชาวสงขลา” รอฟังอยู่นะ คนที่พูดอาจจะลืม แต่”ประชาชน” จำได้

เรื่องของ”ไฟใต้” ที่น่าสนใจ ก่อนคณะของ”โอไอซี” หรือ”องค์การมุสลิมโลก” จะเดินทางมาเยือน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพียง 2 วัน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ก็”ฉวยจังหวะ” และ”โอกาส” สั่งการให้” แนวร่วม” ระดับ”เปอร์มูดอ” ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา”เคลื่อนไหวทาง”การเมือง” ในเชิง”สัญญาลักษณ์” ด้วยการ”แขวนป้ายผ้า” และ”พ่นสีบนถนน-สะพาน” กล่าวหาหรือ”โจมตี” “ประเทศสยาม” ก็หมายถึง”ประเทศไทย” และ”รัฐบาลไทย” ที่ไม่”จริงใจ” ในเรื่องของ”สันติภาพ” อย่างข้อความ”หยุดอ้างคำว่าสันติภาพเพื่อหลอกลวงประชาชน” ย่อมหมายถึงการ”พูดคุยสันติสุข” ของ”ประธานฝ่ายเทคนิค” ที่มีการประชุมกัน 2 ครั้ง แต่ไม่มีความ”ก้าวหน้า” ยังคง”พายเรือในอ่าง” เหมือนกับ 9 ปี ที่ผ่านมาส่วน”ป้ายผ้า”สันติภาพไม่ใช่ข้ออ้างเบิกทางให้นายทุนปล้นทรัพยากรฯ” เป็นการแสดงให้เห็นว่า” บีอาร์เอ็น” ยืนเคียงข้างกับ” เอ็นจีโอ” และ”กลุ่มประชาชน” ที่ทำการ”คัดค้าน” การ”พัฒนาอุตสาหกรรม” เช่นการ”ทำเหมืองแร่” ทำ”เหมืองหิน” ในพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”…..การออกมา”ขับเคลื่อน” ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อให้”ฑูตานุทูต”ของ”โอไอซี” ได้”รับรู้” ว่า ในพื้นที่มีความ”ขัดแย้ง” และมีการ”เคลื่อนไหว” ของ”ประชาชน” ที่”เห็นต่าง” ไม่ยอมรับ”นโยบาย” และ”อำนาจรัฐ” ในพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นการ”ลดทอน”ความชอบธรรม” และความ”น่าเชื่อถือ” ของ”กระทรวงต่างประเทศ” และ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เป็น”เจ้าภาพ” ในการ”ต้อนรับขับสู้” บรรดา”ฑูตานุทูต”ของ”โอไอซี” ที่เดินทางมา”ติดตาม” สถานการณ์ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันที่ 11-13 มิถุนายน ที่ผ่านมา นี่คือ”กลยุทธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่มีการ”ฉกฉวย” โอกาส และสร้าง”เงื่อนไข” เพื่อการ”โจมตี” รัฐบาลที่ยัง”เหนือชั้น” กว่า” หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่

และสิ่งที่ตามมาที่เป็นเหมือน”ปลายหอก” ที่มีการ”พุ่งเป้า” ไปยัง”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ด้วยการตั้งคำถามว่าในคืนวันที่  8  ที่”แนวร่วม” ระดับ”เปอร์มูดอ” ออกมา”แขวนป้ายผ้า” และ”พ่นสี” ในหลายพื้นที่ ของ 3 จังหวัด 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา ทั้งบนถนน”สายหลัก” และใน”ตัวเมือง” ในเขต”เทศบาล” เจ้าหน้าที่”ตำรวจ,ทหาร” และ”กองกำลังท้องถิ่น” อาสารักษาดินแดน,ชรบ. กว่า 50,000 ในคืนนั้นไปอยู่ที่ไหน ไม่มีใครเห็น”คนร้าย” หรือ”แนวร่วม” แม้แต่”คนเดียว” หรือ”กำลังทั้งหมด” เป็นเพียง”สัดใส่ข้าว” ที่ไม่มี”ความหมาย” อะไรเลยอย่างนั้นหรือ จะเห็นว่า”ป้ายผ้า” ของ”บีอาร์เอ็น” เป็นการ”ลงทุน”ที่”น้อยนิด” แต่เป็นเครื่องมือในการ”ทำลาย” ความ”เชื่อมั่น” และความ”เชื่อถือ” ของฝ่าย”ความมั่นคง” ให้”พังทลาย” ในความ”รู้สึก” ของ”คนในพื้นที่ ประเด็นนี้” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. จะ “คิดอย่างไร” และจะ”สั่งการ” ให้”กอ.รมน.ภาค 4 “แก้อย่างไร

อย่านะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อย่างบอกว่า เป็นเรื่อง”ปกติ ธรรมดา” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่  ออกมา”เคลื่อนไหว” เพื่อ”สร้างข่าว” และ”แสดง”ตัวตน” ที่ไม่ได้มี”สาระ” กับ “สถานการณ์”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพราะการมอง”สถานการณ์” และการ”พูดอย่างนี้” เป็นเรื่องของการ “แก้ตัว”แบบ”น้ำขุ่นๆ” เพื่อการ”กลบเกลื่อน” ความ”ล้มเหลว” และไร้”ประสิทธิภาพ” ในการทำหน้าที่ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รวมทั้งการ”จับกุม” กลุ่ม”แนวร่วม” ในขณะที่”ครอบครองป้ายผ้า” และ”อุปกรณ์”ในการ”ก่อเหตุครบครัน ในพื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี จำนวน 2 คน  อย่าบอกนะว่าเป็น”แนวร่วมหน้าขาว” ที่ไม่เคยก่อเหตุ เพราะทั้งสองคนเป็น” แนวร่วมซ้ำซาก” ที่ วนเวียน”ก่อเหตุ” ในพื้นที่ อ.สายบุรี และ ใกล้เคียง มาโดยตลอด  และ หวังว่าจากการ”ซักถาม” ทั้งสองคน จะมี”ความคืบหน้า” ให้ติดตามถึงผู้ที่”สั่งการ” ในพื้นที่….ล่าสุด มีการ”ซุ่มยิง” อาสาสมัครทหารพราน ของ ร้อย ทพ.4106  ที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่ บ้านบือซู หมู่ 6 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา  ขณะที่เดินออกจากฐานปฏิบัติการมา”ซื้อของ” ในร้านค้าที่อยู่หน้าฐานปฏิบัติการ ประเด็น ที่ต้อง”ถกแถลง”คือ แม้แต่”หน้าฐานปฏิบัติการ” ก็ไม่มีความ”ปลอดภัย” มี”แนวร่วม” ติดตามความ”เคลื่อนไหว” และมารอเพื่อ”ซุ่มยิง” เจ้าหน้าที่   ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหมายถึงความ”ล้มเหลว” ของงาน”มวลชน” และงาน”ยุทธวิธี” ใช่หรือไม่

เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” หรือ นักโทษหนีเรือนจำ” เชาวลิตร ทองด้วง” จบลงแล้ว ด้วยการเข้าไป”รับโทษ” ที่ก่อไว้ในเรือนจำบางขวาง แต่ คดีความของ”แป้ง นาโหนด” ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม”นักการเมืองท้องถิ่น” กลุ่ม”เจ้าหน้าที่” ที่”มีเอี่ยว” ในการ ช่วยเหลือให้”แป้ง นาโหนด” หลบหนีไปถึง ประเทศอินโดนีเซีย  และ”เครือข่าย” ขบวนการ”ค้ายาเสพติดข้ามชาติ” ของ”แป้ง นาโหนด” ในพื้นที่ของภาคใต้ โดยเฉพาะ”พัทลุง” และ”สงขลา” ยังอยู่กัน”พร้อมหน้า” เรื่องนี้” พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี”  ผบช.ภ.9 ต้องเร่ง”สะสาง” อย่าให้คนในพื้นที่”เข้าใจผิด” ว่า ขบวนการของ”แป้ง นาโหนด” ได้รับการ”ส่งเสริม” จาก”เจ้าหน้าที่” โดยเฉพาะ นายตำรวจใหญ่( บางคน ) ที่คน”วงใน” รู้ดีว่าเป็น”ลูกพี่” ที่ให้การดูแล “แป้ง นาโหนด” มาโดยตลอด…… ก็ต้องติดตามดูว่า คดีของ”แป้ง นาโหนด” ที่เกี่ยวกับ “เครือข่าย” การค้ายาเสพติด  จะเดินหน้าอย่างไร เพราะ”พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” เสนาบดี กระทรวงยุติธรรม ที่เป็น”แม่งาน” ในการ “ติดตาม” นำตัว”แป้ง นาโหนด” กลับประเทศไทยไทยได้ จะ”สั่งการ” ให้” ดีเอสไอ” และ” ปปส.” ดำเนินการต่ออย่างไร โดยเฉพาะความ”ร่วมมือ” กับ” รัฐบาลอินโดนีเซีย” ที่ “ร้องขอ” ให้ไทย ติดตามจับกุม”บุคคลสำคัญ” ใน ขบวนการค้ายาเสพติดของอินโดนีเซีย ที่หลบเข้ามา”ซ่อนตัว” ในประเทศไทย เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” ยังไม่จบ แต่ยังเป็น”หนังยาว” ที่เป็น”หนังชีวิต” ซึ่งหาก”แป้ง นาโหนด” เกิด”เปิดปาก” บอกความจริงทั้งหมด จะมี”ผู้คน” หลายกลุ่ม หลายก๊วน” ที่ต้องเดินทางไปสู้คดีที่”ศาลสถิตยุติธรรม”

อีกเรื่องที่สำคัญ มีข่าวว่า”มอดไม้” ที่มี”นายทุน” ให้การ”หนุนหลัง” มีแผนในการ “ตัดไม้ทำลายป่า” ในพื้นที่ของ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เกี่ยวพันกับนโยบายการ”ป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ”  ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่งถูก”คนในพื้นที่” มองว่าไม่”ประสบความสำเร็จ” ในการ”ป้องกันการบุกรุกป่า” ทั้งที่ในพื้นที่มีกำลัง”ทหาร,ตำรวจ”และ”กองกำลังท้องถิ่น” ถึง 50,000 แต่ปล่อยให้”ป่าไม้” ถูก”ทำลาย” โดย”มอดไม้” ตาม”ใบสั่ง”ของ”นายทุน” ไปอย่างมากมาย  ก็ได้แต่หวังว่า” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ จะ “สั่งการ” ให้มีการ”ป้องกัน” และที่”สำคัญ” คือการ”ทำลาย” กลุ่ม”นายทุน” และ”มอดไม้” ในพื้นที่ จึงจะสามารถ”รักษาผืนป่า” เอาไว้ได้  เช่นเดียวกับการ”เอาผิด “กับผู้”บุกรุก” ที่ดิน ป่าไม้” เพื่อการสร้าง”รีสอร์ต” สร้าง”โรงแรม” บนเกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ที่ เริ่มต้น เป็น”มะลิซ้อน” แต่วันนี้”ชักแผ่วปลาย” ที่ ”สุดท้าย” “กฎหมาย ก็ไม่สามารถ เอาชนะ “นายทุน” เหมือกับที่เคยดำเนินการกับ”นายทุนต่างชาติ” และ”นายทุนไทย” ที่ทำผิดกฎหมาย ใน “เกาะสมุย” มาแล้ว และก็”ล้มเหลว” โดยไม่มีการ”เดินต่อ” อย่างมี”เงื่อนงำ” ครั้งนี้” แม่ทัพต้น” อย่าให้เขา”สบประมาท”ว่า”บ่มิไก๊” เหมือนกับ หลายคน ที่เคยเข้าไป”จัดการ” กับกลุ่ม”ทุนจีน” และ”หงายเงิบ” ออกมา

ปัญหาของ”ยาเสพติด” ยัง”ระบาดหนัก” ในพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ทั้ง”ยาบ้า,ยาไอซ์,น้ำกระท่อม,กัญชา” ยังไม่มี”แผ่วปลาย” ให้เห็น ขบวนการที่ประกาศจะ”เอาจริง” กับการ”แก้ปัญหายาเสพติด” ของ”ประเทศไทย และที่”แผ่นดินปลายด้ามขวาน” ที่เป็น”ประตู” ในการ”ส่งออก” ยาเสพติดไป”ประเทศที่สาม” วันนี้กำลัง”แผ่วปลาย” ทุกหน่วยงาน”เงียบๆเหงาๆ” เพราะไม่มีการ”กระตุ้น” ทั้งจาก”ภาครัฐ” และ”ประชาชน” สุดท้าย”การแก้ปัญหา”ยาเสพติด” ก็กลับไปสู่”อีหรอบเดิม” คือ” กลุ่มทุนเริงร่า” กลุ่ม”พ่อค้าร่ำรวย” และ”เจ้าหน้าที่ รับทรัพย์” ส่วน”ประชาชน” กลายเป็น”คนติดยา” ที่ไม่มี”คุณภาพ” และ ไร้ซึ่ง”อนาคต” นี่คือ”ประเทศไทย” ที่ทุกอย่างขึ้นต้น”สวยหรู” และลงท้าย”รุ่งริ่ง”

เพื่อเป็นการ”กระตุ้น” เศรษฐกิจในเมือง”ชายแดน” ที่จะ”รุ่งเรือง”หรือ”ซบเซา” อยู่ที่”การท่องเที่ยว” ของ เมืองชายแดนไทย-มาเลเซีย” ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา “พ.ต.อ.สุรจิตร เพชรจอม” ผกก.สภ.สะเดา จ.สงขลา จึงได้ร่วมกับ”ทุกภาคส่วน” ทั้ง”ภาครัฐ “และ”เอกชน” จัด”เทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่ กับวงร็อคแอนด์โรลในตำนานอย่าง “IOSO” ที่มากันครบทีม  พร้อมกับทายาทมากความสามารถอย่าง” TIGER อย่าง  เสือ เสฎกานต์ “  และวง “ LUSTER BAND “ เพื่อสร้าง”สีสัน”และความ”บันเทิง” ให้กับ  นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย และ พี่น้องชาว “ด่านนอก” และ”ใกล้เคียง” ในวันที่ 29 มิถุนายน 2567 เวลา 18 .00  น เป็นต้นไป

วัวเถื่อน จาก ภาคกลาง ภาคเหนือ ถูกส่งลงพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ในเดือนมิถุนายน เป็นจำนวนมาก เพื่อ”ข้ามฝั่ง”ไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อใช้ในการประกอบพิธีศาสนา”เชือดเนื้อกุรบาน” ใน วัน”อีดิ้นอัฎฮา” ขบวนการ”ค้าวัวเถื่อน” ใน จ.นราธิวาส เป็นของใคร นักการเมืองคนไหน สังกัดพรรคไหน เป็นที่รู้ดีทั้ง “ประชาชน” และ”เจ้าหน้าที่”  ถ้าแม้แต่”ทหาร” ที่ รับผิดชอบใน”แนวชายแดน” ยังไม่กล้าที่จะ”จัดการ” ก็อย่าได้หวังว่า”ฝ่ายปกครอง” และ”ตำรวจ” หรือ”ปศุสัตว์” จะกล้าเข้าไป”ยุ่งเกี่ยว” ยิ่ง”เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” เปิด”ไฟเขียว” ให้ด้วย ก็ต้องยอมให้”เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่” อยู่เหนือ”กฎหมาย” บ้านเมืองไปก็แล้วกัน

เหมือนกับเรื่อง “ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” ที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”ปราบปราม”ไม่ได้ผลเพราะ”เจ้าหน้าที่” ที่เป็น”หน่วยงานหลัก” ต่าง”มองไม่เห็น” การนำเข้ามาของ”น้ำมันเถื่อน” แต่ หลังจากนี้ การนำเข้า”น้ำมันเถื่อน” จากประเทศมาเลเซียในกลุ่มของ”ดีเซล” อาจจะน้อยลง เพราะ”เศรษฐกิจ” ที่”ย่ำแย่” ของ”มาเลเซีย” ทำให้ “รัฐบาลมาเลเซีย” ที่มี” อันวาร์ อิบราฮิม” เป็น”นายกรัฐมนตรี” มีนโยบาย”เลิกอุ้ม” ชาวมาเลเซียให้ใช้น้ำมันใน”ราคาถูก” มีการ “ปรับขึ้น” ราคา”น้ำมันดีเซล” จาก” ลิตรละ 16 บาท เป็น 26 บาท กลายเป็น”สวรรค์ล่ม” ของ”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” จาก”ประเทศไทย” เพราะถ้าราคา”น้ำมันมาเลเซีย”ไม่มี”ส่วนต่าง” กับราคาน้ำมันในประเทศไทยที่ลิตรละ 10 บาทขึ้นไป ก็จะไม่”จูงใจ” ให้มีการ”ลักลอบ” เพราะไหนต้องจ่าย”ส่วย” เป็น”ทางผ่าน”แล้ว ยังต้องขายให้กับ”ผู้ซื้อ” ในราคาที่ต่ำกว่า”หน้าปั๊ม” ในประเทศไทยถึงลิตรละ 3 บาท เหลือ”กำไร” ที่ “น้อยนิด” ไม่เพียงพอในการ” เลี้ยงดูปูเสื่อ” เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ” และ”นักบิน” ที่”ตีกิน”ไม่หยุดหย่อน  แต่”น้ำมันเถื่อน” ก็ไม่หมดไปทีเดียว เพราะจะมีการ”ลักลอบ” นำมา ขาย ในพื้นที่ อำเภอชายแดนเป็นหลัก ดังนั้น จ.สงขลา ยังเป็น”ดินแดน”แห่ง”น้ำมันเถื่อน” เหมือนเดิม “กำไรน้อย” แต่ก็ยัง”อยู่ได้” และ”ส่วย” ที่ต้อง”จ่าย” ให้” เจ้าหน้าที่” ก็อาจจะ”น้อยลง”แต่ก็ดีกว่า”ไม่มี” ไม่ใช่หรือ

และหลังจากนี้ไป “น้ำมันเถื่อน” จะเดินทางมา”ทางเรือ” จาก”ประเทศสิงคโปร์ มากขึ้น เพื่อ”แทนที่”น้ำมันเถื่อน” ที่มา”ทางบก” จากประเทศมาเลเซีย” น่านน้ำ” ใน”อ่าวไทย” ตั้งแต่ จ.นครศรีธรรมราช,สุราษฎร์ธานี,ชุมพร,ประจวบ, สมุทรปราการ, จนถึง” ชลบุรี,ระยอง” จะเป็น”เส้นทาง” การนำเข้า”น้ำมันเถื่อน” มากขึ้น เป็นหน้าที่ของ” ตำรวจน้ำ” และ”ศรชล” ของ”กองทัพเรือ” ที่ต้อง “สกัดกั้น”   แต่ถ้า “น้ำมัน”ที่”ถูกต้อง” ที่ออกมาจาก”โรงกลั่น” ทั้ง 5  แห่ง ในประเทศไทย ราคายัง”แพงเวอร์” ก็ยากยิ่งที่จะ”สกัดกั้น” การค้า”น้ำมันเถื่อน” ของกลุ่ม”นายทุน” เพราะในวงการ”อุตสาหกรรม” และ”ขนส่ง” คือ กลุ่มที่มีความต้องการ”น้ำมันราคาถูก” คือ” น้ำมันเถื่อน” เพื่อใช้ในการ”ลดต้นทุน” ของกิจการให้มี”กำไร”…..ถ้า” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เสนาบดีกระทรวงพลังงาน ยังทำตัว”โอ้เอ้วิหารราย” ไม่สามารถใช้”มาตรการ” ที่เป็น”กฎหมาย” ของ”พลังงาน” เพื่อ “กำหนด”ราคาขายปลีกที่”เป็นจริง” และ”เป็นธรรม” การที่จะ”จัดการ”กับ”น้ำมันเถื่อน” ไม่มีทางสำเร็จ ถ้าไม่เชื่อ ก็ดูกันต่อไป…… แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’โพงพางทะเลสาบสงขลา’ พ่นพิษ! แจ้งเอาผิดเจ้าหน้าที่ ม.157

07 มิ.ย. 2024
121

ภาพใหญ่ของประเทศไทย ที่ถูก”จับตามอง” ทั้งในประเทศและ”ต่างประเทศ” คือเรื่องที่”ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิด “มาตรา 112 “ เพราะถูก”อัยการสูงสุด” เป็นผู้สั่งฟ้อง เรื่องความผิดตาม”มาตรา 112 “ ไม่ใช่ความผิด”ทางการเมือง” แต่เป็นความผิด”อาญา”ที่หากมีการ”สั่งฟ้อง” ต้องมีการสู้คดีกันยาวนานถึง 3 ศาล การที่มี”โซ่ตรวณ” ติดขาอยู่ข้างหนึ่ง เป็นเหมือน”ชนักปักหลัง” ที่คงจะทำให้การ”ขับเคลื่อน” หรือการ”เคลื่อนไหว” ทาง”การเมือง”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เชื่องช้า และคงจะไม่”เลยธง” อย่างที่ผ่านมา หลังจากออกจาก”โรงพยาบาลตำรวจ” แต่ทุกอย่างไม่มี”อะไรแน่นอน” สำหรับ”บุคคลพิเศษ” อย่าง”ทักษิณ ชินวัตร” ที่ยากแก่การควบคุม…..ในขณะที่”เศรษฐา ทวีสิน “ นายกรัฐมนตรีตาม”รัฐธรรมนูญ” ก็กลายเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่มี”ชนักปักหลัง” จากกรณีการถูก”ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำการ”ล่ามโซ่” เพื่อรอการ”ตัดสิน”ว่า “ผิด”หรือ”ถูก” ในกรณีที่แต่งตั้ง”พิชิต ชื่นบาน” เป็น “รัฐมนตรีสำนักนายก” แม้ว่า”พิชิต”จะลาออกจากตำแหน่ง”รัฐมนตรี”ไปแล้ว แต่”เศรษฐา ทวีสิน” คนที่”แต่งตั่ง ยังไม่พ้น”โซ่ตรวณ” ของกฎหมาย”รัฐธรรมนูญ”…..แม้ทั้ง”นายใหญ่” ที่ถูกมองว่าเป็น”นายกนอกรัฐธรรมนูญ” และ”เสี่ยนิด” นายกรัฐมนตรีที่มากับ”รัฐธรรมนูญ” ต่างก็มี”ชนักติดหลัง” และไม่มั่นใจว่าจะ”ออกหัว-ออกก้อย” เพราะถ้า”มั่นใจ” คงจะไม่ต้อง”วิ่งแจ้น” ไปใช้บริการจาก”เนติบริกร” อย่าง “วิษณุ เครืองาม “ ให้มารับตำแหน่ง “ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย” ที่น่าจะ”เทียบชั้น” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย  ทั้ง สองกรณี ที่เกิดขึ้นกับ”ทักษิณ” และ”เศรษฐา” จึงกลายเป็นจุด”เปราะบาง” และความ”ง่อนแง่น” ของ”รัฐบาล” ที่ไม่ส่งผลดีต่อ”ประเทศไทย” ในทุกด้าน โดยเฉพาะด้าน”การเมือง” ที่”ระส่ำระสาย” และ”ไร้เสถียรภาพ”

แน่นอน การเมืองที่”ง่อนแง่น” ยอมส่งผลกระท่อ”เศรษฐกิจ”อย่างหนีไม่พ้น และต้องยอมรับว่า เกือบปีของ”รัฐบาล” ที่มี”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน “ เป็นผู้นำ “เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศไทย” ยังไม่เห็น”ทางออก” แม้ว่าราคาพืชผลทางการเกษตรอย่าง”ยางพารา,อ้อน,มันสำปะหลัง” จะมี”ราคาดี” แต่ในด้านอื่นๆ เช่น”การ”ส่งออก” ที่”ติดลบ”การที่โรงงานอุตสาหกรรม”ปิดตัว” การที่”หนี้สินครัวเรือน” เพิ่มสูงอย่างหมดทาง”เยียวยา” และราคา”น้ำมันเชื้อเพลิง” ที่เป็น”ปัจจัยหลักของการผลิต” มีราคาที่แพงเกินกว่าที่”รัฐบาล” จะทำการ”ควบคุม”ได้ และการที่ผู้ผลิต”ขึ้นราคาสินค้า” โดยอ้าง”ราคาน้ำมัน” และ”ค่าแรง” ที่เพิ่มสูงขึ้น คือ”ปัจจัยซ้ำเติม” ให้”เศรษฐกิจ”มีแต่””ซวนทรุด” ส่งผลกระทบเป็น”ลูกโซ่” ตั้งแต่ธุรกิจ”เอสเอ็มอี” จนถึงร้านค้า”รายย่อย”และ”แบกะดิน” เพราะ”กำลังซื้อ”ที่”หดหาย”อย่างน่า”ใจหาย” ของคน”ระดับกลาง”และ”รากหญ้า” และ น่าจะรอเงินแจกจาก”ดิจิตัลวอลเล็ต”ไม่ไหว เพราะกว่าจะได้รับการ”แจก” ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน “เศรษฐกิจไทย” จึงเข้าตำรา”ถั่วสุกงาไหม้” และที่สำคัญ แม้ว่า”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน จะเดินทางไป”ขายไอเดีย” ชักชวน”กลุ่มทุน” จากประเทศต่างๆ ให้มา”ลงทุน” และ”ร่วมทุน”ในประเทศไทย ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ตั้งแต่เดือนแรก แต่จนถึง “ณ บัดนี้” ยังไม่เห็นการ”ตอบรับ”จากกลุ่มทุนไหน มีแต่ ข่าว ว่าจะๆ เท่านั้น…..เช่นข่าวว่า “จีน”และ”ญี่ปุ่น” สนใจโครงการ”แลนด์บริดจ์” ที่เป็น”สะพานบก” เชื่อม”สองฝั่งทะเล” ที่ จ.ชุมพร และ จ.ระนอง แต่ เอาจริง เข้า วันนี้โครงการ”แลนด์บริดจ์” ยังเป็นโครงการที่ไม่”เสด็จน้ำ” มีความ”เห็นแย้ง” และ”เห็นต่าง” ของ “นักวิชาการ” และที่เห็นชัดๆคือ”คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ” ยังอยู่ระหว่างการ”จัดเวทีแสดงความคิดเห็น” ของ”กลุ่มต่างๆ” เกี่ยวกับเรื่องของ”แลนด์บริจด์” ที่ยังไม่มี”ข้อสรุป” จาก”ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญ”แลนด์บริจด์” แม้จะเกิดขึ้นได้ ก็เป็นเรื่อง”อนาคต” แต่วันนี้คือปัญหา”เฉพาะหน้า” ที่เป็นเรื่อง”หนักหนา” สำหรับประเทศไทย ที่ยัง”มองไม่เห็นทางออก

เช่นเดียวกับเรื่อง”ราคาพลังงาน” ที่แม้ว่า”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” รัฐมนตรี”พลังงาน”จะมีข่าวเป็นระยะๆ ว่าอยู่ระหว่างการ”แก้กฎหมาย” เพื่อให้สามารถเข้าไปดู”ข้อมูล”ของ”ต้นทุน” ที่แท้จริงของ”ขบวนการกลั่น” การผลิต ของ”โรงกลั่น” เพื่อที่จะให้”กระทรวงพลังงาน” สามารถ”กำหนด” ราคา”จำหน่าย” น้ำมันในประเทศไทย แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า”เป็นรูปธรรม” ขบวนการที่จะ”ควบคุมราคา”ในการ”จำหน่าย”หรือ”ขายปลีก” น้ำมันเชื้อเพลิงยังคง”ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก” เพราะที่ผ่านมา “ประเทศนี้” ปล่อยให้”กลุ่มทุนเชื้อเพลิง” ทำการ”ผูกขาด” มี”อำนาจ” เหนือ”รัฐบาล” มาเป็นเวลานับ 100  ปี เป็นการ”หยั่งรากลึก” จนยากที่ฝ่าย”การเมือง” จะเข้าไป”ผ่าตัดโครงสร้าง” ที่”นายทุน-ขุนศึก” ต่างเข้าไปมี”ผลประโยชน์” กับ”กลุ่มทุนพลังงาน”……ล่าสุดมีการออกข่าวว่า”ซีโนเปค” ยักษ์ใหญ่ “น้ำมันเชื้อเพลิง” จาก”ประเทศจีน” จะเข้ามามี”ส่วนร่วม” ใน”ตลาดน้ำมัน”ของประเทศไทย มีการ”กว้านซื้อปั๊มบางยี้ห้อ”ในประเทศไทยไว้แล้ว เพื่อที่จะ”ขายปลีก” น้ำมันให้”ผู้ใช้” ใน”ราคา” ที่”ถูกกว่า” ก็อย่าเพิ่ง”ดีใจ” เพราะ”สุดท้าย”แล้วจะ “ดีใจเก้อ” อย่าหวังว่า”กลุ่มทุนจีน” จะ”ฉลาดน้อย” ในเรื่องการ”ค้าขาย” สุดท้ายแล้วก็จะมีการ”ซูเอี๋ย” ระหว่าง”ทุนใหญ่”ด้วยกัน และร่วมกันทำ”กำไร” บนความ”เจ็บปวด” ของผู้”เสียภาษี” อย่าง เราๆ ท่านๆ เรื่องของ”พลังงาน” เป็นเรื่องของ”รัฐบาล” และ”กระทรวงพลังงาน” ที่ต้องร่วมมือกัน”รับผิดชอบ” ในเรื่องการ”ผ่าตัดโครงสร้าง” ของโรงกลั่น” เพื่อสร้างความ”ชอบธรรม” และ”เป็นธรรม” ให้กับ”ประชาชน”ทุกชนชั้นในประเทศนี้”ต่างชาติ” ไม่มี”ชาติไหน” ที่ หวังดีดับ”ประเทศไทย” ถึงขั้นที่จะ”ขายน้ำมันในราคาถูก เพื่อ”แข่งขัน”กับ”ยักษ์ใหญ่” อย่าง”ปตท.และ”บางจาก”

ถ้าจะคบกับ”จีน” ก็ให้ดู”บทเรียน” ของ”ล้งจีน” ที่กลายเป็นผู้ที่”ผูกขาด” และกำหนดราคาของ”ผลผลิต” ที่”คนไทยเป็นเจ้าของ” เช่น”ทุเรียน,มังคุด”,มะม่วง” และ”อื่นๆ ที่วันนี้”จีน”คือผู้”กำหนดชะตากรรม” ของ “เกษตรกร”ไปแล้ว หรือให้ดูการ”ทะลักทลาย” เข้ามาของ”สินค้าจีน” ที่แม้แต่”ห้างใหญ่ๆ” ที่เป็นของ”เจ้าสัว”ในประเทศไทยยัง”หวั่นไหว” และ”ต้าน”ไม่อยู่ เชื่อเถอะเรื่อง”ธุรกิจ การค้า” ไม่มีคำว่า”จีนไทย อื่นไกลพี่น้องกัน”…..เช่นเดียวกับเรื่อง ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันที่”ตกต่ำ” ทั้งจากการ”เห็นแก่ตัว”ของ”เกษตรกร” ที่ทำการ”ตัดปาล์มสุกแดด” มาขาย ความเห็นแก่ตัวของ”ลานปาล์ม” และ ความเห็นแก่ตัวของ”โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม” ทุกฝ่ายต่างคิดเรื่อง”กำไร” และ”เห็นแก่ตัว” แต่ไม่มีคำว่า”ส่วนรวม” สุดท้ายราคาปาล์มจึง”ดิ่งเหว” จนกลายเป็นเรื่องของ”รัฐบาล” ที่ต้องเข้ามา”แก้ไข”ปัญหาที่เกิดขึ้น…..กลไก ในการ แก้ปัญหาเรื่อง”ผลผลิตทางการเกษตร”ไม่ว่าเป็น”พืชชนิดไหน” ด่านแรกที่ต้อง”ดำเนินการ” คือ” ผู้ว่าราชการจังหวัด” และ”พาณิชย์จังหวัด” ที่ต้อง”เห็น”และ”รู้” ถึงปัญหา ก่อนที่ปัญหาจะ”ลุกลาม”ไปยัง กระทรวงที่รับผิดชอบ และ”รัฐบาล “ แต่ที่ผ่านมา “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ก็ไม่ได้”ใส่ใจ” นั่งรอให้ปัญหา”สุกงอม” ต้องมีการ”ประท้วง” ต้องมีการ”เดินขบวน” ฝ่ายปกครองจึงจะ”ขยับตัว” เช่นเดียวกับ”พาณิชย์จังหวัด” ที่ไม่ได้”ติดตามปัญหา” ที่เกิดขึ้นแต่”เริ่มแรก” พอ”ฝีแตก” จึง”กระตือรืนล้น” ลงไป รับรู้เรื่องราว ที่เกิดขึ้น หรือเหมือนกับที่”ชาวบ้าน” เขา”นินทา”กันว่า” หน้าที่ของ”พาณิชย์จังหวัด” ที่”พบเห็น”และ”เป็นข่าว” มีอยู่ 2 เรื่อง 1 ตรวจกระเช้าของขวัญ” เมื่อใกล้”วันปีใหม่ และ 2 การออกตรวจ”ชุดสังฆทาน” ในร้ายขายเครื่องสังฆพันธ์ ส่วน สินค้าอื่นๆ จะขึ้นราคาเท่าไหร่ น่าจะไม่ใช้”หน้าที่”ของ”พาณิชย์จังหวัด เรื่องนี้ “วัฒนศัพท์ เสือเอี่ยม” อธิบดีกรมการค้าภายใน”ต้องรับฟัง” เพราะเป็นเสียงของ”ประชาชน

และวันนี้”คำสั่ง” จาก “กรมการค้าภายใน” ให้ “ลานปาล์ม” รับซื้อปาล์ม ในราคา กิโลกรัมละ 4.50 บาท ก็”พ่นพิษ” มี”ลานปาล์ม” หรือ”ลานเท” ส่วนหนึ่ง หยุดรับซื้อ ส่วนที่เปิดอยู่ก็”รับซื้อ” ในราคา กิโลกรัมละ 3.50 บาท ถ้าเกษตรกรมาขาย ก็ไปขายที่อื่นที่เขาให้”ราคาแพง” เท่ากับที่ กรรมการค้าภายใน สั่งการ นี่คือ”เรื่องจริง” ที่ผู้ที่นั่งอยู่”บนหอคอยงาช้าง” ไม่เห็น และทุกอย่างก็จะจบลงที่”ผมสั่งไปแล้ว”….ที่ผ่านมา”มะนาวแพง,พริกแพง,ไก่ไข่แพง,หมูแพง” “รัฐบาลก็โทษ”ดินฟ้าอากาศ” เป็นเพราะ”หน้าร้อน” ทำให้”ผลผลิตน้อย” ขาดน้ำ “ผักหญ้า” แพงทุกอย่าง แม้แต่”ไก่” ก็”ไม่ใช่” เพราะ”อากาศ” วันนี้”หมดหน้าร้อน และย่างเข้า”หน้าฝน” แล้ว ก็ต้องฟังว่า”รัฐบาล” แนะ”กรมการค้าภายใน” จะหาสาเหตุอะไรมาบอกกับ”ประชาชน” เพราะราคาสินค้าที่ขึ้นไปแล้ว”ไม่ลดลง”แต่อย่างใด ฟัง “ภูมิธรรม เวชยชัย “ รองนายกรัฐมนตรี และ “เสนาบดี” กระทรวงพาณิชย์ บอกว่า “สินค้าขึ้นได้ก็ลงได้” ไหน ลงยกตัวอย่างมาให้ฟังหน่อยว่า สินค้าที่”ขึ้นราคา”ไปแล้ว มีกี่อย่างที่กลับ”ลงมา” เท่าเดิม

ที่ต้องชมว่าดีก็ต้องชม เช่นวันนี้ เกษตรกรชาวสวนยาง”ยิ้มกว้าง” เพราะราคายางพาราที่แห่ขึ้นในรอบ 7 ปี วันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา ราคา”น้ำยางสด” พ่อค้ารับซื้อจาก”ชาวสวน” กิโลกรัมละ 80 บาท เป็นราคาที่ “เจ้าสวน” และ”ลูกจ้าง” พอใจ และ”อยู่ได้”  ก็ต้อง ชื่นชม “บอร์ดการยางแห่งประเทศไทย” และ” รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดี “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนที่”ทางการโฆษณา” ว่าราคายาง “ทะลุกิโลกรัมละ 100 “ ขอให้”เข้าใจ” เสียใหม่ว่า นั้นเป็นราคา”ยางแผ่นรมควันชั้น 1 “ ที่ “ซื้อ-ขาย” ใน”ตลาดกลางยางพารา” เป็น”ยางของนายทุน” ไม่ใช่ของ”ชาวบ้าน” เพราะวันนี้”ชาวสวนยาง” ขายน้ำยางสด และ “ยางก้นถ้วย” และ ขายให้กับ”พ่อค้า” ที่ตั้งจุด”รับซื้อ” ใน”หมู่บ้าน ตำบล ดังนั้น”ราคาที่ตลาดกลาง” ไม่ใช่”ของจริง” ที่จะทำให้”เกษตรกรชาวสวนยางได้อานิสงค์” แต่อย่างใด “เสนาบดี” และ”ข้าราชการประจำ” รู้ไว้ด้วย

เรื่องของ”โพงพาง” เครื่องมือ”จับสัตว์น้ำ” ที่”ผิดกฎหมาย” ใน”ทะเลสาบสงขลา”  วันนี้”กลายพันธุ์”ไปสู่ความ”เห็นด้วย” และ”เห็นต่าง” ในการดำเนินการเพื่อการ”แก้ปัญหา” เช่น”สมโภชน์ โชติชูช่วง” อดีต รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รับไม่ได้ที่ หน่วยงานที่รับผิดชอบไม่”ดำเนินการตามกฎหมาย” กับ”เจ้าของโพงพาง”  จึงได้”ร้องทุกข์กล่าวโทษ” กับ หน่วยงานราชการ ที่มีหน้าที่ในการ “รักษากฎหมาย” เช่น ประมงจังหวัด ,เจ้าท่าจังหวัด ตำรวจน้ำกองกำกับ 7” และ” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา”  ตาม มาตรา 157 คือ”ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” ซึ่งผู้ที่”ถูกกล่าวหา” ก็ต้องนำ”พยาน หลักฐาน” ต่อ”พนักงานสอบสวน”ว่าไม่ได้”ละเลย” ต่อ “ความผิด” ที่เกิดขึ้น  การ แจ้งความ”เอาผิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐ “ ใน ม.157 นั้น พนักงานสอบสวน ต้องสรุปสำนวนภายใน 30 วัน จึงเป็น”เผือกร้อน” ที่อยู่ในมือของ “พ.ต.อ.บรรเทิง เหล่าเจริญ” ผกก.สภ.สงขลา ที่ผู้สนใจต้องติดตาม

เรื่องของ”โพงพาง” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ที่เป็นทั้ง”เครื่องมือประมง” ที่ผิดกฎหมาย และทั้งการ”รุกร่องน้ำการเดินเรือ” วันนี้ ปัญหาใหญ่เกินกว่าที่”ท้องถิ่น” ฝ่ายเดียวจะ”จัดการ”ได้ “สมนึก พรหมเขียว” ทำหนังสือ”ราชการ” จำนวน 7 ฉบับ ส่งถึง”นายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์,รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม.  อธิบดีกรมเจ่าท่า, อธิบดีกรมประมง, ประกลัดกระทรวงทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ ทุกกระทรวงทุกหน่วยงาน”มีหน้าที่” ในการ”รับผิดชอบ”ร่วมกัน ได้มี “นโยบาย” ในการแก้ปัญหาที่”ยังยืน” หนังสือจาก จ.สงขลา ส่งไปตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน จนถึง ขณะนี้ ทุกกระทรวง ที่หน่วยงาน ยังไม่ตอบหนังสือกลับมาแม้แต่ หน่วยงานเดียว นี้คือการ”บริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย” ที่”ส่วนกลาง” ไม่ร่วม”รับผิดชอบ” กับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยปล่อยให้เป็นเรื่องของ”ท้องถิ่น” หรือ”ภูมิภาค” ต้อง”รับผิด”และ”รับชอบ” ตาม “ยถากรรม” และล่าสุด “สมนึก” พรหมเขียว” ได้แสดงให้ สังคม เห็นถึงความ”รับผิดชอบ” ไม่ได้”ละเลย” ต่อปัญหาของ”บ้านเมือง” และจะไม่ยอมให้คนที่”ทำผิดกฎหมาย” อยู่”เหนือกฎหมาย” มีการ ส่งรายชื่อผู้ที่ทำผิดกฎหมายกว่า 30 ราย ส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีแล้ว และได้ให้ ประมงจังหวัด และ”พนักงานเจ้าท่าภูมิภาค จ.สงขลา จัดทำประกาศแนวเขตของ”ร่องน้ำ” ตั้งแต่”หัวพระยานาคจนถึงท่าเทียบเรือประมงใหม่ ( ท่าสะอ้าน ) ความยาว 5 กิโลเมตร เพื่อให้เป็น”ร่องน้ำ”ที่ปลอดภัยในการเดินเรือ ซึ่งปัจจุบันมี”โพงพาง” กีดขวาง”ร่องน้ำ” ของการ”เดินเรือ” รวม 13 แถว จำนวน 159 ช่อง ที่จะต้อง”รื้อถอน” ณ วันนี้”พนักงานตำรวจ”และ” พนักงานอัยการ” อยู่ระหว่าง ดำเนินการ ให้เป็นไปตาม”กฎหมาย” อีกไม่นานเกินรอ  สังคมของคนสงขลา ที่”อึดอัดขัดใจ” กับเรื่องของ”โพงพาง” และกลุ่มคนที่ทำตัวเป็น”อภิสิทธิชน” ใช้”กฎหมู่เหนือกฎหมาย” ไม่ยอมรับ”กบิลเมือง” ด้วยการ”ปิดถนน ปิดแพขนาดยนต์” จะได้เห็นการใช้”กฎหมาย” ในการแก้ปัญหา” โพงพาง” ที่มีเจตนา”ดักเรือ” ให้จบสิ้นไป ส่วน”โพงพาง”อีก 1,500 ปาก ที่”เต็มทะเลสาบสงขลา” รวมทั้ง”ไซหนอน” และ”ไซนั่ง” และ”ลอบพับ”หรือ”ไอ้โง่” ที่เป็นเครื่องมือในการทำ”ประมงที่ผิดกฎหมาย” เช่นกัน ก็ต้องเป็นหน้าที่ของ”กรมประมง” ที่ต้องเข้าไป”ดำเนินการ” ส่วนจะใช้”กฎหมาย” หรือ”นายละม่อม”ก็ต้องไปคิดเอาเอง  ส่วนชาวประมงที่ไม่ใช้เครื่องมือที่”ผิดกฎหมาย” ไม่เห็นว่าจะ”เดือดร้อน”

เรื่อง “ร้อนๆ” ที่ จังหวัดพัทลุง ก่อนหน้าที่”แป้ง นาโหนด” จะ”จนมุม” ที่ “เกาะบาหลี”ประเทศ อินโดนีเซีย” ตำรวจชุด”หนุมาน” จาก”กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” นำกำลังเข้า”ตรวจค้น” พื้นที่”เป้าหมาย” ใน จ.พัทลุง และ จ.สงขลา จำนวน 15 จุด เพื่อ”จับกุม” กลุ่ม”อิทธิพล” ที่เกี่ยวกับ คดีการฆ่า”หมี ป่าบอน” สมุนมือขวา ของ”แป้ง นาโหนด” ที่ อ.ป่าบอน จ.พัทลุง และ “ไม่ผิดหวัง” เพราะ”หนุมาน” จับได้ทั้ง”กำนันคนดัง” ใน อ.ปากพะยูน จับกุม ตำรวจระดับ พ.ต.ท. ประจำ สภ.ปากพะยูน จ.พัทลุง จับ “เลขานุการ” นายกเทศบาล  ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา และ “กลุ่มมือปืน”  ที่มีคดี”ยาเสพติด” ที่”รับงานฆ่า” เพื่อแลกกับการไม่”ติดคุก” ในคดี”ค้ายาเสพติด” ที่ อ.ควนเนียง จ.สงขลา ได้แบบ”ครบเซ็ท” เชื่อว่า แม้จะไม่ทำให้กลุ่ม”อิทธิพล” ของ”พัทลุง” หายไป แต่ก็ทำให้กลุ่ม”อิทธิพล” หยุดความ”อหังการ์” ไปได้”ชั่วคราว” สิ่งที่ต้องติดตามดูคือ” ในขบวนการ”สอบสวน” จะมีการ”ร่วมด้วยช่วยกัน” อย่างไร เพราะ กลุ่ม”อิทธิพล” ใน “พัทลุง” มีทั้ง”นักการเมือง” และ”คนมีสี” เป็น”กองหนุน”

ส่วน เบื้องหลังการจับกุม”แป้ง นาโหนด” ที่ “อินโดนีเซีย” ที่ทำให้”แป้ง” จนมุม” ได้เร็วขึ้นนั้น มาจากการที่”แป้ง” ให้”ดต.หญิง” ที่เห็น”หน้าห้อง”ของ” ตำรวจใหญ่” นายหนึ่ง  ใช้รถยนต์ส่วนตัวมารับ” ชาวอินโดนีเซีย” ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อใช้เป็น”ตัวประกัน” ในการเรียกเก็บเงิน”ค้ายาเสพติด” ไป”ควบคุมตัว” ที่ บ้านสมุนของ”แป้ง “ที่ ต.ท่าแค อ.เมือง จ.พัทลุง  และ หลังจากที่” ดต.หญิง.” ถูก”จับกุม” เป็นผู้ต้องหา ในการร่วมกันจับคนไปเรียก”ค่าไถ่” ความลับของ”แป้ง นาโหนด” พักอยู่ที่ไหน อย่างไร จึง”พรั่งพรู” ออกจากปาก และมีการ”เขียนแผนที่คอนโด” ที่”แป้ง  นาโหนด” พักอยู่ที่ “เมืองเมดาน” อย่าง”ละเอียดยิบ” เพื่อ แลกกับ”อิสรภาพ” ใน คดีมีส่วนร่วมในการจับ”อินโดนีเซีย” เรียกค่าไถ่ นั้นเป็นที่มาของ “10 วัน” ในการ ติดตาม”แป้ง นาโหนด” ภายใต้การ”คอนโทรล” ของ” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง “ เสนาบีดกระทรวงยุติธรรม ที่วาง “ขุมข่าย” ติดตาม”แป้ง นาโหนด” ใน “อินโดนีเซีย” มานานแล้ว ตั้งแต่ “แป้ง” หนีลงเรือจาก” อ.ละงู จ.สตูล ไปยัง “จังหวัดอาเจะ” ประเทศอินโดนีเซีย แต่คดีการ”นายซาวานา” ชาวอินโดนีเซีย เพื่อเป็น”ตัวประกัน” ในการค้า”ยาเสพติด” ทำให้การ”เข้าถึงตัว”ของ”แป้ง นาโหนด” เร็วขึ้น” ดังนั้น”จุดจบ”ของ”แป้ง นาโหนด” ล้วนมาจาก” ผู้หญิง” ทั้ง “หญิงไทย” ที่เป็นคนสนิท”ที่เป็น “นายดาบ” และหญิง อินโดนีเซีย ที่เป็น”กิ๊ก”

สำหรับ “แป้ง นาโหนด” คงยอมรับกับ”ชะตากรรม” ที่เกิดขึ้น แต่ สำหรับกลุ่ม”ตำรวจ” และ”การเมือง” ที่เกี่ยวข้องกับคดีของ”แป้ง นาโหนด” ตั้งแต่การ ช่วยนำ”หลบหนี”จาก”พัทลุง” ไป “อินโดนีเซีย”  และ กลุ่มค้ายาเสพติด” ในพื้นที่ จ.พัทลุง และ สงขลา ต่างมีอาการ”สะบัดร้อนสะบัดหนาว” เพราะไม่รู้ว่า หลังจากนี้ ถ้ามีการ”โอนคดี”ของ”แป้ง นาโหนด “ ให้กับ”ดีเอสไอ” และมี” ปปส. “ เข้ามาร่วมด้วย ขบวนการ “สอบสวน” ถ้าทำให้”แป้ง นาโหนด” สามารถ”เปิดปาก”ได้ เชื่อว่าจะมี”คนในเครื่องแบบ” จำนวนไม่น้อย”เดินพาเหรด” เข้าไปเป็นเพื่อนของ”แป้ง นาโหนด” ในเรือนจำ อย่างแน่นอน และหลังการ”จบคดี”ของ”แป้ง นาโหนด”แล้วในการ”โยกย้าย” ในเดือน “ตุลาคม” นี้ นายตำรวจชื่อดัง “พ.ต.อ.สมพงศ์ สุวรรณวงศ์” รอง ผบก.สืบสวน ภาค 9 น่าจะได้”อวยยศ” เป็น” พล.ต.ต.” ในตำแห่ง”ผู้การ”

เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” ไม่ได้จบเพียงแค่นี้ ก็ที่”แป้ง นาโหนด “ จะ”จนมุน”ที่”เกาะบาหลี”  ตำรวจมีการ”สืบสวน” จนพบว่า ทีมงานของ”แป้ง นาโหนด” ใน จ.สงขลา และ พัทลุง คือผู้”ค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่” ที่นำเข้า”น้ำมันเถื่อน” จาก”ประเทศมาเลเซีย” ผ่านทางด่านชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา วันละหลายคันรถสิบล้อ  วันนี้แม้ว่า”แป้ง นาโหนด” จะ”จนมุม” เจ้าหน้าที่แล้วก็จริง แต่ “ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน”ยังคง”ขับเคลื่อน”อยู่ เรื่องนี้”เดอะโต้ง” พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 สั่งการให้ ชุด “ปราบปรามน้ำมันเถื่อน” ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหน่อยเถอะ

เรื่องของ”ไฟใต้” ยังเป็นเรื่องที่”ร้อนแรง” เพราะยังมีการ”ก่อเหตุรายวัน” โดย “กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ให้ “เจ้าหน้าที่รัฐ”ต้องเกิดความ”สูญเสีย” เป็น”ใบไม้ร่วง” ล่าสุด 2 ศพ ที่  ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งเป็น”ทหารการข่าว” และ”สายข่าว” ของ ฉก.สงขลา เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นเดือนที่มีความ”สูญเสีย” มากที่สุด ประเด็นที่ “คนในพื้นที่” ถามไถ่” กันมามากคือ ประสิทธิภาพในการ”ป้องกันเหตุ” ของ”กอ.รมน.ภาค ภ 4 ส่วนหน้า ในพื้นที่ ทำไมจึง”ป้องกันเหตุ”ไม่ได้ และ นี่กระมั่ง ที่เป็นเหตุให้”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” เรียกร้องให้มีการ”ถอนทหาร” ออกจากพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพราะมีไว้ก็”ป้องกันเหตุ” ไม่ได้ ก็เห็นใจ”พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. ที่”เที่ยวไล้เทียวขื่น” ขึ้นๆ ลงๆ” ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อ”ขันน็อต” กอ.รมน.ภาค 4  ส่วนหน้าในการ”ดับไฟใต้” แต่ก็ไม่มีอะไรที่”เปลี่ยนแปลง” ในทางที่ดีขึ้น มีแต่เห็น”บีอาร์เอ็น” รุกหนักขึ้นเรื่อยๆ

มี ข่าวดี จาก” แม่ทัพน้อยที่ 4” พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ ถึงเรื่องการ”จัดกิจกรรม”ของ” โรงเรียนตาดีกา” ที่มักจะ”ล้ำเส้น เลยขอบ” มี”แกนนำบีอาร์เอ็น” แฝงตัวเข้ามา”ปลุกระดม” ว่า ต่อไปเรื่องอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะจะมีการ”ตรวจสอบ” ก่อนการเกิดขึ้นของ”กิจกรรม” รวมทั้งการ”จัดกิจกรรม” ของ”กลุ่มอื่นๆของ”ภาคประชาชน” ที่วันนี้”ล้ำเส้น”และ”เลยธง” เช่นนำ”คนต่างประเทศ” มาร่วมกิจกรรม รวมทั้งไป”จัดกิจกรรม” ในประเทศเพื่อนบ้าน ต่อไปจะ ไม่ยอมให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นอีก

ส่วน “พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค “ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  วันนี้ กำลัง”เดินหน้า” เพื่อ”เอาผิด”กับ” กลุ่มอิทธิพล” ทั้ง “ต่างชาติ” และ”คนไทย” ที่”บุกรุกที่ดิน” บน”เกาะสมุย “จ.สุราษฎร์ธานี” เพื่อเอา”คนผิด”มา”ลงโทษ” จำได้ว่าเรื่อง “บุกรุกที่ดิน” และ”ป่าไม้” ใน อ.เกาะสมุย  และอีก หลายเกาะ ใน ภาคใต้ เคยมีการดำเนินการอย่าง”เอาจริงเอาจัง” มาแล้วแต่สุดท้ายมีการ”นินทากันว่า “กลุ่ม”อิทธิพล” ทำ”เงินหล่น”ไว้”หมื่นตำลึง” การดำเนินการกับผู้”บุกรุก” จึง”เดินหน้า”ต่อไปไม่ได้  ก็ดีใจที่วันนี้” บิ๊กต้น” หยิบเรื่อง”บุกรุกเกาะ”มา”ปัดฝุ่น” เพื่อ”เอาผิด”เป็นรอบที่ 2 ก็หวังว่า”ประวัติศาสตร์” จะไม่”ซ้ำรอย”เดิม

ปิดฉากไปแล้ว สำหรับบทบาทของ”กรรมาธิการ คสช. ที่มี “จาตุรนต์ ฉายแสง “ เป็นประธานกรรมาธิการ ด้วยการ นำเสนอ ให้ ครม. พิจารณา ในเรื่องของการ ยกเลิก คำสั่ง คสช. จำนวน 3 ฉบับ ที่ออกมาบังคับใช้กับ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” จนทำให้”ศอ.บต.”ถูก”บอนไซ” กลายเป็นองค์การที่เป็น”เป็ดง่อย” มาเป็นเวลา 9 ปี  พร้อมทั้งมี ข้อเสนอจาก”คณะกรรมาธิการ” ที่เป็นประโยชน์ แก่” ศอ.บต.” ในการ บริหารราชการแผ่นดิน ที่เป็น”ประโยชน์กับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” หาก ครม. มี มติ  ตาม ข้อเสนอของ”กรรมาธิการ คสช.” บทบาทของ”ศอ.บต.” ก็จะเป็นไปตาม”พรบ.ของ”ศอ.บต. และไม่ต้องขึ้นอยู่กับ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ศอ.บต.” จะมี”อิสระ” ในการใช้ นโยบายของ “ศอ.บต. อย่างเต็มที่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป ว่า ถ้า ศอ.บต.มี”อิสระ” จะทำประโยชน์ให้กับ จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไร และ”ศอ.บต.”ภายใต้การนำของ”ปลัดบิลลี่” พ.ต.ท.วรรพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. จะสามารถ”เป็นที่พึง เป็นที่”ถูกใจ” ของ”ประชาชน” ได้หรือไม่…. แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…หรือ’กฎหมู่’จะเหนือ ‘กฎหมาย’ปัญหาโพงพาง ทะเลสาบสงขลา

ภาพใหญ่ทางการเมือง ที่ต้องจับตาคือเรื่องที่”ศาลรัฐธรรมนูญ” รับเรื่องการ “ถอดถอน” เศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลายเป็น”ชนักปักหลัง” ที่ต้องรอการ” ที่ทำให้ตำแหน่งของ”ผู้นำประเทศ” ไม่มีความ”สง่างาม”  และนอกจากนี้ยังต้อง”ลุ้น”ด้วยความ”ระทึก” ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะ”ตัดสิน” แบบ”ออกหัว” หรือ”ออกก้อย” แม้”กูรู” และ”เกจิ” ทางการเมืองจากหลาย”สำนักดัง” จะออกมา”ฟันธง” ว่า “เสี่ยนิด” จะ”อยู่รอดปลอดภัย” เพราะ”เพื่อไทย” และ”พรรคร่วม”รวมทั้งผู้ที่มี”บารมี” นอก”รัฐธรรมนูญ” ยังต้องใช้”บริการ”ของ”เพื่อไทย” และ”เพื่อไทย” ก็ยังต้องใช้”บริการ” ของ”เสี่ยนิด” ในการ”นำทัพ” ในยามที่ “โพลทุกสำนัก” ชี้ชัดว่า วันนี้ความนิยมในพรรคเพื่อไทยยัง”ตกต่ำ”  ดังนั้น” เสี่ยนิด” จึงยังต้องทำหน้าที่”มีดพร้า” ในการ”ฟาดฟัน” สิ่งกีดขวาง และ”ขวากหนาม” เพื่อให้”อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร  ก้าวขึ้นสู่”ถนนการเมือง” โดย”บอบช้ำ” น้อยที่สุด……วันนี้”เพื่อไทย” แม้”ผลโพล” ที่ออกมาจะ”ตกต่ำ” แต่ หลายฝ่าย ก็ เชื่อว่า เมื่อเทียบกับทุกพรรคการเมืองที่เป็น”พรรคร่วมรัฐบาล”  พรรคเพื่อไทย ยังมี”ภาษี” มากกว่าทุกพรรค ที่สามารถ”ต่อกร” กับพรรคก้าวไกล ได้อย่าง”สมน้ำสมเนื้อ” ดังนั้น ณ วันนี้ “เศรษฐา ทวีสิน “ จึงยังอยู่ในโซน”ปลอดภัย” ยังไม่ตกจากตำแหน่ง” นายกรัฐมนตรี” ค่อนข้างชัวร์ เช่นเดียวกับ”ทักษิณ ชินวัตร” แม้ว่า”บริบท” ที่ออกมาจะ”เลยธง” จนมีเสียง”วิพากษ์ วิจารณ์” ถึงความ”เหมาะสม” หรือไม่ แต่ เชื่อว่า สุดท้ายแล้ว ประเทศไทย ยังต้องใช้”บริการ” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” แม้ว่าจะต้อง”หวานอม ขมกลืน” ก็กลายเป็นเรื่อง”จำเป็น” ที่ยังต้องใช้”บริการ” ของ” ทักษิณ” ต่อไป เพราะนี่คือ”ประเทศไทย” ที่มีอะไรมากมาย ที่ประเทศอื่นไม่มี

หลังการประชุม เพื่อแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” ที่ยังไม่ยอม”โงหัว” ทั้งที่”เพื่อไทย” เข้ามา”บริหารประเทศ” เป็นเวลาเกือบ 1 ปี จนมีคำถามจากคนทั้งประเทศถึงความ”ล้มเหลว”ของพรรคการเมืองที่”อวดอ้าง” กับ”ประชาชน” มาโดยตลอดว่าเป็นพรรคการเมืองที่เป็น”มืออาชีพ” ในการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” แต่ดูไปดูมา”ประชาชน” บอกกว่าสู้”มือปฎิวัติ” อย่าง”ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ก็ “ลัดฟ้า” ไปยัง”ฮ่องกง” สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อไป”พบปะ” กับ นักธุรกิจ  เจ้าของธุรกิจยักษ์ๆ หลายบริษัทด้วยกัน เพื่อ”ชักชวน” ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เป็นการ”ฟื้นฟู” เศรษฐกิจ ที่”ซบเซา” ของประเทศ ซึ่งถ้าติดตาม”บริบท” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี พบว่าวิธีการเดียวในการ”กอบกู้” เศรษฐกิจของประเทศไทยคือ”ทุนจากต่างประเทศ”…..ส่วนการ”ฟื้นฟูเศรษฐกิจ”ภายในประเทศ ก็ฝาก”ความหวัง” ไว้กับการเข็ญ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ให้ สำเร็จโดยเร็ว และทั้ง 2 เรื่อง ที่”เศรษฐา ทวีสิน” และ”เพื่อไทย” ทำอยู่ ก็ยัง”การันตี” ไม่ได้ว่า จะทำให้”เศรษฐกิจ” ของประเทศ”ฟื้นตัว” โดยเฉพาะ”ทุนนอกประเทศ” ที่ ผ่านไปเกือบ  1 ปี ที่”เศรษฐา ทวีสิน” ทำการ”เที่ยวไล้เที่ยวขื่อ” บางประเทศไปเยือนแบบ”ถี่ๆ” แต่ก็ยังไม่มี “กลุ่มทุน” ประเทศไหนที่ “ยกทัพ” เข้ามา”ลงทุน” ในประเทศไทย สิ่งที่”ติดมือ”ของ”เสี่ยนิด” กลับบ้านคือ”ยาหอม” ส่วน”มันนี่” ยังไม่มีเข้ามาแม้แต่”อีแปะ” เดียว แต่อย่างไรเสีย “คนไทย” ก็ไม่มี”ทางเลือก” และยังต้อง”ฝากชีวิต” ฝาก”ความหวัง” ไว้กับพรรคเพื่อไทยและ”เศรษฐา ทวีสิน” ต่อไป

ราคาปาล์ม ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง จากกิโลกรัมละ 7 บาทกว่า วันนี้เหลือเพียง 3.50 บาท เป็นเหตุให้”ชาวสวนปาล์ม” ในภาคใต้ต้องออกมา”เคลื่อนไหว” เรียกร้องให้ “รัฐบาล” เข้ามาดูปัญหาที่เกิดขึ้น และให้ความช่วยเหลือ  แปลกที่ชาวสวนปาล์ม “ร้องทุกข์”ไปยัง”วัชระ เพชรทอง” อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ แทนที่จะเรียกร้องกับ”สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ หรือ สส.ประชาธิปัตย์ ในพื้นที่มัวแต่”รอเสียบ” เพื่อ”เข้าร่วม” รัฐบาล จนมองไม่เห็น “ความเดือดร้อน” ของ”ชาวสวนปาล์ม” จนทำให้ชาวสวนปาล์มภาคใต้ต้อง”พึ่งพา” อดีต สส. “วัชระ เพชรทอง “ ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็น สส. ในพื้นที่ แต่ก็ออกมา “เรียกร้อง” ให้ “รัฐบาล” เร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจน “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้อง”สั่งการ” ให้”วัฒนศักย์ เสือเอี่ยม” อธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และ”คำตอบ” ที่ได้รับจากการ”ลงพื้นที่” เป็น”คำตอบ” ที่เป็นไปตาม”ฟอร์ม” ของ”ข้าราชการประจำ” นั่นคือ ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำเกิดจาก “ดินฟ้าอากาศ” ที่”แปรปรวน” ทำให้ ผลผลิตปาล์ม ไม่มีคุณภาพ เป็นเหตุให้ “ลานปาล์ม” และ”โรงงาน” รับซื้อในราคาต่ำ และ หลังจากที่ “ดินฟ้าอากาศ”ดีขึ้นคือมี”ฝนตก” ปัญหาก็จะเป็น”ปกติ”…..แต่ที่ได้ข่าวมา เดือนมิถุนายน นี้ “ลานปาล์ม” และโรงงานปาล์ม ในหลายจังหวัดของภาคใต้ จะหยุดการ”รับซื้อ” ผลผลิตจาก เกษตรกร   การที่ “ลานปาล์ม” และ”โรงงานปาล์ม” มีการ”ปล่อยข่าว” ไม่”รับซื้อ” สาเหตุมาจากการที่”กรมการค้าภายใน” ไป”สั่งการ” ให้”ลานปาล์ม” และ”โรงงานปาล์ม” ต้อง”รับซื้อผลปาล์ม” จาก”เกษตรกร” ในคาราที่”แพงขึ้น” หรือไม่ นี่ทำท่าจะเข้าตำรา”ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง” ใช่หรือไม่

กลายเป็นว่า”โพงพาง” เครื่องมือการทำประมงที่”ผิดกฎหมาย”ใน”ทะเลสาบสงขลา”และเจ้าของ”โพงพาง” เป็น”อภิสิทธิ์ชน” ที่ “เจ้าหน้าที่” ไม่สามารถ”แตะต้อง”ได้  ต้องปล่อยให้มีการทำผิด”กฎหมาย” แบบ”ซึ่งหน้า” โดย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่กล้า”ดำเนินการ” เพราะเพียงแค่ “ตำรวจน้ำ” จับกุมเจ้าของ”โพงพาง” ส่ง ดำเนินคดีตาม”กฎหมาย” สิ่งที่ติดตามาคือ”ชาวประมง” ใน ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา ก็ใช้”กฎหมู่” ปิดท่าแพขนานยนต์ สร้างความ”เดือดร้อน” ให้กับ”ประชาชน” เพื่อ”บีบบังคับ” ให้”ปล่อยของกลาง” และให้”อนุญาต” ให้”ชาวประมง” เจ้าของ”โพงพาง” ทำผิดกฎหมายต่อไป และเป็นเรื่องที่”ละอาย” เป็นอย่างยิ่งที่ผู้ถือ”กฎหมาย” ไม่กล้าที่จะ”บังคับใช้” กับ”กลุ่มคน” ที่ทำผิด”กฎหมาย เหมือนกับ”บ้านเมืองไม่มีขื่นมีแป” และต่อไปถ้าเรื่องการทำ”ผิดกฎหมาย” แล้ว “เจ้าหน้าที่”ไม่กล้าที่จะ”ดำเนินการ” ให้เป็นไปตาม”กฎหมาย”ของ”ชาวหัวเขา” จะเป็น”ลัทธิเอาอย่าง” ให้กับ”ชุมชนอื่นๆ” บ้าง ก็ต้องถาม”อธิบดีกรมการปกครอง,อธิบดีกรมประมง,และ”อธิบดีกรมเจ้าท่า” ว่าท่านจะ”รับผิดชอบ”อย่างไร….เพราะเรื่องเครื่องมือประมงผิดกฎหมายเป็นหน้าที่ของ”ประมงจังหวัด” เรื่องการ”รุกล้ำร่องน้ำการเดินเรือ” เป็นเรื่องของ”เจ้าท่าจังหวัด” แต่ ทั้งสองหน่วยงานไม่กล้าใช้”กฎหมาย” กับผู้ที่”ทำผิด” ถามว่า นี่เข้าข่ายการทำผิดกฎหมายของ”เจ้าหน้าที่รัฐ ใน” มาตรา 157 “ หรือไม่

“ตำรวจน้ำ” ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการทำผิดใน”ทะเล” จะปล่อยให้คนที่ทำผิด”ทนโท่” อยู่เหนือ”กฎหมาย” ใช้เครื่องมือที่”ผิดกฎหมาย” เพื่อ”ทำลายล้าง” สัตว์น้ำ ในท้องทะเลไปเรื่อยๆอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ ถ้า”โพงพาง” เป็นเครื่องมือการทำประมงที่ไม่มีปัญหาในการ”ทำลายล้าง” กรมประมงคงไม่ออกกฎหมายว่าเป็นเครื่องมือการทำประมงที่”ผิดกฎหมาย” แต่ถ้าออกเป็น”กฎหมาย”แล้ว ไม่สามารถบังคับใช้”กฎหมาย”ได้ ก็”ยกเลิก”ไปเลยจะได้ไม่”อับอายขายหน้า” ที่ต้องปล่อยให้”ผู้ทำผิด” อยู่เหนือ”กฎหมาย” ที่สำคัญเมื่อถูก”จับกุม” ยังสามารถใช้”กฎหมู่” ปิดถนน  ปิดท่าแพขนานยนต์ โดยที่ “ตำรวจ” และ”ปกครอง” ไม่กล้าที่จะ”เอาผิด” ทั้งในข้อหาการ”ปิดถนน” และข้อหาการ”ชุมนุม” ที่ไม่มีการ”ขออนุญาต” ซึ่งเป็นเรื่อง”ผิดกฎหมาย” ทั้งหมด เออ นี้ จ.สงขลา กลายเป็น”บ้านป่าเมืองเถื่อน”ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และการใช้”กฎหมู่” ของคนกลุ่มนี้จะเรียกว่า”ผู้มีอิทธิพล” ได้หรือไม่ ก็ฝากไปถึง “ชาดา ไทยเศรษฐ์” รมช.มหาดไทย ว่า ถ้าจะปราบผู้มี”อิทธิพล” หรือจะดูงานเรื่องของ”อิทธิพล” ก็ให้มีดูที่”ทะเลสาบ”สงขลา เป็น”ตัวอย่าง”

อีกเรื่องที่ฟังแล้วไม่”สบายใจ” คือข้อเสนอในที่ประชุม เพื่อแก้ปัญหา”โพงพาง” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ที่มี”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา เป็นประธาน ที่ขอให้”รัฐบาล กันพื้นที่”ทะเลสาบสงขลา”เป็นเขตพิเศษ ให้สามารถทำการประมงโดยการใช้”โพงพาง” ในการ”จับปลา” โดยไม่ผิดกฎหมาย ถามว่า เขาคิดอย่างไร และ “เอาอะไรคิด” ถ้า”รัฐบาล” เอาด้วยกับ ข้อเสนอนี้ เท่ากับนำพา”ประเทศลงเหว” เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะ”อนุญาต” ให้คนพวกหนึ่งทำเรื่อง”ผิดกฎหมาย” และอีกพวกหนึ่ง”ถูกกฎหมาย” ถ้าอนุญาตให้”คนหัวเขา” อ.สิงหนคร จ.สงขลา ใช้”ทะเลสาบสงขลา”  ทำเรื่อง”ผิดกฎหมาย”ได้ ก็ต้อง”อนุญาต” ให้ ชาวประมงที่ “พัทลุง” ที่ “ปัตตานี” ทำได้เช่นกัน นี่คือ”นิติรัฐ” และ”นิติธรรม” ใช่หรือไม่…..ที่ สำคัญ “ทะเลสาบ” สงขลา ไม่ใช่ สถานที่ในการทำประมง”โพงพาง” เพียงอย่างเดียว แต่ “ทะเลสาบสงขลา” ต้องมีการ”พัฒนา” ในเรื่องของการ”ท่องเที่ยว” สงขลามี”ทะเลสาบสงขลา”เป็นเสมือน”เพชรเม็ดงาม”  ที่ต้อง”สร้างประโยชน์” ให้กับ ประเทศชาติ ไม่ใช่ สถานที่ทำ”โพงพาง” ที่เป็นเรื่องการทำ”ผิดกฎหมาย” เต็มทั้งทะเลสาบ  คิดแล้ว “เจ็บกระดองใจ” ที่ จังหวัดสงขลามี สส.9 คน แต่ไม่มีใครที่คิดจะแก้ปัญหาของ”ทะเลสาบสงขลา” ที่วันนี้ถูก”ย่ำยี” ถูก”กระทำชำเรา” จนกลายเป็น”ทะเลสาบ”ที่”เสื่อมโทรม” จากความไม่”เอาไหน” ของ”นักการเมือง” และ”ข้าราชการประจำ” เรื่องของ”กฎหมู่” ที่ “สงขลา” จึงสรุปได้สั้นๆว่า”ความกลัว ทำให้เสื่อม” ส่วนใดบ้างที่”เสื่อม” กับการ”สยบ” ให้กับ”กฎหมู่” และความไม่ถูกต้อง ที่เกิดขึ้น ลงจากที่”ทำงาน” ไปฟัง”ชาวบ้าน”ที่เขา”วิพากษ์วิจารณ์” ก็จะได้ยิน  และมีข่าวว่า จะมี อดีต “รองผู้ว่าราชการจังหวัดท่านหนึ่ง ที่”ไม่ทน”ต่อ”พฤติกรรม” ของการอยู่”เหนือกฎหมาย” และการใช้”กฎหมู่” ที่เกิดขึ้น รวมทั้ง”ไม่ทน”ต่อการ”ละเลย” ของ”หน่วยงานที่รับผิดชอบกับปัญหาของ”โพงพาง” เครื่องมือประมง”ผิดกฎหมาย” จึงเตรียมที่จะ”แจ้งความ”เพื่อ”เอาผิดกับ”หน่วยงานราชการใน มาตรา 157  ในฐานะ”เจ้าพนักงาน”ที่”ละเว้น” ในการ”ปฏิบัติหน้าที่” ถ้า”ทำจริง” ไม่ใช่”ราคาคุย” เชื่อว่าจะมี”กองเชียร์” ทั้งจังหวัด

กลับมาที่เรื่อง”ไฟใต้” ที่มีคำถามมากมมาย ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นถี่ๆ ตั้งแต่”ต้นปี 2567” ตำรวจ,ทหาร” และ”กองกำลังท้องถิ่น” อย่าง”กองอาสาสมัคร”หรือ”อส” และ” อาสาสมัครทหารพราน”หรือ” อส.ทพ.” ที่เป็น”เหยื่อ” คมกระสุน และ ระเบิดแสวงเครื่อง เป็นเรื่อง”ไม่แปลก” เพราะ”บีอาร์เอ็น”ถือว่าเป็น”คู่กรณี” แต่”เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น” อย่าง”ปลัด อบต.” และ”รองนายก อบต. รวมทั้ง”ผู้ใหญ่บ้าน” ผู้ช่วย หรือ “ผสร.”ที่พุทธ ที่ กลับมาเป็น”เหยื่อ”ของ”กองกำลังติดอาวุธของ”บีอาร์เอ็น” อีกครั้ง กำลังจะบอกว่า “บีอาร์เอ็น” จะกลับมาใช้”ความรุนแรง” กับ”เจ้าหน้า”และ”นักการเมืองท้องถิ่น” อีกครั้ง และ สังเกตุให้ดีจะพบว่า” หมู่บ้านของ”ไทยพุทธ” ทั้งใน จ.ปัตตานี และ จ.ยะลา กลายเป็น”พื้นที่” มีการ สร้างสถานการณ์ มากขึ้น ไหน “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” บอกให้คนในพื้นที่”เข้าใจ” ถึง “สถานการณ์”ที่เกิดขึ้น อย่างน้อย”ข้อเท็จจริง” ที่ได้รับ แม้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะให้ความ”คุ้มครอง”คน”ไทยพุทธ”ไม่ได้ แต่ก็สามารถทำให้”คนไทยพุทธ” สามารถ”คุ้มครองตนเอง”ได้อยู่นะ…..ต้นเดือน มิถุนายน นี้ ตัวแทนของประเทศ”มุสลิม” หรือ “โอไอซี” ก็จะเดินทางมาเยือน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อ”ติดตามสถานการณ์ของความไม่สงบ” เป็นการเดินทางมาเยือนจนกลายเป็น”แขกประจำปี” ของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) และก็คงจะเหมือนๆทุกครั้งคือ”โอไอซี” ชื่นชมต่อ นโยบายของไทย ที่มีต่อ”ประชาชน ที่นับถือ”ศาสนาอิสลาม” แต่สิ่งที่”คนในพื้นที่” อยากฟังมากกว่านั้นคือ”โอไอซี” ประณามการ”เข่นฆ่า” เจ้าหน้าที่ และ ประชาชน ในพื้นที่ และแสดงความ”ไม่เห็นด้วย”กับการกระทำของ”บีอาร์เอ็น” แต่นี้ไม่เคยเห็น “โอไอซี” ออกมาพูดเพื่อแสดงว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ”บีอาร์เอ็น” ที่ผิดทั้ง”กฎหมาย” และผิดทั้ง”หลักศาสนา” คนในพื้นที่”ผิดหวัง”นะ กับการเดินทางมาเยือนของ”ตัวแทนมุสลิมโลก

วันก่อน”เศรษฐา ทวีสิน” ให้สัมภาษณ์กับ”สื่อมวลชน” ว่า หลังกลับจาก”ต่างประเทศ” จะเดินทางลงพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อแก้ไข สถานการณ์ความไม่สงบที่รุนแรงมากขึ้น โดยจะ”เชิญชวน” นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย “อันวาร์ อิบราฮิม” ลงพื้นที่ด้วยกัน แต่หลังจากกลับมายังประเทศไทย เรื่องของ”ไฟใต้” ก็ไม่ได้อยู่ใน”หัวใจ” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” เรื่องของการ”ดับไฟใต้” จึงเป็น”หน้าที่” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่มี”พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 /ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่ากันไปตามหน้าที่…..ในขณะที่งานด้าน”การข่าว” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าก็มีการ”แจ้งเตือน”แบบ”ถี่ยิบ” ถึงความ”เคลื่อนไหว”ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ทั้งในพื้นที่และที่เดินทางข้าม”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” จาก ฝั่งประเทศมาเลเซีย พร้อม”ระเบิดแสวงเครื่อง” เพื่อการก่อเหตุใน 3 จังหวัด ถ้า”ข่าวสาร” ที่มีการ”รายงาน” เป็นเรื่องจริง  แสดงว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังกลับเข้าสู่”โหมดของความรุนแรงครั้งใหญ่ซึ่งเป้าหมายคือการ”ท้าทาย” รัฐบาล ที่มี”เพื่อไทย” เป็นผู้บริหารประเทศหรือเพื่อ”กระตุ้น” ให้”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มี”บารมีตัวจริง” ของ”รัฐบาล”ชุดนี้ “ออกโรง” ในการ”ดับไฟใต้” ที่เร็วขึ้น และอาจจะเป็นการ”เดินเข้าทาง” ที่”บีอาร์เอ็น” วาง”กับดัก”ไว้” เพราะ”ทักษิณ ชินวัตร” มีเรื่องที่”เกี่ยวพัน” กับ สถานการณ์ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการ”ฆ่าหมู่” ใน”มัสยิดกรือเซะ” เรื่องการ”ตายหมู่”กรณีของ”ตากใบ” เรื่องการ”จับกุม อุ้มหาย” ล้วนเกิดในยุคที่”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ทั้งสิ้น” ดังนั้นข่าวที่”ทักษิณ ชินวัตร” ขยับตัวเพื่อเป็น”โต้โผ” ในการ”ดับไฟใต้” ด้วยการ เชิญ”อดีตนายทหาร”ที่เคย”สู้รบ” กับ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่เข้าพบ จึงเป็นการ”ส่งสัญญาณ” ที่ “ชัดเจน” ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” จะเข้ามา”จัดการ” กับเรื่องของ”ไฟใต้” ด้วยตนเอง ซึ่งก็ต้องติดตามดูว่า”ฝ่ายความมั่นคง” คิดเห็นอย่างไร” พอใจ” หรือ”ขัดใจ” ที่สำคัญ”ไฟใต้” จะ”โชนแสง” มากขึ้นหรือไม่

แม้จะไม่มีการ”แถลงรายละเอียด”ที่”ลงลึก” อย่างเป็น”ทางการ” จากทั้ง” พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” ประธานฝ่ายเทคนิคของ”ฝ่ายไทย” และจาก”ดร.นิมะ เจ๊ะเตะ” ประธานฝ่ายเทคนิคของ”บีอาร์เอ็น” ในการ “พูดคุยสันติสุข” เมื่อวันที่ 19-20 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่จาก”ปฏิกิริยา” ของทั้งสองฝ่าย ก็ทำให้เห็นถึงความ”ไม่คืบหน้า” ของการ”พูดคุย” โดยเฉพาะประเด็นของการ”ลดความรุนแรง”  ที่”บีอาร์เอ็น”ต้องการให้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”ถอนทหาร” ออกจากพื้นที่”เพื่อลดความรุนแรง” แน่นอน”ถอนทหาร” ออกจากพื้นที่เมื่อไหร่ “เป้าหมาย” ที่”บีอาร์เอ็น”จะ”โจมตี”ก็หายไป”ความรุนแรงจากการใช้”อาวุธ” ก็หายไป แต่สิ่งที่ตามมาคือ”บีอาร์เอ็น”สามารถเข้า”ยึดพื้นที่” เพื่อทำงาน”การเมือง” ในการ”บ่มเพาะ”ได้ร้อยเปอร์เซ็น”และเรื่องการ”จัดกิจกรรมการเมืองในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ที่”บีอาร์เอ็นต้องการ” แต่เมื่อ”ฝ่ายไทย” เสนอให้ทำ”กิจกรรมทางการเมือง”ร่วมกัน ฝ่าย”บีอาร์เอ็น”ไม่”โอเค ดังนั้นการ”พูดคุย” นับแต่เดือนมีนาคม เป็นต้นมา ระหว่าง”รัฐบาลไทย”กับ”บีอาร์เอ็น” จึงไม่มีอะไรที่”เป็นชิ้นเป็นอัน” แต่มีการใช้”งบประมาณ” เท่าไหร่ “คณะพูดคุย” จะบอกกับ”ประชาชน” ได้หรือไม่

ล่าสุด “คณะกรรมาธิการ” จาก”สภาผู้แทนราษฎร” ที่นำโดย”จาตุรนต์ ฉายแสง” ประธานคณะ” และ”นัจมุดดีน อูมา” อดีต สส.หลายสมัยของ จ.นราธิวาส ก็นำ”คณะกรรมาธิการ” เดินทางไปพบกับ”ผู้อำนวยความสะดวก”ของการ”พูดคุยสันติสุข” และมีการเข้าพบปะกับ”หิพนี มะเระ” หัวหน้า”คณะพูดคุยของบีอาร์เอ็น” ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26-27 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นการ”เดินเกมทางการเมือง” เพื่อ “แก้ปัญหา” หรือเพื่อ”ก่อปัญหา” ให้เพิ่มมากขึ้น ยังไม่มีข้อสรุป แต่”ฝ่ายความมั่นคง”ไม่”แฮบปี้” กับการ”รุกคืบ” ของ”ฝ่ายการเมือง”ที่ขอเข้ามา”มีส่วน” ในเรื่องของ”ไฟใต้” ซึ่งมีการมองว่าเป็นการเดินไป”เข้าร่องแข้ง” ของ”บีอาร์เอ็น” เพราะนโยบายของ”บีอาร์เอ็น” คือการเข้าไปมี”ส่วนร่วม” ใน”รัฐสภา” หรือ”สภาผู้แทน” วันนี้ นักการเมืองท้องถิ่น ส่วนหนึ่งเป็นคนที่”บีอาร์เอ็น” จัดตั้งมา การเลือก “วุฒิสมาชิก” หรือ” สว. “ ก็ เชื่อว่า จะมีคนของ”บีอาร์เอ็น” ได้เข้า “สภาสูง” เป็น”สว. ได้อย่างแน่นอน การ”เคลื่อนไหว”ของ”ฝ่ายการเมือง”  จึงอาจกลายเป็นการ”หนุนเสริม” ให้”บีอาร์เอ็น” ขยายพื้นที่ทาง”การเมือง”ตามความต้องการของ”บีอาร์เอ็น”  เรื่องนี้ถ้าฝ่าย”การเมือง”กับฝ่าย”ความมั่นคงไม่มีการ”บูรณาการ”กันให้ดี”การดับ”ไฟใต้” จะเป็นการเดิน”เข้ารกเข้าพง” สร้างความ”เข้มแข็ง”สร้าง”เวทีการต่อสู้” ให้กับ”บีอาร์เอ็น” ใน”สหประชาชาติ” นั่นเอง

อีกเรื่อง ที่เป็นความน่า”เป็นห่วง” คือเรื่องการจัดกิจกรรมของ”นักเรียน-เยาวชน” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เช่น”ตาฎีกาสัมพันธ์” ที่มี”แกนนำ” ของ”บีอาร์เอ็น” เข้ามามี”ส่วนร่วม” ให้”เยาวชน” ทำในสิ่งที่เป็น”อันตราย” ต่อ “ชาติ บ้านเมือง” ฟังจากปากของ”พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยที่ 4 “ ทราบว่า มีการ”สั่งการ” ให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไป”มีส่วนร่วม” ในการ จัดกิจกรรม ของ โรงเรียนตาดีกา ทุกแห่ง เพื่อป้องกัน”อุสตาส” ของ”บีอาร์เอ็น”เข้าไป”ชี้นำ” และ”กำหนดการจัดกิจกรรม” เหมือนที่ผ่านมา รวมทั้งการจัด”กิจกรรม”แบบที่”สายบุรี” ที่มีการ”แอบแฝง” ในเรื่องของการ”แบ่งแยกดินแดน” ใน “อนาคต” ก็จะต้อง”เข้มงวด” หรือการที่”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น”ไปจัด”กิจกรรมทางการเมือง” ในประเทศมาเลเซีย ก็ต้องมีการทำความเข้าใจกับ”ฝ่ายความมั่นคง”ของประเทศมาเลเซีย ให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่”ไม่สมควร” เสียหายที่เรื่องการ”ดับไฟใต้” หน่วยงานอย่าง”กระทรวงต่างประเทศ”หรือ”กต.” มีบทบาทที่”หน่อมแหน้ม” ไม่ตอบสนองกับการ”ดับไฟใต้” ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่สำคัญ

เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี  วันนี้ กลายเป็น พื้นที่ ที่มีชาว”ต่างชาติ” เข้ามาใช้”อิทธิพล” ทำธุรกิจที่”ผิดกฎหมาย”  ในเรื่องของการ”ครอบครองที่ดิน” เพื่อสร้าง”โรงแรม,รีสอร์ต” โดยไม่สนใจกับ”กฎหมาย” ของประเทศไทย วันนี้ “กอ.รมน.ภาค 4 “ ทำการ”ตรวจสอบ” โรงแรม,รีสอร์ต” หลายโครงการที่เป็นทั้งของ”กลุ่มคนจีน” และของ”ฝรั่งมั่งค่า” จำได้ว่าในสมัยที่”คสช.เรื่องอำนาจ” ก็มีการ”ตรวจสอบ”เพื่อ”เอาผิด” กับ”ชาวต่างชาติ”เหล่านี้ แต่”สุดท้าย”และ”ท้ายสุด” เรื่องก็”เงียบหายเข้ากลีบเมฆ” แต่มีคนถูกหวย “กระเป๋าตุง”ไปหลายคน จึงหวังว่าการ”ตรวจสอบ” โรงแรม และ รีสอร์ท รวมทั้งการ บุกรุก ถือครองที่ดิน บนเกาะสมุยครั้งนี้ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าคงไม่เป็นเรื่อง”มวยล้มต้มคนดู”

และแล้วเรื่องคดีการจับชาว”อินโดนีเซีย” ไปเรียกค่าไถ่ที่ อ.เมือง จ.พัทลุง” ก็”เงียบหาย”ไปกับ”สายลมแสงแดด” เหมือกับคดีของ”แป้ง นาโหนด” นักโทษหนีเรือนจำนครศรีธรรมราช คนร้ายในที่จับชาวอินโดนีเซียมา เรียกค่าไถ่อีก 2 คน ก็ไม่มีการ”จับกุม” ขบวนการค้ายาเสพติด ที่เป็น”ต้นตอ” ของการจับชาว”อินโดนีเซีย” มาเพื่อ”ต่อรอง”กับ”ค่าไถ่” ก็ไม่มีการสืบสวนขยายผล” สังเกตให้ดี จะเห็น”ร่องรอย” ว่า คดีทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับ”แป้ง นาโหนด” ไม่มีความคืบหน้าใดๆ  และเรื่องการจับชาว”อินโดนีเซีย”ไปเรียกค่าไถ่” ทั้งหมดใน “ขบวนการ“คือ”กลุ่มอิทธิพล”ของ”แป้ง นาโหนด” ทั้งสิ้น…..แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…เผือกร้อน! “รัฐบาล”อยู่ไม่เป็น-เย็นไม่พอ-รอไม่ได้

เส้นทางของ”รัฐบาลนิดสอง” ยังมีความ”อลเวง”ไปข้างหน้า เพราะ”คล้อยหลัง”การเดินทางไปเยือน”ต่างประเทศ”ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีเพียง”อึดใจ”  บรรดา 40 วุฒิสมาชิก ก็ยื่นเรื่อง”ถอดถอน”ให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”จาก กรณีการเสนอชื่อของ”พิชิต ชื่นบาน” ดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีสำนักนายก” โดยไม่ฟังคำ”ทักท้วง” ของฝ่ายต่างๆ ที่เห็นว่า”ไม่เหมาะสม” และ”ผิดกฎหมาย”รัฐธรรมนูญ”นี่คือเรื่อง”ได้ไม่คุ้มเสีย” กับการที่” “นายใหญ่” ต้องการที่จะ”ตอบแทน” ทนาย”มือหนึ่ง” ที่ตนเอง”ไว้เนื้อเชื่อใจ” ให้มี”เกียรติยศ” ทางการเมือง แต่กลายเป็น”เผือกร้อน” ในมือ”รัฐบาล”  และ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ก็”รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม” รับเรื่องและนัดฟังคำ”วินิจฉัย” ทันทีในวันที่  23 พ.ค.  ก็ดีนะ เรื่อง”ผิด-ถูก” ในประเด็นที่มีการ”ถอดถอน” จะได้ไม่”ยืดเยื้อ” ให้เกิด”สูญญากาศทางการเมือง” ถ้า”เสี่ยนิด” ต้อง”หยุดปฎิบัติหน้าที่ “ ก็คงเป็นหน้าที่ของ”เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชชัย “รองนายกรัฐมนตรี และ เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” ทำหน้าที่ “รักษาการ”แทน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ต้องโทษใครต้องโทษ”นายใหญ่” และ”เสี่ยนิด” ที่”สะดุดขาตนเอง” ตนอาจจะ”คว่ำข้าวเม่า” โดยเฉพาะ”นายใหญ่” ที่กำลัง”เลยธง” มากขึ้นๆเรื่อยๆ เข้าตำรา” อยู่ไม่เป็น,เย็นไม่พอ”รอไม่ได้” ปัญหาทั้งหมดของ”เพื่อไทย” เกิดจากการ”ประมาท เลินเล่อ” และ”ลุแก่อำนาจ” ของ”นายใหญ่” ทั้งสิ้น

และคงจะต่อด้วยเรื่องของ”พรรคก้าวไกล” ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ”ให้”ก้าวไกล” ทำการ”แก้ต่าง” ในข้อกล่าวหาที่ร้องให้มีการ”ยุบพรรค” ที่เชื่อว่า หลังจากมีการ”แก้ต่าง” ตาม วัน เวลา ที่กำหนด แล้ว “ศาลรัฐธรรมนูญ” คงจะกำหนดวัน”ตัดสิน” จะ”ปล่อยผี” หรือจะ”ตัดคอ” บรรดา”กองเชียร์” และ”กองแช่ง” คงไม่ต้องรอนาน แต่ถ้าถาม”เกจิ” หรือ”กูรู” ทางการเมือง ทุกคนบอกว่า”รอดยาก”  แต่เรื่อง”ไม่รอด” พรรค”ก้าวไกล” ทำใจได้นานแล้ว และมีการ”เตรียมการ” ที่จะ”ไปต่อ” โดยไม่”ย่อท้อ” ต่อการที่จะ”ตาย”เพื่อ”เกิดใหม่” ที่ “ก้าวไกล”เชื่อว่าจะ”ยิ่งใหญ่” กลายเป็น”เบอร์หนึ่ง” ทางการเมืองในการ”เลือกตั้ง” ใน “อนาคต” ส่วนจะ”เป็นจริง”ตามนั้นหรือไม่ อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะ”การเมืองไทย” อะไรก็”เปลี่ยนแปลง”ได้ทั้งสิ้น

เรื่องของ”บุ้ง ทะลุวัง” หรือ”เนติพร เสน่ห์สังคม” ที่”เสียชีวิต” ด้วยการ”อดอาหาร”ประท้วง” เพื่อให้ผู้ต้องหาใน”คดี 112”  ได้รับการประกันตัวจน”เสียชีวิต” ในขณะอยู่ในการควบคุมของ”กรมราชทัณฑ์” ก็อย่ามองว่าเป็น”เรื่องเล็ก” สำหรับ”รัฐบาล” ที่จะต้อง”แสดงออก” ต่อ”ผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่อ”กฎหมาย” ที่ “บังคับใช้” ว่ามีความ”เหมาะสม” หรือไม่    ใช่ เข้าใจนะ ถ้า”อดข้าว” แล้ว ได้ในสิ่งที่”ต้องการ” ทั้งที่”ผิดหลัก”ของ”กฎหมาย” ก็เป็นเรื่องที่”ไม่ถูกต้อง” แต่ เมื่อสังคมถามว่า ความผิดที่เกิดขึ้น “เขาสมควรตาย” หรือไม่ ก็เป็นหน้าที่ของ”รัฐบาล” ที่ต้องมี”คำตอบ” ให้กับสังคมเช่นกัน    การตายของ”บุ้ง ทะลุวัง” ฝ่าย”สนับสนุน” เชื่อว่าจะไม่ตายอย่าง”เปล่าเปลือง” ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นการตายที่”หนักแน่นปานขุนเขา” หรือ”เบาบางปานขนนก” คงจะเห็นไม่นานเกินรอ

เรื่อง”กัญชา” จาก”การค้า” และ”สันทนาการ” ที่เป็นการ”ผลักดัน” ของ”พรรคภูมิใจไทย”ใน รัฐบาล ที่ผ่านมา ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ เป็น”นายกรัฐมนตรี” และ”เพื่อไทย” ก็”ยกมือ” สนับสนุน”เห็นด้วย” กับการเอา”กัญชา” ออกจากการเป็น”ยาเสพติด” แต่วันนี้เมื่อ”เพื่อไทย” เป็น”รัฐบาล” เรื่อง”กัญชาเสรี” กำลังให้กลับมาเป็น”ยาเสพติด”เหมือนเดิม เรื่องนี้อย่างคิดว่า”ภูมิใจไทย” ไม่”รู้สึกรู้สา” นี่คือ”บาดแผล”  ที่นำไปสู่”รอยร้าว”ของ”พรรคร่วม” และรอวันที่จะ”ล้างแค้นล้างอาย” ถ้านโยบาย”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่เป็น” หัวใจ” ของ”เพื่อไทย” ถูก”ภูมิใจไทย” ไม่เห็นด้วยถามว่า”เสถียรภาพ”ของ”รัฐบาลชุดนี้จะ”ง่อนแง่น” หรือไม่  วันนี้เรื่อง”กัญชา” จึงกลายเป็นประเด็นในการ”งัดข้อทางการเมือง” และถ้ารัฐบาลไม่มี”เสถียรภาพ” เชื่อหรือว่า”นักลงทุน” ที่”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่อุตสาห์”ข้ามน้ำข้ามทะเล” ให้นัก”ลงทุน” มาลงทุนในประเทศไทย  เขาจะมาลงทุน   การเดินทางไปทำหน้าที่”เซลล์เมน” ของ”เสี่ยนิด” อาจจะเป็นการ”สูญเปล่า” ทั้ง “เวลา”และ”งบประมาณ” ทั้งหมดคือ”ตุ้มถ่วง” และอาจจะเป็น”ระเบิดเวลา” ที่ทำให้”รัฐบาลนิดสอง” อายุสั้น”  และต้องมีการ”เปลี่ยนแปลง” อีกครั้ง

เช่นเดียวกับ กรณีเรื่องของ”เรือดำน้ำ” ระหว่าง”รัฐบาลไทย” กับ”รัฐบาลจีน” ที่แม้จะมีการ”เจรจา”กันหลายรอบ และรอบสุดท้ายตัวแทน”รัฐบาลจีน” มา”เจรจา”กับ”รัฐบาลไทย หรือ”กระทรวงกลาโหม” ที่ กรุงเทพฯ แต่ก็ยังกลายเป็นเรื่อง”ทศนิยม”ที่ไม่รู้จบ เพราะไม่มีการ”ตกลง” ที่แน่ชัด รู้เพียงว่ายังจะ”เดินต่อ” โดยไม่มีการ”ยกเลิกสัญญา” เป็นการแถลวงข่าวที่”พลิ้วไปพลิ้วมา” ของ”สุทิน คลังแสง” รมว.กลาโหม เรื่องของ”เรือดำน้ำ” ถ้า”จีนผิดสัญญา” สิ่งที่ถูกต้องคือ”ยกเลิกสัญญา” ส่วนเงินที่จ่ายไปแล้ว ก็ต้องมีการ”ฟ้องร้อง” ถ้าจะกลัวว่าการ”ยกเลิกสัญญา” จะทำให้”มหาอำนาจ” อย่าง”ประเทศจีน” โกรธ และไม่พอใจ และอาจจะส่งผลการะทบต่อ”เศรษฐกิจ” การค้า”ของประเทศไทย” ถ้าคิดอย่างนี้ใน”อนาคต” ไม่ว่า”จีน” ทำอะไรก็”ถูกต้อง”แม้แต่”จีน” มี นโยบายในการ”ยึดประเทศ” ก็เป็นเรื่องที่”ถูกต้อง” และต้อง”เกรงใจ” อย่างนี้ก็ไม่ถูก” การ”เจรจา” เรื่องของ”เรือดำน้ำ” เรา”หงอ”จีนเกินไปหรือไม่ เพราะขนาดที่จีน ซึ่ง”ผิดสัญญา” เขาบอกว่าเขาไม่”พอใจ” และไม่อยากฟังคำว่า”ค่าชดเชย” ในการ”ผิดสัญญา” เราก็ไม่กล้า แม่แต่จะ”ยื่นขอเสนอ” ให้มีการ”ชดเชย” การ”ผิดสัญญา” ของ”จีน” เรื่องของ”เครื่องเรือดำน้ำ” สุดท้าย”เรือดำน้ำ” ถ้าจะ”ไปต่อ” ต้องรอ”มติ” จาก”สภาผู้แทนราษฎร์”.….. จำได้ว่าเรื่องของเรือดำน้ำจีน ”ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” สส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เป็นผู้”เปิดโปง” ให้”รัฐบาล” ของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น “ยกเลิกสัญญา”การซื้อเรือดำน้ำจากจีน  และ”เพื่อไทย” ก็เห็นด้วย มาวันนี้ถ้าเรื่อง”เรือดำน้ำจีน” เข้าสภาผู้แทน” เพื่อให้มีการ”ลงมติ” ก็ต้องติดตามดูว่าจะมีการ”พลิกมติ” แบบเดียวกับ”กัญชาเสรี” หรือไม่ ที่สุดแล้ว การไม่อยู่”ในร่องในรอย” ของ”รัฐบาล” ก็จะกลายเป็น”จุดเสื่อม” อย่างรวดเร็วของ”รัฐบาล” ที่มี”เพื่อไทย”เป็น”แกนนำ” และมี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่ “ยิ่งนานวัน” ยิ่งมีคำถามจากทุก”สารทิศ” ที่”กระหึ่ม” ขึ้นทุกขณะว่า”เสี่ยนิด” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่มี”อำนาจ” ตาม”กฎหมายรัฐธรรมนูญ”แต่ไม่มีอำนาจในการ”บริหารราชการแผ่นดิน” ใช่หรือไม่

เห็นด้วยอยู่นะที่ “กรมการปกครอง” ตั้งงบประมาณในการซื้อ”ปืนเล็กยาว” หรือ”ปืนยิงเร็ว” จำนวน 95 กระบอก  เพื่อเป็นอาวุธประจำกายของ “อาสาสมัครรักษาดินแดน” หรือ” อส.” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเพิ่ม”ประสิทธิภาพ” ในการป้องกันเหตุและป้องกันตัว เพราะ “สถานการณ์ความรุนแรง” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะ” ยุติ” แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือต้อง”ป้องกัน” อย่าให้ปืนที่มี”ประสิทธิภาพ” เหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของ”กองกำลังติดอาวุธ” ของบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น เพราะที่ผ่านมา”อาวุธปืนประจำกาย”ของ”อส.” จำนวนมาก ที่ถูก”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” แย่งชิงไป….. รวมทั้งมีการ”แอบขาย” ให้กับ” แนวร่วม” ของ”บีอาร์เอ็น” เช่น” อุปกรณ์” เช่น”กล้อง เครื่องวัดระยะ และ ฯลฯ ที่ยึดได้จากการ”วิสามัญ” กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่บ้านน้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เป็นของ กองร้อย อส. อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ที่สำคัญที่ต้องถามไปยัง” อธิบดีกรมการปกครอง” ปืน เอ็ม 16  จำนวน 20 กระบอก ที่ “อส. กองร้อย อ.เมือง จ.นราธิวาส แอบขายให้กับ”แนวร่วม” ของ”บีอาร์เอ็น” วันนี้ได้คืนมาบ้างแล้วยัง และเรื่องนี้ นอกจาก” อส.” ที่ตกเป็น”ผู้ต้องหา”แล้ว “นาย” ระดับสูง มีใครต้อง”รับผิดชอบ” หรือไม่

เมื่อ”โดรน” กลายเป็น”ของเล่น” ชิ้นใหม่ของ”แนวร่วม”ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีข่าวพบ”โดรน” ที่ นั่น  ที่นี้ เช่นพบในพื้นที่ จ.ยะลา พบที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และ ล่าสุดพบที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานีถึง 3 ลำ นี่คือการเล่น”สงครามประสาท” ของ”บีอาร์เอ็น”ต่อ”เจ้าหน้าที่รัฐ”  ก็เป็นหน้าที่ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ต้อง”ตรวจค้น” ว่า”โดรน” ที่ถูกใช้”ก่อกวน” เจ้าหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการ”ซุกซ่อน” ที่ไหน อย่ารอจน”โดรน” พวกนี้ถูกนำไป”ติดระเบิด” เพื่อ”ปฏิบัติการจริง” แล้วค่อย”ค้นหา” ก็ไหนว่า วันนี้”กอ.มน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มีการ”จัดซื้อ” เครื่องไม้เครื่องมือ ที่เป็น”นวัตกรรม” ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการ”ต่อต้านการก่อการร้าย” ก็อยากเห็นนะว่า “ใช้ได้จริง” หรือไม่ เพราะเรื่องของ”เรือเหาะ” ที่ซื้อมาแล้ว”ไม่เหาะ” ยังเป็นเรื่องที่”หลอกหลอน” คนในพื้นที่ยังไม่หาย……”อุปกรณ์” ที่” บีอาร์เอ็น” ใช้ในการ”ประกอบระเบิดแสวงเครื่อง” ก็มาจาก” มาเลเซีย”  และ”กระสุนปืน” ที่ “บีอาร์เอ็น” ใช้ในการ”โจมตี” เจ้าหน้าที่ และ ประชาชน ก็มาจาก”มาเลเซีย”สถานที่”ฝึกฝน” ในเรื่องการทำ”ระเบิดแสวงเครื่อง” ก็เป็น”หมู่บ้าน”ใน”แนวชายแดน” ที่ติดกับฝั่งไทย “ สำนักงานใหญ่ของ “บีอาร์เอ็น” ก็ ตั้งอยู่ใน”รัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย  แล้วทำไม”รัฐบาล” และ”กองทัพ” จึงต้องไปเปิด”โต๊ะการพูดคุย” กับ”ตัวแทนของบีอาร์เอ็น” ให้ เสียเวลา และ”เปล่าประโยชน์” เรื่องที่”ควรทำ” คือการ”เปิดโต๊ะ” เพื่อ”พูดคุย” กับ”ผู้นำของประเทศมาเลเซีย” ให้ดำเนินการกับ”บีอาร์เอ็น” เช่นเดียวกับที่”รัฐบาลมาเลเซีย” ในอดีต  ที่เคย”เปิดโต๊ะเจรจา” กับ”รัฐบาลไทย”กับ”กองทัพ” ให้ช่วยดำเนินการกับ”โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา” ที่อาศัยอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จนสุดท้าย”รัฐบาลไทย” และ”กองทัพไทย” นำ “พลพรรค”ของ”โจรจีน”  กรม 8 กรม 10 และ กรม 12 ออกมาจากป่าได้ทั้งหมด เป็นการ”ยุติ”การ”ก่อการร้ายให้กับประเทศมาเลเซีย จบปัญหา”เสี้ยนหนาม” ให้กับ”ประเทศมาเลเซีย จวบจนทุกวันนี้

ส่วนการเดินทางไป”พูดคุย” ระหว่างประธานฝ่ายเทคนิคของทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายไทยมี “พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยที่ 4 เป็นประธาน ฝ่าย”บีอาร์เอ็น” มี”ดร.นิมะ เจ๊ะเตะ” เป็นประธาน เมื่อวันที่ 19-20  พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ “กรุงกัวลาลัมเปอร์ “ ประเทศมาเลเซีย  ส่วนหลังการ”เจรจา” ทั้งสองฝ่าย ก็ยังไม่มี”ฝ่ายไหน” ออกมา”เปิดเผย” ถึงรายละเอียด   หรือที่ไม่มีการ”แถลง” เป็นเพราะเหมือนกับการ”พบปะ” ในหลายครั้งที่ผ่านมาคือไม่มีความคืบหน้าเป็นการ”พูดคุย”แบบ” ขี่ม้าเลียบค่าย” หรือเป็นการ”เสวนา”แบบ”ไปไหนมา สามวา สองศอก” อย่าลืมนะว่า ทุกคนรอฟัง……แต่ช้าแต่ เวทีการ”พูดคุย”ยังไม่จบสิ้น “กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ใช้”ระเบิดแสวงเครื่อง” และ”อาวุธปืน” เข้า”โจมตี”  กำลัง อส. ชุดคุ้มครองครู ที่ ต.เกียร์ อ.สุคิริน  และที่ ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 19 พ.ค. ผลคือ มี อส.”พลีชีพ “ 1 ราย บาดเจ็บทั้ง 2 ชุด จำนวน 11 คน  นั้นคือคำตอบจาก”ฝ่ายทหาร” ของ”บีอาร์เอ็น” ว่าไม่ได้เห็นด้วยกับการ”พูดคุยสันติสุข” และ”ยุทธศาสตร์” ของ”บีอาร์เอ็น” ในปี 2567 คือการใช้”ความรุนแรง” กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ    หรือ” บีอาร์เอ็น” รู้”จุดอ่อน” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ดีว่า ไม่มี”ประสิทธิภาพ” ในการ”รักษาความปลอดภัย” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้จริง จึงให้ นโยบาย ความรุนแรง เพื่อ”กดดัน” ให้การ”พูดคุย”เป็นไปตาม”หมากเกม” ที่”บีอาร์เอ็น “ ต้องการ และที่น่า”เป็นห่วง” คือเจ้าหน้าที่”ชุดเก็บกู้ระเบิด” ที่เข้าไปเก็บกู้ระเบิด กลับถูก”ระเบิดแสวงเครื่อง” ลูกที่ 2  ที่ “กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” วางเป็น”กับดัก”เอาไว้ ทำให้ เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิด”บาดเจ็บสาหัส” ไปอีก 1 ราย ประเด็นนี้มีข้อ”ข้องใจ” ว่า ในการ”เก็บกู้วัตถุระเบิด” ในที่เกิดเหตุแต่ละครั้ง ชุดเก็บกู้ระเบิดมี”เครื่องมือ” ที่มี”ประสิทธิภาพ” ในการ”ตรวจสอบ”ระเบิด” ที่ถูกวางเป็น”กับดัก” หรือไม่

ความ”เพลี่ยงพล้ำ” ของ”เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่เกิดขึ้น ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการ”ตอกย้ำ” ให้”ประชาชน”เข้าใจว่า” บีอาร์เอ็น” เป็น” กองกำลัง”ที่มี”ประสิทธิภาพ” ที่เหนือกว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ” ความ”มั่นใจ” ใน “อำนาจรัฐ” ของ”ประชาชน” ในพื้นที่จึงถูก”ลดทอน” ลงเรื่อยๆ เรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. และ “พล.ท. ศานติ ศกุนตนาค” ต้องให้ความสำคัญ……ประชาชน ในพื้นที่ ผู้นำ”ท้องที่” ต่าง”รู้เห็น” ว่า”แนวร่วม” ในพื้นที่มีใครบ้าง รู้ถึงการ”ก่อเหตุ” แต่ละครั้ง แต่ที่ไม่มีใครกล้าที่จะ”แจ้งเบาะแส” ให้เจ้าหน้าที่” เป็นเพราะ ประชาชน และ ผู้นำท้องที่ ต่างรู้ดีว่า”อำนาจรัฐ” ไม่สามารถ”คุ้มครอง”ความปลอดภัยให้เขาได้ เขาจึงเลือกที่จะ”อยู่นิ่งๆ” เชื่อเถอะ ถ้า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังไม่สามารถ”สถาปนาอำนาจรัฐ” ให้เกิดขึ้นใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” กำลัง เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร  และ กองกำลังท้องถิ่น ก็ไม่สามารถที่จะ ทำให้ “สถานการณ์” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสงบเกิดขึ้น

จบจากเรื่อง “ทหาร” เรื่องความมั่นคงที่”ไม่มั่นคง” ก็มาถึงเรื่องของ”ตำรวจ” กันบ้าง หลังจากที่”บิ๊กโจ๊ก” พล.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ล่อกับ”บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล  ผบ.ตร.ที่ช่วยราชการอยู่ สำนักนายกฯ จน “กรมปทุมวัน”เละเป็นโจ๊ก” และยังไม่รู้ผลว่าจะ”ออกหัว ออกก้อย” ว่าจะได้กลับไปยัง”กรมปทุมวัน”หรือไม่ วันนี้ “บิ๊กโจ๊ก” ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ยัง”เดินสาย” ล่าลายเซ็น” จาก”มวลชน”ใน”ภาคใต้” เพื่อการ”ถอดถอน” คณะกรรมการ ปปช. เป็นการ”ทุบบ้านเอง” แล้วเดินไป”กวาดบ้านเพื่อน” ก็ดูให้”สนุกสนาน” และเอาไปคิดกันเองว่าเป็นเรื่องการ”ล้างแค้น” หรือเป็นการ”ทำความสะอาด”ประเทศไทย และถ้าเป็นการ”ทำความสะอาดประเทศไทย” ก็ฝาก ”บิ๊กโจ๊ก” ให้เข้าไป”ปัดกวาด” อีกหลายหน่วยงานของประเทศนี้ ที่”เลอะเทอะ” ไปด้วย”ผลประโยชน์” และการ”เล่นพรรคเล่นพวก”เอาให้”หนัดเหนียน” กันไปเลย แต่ที่น่าเห็นใจคือ”ลูกน้อง” ที่ยังมี”ตำแหน่ง” ในพื้นที่ ซึ่ง”บิ๊กโจ๊ก” ออกมา”เคลื่อนไหว” ต่างอยู่ในอาการ”หวาดผวา” เพื่อกล้าแต่งเครื่องแบบ ไม่กล้าที่จะ”ออกหน้า” มารับนาย เพราะกลัวการถูก”หางเลข” จากความ”ขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นใน “กรมประทุมวัน”

นี่ก็เรื่องของ”ตำรวจ” ที่ จ.พัทลุง ซึ่งเป็นเมืองที่ทุก”เหตุการณ์” ต้องมี”ตำรวจ” หรือไม่ก็”นักการเมือง” เข้าไปมีส่วน”เกี่ยวข้อง” เป็นประจำ เรื่องการจับตัว”ชาวอินโดนีเซีย” จาก” อ.หาดใหญ่ ไป “กักขัง” ไว้ในพื้นที่ อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อเรียก”ค่าไถ่” 2 ล้านบาท “สืบไปสาวมา” กลายเป็นว่ามี “ดาบตำรวจหญิง” เป็น หนึ่งในแก็งค์ของ”ผู้ต้องหา” และ “สาวย่าน” ต่อไปก็พบว่าทั้งแก็งค์เป็นแก็งค์ของ”แป้ง นาโหนด” นักโทษ”ผู้หนีคดีจากเรือนจำ จ.นครศรีธรรมราช ที่ถ้า”สืบสาวราวเรื่อง”กันจริงๆ ก็จะพบว่า มีความสัมพันธ์กับ”นายตำรวจ” ระดับสูง ที่เคยรับราชการอยู่ใน จ.พัทลุง และเป็น”ลมใต้ปีก “ ให้กับ”แป้ง นาโหนด” ซึ่งข่าวจาก”สายสืบ”ของตำรวจ พบว่าเรื่องจับชาว”อินโดนีเซีย” มาเรียก”ค่าไถ่” ข้อเท็จจริง เป็นเรื่องของ”ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ” ที่มี”นักค้ายาเสพติด” ใน แก็งค์ของ”แป้ง นาโหนด” ใน จ.พัทลุง และ จ.สงขลา ส่ง”ยาไอซ์” ให้กับพ่อค้าชาว”อินโดนีเซีย” โดยที่ยังไม่ได้”จ่ายเงิน” โดยให้”เพื่อนรวมแก็งค์” เป็น”ตัวประกัน” จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วจึง”ปล่อยตัวประกัน” แต่มีการ”เบี้ยว”เกิดขึ้น” ทำให้”ตัวประกัน” ถูก”ข่มขู่” ให้ติดต่อกับทางครอบครัว ที่ประเทศอินโดนีเซีย โอนเงินมาไถ่ตัว…..เรื่องนี้ถ้า”กงสุลอินโดนีเซีย” ประจำจังหวัดสงขลา ไปติดต่อประสานงานกับ”ตำรวจ”ให้เข้าไปช่วยเหลือตัวประกันออกมาได้ทัน ตัวประกันอาจจะกลายเป็น”คนตาย” วันนี้ เรื่องนี้  พล.ต.ต. ณฐกรณ์ กาญจนาภรณ์  ผบก.ภ.จว. พัทลุง ต้อง”เดินหน้า” ในการ”คลี่คลาย” คดีนี้ให้ถึงที่สุด เพราะยังมี”ผู้ต้องหา” อีกจำนวนหนึ่ง ที่ยังไม่ถูก”จับกุม” รวมทั้ง”ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ” ที่อยู่ในพื้นที่” พัทลุง” และใน อ.รัตภูมิ จ.สงขลา

นี่ก็เรื่องของ”ตำรวจ” ในพื้นที่ซึ่งอยู่ติดกับ”ชายแดนมาเลเซีย” ที่กลายเป็นที่” พักพิง” และที่”หลบซ่อน” ของ”แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง” ทั้งที่เป็น”เมียนมา” และ”โรฮีนจา” ซึ่งใช้”รีสอร์ต” ในพื้นที่แนวชายแดน ในการ”พักพิง” เพื่อรอ”ไฟเขียว” ให้”ข้ามฝั่ง”ไปยังประเทศมาเลเซีย “รีสอร์ต” เหล่านี้ ไม่เคยมีการ”ตรวจค้น” เพราะมีการ”จ่ายส่วย” ให้ “เจ้าหน้าที่” ในพื้นที่เป็น รายหัวๆละ 500 บาท เรื่องอย่างนี้ไม่ทราบว่า “พล.ต.ต.ไมตรี สันตยานุกุล “ ผบก.ภ.จว. นราธิวาส เคยได้ยินข่าวนี้หรือไม่

และอีกประเด็น เรื่องของ”น้ำมันเถื่อน” ที่ “ทะลัก” จาก”มาเลเซีย” วันนี้มีข้อตกลง ระหว่าง”พ่อค้าน้ำมันเถื่อน” และ”เจ้าหน้าที่” ในการเปิด”ไฟเขียว” ให้”ผ่านด่าน”ได้ในเวลา”กลางคืน” ซึ่งข่าว”วงใน” แจ้งว่า ถ้าด่านไหนไม่ให้ผ่าน จะมีการใช้”แนวร่วม” ของ”บีอาร์เอ็น” เป็นผู้จัดการ” โจมตี  “ มิน่า ”ด่าน”ในพื้นที่ จ.นราธิวาส มี ก็เหมือนไม่มี เพราะต้องตกอยู่ใน”อิทธิพล” ของ”บีอาร์เอ็น” นี่เอง

เมื่อพื้นที่ของ “เมืองท่องเที่ยว” ในภาคใต้ตอนบน กลายเป็นที่”ทำมาหากิน” ของ”ชาวต่างชาติ” ที่เข้ามาในคราบของ”นักท่องเที่ยว และเมื่อมีการ”ขัดผลประโยชน์” ก็จะมีการ”จัดการ”ด้วยการ”ฆ่าทิ้ง” ล่าสุด ชาวปากีสถาน ฆ่า ชาวอินเดีย ในพื้นที่ จ.พังงา เพราะขัด”ผลประโยชน์” ในธุรกิจที่”ผิดกฎหมาย” แม้ว่าหลังการก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จะ”จับกุมฆาตรกร” มาดำเนินคดีได้ก็จริง แต่ถ้า “ตำรวจ” และ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ยังไม่มีการ”เข้มงวด” กับ”ชาวต่างชาติ” ที่”หลั่งไหล” เข้ามาใน “เกาะภูเก็ต,,เกาะสมุย, เกาะพะงัน”  และอื่นๆ คดีการฆ่ากันเองของ”ชาวต่างชาติ” ก็จะเกิดขึ้นอีกจำนวนมาก เพราะ วันนี้ “ต่างชาติ” หลายชาติหลายภาษา ไม่ได้เข้ามาเพื่อ”ท่องเที่ยว” หรือเพื่อ”ลงทุน” ในธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เข้ามาทำ”ธุรกิจผิดกฎหมาย” เพราะ”เจ้าหน้าที่” ในพื้นที่เหล่านั้น”ซื้อ” ด้วย”เงิน” ได้ นั่นเอง  พล.ต.ต.สุรพงษ์ ถนอมจิต “ ผบช.ภ 8  ต้องมี นโยบายในการ”กวาดล้างให้หมดสิ้น

เป็นเรื่องที่”ไม่ง่าย” สำหรับการใช้”กฎหมาย” เข้าทำการ”รื้อถอนโพงพาง” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ทั้งเป็นทั้งเครื่องมือการทำประมงที่”ผิดกฎหมาย” และทั้งเป็นการ”รุกร่องน้ำการเดินเรือ” ซึ่งก็ เข้าใจ เห็นใจ และ เห็นด้วย กับการที่”สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ใช้ วิธีการ”จากเบาไปหาหนัก” โดยให้ประมงจังหวัด” เข้าความดำเนินคดี กับ”พนักงานสอบสวน” ก่อนที่จะมีการ”รื้อถอน” ส่วนการที่”เจ้าของโพงพาง” ต่อรองให้มีการจ่ายเงิน”ชดเชย” ค่ารื้อถอนปากละ 450,000 บาท ทำไม่ได้แน่ เพราะถ้ามีการ”จ่ายเงิน” ให้กับผู้ที่ทำผิด”กฎหมาย” ต่อไป”ประเทศไทย” คงต้องตั้ง”งบประมาณ” เพื่อ”จ่ายค่าชดเชย” ให้กับคนที่”เป็นโจร” และคนที่”ค้ายาเสพติด” เพื่อให้”เลิกทำผิดกฎหมาย” เรื่อง”โพงพางดักเรือ” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ไม่ว่าอย่างไร เมื่อใช้หลัก”รัฐศาสตร์” ไม่ได้ผล ก็ต้องใช้หลัก”นิติศาสตร์” ประเทศต้องมี”กฎหมาย” และคนในประเทศต้อง”เคารพกฎหมาย” และถ้า”ผู้รักษากฎหมาย” ไม่ทำตามที่”กฎหมาย” กำหนด ก็ต้อง”เอาผิด” ตาม”กฎหมาย” มาตรา 157 …….เรื่องของ”โพงพาง” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ถูก”พาดพิง”ถึง “ธำรง เจริญกุล” อดีต ผวจ.สงขลา เมื่อ ปี 58-59 ซึ่งเป็นผู้รับบริจาคเงิน 11 ล้านบาท เพื่อ”จ่ายเยียวยา” ให้กับเจ้าของ”โพงพาง” ที่กีดขวาง”ร่องน้ำ”การเดินเรือ ซึ่งตัวแทนของ”ประมงโพงพาง” อ้างกับ”สื่อมวลชน” ว่ามีการทำเงิน 11 ล้านบาท”ตกหล่น” ระหว่างทาง ไม่รู้ไปเข้า”กระเป๋า”ของใคร เพราะ เจ้าของโพงพาง ได้เงินเยียวยาไม่เท่ากัน บางคนได้ 700,000 บาท ตามข้อตกลง บางคนได้ไม่ถึง และมีบางคนได้แค่”หลักหมื่น” เรื่องนี้”ธำรงค์ เจริญกุล” ชี้แจงว่า เงิน 11 ล้านบาท รับจากบริษัทไหนเท่าไหร่ จ่ายให้ใครเท่าไหร่มีการทำ”บัญชี” ไว้เป็นหลักฐาน การจ่ายไม่ได้จ่ายให้เจ้าของ”โพงพาง” ทุกปาก แต่จ่ายเฉพาะ”โพงพาง” ที่ “ขวางร่องน้ำ”หรือที่เจตนาเพื่อ”ดักเรือ” ให้ชนเพื่อเรียกค่า”เสียหาย” เท่านั้น ขอให้เข้าใจตามนี้

ในที่สุดเรื่อง”ขยะหาดใหญ่”ที่ถูกมองว่าเป็น”ขยะการเมือง” เพื่อถูก”ต่อต้าน” จากผู้นำ”ท้องถิ่น” และ”ท้องที่” ใน ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ และ อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ก็ถูก”คลี่คลาย” จนสามารถนำ”ขยะ” ไปยัง “โรงคัดแยกขยะ” ที่ อ.คลองหอยโข่ง ได้ตามเดิม เรื่องนี้ต้อง”ยกนิ้ว” ให้กับ “พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่ใช้”ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” ปล่อยให้”มือรอง” อย่าง”สัมฤทธิ์ บุญรัตน์” รองนายกฯ และทีมงาน แก้ปัญหาได้สำเร็จ หลังจากที่”อลหม่าน” กันอยู่หลายวัน ก็ย้ำอีกที่”เรื่องขยะ” ของ “เทศบาลนครหาดใหญ่ เป็น”เรื่องใหญ่” ที่ “ผู้บริหาร” ต้องมีแผนในการ”บริหารจัดการ” ในระยะยาว เพราะความ”ขัดแย้ง”ทาง”การเมือง” อาจจะ”ปะทุ” ขึ้นอีกโดยมี”ขยะ” เป็น”เหยื่อ” เพื่อ”ประโยชน์” ทาง”การเมือง”…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’เมืองไทย’สวรรค์ของอาชญากรข้ามชาติ!!

หลังจากการ”ทัวร์นกขมิ้น” หลายจังหวัด ในประเทศไทยเป็นที่”เรียบร้อยโรงเรียนนิดสอง” แล้ว “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ก็จะ”เหินฟ้า” ทัวร์นกอินทรีย์”ยังต่างประเทศ เป็น”คำรบที่เท่าไหร่” ก็จำไม่ได้นะ เพราะ”เสี่ยนิด” เขามาบริหาร”บ้านเมือง”เพียง 7 เดือน” แต่ไป”ทัวร์นอก” เกือบจะ”รอบโลก” แล้วกระมัง ก็ไม่ว่ากัน เพราะการเดินทาง”ไปต่างประเทศ” เป็น”ภาระหน้า” ของ”ผู้นำประเทศ” ในการ”แสวงหาพันธมิตร” เพื่อการ”ลงทุน” ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ การค้า” ที่ประเทศไทย”โหยหา” เพราะ 9 ปี ที่ผ่านมาภายใต้การบริหารประเทศของ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี “ต่างชาติ” ที่เข้ามาเพื่อ”ลงทุน” หายไปจากประเทศไทย ไปยัง”ประเทศอื่นๆ” ในภูมิภาคอาเซียน  เพราะประเทศเหล่านั้นมี”เสถียรภาพ” ทาง”การเมือง” มากกว่าไทย และที่สำคัญ”ค่าแรง” ที่”ถูกว่า” ก็เป็น”ปัจจัย” ของ”นักลงทุน” ในการเลือกประเทศที่จะเข้าไป”ลงทุน”……ก็ต้องติดตามว่า หลังจาก”โกอินเตอร์” เกือบรอบโลก ใน 7 เดือนของ”เสี่ยนิด” จะมี”กลุ่มทุน”จากประเทศไหนบ้างที่”สนใจ” จะมา”ลงทุน” ในไทย วันนี้ยัง”ติเรือทั้งโกลน”ไม่ได้ เพราะเรื่องการ”ลงทุน” ของ”กลุ่มทุน” จาก “ต่างประเทศ” ก่อนการ”เข้ามา” เขาต้องหา”ข้อมูล” เขาไม่ได้เชื่อ ตามที่”เสี่ยนิด” ไป”โฆษณา” ให้ฟัง เพียงอย่างเดียวแล้วเขาจะ”หอบเงิน” มาลงทุนในประเทศไทย    ภาพการเป็น”ผู้นำอินเตอร์” เก่งภาษาอังกฤษ,แต่งกายทันสมัย ใส่ ถุงเท้าข้างละสี” ไม่ใช่เครื่องหมาย”การันตี” ว่าการไป”โรดโชว์” จะประสบความสำเร็จเสมอไป สถานการณ์ในประเทศต่างหากที่เป็น”ปัจจัย” สำคัญของ”นักลงทุน” …..และ แต่ละ โครงการ ที่ไป “นำเสนอ” ต้องมีความ”เป็นไปได้” ต้องมีการทำให้”ตกผลึก” ในประเทศของตนก่อน การไป”โรดโชว์”กับ”ต่างประเทศ อย่างเรื่องของ”แลนด์บริจด์” หรือ”สะพานบก ข้าม” ทะเลอันดามัน “และ” ทะเลจีนใต้”  ที่ภายในประเทศยังไม่”ตกผลึก” ยัง”สับสนอลหม่าน” ทั้งทาง”วิชาการ” และด้าน”ข้อเท็จจริง” ที่ สุดท้ายแล้ว วันนี้ไม่มีอะไรคืบหน้า”นักลงทุน” ไม่ให้ความสนใจ

ความ”ตกต่ำ”ด้าน”เศรษฐกิจ” ของประเทศในวันนี้ การใช้ นโยบายในการ”กระต้นเศรษฐกิจ”ไม่ใช่แค่”กระตุ้นเศรษฐกิจ”  น่าจะไม่เพียงพอ  นโยบายที่”ถูกต้อง”ที่ ”เศรษฐา ทวีสิน” รวมทั้ง “ทีมงานเศรษฐกิจ” ต้องทำคือการ”ปฏิรูปเศรษฐกิจ” การ”แจกเงิน ”ในโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ให้ประชาชนคนละ 10,000 บาท เพื่อไป”ใช้จ่าย”  น่าจะไม่สามารถ” กอบกู้เศรษฐกิจไทย” ให้ไปรอด เพราะดูทั้งเรื่อง”การส่งออก” เรื่อง”หนี้ครัวเรือน”การใช้”งบประมาณ” ในปี 2567 ที่”ล่าช้า” เห็นชัดว่า “เศรษฐกิจ”ของประเทศกำลัง”โคม่า” เกินกว่าที่จะใช้คำว่า”กระตุ้น” แต่ต้อง”ปฏิรูป” ถึง”ไปรอด” ก่อนที่จะ”จอดไม่ต้องแจว”…..เสียดายนะ กับ”ความคาดหวัง”ว่าการเข้ามา”บริหารประเทศ” ด้วยการ”ตระบัติสัตย์” และ”พลิกขั้ว” แบบ” มีเรา มีลุง” โดยเป็นการ”ลงทุน” ที่”ทุ่มหมดหน้าตัก” ไปสู่”ความเสื่อม” ของ”เพื่อไทย” ที่ ผลตอบแทน ควรจะ”นำพา”ประเทศให้”ดีกว่า” ที่เป็นอยู่  แต่สุดท้ายผ่านไป 7 เดือน สิ่งที่ ประชาชน พบเห็น มีแต่เรื่อง”ส่วนตัว” เรื่อง”พรรค”เรื่อง”ครอบครัวเจ้าของพรรค” มากว่าเรื่อง”ส่วนรวม”

เรื่อง”ข้าว 10 ปี” ที่ “โด่งดัง” ข้ามคืนด้วย”ฝีปาก”ของ”เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชชชัย รองนายกรัฐมนตรี และ” เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ “  ที่ “มองมุมไหน” ก็เห็นแต่เรื่อง”การเมือง” มากกว่าเรื่อง”การค้า” และ”ปากท้อง” ของประชาชน เรื่อง”ขายข้าวเน่า” ยิ่ง ยาว ออกไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นการพยายาม”ฟอกขาว” ให้กับ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยัง”สัญจรไพร” อยู่ใน”ต่างประเทศ”กับ”ข้อหา”ทุจริต”จากโครงการ”จำนำข้าว” ….ส่วน.เรื่องที่จะเอา”ข้าว 10 ปี” มาให้”ไอ้เณร” ในค่ายทหาร และ”นักโทษ” ในเรือนจำ” กินนั้น ถ้าเป็นเรื่องการ”สื่อสารผิดพลาด” ก็แล้วกันไป แต่ถ้าเป็นจริง”แค่คิด” ก็”ผิดแล้ว” เพราะทั้ง”ไอ้เณร” และ” นักโทษ” ต่างก็คือ”มนุษย์” เช่นเดียวกับ” นักการเมือง” ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้อง”เท่าเทียม” ไม่ว่าจะอยู่ใน สถานะ ไหน เรื่อง”ข้าว 10 ปี”ของ” รัฐบาล”  โดยเฉพาะ”เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรมเวชชัย “ รองนายกรัฐมนตรี และ  “เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” ไม่ควร”ต่อความยาวสาวความยืด” ต้องเร่งทำให้จบโดยเร็ว เพราะวันนี้เรื่อง”ข้าวเน่า” กลายเป็น”ประเด็นการเมือง” ไปเรียบร้อยแล้วและอาจจะ”นำพา” ประเทศไปสู่”ความเสื่อม” และพา”เพื่อไทย”ไปสู่”จุดจบ” ที่เร็วขึ้น

เรื่องที่ สำคัญยิ่งกว่าการ”ขายข้าวเน่า” สำหรับ”กระทรวงพาณิชย์” ที่”เสนาบดี”ท่านต้องคิดและทำคือเรื่อง” สินค้าแพง” ที่วันนี้”แพงทั้งแผ่นดิน” หมูแพง,ไก่แพง,ไข่แพง,ผักแพง แม้แต่”พริกขี้หนู” ยังขึ้นราคาไปแล้ว กิโกกรัมละ 400 บาท วันนี้ “อาหารจานเดียว” ที่ขาย 40 บาท ไม่มีแล้ว อย่างต่ำจานละ 60 บาท คน”รากหญ้า” กำลัง”กระอักเลือด”…..  เพียงมีการประกาศจาก “พิพัฒน์ รัชกิจประการ”  เสนาบดีกระทรวงแรงงาน” เรื่องขึ้น”ค่าแรง”วันละ 400 บาท”เท่านั้น   ส่วนการ”ขึ้นจริง” ยังไม่เกิดขึ้น แต่”สินค้า”เกือบทุกชนิด”พาเหรด” ขึ้นราคาไปเรียบร้อย”โรงเรียนเฮียอ้วน”ไปแล้ว และเดือน พ.ค. เป็นเดือนที่มีการ”เปิดภาคเรียน” ปรากฏว่า”เครื่องแบบนักเรียน” แพงทุกจังหวัด ทุกพื้นที่  “ผู้ปกครอง” ต่าง”เดือดร้อน” เพราะต้อง”หาเงิน” มาเพื่อใช้ในการศึกษาของ”ลูกหลาน” ทรัพย์สินในบ้านก็ไม่เหลือที่จะไปยัง”โรงตึ้ง” สังเกตุได้จากที่ปีนี้ในช่วง”เปิดภาคเรียน” บรรดา”โรงรับจำนำ” ไม่ต้องมีการ”เพิ่มทุน” เพื่อใช้ให้เกิด”สภาพคล่อง”เพื่อ”รับจำนำสินค้าจากประชาชน  เพราะ”ประชาชน” ไม่มี”ทรัพย์สิน” ที่จะไปฝากกับ”โรงตึ้ง” แล้วนั่นเอง    ที่สำคัญยังไม่เห็น”บทบาท”ของ”พาณิชย์จังหวัด” ออกมา”ตรวจสอบ” เพื่อดูแลประชาชนอย่าให้ถูก”ขูดรีดกรีดเลือด” จาก พ่อค้า และ นายทุน แม้แต่น้อย หรือ” พาณิชย์จังหวัด” มีเพียงหน้าที่ในการ”ตรวจกระเช้าปีใหม่” และตรวจ”ถังสังฆทาน” เท่านั้น

ปีนี้เรื่อง”ทุเรียน” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้อง”ดีอกดีใจ” ว่าจะเป็น”สินค้าส่งออก” ที่ ทำเงินให้กับประเทศ เพราะความ”ร้อนแล้ง” ที่”รุนแรง” ที่สุด ที่เคยพบมา ที่ภาคอื่นไม่รู้ แต่ที่”ภาคใต้” สวนทุเรียน” ทั้งที่ ให้ผลแล้ว และที่กำลัง”เจริญงอกงาม” ประสบ”ภัยแล้ง” เสียหายแบบที่เรียกว่า”วายวอด” เกษตรกรจำนวนมาก ที่”ทุ่มเท”และ”ทุ่มทุน” กับ”สวนทุเรียน”ต่าง”หมดเนื้อหมดตัว” เป็นหนี้”สถาบันเงินกู้” ต้อง”นอนเอามือฝรั่งก่ายหน้าผาก” แน่นอนว่า ผลผลิต”ทุเรียน”ของ”ภาคใต้”ในปีนี้ ลดลงถึง 50%  นั้นหมายถึงการ”ส่งออก” ที่ลดลง การได้เงินเข้าประเทศที่”น้อยลง”……ส่วนการ”เยียวยา”เกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจาก”ภัยแล้ง” ที่ไม่เฉพาะกับ”สวนทุเรียน”เท่านั้น แต่ เกษตรกร อื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบถ้วนหน้า “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ” รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้” เกษตรกร”  ที่ได้รับผลกระทบ สามารถกลับมา”ลืมตาอ้าปาก”ได้อีกครั้ง   ที่สำคัญ “ภัยแล้ง” ที่เกิดขึ้น แม้แต่”นาข้าว” ที่ จ.พัทลุง” ซึ่งเป็นพื้นที่มีการ”ก่อสร้างแหล่งน้ำ”ของ”กรมชลประทาน” มากที่สุด ปีนี้”แหล่งน้ำ” ที่”ลงทุน” ด้วย”เม็ดเงิน”มหาศาล ก็ไม่ได้ช่วยให้”ชาวนา” มีน้ำ ทำนา เช่นเดียวกับ”ที่นา” ใน 4 อำเภอของ “คาบสมุทรสทิงพระ” จ.สงขลา “ระโนด,กระแสสินธ์,สทิงพระ.สิงหนคร” ที่”แหล่งน้ำ”จาก”ชลประทาน” ก็ช่วยเหลือให้”เกษตรกร” มีน้ำในการทำการเกษตรไม่ได้เช่นกัน  “งบประมาณ”จำนวนมาก ที่ “กรมชลประทาน” ใช้ในการ”สร้างแหล่งน้ำ” กลายเป็นเรื่อง”สูญเปล่า” สาเหตุของการ”สร้างแหล่งน้ำ” แต่”ชาวสวน ชาวนา” ไม่ได้ประโยชน์ หรือเป็นเพราะมีการ”ฉ้อราษฎร์ บังหลวง” ใช่หรือไม่ เรื่องนี้ “เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า”ต้องมีการ”ตรวจสอบ”

ยกตัวอย่าง” คลองอาทิตย์”ที่”ไหลผ่าน” ใน พื้นที่ อ.สทิงพระ จ.สงขลา หลัง”น้ำแห้ง” มี”สันดอนโผล่” มากมายใน”ลำคลอง” ที่ “ส่อ” ให้เห็นว่ามีการ”ทุจริต” ในการ”ขุดลอก” ที่ไม่เป็นไปตาม”สัญญา” และเมื่อไม่เป็นไปตาม”สัญญา” ก็ต้องถามว่า “กรรมการ” ตรวจรับงานไปได้อย่างไร เรื่องนี้ภายใน “กรมชลประทาน” อาจจะไม่”สนใจ” ไม่มีการ”สอบสวน” เพราะไม่ต้องการ”ลูบหน้าปะจมูก” แต่ สำนักงาน ปปช.จ.สงขลา “ราม วิสุธนภิญโญ” จะไม่ให้ความสนใจ ลงไป”ตรวจสอบ” กันบ้างหรือ อย่าตอบนะว่าไม่รู้จะตรวจสอบอย่างไร เพราะหลังเกิดเรื่อง”สันดอนโผล่” “ หน่วยงานที่รับผิดชอบ ก็เร่งรัดให้”ผู้รับเหมา” ปล่อยน้ำให้”ท่วมสันดอน” จนมองไม่เห็นแล้ว…สำหรับ” ชนนพัฒน์ นาคสั้ว” สส.เขต 4  สงขลา พรรคพลังประชารัฐ เจ้าของพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านเดือดร้อนจาก”ภัยแล้ง” หน้าที่ของ” “ผู้แทนราษฎร์” ไม่ควรจะจบที่การ”ขอบคุณ” เจ้าหน้าที่”ชลประทาน” ที่ดำเนินการ”ปล่อยน้ำ” สู่”คลองอาทิตย์” เพื่อแก้ปัญหา”ภัยแล้ง” ให้กับ”เกษตรกร”เพื่อคลายความเดือดร้อนแล้ว  แต่ต้องดำเนินการ”ตรวจสอบ” ที่มาของ”ปัญหา” ที่ทำให้”คลองอาทิตย์” ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ว่าเป็นเรื่องมีการ”ทุจริต” ในการ”ขุดลอก” หรือไม่ นี่ก็เป็นหน้าที่สำคัญของ”สส.ด้วยนะ อย่าลืม

”เมืองไทยเรานี้แสนดีนักหนา” ไม่กี่วันก่อนแก๊ง”ยากูซ่า” จาก”ประเทศญี่ปุ่น” มาใช้พื้นที่ของประเทศไทย”ฆ่าหั่นศพ” คนในขบวนการด้วยกัน เป็นข่าวดังทั่วโลก  วันนี้ก็มี”แก๊งโอปป้า” ที่เป็นแก๊งอาชญากรชาวเกาหลี  มาฆ่าเพื่อนร่วมแก๊งด้วยการ”ฆ่ายัดถังถ่วงน้ำ” ประเทศไทยวันนี้กลายเป็น”สวรรค์ของอาชญากรข้ามชาติ” ที่เข้ามาตั้งแก๊งสร้างก๊วน” ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้ง”กลางกรุง” อย่าง”กรุงเทพฯ ส่วน ในแนวชายแดน ก็”ยุบยับ”ไปด้วย “แก๊งค์จีนเทา” ตั้งแต่ชายแดนเมียนมา ชายแดน สปป.ลาว ชายแดน กัมพูชาที่เป็น”ฐานที่มั่นของ”แก็งค์คอลเซ็นเตอร์” และ”ค้ามนุษย์” ค้ายาเสพติด”…… และ วันนี้”แกงค์จีนเทา” ก็ “รุกล้ำ” เข้ามาถึง”ภาคใต้” เข้ายึดครอง”หัวหาดเมืองท่องเที่ยว” ทำทุกอย่างที่เป็น”สีเทา” ไม่ว่าจะเป็น”บ่อนออนไลน์”, คอลเซ็นเตอร์, สินค้าเถื่อน, การท่องเที่ยว “ ที่”หลบเลี่ยง”กฎหมายของประเทศไทย ปัญหาทั้งหมดถูก”หมักหมม” มานาน เพราะ” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” เป็นองค์กรที่มีแต่”ปัญหา”ของการ”แก่งแย่งชิงดี” และเรื่อง”ผลประโยชน์” มี”การเมือง” เข้าไปเกี่ยวข้อง จนทำให้การ”ปฏิรูป”หน่วยงานของตำรวจ”ล้มเหลว” ปัญหา”อาชญากรข้ามชาติ” ของประเทศไทย จึงเกินกว่าความสามารถของ”พล.ต.อ. กิตต์รัฐ พันธุ์เพ็ชร” รักษาการ ผบ.ตร.แห่งชาติ และยิ่ง”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ก็ยัง”ลอยตัว” อยู่เหนือความ”ขัดแย้ง” ไม่มี”แนวคิด” ในการ”ปฏิรูป” ตำรวจอยู่ในสมอง จึงยิ่งทำให้ความ”เน่าเฟะ” ใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยากที่จะ”เยียวยา” ดังนั้น ปัญหาของ”ตำรวจ” จึงไม่มีอะไรดีขึ้นเพราะ”ผู้นำประเทศ” มองไม่เห็นปัญหาของ”ตำรวจ” และ มองไม่เห็นความเดือดร้อนของ”ประชาชน” จากความ”เน่าเฟะ” ที่เกิดขึ้น สุดท้าย ก็คงต้องรอว่า ในเดือน”ตุลาคม” ที่จะถึงนี้ ใครจะได้รับการ”แต่งตั้ง” ให้มาทำหน้าที่ “ผบ.ตร. “คนใหม่ เพื่อ”กอบกู้ซากปรักหักพัง”ของ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ที่มาจากความ”ขัดแย้ง” ของ”บิ๊กโจ๊ก” กับ  ”บิ๊กต่อ” สองนายตำรวจผู้”อื้นฉาว” ที่มาจากเรื่อง”ผลประโยชน์” ล้วนๆ

แค่ปี 67 ปีเป็นต้นมา มีการพบว่า”พะยูน” สัตว์น้ำที่”เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม” ใน”ทะเลอันดามัน” ต่าง”ล้มหายตายจาก” ทั้งจากการ”ติดอวน”ของชาวประมง และการถูก”ใบจักร”ของเรือต่างๆ ที่ “สัญจร” อยู่ใน”ท้องทะเล”ไปแล้ว 10 ตัว ล่าสุดเกิดขึ้นกับ”พะยูน” ในหมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ สาเหตุมาจาก”หญ้าทะเล” ที่เป็น”อาหารของพะยูน” ตายลงเรื่อยๆ ทำให้”พะยูน” ต้องเข้ามา”หากิน” ในพื้นที่การทำประมง และการ”เดินเรือ” ทั้งของชาวประมง และเรือท่องเที่ยว”ยุทธพงศ์ ดำศรีสุข” หัวหน้าอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา  หน่วยเดียวงานในพื้นที่”เอาไม่อยู่” กับการ”รักษาชีวิตของพะยูน” ล่าสุดข่าวว่า” พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และ” เสนาบดีกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม” สั่งการให้”ปิ่นสักก์ สุรัสวดี “ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการ”กำหนดเขตทางทะเล” เพื่อให้เป็น” ที่อยู่ที่หากินของพะยูน” ที่เหลืออยู่  ทำให้ จริง และ ต่อเนื่อง ที่ผ่านมา หน่วยงานที่รับผิดชอบ ยังไม่ให้ความ”สำคัญ ” ในเรื่องของ”พะยูน”  ซึ่งหากไม่มีการ”แก้ไข” อย่างจริงจัง และ ต่อเนื่อง โอกาสที่”พะยูน” จะ”สูญพันธุ์”จาก “ทะเลอันดามัน” ก็มีโอกาสสูง

อนาถ นะ ที่”ตำรวจ,ทหาร ที่รับผิดชอบ ทางหลวงหมายเลข 14  ถนนสาย 42 ซึ่งเป็นทางหลวงสร้างใหม่ ระหว่าง ต.ปูยุด อ.เมือง กับ ต.ลิปะสะโง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี  ถูก”กลุ่มคนร้าย” ตัด”สายไฟฟ้า” ของ เสาไฟฟ้าที่ส่องสว่าง ของ “ทางหลวง ดังกล่าว ด้วยวิธีการ”ตัดสายไฟกลางวัน” และใช้รถยนต์เข้ามา “ลากสายไฟ”ในเวลา”กลางคืน” สายไฟฟ้าถูกตัดไปถึง 14 จุด  ค่าเสียหายกว่า 1 ล้านบาท  นี่แสดงให้เห็นว่า ถนนสายนี้ ไม่มีการ”ลาดตระเวน” เพื่อ”รักษาความปลอดภัย” จึงทำให้”คุณโจร” ปฏิบัติการได้อย่าง”สะดวกโยธิน” เอ้า “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี  ผบช.ภ.9   สั่งการ”ขันน๊อต” ผู้ใต้บังคับบัญชาในพื้นที่ด้วย ถ้ายัง”หย่อนยาน” วันหนึ่ง “คุณโจร” อาจจะเข้าไป”ตัดสายไฟ” ถึงโรงพัก…..แต่ที่ ทำดีก็ต้อง”ชื่นชม” คดีการ”วางเพลิง” โรงโม่ธนบดีศิลา ในพื้นที่ ต.ลิดล อ.เมือง จ.ยะลา เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ภจว.ยะลา โดยการนำของ” พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฏ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา สามารถรวบรวมหลักฐานทาง”นิติวิทยาศาสตร์” จับกุม”แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ไปได้แล้ว จำนวน 2 คน ที่เหลือก็อยู่ที่”ฝีมือ” ในการ”สอบสวน”ของ เจ้าหน้าที่ เพื่อให้”ผู้ต้องหา” สารภาพถึงกลุ่มขบวนการ เชื่อนะ ทุกคดี ถ้า”ตำรวจ” ทำงาน จริง และ  ทุ่มเท คนร้าย”ไม่รอดสันดอน” เพราะทุกคดีที่เกิดขึ้น ต่างมี”ร่องรอย” ให้”สืบค้น” เพื่อ “จับกุม”

นี่ก็อยู่ดีไม่ว่าดี เห็นข่าวจาก”เพจปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน” เรื่อง”การใช้”เฮลิคอปเตอร์”ของ “หน่วยบินอโณทัย”  บินไปฉลองวันเกิด”ของ”นายเก่า” โดยอ้าง”ภารกิจสำรวจป่า” บินจาก” จ.ปัตตานี ไปยัง “เกาะสมุย” จ.สุราษฎร์ธานี ถ้าเป็นเรื่อง”ภารกิจสำรวจป่า” ก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าบินไปเพื่องาน”วันเกิดนายเก่า” ก็ต้องถามว่า เป็นการ”เหมาะสม”หรือไม่  เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นให้มีการ”วิพากษ์วิจารณ์” ถึงความไม่”เหมาะสม” ที่เกิดกับ”กองทัพภาคที่ 4 “ ก็ต้องถามไปยัง” แม่ทัพต้น” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า “เท็จจริง” เป็นอย่างไร…..พูดถึงเรื่อง”อดีตนายเก่า” หรือ”อดีตแม่ทัพ“ ที่”เกษียณอายุราชการ”ไปแล้ว แต่ยังใช้”อิทธิ-บารมี” เข้ามามี”บทบาท” ในการ “กำหนด”เรื่อง “โน่น,นี่ ,นั้น” โดยเฉพาะเรื่องที่มี”ผลประโยชน์” ในการ”จัดซื้อ-จัดจ้าง” และเรื่องการ”กำหนดคน” ให้มี”หน้าที่” ในขบวนการ”พูดคุยสันติสุข” เป็นเรื่องที่”มีอยู่จริง” โดยอาศัยการ”ผลักดัน” ให้”ลูกน้อง” ได้เป็น” ผู้นำหน่วย” เพื่อที่จะได้”ครอบงำ” ให้การทำหน้าที่เป็นไปในสิ่งที่”ต้องการ” เรื่องนี้ สร้างความ”อึดอัด” ให้กับ “นายทหาร” ในพื้นที่จำนวนไม่น้อย แต่”พูดไม่ได้” ต้อง”หวานอมขมกลืน” เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นใน”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แม้แต่  “พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. ก็รู้ แต่ “จัดการ” อะไรไม่ได้ เพราะความเป็น”รุ่นพี่รุ่นน้อง” ที่ยังต้อง”เกรงอกเกรงใจ” ก็ถามกันว่า เมื่อไหร่เรื่อง”สั่วๆ” อย่านี้จะหมดไปจาก”หน่วยงานความมั่นคง” ในภาคใต้ เสียที

บีอาร์เอ็น กำลังเล่น”สงครามจิตวิทยา” กับ”หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่  ด้วยการ”ส่งโดรน” เข้ามาบินก่อกวนในเวลา”ค่ำคืน” ทำให้กลายเป็นว่า ต่อไปนี้ ”เจ้าหน้าที่” ในทุกพื้นที่ นอกจากต้อง”ระวัง” การ”โจมตีทางบก” ด้วย”ระเบิดแสวงเครื่อง” และการ”ซุ่มยิง” แล้ว ยังต้อง”ระมัดระวัง” การถูกโจมตี”ทางอากาศ” ด้วย”โดรนที่ติดระเบิด” อีกทางหนึ่ง เห็นที”สงครามแบ่งแยกดินแดน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงจะ”มั่วสั่ว” กันต่อไป เพราะ”บีอาร์เอ็น” เป็นผู้ที่”กำหนดเกมการเล่น” โดยมี” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”เป็นผู้”เดินตาม” ล่าสุด เห็น” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ “ตรวจราชการ” และ”เยี่ยมบำรุงขวัญ” กองกำลัง “ทหาร” และ “นาวิกโยธิน” ในพื้นที่ จ.นราธิวาส เน้นที่ อ.สุไหงโก-ลก และ ตากใบ เพราะคงจะ”แว่วข่าว” บางอย่างที่จะเกิดกับ พื้นที่ ซึ่งอยู่ติด”ชายแดนมาเลเซีย”……พูดถึง” ตากใบ. และ”สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ที่วันนี้ยังเป็น”เส้นทาง” ในการ”ค้าน้ำมันเถื่อน”ที่ มากที่สุด ในชายแดนไทยมาเลเซีย  รวมทั้งเป็น”เส้นทาง”ของการค้า”บุหรี่เถื่อน” ถามว่าปัญหานี้ “สำคัญหรือไม่” ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นการทำให้”รายได้ของประเทศหดหาย” จากเรื่องของ”ภาษี” ทำไม่ จึงไม่มีหน่วยงานไหนให้ความสำคัญในปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ต้องถาม ว่าที่ ร.ต.ตระกูล โทธรรม” ผวจ.นราธิวาส และ พล.ต.ต.ไมตรี สันตยานุกูล ผบก.ภ.จว. นราธิวาส สอง”เสาหลัก” ในพื้นที่ว่า “คิดเห็น” อย่างไรกับ เรื่อง”น้ำมันเถื่อน” และ”บุหรี่เถื่อน” ในพื้นที่

เมื่อ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” อย่าง”สุทิน คลังแสง” ไม่”สันทัด”ในเรื่องของ”ไฟใต้” แถมยังไม่มี””เสนาบดี” ที่เป็น”ผู้ช่วย” วันนี้”ภาระ”ของ”ไฟใต้” จึงกลายเป็นเรื่องของ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์”อย่าง ปฏิเสธ ไม่ได้ และเป็นเรื่องที่ดี ถ้า”ผบ.ทบ. ลงพื้นที่บ่อยๆ  แต่ที่ดีกว่าคือ”อย่าฟัง” แต่รายงานของ”ลูกน้อง” เพียงด้านเดียว และอย่าเพียงพบกับ”ผู้นำศาสนา” แบบ”ซ้ำซาก” ซึ่งเป็นการ”จัดฉาก” โดย”ลูกน้อง” ที่ต่าง”ซุกขยะไว้ใต้พรม” แล้วจะ “รับรู้” ถึง สถานการณ์ที่แท้จริงในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” …..โดยเฉพาะอยากให้” ผบ.ทบ.” ให้ความ”สนใจ” ใน”ยุทธศาสตร์” ทาง”การเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ วันนี้เขาสร้าง”หมู่บ้านเข้มแข็ง” ได้ถึง 500 กว่าหมู่บ้านใน 85 ตำบล เขาสร้าง”ครอบครัวเยาวชนปฏิวัติ”ไปแล้ว 30,000 ครอบครัว เขาขยายฐานสมาชิกสภาอูลามา จาก 1,000 คนไปถึง 4,500 กว่าคน เขามีผู้นำ”ศาสนา” เพื่อภารกิจในการ”บ่มเพาะ”ถึง 2,000 คน มีผู้นำ”เยาวชนชาย” 500 กว่าคน มีผู้นำ”เยาวชนหญิง” 470 คน และมี”แนวร่วมหน้าขาว” อีกหลายพันคน ด้วยการอาศัยเวลาใน 3 ปี ที่ผ่านมา ที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ประกาศว่า” เราเดินมาถูกทางแล้ว” และปี 2570 จะเป็นปีที่”ยุติปัญหาของไฟใต้”

”งานเมือง” งาน”มวลชน” ของ”บีอาร์เอ็น” ก้าวหน้าไปมาก เขาสร้าง”ภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง” ในการ”ต่อกร” กับ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เขาประสบ”ชัยชนะ” ในเรื่องการใช้”ไอโอ” ในหมู่ของ”ประชาชน”ที่เป็น”มุสลิม” เขามี”สมาชิก”เข้าไปนั่งใน”รัฐสภา” เพื่อเป็น”กระบอกเสียง”ทาง”การเมือง” ในสภาผู้แทนราษฎร และใน”คณะกรรมาธิการฝ่ายความมั่นคง” และในการเลือกตั้ง “สมาชิกวุฒิสภา” บีอาร์เอ็น” ก็จะมี”ตัวแทน” ไปทำหน้าที่ “ สมาชิกวุฒิสภา” เพื่อประโยชน์ที่”บีอาร์เอ็น” ต้องการ นี่คือความ”สำเร็จ” ของ”บีอาร์เอ็น” กับการ”ต่อสู้” เพื่อการ”แบ่งแยกดินแดน”ของเขา เรื่องเหล่านี้คือเรื่องที่” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. ต้องรับรู้ เพื่อที่จะได้ ทำ”ยุทธศาสตร์” ในการ”เอาชะนะ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้อย่างถูกต้อง   ไอ้ที่ สู้กันมา 20 ปี และพ่ายแพ้แบบ”ญะย่ายพ่ายจะแจ” มาโดยตลอด ไม่ใช่เรื่องของการ”สู้ไม่ได้” แต่เป็นเรื่องของการ”ไม่ได้สู้”  และมีเพียงการ”ตั้งรับ” และ”ถอยร่น” มาโดยตลอด…..เป็น 20 ปี ที่ไม่มี”อะไรใหม่” เพราะไม่มี”ยุทธศาสตร์” ในการ”ต่อสู้เพื่อเอาชนะ” อีกไม่กี่วัน “กลุ่มประเทศมุสลิมโลก” ที่เรียกว่า”โอไอซี” ก็จะมาเยือน “ จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งเป็นงาน”ประจำปี” และ สถานที่ ซึ่ง” ศอ.บต. “และ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”  พา”แขกบ้านแขกเมือง” ที่เป็น”แขกจริงๆ” ไป เยี่ยมชม ก็คงจะเป็น สถานที่ เดิมๆ เก่าๆ อย่างเช่น”ตำบลทรายขาว” อ.โคกโพธิ์” จ.ปัตตานี เพื่อให้เห็นการอยู่รวมกันระหว่าง”พุทธ-มุสลิม” แบบ”พหุวัฒนธรรม”  แขก ไม่กล้าถาม  คงได้แต่สงสัยว่า 20 ปี หมู่บ้าน”พหุวัฒนธรรม”ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี แห่งเดียวหรือไรเพราะ ”มาแล้วมาอีก” มาทุกปี  อย่างนี้เขาเรียกว่า”ประสบความสำเร็จ” ในเรื่องของ”พหุวัฒนธรรม” จริง หรือ เท็จ

อีกเรื่อง สำหรับการดับ”ไฟใต้” วันที่ 18-19 พ.ค. นี้ จะมีการ”พูดคุยสันติสุข” ของ “คณะกรรมการฝ่ายเทคนิค” ระหว่าง” พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ “ ประธานฝ่ายไทย กับ “ดร.นิมะ เจะเต๊ะ “ ประธานฝ่ายบีอาร์เอ็น ฟังว่า ครั้งนี้จะเป็นการทำ”เวิร์คช็อป” แบบ”เป็นเรื่องเป็นราว” จะมีการ”สรรหา” บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับ”หน่วยงานรัฐ” ฝ่ายละ 1 คน มาร่วมเป็น”สักขีพยาน” ในการ”พูดคุย” เพื่อ”เลียนแบบ”การพูดคุยแบบ”สากล” ที่สำคัญเป็นที่รู้กันอยู่ในหมู่ของ”ฝ่ายไทย” ว่า”ดร.นิมะ” เป็นผู้ที่ถูก”รัฐบาลมาเลเซีย”ทำการ”อิมพอร์ต” มาจาก”ต่างประเทศ” เพื่อเป็น”ประธานฝ่ายเทคนิค” โดยเฉพาะ ดังนั้นการ”พูดคุย” จึงเป็นการ”พูดคุย”ตาม”แนวทาง”ของ”รัฐบาลมาเลเซีย” ไม่ใช่”แนวทาง”ของ”บีอาร์เอ็น” และ แกนนำ ”บีอารเอ็น” ก็ไม่”พอใจ” กับการพูดคุยแบบที่”มาเลเซีย”ต้องการ และนี้คือ”ขบวนการพูดคุย” ที่เรียกว่า”ผิดฝาผิดตัว” ที่ต้อง”จับตามอง” แต่ก็เชื่อนะว่าถ้าไม่มี”ใบสั่ง” แม่ทัพน้อยที่ 4 อย่าง”พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” มองปัญหาบนโต๊ะ”พูดคุย”แบบ”แทงทะลุ” ไม่มี”เสียเปรียบ นักเรียนนอกอย่าง”ดร.นิมะ” เด็ดขาด ” ยกเว้นมี”ใบสั่ง” ให้ทำตามเท่านั้น

งาน”กาชาด” ของหลายๆ จังหวัด ใน”ภาคใต้” ผู้”รับเหมา” จัดให้มีการการ”เล่นการพนันประเภท 5 “ เช่น” ยิงปืน ,ปาโป่ง,ปาเป้า,บิงโก” และ อื่นๆ ที่”เข้าข่ายอบายมุข”ที่เป็นการ”พนัน” เพื่อ”หลอกเงิน” ของผู้ที่”ชมชอบ”เล่น”การพนัน” โดยเฉพาะ”เด็กและเยาวชน” วันที่ 25 พ.ค.นี้ ก็จะมีงาน”กาชาด” และงาน”หลักเมือง” ที่ จ.ยะลา อย่างไรเสีย “อำพล พงษ์สุวรรณ” ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ก็ดูแลให้ทั่วถึง อย่าให้มีการเล่นการพนัน” แบบ”ประเจิดประเจ้อ” โดยเฉพาะ”นักเรียน”ใน”เครื่องแบบ” เพราะงาน”กาชาด” และ”หลักเมือง” ควรจะเป็น”ตัวอย่าง”ของการ”จัดงาน”ที่เป็น”หน่วยงานรัฐ” แบบที่”ปลอดอบายมุข”

วันก่อน”นายกชาย” หรือ”เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ สส.เขต 5 จ.สงขลา ขึ้น”โรงพักสะเดา” จ.สงขลา เพื่อ”แจ้งความกล่าวโทษ” กับผู้ที่” กล่าวหา”ว่า “สถานบันเทิง” ในพื้นที่ “ด่านนอก” อ.สะเดา จ.สงขลา ที่ถูก”จับกุม” เพราะเปิดเกินเวลา และ”นักเที่ยว” มี”ยาเสพติด” ไม่ใช่ของ”นายกชาย” เป็นการถูก”ใส่ใคล้”ให้ เสียหาย  ก็เกิดมาเป็นผู้มี”บารมี” มีคนรู้จักมาก ย่อมเป็นเรื่อง”ธรรมดา” ที่อาจจะมี”ลูกน้อง” ใช้ชื่อเพื่ออาศัย”บารมี” มาใช้ในการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ เกรงใจ   ก็เป็น หน้าที่ของ”พนักงานสอบสวน ที่จะต้องหาผู้ที่”แอบอ้าง” ชื่อของ”นายกชาย” ไปทำในเรื่องที่”ผิดกฎหมาย” พ.ต.อ.สุรจิต เพชรจอม ผกก.สภ.สะเดา จ.สงขลา เหนื่อยหน่อยนะ เพราะ”ด่านนอก” เป็นเมือง”ชายแดน” ที่ผู้ที่เข้ามา”ลงทุน”มาจาก”ร้อยพ่อพันแม่” ปัญหาจึงมี”ให้แก้”แบบ”อสงไข”

การ”ขับเคลื่อน” การแก้ปัญหา”ยาเสพติดภาคประชาชน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามนโยบายของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม หลังจาก”ตัวแทน”ของ”ตำบลอาสาแก้ปัญหายาเสพติด” กลับจากการดูงาน”ตำบลต้นแบบ” ก็มีการ”ขับเคลื่อน”การ”ปฏิบัติ” ให้เห็นบ้างแล้ว โดย ที่ จ.สตูล ที่” ไพศาล หลีเส็น” แกนนำระดับจังหวัด ได้”ลงพื้นที่”ประชุมร่วมกับ”ส่วนราชการ” ในขณะที่อีกหลายจังหวัดยังอยู่ระหว่างการ”เตรียมพร้อม” ในเรื่องของ”งบประมาณ”ในการ”ขับเคลื่อน” เพราะ”กองทัพเดินด้วยท้อง” ……แต่ หลังจากที่” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ออกมา”ประสานเสียง” ว่า “ยาบ้า” ครอบครองเพียง”เม็ดเดียว” ก็ผิดกฎหมาย”ติดคุก” คงจะสร้างความ”พึงพอใจ” ให้กับ”ประชาชน” และพร้อมให้ความ”รวมมือ” กับ”ภาคประชาชน” ในการ”ขับเคลื่อน” เพื่อแก้ปัญหา”ยาเสพติด”  จึงไม่ต้อง”แปลกใจ” ที่จะเห็น” พล.อ.วิชาญ สุขสง” ประธานยุทธศาสตร์” และ” พล.ต.ท. พัฒนาวุธ อังคนาวิน” ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม” ลงพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชุม”คณะทำงาน” ติดตามความคืบหน้าของโคตรงการแบบ”เกาะติด” เพราะหวังที่จะเห็น”ความสำเร็จ”ของ”ภาคประชาชน” ในการ”เอาชนะยาเสพติด ตามโครงการนี้

ส่วนเรื่องการ”เอากัญชา” กลับไปเป็น”ยาเสพติด” และให้ใช้ใน”การแพทย์”เพียงอย่างเดียว ได้รับการ”ตอบรับ” จาก ประชาชนใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” เสียง”กระหึ่ม”  ก็ต้องติดตามดูว่าจะ”สำเร็จ” หรือไม่ เพราะกลุ่มที่”ต่อต้าน” และ”เห็นต่าง” ว่า”กัญชาเป็นยาวิเศษ” ที่นำโดย”ประสพชัย หนูนวล” เอ็นจีโอ”ตัวพ่อ” ของ”ภาคใต้” เตรียมที่จะ”ขับเคลื่อน” เพื่อให้”รัฐบาล” ชี้แจงถึง”โทษ” ของ”กัญชา” ว่า”ร้ายแรงกว่า”สุรา” และ”บุหรี่” อย่างไร นี่เป็นการ”ต่อสู้”ทางความคิดโดยเอา ”หลักวิชาการ” เป็นการตัดสิน ส่วน”พรรคภูมิใจไทย” เจ้าของนโยบาย “ปลูกกัญชา 6 ต้นแล้วรวย” หัวหน้าพรรคอย่าง”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล” จะ”คิดอย่างไร” กับนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่เคย”เห็นด้วย” และวันนี้เกิด”เห็นต่าง” ก็เป็นเรื่องของ”การเมือง” ที่ต้อง”กลืนเลือด” เพราะวันนี้”เพื่อไทย” เป็น แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และเป็น”นายกรัฐมนตรี”

จับตา สนามเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา ใน ภาคใต้จังหวัดที่มีผู้ให้ความสนใจ ไปขอรับ”ใบสมัคร” จากที่ว่าการอำเภอ มี จ.พัทลุง มาเป็นอันดับ 1 และ จ.นราธิวาส เป็นอันดับ 2 ส่วน อำเภอที่”เงียบเหงา” ไม่มีใครไปขอรับ”ใบสมัคร”ได้แก่ อ.เบตง จ.ยะลา ส่วนจังหวัดอื่นๆ ก็ยังไม่”คึกคัก” ดังนั้นการ”คาดการณ์”ว่าการเลือก”สว.ครั้งนี้จะมี”ประชาชน” ให้ความสนใจ ลงรับสมัครถึง 300,000 คน อาจจะเป็นการ”คาดการณ์” ที่ไม่ถูกต้องก็ได้…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ค่าแรง400 ของขวัญแรงงานหรือพ่อค้า??

กลายเป็น”ครม.ขี้เหร่” ไปแล้ว สำหรับ”ครม. นิด 2 “ ใน”สายตา” ของ”ประชาชน” เพราะ ถ้าดูกันแบบ 180 องศา ก็ไม่เห็นว่าการ”ปรับ ครม. ครั้งนี้ ดีกว่า “ครม.ชุดเก่า ตรงไหน เช่น  หรือ ถ้า”ไม่ปรับ” ยังจะดีกว่าด้วยซ้ำ เช่น “กระทรวงการคลัง” จำเป็นอย่างไรที่ต้องมี “รัฐมนตรี” ถึง 4 คน ในการ “กำกับดูแล” นโยบาย”การเงิน การคลัง” หรือต้องการใช้”พลัง”ของ “รัฐมนตรี” ในการ”ขับเคลื่อน” โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ให้ฝ่า”ดงขวากหนาม” จากกลุ่มของ”ผู้เห็นต่าง” ให้เป็นผลสำเร็จเท่านั้น จึงต้องใช้”คน” อย่าง”สิ้นเปลือง” เพื่อทำหน้าที่”รัฐมนตรี    และ “สำนักนายกรัฐมนตรี” มีงานอะไร” ที่มากมายปานนั้น จึงต้องใช้ “รมต.ถึง 3 คน แถมยังได้”ทนายถุงขนม” อย่าง”พิชิต ชื่นบาน” ไปนั่งเป็น”สายล่อฟ้า” ให้ “รัฐบาล” เสียรางวัด” และถูก”ใครต่อใคร” ยื่นเรื่องให้กับ “องค์กรอิสระ” เพื่อ”ตีความตามกฎหมาย” ว่า”ขาดคุณสมบัติ” ตามที่”รัฐธรรมนูญ” กำหนดไว้ หรือไม่….ความจริงการที่”นายใหญ่” ต้องการใช้”บริการ”ของ”มือกฎหมาย”ระดับที่”ไว้วางใจได้” อย่าง”พิชิต ชื่นบาน” อยู่ตรงไหน ก็”ทำงาน” ให้กับ”นายใหญ่” และกับ”เพื่อไทย”ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น”รัฐมนตรี” ที่เข้ามาแล้วกลายเป็น”ปัญหา” เป็น”สายล่อฟ้า” ให้”รัฐบาล” ต้อง”ปวดหัวตัวร้อน” อย่างที่เป็นอยู่……ถ้าเรื่อง”ปรับครม.” เป็นเรื่องของ”ความวัว” ที่ยังไม่ทันหาย”เรื่องที่”อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” หัวแก้วหัวแหวน” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ถูกวางตัวให้เป็น”ทายาททางการเมือง” เพื่อ”สืบทอดตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” แทน”คนของตระกูล”ชินวัตร” ที่ ออกมา”เปิดศึก”ด้วย”วิวาทะ” ที่”เผ็ดร้อน”กับ”ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” ก็เป็นเสมือน”ความควาย” ที่”สอดแทรก”เข้ามาเพิ่มเติม ที่ทำให้”การเมือง” ของประเทศ”ร้อนฉ่า”เพิ่มขึ้นอีก เพราะถ้า”รัฐบาล”ฟังเสียงของประชาชน ก็จะรู้ว่า วันนี้ ประชาชน “คิดเห็น” และ”วิพากษ์วิจารณ์” รัฐบาล”ชุดนี้อย่างไร และ”วิพากษ์วิจารณ์” คำพูดของ” แพทองธาร” ที่มีต่อ”ผู้ว่าการแบ็งค์ชาติ ”อย่างไร ยกเว้นแต่”โมหะ”และ”อคติ” ที่”บังตา”ทำให้ไม่”เปิดใจ” รับฟังเสียงรอบข้าง ซึ่งเป็นเสียงของ”ประชาชน”อย่างแท้จริง

ที่ สำคัญ” ประเทศไทย วันนี้ คนไทย วันนี้ ไม่ได้อยู่ในยุคที่”ไทยรักไทย” เป็น”รัฐบาล” ซึ่งคนที่”นิราศร้างห่างประเทศ”ไปนานถึง 17-18  อาจจะยัง”หลงผิด” อยู่กับ” สถานการณ์ในอดีต” ที่” คนๆเดียว” สามารถ”บังคับวิถี”คนทั้งประเทศได้ วันนี้ “ประเทศไทย “ และ”คนไทย “ อยู่ในยุคของ”โซเชียลมีเดีย” ที่ “รู้ลึก รู้ทัน “ และ”รู้จริง” กับ “เหลี่ยม คู”ของ”การเมือง” และ”นักการเมือง” …..วันนี้”ประเทศไทย” ได้”ประชาธิปไตย” กลับมาแล้ว ได้”รัฐบาลพลเรือน” เป็นผู้บริหารประเทศ พรรคการเมืองทุกพรรค โดยเฉพาะ”เพื่อไทย” ที่เป็น”แกนนำ”ของ”รัฐบาลผสม” อย่าได้”ฮึกเหิม” หรือ”ลุแก่อำนาจ” เพราะการมี”ดีลลับ” จนทำให้ ประชาชน ทนรับไม่ได้ และ”กวักมือ”เรียกให้”รถถัง” ออกมา”ยึดอำนาจ” อีกครั้ง   หลังการ”เข้าเฝ้า” เพื่อ”ถวายสัตย์” แล้ว จงรีบ ทำงาน สร้าง “ผลงาน” ให้เป็น”รูปธรรม” ที่”จับต้องได้” และให้”คนรากหญ้า” ที่เป็นคน”ส่วนใหญ่”ของประเทศ”กินอิ่ม  นอนอุ่น” ราคา”พลังงานต้อง”เป็นจริง” และ”เป็นธรรม” การ”ทุจริต คอร์รับชั่น” ที่”เบ่งบาน” ต้อง”ลดลง” …..กระทรวงสำคัญอย่าง”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ที่เป็น 2 กระทรวงสำคัญของประเทศ ที่เป็น”กลไก”ในการ”ขับเคลื่อน” ให้ประชาชน”อยู่ดีกินดี” ทั้งในเรื่องของ”แหล่งน้ำ” ในเรื่องของ”ราคาพืชผล” ของ”เกษตรกร” ทำไม่จึงไม่ไปเพิ่มโควต้า” รัฐมนตรี” เหมือนกับ”กระทรวงการคลัง” เพื่อช่วยกันทำหน้าที่”ช่วยเหลือเกษตรกร” กระทรวงพาณิชย์   ที่เป็น”กลไก” ในการ ควบคุมราคาสินค้า และการ”เศรษฐกิจการค้า” ทำไม่จึงไม่มีการเพิ่ม”รัฐมนตรี” ให้มากเหมือนกับ”สำนักนายก” ทั้งที่เป็น”กระทรวงสำคัญ” ถ้า “รัฐบาล” มองเห็นความสำคัญของ”คนรากหญ้า” นี่ก็เป็นอีก คำถามหนึ่งของ “ประชาชน” ที่มีต่อ”เศรษฐา ทวีสิน” เพราะ ไม่มีใครเชื่อว่า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทางด้าน”ธุรกิจ” อย่าง”เศรษฐา ทวีสิน” คิดได้แค่นี้กับการ”ปรับครม.” ที่แสนจะ”ขี้ริ้วขี้เหร่”ในสายตาของประชน ยกเว้นมีคนที่”ใหญ่กว่า” นายกรัฐมนตรี” เป็นผู้”สั่งการ” ในการ”ปรับ ครม.ครั้งนี้   ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ เชื่อเถอะ อีก 6 เดือนข้างหน้า “รัฐบาล” ต้องมีการ”ปรับครม.อีกครั้ง เอ้า “เสนาบดี,รัฐมนตรี” ทั้งหลาย เร่ง”สร้างผลงาน” ให้”เข้าตานายใหญ่” ก่อนที่จะถูก”ริบเก้า” ทั้งที่นั่งยังไม่ทัน”อุ่นก้น”

ที่สำคัญเรื่อง”วิวาทะ” ระหว่าง”อุ๊งอิ๊ง” และ”เฮียอ้วน” ที่ออกมา”วิพากษ์” ไปยัง”ตัวตน” ของ” ผู้ว่าการแบ็งค์ชาติ” ที่ถูก”สื่อ” ถูก”นักวิชาการ” นำไป”ขยายผล” ถึงความ”ขัดแย้ง” ระหว่าง”รัฐบาล” และ”หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” กับ”ธนาคารแห่งประเทศไทย” ที่มีความเป็น”อิสระ” ในการ “ดำเนินนโยบายการเงิน” ของประเทศ วันนี้ “ต่างชาติ” มอง “ประเทศไทย”อย่างไร ส่งผลที่เป็น”ลบ หรือ บวก” กับการที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายรัฐมนตรี ที่เดินทางไป”ชักชวน” ชาติต่างๆ เข้ามา”ลงทุน” ถ้า”ต่างชาติ” เห็นถึงความ”ขัดแย้ง” ระหว่าง”รัฐบาล”กับ”แบ็งค์ชาติ” ที่เกิดขึ้น ถามว่า ถ้า”เป็นเรา” เราอยากจะ”เลือก” ประเทศไทยเป็นที่”ลงทุน” หรือไม่ เพราะ ประเทศ”ใกล้เคียง” ในภูมิภาคนี้ที่ “ดีกว่า” และมี”เสถียรภาพ” ทาง”การเมือง”ยังมีอีกหลายประเทศ เหนื่อยนะ ประเทศไทย…..ก็เห็นด้วยนะกับการ  ประกาศ ขึ้นเงินเดือน 400 บาท แบบไม่ต้องมี”หลักเกณฑ์” ของ”พื้นที่”ของ”เศรษฐกิจ” ของประเทศ คือได้เท่ากันหมดที่ไม่ต่างกับ”หลักเกณฑ์” ของ”เงินดิจิตัล” แต่ก็เป็น”กังวล” กับการ”ขึ้นค่าแรง” ในวันที่ 1 ตุลาคม ของปี 2567 เพราะถ้า “สำรวจ” กันจริงๆ ใน”ตลาดแรงงาน” ระดับล่าง จะพบว่ามี”แรงงานไทย” น้อยกว่า”แรงงานต่างชาติ” ดังนั้นผู้ที่ได้รับ”อานิสงส์” จากการขึ้น”ค่าแรง” จึงเป็น”พม่า,ลาว.กัมพูชา” มากกว่า”คนไทย” แต่ก็”เอาเถอะ” อย่างไรเสียก็มี”แรงงานไทย” ส่วนหนึ่ง ที่เป็น”แรงงานไร้ฝีมือ” และ “พนักงาน” ใน “ร้านค้า” ต่างได้รับ”ค่าแรง”เพิ่มขึ้น” และ”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดี กระทรวงแรงงาน จากพรรคภูมิใจไทย ย่อมได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ส่วนจะ”เกาถูกที่คัน” หรือไม่นั้น ตัดสินได้จากการฟังเสียงของเจ้าของ”กิจการ” โดยเฉพาะ”ธุรกิจเอสเอ็มอี” ที่ ออกมา”โอดครวญ” กันถ้วนหน้า ซึ่งก็ต้องถามว่า”รัฐบาล” มี นโยบายอย่างไรในการ”โอบอุ้ม”บรรดา”เอสเอ็มอี” ไม่ให้”ล้มหายตายจาก” จาก นโยบายการ”ขึ้นค่าแรง”แบบ”เท่าเทียม” ทั่วประเทศในครั้งนี้

ที่สำคัญ “ค่าแรง” ขึ้นวันที่ 1 ตุลาคม” แต่ วันนี้” ราคาสินค้า” ขึ้นไปล่วงหน้าหมดแล้ว และมีการประกาศ”ล่วงหน้า” จาก”ผู้ประกอบการ”ว่าจำเป็นต้องขึ้นราคา”สินค้าทุกชนิด”อีก 15% “ ได้ยินได้ฟังแล้ว”หนาว” ทั้งที่อากาศ”ร้อนตับแตก” ก็ต้องถาม”เสี่ยอ้วน” อย่าง”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ “เสนาบดี” กระทรวงพาณิชย์ ว่ามี”มาตรการ” อย่างไร กับ”ราคาสินค้า” ที่ประกาศ”อั้นไม่อยู่”จะ”พาเหรด” ขึ้นคาราครั้งใหม่อีก 15 % ถ้า”วัฒนศัพท์ เสือเอี่ยม” อธิบดีกรมการค้าภายใน ปล่อยให้”พ่อค้า” ขึ้นราคาสินค้าอย่างที่ประกาศ ก็เท่ากับว่า “ค่าแรง 400 บาท เป็นการขึ้นเพื่อเป็น”ของขวัญ” ให้กับ”พ่อค้า”ไม่ใช่ขึ้นเพื่อให้กับ”ประชาชน “ ได้”ลืมตาอ้าปาก” จากการขึ้น”ค่าแรง”ในครั้งนี้ ใช่หรือ ที่”เสี่ยอ้วน” ให้ “สัมภาษณ์สื่อ” ว่า “ราคาสินค้าขึ้นได้ลงได้นั้น ถ้าจะ”ไม่จริง” เพราะเท่าที่เห็น”สินค้า”ที่ขึ้นไปแล้วโอกาสที่จะลงไม่มี แม้แต่ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่”ขึ้นๆ ลงๆ” สุดท้ายก็จบที่”ขึ้น”มากกว่า”ลง” เห็นกันอยู่”ทนโท่”ต่อให้ “เสี่ยอ้วน”  อมพระมาพูด ชาวบ้านก็ไม่เชื่อ

การแข่งขัน”วิ่งเทรล อเมซิ่ง จังเกิล ไทยแลนด์ ฯ 2024  ที่จัดขึ้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 3-5 พ.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นงานใหญ่”ระดับชาติ” มีนักวิ่งร่วมงานถึง 3,480 คน จาก 48 ประเทศ มีเงินไหลเข้าสู่ อ.เบตง เกือบ 300 ล้านบาท แต่น่าเสียดาย ที่การ”แข่งขันการวิ่ง “ระดับชาติ” ที่เป็นการ”ส่งเสริมทั้งเรื่องของกีฬาและเรื่องการท่องเที่ยว” ไม่มีแม้แต่”เงา”ของ นักการเมืองใน”รัฐบาล” มาร่วมงาน อย่างน้อยที่สุด ก็”รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา” หรือไม่ก็”รองนายกรัฐมนตรี” ที่ต้องมาร่วมงาน นี่แสดงให้เห็นว่า” รัฐบาล”ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ไม่เห็นความสำคัญของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่เคยเดินทางมา”ค้างแรม”ที่ “เบตง” เพื่อ”โปรโมท” การท่องเที่ยวด้วยการกิน”ปลานิลสายน้ำไหล” เมื่อเดือน มีนาคม ที่ผ่านมา   งาน”วิ่งเทรล” ที่เป็นงาน”ระดับชาติ”  จึงกลายเป็น”งานวิ่งของท้องถิ่น” ที่มีเพียง”อำพล พงษ์สุวรรณ” ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเป็นผู้ที่”ให้การต้อนรับขับสู้” มอบรางวัลให้กับ นักวิ่งจากชาติต่างๆ เอวัง และ วังเวง กับ”รัฐบาล ชุดนี้

เรื่องของ”มั่นคง” ที่ไม่”มั่นคง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  มีการ”วิพากษ์วิจารณ์” กันมากถึง”คลิป” ของการที่มี”มวลชน” ปิดล้อม โรงพยาบาลทุ่งยางแดง อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เพื่อ “ขัดขวาง” และ”ขับไล่” คนไข้ ที่เข้าไปใช้บริการ ในขณะที่ “เจ้าหน้าที่” และ”แพทย์” ทำการ”ชันสูตรศพ” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ถูก เจ้าหน้าที่”วิสามัญฆาตกรรม” เสียชีวิตใน”บ้านเช่า” ที่ ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง โดยที่”เจ้าหน้าที่” ยืนมอง”ตาปริบๆ” ไม่สามารถ” ห้ามปราบ” ให้”มวลชน” ที่ ปิดล้อม ขับไล่ ประชาชนที่เกิดขึ้นกับ รพ.ทุ่งยางแดง แต่อย่างใด  หรือที่คือสิ่งที่เรียกว่า” รัฐล้มเหลว” ที่กำลังเกิดขึ้นกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่”บีอาร์เอ็น” และ”องค์กรต่างชาติ” อย่าง”เจนีวาคอล” และ”ไอซีอาร์ซี” ต้องการให้เกิดขึ้นกับ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อให้เกิดการ”เปลี่ยนแปลง” ตามที่ต้องการ…..นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นเรื่อง”ซ้ำๆ” ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ในการนำศพของผู้ถูก”วิสามัญฆาตกรรม”ไปทำการ”ชันสูตรพลิกศพ” ตาม”ขบวนการของ”กฎหมาย” จำได้ว่าเคยมีการ”ขัดขวาง”รถของ”มูลนิธิ” เพื่อ”แย่งศพ”ของผู้ถูก”วิสามัญ” ที่ อ.ธารโต จ.ยะลา และการ”ขัดขวาง” ใช้”มวลชน” ในการ”ปิดล้อม” เจ้าหน้าที่ ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ในขณะที่”ลำเลียงศพ” ของผู้ถูก”วิสามัญฯ ลงจาก”เชิงเขา” ที่เป็นจุดปะทะ แต่เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ไม่เคยมีการ”แก้ไข” ยังปล่อยให้มีการเกิด”ซ้ำซาก” วันนี้ถ้ามีใครถามว่า”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มีไว้ทำอะไร ก็อย่างเพิ่ง”โกรธเคือง”กัน เพราะยิ่งนานวัน ยิ่งมองเห็นความเป็น”รัฐล้มเหลว” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับการ”แห่ศพ” ของผู้ที่ถูก”วิสามัญฆาตกรรม” ที่วันนี้กำลังเป็นเรื่อง”ปกติ” ไปแล้ว ทั้งที่เป็นเรื่องไม่”ปกติ” เพราะผิดทั้ง”หลักศาสนา” ผิดทั้ง”หลักกฎหมาย” ที่ปล่อยให้มีการ”ตะโกน”คำว่า” เมอร์เดกาปาตานี” ก็ต้องถามว่าทำไมหน่วยงานความ”มั่นคง” จึงมีความรู้สึกที่”เชื่องช้า” โดยปล่อยให้” บีอาร์เอ็น” สร้าง”นักรบพระเจ้า” เพื่อการ”ปลุกระดม” ให้”ประชาชน” และ”เยาวชน” หลงผิด    การที่คนในพื้นที่ไม่ยอมรับ”ความจริง” ว่า”กองกำลังติดอาวุธ” ที่มี”หมายจับ” เป็นผู้ที่ทำผิด”กฎหมาย” และเป็น”คนร้าย” คือการ แสดงออกว่า นี่คือการไม่ยอมรับ”กฎหมายไทย” ไม่อยู่ใต้”อาณัติ” ของ ประเทศไทย นี่แหละคือ”รัฐล้มเหลว” ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นแล้ว และจะ”ขยายตัว”มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”ยังทำตัวเป็น”จ่าเฉย”ที่นั่งจิบ”ชาเย็น” แบบ”ทองไม่รู้ร้อน”…..หรือที่”ล่าสุด” มีการ “แข่งกีฬาตาดีกาสัมพันธ์” ที่”บ้านตะโละไทรทอง” อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี ที่มีภาพ”ในคลิป” มีคนแต่งกายคล้าย “นักรบฮามาส” มีการแห่”ขีปนาวุธจำลอง” และมี “เยาวชน” รวมอยู่ในขบวนแห่ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นที่อื่นๆในการ”แข่งกีฬา” เช่นที่ อ.ธารโต จ.ยะลา ที่นักเรียนถือภาพของผู้ถูก”วิสามัญฆาตรกรรม”เพื่อเป็นการ”ยกย่อง” เช่นเดียวกับการถือภาพของ”หะยีสุหลง โต๊ะมีนา”ผู้นำ”จิตวิญญาณ”ของชาว”มุสลิม” เรื่องอย่างนี้”สมควร”ไม่”สมควร” ผู้บริหารโรงเรียนต้องรู้ และหน่วยงาน”การศึกษา” ต้องทำความเข้าใจกับผู้บริหารโรงเรียน  และที่สำคัญ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่พ้น และเท่าที่รู้ในการ”จัดการแข่งขันกีฬาตาดีกาสัมพันธ์”ครั้งนี้   เงินที่ใช้ในการ”จัดการแข่งขัน” เป็น”งบประมาณราชการ” เช่นเดียวกับการแข่งขันกีฬาตาดีกาสัมพันธ์ ที่ อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี ที่มี”คลิป” ออกมาเผยแพร่ถึงความ”ไม่เหมาะสม” ทางราชการสนับสนุน”งบประมาณ”ไปถึง 160,000 บาท เพื่อให้แข่งกีฬา”สร้างความสามัคคี” ไม่ใช่เป็น”กิจกรรม” ในการสร้างความ”แตกแยก” ที่เป็นปัญหาของ”ความมั่นคง” เรื่องพรรค์อย่างนี้ “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ต้องชวน “แม่ทัพ ,นายกอง” เสนาธิการ” ช่วยกัน”คิดอ่าน” ว่าจะ”จัดการ” อย่างไร กับปัญหาที่เกิดขึ้น    แต่ถ้าไปถาม”คนไทยพุทธ” ใน”สภากาแฟ” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า”ใต้สงบงบไม่มา. ก็รับฟังได้นะ

อีกเรื่องที่ ชาวบ้านเขา”ข้องใจ” และ”ฝากถาม” วันก่อนตอนที่มีการ”วิสามัญฆาตกรรม” กองกำลังติดอาวุธ” จำนวน 2 ศพ ที่ บ้านน้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ในบ้านหลังที่”คนร้ายหลบซ่อน” พบ “บุหรี่หนีภาษี” จำนวนมากในบ้านหลังดังกล่าว ถามว่าเป็นของใคร และได้ดำเนินการ อย่างไรกับ “เจ้าของบุหรี่” ที่เป็น”สินค้าผิดกฎหมาย”อย่างไร…..เช่นเดียวกับการ”พูดคุยสันติสุข” ที่”รัฐบาล” เรียก” และการ ”เจรจาสันติภาพ” ที่”บีอาร์เอ็น”เรียก ซึ่งก็ต้องถาม “ฉัตรชัย บางชวด” รอง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ”( สมช.) ที่ทำหน้าที่”หัวหน้าคณะการพูดคุย” ว่า ผ่านไปแล้ว 13 ปี ที่มีการ”ขับเคลื่อน” โต๊ะเจรจา”  ทำไมการ”พูดคุย” จึงยัง”ผิดฝาผิดตัว” ทำไม “เรา” ซึ่งเป็น”ประเทศ” ที่มี”อำนาจ” การ”ต่อรอง” ที่มากกว่า จึงไม่”เรียกร้อง” ให้”แกนนำ”ของ”บีอาร์เอ็น” อย่าง”คอซาลี เวาะแล” ประธานขบวนการบีอาร์เอ็น หรืออย่าง “นิเซะ นิฮะ” ที่เป็น”เลขาธิการ” หรืออย่าง “บือราเฮง ปะจุศาลา” ( อิหม่านเฮง ) ซึ่งเป็นผู้นำ”จิตวิญญาณ” มา”เจรจา”กับ”รัฐบาล” ให้ “รู้แล้วรู้รอด” ว่า “บีอาร์เอ็น” จะเอาอย่างไรกับ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ถ้าต้องการ”เอกราช” ก็ “เลิกคุย” และแก้ปัญหา”ไฟใต้” ด้วยวิถีทาง อื่นๆ เพราะ”ไฟใต้” ไม่ได้ “ยุติ” เพราะการ”พูดคุย” เพียงอย่างเดียว…..ทำไม เราซึ่งเป็น”ประเทศ” ไม่สามารถ”ต่อรอง” ทั้งกับ”มาเลเซีย” และ”บีอาร์เอ็น”ที่เป็นแค่”องค์กรลับ”ในการ”ก่อการร้าย”ทำไม ต้องไป”เจรจา”กับ”หุ่น” หรือ” ตัวแทน” ที่”มาเลเซีย” เป็นผู้ “กำหนด” ให้เป็น”ตัวแทน”ของการ”พูดคุย” อย่างเช่น “ดร.นิมะ เจ๊ะเต๊ะ” ประธานฝ่ายเทคนิค ของ บีอาร์เอ็น ที่ “พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ “ ประธานฝ่ายเทคนิค ของ”ฝ่ายไทย” ก็รู้อยู่ว่าเป็น”หุ่นเชิด” ของ”รัฐบาลมาเลเซีย” นี้ถามตรงๆ ถามจริงๆ เถอะว่า” ไอ้ที่”พูดกันไปพูดกันมา” หมดงบประมาณไปแล้วเป็น”พันล้าน” ตกลงได้พูดกับ”บีอาร์เอ็น” หรือพูดกับ” หุ่นเชิด” ของ”รัฐบาลมาเลเซีย” เอ้า “ฉัตรชัย บางชวด” หัวหน้าคณะ”พูดคุย”ตอบทีเถอะ”ชาวบ้านเขา”ข้องใจ” หุยฮาๆ”

เรื่องของ”น้ำลด สันดอนโผล่”ที่ “คลองอาทิตย์” ซึ่งเป็นคลองขุด เพื่อการเกษตรของคนใน”คาบสมุทรสทิงพระ” ในท้องที่ อ.สทิงพระ ,กระแสสินธุ์ ,ระโนด” จ.สงขลา ที่ “ภัยแล้ง” ทำให้ “น้ำแห้งขอด”จน”วัว ควาย” ลงไป”เดินเล่น” ใน ลำคลอง ได้อย่างสบายใจ และทำให้เห็น”สันดอน” ที่เป็น”โคก” สูงบ้าง ต่ำบ้าง และ ท้องคลอง”ใต้สะพาน” ไม่มีการ”ขุดลอก” ทำให้ น้ำในคลองอาทิตย์ ไม่สามารถไหลได้ตลอดสาย สร้างความ”เดือดร้อน” ให้กับ”เกษตรกร” ที่ ทำสวน ทำนา เลี้ยงสัตว์ เพราะไม่มีน้ำ นี้ถ้าไม่เกิด”ภัยแล้ง” สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา คงไม่ได้”พบเห็น” พวก”สันดอน” ที่โผล่กลาง”ลำคลองอาทิตย์” ที่ส่อให้เห็นถึง”สันดาน” ของ”บริษัทผู้รับเหมาในการ”ลอกคลองอาทิตย์” รวมทั้ง”สันดาน” ของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ”ขุดลอกคลอง”ครั้งนี้    เห็นแล้ว พบแล้ว จึงอยู่ที่” สมนึก พรหมเขียว” จะ สั่งให้ดำเนินการอย่างไร แค่ให้”ผู้บริหารชลประทาน” ทำการ”ขุดลอก” ในส่วนที่เป็น”ปัญหา” อย่างเดียวน่าจะ”ไม่พอ” ทางที่”ถูกต้อง” คือการ”ตรวจสอบ” เพื่อ”เอาผิด” กับ”ทั้งผู้รับเหมา” และเจ้าหน้าที่”ชลประทาน ที่เป็น”กรรมการตรวจรับ” ที่ปล่อยให้มีเรื่องที่”ผิดปกติ”เกิดขึ้น และที่สำคัญ” ปปช.สงขลา ต้อง”ตรวจสอบ” เรื่องของ”คลองอาทิตย์” ให้”เข้มข้น” และอีกคนที่ต้องนำเรื่อง”สันดอนคลองอาทิตย์” และ”สันดาน” ชลประทาน ไป”อภิปราย” ในสภาผู้แทนคือ” ชนนพัฒน์ นาคสั้ว”  สส. เขต 4 สงขลา พรรคพลังประชารัฐ  เจ้าของพื้นที่ ซึ่งอยู่ภายใต้”ปีกโอบ” ของ” รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดี” กระทรวงเกษตรกร และสหกรณ์ ที่เป็น”นายโดยตรง” ของ”อธิบดีกรมชลประทาน เขียนถึงเรื่องของ “ชลประทาน” ไม่ได้จบแค่เรื่อง”สันดอน” และ”สันดาน” ที่ “คลองอาทิตย์ กำลังเอก” แต่ หลากหลายโครงการของ”ชลประทาน มีเรื่องที่ถูก”ร้องเรียน” และ”อื้นฉาว” มาโดยตลอด และนี้แหละคืองานที่” ปปช.” ต้องดำเนินการ โดยไม้ต้องรอให้ใคร”ร้องเรียน”เพราะเป็นหน้าที่ในการจับคนที่”โกงชาติโกงแผ่นดิน” โดยตรง

เรื่อง”งามหน้า” ที่ด่านพรมแดน อ.เบตง จ.ยะลา ที่”มีคลิป” และ”มีข่าว” มี”บุคคล” ที่”รีดไถเงิน” ของ”ผู้”ประกอบการ” ในการ”ข้ามแดน” คนละ 200-300 บาท จนเป็นเรื่อง”อื้อฉาว” ทั้งประเทศ จริงอยู่ หลังมีเรื่อง”งามไส้” ทั้ง”อมร ชุมช่วย” คนเป็น”นายอำเภอ” และ พ.ต.อ.”จิรวัฒน์ ดูดิง” ผกก. สภ.เบตง จ.ยะลา จะได้สั่งการให้”ดำเนินคดี” กับผู้ที่ทำความผิด แต่โดย”ข้อเท็จจริง” ที่คนใน”เบตง” รับรู้มานานคือ เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย ให้มีเหตุการ”เรียกร้องเงิน” ในการ”ผ่านแดน” มาเป็นเวลานานนม นี่ถ้าไม่มีคนที่”เป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน” ออกมา”ถ่ายคลิป”ลงใน”โชเซียล” เรื่อง”ชั่วๆ” อย่างนี้ก็คงจะมีอยู่ต่อไป ใช่หรือไม่ และ”เงิน” ที่”เรียกเก็บ”ด้วยการ”ข่มขู่” มีการ”ส่งส่วย” ให้ใครบ้าง นี่ต่างหากที่เป็นข้อสงสัยของคนในสังคม

ข่าวว่า “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี”ไม่ปลื้ม” กับ”ผลงานของ”กรมศุลกากร” ทั้งเรื่องการ”จัดเก็บภาษี”ที่ไม่”เข้าเป้า”  และเรื่องการปล่อยให้มีการ”ทุจริต”เกิดขึ้น ตั้งแต่เรื่องของ”หมูเถื่อนหมื่นตัน” จนถึงเรื่อง”ส่วยน้ำมันทิพย์” ของ”โกฟุก” ที่ จ.ระนอง อีกเรื่องที่ขอให้ “นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน ทำการ”ตรวจสอบ” คือเรื่องการนำเข้า”น้ำมันทรานส์ซิสเส้นทาง” จาก ประเทศมาเลเซีย ผ่านทาง ด่านศุลกากรสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ที่มีเรื่อง”ไม่ชอบมาพากล” เพราะมีการนำ”น้ำมันที่ซื้อมาในราคาถูก” เพราะไม่”เสียภาษี” แอบขายในประเทศ ไม่ได้นำ”ส่งออก” ไปยังประเทศที่สามตามที่แจ้ง”ทรานส์ซิส”เส้นทางแต่อย่างใด นี่คือ”ขบวนการค้าน้ำมันข้ามชาติ” ที่มีทั้ง”นักการเมือง” และ”คนในเครื่องแบบ” อยู่เบื้องหลัง

ทิ้งร้างมาแล้ว 10 กว่าปี เสียหายนับพันล้าน คือ “โครงการเคหะแห่งชาติ” ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่ วันก่อนเห็น”พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรียุติธรรม” ลงพื้นที่ไป”ตรวจสอบ” เพื่อหาทางแก้ไข เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้   เรื่องของ”เคหะร้าง” ที่”สุไหงโก-ลก” ก็ไม่ต่างกับเรื่อง”อควาเรี่ยมหอยสังข์ร้าง”ที่ อ.เมือง จ.สงขลา ที่”ยืนตระห่าน” ท้าทาย”สายตา” ทุกคู่ที่ผ่านไปผ่านมา เพื่อบอกว่านี่คือ” อนุสรณ์”ของการ”ทุจริตคอร์รับชั่น” ที่ “รัฐบาล” ไม่เคย”ส่งเสียง”ดังๆ ให้ประชาชนได้ยินได้ฟังว่าจะ”แก้ไข” อย่างไร ก็ขอฝากให้” รัฐมนตรี ยุติธรรม” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง  หาหนทางในการแก้ปัญหาด้วยเถอะ ชาวบ้านรอมานานแล้ว และบอกตรงๆว่า”ผิดหวัง หมดหวัง” ตั้งแต่รัฐบาลก่อนโน่นแล้ว

พายุฤดูร้อน พัดผ่าน”เมืองหาดใหญ่” เสาไฟฟ้า ในถนนหลายสาย เช่น”ราษฎร์อุทิศ,ศรีภูวนารถ,ศุภสารสังสรรค์” ล้ม”ระเนระนาด”โชคดีที่ไม่มี”ประชาชน” เสียชีวิต หรือ บาดเจ็บ แต่พบว่า “เสาไฟฟ้า”ที่”หักโค่น” ล้วนเป็น”เสาไฟฟ้า” ที่ เก่า และ “ชำรุด” รวมทั้ง”สายไฟ” ที่ เกาะกับเสาไฟ มากมาย มหาศาล  อย่างไรเสีย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ก็คงจะเป็น”บทเรียน” ให้” เทศบาลนครหาดใหญ่” และ”การไฟฟ้าภูมิภาค”   จะได้มีการ”สำรวจ ตรวจสอบ” บรรดา”เสาไฟฟ้า” ในพื้นที่ต้นไหน บริเวณไหนที่”ชำรุดทรุดตัว” ก็ ทำการ”ปรับเปลี่ยน” เพื่อที่จะไม่ต้องเกิด”โศกนาฎกรรม” ขึ้นจาก”ภัยธรรมชาติ” ใช่ เรื่องของ”ภัยธรรมชาติ” เป็นเรื่องที่”ห้ามไม่ได้” อาจจะ”ไม่รู้ล่วงหน้า” แต่ก็”ป้องกันได้” ถ้ารู้จัก”ถอดบทเรียน” ที่เกิดขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์

นี่ก็เรื่อง”ภัยธรรมชาติ” ที่กำลัง”ถล่มการท่องเที่ยว”ใน”เกาะต่างๆ” ของ จ.กระบี่” เมื่อ”แหล่งน้ำ” ในการ”ผลิตประปา”ของ”เอกชน” ไม่มีน้ำเพียงพอ โรงแรม ห้างร้าน สถานที่ต้อนรับ”นักท่องเที่ยว” เดือดร้อน  นักท่องเที่ยว ต่าง”ยกเลิก” การเดินทางมาท่องเที่ยว  เพราะ”ขาดแคลนน้ำ” ถ้าอีก 10 วัน หน่วยงานราชการ ยังแก้ปัญหา”น้ำ” บนเกาะต่างๆ ไม่ได้ ทุกอย่าง”บนเกาะ”ก็คงจะ”จบเห่ เม็ดเงิน ที่หวังจาก”นักท่องเที่ยว “สลายเป็น”อากาศธาตุ” อีกครั้ง    ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร จะใช้เรือของ”ทหารเรือ” ที่”ทับละมุ  จ.พังงา บรรทุกน้ำจืดจาก”จ.ภูเก็ต” ไปช่วย นักลงทุนใน เกาะ ต่างๆ หรือจะ”เช่าเรือเอกชน” ในการ”ลำเลียงน้ำ” ก็รีบทำ และเรื่อง”ภัยแล้ง” ของปีนี้ ที่สร้างความ”เสียหาย” ให้กับ”เกษตรกร” และ”ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว” “ รัฐบาล ที่ดี ที่มองปัญหาของประเทศได้”ทะลุ” จะต้องมีการนำปัญหาไป”ถอดบทเรียน” เพราะใน”อนาคต” ในปี 2568 “ภัยแล้ง” อาจจะ”รุนแรง” ไปกว่านี้ และความ”เสียหาย” ก็อาจจะมากกว่านี้ ปรากฎการณ์ของ”ธรรมชาติ” เตือนมาแล้ว อย่าคิดว่า”ไม่เป็นไร”และไม่ต้อง”ทำอะไร” อย่าลืมว่า” ประเทศชาติ”  ไม่ใช่ของที่ให้ใครเข้ามา”บริหาร”แบบ”ล้อเล่น”

นี้ก็ต้องติดตามดู เมื่อ “กระทรวงสาธารณสุข” ไม่เอานายแพทย์อย่าง” ชลนาน ศรีแก้ว” เป็น “เสนาบดี” แต่เลือกอา”นักการเมือง” ผู้”จัดเจนเกมการเมือง” อย่าง”สมศักดิ์ เทพสุทิน” มาเป็น”เสนาบดี” เรื่อง”ครอบครอง”ยาบ้า 5 เม็ด” เป็น”ผู้ป่วย” ที่ชาวบ้านทั้งประเทศ”ไม่เห็นด้วย” “เจ้าของโครงการ”โคหมื่นล้าน” จะว่าอย่างไร จะมีการแก้กฎหมายหรือไม่ ชาวบ้าน”ล้างหู” รอฟังคำตอบอยู่ โดยเฉพาะนโยบาย”ที่”คุณเธอ” ขึ้นไป”ตระโกน”บนเวที”หาเสียง”ว่า “เพื่อไทยมา ยาเสพติดหมดไป” เมื่อไหร่จะ”เป็นจริง” หรือวันนี้”เพื่อไทย” จะเป็นอย่างที่มีการกล่าวกันว่า “เพื่อไทย” ไม่ใช่พรรค”อนุรักษ์” แต่เป็นพรรคที่”เปลี่ยนแปลง”ที่มีการ”เปลี่ยนแปลง” นโยบายไป มา ตลอดเวลา โดยเฉพาะ “นโยบาย” ที่ใช้ในการ”หาเสียง” เพราะที่”หาเสียง”ไว้บน”เวทีในการ”หาเสียง” ทั้งเรื่องขึ้น”เงินเดือน”ผู้ที่”จบปริญญาตรี” 25,000 บาท เรื่องค่าแรง 450 บาท  เรื่องลดราคา”พลังงาน” สุดท้ายมีการ”เปลี่ยน”ไปมาตลอดเวลา แม้แต่เรื่อง”เงินดิจิตัล” ก็อย่าคิดว่าจะ”หวานหมู” สิ้นปีนี้ได้แน่นอน นะ ประชาชน เพราะวันนี้ยังมี”ขวากหนาม” เต็มไปหมด และที่สำคัญ เงินกู้ 500,000 ล้านบาท  จะเป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” แบบ”สึนามิ” หรือ”สึนาม้วย” ก็ยังตอบไม่ได้  ……แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ปรับ “ครม.”ก็แค่ สมบัติผลัดกันชม??

การเมืองไทยการ”ปรับครม.ทุกครั้งไม่ว่าจะ”ปรับเล็ก” หรือ”ปรับใหญ่” ต้องมีการ”กระเพื่อม”เกิดขึ้นทุกครั้ง  แทนที่การ”ปรับครม.” จะทำให้” รัฐบาล” มีความ”แข็งแกร่ง” กลายเป็น”อ่อนแอ” และ”แตกแยก” ไม่ได้ส่งผลให้”ประเทศชาติ” และ”ประชาชน”ได้ประโยชน์ กับการ”ปรับครม.ครั้งนี้ นอกจากเป็นเรื่อง”สมบัติผลัดกันชม” ในการ”สับเปลี่ยน” ตำแหน่ง”เสนาบดี” กระทรวงต่างๆ แล้ว ก็ยังเป็นความ”ปริร้าว”ในพรรคเพื่อไทย ที่สร้างความ”อ่อนแอ” ให้กับ”รัฐบาล”และมีการมองว่า”นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน” เป็นเพียง”นายกรัฐมนตรี” ตาม”รัฐธรรมนูญ”ที่นอกจากไม่มี”อำนาจ” ในการ บริหารบ้านเมือง แล้ว ยังไม่มีความ”สันทัด” ในเรื่องของ”การเมือง” เป็นได้เพียง ”ซีอีโอ” ทางเศรษฐกิจ ที่เป็น”อาณาจักร” ของตนเอง ที่ไม่ใช่”ประเทศไทย…..การ”ลาออก”ของ”ปานปรีย์ มหิทธานุกร” เสนาบดี กระทรวงต่างประเทศ หลังการ”ปรับ ครม. โดยถูก”ยึดตำแหน่ง”รองนายกรัฐมนตรี” ให้กับ” นักการเมือง”สายของ”นายใหญ่” เพื่อการ”เถลิงประโยชน์” ที่เห็นชัดคือการ”ประเคน” ตำแหน่ง”รองนายกรัฐมนตรี” ให้กับ”สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เสนาบดี กระทรวงคมนาคม ที่ต้องถามว่า  ระหว่าง” รัฐมนตรีต่างประเทศ” กับ “รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ท่านคิดว่า “เสนาบดี” ท่านไหน ที่มีความ”สำคัญ” และมีความ”จำเป็น” ในการ”บริหารประเทศ” โดยต้องมีตำแหน่ง”รองนายกรัฐมนตรี” มากกว่า ตรงนี้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ก็”สอบตก” ทางการเมืองแล้ว     ยิ่งในขณะที่”ประเทศไทย” มีปัญหาเรื่อง”ความมั่นคง”จาก”ศึกสงคราม” ระหว่าง”กลุ่มชาติพันธุ์” กับ”รัฐบาลเมียนมา” ที่ประชิดติดชายแดน ด้าน จ.ตาก และยังมีปัญหา”เศรษฐกิจ”ระหว่างประเทศ ที่ต้องอาศัย” เสนาบดี”กระทรวงต่างประเทศที่มี”ฝีมือ” ซึ่งที่ผ่านมา” ปานปรีย์ มหิทธานุกร” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศทำได้ดี  ดังนั้นการ”เปลี่ยนม้ากลางศึก” เปลี่ยน”เสนาบดี”กระทรวงต่างประเทศครั้งนี้ ถ้าเป็น”ความคิด” ที่มาจาก”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” คือความ”ผิดพลาด”อย่าง”มหันต์” แต่ถ้าเป็นความคิดและความ”ต้องการ” จาก”ผู้ที่”อำนาจ” นอก”รัฐบาล” อาจจะเป็นเรื่องของการ”กำจัดศัตรูหัวใจ”  หรือไม่พอใจที่ไม่ทำตามในบางเรื่องที่อาจจะ”ผิดกฎหมาย” ใช่หรือไม่

ที่นี่ บอกหลายครั้ง ว่า” นายยกนิด” เศรษฐา ทวีสิน” ไม่มีความ”สันทัด” ในเรื่องของปัญหา”ความมั่นคง” เพราะนอกจากไม่”เข้าใจ” เรื่อง”บทบาท”ของ”กระทรวงต่างประเทศ”ที่เกี่ยวกับ”ความมั่นคง” แล้ว ยังไม่”เข้าใจ” บทบาทของ”กระทรวงกลาโหม” ที่เกี่ยวกับ”ความมั่นคง” เช่นกัน   เพราะการ”ปรับ ครม.” ครั้งนี้  ไม่มีการ”แต่งตั้ง” รมช.กลาโหม” มาทำหน้าที่ ในการเป็น”รัฐมนตรีช่วย” เพื่อช่วย”สุทิน คลังแสง” เสนาบดี”กลาโหม ที่เป็น”นักการเมืองน้ำดี” เป็น”เสนาบดี” ที่”กองทัพ” พอใจ แต่เป็น”เสนาบดี” ที่ไม่”สันทัด”เรื่องของความมั่นคง เช่นเดียวกับ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี    ซึ่งต้องมี”ตัวช่วย” ที่เป็น” รมช.” ที่ มาจาก”นักการเมือง” หรือ”ทหาร” ก็ได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่”สันทัดกรณี” และ”เข้าใจ”ปัญหาของ”ความมั่นคง” ที่เกิดขึ้น”รอบด้าน” ของประเทศ ทั้งเรื่องของ”ศึกสงคราม” เรื่องของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” เรื่องของการ”ทะลักทลาย” เข้ามาของ”ยาเสพติด”และ”สินค้าเถื่อน” จากประเทศ”เพื่อนบ้าน” ทั้งหมดคือเรื่อง”ความมั่นคง” ที่สำคัญของประเทศ “ความมั่นคง”ไม่ใช่เรื่องของการ”ผลักดัน”โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต”ให้”ลุ่ล่วง” เพียงอย่างเดียว    และ”ฟันธง” ตรงนี้ว่า บุคคลที่ได้รับเลือกให้เป็น” เสนาบดี”กระทรวงต่างประเทศแทน”ปานปรีย์ มหิทธานุกร” คือคนที่เป็นคนของ”นายใหญ่” และการเป็น”เสนาบดี”กระทรวงต่างประเทศ ที่ไม่ได้มีตำแหน่ง”รองนายกรัฐมนตรี” จะทำให้บุคคลที่เข้ารับตำแหน่ง แม้จะเป็นคนที่มี”ฝีมือ” แต่จะมี”อุปสรรค” ในการ”ขับเคลื่อน”งานใน”เวทีต่างประเทศ”แน่นอน

และที่ต้อง”จับตามอง” คือที่”ทำเนียบรัฐบาล” ที่หลายคน”ฉงนสนเท่ห์” ว่า ที่นั่นมี”ภารกิจ” อะไรมากมายที่ต้องมี”รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ถึง 3 คนด้วยกัน ทั้ง “พิชิต ชื่อบาน “ มือ”กฎหมาย” ที่”นายใหญ่”ไว้วางใจ ทั้ง จักรพงษ์ แสงมณี ที่โยกย้าย” มาจาก” รมช.ต่างประเทศ” ที่เป็นคน”ใกล้ตัว”ของ”เสี่ยนิด”และ”สส.น้ำ”จิราพร สินธุไพร สส.”ฝีปากเฉียบ” และ”เอฟซี” เพียบ มาเป็น” รัฐมนตรีสำนักนายก” ระวังจะกลายเป็น”สุสานรัฐมนตรี” และอาจจะต้อง”แย่งงาน”กันทำ  สนุกเขาละ…..ส่วนการ”สับเปลี่ยน” กระทรวงระหว่าง” สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” ว่าการ”กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา” ไปเป็น”เสนาบดี”กระทรวงวัฒนธรรม” โดยให้” เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” เสนาบดี”กระทรวง”วัฒนธรรม” มาเป็น เสนาบดีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ก็เชื่อว่า”ปรับเปลี่ยน” แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่”หวือหวา” ที่สามารถจะเห็นภาพของ”หน้ามือ หลังมือ” เพราะทั้งสองคนต่างเป็น”เสนาบดี” ที่ไม่”สันทัด” ในกระทรวงที่เข้าไป”รับผิดชอบ” เพียงแต่”เสริมศักดิ์” มี”ความเก๋า” มีประสบการณ์ในการ”กำราบ” ข้าราชการใน”กระทรวงท่องเที่ยวฯ ได้ดีกว่า” สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” ที่เป็น”นักการเมืองหญิง” ที่ยัง”ละอ่อน” ในเรื่องของ”การเมือง” เที่ยวนี้จึงอาศัยบารดีของ”กำนันป้อ” ผู้เป็นบิดา ไม่ให้”หลุด” จากตำแหน่ง “เสนาดี” แต่ก็ถูก”ลดเกรด” ให้ไปดูแลกระทรวงที่เล็กๆอย่าง”กระทรวงวัฒนธรรม”แทน

ที่ต้องติดตามอีกเรื่องที่สำคัญคือ” นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน” จะแต่งตั้ง”รองนายกคนไหน” มาทำหน้าที่กำกับดูแล “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ทั้ง “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศอ.บต.) และ” กอง อำนวยการรักษาความสงบแห่งชาติ( กอ.รมน.”ภาค 4 ส่วนหน้า )ซึ่งก่อนหน้านี้คือ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” ที่”ปรับ ครม.”ครั้งนี้ไป”ไปได้ดิบได้ดี” เป็น”เสนาบดี”กระทรวงสาธารณสุข” แทน” นพ.ชลนาน ศรีแก้ว”  ผู้ที่”ชอกช้ำระกำทรวง” ที่สุด ของการ”ปรับครม.ครั้งนี้ เพราะดูรายชื่อ”รองนายกรัฐมนตรี” แต่ละท่านแล้ว ขอโทษ ที่จะบอกว่า ไม่ใคร”เข้าใจ” ใน”บริบท”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้แม้แต่ท่านเดียว ทั้งเรื่องของ”ไฟใต้” ทั้งเรื่องของการ”พัฒนา” จะถูก”ทอดทิ้ง” ด้วยเหตุผลที่ว่า” ภาคใต้” ไม่มี”สส.ของ”เพื่อไทย” อย่างนั้นหรือ…..ก็สรุป สั้นๆ ทั้งจากมองเห็นถึง”ความเป็นมาและเป็นไป” ในการ”ปรับ ครม.ครั้งนี้ และฟังจาก”วงเสวนา” ของประชาชนใน”สภากาแฟ” ที่ต่าง”เห็นพ้องต้องกันว่าการ”ปรับครม. ครั้งนี้ มีตำแหน่งเดียวที่”ถูกต้อง” และเป็น”ความหวัง” ของ”ประชาชน “เพียงตำแหน่งเดียว  นั้นคือการเอาตำแหน่ง”เสนาบดีการทรวงการคลัง” ออกจาก”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ไปให้กับ “พิชัย ชุณหวชิร” เจ้าพ่อตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็อย่าได้”คาดหวัง” ให้มาก เพราะการบริหาร”การเงิน –การคลัง” ที่เป็นงานของ”ภาครัฐ” กับงานการบริหาร”ตลาดหลักทรัพย์” ที่เป็นเรื่อง”เอกชน” มีความ”แตกต่าง” และ”ไม่ง่าย” เพราะเกี่ยวข้องกับ”หลายภาคส่วน” เดี๋ยวก็จะเป็น”อีหรอบเดิม” ที่เกิดกับ”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ที่ ประสบความสำเร็จในการบริหาร”อาณาจักรแสนศิริกรุ๊ฟ” และมา”ตกม้าตาย” ในการ”บริหารเศรษฐกิจของประเทศ” แค่ 7 เดือน ก็ต้อง”ปรับ ครม.” เพราะไม่มี”ผลงาน” ที่”เป็นชิ้นเป็นอัน” ให้ประชาชนมองเห็นอย่างเป็น”รูปธรรม”

ก็เข้าใจแหละ ว่าการส่ง”รัฐมนตรี” ทั้ง”หน้าใหม่” อย่าง”พิชัย ชุณหวชิร และ”เผ่าภูมิ โรจนสกุล” และ”รัฐมนตีหน้าเก่า” ที่นั่งเป็น รชม.คลังอยู่ก่อนแล้วที่เป็นคนจาก”เพื่อไทย” เพื่อต้องการที่จะ”ผลักดัน” โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ให้”ทะลุทะลวง” ด่านหินทุกด่านที่เป็น”ขวากหนาม” เพื่อให้”ประชาชน”ได้รับ”แจกเงิน” คนละ 10,000 เพื่อเป็นการสร้าง”คะแนนนิยม” ให้กับ”เพื่อไทย ”และเป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” แบบ”สืนามิ” โดยผ่านการ”ใช้จ่าย” ของประชาชน ในการ”ซื้อสินค้า” เพื่อให้เกิดการ”หมุนเวียน” ใน”ภาคการผลิต” การ”จำหน่าย” โดย เน้นการ”ใช้จ่าย” ใน”อำเภอ ”ของผู้ที่ได้”รับแจกเงิน” แต่ก็อย่าคิดว่าจะ ”สมหวัง” ตามที่ต้องการ ตาม”ทฤษฎี” ที่ว่า เงิน “10,000” จะมีการหมุนใน”ตะกร้าเงิน 4 รอบ” เพื่อสร้าง”มูลค่าเพิ่ม” เพราะ สังคม”คนไทยส่วนใหญ่” เป็น”ศรีธนนชัย” ที่ สามารถ”เล่นแร่แปรธาตุ” ด้วยการใช้เงิน 10,000 ซื้อสินค้า เช่น “ข้าวสาร,ปุ๋ยเคมี” แล้ว”ขายคืน” ให้กับ”ร้านค้าในราคาถูก”เช่นซื้อ 1,000 บาท ขาย 800  บาท เพื่อที่จะได้”เงินสด” มาใช้จ่ายอย่างอื่นๆ เรื่องอย่างนี้”นักทฤษฎี” ที่นั่งอยู่บน”หอคอยงาช้าง” รู้ไม่เท่านั้นวิธีคิดของ”ชาวบ้าน” เชื่อเถอะ เรื่องนี้เกิดแน่นอนกับเงิน”ดิจิตัลวอลเล็ต” คนที่เป็น”นักการเมือง” ในต่างจังหวัดรู้ดี เพียงแต่”ไม่พูด” …..แต่ เอาเถอะ ถ้าคิดใน”ส่วนดี” สำหรับ”ประชาชน” จากการได้รับ”เงินแจก” คนละ 10,000 บาท  ได้มาแล้ว จะ”ซื้อของ” หรือจะทำให้เป็น”เงินสด” แบบ”ศรีธนนชัย” ก็ตามแต่ แต่ส่วนดีคือ ทุกครั้งที่”รัฐบาล”ไม่ว่าจะเป็น”อดีตหรือ”ปัจจุบัน” ที่ไป”กู้เงิน”มา  และเงินที่”กู้มา” ก็ไม่เคยถึงมือ”ประชาชน” แต่มีการ”ใช้จ่าย” ใน”กระทรวงทบวงกรมของรัฐ”โดย”ประชาชน”มีส่วนในการ”แบกหนี้” เท่านั้น  แต่การกู้เงิน  500,000 ล้านบาท ครั้งนี้ ประชาชนมีส่วนได้รับเงินที่กู้มาคนละ 10,000 บาท ก็เป็นธรรมอยู่นะ เพราะการกู้ที่ผ่านมาประชาชน”เป็นหนี้” แต่ไม่มีส่วนได้”ใช้เงิน” แต่ครั้งนี้ประชาชน”เป็นหนี้” แต่มีส่วนที่ได้”ใช้เงิน” ที่”รัฐบาล” ไปกู้มา

เรื่องของ”ไฟใต้” วันที่”รัฐบาล” ทั้ง”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ”สุทิน คลังแสง” เสนาบดี”กระทรวงกลาโหม ไม่เห็นความ”สำคัญ”  เรื่องของ”ไฟใต้” ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของ” สถานการณ์”ความ”รุนแรง” ที่ “บีอาร์เอ็น” โจมตี “เจ้าหน้าที่” ทั้ง เจ็บ ทั้ง”ตาย” ที่ล่าสุด “กองกำลังติดอาวุธ”มีการ”ข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก” จากฝั่ง”มาเลเซีย” เข้ามา”โจมตี” เจ้าหน้าที่ตำรวจ”นปพ.” ที่ ต.ปาเสมัส “ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส” โชคดีที่ไม่มีใครถึงกับ”เสียชีวิต”  รวมทั้งการ”วางระเบิด”และ”วางเพลิง” โรงไฟฟ้าชีวะมวล” ทั้งใน อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี และที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เป็นการ”ทำลายเศรษฐกิจการลงทุน” ในพื้นที่ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งเป็นไปตาม”ยุทธศาสตร์” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ที่ไม่ต้องการให้มีการ”พัฒนา” ในพื้นที่ของ 3 จังหวัด 4 อำเภอของ จ.สงขลา เพราะการไม่”พัฒนา” เป็นต้นเหตุของความ”ยากจน” และ”ด้อยคุณภาพชีวิต”ของคนในพื้นที่ เพื่อที่”บีอาร์เอ็น” จะได้ใช้” อิทธิพล” ในการ”ปกครอง” คนในพื้นที่ให้อยู่ภายใต้”อิทธิพล”ของ”บีอาร์เอ็น”ได้แบบอยู่หมัด…..ล่าสุดบีอาร์เอ็นมีการ”ทิ้งใบปลิว”ข่มขู่เอาชีวิตของ”อาสาสมัครทหารพราน” ในพื้นที่ อ.บันนังสตา และการ”ทิ้งใบปลิว” ข่มขู่” เอา”ชีวิต”ของ”อาสาสมัครรักษาดินแดน” ( อส.) ในพื้นที่ ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา เพื่อให้เกิดความ”ปั่นป่วน” ในพื้นที่เป็นการ”ก่อกวน” ให้”กำลังพล” ญาติพี่น้อง และ”ประชาชน” หวาดกลัว และหากทั้ง” อส.ทพ. และ” อส.อ. อส.จ. กลายเป็น”เหยื่อ” ของ”อาร์เคเค” ที่เป็น”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” มากเข้า ๆ ก็อาจจะทำให้มีการ”ลาออก” หรือไม่มีใครกล้าที่จะมา”สมัคร” เป็น”กองกำลังท้องถิ่น” ในอนาคต

และที่ถือว่า”บีอาร์เอ็น” มีความ”อหังการ”มาก นั้นคือ”แกนนำ” ระดับ”รองหัวหน้าขบวนการ” ส่งสารเพื่อ”ข่มขู่” ผู้นำท้องถิ่น “กำนัน ,ผู้ใหญ่บ้าน” และ”ผู้นำศาสนา” ให้ “ถอยตัวออกห่าง” เจ้าหน้าที่รัฐ และ ทิ้งคำถามว่ารู้จัก”ทหารรัฐปัตตานี”หรือไม่   เมื่อการ”ก่อการร้าย”เพื่อ”แบ่งแยกดินแดน”เดินมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้า” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค”แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 รวมทั้ง “พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ “ แม่ทัพน้อยที่ 4 ยังไม่มีการ”คิดใหม่ ทำใหม่” ไม่มี”ยุทธศาสตร์” ในการ” ทำลายโครงสร้าง” ที่เป็นแบบ”รัฐซ้อนรัฐ” ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ก็อย่างหวังว่าจะเห็น”ความสงบ” กลับคืนมาสู่ จังหวัดชายแดนภาคใต้

อีกประเด็นที่ถูก”ขุดค้น” ขึ้นมาใหญ่เพื่อเป็นการ”สุมไฟ” อย่าให้”มอดดับ” นั้นคือการที่ฝ่าย”การเมือง” ทำการ”รื้อฟื้น” คดีการ”ตายหมู่”จากกรณีที่”บีอาร์เอ็น” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการ”วางแผน” ให้”มวลชน” ชุมนุม ล้อม สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อปี 2547  เพื่อให้เกิดความรุนแรง ให้ เจ้าหน้าที่”จับกุม” ประชาชน” ที่ถูก”หลอก” จาก”บีอาร์เอ็น” เข้ามา “ชุมนุม” และในการ”สลายการชุมนุม” เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 มี ประชาชน เสียชีวิต 83 ศพ และ บาดเจ็บ จำนวนหนึ่ง เรื่องนี้น่าจะจบแล้วกับการที่ทุก”ครอบครัว” ได้รับการ”เยียวยา” ทั้งเป็น”เงิน” และตามหลัก”ศาสนา” และ”มนุษย์ธรรม” และ”ศาลจังหวัดสงขลา” ก็ได้”ยกฟ้อง” ในการ”ฟ้อง” เจ้าหน้าที่รัฐ ที่รับผิดชอบในเหตุการณ์ชุมนุมครั้งนั้นไปแล้ว แต่มีการให้”ชาวบ้าน” ที่ได้รับความ”สูญเสีย” มารวมตัวกันใหม่ เพื่อเป็น”โจทย์ฟ้อง” เอาผิดกับ เจ้าหน้าที่ทั้ง 9 คน ตั้งแต่ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เช่น” พล.ท. พิศาล วัฒนวงศ์คีรี “  อดีต แม่ทัพภาคที่ 4 “พล.ต.อ.มาโนช ไกรวงศ์” อดีต ผบช.ภ.9 “นายศิวะ แสงมณี” อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย  และอีกหลายคน ซึ่ง ณ วันนี้ต่าง”เกษียณอายุราชการ”ไปแล้ว เหลือเพียง” พ.ต.อ.ภักดี  ปรีชาชน” ที่วันนี้ เป็น รอง ผกก. สภ.ตากใบ และวันนี้เป็น” รอง ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ที่ยังรับราชการอยู่ กรณีนี้ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ให้ความเห็นว่าเป็น”สิทธิของผู้เสียหาย” ที่สามารถใช้สิทธิในการ”ฟ้องทางอาญา” ต่อผู้ที่มีหน้าที่ในการ”สลายการชุมนุม”ได้ เป็นหน้าที่ของ”ขบวนการยุติธรรม” ในการ”ไต่สวน” และ”ตัดสิน” ทุกอย่างต้องจบที่”ศาลสถิตยุติธรรม” นี้คือการ”ขุดคุ้ย” เพื่อเป็นการ”เปิดแผล” ที่กำลัง”แห้งสนิท” ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง” ความจริงคดีนี้ หลังจากการ”เยียวยา”แล้ว  ต้องจบลงที่ผู้ที่รับผิดชอบในเหตุการณ์”สลายการชุมนุม”ครั้งนั้น”ขอโทษ” ผู้”สูญเสีย” และการให้”อภัย” จาก”ผู้สูญเสีย”  แต่เมื่อไม่เป็นไปอย่างนั้น ก็ต้องเริ่ม”นับหนึ่งใหม่” ในคดี”อาญา” ที่เป็นความต้องการของผู้ที่”สูญเสีย” เรื่องนี้มีการพูดถึงเรื่อง”ปลายเหตุ” คือ”คนตาย” จากการ”ชุมนุม”  แต่ต้นเหตุของความ”สูญเสีย” ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ที่มาจาก” บีอาร์เอ็น” ไม่มีใครกล่าวถึง และติดตามเอาตัวมา”ลงโทษ” นี่คือความ”ชาญฉลาด” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ได้ประโยชน์กับ “สถานการณ์” ทั้งใน ตอนนั้น และใน วันนี้

เหนื่อยนะ กับ สถานการณ์ ความไม่สงบของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะกับปฏิบัติการ”วัวหายล้อมคอก” ของ” พล.ต.เฉลิมพร ขำเขียว “ ผบ.ฉก.นราธิวาส ที่หลัง”บีอาร์เอ็น” โจมตี ตำรวจ นปพ. ที่ ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ก็มีการ “ปูพรม” ส่งเจ้าหน้าที่ “ตรวจเข้ม” แนวชายแดนแม่น้ำสุไหงโก-ลก และ อื่นๆ ซึ่งเป็นการ”เปล่าประโยชน์” เพราะ”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น”  หลังก่อเหตุ”เปิดตูด” หลบหนีไปหมดแล้ว    วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำลายโครงสร้างของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่ หมู่บ้าน ตำบล เอาคนของ”บีอาร์เอ็น” ออกมาให้หมด ส่วน”กองทัพ” และ”รัฐบาล” ต้องจัดงบประมาณ “สร้างรั้วถาวร” กั้นชายแดนไทย-มาเลเซีย เริ่มจาก”จุดที่ล่อแหลม” ซึ่งนอกจากจะได้ผลในเรื่องป้องกัน”การก่อการร้าย”แล้ว ยังเป็นการ”ป้องกัน” ขบวนการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การค้าของเถื่อนทุกอย่างได้อย่าง”เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” ดีกว่าการ”จัดงบ” ซื้อ”เฮลิคอปเตอร์” และซื้อ” ยุทโธปกรณ์” จำนวนมาก เพื่อใช้ในการ”ต้าน” การ”ก่อการร้าย” ที่”นายพล”หลายคน”ทั้งที่”เกษียณอายราชการ” แล้ว แต่ยังมี”อิทธิบารมี” ใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใน “กองทัพ” และ”นายพล” ที่มีอำนาจใน”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ และ”ใน”กองทัพ” กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ซึ่งมี”ข่าวลือ” เรื่องของ”เงินทอน” ก้อนใหญ่

และเป็นไปตามที่”คาดการณ์” นั้นคือการ”พูดคุย” ระหว่าง”ฝ่ายเทคนิค”ที่เป็นตัวแทนของ”รัฐบาลไทย” และของ”บีอาร์เอ็น” ในเรื่องของ”แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติภาพแบบองค์รวม” ( JCPP ) ที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ไม่มีอะไรคืบหน้า” บรรยากาศการ”พูดคุย” และการ”ทานข้าว” เป็นไปด้วยดี แต่ไม่มีความ”สำเร็จ” เพราะในพื้นที่ยังมี”สถานการณ์” ของ”ความรุนแรง” โดย”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” นี่กระมังที่เขาบอกว่า”คุยไปก็ไลฟ์บอย” เพราะคนที่”ไปคุย” ต่างรู้ถึง”ผลลัทธ์” ตั้งแต่ยังไม่ไปด้วยซ้ำ

ที่นี้ประเทศไทย” พ.ต.ท.ยงยศ เทียมประชา” อดีต รอง ผกก.หัวหน้า สภ.สุคิริน จ.นราธิวาส นายตำรวจ”มือปราบ” จับกุม”นายทุนน้ำมันเถื่อน” ครั้งที่เป็น สวส. สภ.สตูล สู้คดีกับ”นายทุนอิทธิพล” จน “ศาลฎีกา” ตัดสินให้เป็นผู้”ชนะคดี”และให้”ศุลกากรสตูล” ขายของกลางคือ” เรือเดินสมุทร 2 ลำ” รถบรรทุกน้ำมัน และ น้ำมันเถื่อนที่ทั้งหมดที่เป็น”ของกลาง” คดีนี้”ศาลฎีกา”ตัดสินเมื่อปี 2542 จนถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 25 ปี ปรากว่า”กรมศุลกากร” ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตาคำสั่งของ”ศาลฎีกา” เพระ”ของกลาง”ที่”นายทุน” วางเงิน”ค้ำประกัน” เพียงเล็กน้อย หายไป เรื่องนี้ “พ.ต.ท. ยงยศ เทียมประชา “ ที่ วันนี้ อายุ 90 ปี ทำหนังสือร้องของความเป็นธรรมไปที่” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งน่าจะเป็นที่พึ่ง”สุดท้าย” เพราะก่อนหน้านี้ได้ร้องเรียนไปยัง”ลูงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งร้องไปยัง”ผู้ตรวจการแผ่นดิน” แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า ครั้งนี้จะเป็นการ”พิสูจน์”ว่าความ”ยุติธรรม” ในประเทศนี้”มีอยู่จริง” หรือไม่  ยังไงๆ ก็อย่างพึ่งตายนะลุง รอให้เห็นความ”ยุติธรรม” ก่อนนะ

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติพื้นที่ภาคใต้ ได้ “ พ.อ.สุพจน์ โพยนอก” จาก”ฝ่ายกฎหมาย” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “โอนย้าย” มาทำหน้าที่”หัวหน้ากลุ่มงานส่งเสริมและเฝ้าระวังสถานการณ์สิทธิมนุษย์ชน”  ซึ่งหลังเข้ารับตำแหน่ง มีการจัด”อบรมเชิงปฏิบัติการ” ให้ความรู้แก่”กลุ่มเป้าหมาย” ทั้ง “บุคลากร” ฝ่ายการศึกษา เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ  และกิจกรรม ถวายความรู้ให้กับพระสงฆ์ด้านสิทธิมนุษย์ชน เพื่อเป็นหลักในการเยียวยาด้านจิตใจแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่เป็น”กิจกรรม”ที่ดี ซึ่งในอดีต”กลุ่มไทยพุทธ” จะ”เข้าไม่ถึง” สำนักงานสิทธิมนุษย์ชน และ”คนไทยพุทธ” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”เข้าใจผิด” ว่า” หน่วยงานนี้เป็น”เอ็นจีโอ” เพราะที่ผ่านมาเห็นแต่กลุ่ม”มุสลิม”มาร้องเรียนที่ สำนักงานสิทธิมนุษย์ชน” กล่าวหา “เจ้าหน้าที่รัฐ” เป็นหลัก    ข่าวว่า มี”เอ็นจีโอ” จำนวนหนึ่ง ไม่”พึงใจ” ที่ มี”อดีตทหาร” อย่าง” พ.อ.สุพจน์ โพยนอก” มาเป็น”หัวหน้าสำนักงานภาคใต้ มีการ”ร้องเรียน”ไปยัง”ที่” โน่น นี่ นั้น”  จนไปถึง”องค์กรต่างประเทศ” อย่างนี้ก็มีในประเทศนี้ด้วย เฮ้ย เวรกรรม

นี่งานใหญ่ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เป็น”วิถีชีวิตของคนในพื้นที่” วันที่ 12 พฤษภาคม นี้ “วิชัย เรื่องเริงกุลฤทธิ์” นายกสมาคมนกเขาชวาเสียงภาคใต้ จัดการแข่งขันนกเขาเสียงเพื่อการกุศล นำเงินรายได้ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนผู้ด้วยโอกาสทางการศึกษาในพื้นที่ จ.ยะลา,ปัตตานี,นราธิวาส และ สงขลา ณ สนามเจาะปาลัส ลำใหม่ ต.ลำใหม่ อ.เมือง ยะลา  ชิงถ้วยเกียรติยศจาก “นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดยะลา”นายมุขตาร์ มะทา” เปิดการแข่งขันโดย “นายอำพล พงศ์สุวรรณ” ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ข่าวว่ามี”นกเขาเสียง” เข้าประกวดประชัน ครั้งใหญ่ รับรองว่า”สนามแตก” แน่นอน

มีผู้ถามมาว่า วันนี้”คดีของ”แป้ง นาโหนด”  นักโทษชายที่หลบหนีคดีจาก”เรือนจำนครศรีธรรมราช” ไปถึงไหนแล้ว ก็ตอบตามที่รู้ว่า “แป้ง นาโหนด” ยังอยู่”สุขสบายดี” ที่”เกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง” จากการ”คุ้มครอง”ของ”กลุ่มนักการเมือง” ทั้ง”ท้องถิ่น” และ”ระดับชาติ” รวมทั้ง”ตำรวจ” ที่เคย”ช่วยเหลือเกื้อกูล” กันมา มีการ”เล็ดลอด” กลับมายัง”พัทลุง” บ้าง แต่ไม่มีการ”ปรากฏตัว” ให้ใครเห็น และข้อตกลงที่”แป้ง” ต้องทำตามผู้ให้ความ”คุ้มครอง”คือต้องไม่มี”โทรศัพท์มือถือ” เพราะจะ”ปลอดภัย” ทั้ง”แป้ง” และ”ผู้ที่”คุ้มครอง” ก็ต้องถาม “ รักษาการ ผบ.ตร.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร, พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ. 9  และ พล.ต.ต. ณฐกรณ์  กาญจนาภรณ์  ผบก.ภ.จว. พัทลุง ว่าท่านเหล่านี้ ลืมคดีของ”แป้ง นาโหนด”ไปแล้วหรือไร รวมทั้ง”ผู้ต้องหา” ที่พา”แป้ง “หลบหนี ที่มีการ”ออกหมายจับ” ก็ยัง”ลอยนวล” อยู่ในพื้นที่ พัทลุง

วันนี้ สินค้าที่ขายดี ในทุกพื้นที่คือ”ถังใส่น้ำ” ขนาดใหญ่ เพราะ”ภัยแล้ง”ที่ เกิดขึ้น สร้างความ”ทุกข์ร้อน” ให้กับ” เกษตรกรชาวสวนทุเรียน ที่”ลงทุนลงแรง”ไปแล้ว และ”ต้นทุเรียน” กำลังจะตายเพราะ”ขาดน้ำ” ก็ไม่รู้ว่า”ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า”  เสนาบดี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รู้เรื่องความเดือดร้อนของ”เกษตรกร” หรือไม่ เพราะไม่เห็น”เกษตรจังหวัด” และ”เกษตรอำเภอ” ออกมาติดตามความเดือดร้อนของ ชาวสวน แต่อย่างใด และถ้าในอีก 10 วัน ฝนยัง”ทิ้งช่วง” เชื่อว่า”เกษตรกร” ชาวสวนทุเรียนคงจะ”ย่อยยับ” ก็คราวนี้ ก็ให้ท่องคำว่า”อัตหิ อัตโนนาโถ” ให้ขึ้นใจ เพราะเราคือ”คนไทย” ที่ทุกอย่างต้อง”ดิ้นรน”ด้วยตนเอง

น่าเห็นใจ” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี “ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ต้อง”นำขยะมูลฝอย” จาก “เทศบาลนครหาดใหญ่” ไปทิ้งยังที่”ทิ้งขยะ”ของ”เทศบาลเมืองสะเดา” จ.สงขลา ซึ่งมีระยะทางถึง 60 กิโลเมตร เพราะ ประชาชนชาว อ.คลองหอยโข่ง  จ.สงขลา ไม่ยินยอมให้ นำขยะจากเทศบาลนครหาดใหญ่ไปให้กับ”โรงงานรับซื้อขยะ” ที่ตั้งอยู่ใน “คลองหอยโข่ง” ปัญหานี้”ผู้บริหารเทศบาล” ต้องเร่งแก้ไข ทั้งใน”ระยะสั้น”คือหาที่”ทิ้งขยะ”ให้ได้ เพราะทราบว่า”เทศบาลเมืองสะเดา” อนุญาตให้ใช้พื้นที่เป็นการ”ชั่วคราว” ส่วนการแก้ปัญหา”ระยะยาว” ก็ต้องมีแผนในการ”กำจัดขยะ”ที่เป็นของตนเอง

สุขใจที่ได้เป็น”ผู้ให้” กับสังคม โดยเฉพาะกับ”เพื่อนมนุษย์” เฉลิมชัย ครุอำโพธิ์ “ เถ้าแก่หลี” มอบตึกทันตกรรมให้กับ ผู้บริหารโรงพยาบาลสิงหนคร จ.สงขลา ที่ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม”เครื่องมือแพทย์”ไปกว่า 30 ล้านเป็นที่เรียบร้อย  และมีพิธี”ทำบุญเพื่อเป็นศิริมงคล” รวมทั้ง”เฉลิมฉลอง”ด้วยงาน”รื่นเริง” เพื่อให้ ชาวบ้าน ได้รับความ “สนุกสนาน”เป็นที่ถูกอกถูกใจของคนในพื้นที่  บุคคลอย่าง”เถ้าแก่หลี”นอกจาก”สังคมต้องยกย่อง”แล้ว หน่วยงานของ”ราชการ” ต้องไม่อยู่”นิ่งเฉย” ต้องมีการ”ยกย่อง” ให้เป็น”บุคคลต้นแบบ” ที่ทำ”ความดี”โดยไม่หวังผล”ตอบแทน” ถ้าผู้เขียนเป็น” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงหนคร” บุคคคลตัวอย่าง เช่น”เถ้าแก่หลี” ต้องได้”สายสะพาย” เป็น”เกียรติยศ” เพื่อเป็น”แบบอย่าง”ของ”สังคมไทย” ที่ ณ วันนี้ มีแต่ความ”เห็นแก่ตัว” และที่สำคัญไม่รู้จักคำว่า”แบ่งปัน”

ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถามมามากถึงการ”ขับเคลื่อน” ของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ภายใต้การ”บริหาร”ของ” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” ที่ผ่านมาแล้วกว่า”ครึ่งปี”  เพื่อต้องการเห็นความ”เปลี่ยนแปลง”ที่ต้องดีกว่าเดิม    ก็ต้องบอกว่า วันนี้”ศอ.บต. ยังไม่มี”อะไร” ที่จะเรียกว่า”ใหม่กว่า” แต่ สิ่งที่”ดีกว่า”คือมี “รองเลขาธิการ”ศอ.บต. ครบทั้ง 4 ท่าน และมี”ผู้ช่วยเลขาธิการ” ครบถ้วน  ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังจากนี้”ศอ.บต.” จะมี”ยุทธศาสตร์” ในการ”พัฒนา” พื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร และจะทำอย่างไรให้”ประชาชน” ในพื้นที่กล่าวคำว่า” ศอ.บต.ของเรา” เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นใน อดีต ที่ผ่านมา    แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…กล้าหรือเปล่า? ‘รื้อโครงสร้างพลังงาน’ ลดภาระประชาชน

27 เม.ย. 2024
107

เรื่องที่”รุมเร้า” รัฐบาลผสมที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ทำหน้าที่”กุมบังเหียน” นอกจากเรื่อง”เศรษฐกิจ” ที่ยังคง”ง่อนแง่น” และเรื่อง”การเมือง” ที่อยู่ระหว่างการ” ปรับ ครม.” เพื่อเปลี่ยน” เสนาบดี” จำนวนหนึ่งของ” เพื่อไทย” ที่เป็น” เสนาบดี”ที่ถูกขนานนามว่า”โลกลืม” รวมทั้งการ”ดิ้นรน” เพื่อ “ขับเคลื่อน” โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” หรือ โครงการ”แจกเงิน” ให้กับ”ประชาชนเพื่อ”ใช้จ่าย” คนละ 10,000 บาท ที่ยัง”ไม่ง่าย” เพราะมี”เงื่อนไข” และ”ขวากหนาม” ที่เป็นเครื่อง”กีดขวาง” มากมาย ยังมีเรื่องของ”ความมั่นคง” ที่เกิดจากการ”สู้รบ” ระหว่าง”กลุ่มชาติพันธุ์” กับ”รัฐบาลเมียนมา” ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ที่ รุนแรงขึ้นทุกขณะ   ซึ่งเป็นปัญหา ทั้งเรื่อง”ความมั่นคง และเรื่องเศรษฐกิจ”เรื่อง”ความปลอดภัย” ของ”ประชาชน”ในพื้นที่ และเรื่อง”อพยพ” ของชาวเมียนมา ที่เป็น”ภาระหนักอึ้ง”ของ”ประเทศไทย” ที่ ผู้นำประเทศต้องมีความ”ฉับไว”ในการ ตัดสินใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น ท่ามกลางกระแสการ”เปลี่ยนตัว” ของ”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม จาก”สุทิน คลังแสง” เป็น”เศรษฐา ทวีสิน” ที่จะ”ควบ” ตำแหน่งทั้ง”สร. 1 และ”สนามชัย 1”  ด้วยตนเอง หรือ กรณี”สงคราม” ที่ชายแดน “แม่สอด” จ.ตาก” จะเป็น”บททดสอบ”ความรู้ ความสามารถของ” เศรษฐา ทวีสิน” ว่าจะเหมาะกับตำแหน่ง”  สนามไชย 1 “ หรือ “รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม” หรือไม่ แต่ที่ผ่านมา สถานการณ์”ชายแดนแม่สอด” บอกให้สังคมรู้และเห็นว่า “เศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะ”นายกรัฐมนตรี” ยัง”งุ่มง่าม” ใน”ปฏิบัติการ” ในงานด้านความมั่นคงที่”ล่าช้า” กว่า “สถานการณ์” ที่เกิดขึ้น

ซึ่ง”สอดคล้อง” กับ”สถานการณ์” ความ”รุนแรง” ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่มีเหตุ”รุนแรง” เจ้าหน้าที่รัฐ ตายแบบ”ใบไม้ร่วง” ตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นตนมา แต่”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม และ “นายกรัฐมนตรี” ไม่มีใครที่”พูดถึง” ความ”สูญเสีย” ที่เกิดขึ้น กับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้…..ข่าวว่าการ”ปรับครม.” ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม นี้ จะมีการเอา”ขุนทหาร” เข้ามาเป็น ผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงของประเทศเพื่อสร้าง”ผลงาน” ให้กับ”รัฐบาล” ที่”เสียรางวัด”ไปแล้ว 7 เดือน ที่ปล่อยให้”ไฟใต้” ลุกโพลง และไม่มีทีท่าว่าจะ”เบาลง”  ข่าวว่า”พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ์” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะ”รีเทิร์น” กลับมานั่งเก้าอี้”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง”อีกครั้ง  ถ้าเป็นเพียง”ข่าวปล่อย” ก็”เจ๊ากัน” แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็ขอ”ติเรือทั้งโกลน”ว่า ถ้า”รัฐบาล” ให้”พล.อ.ประวิตร” วงศ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาทำหน้าที่”รองนายกรัฐมนตรี” เพื่อรับผิดชอบงานด้าน”ความมั่นคง” ก็ เชื่อว่า ไม่ได้ทำให้”สถานการณ์”ด้านของ”ความมั่นคง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้น เพราะ” บิ๊กป้อม” เป็น” รองนายกรัฐมนตรีความมั่นคง” มาแล้ว 9 ปี ในสมัยที่”บิ๊กตู่” เป็น”นายกรัฐมนตรี” แต่ไม่ได้แก้ปัญหา”ไฟใต้” ให้”ยุติ”ลงได้แต่อย่างใด ถ้าเป็น”แม่ทัพ”ใน”สนามรบ” ก็เป็น”แม่ทัพ”ที่”พ่ายศึก” เมื่อ กลับมาเป็น”แม่ทัพ” เพื่อทำหน้าที่ในการ”ดับไฟใต้” อีกครั้ง เชื่อเถอะ” ผลลัพธ์” ไม่ต่างกัน เรื่องนี้ถ้า “คิดผิด” ทั้ง”นายใหญ่” ทั้ง”เสี่ยนิด” คิดใหม่ก็ยัง”ไม่สาย” แต่อย่างใด

เห็นด้วยนะกับการที่”นายใหญ่” สั่งให้มีการ”ปรับครม.” เพราะ 7 เดือน ที่ผ่านไป เห็นชัดว่า “รัฐบาลผสม” ที่มี”เสี่ยนิด” เป็น”ผู้นำ” ยังไม่มีอะไรที่เป็น”ผลงาน” ที่เรียกว่า”เป็นชิ้นเป็นอัน” เอาเรื่องที่มี”ผลกระทบ” ต่อ”ปากท้อง” ของ”ชาวบ้าน” คือเรื่องของ”พลังงาน” ราคาน้ำมันที่ไม่มีการ”แก้ไข” ที่”ต้นเหตุ” มีแต่การเอาเงิน”ภาษี” ของ”ประเทศ” ที่เป็นของ ”ประชาชน” ไป”อุ้มราคาน้ำมัน” ไป”อุ้ม”ราคา”แก๊สหุงต้น” ไป”อุ้ม” ค่า”ไฟฟ้า” ซึ่งสรุปสั้นๆที่ ว่า “รัฐบาล” ที่มี”เสี่ยนิด” เป็น”ผู้นำ” ก็เดินตาม”รอยเท้า” ของ” รัฐบาล” “บิ๊กตู่” นั้นคือไม่กล้าที่จะ”แตะต้อง” กลุ่มทุน”พลังงาน” ในประเทศนี้แต่อย่างใด…..เรื่องของปัญหา” พลังงาน” ทางแก้ที่ถูกที่ควร” เสี่ยนิด” ต้อง”จับเข่า” คุยกับ” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” รองนายกรัฐมนตรี และ “เสนาบดี” กระทรวงพลังงาน  ถามให้ชัดว่า 7 เดือน ที่ผ่านมา ท่านมีการ”ศึกษา”เรื่อง”ข้อกฎหมาย” และ”ข้อเท็จจริง” ของโครงสร้างพลังงานของ”โรงกลั่น” ไปถึงไหน และจะมี”กำหนด” ในการ”รื้อโครงสร้าง” ของ”พลังงาน” เพื่อที่จะได้รู้ถึง”ข้อเท็จจริง” รู้ถึง”ต้นทุน” รู้ถึง”กำไร” ที่”กลุ่มทุน” ได้ไปจากความ”ทุกข์ยาก” ของ”ประชาชน” เพราะที่รู้ๆกันคือ ปีนั้น “โรงกลั่น” ได้กำไรไปกี่หมื่นล้าน ปีนี้ “โรงกลั่น”ได้กำไรไปกี่แสนล้าน “คนไทย” รู้เพียงว่า “กำไร” ที่”โรงกลั่น” แสดงให้ สังคมรับรู้ ล้วนเป็นการ”ล้วงไป” จาก”กระเป๋า” ของประชาชนทั้งสิ้น….. ทางรอดของ”ประเทศไทย” และทางรอดของ”ประชาชน” คือ “รัฐบาล” ต้องมีการ”รื้อ” โครงสร้างราคาน้ำมัน ต้องรู้”ต้นทุน” และ”กำไร” ของ”โรงกลั่น” และต้องมีการ”กำหนดราคา” ที่”สะท้อน”ถึง”ข้อเท็จจริง” และ เลิก”อุ้ม” ทั้งราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และ ราคาไฟฟ้า เพื่อให้ ประชาชน อยู่กับความเป็นจริง  และหากจะช่วยเหลือ ก็ต้องช่วย”กลุ่มเปราะบาง” หรือ”อาชีพ” ที่ได้รับ”ผลกระทบ” เป็น กลุ่มๆ ไป

กลับมาที่โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” อีกครั้ง หลังจากที่มีการประกาศว่า “ร้านค้า” ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้ มี”ร้านสะดวกซื้อ” ที่”ครองตลาด” ของประเทศไทย ทุก ตำบล ทุก ชุมชนเมือง ความ”รู้สึก” ที่ดีๆ ของ “ประชาชน” ก็เปลี่ยนไป  ไม่ว่า”รัฐบาล” จะ” ตั้งใจ”หรือไม่”ตั้งใจ” แต่ ทุกคนต่าง”เข้าใจตรงกัน” ว่า โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” เป็นโครงการที่ต้องการสร้าง”กำไร” ให้กับ”เจ้าสัว” เจ้าของร้าน”สะดวกซื้อ” เพราะเป็น”ร้านค้า” ที่ได้เปรียบกว่าทุกร้านค้า เพราะมี”ทุน” มี”สินค้า” มีความ”สะดวก” สำหรับ “ประชาชน” และมี”ความพร้อม” ในเรื่องของ”เงินดิจิตัล”ในขณะที่”ร้านค้า” ใน ตำบล หมู่บ้าน ชุมชน  ต่าง ไม่มี”ทุน”ไม่มี”ความพร้อม” ที่จะทำตาม”กติกา”ของโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” และ ถ้าลงพื้นที่”สอบถาม” เจ้าของ”ร้านค้า” ส่วนใหญ่”ส่ายหน้า” บอกว่า”อยากได้” แต่”ไม่พร้อม” และ”ไม่เข้า” ร่วมโครงการ เพราะ”ทุนรอน” ที่ต้องใช้กับโครงการนี้มี”ไม่พอ” ดังนั้นที่”เพื่อไทย” คิดว่า โครงการนี้จะ”โกยคะแนนเสียง” จาก”ประชาชน” เพื่อการเอาชนะ”ก้าวไกล” ระวังยิ่ง”เดินหน้า” ยิ่งทำให้”คะแนนหดหาย” เพราะผู้ที่เป็น”ร้านค้า”ใน หมู่บ้าน ตำบล ต่าง ไม่ได้รับ”อานิสงส์” จากการเข้าร่วมโครงการเงิน”ดิจิตัลวอลเล็ต” แต่อย่างใด นี่ก็เป็นเรื่องที่ถ้า”คิดผิด” ก็”คิดใหม่”ได้เช่นกัน

” เมื่อ”เลือดเข้าตา,หลังชนฝา” จึงทำให้”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต ผบ.ตร. ออกมา” ฟาดงวง ฟาดงา” ทั้งกับ “นายยกรัฐมนตรี”มีการ แจ้งความ ร้องทุกข์เพื่อเอาผิด ใน ม. 157 ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเลยไปถึงหน่วยงานของ “ปปช.” ในเรื่องของ “เด็กฝาก” และเรื่องที่”ไม่ชอบมาพากล” ใน ขบวนการ การปฏิบัติหน้าที่ของ”ปปช. มีการ”ลากถู” เอา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเข้าไปใน”หล่มน้ำเน่า” ที่เกิดขึ้นกับ”บิ๊กโจ๊ก” และ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ถามว่า”คนไทย” ได้อะไรจากการออกมา”แฉแหลก” แจก”หลักฐาน”ของ”บิ๊กโจ๊ก” ในครั้งนี้   ก็คือได้”หูตาสว่าง” ได้รับรู้ถึงความ” สกปรกมอมแมม” ของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” และ”องค์กรอิสระ” เพื่อที่จะได้เห็นว่า วันนี้”ประเทศไทย” มีปัญหาทั้งทาง”นิติรัฐ” และ”นิติธรรม” และเพื่อที่จะได้ช่วยกัน”ส่งเสียง” ให้”รัฐบาล” ไม่ว่าจะเป็น”นายกนิด” หรือ”นายใหญ่” ได้หันมาให้ความ”สนใจ” และทำการ”ปฏิรูป” องค์กรเหล่านี้อย่างเร่งด่วน ก่อนที่ “ประเทศไทย” จะมีความ”ล้มเหลว” ด้าน”นิติรัฐ” และ”นิติธรรม” จน”กู่ไม่กลับ” อันตรายนะ

กลับมาดู สถานการณ์ความรุนแรงของ”ไฟใต้” ที่ยังมีความ”สูญเสีย” แบบ”ไม่จบไม่สิ้น”อาสาสมัครทหารพราน กลายเป็น”ผักเหนอะ”ของ”อาร์เคเค” เดือน เมษายน เพียงเดียว ทั้ง”ทหารพราน” และ”ทหารเขียว” เสียชีวิตไปแล้ว 5 ราย บาดเจ็บอีก จำนวนหนึ่งจากการ””ประกบยิง” ของ “แนวร่วม” ทั้งที่เป็น”มืออาชีพ” และกลุ่ม”หน้าขาว” ที่ได้รับการ”บ่มเพาะ” และ”ฝึกอาวุธ” และมีการ”สั่งการ” ให้รู้จักวิธีการ”ฆ่าคน” เพื่อเป็นการ”ทดลองงาน” ในขณะที่”ฝ่ายตรงข้าม” ไม่มีการ”สูญเสีย” และในการ”ปิดล้อม”จับกุม ส่วนใหญ่ก็ได้แต่”แนวร่วม” ที่เป็น”ปลายแถว” เรื่องนี้ “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ จะแค่”สั่งการ” หน่วยกำลังในพื้นที่อย่างเดียว น่าจะไม่ได้ผล  เพราะ”สั่งการ” มาแล้ว 2 ปี แต่ ผลที่ออกมายัง “เหมือนเดิม” คือ ไม่มีอะไรดีขึ้น การติดตาม”จับกุม” ผู้ก่อเหตุแม้จะได้ผล แต่ที่ได้ผลกว่าและ ประชาชน”ต้องการคือ”ต้อง”หยุดการก่อเหตุ”

และในวันที่ 28-30 เม.ย. นี้ จะมีการ”พบปะ”เพื่อการ”พูดคุย” ระหว่าง”ประธานฝ่ายเทคนิค” ของ”บีอาร์เอ็น” และ”ของ”คณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทย “เป็นการ”พูดคุย” ครั้งที่ 2 ของ ปี 2567  แต่”เชื่อขนมกินล่วงหน้า” เป็นการ”พูดคุย” ที่ไม่มีความ”คืบหน้า” ใน”สารัตถะ” ที่มีการนำมาเป็น”ประเด็น”ของการ”พูดคุย” เพราะเป็นที่รู้ๆกันแบบ”ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ทั้ง สองฝ่ายต่าง”สวมหน้ากาก” และ”เล่นละคร” เพื่อ”ลากยาว” ให้”เวทีการพูดคุย” หาข้อ”ยุติ”ไม่ได้  โดย “บีอาร์เอ็น” ต้องการ”ลากยาวๆ” เพื่อให้การ”บ่มเพาะ” มวลชนในพื้นที่เพิ่มจำนวนให้เพียงพอ และต้องการใช้เวทีของ “สหประชาชาติ” ในการ”ขับเคลื่อน” งาน”การเมือง” ให้”บรรลุ”ถึง”ฝั่งฝัน” ที่ต้องการ    ส่วน”ฝ่ายไทย” เป็นการ” ขับเคลื่อน” การ”พูดคุย” เพื่อเป็น”ภาพลักษณ์” ของการเห็นด้วยกับการแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ด้วยหลักการของ”สันติภาพ” นั้นคือหาทางออกจากความ”ขัดแย้ง” ด้วยการ”พูดคุย” และยังมีการ”แอบแฝง” ในเรื่อง “ผลประโยชน์” ของ”งบประมาณ” อยู่ด้วย อะอะ อย่าเถียงว่า ไม่จริง    ดังนั้น เวทีการ”พูดคุย” ไม่ว่าเป็นระดับของ”ประธานเทคนิค” หรือของ”หัวหน้าคณะพูดคุยฯ อย่าง “ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ล้วนเป็นเรื่องการ”เล่นปาหี่” หรือ”มายากล” ทั้งสิ้น คนที่”คาดหวัง”ว่า”เวทีการพูดคุย” คือทางออกของ”ไฟใต้” เป็นเพียง”นักวิชาการโลกสวย” ส่วนคนที่อยู่กับข้อเท็จจริงนั้น ต่างรู้กันว่า เวทีการพูดคุยเป็นเพียง”ละครฉากหนึ่ง”เท่านั้น

การเดินทางลงพื้นที่ก่อน “สงกรานต์” ของ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. เพื่อ ประชุมหน่วยงานความมั่นคงของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่มี “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” เป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 และ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 มี “พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ “ เป็น” แม่ทัพน้อยที่ 4 “  มีการ “สั่งการ” ให้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ปรับงาน”ยุทธการ” เพื่อให้”สอดคล้อง” กับ”สถานการณ์” ที่เกิดขึ้น และให้”ปรับปรุง”งาน”การข่าว” ที่เป็น”หัวใจ” ของการดับ”ไฟใต้” รวมทั้งงาน”ภาคประชาสังคม” เพื่อ ”เอาชนะทางการเมือง”ซึ่ง”พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. คงเห็นว่าที่ผ่านมา” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า””หย่อนยาน”ในทุกเรื่อง ก็คงต้อง ติดตามดูว่า หลังจากที่” ผบ.ทบ.” มี”คำสั่ง” ไปแล้ว “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะมีการ” ปรับปรุง” ตามคำสั่งของ” ผบ.ทบ.”หรือไม่ โดยเฉพาะงานของ”ภาคประชาสังคม”และงาน”การข่าว” ที่เป็น”หัวใจ” ของความ”สำเร็จ”   ในการ”เอาชนะ” ยุทธศาสตร์”ของ”บีอาร์เอ็น” ต้องมีการ”ปฏิวัติ” ครั้งใหญ่ใน”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”  จึงจะตามทัน”สถานการณ์” และ”กลเกม” ของ”บีอาร์เอ็น”…..ที่สำคัญวันนี้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังมีการ”ปิดบังอำพราง” หน่วยเหนือในเรื่อง”โครงสร้างรัฐซ้อนรัฐ” ที่”บีอาร์เอ็น” ใช้ในการ”ขับเคลื่อน”ทั้ง”การทหาร” และ”การเมือง” เรื่องนี้เป็นเรื่อง”สำคัญ” ที่”ผบ.ทบ. ต้องรับรู้ และต้องมี”ยุทธศาสตร์” และ”ยุทธวิธี” ในการ “ทำลาย” โครงสร้างแบบ”รัฐซ้อนรัฐ” ของ”บีอาร์เอ็น” ให้ “สำเร็จ” ปัญหาของ”ไฟใต้” จึงจะ”ยุติ”ลงได้

จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้มีแค่เรื่อง”การแบ่งแยกดินแดน” แต่ยังมีปัญหาอีก”มากมาย” เป็น”กระปุงโกย” เช่นเรื่องของ”คนเถื่อน” ที่ “หลบหนี” เข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ปกติ การ”หลบหนีเข้าเมือง” ทั้งเข้ามาทำงานใน ประเทศไทย และ เดินทางไป”ประเทศมาเลเซีย” เป็นเรื่อง”ปกติ” อยู่แล้ว แต่ หลังการ”สู้รบ” ระหว่าง”รัฐบาลเมียนมา” กับ”กลุ่มชาติพันธุ์” ที่รุนแรงขึ้น จำนวน”คนเถื่อน” ที่”หลบหนีเข้าเมือง” ก็ยิ่งมากขึ้น”เป็นเงาตามตัว” ที่จับได้ถือเป็น”ผลงาน” ของ”เจ้าหน้าที่” แต่ที่”จับไม่ได้” มีอีกมากมาย” และที่”ไม่จับ” เพราะมีการ”จ่ายส่วย” ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของ”คนเถื่อน” ที่ “ยิ่งจับยิ่งมาก” เรื่องนี้” พล.ต.ต.ทรงโปรด สุขศิริ” ผบก.ตม. 6  ต้องมีความ”คิดอ่าน” การแก้ปัญหาว่าจะแก้อย่างไร “คนเถื่อน” จึงจะ ลดน้อยลง และที่ สำคัญ หลายพื้นที่ทั้งใน จ.สงขลา ใน จ.นราธิวาส ยังเป็นแหล่ง”หลบซ่อน” ของ”คนเถื่อน” ก่อนที่จะ “ข้ามฝั่ง”ไปยัง “ประเทศมาเลเซีย” เรื่องนี้ “ พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 ต้อง “สั่งการ” ให้ ตำรวจภูธร ตรวจสอบ แหล่งที่เป็นที่”นัดพบ” และ”หลบซ่อน”ของ”คนเถื่อน” ซึ่งเรื่องอย่างนี้ไม่มี หน่วยงานไหน ที่จะรู้ดีไปกว่า”ตำรวจ”เป็นไม่มี   และ”แน่นอน” ที่ “คนเถื่อน” สามารถ”กลบดาน” ใน แหล่ง”หลบซ่อน” อย่าง”ปลอดภัย” เพราะมีการ”จ่ายส่วย” ให้กับ “ตำรวจ” ในท้องที่ เรื่องของ”คนเถื่อน” ถ้ามีการ”รับส่วย” จากขบวนการ”ค้ามนุษย์ข้ามชาติ” เชื่อเถอะ “ขบวนการค้ามนุษย์” ไม่มีทาง”เติบโต” และอยู่เหนือ”กฎหมาย” อย่างทุกวันนี้……และอีกหน่วยงานที่ต้องเข้ามามี”บทบาท” ในการ”สกัดกั้น” การเดินทางข้าม”พรมแดนไทย-มาเลเซีย”ของ”คนเถื่อน” คือ ตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4   ที่มี “พล.ต.ต.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ “ รักษาการ ผบก. ตชด.ภาค 4  ซึ่งมีหน้าที่ในการ”ลาดตระเวนแนวชายแดน” ต้อง”เอาจริง” กับ”ขบวนการค้ามนุษย์ เพราะ สู้สึกได้ว่า ในระยะๆ หลัง ผลงานของ”ตชด. ทั้งเรื่องการจับ”คนเถื่อน” การจับ”ยาเสพติด” การจับ”น้ำมันเถื่อน” และ”สินค้าเถื่อน” ที่ “ทะลักข้ามแดน” มา น้อยลงมาก

อีกเรื่องของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” คือเรื่องของ”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติ” ยิ่ง ราคาน้ำมันโลกปรับตัวเพราะ”สงคราม” มากเท่าไหร่  ก็จะส่งผลให้”ปั้มน้ำมัน” ในประเทศไทย “ปรับราคา”ขายปลีกน้ำมันทุกประเภทสูงขึ้นเท่านั้น และ ยิ่งวันนี้ “รัฐบาล” ไม่มีการ”กู้เงิน”มาเพื่อ” ตรึงราคา” เพราะหมดไปแล้ว 7 เดือน เป็นเงินที่กู้มา 100,300 ล้านบาท ยิ่งทำให้ ราคาน้ำมัน “ปรับราคา” ที่สูงขึ้น ดังนั้น”น้ำมันเถื่อน” จาก”ประเทศมาเลเซีย” และจาก”ประเทศสิงคโปร์” จึงถูก”นายทุน” ในภาคใต้ และ”ภาคอื่นๆ “ ที่อยู่ใน”ขบวนการค้าน้ำมันข้ามชาติ” นำเข้าน้ำมันเถื่อนทั้ง”ทางบก”และ”ทางน้ำ” ล่าสุด มีการ”ลักลอบ” นำเข้าน้ำมันเถื่อนทาง”อ่าวไทย” ทั้ง จ.นครศรีธรรมราช และ”สุราษฎร์ธานี อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” ทำให้ “พ.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง” จเรตำรวจ ที่เป็น”หน.ตร.ศ.ปนม..” หรือ ตำรวจชุด “ปราบปรามน้ำมันเถื่อน” สั่งการให้ มีการ ตรวจสอบ จับกุม ได้”ของกลาง” และ”ผู้ต้องหา” ทั้งใน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช” และ” อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี   คาดว่าการ”ลำเลียง” น้ำมันเถื่อน”ทางเรือ” ใน 2 จังหวัดดังกล่าว น่าจะ”หยุดชั่วคราว” เพื่อดู”ทิศทางลม” อีกครั้ง

ส่วนที่ จ.สงขลา “คาราวาน”ลักลอบ”นำเข้าน้ำมันเถื่อน” จาก “ประเทศมาเลเซีย” โดย รถกระบะ,รถเก๋ง” ที่มีการ”ดัดแปลง” ให้มี”เซพลับ” ในการ”บรรทุกน้ำมันเถื่อน” ผ่านด่านศุลกากร ทั้ง อ.สะเดา และ ต.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ยัง”อยู่ยงคงกระพัน” วิ่งกันได้ตลอดทั้งวัน หลายคันถูก”จับได้” โดย”กองกำลังเทพสตรี” ที่เป็นของ”ทหาร” ก็ถามกันว่า ทำไม”รถดัดแปลง” บรรทุกน้ำมันเถื่อน จึง”ผ่านด่านศุลกากร” ทั้งที่ อ.สะเดา และ ที่ ปาดังเบซาร์ ได้ เรื่องนี้ก็ต้องขอให้ “อธิบดีกรมศุลกากร” ถามกับ”นายด่าน” ทั้งสองแห่งเอาเอง…..รวมทั้งขอให้ “เจ้าหน้าที่” ของ”ด่านศุลกากร” ทั้ง 2 แห่ง มีการ”ตรวจสอบ”การนำเข้าน้ำมันจาก”ประเทศมาเลเซีย” โดยวิธีการ”ทรานส์ซิส” เพื่อไปยัง สปป.ลาว.เมียนมา,กัมพูชา” ว่ามีการ”ออกไปประเทศที่สาม”หรือนำไป”ขาย” ในประเทศกันแน่ เพราะที่ผ่านมา มีการ”ตรวจสอบ”โดย”ดีเอสไอ” พบว่า เป็นการ”ส่งออกทิพย์” บริษัทที่เป็น”ปลายทาง” ในการ”รับสินค้า” และ”สั่งซื้อ” ไม่มีอยู่จริง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้า”ศุลกากร” มีการ”ตรวจสอบ” และ”ติดตาม” ที่”เข้มงวด” ขบวนการค้าน้ำมัน”ข้ามชาติ” ทำไม่ได้ และหากยังปล่อยให้”ขบวนการค้านั้นข้ามชาติ” ใช้วิธีการ”ทรานส์ซิส” อย่างนี้ โดยไม่มีการ”ตรวจสอบ” เป็นการสร้างความ”เสียหาย” ให้กับ ประเทศชาติปีละเป็น”หมื่นๆล้าน” เรื่องนี้”รัฐมนตรีคลัง” ต้องเร่ง”สั่งการ” ให้มีการ”ตรวจสอบ” และ”จับกุม” ผู้ที่ทำผิดกฎหมาย และที่สำคัญดำเนินการกับ” เจ้าหน้าที่” ที่ให้ความร่วมมือกับ”โจรปล้นชาติ”

กรมสอบสวนพิเศษ หรือ”ดีเอสไอ”ในยุคที่ “พ.ต.อ.ทวี สองส่อง”  เป็น “รัฐมนตรียุติธรรม” และ มี “พ.ต.ท.ยุทธนา แพรดำ “ รักษาการอธิบดี มีผลงาน สำคัญ หลายอย่าง ที่ดำเนินการในภาคใต้ เช่นคดีของ”โกฟุก” เจ้าพ่อบ่อนออนไลน์ และค้าน้ำมันข้ามชาติข้ามชาติ  ใน จ.ระนอง” ที่ถูก”ทลายห้าง”จนต้อง”เผ่นหนี”กลับไปยัง”เมียนมา” คดี”จีนเทา” ที่ อ.ฉวาง ที่ได้”ผู้ต้องหา”ที่เป็น”ชาวจีน” เกือบ 100 ชีวิต มาเป็น”ผู้ต้องหา” ล่าสุดมีการตรวจยึด”โรงงานน้ำมันปาล์ม”ที่ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ จาก”กลุ่มนายทุน” เพื่อคืนให้กับ “ชุมชนสหกรณ์ชาวสวนปาล์ม” หลังมีการ”ตรวจพบ”ว่าการขายโรงงานดังกล่าวของ “คณะกรรมการผู้บริหาร” ไม่ถูกต้อง” และ ยังมีอีก หลายคดีใหญ่ๆ ในภาคใต้ ที่”ดีเอสไอ” กำลังเข้าไป”ตรวจสอบ” เพื่อดำเนินการตาม”กฎหมาย” ที่ ณ วันนี้ไม่มีการ”ลูปหน้าปะจมูก” นักการเมือง และ พรรคการเมือง ที่”มีเอี่ยว” กับ “ขบวนการผิดกฎหมาย” คงจะ”หนาวๆร้อนๆ” นะ

มีสองกรณีที่เป็นเรื่อง”ไม่ชอบมาพากล” ใน จ.พัทลุง เรื่องแรก มีการยิงกันในงาน”จัดเลี้ยงหาทุนสร้างศาลาประชุมหมู่บ้าน” ที่  ต.นาปะขอ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง ที่ อดีตตำรวจเป็น”มือปืน” และมี”สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยกำนัน เป็นผู้”เสียหาย” และ”บาดเจ็บ”  เรื่องนี้มีการขอให้ไม่ต้อง”แจ้งความ” แต่จะ”เคลียร์” กันเอง  และขอให้”นักข่าว” อย่ายุ่ง และเรื่องที่สอง มีการ”ดองคดี” เรื่อง”อนาจาร” เด็กหญิงอายุ 13 ปี แจ้งความปลายปี 65 ที่ สภ.เกาะหมาก อ.ปากพะยูน  จนถึงขณะนี้”คดีไม่คืบหน้า” ถ้าทุกคดี”เคลียร์”ได้หมด แล้วจะมี โรงพัก” จะมี”ตำรวจ” ไว้ทำอะไร เรื่องนี้ “พล.ต.ต. ณฐกรณ์ กาญจนาภรณ์ “  ผบก.ภ.จว. พัทลุง ตรวจสอบด้วย อย่าปล่อยให้”ชาวบ้าน” ใช้”กฎหมู่” แบบในอดีต เช่น”มึงยิงกู กูยิงมึง” เพราะอย่างนี้ “เมืองลุง” จึงยังมีแต่เรื่อง”มือปืน” ผู้มีอิทธิพล และคดี”อุกฉกรรจ์” เกิดขึ้นตลอดปี

จับตามอง ขบวนการค้าบุหรี่เถื่อนที่ “เกาะลังกาวี” ประเทศมาเลเซีย ที่เคยนำ”บุหรี่หลบหนีภาษี” มาขึ้นที่”ท่าเรือ” หลายแห่ง ทั้ง อ.เมือง อ.ละงู” จ.สตูล แต่วันนี้” ทั้ง”เจ้าแม่ กไก่” และ”เจ้าพ่อ ส เสือ” ต่างใช้เรือ”สปีดโบ๊ท” ขนบุหรี่จาก”เกาะลังกาวี” มาขึ้นฝั่ง ในท้องที่ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ก่อนที่จะ “บรรทุกรถยนต์” มาส่งให้”ลูกค้า”  เรื่องนี้ “พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ คีตโมทนียกุล” ผบก. ภ.จว.ตรัง  ต้องดำเนินการให้ เจ้าหน้าที่ “ตรวจสอบ” และ”จับกุม” อย่าบอกนะว่า “ไม่มี และ ไม่จริง” เพราะ”ชาวบ้าน” ในพื้นที่เขาเห็นกัน”ทนโท่ “

เข้าท่า ชาวบ้านชุมชนจารู ตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา ขึ้นป้าย ห้ามมิให้มีการ”จำหน่ายใบกระท่อม” ในชุมชน ถ้าทุกชุมชม กรรมการชุมชน “เข้มแข็ง” อย่าง”ชุมชนจารู” ก็จะช่วยแก้ปัญหาของ”ยาเสพติด” ไม่เพียงแต่เรื่องของ”กระท่อม” แต่เรื่องของ”ยาบ้า” และ”กัญชา” ก็จะแก้ได้ด้วย เรื่องการ”ขายใบกระท่อม” เป็นเรื่องที่”ถูกกฎหมาย” ที่ “ตำรวจ” และ”ปกครอง” ลำบากในการ”จับกุม” หรือ”สั่งห้าม” เพราะ”กฎหมาย” อนุญาต” ให้”ขายได้” ไม่เหมือนกับ”น้ำกระท่อม” ที่ถ้า”ต้มขาย” เป็นเรื่องที่”ผิดกฎหมาย” จับกุมลงโทษได้   เรื่องนี้”พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ” นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา ต้อง”ชื่นชม” และให้”กำลังใจ”กับ คณะกรรมการชุมชน ที่กล้า”งัดข้อ” กับกลุ่มผู้”ค้าใบกระท่อม”…..ส่วนที่ อ.เบตง จ.ยะลา วันนี้ ชาวบ้านส่งภาพมาฟ้อง ทั้ง”ตัวเมือง” ถนนทุกสาย ทุกซอย ทุกตรอก “ เต็มไปด้วยการ”คนขายน้ำมันเถื่อน” เจ้าของ”ปั้มน้ำมัน” ที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั่งมอง”คนทำผิดกฎหมายตาปริบๆ” เพราะ”ไม่มีใครดำเนินการกับคน”ทำผิดกฎหมาย” ทั้งที่เป็น”ความผิด” ซึ่ง ตำรวจเอย, สรรพสามิตเอย, ปกครองเอย ” ก็ฝากไปยัง “ พ.ต.อ. จิรวัฒน์ ดูดิง” ผกก,สภ.เบตง  และ”อมร ชุมช่วย” นายอำเภอเบตง  จ.ยะลา ”เจ้าหน้าที่ศุลกากร” ต้อง”เข้มงวดกวดขัน” อย่าปล่อยให้”คาราวานน้ำมันเถื่อน” นำน้ำมันเถื่อนจาก”มาเลเซีย” เข้ามาแบบ”เสรี” ก็น่าจะ แก้ปัญหานี้ได้ อย่าลืมว่า”น้ำมันเถื่อน” ไม่ใช่”สินค้าโอท็อป” นะเจ้านาย  แต่เป็น”สินค้าเถื่อน” ที่”ผิดกฎหมาย”

ติดตามดูราคายางพารา และราคาปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่ภาคใต้ พบว่า ราคาปาล์มร่วงลงจาก กิโลกรัมละ 5 บาทกว่าเหลือแค่ 4 บาทกว่าต่อกิโลกรัม ถ้าราคายัง”รูดลง” เรื่อยๆ เหลือกิโลกรัมละ  3 บาทกว่าๆเมื่อไหร่ “รัฐบาล” คงจะเห็นการออกมา”เคลื่อนไหว” ของชาวสวนปาล์ม” อีกครั้ง เรื่องนี้ต้องดูฝีมือของ” รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” “ ผู้ทำหน้าที่”เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าจะ”แก้ปัญหา” ราคาปาล์ม” ที่ส่อเค้าว่า”ร่วงลง” อย่างไร    ในส่วนของราคา”ยางพารา” วันนี้ยังยืนอยู่ที่ กิโลกรัมละ 70 บาท กว่าๆ ซึ่งทำให้ชาวสวนยาง ”ใจเต้นโครมคราม” เพราะกลัวว่า ราคาจะร่วงลงไปมากว่านี้ โดยจะกลับไปที่ กิโลกรัมละ 40 บาทกว่าๆอีกครั้ง ในขณะที่”เพิก เลิศวังพง” ประธานบอร์ด การยางแห่งประเทศไทย ( กยท.) บอกกับชาวสวนยาง ที่ จ.นครศรีธรรมราช ว่า “กยท.” จะทำให้ราคายางแพงขึ้นจนเห็นตัวเลข “สามหลัก” นั้นหมายถึงต้องการเห็นยาง กิโลกรัมละ 100 บาทขึ้นไป  โดยการนำยางในประเทศมา ผลิตเป็น”ยางรถยนต์” เป็น”แบรนด์ของ กยท.” โดยการ”ดูดซับ” ยางในประเทศ 400,000 ตัน และมีการ ผลิต ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรี และ กรดฟอร์มิก โดยเป็น”สินค้าของ กยท.”ขายให้เกษตรกร เพื่อเป็นการ”ลดต้นทุน”ให้กับ”เกษตรกร” ก็ขอให้”ทำได้” และ”ทำจริง” แต่ที่เป็นข้อ”ห่วงใย” คือ ผลิตแล้วต้อง”ขายได้” เช่น”ล้อยาง”หรือ”ยางรถยนต์” ถ้า ผลิตแล้ว”ขายไม่ได้”  เพราะ”ตลาดไม่รองรับ” ประชาชนผู้ใช้ไม่มีความ”เชื่อมั่น” ปัญหาก็จะตามมา ศึกษาให้ดี วางแผนให้ดี ก่อนที่จะ”เดินหน้า” เป็นห่วงนะ

เรื่อง”ขยะของเทศบาลนครหาดใหญ่” จ.สงขลา กลายเป็น”ปัญหาใหญ่” เมื่อ”ผู้บริหารเทศบาลเมืองควนลัง อ.หาดใหญ่ ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่ของ”เทศบาลควนลังทิ้งขยะ” จนต้องนำขยะไปให้”ศูนย์คัดแยกขยะ”ที่ อ.คลองหอยโข่ง”  ซึ่ง มีการ”ต่อต้าน”จาก”ประชาชน” ในพื้นที่จากเรื่องของ”มลภาวะ” มีการ”ห้ามรถขยะ” ของ”เทศบาลนครหาดใหญ่” เข้าไปในพื้นที่ แต่ข่าวว่าล่าสุด” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” หรือ” พี่หลวงคอน” ได้ ทำความเข้าใจกับ ฝ่ายปกครอง ,ท้องถิ่น,ท้องที่” และ”แกนนำประชาชน” ที่ออกมา”ต่อต้าน” ให้เข้าใจ และให้”เห็นอกเห็นใจ” ทำให้ สามารถขนส่ง”ขยะของเทศบาลนครหาดใหญ่” ไปยัง”โรงงานคัดแยกขยะ” ที่ อ.คลองหอยโข่ง ได้แล้ว แต่ทางที่ดี “ผู้บริหารเทศบาลนครหาดใหญ่” ต้องมี”แผนระยะยาว” ในการ”จัดการ”กับ”ขยะมูลฝอย” ให้มีที่ ”กำจัดขยะ” ที่ถาวร หลังโรงงานฟ้าขยะถูกปิดไป

ติดตามดูการพัฒนาประเทศของ”เพื่อนบ้าน” อย่างมาเลเซีย ที่”นายกรัฐมนตรี”ของเขา กำลังทำให้”กรุงกัวลาลัมเปอร์” เมืองหลวงของประเทศเป็น”ศูนย์กลางดิจิตัล” ในระดับ”ภูมิภาค” ในขณะที่”บ้านเรา” ยัง”ขะมักเขม้น” ในการ”ออกแบบผ้าขะม้า” และ”กางเกงช้าง” เพื่อการ”โกอินเตอร์” ที่ สำคัญ”ด่านศุลกากร” ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งสร้างด้วย”งบประมาณหลายพันล้าน” วันนี้ยังเป็น”ด่านตาบอด” ที่ยังไม่สามารถ”เชื่อมต่อ” กับ”ประเทศมาเลเซีย” และ”ด่านศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง”ของมาเลเซียได้ ทั้งที่การ”ส่งออก” จาก “ด่านสะเดา”เป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาค    ที่ผ่านมา”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ต่าง”เทียวไล้เทียวขื่อ”พบ กับ”อัลวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย และ ผู้บริหารระดับสูง เพื่อแก้ปัญหา”ด่านตาบอด” แต่ผ่านไปแล้ว 7 เดือน ยังไม่มีส่ง”สัญญาณ” ที่ดีจาก “มาเลเซีย” อย่างนี้ “ประเทศเรา” จะ”แข่งขัน”กับ”มาเลเซีย” ได้อย่างไร…… แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาปรับทัพเสนาบดี “รัฐบาลนิด2” มีพรรคแตก!

20 เม.ย. 2024
115

รัฐบาล”นิดหนึ่ง” บริหารประเทศได้เพียง 7 เดือน ยังไม่มี”ผลงาน” ที่” เป็นชิ้นเป็นอัน” ให้ประชาชนเกิดความ”ศรัทธา” และ”จับต้อง”ได้ อาจจะเป็นเพราะได้นายกรัฐมนตรี” ป้ายแดง” ที่เป็น”มือใหม่ขัดขับ” มาเป็น”ผู้นำรัฐบาล” และอาจเป็นเพราะความ”เร่งร้อน” ในการจัดตั้ง”รัฐบาล” โดยเร็ว เพราะ”สยบคลื่นใต้น้ำ” จึงทำให้การ”จัดทัพ” คนเป็น”รัฐมนตรี” แต่ละ”กระทรวง” ไม่”ตรงปก” ได้คนที่มีความรู้ความสามารถไม่ตรงกับงาน ดังนั้นเมื่อ”นายใหญ่” พร้อม”เศรษฐา ทวีสิน” นายยกรัฐมนตรีตาม”รัฐธรรมนูญ” จึงต้องมีการ”ปรับ ครม. จาก”รัฐบาลนิดหนึ่ง”เป็น”รัฐบาลนิดสอง” ถ้าไม่ หลัง”สงกรานต์” ก็ต้องเป็นต้นเดือน พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ ตัว”นายกรัฐมนตรี” ยังเป็น” เสี่ยนิด” ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะต้องเป็นผู้”ขับเคลื่อน” โครงการ”ดิจิจัลวอลเล็ต” ใน”ไตรมาสที่ 4 “ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้ง”นายใหญ่” ยังต้องใช้บริการ”เสี่ยนิด” ในการ”บุกฝ่าขวากหนาม” ทั้งด้าน”เศรษฐกิจ” และ”การเมือง”ไปอีกระยะหนึ่ง ส่วน”เสนาบดี” ที่ถูก”ปรับออก” และถูก”ปรับเข้า” แม้วันนี้จะดูยัง”ไม่นิ่ง” แต่ก็”เห็นตัว” ที่ “ชัดเจน” มากขึ้น เช่น” สมศักดิ์ เทพสุทิน”ที่ต้อง”สละตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี” ที่”ขาลอย” เพราะไม่มี”อำนาจ” อะไร ไปเป็น” เสนาบดี” กระทรวงสาธารณสุข แทน “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ที่”บอบช้ำ” จาก นโยบาย”ยาบ้า 5 เม็ด” เป็น”ผู้ป่วย” จาก” ประชาชนทั่ว”สารทิศ” ซึ่ง”เพื่อไทย” อ้างว่าต้องการให้”หมอชลน่าน” ไปทำหน้าที่งาน”การเมือง” ใน “สภาผู้แทนฯ ที่เป็นงานถนัดของ”หมอชลน่าน” แต่ สิ่งที่”หมอชลน่าน” ปรารถนา ไม่ใช่งาน”การเมือง” แต่คือตำแหน่ง”ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ที่มี”วันมูหะมัดนอร์ มะทา” นั่งแท่นอยู่ในขณะนี้  ซึ่งมี”ข่าววงใน” แจ้งว่ามีการ”พูดคุย” กัน”ภายใน” เพื่อหาห้วงเวลาที่”เหมาะสม” ให้กับ”วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ที่มีการอ้างว่า”สุขภาพ” ไม่ค่อยจะ”เป็นใจ” กับการทำหน้าที่

สำหรับ”สุทิน คลังแสง” เสนาบดี” ว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งในการทำหน้าที่”เสนาบดี” ด้วยการ”ปกป้อง” กองทัพ มากกว่าการเข้าไป”เปลี่ยนแปลง” นโยบายของ”กองทัพ” จะกลับไปทำหน้าที่ ซึ่งมีความถนัดนั้นคือ”การเมือง” ใน”สภาผู้แทนฯ เพื่อให้”เพื่อไทย” เดินเกมการเมืองในสภาผู้แทนฯใน”เชิงรุก” เป็นเรื่องที่”เหมาะสม” ไม่ใช่เรื่อง”นาเกลียดน่าชัง” แต่อย่างใด…..และเห็นด้วยนะที่ “เศรษฐา ทวีสิน” จะ “ควบตำแหน่ง” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม โดยมีการแต่งตั้ง”พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” มาเป็น รัฐมนตรีช่วยกลาโหม เพื่อให้การ”ขับเคลื่อน”งานด้านความมั่นคง ที่วันนี้เป็น”หัวใจ” ของประเทศ ไปได้อย่าง”คล่องตัว” และ”รวดเร็ว” ทันกับ” สถานการณ์”  ความไม่สงบด้านชายแดนฝั่งที่ติดกับ”ประเทศเมียนมา”และใน “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งเป็นงานที่”นายกนิด” ไม่ถนัด และไม่ทัน”เกม”ของ”เพื่อนบ้าน” รวมทั้ง”ประเทศมหาอำนาจ”……ที่ “นายใหญ่” คิดถูกคือการให้ “พิชัย ชุณหวชิร” ผู้ เชี่ยวชาญ ด้าน เศรษฐกิจ ด้าน “ตลาดหลักทรัพย์” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ไปทำหน้าที่”ขุนคลัง”  หรือ “เสนาบดี” กระทรวงการคลัง เป็นการ”ผ่าทางตัน”ของ”เศรษฐกิจไทย”  ที่ผ่านไปแล้ว 7 เดือน ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง”ที่ยังคง”ตกหล่ม” และหาทาง”ตะกาย”ขึ้นมาไม่ได้ เพราะหน้าที่หลักของ”เสี่ยนิด” คือไปทำหน้าที่”เซลล์แมน” เดินทางไป”ขายโครงการใหญ่ๆ” ของ”ประเทศไทย  กับ”ประเทศมหาอำนาจ” ที่ไม่ต่างกับการ”ขายฝัน” จนไม่ได้”ขยับขับเคลื่อน” เศรษฐกิจภายในประเทศเท่าที่ควร…..ส่วน”สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” ที่มาจากครอบครัวในการทำธุรกิจ”แป้งมันรายใหญ่” นั้น 7 เดือน ที่ผ่านไปกับตำแหน่ง”เสนาบดี” กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทุกคนก็คงจะเห็น”ฝีมือ” ของการ”บริหาร” แล้ว จึงอาจจะต้อง”เปลี่ยนตัว” ให้ไปดูกระทรวงอื่นๆเช่น”กระทรวงวัฒนธรรม” ที่มี”เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” เป็น” เสนาบดี”  ส่วนจะโยกใครมาเป็น” เสนาบดี”กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ฝากให้ “นายใหญ่” และ”นายกนิด” ทบทวนครวญใคร่ ให้มากๆ กระทรวงนี้ต้องการ”เสนาบดี” ที่”มีกึ๋น” มีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องของ”การท่องเที่ยว” เพราะเป็น”กระทรวง” ที่สามารถ”ปั๊มเม็ดเงิน” เข้าสู่ประเทศในการ”ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ได้ดีที่สุด

และที่ ทุกฝ่าย “จับตามอง” อย่างไม่”กระพริบ” คือการที่การปรับ”ครม.” ครั้งนี้จะมี”ประชาธิปัตย์” เข้าร่วมรัฐบาลด้วย เพราะ”รู้และเห็น” อย่างไม่ต้อง”เปิดถ้วยดู” ก็รู้ว่า 25 เสียง 25 สส. ของ”ประชาธิปัตย์” ถ้าได้เข้าร่วม”รัฐบาล” ก็ไปไม่หมดทั้งพรรค จะต้องมีสส.จำนวน 5 คน หรืออาจจะ มากกว่า ที่ประกาศ ไม่เข้าร่วม”รัฐบาล” ซึ่งนำโดย “ชวน หลีกภัย” ที่ในอดีตเคยได้ชื่อว่าเป็น”เสาหลัก” ของ”ประชาธิปัตย์” แต่”ปัจจุบัน” คน”รุ่นใหม่” ใน”ประชาธิปัตย์” เห็นว่าเป็น”เสาหัก” เป็น”ฝ่ายค้าน”ในฝ่าย”รัฐบาล”อย่างไม่ต้องสงสัย  ใช่แล้ว 5 เสียง จาก 25 เสียง ของ”ประชาธิปัตย์” ที่ออกมาเป็น”ฝ่ายค้าน” อาจจะทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่”สง่างาม” และเป็นเหมือน”เม็ดทรายในรองเท้า” ที่อาจจะไม่”เจ็บปวด” แต่เป็นเรื่อง”รำคาญใจ” ที่สำคัญ “เพื่อไทย” มีความ”จำเป็น” อะไรที่ต้อง”หาเหาใส่หัว” ในเมื่อเสียงที่มีอยู่”แน่นปึ๊ก” รวมทั้ง”ก้าวไกล” ก็อยู่ใน”ชะตากรรม”ของการถูก”ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำการ”ยุบพรรค”…..แต่ถ้า”ประชาธิปัตย์” เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องติดตามดูว่าจะมีการ”ต่อรอง” เพื่อต้องการเข้าไปเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” และ”รัฐมนตรีช่วยว่าการ” ของ กระทรวงไหน เพราะ 20 เสียงที่ยอมไป”เสี่ยงตาย” กับการเป็น”พรรคแตก” และอาจจะเป็น”พรรคต่ำสิบ” ในการ เลือกตั้งครั้งหน้า ต้อง”สมราคา” และ”ความสุ่มเสี่ยง”ของ “อนาคต”ทางการเมือง

ถ้าได้เข้าร่วมรัฐบาลจริง  บรรทัดนี้ก็ขอแสดงความยินดีกับ” เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย) ที่เพิ่งจะจัดงาน”ครบรอบ 60 ปี” เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ที่จะได้เป็น”เสนาบดีป้ายแดง” ตาม”ความฝัน” ที่ต้องการ และเป็น”นักการเมือง” ที่ประสพความสำเร็จในทางการเมืองอีกคนของ จังหวัดสงขลา ส่วนตำแหน่ง” รัฐมนตรีช่วย” ก็ต้องติดตามดูว่า”หวย” จะออกที่ใคร เป็น”ชัยชนะ เดชเดโช” รอง “หัวหน้าพรรค” หรือคนอื่น เพราะถ้าทั้ง” รัฐมนตรีว่าการ” และ”รัฐมนตรีช่วย” ต่าง”กระจุก” ตัวที่”ภาคใต้ “อนาคต” ของ”ประชาธิปัตย์” ก็หนีไม่พ้นพรรค”ท้องถิ่นนิยม” ที่มี”นโยบาย” ในการ”รอร่วม” หลังเลือกตั้ง กับพรรคอะไรก็ได้ ที่เป็นผู้”จัดตั้งรัฐบาล” และความ”ยิ่งใหญ่” ที่เคยมีบน”ถนนการเมือง”ของ”ประชาธิปัตย์” ก็น่าจะ”จบลง” ใน”รูปแบบ” นี้โดยประมาณ……ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล อย่าง”ภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ” และ”ประชาชาติ” ยังไม่มีพรรคไหน ที่ออกมา”ให้ข่าว” การปรับเปลี่ยนตำแหน่ง”เสนาบดี” ของ”กระทรวง” ที่ตนเอง”รับผิดชอบ” ซึ่งก็มีอยู่หลายกระทรวงที่”โลกลืม” ว่าใครเป็น”เจ้ากระทรวง” และบางกระทรวงก็มีเรื่อง”อื้อฉาว” ทั้งเรื่อง”สปก.”รุกที่”อุทยาน” และเรื่อง อื่นๆ บางกระทรวงก็ “ปล่อยปละ” ให้มีการ”อนุญาต. ขนย้ายสารพิษ” อย่าง”กากแคดเมี่ยม” จนเข้าสู่”กลางใจเมืองหลวง” อย่างนี้เป็นต้น……ส่วนอีกสองกระทรวง ที่มี”เสนาบดี” มี”ผลงาน” ที่”จับต้องได้” อย่าง” กระทรวงแรงงาน”ที่มี “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เป็น”เสนาบดี” จากพรรคภูมิในไทย ก็ไม่ควรที่จะมีการ”ปรับเปลี่ยน” แบบ” เปลี่ยนม้ากลางศึก” เพื่อ”เพื่อไทย” ต้องการที่จะเข้ามาบริหาร”กระทรวงจับกัง” เสียเองเพื่อใช้เป็น”เครื่องมือ” ในการสร้าง ผลงานด้วยการ”ขึ้นค่าแรง” ส่วน”กระทรวงยุติธรรม” ที่มี” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” เป็น”เสนาบดี” ซึ่งมีการสร้าง”ผลงาน” ตั้งแต่การ”แก้หนี้ กยศ” การอำนวยความยุติธรรม และการ”ขับเคลื่อน”ปัญหาของ”ยาเสพติด” ทั้งการ”เอาผิดกับพืชกระท่อม, การเอากัญชา” กลับไปเป็นยาเสพติด และการ ปราบปรามขบวนการค้ายา เสพยาที่เป็นปัญหาของสังคม วันนี้งานของ”กระทรวงยุติธรรม” ขับเคลื่อนไปด้วยดี ถ้ามีการ”เปลี่ยนตัว” เสนาบดี  งานที่เดินหน้าก็อาจจะ”สดุด” และต้องไป”นับหนึ่งใหม่” ตามแบบ”การเมืองไทย” ที่ “เสนาบดี” เจ้าของกระทรวง”โละทิ้ง” งานของ”เสานาบดีคนเก่า” ทั้งที่เป็นเรื่องที่ดี

ประมวลสถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากการบริหารประเทศ “7 เดือน” ของ”เพื่อไทย” และ”7 เดือน” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่าง”ต่อเนื่อง” แม้แต่ในระหว่างเทศกาล”รายอปอซอ” และเทศกาล”สงกรานต์” กองกำลังติดอาวุธ”บีอาร์เอ็น” ยังมีการ”ซุ่มสังหาร” และ”ประกบยิง” เจ้าหน้าที่”ทหาร” ยศ จสอ. สังกัด “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าไปถึง 2 คน ใน 3 วัน และทั้งสองเหตุการณ์เกิดที่ อ.ปะนาเระ และ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี นี่คือความ”ล้มเหลว”ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” กับการ”ดับไฟใต้” เพราะการที่”นายกรัฐมนตรี” มองปัญหา”ความมั่นคง”สำคัญน้อยกว่าปัญหา”เศรษฐกิจ” ไม่มีแม้แต่”รมช.” กระทรวงกลาโหม เข้ามาช่วย”บริหารความมั่นคง” ทั้งที่ประเทศไทย”ทุกด้าน” ต่างมีปัญหา”ด้านความมั่นคง. เช่นชายแดน”ภาคเหนือ” และ”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” เป็นเส้นทางของ”ขบวนการค้ายาเสพติด,การค้ามนุษย์” และ”แกงค์คอลเซ็นเตอร์” แม้จะไม่มี”สงครามระหว่างรัฐบาลเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์” ชายแดนด้านนี้ต้องใช้ กำลัง”ทหาร”เป็นกำลังหลัก ชายแดนด้าน ภาคใต้ ตั้งแต่ จ.ประจวบ.ชุมพร.ระนอง ก็มีปัญหาด้านความมั่นคง ทั้งเรื่อง”คนเถื่อน” และการลักลอบนำเข้าสินค้า”ทางการเกษตร รวมทั้ง”ยาเถื่อน” โค กระบือ” ส่วน “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ไม่ต้องพูดถึง เพราะ 20 ปี ที่ผ่านมา ยังมีเพียง “เสียงระเบิด, เสียงปืน” คนตาย บาดเจ็บ หญิงหม้าย เด็กกำพร้า คนพิการ เพิ่มขึ้นทุกเดือน

การ”วางระเบิด  การวางเพลิง โรงงานอุตสาหกรรม ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ และ อื่นๆ  ในพื้นที่สามจังหวัด 4 อำเภอ หลังจากที่”เศรษฐา ทวีสิน” ลงพื้นที่ “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” พร้อมการประกาศ”ก้าวข้ามความรุนแรง” ด้วยการ”ส่งเสริมเศรษฐกิจ”และ”การท่องเที่ยว” คือ”คำตอบ” จาก”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เพื่อทำลาย”เศรษฐกิจ” และ”การท่องเที่ยว” ตามที่”นายกรัฐมนตรี” มาประกาศเอาไว้ นั้นเอง   ดังนั้น “นายกรัฐมนตรี” ต้องให้ความสำคัญกับปัญหา”ความมั่นคง” ต้องมีการ”ปรับเปลี่ยน” นโยบายของ”กองทัพ” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ให้”สอดคล้อง”กับ”สถานการณ์” และ”ยุทธศาสตร์” ของ”ฝ่ายศัตรู” ไม่ใช่ปล่อยให้” กองทัพ” และ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ดำเนินการไปตาม”รูปแบบ” ที่ต้องการ โดยที่”รัฐบาล” และ”รัฐมนตรีกลาโหม” ทำหน้าที่เป็น”ตรายาง” หรือเป็น”โฆษก” เพื่อการ”แก้ต่าง” ให้ “กองทัพ” เพื่อรักษา”หน้าตา” ของ”รัฐบาล” ไป วันๆ อย่างที่ผ่านมา

ที่สำคัญ ที่ต้องติดตามคือ “นายรัฐมนตรี” ต้อง”ใส่ใจ” กับการทำหน้าที่ของ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ” สมช.” ต้องให้ความสำคัญกับ”สมช.” ให้พ้นจากการเป็น”เครื่องมือทางการเมือง” และให้เป็น”องค์กรนำ” ในการทำ”ยุทธศาสตร์”ในด้าน”ความมั่นคง” ของประเทศอย่าง “ถูกต้อง” บน”ฐานของความจริง” แต่ เมื่อดูตาม สถานการณ์ความมั่นคงที่เกิดขึ้น ทั้งที่ชายแดนด้าน จ.ตาก และสถานการณ์ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็บอกได้ว่า ณ วันนี้ ประเทศนี้ ยังฝาก”ความหวัง” ด้านปัญหา”ความมั่นคง”กับ”สมช.” ไม่ได้ ก็ได้แต่หวังที่จะเห็น” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” เลขาธิการ สมช. ที่ไปจาก”รอง ผบ.ตร. ได้ แสดงฝีมือให้เห็น ก่อนที่จะ”เกษียณอายุราชการ” ในวันที่ 30 กันยายน ที่จะถึงนี้…..เห็นด้วยนะกับการที่ “พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยที่ 4 เรียกประชุม หน่วยงาน”ภาคประชาสังคม” ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เพื่อ”เคาะสนิม” หรือให้ “นโยบาย”งานด้าน”การเมือง”ของ”ภาคประชาสังคม” ที่วันนี้ยังไม่ใช่”คู่ต่อสู้”กับ”ภาคประชาสังคม” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เพราะ”ยุทธศาสตร์” และ”ยุทธวิธี” ของ”ภาคประชาสังคม”ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังไม่มีอะไรใหม่ที่จะไป”ต่อกร” กับ” ปีกทางการเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ข่าว”วงใน” เล่าว่า มีการ”วิพากษ์”ถึงการทำหน้าที่ของ”ภาคประชาสังคม” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ ว่ายัง”ล้าหลัง” และ”ตามหลัง” ขบวนการ “บีอาร์เอ็น”ไม่น้อยกว่า 10 ปี “พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยฯ  ฟังแล้ว นอกจาก”สะอึก” ก็ต้องเร่ง”ปรับเปลี่ยน” ให้”หน่วยงานนี้” เป็นประโยชน์ในการ”ดับไฟใต้” โดยเร็ว แบบอย่างเก่าๆ ที่ “พล.อ.วิทยา อรุณเมธี” “เสธเปี๊ยก” อดีต ผอ.ศูนย์สันติวิธี และ” พล.ต.ฐกรณ์ เนียมรินทร์” อดีต รอง ผอ.ศูนย์สันติวิธี เคยทำไว้ ก็น่าจะเป็น”แบบอย่าง” ได้อยู่ นอกจากนั้น ยังมี”นายทหาร”หลายนาย เล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมา ปี 2566 งานด้านการ”ต่อสู้ทางการเมือง” ถูก”ละเลย” จนแทบจะไม่มี”กิจกรรม”ใดๆ ในพื้นที่ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เป็น”เรื่องเศร้า” ที่ “แม่ทัพ นายกอง เสนาธิการ” มองไม่เห็นความสำคัญในเรื่องการ”เอาชนะทางการเมือง” ซึ่งถือเป็น”หัวใจ” ของการ”แย่งชิงมวลชน” ใน”สงครามการแบ่งแยกดินแดน

การจัด”กิจกรรม” วัน”มาลายูเดย์” ที่เป็นการรวมตัวของ”เยาวชนชาย” ( เปอร์มูดอ) และ”เยาวชนหญิง” ( เปอร์มูดี ) ที่ หาดวาสุกรี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 13 และ 14 เม.ย. ในปี นี้ ผ่านไปด้วยดี นอกจากการแต่งกายใน”อัตลักษณ์” ของชาว”มาลายู” แล้ว ก็มีเรื่อง”การเมือง” ต่างประเทศ”แทรก”เป็น”ยาดำ” นั้นคือเรื่องของ”นักสู้” และเรื่องของ”ปาเลสไตน์” และเรื่องการที่”นักการเมือง” ( บางคน ) มีการ”แจกเสื้อ” ให้ผู้ร่วมชุมนุม ที่เขียนว่า”ปาตานี ไม่ใช่ สยาม” เป็นเรื่องที่มี นัย อะไรหรือไม่นั้น ก็ให้ทุกฝ่าย “ใคร่ครวญ” เอาเอง…..ส่วน”ควันหลง”หลังการจบ”กิจกรรม” คือการ”ไซโค” และ”ไอโอ” เรื่องตัวเลขของผู้ชุมนุม ที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”ที่รายงานว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุม 8,500 คน ในขณะที่ “กลุ่มผู้จัด” อ้างว่ามีผู้ร่วมงานครั้งนี้ 50,000 คน ก็ไม่รู้ว่า หน่วยงานไหน ที่”สอบตก” เรื่องของ”คณิตศาสตร์” และนี่แหละที่บอกว่าเรื่องของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ทุกฝ่ายมี”ชุดความจริงคนละชุด” และ”พูดกันคนละเรื่องมาโดยตลอด และที่ สำคัญต่างคนต่างมี”เบื้องหลัง” ที่ “แอบแฝง” อยู่……นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อ อดีต หัวหน้าคณะ”พูดคุยสันติสุข” สมัยของ”  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น”นายกรัฐมนตรี” อย่าง “พล.อ.อักษรา เกิดผล” เขียน”บทความ” ไม่เห็นด้วยการการ”พูดคุยสันติสุข” ในกรอบของ”แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติภาพแบบองค์รวม” ( JCPP ) ที่มองว่าเป็นการเดิน”เข้าสู่กับดัก” ที่จะทำให้”ฝ่ายไทย” เสียเปรียบ เสียรู้ ต่อ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” บีอาร์เอ็น” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่” รัฐบาล” และ”ฉัตรชัย บางชวด” หัวหน้าคณะพูดคุยคน”ปัจจุบัน” ต้อง รับฟัง โดยเฉพาะการประชุมระะหว่าง”ฝ่ายเทคนิค” ของทั้งสองฝ่ายในปลายเดือน เมษายน นี้ ต้อง”รอบคอบ” และไม่สร้าง”เงื่อนไข” ให้”บีอาร์เอ็น”ได้เปรียบ และที่สำคัญ  “คณะพูดคุยสันติภาพ” ที่เป็น”คณะใหญ่” ต้อง กลับไป “พิจารณา” ถึง”ข้อเสีย” ในแผน “JCPP “ ให้”ละเอียดรอบคอบ” อีกครั้ง ถ้า “ไม่ใช่ “  และ  “ใช้ไม่ได้”  ก็ต้อง”ยกเลิก” และ “ยกร่าง”กันใหม่อีกครั้ง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่อง”รีบเร่ง” เพราะ รู้ๆกันว่า ฝ่าย”บีอาร์เอ็น” เอง ก็ไม่ได้มีความ”จริงใจ” กับ”โต๊ะพูดคุยสันติสุข” แต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นเพียง”กิจกรรม” เพื่อการ”ต่อรอง” และสร้างความ”ได้เปรียบ” ให้เกิด”เงื่อนไข” นำไปสู่”เวทีสากล” เท่านั้น

ส่วนการ”ขับเคลื่อน” ของ”คณะพูดคุย”ของฝ่ายไทย ถ้า”ลงลึก” ติดตามดู”บริบท”ต่างๆ มีการนำใคร เข้ามา เป็น “คณะกรรมการ” และ”คณะทำงาน” เพื่อการ”ขับเคลื่อน” ก็จะเห็นถึง”ร่องรอย” ของ”ความ”ลึกลับ” และเรื่อง”งบประมาณ” ที่มีการใช้ในการ”พูดคุย” มากกว่าเรื่องของความ”สำเร็จ” นี้คือ”นิยาม”ของคำว่า”นอนเตียงเดียวกัน แต่ ฝันคนละเรื่อง” ระหว่าง “คณะพูดคุย” ของทั้งสองฝ่าย อ่านแล้วอย่า”หัวเราะ” เพราะนี้คือ”เรื่องจริง”…..นี่ก็”ควันหลง” จาก”เทศกาลสงกรานต์ที่ “หาดใหญ่” เมื่อ”คนหัวใส” นำ”น้ำประปา” มา”ขาย” ให้กับ”นักท่องเที่ยว” ชาวมาเลเซีย ที่เข้ามาเที่ยว”สงกรานต์” ถังละ 1,200 บาท ( 200 ลิตร )  เพื่อใช้ในการ”สาดน้ำ” ปีนี้ ผ่านไปแล้ว แม้ว่าจะไม่มีใคร”แจ้งความ”เอาผิด แต่ ปีต่อๆไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องเข้าไป”ตรวจสอบ” และหาความ”พอดี” ว่าจะ”ซื้อ-ขาย” กันอย่างไร ที่จะไม่เป็นการ”เอาเปรียบ” ผู้ที่เป็น”นักท่องเที่ยว” และอีกเรื่องมีการ”ลอยแพ” นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย 120 โดย “ไกด์” ที่เป็นคนไทย ที่เรียก”เก็บเงิน” ค่าจองห้อง แต่”เชิดหนี”จนกลายเป็น”ภาระ” ให้กับ” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ ต้อง ร่วมมือกับ เจ้าของโรงแรม เปิด”ห้องประชุม” และ”ห้องนวดแผนโบราณ” ให้เป็นที่พัก”ชั่วคราว” เพื่อเป็นการ แก้ปัญหา คนที่”ทำผิด” เดิน”คอตก” เข้าห้องขัง และ พบว่า มี”พฤติกรรม” หลอกลวง นักท่องเที่ยวมาแล้ว หลายครั้ง และ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลใหม่ หลายครั้ง เพื่อ หลบหนีการจับกุม”ไกด์” อย่างนี้ “สมาคมมัคคุเทกศ์” ต้องมีการถอนใบอนุญาต เพราะ สร้างความ “เสื่อมเสีย” ให้กับ จังหวัดสงขลา…..โดยภาพรวมของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่” เทศกาลสงกรานต์” และ” เทศกาลฮารีรายอ” หรือ”รายกปอซอ” ตรงกัน จึงทำให้มี”สองแรงบวก” ที่ทำให้งานเทศกาลสงกรานต์ เต็มไปด้วย”สีสัน” และ”คึกคัก” ในทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด และไม่มีเหตุ”ความรุนแรง”เกิดขึ้น ทุกคนได้รับ”ความสุข” ถ้วนหน้า” ส่วน”สงขลา” มีเรื่อง”อุบัติเหตุ” ที่ยังถือว่า”ไม่ลดลง” ในห้วงของ “เจ็ดวันอันตราย” ซึ่ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องนำไป”พิจารณา” เพื่อวาง”มาตรการ” ในการ”ลดอุบัติเหตุ” ให้ได้

มีการ ร้องกันมาว่า ใน”ทะเลสาบสงขลา” วันนี้เต็มไปด้วย”ไซหนอน” เครื่องมือการทำประมงแบบ”ทำลายล้าง” มี “สัตว์น้ำตัวเล็กตัวน้อย” ติดไซ จำนวนมาก ที่ถูกนำมา”ขาย” ในท้องตลาด เรื่อง”ไซนั่ง” เรื่อง”โพงพาง” เครื่องมือประมง”ผิดกฎหมาย” ในทะเลสาบสงขลาที่”เต็มพรืด” ก็ยัง”คาราคาซัง” นี้มีเรื่อง”ไซหนอน” เข้ามาสร้างปัญหาขึ้นอีก ก็ฝากให้”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา สั่งการให้”ประมงจังหวัด” ติดตาม ตรวจสอบ และ แก้ปัญหาด้วย มีผู้ร้องกันมา ที่นี้ในฐานะของ”สุนัขเฝ้าบ้าน” ก็ต้องทำหน้าที่ แจ้งให้ทราบ…..หลัง”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล  รอง ผบ.ตร.  ต้อง”ชะตากรรม” ในการทำผิดกฎหมายเรื่อง”ส่วย”และ”ฟอกเงิน” กลายเป็น”ผู้ต้องหา” และรอการ”ฟัน”ด้าน”วินัย” ว่าจะถึงคราต้อง”สำรองราชการ” หรือไม่ เรื่อง คดี”เกาะหลีเปะ” ที่ อ.เมือง จ.สตูล ก็คงจะ”ขยับขับเคลื่อน”แบบเป็น”หอยทาก” อีกครั้ง เพราะ”เฟืองใหญ่” ในการ”ขับเคลื่อน” คดีนี้คือ”บิ๊กโจ๊ก” งานนี้ข่าวว่า”นายทุนเริงร่า” และ เชื่อว่า เรื่องการ”บุกรุก” ที่ดินของ”อุทยานแห่งชาติ เกาะหลีเปะ” ในส่วนที่ยังไม่มีการ ดำเนินคดี คงเกิดขึ้นต่อไป เพราะเรื่องนี้เป็น”มหากาพย์” ที่เกิดขึ้นนานแล้ว และ “เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น” ก็ต่าง”เอาหูไปนาเอาตาไปไร่” แต่”กระเป๋าตุง” ……จับตา”เกษตรกร” ในพื้นที่ภาคใต้ เห็นถึงปัญหาความ”เสดสา” ที่เกิดขึ้น กับผู้เป็น”เกษตรกร” เช่น ปัญหา”ฝนทิ้งช่วง” ภัยแล้ง แผ่ขยายไปทั่วทุกจังหวัด”สวนทุเรียนขาดน้ำ” ยืนต้นตาย” ต้นปาล์ม”ขาดคอ” เพราะ”ขาดน้ำ” ทุเรียนที่กำลัง”ติดลูก” ลูกร่วง และ”มังคุด” ที่เริ่มมี”ผลผลิต” ราคาตก ส่วน”ยางพารา” ที่ มีการ”ดีอกดีใจ” กันใหญ่ ที่ราคา”พุ่งพรวดๆ” ไปเกือบ 100 บาท ต่อ กิโลกรัม วันนี้ ราคา ลดลงเรื่อยๆ เหลือ กิโลกรัมละ 70 กว่าบาท และถ้าเดือน”พฤษภาคม” ยางพาราเปิดกรีดทุกพื้นที่ “ผลผลิต” ออกสู่”ตลาด” มากขึ้น ราคายังจะ”คงอยู่” ที่ กิโลกรัมละ 70 กว่าบาทอีกหรือไม่ ตรงนี้ “รัฐบาล” และ”กระทรวงที่เกี่ยวข้อง มี”แผน” ในการ”รับมือ” ความเดือดร้อนของ”เกษตรกร” หรือยัง อย่ารอให้มีการ”ปรับ ครม.” หรือรอให้”ไฟลนก้น” แล้วค่อย”รุกลี้รุกรน”เพื่อแก้ปัญหา “รัฐบาลที่ดี” เขาต้องมีการ”วิเคราะห์” มีการ”ประเมิน” และมีแผนในการ”รับมือ” ประเทศเขาจึง เจริญก้าวหน้า

ฟัง “สรรเพชญ บุญญามณี” สส. เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปราย ถึงเรื่อง”ผลประโยชน์ทับซ้อน” ของโครงการ” แจกเงิน 10,000 บาท หรือ “ดิจิตัลวอลเล็ต” เห็นชัดถึง “ผลประโยชน์” ที่”ทับซ้อน” กัน และ ยิ่งการเปิดโอกาสให้”ร้านสะดวกซื้อ” ใน ตัวอำเภอ เข้าร่วมรายการได้ ก็ยิ่ง”ชัดเจน” ว่า เงิน 10,000 บาท เกือบทั้งหมดจะตกที่”ร้านสะดวกซื้อ” ที่มีสินค้าทุกอย่าง และมีการ ดำเนินการ ตามโครงการ”เงินดิจิตัลวอลเล็ต” ส่วนร้าน”ส่วนร้านชำ” ร้านค้าย่อยในหมู่บ้าน ตำบล “ชิดซ้ายตกขอบ”ไปเลย เงิน 500,000  ล้านบาท ที่ใช้ในโครงการนี้ มากกว่า”ครึ่งหนึ่ง” ก็จะถูก”ผ่องถ่าย” เข้ากระเป๋าของ”เจ้าสัวใหญ่” ผู้กุม”ชะตากรรม”ทาง”เศรษฐกิจ”ของประเทศ อีกครั้ง

เทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านไป เห็น”ชวน หลีกภัย” อดีตประธานสภาผู้แทนฯ ลงพื้นที่ใน”เมืองตรัง” พบปะ “ประชาชน” ร่วมกิจกรรม”ปีใหม่ไทย” แบบเรียบๆง่ายๆตามแบบฉบับของ”นายหัวชวน” ท่ามกลาง”กระแส” เลือกตั้งสมัยหน้าจะไม่มีชื่อ”ชวน หลีกภัย” ลงสมัครใน”บัญชีรายชื่อ” ของพรรค เพราะผู้บริหาร”รุ่นใหม่” เห็นว่าหมดยุคของ”ผู้เฒ่าชวน” แล้ว หรือนี่คือ”เรื่องจริง” ของการเมืองไทย และเป็น”เรื่องจริง” ของ”ประชาธิปัตย์” ในยุคของ”การเมืองบ้านใหญ่”……”เดินก่อน เดินเร็ว และ เดินนำ” คือ การลงพื้นที่”หาเสียง” ของ”ปลัดแป้น” ณรงค์พร ณ พัทลุง  อดีต ปลัดจังหวัดสงขลา ที่กระโดดลง “สนามเลือกตั้ง”เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นครั้งที่ 2 ซึ่ง เที่ยวนี้มีความพร้อม และ “เปิดตัว” ก่อนทีมอื่นๆ ข่าวว่ามีเสียง”ตอบรับ” อย่าง”อบอุ่น” จาก ประชาชน ในพื้นที่ ทำให้”มีไฟ” และ”กำลังใจ” ในการ ลงสนามเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ อย่างไรเสีย ก็อย่าง”เพลินกับการเมือง” จน”ลืมเป็ดไล่ทุ่ง” ฝูงใหญ่ ที่เลี้ยงเอาไว้นะ” ปจ.”

นี่ก็ ประกาศชัดเหมือนกันว่าจะ”ทวงคืน” เก้าอี้”นายยกเทศบาลเมืองปัตตานี” คือ” พิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์” อดีต “นายก 4 สมัย” ของ เทศบาลเมืองปัตตานี ที่ ครั้งล่าสุด “ปราชัย” คู่แข่ง เพราะถูก”สาดโคลน” ในเรื่อง”ศาสนา” เที่ยวนี้ เตรียมตัวมาดี และ คนในพื้นที่ มีการ”เทียบชั้น” กับ”คู่แข่ง” แล้ว ลงความเห็นว่า” พิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์” มี”กึ๋น” ของความเป็น”ผู้บริหาร” และ”นักเมือง” มากกว่า และสร้างประโยชน์ให้”เทศบาลปัตตานี” มากกว่า ก็อย่าเดินเร็วนัก “แดดร้อน” เป็นห่วง”สุขภาพ”นะ

เตือนมาจาก เจ้าหน้าที่ประมง ถึง กลุ่มผู้”เลี้ยงปลากะพง” ใน จ.สงขลา ให้ดูแล ปลาในกะชัง ให้ดีๆ เพราะ อากาศที่ร้อนกว่าทุกๆปี อาจะมี”ผลกระทบ” ที่ทำให้ปลาตายได้ ลำพังการที่ผู้เลี้ยงปลากะพง ต้อง”แข่งราคา” กับปลากะพงที่มีการ”นำเข้า” จาก”ประเทศมาเลเซีย ก็”สาหัสสากรรจ์” อยู่แล้ว ถ้า”ปลาตาย” เพราะ”อากาศร้อน” เข้าอีก น่าจะถึงความ”หมดตัว” กันอีกครั้ง  ก็เตือนมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใน…..แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ยาบ้า5เม็ด ‘ผู้เสพเป็นผู้ป่วย’ ปัญหาใหญ่สังคมไทย!

12 เม.ย. 2024
133

หลังผ่านพ้นการ”อภิปรายไม่ไว้วางใจ” แบบไม่มีการ”ลงมติ”ซึ่งเป็นการ”อภิปราย”ของ”ฝ่ายค้าน” ที่แบบจะ”ทำได้ดี” แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความ”บอบซ้ำ” ให้กับ”รัฐบาลพรรคร่วม” ที่มี”เพื่อไทย”เป็น “แกนนำ” โดยมี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี จนถึงกับต้องมีการ”เปลี่ยนแปลง” ด้วยการ”ปรับ ครม.”เปลี่ยนตำแหน่ง “เสนาบดี” ที่”ไร้ฝีมือ” และที่”โลกลืม” และ”โลกงง” หรือเป็นการ”ปรับ ครม.”โดยมีการเอา”ประชาธิปัตย์” เข้าไป”เสียบ” เพื่อเสริมความ”แกร่ง” ให้กับ”รัฐบาล” แต่ เชื่อเถอะ ยังไม่มีการ”ปรับ ครม.” ในห้วงของ เดือน เมษายน นี้อย่างแน่นอน รวมทั้งในปี 2567 นี้ ประเทศไทยก็ยังไม่มีการ”เปลี่ยนตัว” นายกรัฐมนตรี จาก”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น” อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร อย่าง แน่นอน “เก้าอี้” นายกรัฐมนตรีของ”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ยังมั่นคง และยังใช้ นโยบาย เดิม คือ เร่งมือในการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” แบบ”เดินหน้า” ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ…..เช่น เดินทางลง”ภาคใต้” อย่าง”เร่งด่วน” ทั้งที่ไม่มีอะไรที่”ต้องด่วน” ซึ่ง ภารกิจ ที่ จ.นครศรีธรรมราช ,จ.สุราษฎร์ธานี  ( เกาะสมุย ) ก็คือเรื่อง”ยาหอม” เรื่อง เศรษฐกิจการค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยว เช่นการ “ขยายสนามบิน” การ”เพิ่มเที่ยวบิน” สร้างท่าเรือ เพื่อ ต้อนรับ”นักท่องเที่ยว” ที่ เชื่อว่า จะ”เพิ่มมากขึ้น” แต่ สิ่งหนึ่งที่”เสี่ยนิด” และ”สื่อ” ไม่ได้ “พูดถึง” และ”ถามถึง” ทั้งที่เป็นความสำคัญของการ”ท่องเที่ยว” และการ”ลงทุน” นั้นคือการที่”สายการบิน” ขายตั๋วแพง เป็นการ”เอาเปรียบ” กับ”ผู้บริโภค” ที่มี ประชาชน และ ภาคเอกชน เช่น “หอการค้า” ออกมา”เรียกร้อง” ให้”รัฐบาล” แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า  รัฐบาล”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” เป็นรัฐบาลให้ความสนใจกับเรื่อง”เศรษฐกิจ” โดยการ”อุ้มกลุ่มทุน” ทั้งในกลุ่มของ”แอร์ไลน์” และ”พลังงาน” เสียงของ”ประชาชน” ที่ “เดือดร้อน” ในเรื่องดังกล่าว ไม่เคยดัง”เข้าหู” ของ”รัฐบาล” แต่อย่างใด และ ทุกโครงการที่”เสี่ยนิด” ลงพื้นที่พบประชาชนมีแต่เรื่อง”ยาหอม” ที่เป็นเรื่อง”อนาคต” ที่ อาจจะ”ได้ทำ” หรือ”ไม่ได้ทำ” เพราะใน สถานการณ์ ที่ “เศรษฐกิจ” เป็นไปอย่าง”ยอบแยบ” มีการขยาย”เพดานเงินกู้” เพื่อการ”บริหารประเทศ” โครงการต่างๆ”ไม่ง่าย “เป็นเรื่องการ”หาเสียง” เพื่อ”การเมือง”เพื่อ”พรรคการเมือง” มากกว่าเป็น”ของจริง” เพราะ 7 เดือนของ”เพื่อไทย” และของ”เสี่ยนิด “เซลล์แมน ระดับมหาเศรษฐี ยังไม่เห็นผลแม้แต่โครงการเดียว

เพียงแต่”รัฐบาลเพื่อไทย” เป็นรัฐบาลที่”มีโชค” เข้ามาเป็น”รัฐบาล”แล้ว ราคายางพารา ที่เคย”ตกต่ำ” มีราคาที่”แพงขึ้น” ทั้งที่ไม่ได้มี นโยบาย การค้า อะไรกับ ต่างประเทศ เพียงแต่การ”ปราบยางเถื่อน” จากประเทศเพื่อนบ้าน อย่าให้”ทะลักทลาย” เข้ามาใน”ตลาดยาง” ของประเทศไทยเท่านั้น   ส่วนเรื่อง”ปาล์มน้ำมัน” เรื่อง”มันสำปะหลัง,อ้อย .ข้าว” ซึ่งเป็น”พืชเศรฐกิจ” ก่อนที่” รัฐบาลนิดหนึ่ง” จะเข้ามา บริหารประเทศ ราคาของผลผลิตทางการ”เกษตร” ก็ดีอยู่แล้ว ดังนั้น รัฐบาล”เสี่ยนิด” จึง “โชคดี” ที่ประชาชนในภาค”การเกษตร” ซึ่งเป็นคน”ส่วนใหญ่” ของ”แผ่นดิน” ไม่”เดือดร้อน” จนต้องออกมา”เคลื่อนไหว” จนเป็นปัญหาทาง”การเมือง” วันนี้ สิ่งที่”ประชาชน” ถามกันจึงเป็นเพียงเรื่อง”นโยบาย” ที่”เพื่อไทย” ได้”หาเสียง” เอาไว้ ในเรื่อง” แจกเงินคนละ 10,000 บาท ที่ต้องกู้เงินมาเพื่อใช้ในโครงการ”เงินดิจิตัลวอลเล็ต” ถึง 500,000 ล้านบาท  เรื่องการขึ้น”ค่าแรง” 450 บาท และอีก 4 ปีจะเป็น 600 บาท เรื่อง เงินเดือนผู้จบ”ปริญญาตรี “ 25,000 บาท และการแก้ปัญหาเรื่อง”พลังงาน” ที่ผ่านไปแล้ว 7 เดือน ยังมองไม่เห็น”แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” แต่อย่างใด…..โดยเฉพาะเรื่องปัญหาของความ”มั่นคง” ในพื้นที่”แนวชายแดน” ที่ ณ วันนี้ไม่ใช่มีเรื่องเรื่อง”การแบ่งแยกดินแดนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องที่”ชายแดนไทย-เมียนมา” ซึ่ง เป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับปัญหา”เศรษฐกิจ” การที่ฝ่ายต่อต้าน” พล.อ.มินอ่องหลาย ผู้นำประเทศเมียนมา ยึด”เมืองเมียวดี” ด้าน อ.แม่สอด” จ.ตาก ได้ และในอนาคตอาจจะยึด”เมืองท่าขี้เหล็ก” ชายแดน จ.เชียงรายได้ ต้องส่งผลกระทบถึง”เศรษฐกิจ” ของ”เมืองชายแดน” อย่างไม่ต้อง”ปฏิเสธ” ปัญหาความมั่นคง เป็น”เรื่องใหญ่” แต่กลายเป็นเรื่องที่”เศรษฐา ทวีสิน” ให้ความสนในน้อยมาก

เช่นเดียวกับเรื่อง”ความมั่นคง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่หลังจาก” เพื่อไทย”เข้ามาเป็น”แกนนำรัฐบาล” และ”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น “นายกรัฐมนตรี” มี “สุทิน คลังแสง” เป็น”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม สถานการณ์ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้”  มีแต่”ย่ำแย่” ในห้วง 30 วันของ”เดือนรอมฎอน” ปีนี้ มีการ”ก่อการร้ายรายวัน” ที่ส่งผลให้” เจ้าหน้าที่ทหาร “ บาดเจ็บ ล้มตาย” เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้ยินเสียงจาก”เศรษฐา ทวีสิน” ออกมาพูดถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิด และไม่เห็นแม้แต่”เงาร่าง” ของ”สุทิน คลังแสง”  เสนาบดี กระทรวงกลาโหม ลง”พื้นที่” เพื่อติดตาม “สถานการณ์” ทุก ปัญหา กลายเป็นเรื่องของ” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ทำการ”แบกรับ” ไว้แต่ผู้เดียว …..และก็เห็นอยู่ชัดๆว่า นโยบายของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ใช้ในการ”รับมือ” กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” นั้น “เก๋ากึ๊ก”และ”ล้าหลัง” เพราะทุก นโยบายเป็นการ”เดินตามตูด” ของ” กองกำลังติดอาวุธ”บีอาร์เอ็น ในพื้นที่ โดยมี”ปีกทางการเมือง”เดินงานด้าน”มวลชน” อย่างได้ผล และเป็นการ”ส่งต่อ” ให้กับ”นักการเมือง” ใช้เป็น”อาวุธ” ใน “สภาผู้แทนราษฎร “ เพื่อการ”ขับเคลื่อน”งานการเมือง” ที่เป็นการ”เข้าทาง” ของ”บีอาร์เอ็น” มากกว่าของ”ประเทศไทย” และ ถ้า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังคงมีนโยบายในการ”ดับไฟใต้” แบบ”เรื่อยๆมาเรียงๆ” แบบที่เห็น ก็ไม่มีอะไรใหม่ในการ”ดับไฟใต้” นอกจากการ”เก็บศพ.ของ”เจ้าหน้าที่” แล้ว”สดุดี” คนที่ไม่มี”ลมหายใจ” พร้อมกับการ”เยียวยา” ครอบครัวผู้”สูญเสีย” ซึ่ง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ได้”ทำแล้ว ทำอยู่ และ ทำต่อ” พร้อมๆกับ”เงินงบประมาณ” ในการ”ดับไฟใต้” ที่ เพิ่มขึ้นทุกปี รัฐบาล มองปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่างไร   เรื่องนี้คนในพื้นที่”ปลายด้ามขวาน” ฝากถามมา…..ส่วน”นายกนิด” ถ้ามีการ”คิดทบทวน” ก็คงจะเห็นแล้วว่า การ เดินทางลงมายัง”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” และ”ค้างคืน”ที่”ปัตตานี” และที่”ยะลา” โดยเฉพาะที่ อ.เบตง” เพื่อ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” และ การท่องเที่ยว” โดยการ”ก้าวข้าม” ปัญหาความ”ขัดแย้ง” ที่เป็น”ต้นเหตุ” ของความ”รุนแรง” เป็นความ”ผิดพลาด” และเป็นความ”ล้มเหลว” ของการใช้”งบประมาณ” ในการ”ลงพื้นที่” ในครั้งนั้น เพราะความ”รุนแรง” ที่ยังเกิดขึ้นแบบ”ต่อเนื่อง” ได้ ทำลาย “เศรษฐกิจ” และ”การท่องเที่ยว” ไปแล้ว

ถ้า “เบตง” เป็นเพียง อำเภอเดียวของ ที่”เศรษฐกิจดี” และการ”ท่องเที่ยว”ได้ผลเป็นเลิศ แต่อีก 32 อำเภอ ของ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยัง”ยากจน” และมีแต่เสียง”ปืนและระเบิด” และการ”เก็บศพรายวัน” นั้นคือความ”ล้มเหลว” และ “นายกรัฐมนตรี” ต้อง บอกให้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ปรับเปลี่ยน” นโยบายในการ”รับมือ” กับ”การ”ดับไฟใต้” ไม่ใช่ ดันทุรัง”ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ทั้งที่ว่า ไร้ประโยชน์…….ล่าสุด “กำลังพลทหารพราน” ถูก”ซุ่มยิง” ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และการ”วางระเบิดแสวงเครื่อง” เพื่อ”สังหาร” ทหารพราน ที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เป็นการ”ชี้ชัด” ว่าต้องมีการ”ปรับขบวนการ” ทั้งงาน”การข่าว” และ”ยุทธวิธี” ของ”กองกำลังในพื้นที่ เพื่อการ”ลดความสูญเสีย” การ”ท่องถาคา” คำว่า”สันติวิธี” และการ”แจกของ” รวมทั้งการ”หิวกระเช้า” ไปพบ”ผู้นำศาสนา” ในพื้นที่ และการ”ปล่อยลูกโป่งสีขาว” ของ”แม่ทัพ นายกอง” ไม่ใช่”ทางออก”ของการ”ดับไฟใต้” อย่างแน่นอน ……และเรื่อง”ความรุนแรง” ก็ไม่ได้จบเพียงการ”ออกบวช” หรือ”รายอปอซอ” แต่ หลัง”รายอปอซอ” ยังมีการจัดงาน”วันเยาวชนชาย-หญิง ” หรือวัน”มาลายูเดย์” โดยมีการกำหนดวันที่ 13 เม.ย. เป็น”วันเยาวชนชาย” และวันที่ 14 เม.ย. เป็น”วันเยาวชนหญิง” ที่ หาดวาสุกรี ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และ สิ่งที่ต้อง”ติดตาม”คือ”บีอาร์เอ็น” จะใช้” เล่ห์กระเท่” แบบไหน อย่างไร ในการ เข้า”แทรกแซง” การจัดงาน”วันเยาวชนชาย-หญิง” เพื่อให้ฝ่าย”ความมั่นคง” เดินเข้าไป”ติดกับ” ด้วยการ”แจ้งความเอาผิด” กับ”แกนนำ” ในการจัดการชุมนุม” เหมือกับ ทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมี”แกนนำ” ของ”บีอาร์เอ็น” เป็นผู้วางแผน

ที่สำคัญ”ความรุนแรง” ยังจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในห้วงของ”เทศกาลฮารีรายอ” หรือ”รายกปอซอ” หรือ” อิดิ้ลฟิตรี้” แล้วแต่ใครจะเรียก และ “เทศกาลสงกรานต์” และ หลังจากนั้น ยังมีเรื่อง”การพูดคุยสันติสุข” ระหว่าง”ฝ่ายเทคนิค” ทั้งของ”รัฐบาลไทย” และ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่จะมีขึ้นในปลายเดือน เมษายน นี้ ซึ่ง ฝ่าย”ความมั่นคง” ที่เป็น”ฝ่ายเทคนิค” มองว่า ต้องมีการ”พูดคุย”ตามกรอบของ”JCPP”  หรือแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติภาพแบบองค์รวม” ที่ฝ่าย”บีอาร์เอ็น” ตีความว่านี้คือ”สนธิสัญญา” ที่ต้องมีการ”ลงนาม” และต้อง”ปฏิบัติตาม” แต่ฝ่ายเทคนิคของไทยมองว่า”JCPP “ เป็นเพียง”ไกด์ไลน์” ที่ใช้ในการ”พูดคุย” เท่านั้น ที่ ปฏิบัติได้ทั้งสองฝ่าย ก็ว่าไป  ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่เห็นด้วย  ก็ว่าไป ที่ สำคัญ “ฝ่ายไทย” ยังไม่มีการ”ลงนาม” ในแผน  JCPP “ ก็ เท่ากับยังไม่มี”เงื่อนไข” ในการ”ผูกมัด” ให้ต้องทำตามแผน แต่อย่างใด และนี้คือ”สภาพของการพูดคุย” ที่เป็นลักษณะ “นอนเตียงเดียวกันแต่ฝันลนละเรื่อง” ของ” ไทย” และ” บีอาร์เอ็น” เชื่อเถอะอีก 10 ปี ก็ไม่มีผลใดๆ และปัญหาความ”รุนแรง” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็ไม่ได้มีผลผูกพันกับกรอบและเวลาของ”การพูดคุยสันติสุข” แต่อย่างใด เรื่องการแก้ปัญหา”ความรุนแรงในพื้นที่” เป็นเรื่องที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องมีทั้ง”ยุทธศาสตร์” และ”ยุทธวิธี” แบบใหม่ ไม่ใช่”ย่ำเท้าอยู่กับที่” อย่างที่เป็น…….และที่ “ตอกย้ำ” ชัดเจนถึงความ”ล้มเหลว” ของการ”ดับไฟใต้” ล่าสุดคือ การประกาศ”ต่ออายุการใช้ พรบ.ฉุกเฉิน” โดย “รัฐบาล” ต่ออายุ พรก.ฉฉ.ไปอีก 3 เดือน เป็นการต่อ พรก .ฉุกเฉิน” ครั้งที่ 75 นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา โดยไม่มีการลดพื้นที่ของ”พรก.ฉุกเฉิน” เพราะไม่มีพื้นที่ไหน”ปลอดภัย” ยกเว้น”บีอารเอ็น” ไม่ก่อเหตุ เพราะเอาไว้เป็น”พื้นที่หลบซ่อน นอนพัก”

เรื่อง”หมอกควัน” หรือ”มลพิษ”จาก”พีเอ็ม 2.5 ที่ภาคใต้ยังไม่”รุนแรง” แต่เรื่อง”ภัยแล้ง” กลายเป็น”ภัยคุกคาม” ผู้เป็น”เกษตรกร”ทั่วทั้งภาคใต้  เห็นภาพของ”สวนทุเรียน” ที่  จ.สงขลา ที่ จ.ตรัง  และแม้แต่ ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ ใน”หุบเขา” ที่มีความ”ชุ่มชื้น” แต่”ต้นทุเรียน” ยืนตายยกสวน เพราะ”ขาดน้ำ” เห็น”น้ำตารินอาบสองแก้ม” ของ”เกษตรกรเจ้าของสวน” ก็ได้แต่ “สะทกสะท้อน” ใน”หัวอก” เพราะนั้นหมายถึงการ”หมดตัว” และความ”เสดสา” ที่ เขาได้รับ และ เชื่อว่า”ภัยแล้ง” ครั้งนี้ต้อง”ส่งผล” ถึง”เกษตรกร”ทุก”ภูมิภาค” ของ”ประเทศไทย” ก็ต้องถามว่า “รัฐบาลเสดสา”เอ้ย”เศรษฐา” มีการ วางแผน ในการ”รับมือ” กับ”ภัยแล้ง” อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการ”ช่วยเหลือ” บรรดา”เกษตรกร” ที่ได้รับผลกระทบ เพราะ เชื่อว่า ผลกระทบกับ”ภัยแล้ง”เป็น”วงกว้าง” และ กระทบกับ”ผลผลิต” ของภาคการเกษตรในปีนี้ อย่าง แน่นอน และ นั่นหมายถึง ต้องกระทบถึง”รัฐบาล” ทั้งในเรื่อง”เศรษฐกิจ” และ” สังคม”……และที่ต้องการเห็นคือ” เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่าง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ได้เข้าไป ช่วยเหลือ ดูแล” เกษตรกร” ทั้งใน”ระยะสั้น” และ”ระยะยาว” อย่างไร กับ ผลกระทบจาก”ปัญหาภัยแล้ง” เพราะ ลำพัง โครงการ”ค่าปุ๋ยคนละครึ่ง” เพื่อช่วยลด”ต้นทุน” ในการทำการ”เกษตร” ของ”เกษตรกร” น่าจะไม่เพียงพอ เพราะต่อให้”มีปุ๋ย” มี”ยา” มี”น้ำมัน” แต่ถ้าไม่มี”น้ำ”เพียงอย่างเดียว ก็เหมือน”มอเตอร์ไชด์” ที่ไม่มี”หัวเทียน” นั้นคือ”จอดสนิท” นั่นเอง   ส่วนเรื่องที่ “เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งแก้ไข ยกเลิก”กฎข้อบังคับ”ในการ”ทำประมง” การขยายพื้นที่ของ”ประมงชายฝั่ง” เป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยให้”อาชีพประมง” ที่เป็น”อาชีพแต่บรรพบุรุษ” ของประเทศไทยจะไม่”สูญหายตายจาก” เพื่อธำรงไว้ถึงคำโบราณที่ว่าประเทศไทย”ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” แต่เรื่องการช่วยเหลือ “ชาวประมง” ในเรื่องของ”น้ำมันราคาถูก” นั้น “โดยข้อเท็จจริง “รัฐบาล” ที่ผ่านมา มีการ”จัดสรร” น้ำมันราคาถูกที่เรียกว่า”น้ำมันเขียว” ให้ชาวประมงอยู่แล้ว  แต่มีการ”ทุจริต”จาก “ส่วนเกี่ยวข้อง  โดยการนำ”น้ำมันเขียว” มา”ขายบนฝั่ง” ให้กับ”ผู้ต้องการ” เพื่อทำ”กำไร” ดังนั้นเรื่อง”น้ำมันราคาถูก” เพื่อช่วยเหลือ”ชาวประมง” ต้องช่วย”ชาวประมง” จริงๆ ไม่ใช่เป็นการ”ค้าน้ำมันเถื่อน” อย่างที่เกิดขึ้น ทุกยุคทุกสมัย   เปล่า ไม่ใช่ “เจ้าหน้าที่”ตามไม่ทัน”กลโกง” ของ”นายทุน” ใน”สมาคมประมง” เพียงแต่ เป็นการ”สมรู้ร่วมคิด” เพื่อการหา”ผลประโยชน์ร่วมกัน” ระหว่าง” นายทุน” กับ”เจ้าหน้าที่”ผู้เกี่ยวข้อง เท่านั้น เรื่องนี้ต้อง”ป้องกัน”

เรื่อง”ยาบ้า 5 เม็ด” ที่”ผู้เสพ” เป็น”ผู้ป่วย” กลายเป็น”ปัญหาใหญ่” ของ”สังคม” ในการ”อภิปรายฯ”ของ”ฝ่ายค้าน” นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว “ เสนาบดี กระทรวงสาธารณสุข  ก็ได้ฟัง เสียงไม่เห็นด้วยจาก” สส.ฝ่ายค้าน ไปแล้ว  แต่ อยากให้”เสนาบดี” ลงพื้นที่”เดินสาย” มา”รับฟัง” จากปากของ”ประชาชน” ก็จะได้รู้ว่า เรื่อง”5 เม็ด” ผู้เสพ”เป็น”ผู้ป่วย” มีแต่ เสียงไม่เห็นด้วย และ”ก่นด่า” เจ้าของนโยบาย ทั้งบ้านทั้งเมือง  ล่าสุด “คณะทำงานแก้ไขปัญหายาเสพติด” ของ”กระทรวงยุติธรรม” ที่มี”พ.ต.อ.ทวี สองส่อง “เป็น”เสนาบดี” ลงพื้นที่ พบปะกับ”ตำบลอาสาแก้ปัญหายาเสพติดภาคประชาชน”ที่ จ.สตูล ผู้นำ”ท้องถิ่น-ท้องที่” ต่าง ไม่เห็นด้วยทั้งเรื่อง “5 เม็ด”ผู้เสพเป็น”ผู้ป่วย” และเรื่อง”กัญชา” เรื่อง”กระท่อม” ที่ต้องการให้นำกลับไปเป็น”ยาเสพติด” เช่นเดิม ในทาง”การเมือง” วันนี้”เพื่อไทย” ทั้ง”ติดลบ” และ”ติดหล่ม” ใน เรื่องของ”ยาเสพติด” ที่มี นโยบายไม่”โดนใจ” ประชาชน และความ”ล้มเหลว” ในการ”ป้องกัน และปราบปราม “ยาเสพติด” เอ้า  นักการเมืองคนไหน ที่ขึ้นเวที”หาเสียง” แล้ว”ตะโกน” บอกกับ”ประชาชน”ว่า”เพื่อไทยมายาเสพติดหมดไป” ยกมือขึ้น ให้ประชาชน “เห็นหน้า” ชัดๆ

ก็ได้แต่”เห็นใจ” กับความ พยายามของ”เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง ในการ”เข็นครกขึ้นเขา” กับการแก้ปัญหา”ยาเสพติด” เพราะหากประเด็น”5 เม็ด” ผู้เสพเป็น”ผู้ป่วย” ตำรวจจับ “ส่ง”ฟ้องศาล” และถูก”ปล่อยตัว” กลับบ้านเพื่อการ”บำบัด” แต่ ขาดทั้ง “เจ้าหน้าที่” และ”สถานที่ในการ”บำบัด” คนเสพที่เป็น”คนป่วย” ก็กลับไปเป็น”ผู้เสพ” และ”ผู้ขายรายย่อย” ในชุมชนในหมู่บ้าน และ ความ”ศรัทธา” ในการร่วมมือเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดก็”หดหาย” กับ”ขบวนการของกฎหมาย”.….ใช่นะ วิธีการเดิมที่ได้ผล คือการส่ง”ผู้เสพ” ผู้ค้ารายย่อย ที่”เม็ดเดียว” ก็”ติดคุก” เป็นการ”บำบัด” ที่ได้ผล คน”ติดยา” ทุกคนที่”ติดคุก” เลิกยาเสพติดได้ เพราะ”ในคุก” ไม่มี”ยาเสพติดขาย”เพื่อให้เสพ แต่ หลังจาก”พ้นคุก” และ กลับเข้า”ชุมชน” เมื่อ”ว่างงาน” ไม่มีงานทำ ไม่มี”เงินใช้” คนเหล่านั้น ก็กลับสู่”วงจรเดิมๆ” คือ” ขายยา” และ”เสพยา” ขบวนการ”ต้นน้ำ” คือจับ” กลางน้ำ”คือ”ติดคุก” และหายจากการ”ติดยา” เมื่อมาถึง”ปลายน้ำ” คือ”ว่างงาน” ไม่มี”เงินใช้” ก็กลับเข้าสู่”วงจรเดิม” เป็นการ”ตกม้าตายที่ปลายน้ำ” ถามว่า จะแก้อย่างไร…..ตัวเลขจาก “กระทรวงยุติธรรม” นักโทษใน เรือนจำ ทั้งหมด 300,000 คน มีคนที่จบการศึกษาสูงกว่า”ปริญญาตรี” ต้องโทษ ไม่ถึง 1 %  ส่วนคนจบ”ปริญญาตรี” ผู้ต้องโทษประมาณ 6,000 คน และคนที่เรียนหนังสือไม่จบ”ภาคบังคับ” มีการต้องโทษ ในเรือนจำถึง 75 % นี้แสดงให้เห็นว่าเรื่อง”การศึกษา” มีส่วนในการทำให้มีการ”ทำผิด” เพราะไม่มี”ปัญญา” เพราะขาดการศึกษา ใช่หรือไม่ และถ้าใช่ “เสนาบดี” กระทรวงศึกษาธิการ” พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ” จะมีความ”คิดอ่าน” เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างไร

วันก่อน “ตำรวจไซเบอร์” นำกำลังเข้า “จับกุม” บ่อนไพ่”และ”ไฮโล” ในพื้นที่ ต.สมหวัง อ.กงหรา จ.พัทลุง ประเด็นที่น่า”สังเวช” คือ วันนี้เรื่องการ”จับบ่อน” ทำไม่ต้อง”ถึงมือ” ของ”ตำรวจไซเบอร์” ประเด็นที่สอง”คุณยาย” เจ้าของ”บ่อนไพ่ผ่อง” บอกกับ”นักข่าว” ว่า จ่ายแล้ว ชั่วโมงละ 500 บาท ทำไมจึงมา จับอีก และนี้ก็”ฝีมือ” ตำรวจ”ไซเบอร์” ที่เข้าจับกุมผู้ปล่อย”เงินกู้ดอกโหด” ที่ ต.เขาปู่ อ.ศรีบรรพต จ.พัทลุง ก็ถามว่า ถ้าเรื่อง”จิ๊บๆ” อย่างนี้ ตำรวจ ท้องที่ ทำไม่ได้ ต้องให้เป็น”หน้าที่”ของ”ตำรวจ”ไซเบอร์” แล้วจะมี”สภ. “ ต่างๆ ไว้ทำอะไร “บ่อน “ ก็จับไม่เป็น” กับ”แป้ง นาโหนด” ผู้หลบหนีเรือนจำชื่อดัง ก็ไม่กล้าจับ เอ้า พล.ต.ต. ณกรณ์ กาญจนาภรณ์ ผบก. ภ.จว.พัทลุง รับไป “พิจารณา”ด้วย ว่า ตำรวจ ท้องที่ ถ้ามีแล้ว ไม่จับผู้ที่”ทำผิดกฎหมาย” จะให้ไปทำหน้าที่อะไร

เรื่องของ”ด่านศุลกากรสะเดา” แห่งใหม่ ที่ลงทุนก่อสร้างไปหลายร้อยล้านบาท แต่กลายเป็น” สิ่งปลูกสร้างตาบอด” เพราะไม่มี ถนนที่ใช้ในการ “เชื่อมต่อ” จาก”ที่ทำการ ไปยัง ถนนสายหลักของ อ.สะเดา จ.สงขลา และไม่มีถนนในการ”เชื่อมต่อ” กับ “ด่านศุลกากร” ของประเทศ”มาเลเซีย” ล่าสุด “สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา เรียกประชุม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการ”ตัดถนน” การ”เวนคืน” ที่ดินของ”ชาวบ้าน” เพื่อให้มี”ถนนเชื่อมกับ”สายหลักกาญจนวนิช” ซึ่งคงต้องใช้เวลานายนับปี กว่าจะ”สำเร็จ” แต่ ถ้าไม่สามารถ” เจรจา” กับ”ประเทศมาเลเซีย” ให้เขา”ตัดถนน” เพื่อมา”เชื่อมต่อ” บริเวณชายแดนไทยได้ ก็ยังไม่สามารถใช้”ประโยชน์” อยู่ดี เรื่องนี้ จำได้ว่า หลังรับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน  บินด่วนมา พบปะ และ เจรจา กับ นายรัฐมนตรี มาเลเซีย นี่ก็ผ่านไปแล้ว 7 เดือน แต่ยังมีมีคำตอบจาก” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย” ว่า เขาพร้อมที่จะ”ตัดถนน” เพื่อให้เรา”เชื่อมต่อ”ได้หรือไม่ ถ้าเขา”ไม่พร้อม” หรือ”ไม่ทำ” เพราะไม่ใช่ความ”เดือดร้อน” และ”ความต้องการ”ของเขา  สุดท้าย”ด่านศุลกากรสะเดา” ที่”ลงทุนสร้าง” ก็อาจจะกลายเป็นที่”ทำรังของนกอีแอ่น” เพื่อที่จะให้”กรมศุลกากร” เจ้าของโครงการที่”สร้างโดยไม่คิดให้รอบคอบ” ได้เก็บ”ค่าภาคหลวง” เข้ารัฐเท่านั้นเอง

เทศกาลสงกรานต์ ของ ปี 2567 เหมือน”พระมาโปรด” สำหรับ เมืองท่องเที่ยว ในภาคใต้  ที่มีการ”จองที่พัก” เต็มทุกเมือง โดยเฉพาะ”เทศบาลสำนักขาม” ชายแดนไทย-มาเลเซีย อ.สะเดา จ.สงขลา ที่ พ.ต.อ.สุรจิต เพชรจอม ผกก. สภ.สะเดา ต้องสั่งให้”ตำรวจ” เข้มงวด อย่าให้มีการทำผิดกฎหมาย ในสถานบันเทิง ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก   ส่วนที่ หาดใหญ่ พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์ “ ผกก. สภ. หาดใหญ่ จ.สงขลา ต้อง เหนื่อยหน่อย เพราะนอกจาก สถานบันเทิงมากมาย ที่ต้อง”เข้มงวด” แล้ว ยังมีงาน”อีเว้นท์” ของ”เทศกาลสงกรานต์” กลางใจเมือง เพื่อสร้าง”สีสันบันเทิง” ใน เทศกาลสงกรานต์ อีกต่างหาก แต่ก็”คุ้มค่า” ถ้าเห็นถึงประโยชน์”ส่วนรวม” ที่จะมี”เม็ดเงิน”เป็น”พันล้าน” สะพัดในเทศกาลสงกรานต์ใน จ.สงขลา

เรื่องของ”เมืองต้นแบบแห่งอนาคต” หรือ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” จะมีการ”เดินหน้า” ได้หรือไม่ เพราะหากจะเอา”ความคิดเห็น” จากการทำเวทีรับฟังความคิดเห็นที่”สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ( สศช ) ว่าจ้างให้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ “ ( มอ.) เป็นผู้ จัดทำ ก็เป็นการ”ปฏิเสธ” ว่าไม่เอา”นิคมอุตสาหกรรมใหม่” แต่ให้ไปทำเรื่อง”อุตสาหกรรม” ที่พื้นที่ซึ่งรัฐจัดให้แล้ว เช่น “นิคมอุตสาหกรรมฉลุง” อ.หาดใหญ่ หรือ”เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา และการสร้าง ท่าเรือน้ำลึก ก็ให้ พัฒนาท่าเรือที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นความ”คิดเห็น” ที่ไม่”สอดคล้อง”กับ”ข้อเท็จจริง” ของการ พัฒนา ซึ่งในวันอังคาร ที่ผ่านมา”ตัวแทนของชาวจะนะ” จ.สงขลา ที่ต้องการเห็น”การพัฒนา” ในพื้นที่ ได้เดินทางไป”ยืนหนังสือ” กับ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ พิจารณา เพื่อ”ขับเคลื่อน” เมืองต้นแบบแห่งอนาคต หรือ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” อีกครั้ง ก็ต้องติดตามดูว่า ” เศรษฐา ทวีสิน” มีความเห็นในเรื่อง “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ที่เป็น”เอกชน” เป็นนผู้ลงทุนทั้งหมด อย่างไร เพราะ “เสี่ยนิด ” ลงพื้นที่”ภาคใต้”หลายครั้ง แต่ไม่เคย”หยิบยก” เรื่อง”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” มา พูดถึง ทั้งที่เป็น โครงการ ในการ”พัฒนา สงขลา-ปัตตานี”  เพื่อ”พัฒนาเศรษฐกิจ” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สามารถ ทำได้เร็ว และทำได้ง่าย กว่า”แลนด์บริดจ์” เป็นไหนๆ มี”อะไรในกอไผ่” สำหรับโครงการนี้ หรือเปล่าเพราะมีผู้ตั้งข้อสงสัย ……แล้วพบกันใหม่ ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’กาสิโนเสรี’ อนาคตที่จะต้องเสี่ยง คุ้ม-ไม่คุ้ม!

06 เม.ย. 2024
137

การเมือง ก่อนถึงวันที่”ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ” มีความ”เคลื่อนไหว” จาก”ทีมเศรษฐกิจ” ของ”เพื่อไทย” อย่างคึกคัก” ทั้งจากการ”กระตุ้น”นโยบาย”ซอฟต์พาวเวอร์” จาก” อุ๋งอิ๋ง” แพทองธาร ชินวัตร  หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และจาก”ภูมิธรรม เวชชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ “เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” ในการ ประชุมกับ กลุ่ม”อุตสาหกรรม”และ”กลุ่มทุน” จาก ประเทศต่างๆ รวมทั้งการ เร่ง ให้มีการลงนาม”FTA” ที่ “ไทย” กลายเป็นประเทศ”ล้าหลัง” ในเรื่องการค้า” ระหว่างประเทศ…..เรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” วันนี้เริ่ม”เห็นดอก ออกผล” แล้ว จากเรื่อง”กางเกง-เสื้อผ้า” ที่มี”สัญลักษณ์” ของจังหวัด ของพื้นที่ ส่วนเรื่อง อื่นๆ ทั้งเรื่อง อาหาร การกิน เรื่อง ภูมิปัญหา ที่เป็นการ ส่งเสริมเรื่อง “กีฬาที่เป็นเอกลักษณ์ไทย” เรื่อง “วัฒนธรรม” ก็จะตามมา ถ้ามีการ”ส่งเสริม” อย่าง จริงจัง เช่นเรื่อง”ประเพณีสงกรานต์” ซึ่งต้อง ติดตามดูว่า “เทศกาลสงกรานต์” ในปีนี้ จะ”ติดดอก ออกผล” ให้เป็นเรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” อย่างไร ….. รวมทั้งเรื่องของการ”ท่องเที่ยว” จำนวนตัวเลขของ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” โดยเฉพาะประเทศที่”ฟรีวีซ่า” จะมี “นักท่องเที่ยว” เพิ่มขึ้นหรือไม่ และเป็น”นักท่องเที่ยวเกรดไหน” มาเพื่อ”สร้างเม็ดเงิน” หรือ”สร้างปัญหา” โดยเฉพาะ”ชาวจีน” ที่มีการ”แอบแฝง” เรื่อง”ท่องเที่ยว” แต่เข้ามา”ทำมาหากิน” ในประเทศไทย และ “ก่ออาชญากรรม” ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่”คอลเซ็นเตอร์” จนถึง” อาชญากรรม” อื่นๆ ซึ่งเป็น”อาชญากรทางเศรษฐกิจ” และที่ต้อง”ระวังป้องกัน” อย่าให้เกิดขึ้นอีกคือเรื่องของ” ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่เคย”โด่งดัง” มาแล้ว ในประเทศไทย  เพราะ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ให้ความสำคัญกับเรื่อง”เศรษฐกิจ” หวังเพียง”ปั๊มเม็ดเงิน” เพียงอย่างเดียว แต่”ละเลย” ปัญหาที่เกี่ยวกับ”ความมั่นคง” ของประเทศ   คงลืมไปว่า ประเทศไหนก็ตาม ถ้า”รัฐบาล” ปล่อยให้มี”อาชญากรรมข้ามชาติ” เต็มบ้านเต็มเมือง”เศรษฐกิจ-สังคม” ก็จะ”พังทลาย”

เข้าใจนะ ว่าเรื่อง”เศรษฐกิจ-การค้า” เป็นเรื่องสำคัญ เพราะ ณ วันนี้” ประเทศไทย” กำลัง”หัวทิ่ม” ประสบกับปัญหา”เศรษฐกิจ” อย่างรุนแรง  “หนี้ครัวเรือน” พุ่งไปถึง 91% ในขณะที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ต่างประเทศ ( BIS ) กำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 80 % ส่วนหนี้เสีย ( เอ็นพีแอล ) ไม่ต้องพูดถึง รู้ได้อย่างเดียว ถ้า “เศรษฐกิจ” ยังไม่”โงหัว” ปี 2568 ทั้งรถยนต์ ทั้งบ้านช่อง ที่ติดภาระ”หนี้เสีย” จะถูก ยึดกันแบบ”ระเนระนาด” วันนี้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ยังจะ”ถ่างขา” นั่งควบตำแหน่ง”ขุนคลัง”  เสนาบดีกระทรวงการคลัง  ต่อไป หรือจะ”เลือกเฟ้น” บุคคลที่มี”ฝีมือ” มา บริหาร”การเงิน การคลัง” เพื่อแก้ปัญหา”วิกฤติเศรษฐกิจ” ของประเทศโดยเร็ว…..เพราะจะให้รอการ”แจกเงิน” ให้กับ”ประชาชนหัวละ 10,000 บาท ตามโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” เพื่อการ”กระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะ”เมื่อไหร่” และ”เป็นจริง” หรือไม่ คงจะไม่ไหว และอาจจะเข้าตำรา”ถั่วสุกงาไหม้” เสียก่อน…..โดยเฉพาะปัญหา”พลังงาน” ราคาน้ำมัน จะต้อง”ตรึงราคาต่อ”  หรือจะ”พอแค่นี้” เพื่อให้ “สะท้อนความเป็นจริง” เพราะถ้ายังอยู่กับ”ความจอมปลอม” แล้ว “รัฐบาล” จะ เอาเงินที่ไหนมา”อุ้ม”ทั้ง”ดีเซล และ เบนซิน” รวมทั้ง”ค่าไฟฟ้า” ที่ไม่สามารถทำให้ ราคาต่ำกว่านี้อีกแล้ว ทั้งหมดเป็นการ”ซ้ำเติม”ภาคธุรกิจ ให้ต้องขึ้นราคา”สินค้า” และ”แข่งขัน” กับประเทศอื่นไม่ได้ ในขณะที่”ประชาชน” ต้อง”แบกรับ” ความเดือดร้อนกับ”ค่าน้ำมัน ค่าไฟ” กำไรจากการประกอบธุรกิจ” เงินเดือน “ และ “ ค่าแรง “ กลายเป็น” ค่าน้ำมัน “และ “ค่าไฟ “  ที่เป็นการ”ซ้ำเติม”นี้กระมังที่เรียกว่า”ยิ่งทำยิ่งจน” ก็เห็นนะว่า “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และ “เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” มีการ”พูดคุย”กับ” กลุ่มทุนพลังงาน” แต่หลังการ”พูดคุย” ยังไม่เห็นการ”เปลี่ยนแปลง”เกิดขึ้น ดังนั้นคนที่ผลักภาระไม่พ้นก็คือ” เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะ”นายกรัฐมนตรี” ต้อง เร่งรัด กับปัญหา”พลังงาน” ที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีการ”ตรึงราคา” โดย”กลไก” กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ที่”ติดลบ” อย่าง”มโหราฬ”ในขณะนี้ ราคาน้ำมันต้องแพงแบบ”ก้าวกระโดด” เป็นการ”ซ้ำเติม” เศรษฐกิจ “ และ”ปากท้อง”ของ ประชาชน ให้ “เลวร้าย” มากขึ้น

ยิ่งการ”ปรับขึ้นค่าแรง” เป็น 400 บาท แม้จะไม่”ครอบคลุมทุกพื้นที่” แต่ก็จะทำให้คน”ตกงาน” จำนวนหนึ่ง จากการขึ้น”ค่าแรง” ของ”รัฐบาล” ในครั้งนี้ เพราะ วิธีการง่ายๆ ของ “เจ้าของกิจการ” เมื่อต้องจ่าย”ค่าแรง” เพิ่มขึ้นตาม”กฎหมายแรงงาน” หลักคิดเพื่อความ”อยู่รอด” ที่ง่ายที่สุดคือ จากคนงาน 10 คน ก็จะทำให้เหลือ 7 คน เพื่อเอาเงินส่วนนั้นมาจ่ายให้กับคนงานตาม”กฎหมายแรงงาน” คนที่ไม่”ตกงาน” ต้องทำงานเพิ่มขึ้นตามจำนวนคนงานที่”ลดลง” ส่วนคนที่”ตกงาน” ก็จะต้องรับสภาพ”ว่างงาน” ตามแต่”ยถากรรม” เรื่องนี้ก็จะเป็นการ”ซ้ำเติม” ให้เกิดความ”เดือดร้อน” กับ “แรงงาน” ที่ส่วนใหญ่คือ”คนหาเช้ากินค่ำ” นั้นเอง และ นี่คือการ”มีได้ มีเสีย” กับการ”ขึ้นค่าแรง” ในขณะที่”เศรษฐกิจ”ของประเทศ”อ่อนปวกเปียก”ในทุกด้าน   แน่นอน”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” นายกตาม”รัฐธรรมนูญ” อาจจะคิดไม่มาก เพราะการ”ขึ้นค่าแรง” เป็นการที่”ต้องทำ” ตาม นโยบาย”การเมือง” ที่ “เพื่อไทย” ได้”หาเสียง” เอาไว้ในเวทีการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่ หลังจากที่มี”บังคับใช้” ค่าแรงวันละ 400 บาท สิ่งที่ติดตามมา อาจจะทำให้”เสี่ยนิด” นอนไม่หลับ เพราะมี”ปัญหา”ทาง”เศรษฐกิจ,การค้า,การลงทุน” มากมายตามมาให้ แก้ไข โดยเฉพาะ”คนตกงาน” จะกลายเป็น”ปัญหา”ของ”สังคม” และ”บ่อเกิดอาชญากรรม” ที่เพิ่มมากขึ้นจะมาจากตรงนี้…… เพราะ หลากหลายปัญหา ที่แก้ไม่ได้ และ “เศรษฐกิจ” ที่ไม่ยอม”โงหัว” ทำให้”เกจิทางการเมือง” มั่นใจว่า หลังการ”อภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน” จะเห็นการ”ปรับ ครม.” เพื่อการ”เปลี่ยนตัวเสนาบดี”และการ” แลกเปลี่ยนกระทรวง” เพราะผลงาน 6 เดือน ที่ผ่านมา “เพื่อไทย” ยังไม่มีอะไรที่”เป็นชิ้นเป็นอัน”  และการเปิด”อภิปราย” ของ”ก้าวไกล” ในครั้งนี้เป็นการ”ทิ้งทวน” ก่อนที่พรรค”ก้าวไกล” จะ”ถูกยุบ” ตามความ”คาดหมาย” ของ”เกจิการเมือง”และ”ก้าวไกล”เองก็เชื่อว่า”ไม่รอด” ยกเว้นมี”ปาฎิหารย์”เกิดขึ้น จึงต้องดูว่า”ก้าวไกล” จะสามารถ “เปิดแผล” และ”ขยายแผล”ของ”เพื่อไทย” และ”พรรคร่วม”ได้ แค่ไหน เพียงใด

ส่วน”ประชาธิปัตย์” ที่เป็นพรรค”ฝ่ายค้าน” แม้ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน “ หัวหน้าพรรค จะ”การันตี” ว่าการ”อภิปราย” รัฐบาลครั้งนี้ไม่มีทั้งการ”ซูเอี๋ย” และการ”เกี๊ยเซี้ยะ” เกิดขึ้น ระหว่าง”เพื่อไทย”กับ”ประชาธิปัตย์” ไม่มีการ”ต่อสาย”ของ”แกนนำ” ทั้งสองฝ่าย เพื่อทำให้”สำนวนอ่อน” และ”ไม่พอฟ้อง” แต่ สังคมไทย ยังไม่เชื่อถือ เพราะรู้ว่า”ประชาธิปัตย์” ไม่ต้องการเป็น”ฝ่ายค้าน” ที่ต้องอยู่อย่าง”อดยากปากแห้ง” ดังนั้น”คนไทย” จึงต้องจับตามองว่าการ”อภิปราย” ของ”ขุนพล” ประชาธิปัตย์ครั้งนี้” มีการ”ดึงหลักฐาน” ทิ้ง เพื่อที่จะทำให้”สำนวนอ่อน” หรือไม่ วันนี้”คนไทย” รู้”เท่าทัน” การเมือง เป็นอย่างดี ดังนั้น พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหนจะ” หลอกประชาชน”ง่ายๆไม่ได้อีกแล้ว นักการเมืองทุกคน ทุกพรรค”พึงสำเหนียก” ให้มาก ที่สำคัญคน”วงใน” ต่างมีการแสดงความ”ยินดี” กับ”เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย ) เลขาธิการพรรคฯ และ”ชัยชนะ เดชเดโช” รอง หัวหน้าพรรคฯ ที่จะได้เป็น “รัฐมนตรีว่าการฯ และ”รัฐมนตรีช่วยฯ เรื่องอย่างนี้”มีไฟย่อมมีควัน” ปิดกันไม่มิด

การเมืองร้อน อากาศร้อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”ร้อนฉ่า”จนใกล้”ปรอทแตก” และ”เละเป็นโจ๊ก”จนอยากที่จะ”กอบกู้” ให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกลับมาให้”ดูดี” ในความรู้สึกของประชาชน “สงกรานต์”ปีนี้ จึงเป็น”งานหนัก” ของ” พล.ต.อ.กิตต์รัฐ เพ็ชรพันธุ์ “ รักษาการ ผบ.ตร. ที่ งานแรกหลังเข้ารับตำแหน่งคือการเข้มงวด”ส่วย” บ่อนการพนัน ทำเอา”บ่อนออฟไลน์” ต้องประกาศ”หยุดก่อน” เพื่อรอ”ทิศทางลม” ส่วน”บ่อนออนไลน์” ยังสามารถเปิดให้”นักเลงนักเล่น” เล่นได้อยู่ แต่ใน ช่วง “เทศกาลสงกรานต์” ปัญหา”อาชญากรรมจะเบ่งบาน” ขบวนการ”ขนยาเสพติด”ขบวนการ”ขนน้ำมันเถื่อน” และ”ธุรกิจเถื่อน” แม้แต่การ”ขนคนเถื่อน” จาก”ทุกสารทิศ” เพื่อไปยังชายแดนไทย-มาเลเซีย ก็จะ ฉกฉวยโอกาส”เทศกาลสงกรานต์” เพราะ”ประชาชน” และ”นักท่องเที่ยว” ที่ หลั่งไหล เดินทาง อย่างมากมาย ประเด็นนี้ถ้า เจ้าหน้าที่”หละหลวม” ก็เป็น”โอกาส” ของ” กลุ่มขบวนการ” รักษาการ “ผบ.ตร. จะ”รับมือ” กับปัญหานี้อย่างไร

ปัญหา”อาชญากรรม” ทั่วไป ที่เกิดขึ้นใน”เทศกาลสงกรานต์” ในหัวเมืองที่เป็นเมือง”เศรษฐกิจการท่องเที่ยว” อย่าง   “ภูเก็ต,พังงา ,เกาะสมุย,เกาะพงัน” ที่มี”ต่างชาติ” เข้ามา”ท่องเที่ยว” จะ “วุ่นวาย” ขนาดไหน  อากาศร้อน คนเยอะ เจ้าหน้าที่น้อย จะเกิด ปัญหา”คนคลั่งยาบ้า”ทำร้ายคนในชุมชน และจะมี”ฝรั่งอั้งม้อ” ทำร้าย”คนไทย” เกิดขึ้นอีกหรือไม่ เนื่องนี้” พล.ต.ท.สุรพงศ์ ถนอมจิตร “ ผบช.ภ. 8 ต้องมีการ”ตั้งรับ” ให้ดี……เพราะในพื้นที่ของ ตำรวจภาค 8 มีเหตุ สะเทือนขวัญ ผู้คนทั้ง”แผ่นดิน” สองวันติดกัน นั้นคือ “คนติดยา” ที่” อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี และ”คนติดยา” ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา “คลุ้มคลั่ง” ใช้อาวุธ”บั่นคอ” บุพการี เสียชีวิตอย่าง” อเนจอนาถ” และ เมืองท่องเที่ยว ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ก็คือแหล่งการค้า”ยาเสพติด” และ”นักท่องเที่ยว” จำนวนมากจาก”ต่างชาติ” มาเที่ยวก็ด้วยต้องการ”เสพยาเสพติด” ด้วย เรื่องนี้ต้อง “ระวังป้องกัน” เกิด”นักท่องเที่ยว” กลายเป็น”เหยื่อ” ของคน”ติดยา” และถูก”บั่นคอ” กลายเป็นข่าวขึ้นมา การท่องเที่ยวซึ่งเป็น”เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ที่ดีที่สุดในขณะนี้ เกิด”ดับวูบ” เศรษฐกิจไทยจะ เหลืออะไร….. เรื่องนี้ อย่าโยนภาระให้”ตำรวจ”หน่วยเดียว “ปกครอง,ท้องที่.ท้องถิ่น” ต้อง”บูรณาการ” ด้วยกัน ก็ต้องดูว่า”ผู้ว่าราชการจังหวัด” แต่ละจังหวัด จะมี”วิสัยทัศน์” แบบไหน และมีความ”สัมพันธ์” กับ” ผู้บังคับการตำรวจ” อย่างไร ถ้า”แย่งกันเก็บ แย่งกันกิน” ก็”เอวังพอดี”ต่างคนต่างเดิน

นี่ก็ “อันตราย” สิบวันสุดท้ายของ”เดือนรอมฎอน” ที่”ฝ่ายข่าว” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” แจ้งเตือนว่าจะมีการ”ก่อการร้าย” จาก” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” อาจจะมีการ”ป่วน” ครั้งใหญ่   เหมือน กับที่เกิดขึ้นเมื่อ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่มีการ”ก่อวินาศกรรม” คืนเดียว 45 เป้าหมาย  ก็ แจ้งเตือน เหมือนทุกครั้ง แต่ไม่เคย”ป้องกัน”ได้ เพราะไม่มี”การข่าว” ที่ “แน่ชัด เป็นการ”แจ้งเตือนแบบ”เหวี่ยงแห” ที่อาจจะไม่”ติดปลา” แม้แต่ตัวเดียว และ ต่อไปก็”แจ้งเตือน” หลัง”วันรายอ” อีก 10 วัน ก็เป็น”10 วันอันตราย” อีกครั้ง และที่สำคัญ “วันรายอฯ” กับวัน”สงกรานต์” อยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน ดังนั้น”คนไทยพุทธ” ในพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอของ จ.สงขลา โปรดระวัดระวังป้องกันตนเอง”เอาตัวให้รอด” ด้วย”สติปัญญา” และด้วยความ”ไม่ประมาท” อย่างหวังจะพึ่ง”เจ้าหน้าที่รัฐ เพราะ”เจ้าหน้าที่รัฐ” ต่างก็ “เอาตัวไม่รอด” ต้อง “ระมัดระวัง” ในการ”รักษาชีวิต” ตนเองยิ่งกว่า”ประชาชน” เสียอีก  เพราะ”เจ้าหน้าที่”คือ”เหยื่อ” คือ”เป้าหมาย” ของ” แนวร่วม” หรือ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” …… ที่สำคัญ”ยุทธศาสตร์” ของ”บีอาร์เอ็น” ปี 2567-2568 ยังเน้นหนักทั้งในเรื่อง”การเมือง” นั้นคือการ”บ่มเพาะ” นำเยาวชน เข้าสู่ขบวนการ ซึ่ง”สอดคล้อง”กับ”รายงาน” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่กล่าวว่ามี”สมาชิกหน้าขาว” หรือ”แนวร่วมรุ่นใหม่” ถูกนำเข้าสู่ ขบวนการมากยิ่งขึ้น ประเด็นนี้ สำคัญ เพราะเมื่อ”กลุ่มหน้าขาว” ได้รับการ”ฝึกฝน”แล้ว ต้องให้ “ทดลองงาน” ด้วยการ “ก่อวินาศกรรม” และการ”ฆ่าคน” และ เมื่อ “ทอดลองงานสำเร็จ” ก็ต้องมีการ”บรรจุ” เข้าเป็น”กองกำลังติดอาวุธ” การได้มาซึ่งอาวุธประจำกาย ก็ต้อง”ปล้น ,แย่งชิง” จาก” เจ้าหน้าที่รัฐ “ นั้นคือการ”ซุ่มโจมตี” และการ”ประกบยิง” เพื่อการ”แย่งชิงอาวุธ”ของเจ้าหน้าที่ เพราะตั้งปี 2536 เป็นต้นมา “ปืนทุกกระบอก” ที่”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น”ใช้อยู่ มาจากการ”แย่งชิง” และ “ปล้น” มาจาก เจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น ดังนั้นการ”ซุ่มโจมตี” เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อ”แย่งชิง” อาวุธปืน จะ ถี่ขึ้น

อีกประเด็น เดือน มีนาคม-เมษายน นี้ “บีอาร์เอ็น” จะมีการ”เปลี่ยนยศ เลื่อนตำแหน่ง ระดับ “ผู้บังคับการฝ่ายทหาร” จาก “ผบ.หมู่เป็น” ผบ.หมวด จาก ผบ.หมวด เป็น ผบ.ร้อย และจาก ผบ.ร้อย เป็น ผบ.พัน” อาจจะมีการ แสดง”ศักยภาพ” ของแต่ละหน่วย ด้วยการ”ก่อการร้าย” ดังนั้น สถานการณ์ความ”ร้อนแรง” ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจจะ”ระอุอ้าว” เหมือน ความร้อนของกาศ  “เดือนเมษายน” ก็ต้องฝาก”ความหวัง” ไว้กับ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” โดย “ พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ว่า เรื่องการ”ปล่อยลูกโป่งสีขาว” เรื่องการลงพื้นที่”หิ้วตะกร้า” ไป “คำนับ” ผู้นำ”ศาสนา”ในพื้นที่ และการไปร่วม”ละศีลอด” กับ “ประชาชน” ในพื้นที่ต่างๆ จะมีความ”คุ้มค่า” ที่ทำให้”แกนนำ” ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่เห็นถึง”ความปรารถนาดีของแม่ทัพ-นายกอง” และ หยุดการ”ก่อการร้าย การ รบรา ฆ่า ฟัน” เจ้าหน้าที่ เพื่อให้”เทศกาล”รายอฯ”และ”เทศกาลสงกรานต์” สร้างความสุขให้กับคนในพื้นที่ กับเขาบ้าง……เรื่องความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องมีอะไร”ในกอไผ่” ที่มากกว่า”งูจงอาง” ที่ผ่านมา จะมีเพียงตัวแทนของ”ประเทศมุสลิม” ที่เรียกว่า “OIC” ที่จะ”จัดทัพ” เดินทางมา ติดตาม สถานการณ์ ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ปีละครั้ง แต่ ล่าสุด”เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงต่างประเทศ” ได้เดินทางมาพบกับ”พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ “ แม่ทัพน้อยที่ 4 เพื่อเตรียมนำ”ฑูตานุทูต”จากกลุ่มประเทศ”ตะวันตก”เพื่อมาเยือน “จังหวัดชายแดนภาคใต้”ในเร็วๆ นี้ สังเกตุไหมว่า “องค์กรตะวันตก”องค์กรแรกๆ ที่เข้ามา คือ”เจนีวาคอลล์” และ”ไอซีอาร์ซี” หรือ”องค์การกาชาดสากลระหว่างประเทศ ตามมาด้วย”สหภาพยุโรป” ส่วน”สหรัฐอเมริกา” ยกเว้นไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเป็น”เจ้าประจำ” ที่”เคลื่อนไหว” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มาอย่างยาวนาน วันนี้จะมี”ฑูตานุทูต” จาก”ชาติตะวันตก”เข้ามา เขาหวังจะมี”ส่วนร่วม” กับการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประโยชน์ อะไร ตรงนี้ “พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” เลขาธิการสภาความมั่นคง ( สมช.) และ” หน่วยงานของ”กระทรวงต่างประเทศ” น่าจะมีคำตอบให้กับ”ประชาชน”บ้าง

อีกเรื่องสำหรับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้  หลายวันก่อน”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคง ในฐานะ”หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข”เดินทางมาพบปะกับ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อ “เล่าแจ้ง” ถึงเรื่องการ”พูดคุย” กับ”บีอาร์เอ็น” ที่ผ่านมา หลังจากนั้น มีการ”แถลงการณ์” ว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้”เข้าใจ” และ”เห็นด้วย” กับเรื่องของการ”พูดคุย” ทำเอา”ผู้ว่าราชการจังหวัด” หลายคน” ถึงกับ”สะอึก” และงงเป็น”ไก่ตาแตก” เพราะมีแต่”รับฟัง”แบบ”งูๆปลาๆ” ไม่ได้”ลงลึก” ในปัญหาของการ”พูดคุย” แต่อย่างใด นี่เป็นเรื่องที่”เคลม” เพื่อ”เอาความดีความชอบ”กันชัดๆ

กฎหมาย”กาสิโนเสรี” ผ่าน”สภาผู้แทนราษฎร” แล้ว ฟังว่ามีเสียง”ไชโยโห่ร้อง” จาก” กลุ่มทุน” ในพื้นที่ซึ่งเป็น”หุ้นส่วน”ของ”กลุ่มทุนต่างประเทศ” เพื่อเตรียมหา”ทำเลทอง” ในการสร้าง” อินเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” ที่มี”บ่อนการพนัน” ที่” ถูกต้องตามกฎหมาย” ไว้”บริการนักการพนัน” วันนี้กลุ่มผู้”เห็นด้วย” เห็นแต่เรื่องที่”ดีงาม” คือได้”เงินเข้ารัฐ”นักการพนันทั้งเทศทั้งไทย จะได้มี”บ่อนเล่นการพนัน” ในประเทศไทย ไม่ต้อง”เดินทางไปเล่นการพนันยังประเทศเพื่อนบ้าน” อย่าง”.กัมพูชา,สปป.ลาว .มาเลเซีย สิงคโปร์”……ในส่วนที่เสีย เรา”ละเลย” ที่ไม่มีการนำมา”ถกแถลง” เช่น หลายประเทศที่เขามี”บ่อนการพนันถูกต้องตามกฎหมาย” แต่ทำไม่ “ประชาชน” ของเขาจึง”ยากจน” ต้อง”ทะลักทลาย” เดินทาง ทั้ง” ถูกต้อง” และ “หลบหนีเข้าเมือง” มายังประเทศไทย เพื่อ”หางานทำ” ทำไมคน”มาเลเซีย” ใน รัฐที่มีบ่อน จึงยัง”ยากจน” ดังนั้น เป็นไปได้หรือที่เมื่อ”เปิดบ่อนถูกต้องตามกฎหมาย” แล้ว”เศรษฐกิจ”ของประเทศไทยจะ”อู้ฟู้” ทันตาเห็น และ ประชาชน จะได้”อานิสงส์” จากการมี”บ่อนการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย” ยืนยันได้ด้วยอะไร….. ที่สำคัญ”บ่อนที่ถูกต้องตามกฎหมาย” ไม่ได้ทำให้”บ่อนเถื่อน, บอนออฟไลน์–ออนไลน์”  หมดไปจากประเทศไทย หรือจาก “สังคมไทย” เพราะ”นักเลง นักเล่น” ใน”บ่อนเถื่อน” เป็นคนละส่วน คนละพวก กับ “นักเล่น” ที่เข้าไปเล่นในบ่อนที่ถูกต้องตามกฎหมาย  ที่สำคัญ เมืองไทยเป็น”เมืองพุทธ” และ “สังคมไทย” ไม่ให้”ค่านิยม” กับ คนที่ เล่นการพนัน มอง”นักการพนัน” ในภาพลบ ไม่ไว้วางใจ  ดังนั้นถึงจะมีบ่อนที่”ถูกต้องตามกฎหมาย” แต่”นักเล่น นักการพนัน” ที่เป็น”เจ้าของธุรกิจ” ในประเทศไทย ที่เดินทาง”เข้า-ออก” ต่างประเทศ และ ใน”วันหยุด” เพื่อไป”เล่นการพนัน” ใน “ต่างประเทศ” อาจะไม่เล่นใน”บ่อนของประเทศไทย” เพราะไม่ต้องการให้สังคม”รับรู้” ว่า ตนเองเป็น”นักการพนัน”

ติดตามกันให้ดีๆ “เจาะข่าว” กันให้ ลึกๆ แล้ว อาจจะพบว่า คนที่”ตีปีก” ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ในเรื่องที่ประเทศไทยจะมี”อินเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” อาจจะเป็น”พรรคการเมืองบางพรรค” กลุ่ม”คนการเมืองบางกลุ่ม” ที่มี”ผลกระโยชน์ร่วมกับ”กลุ่มทุน” ที่จะเข้ามา ดำเนินการในเรื่องของ”อินเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” ไม่แน่นะ อาจจะมีการจ่ายค่า”ไลน์เซ่น” หรือ”ใบอนุญาต” เพื่อเปิดบ่อนไปแล้ว ใน 10 จังหวัด ที่เป็น”เป้าหมาย” ในการตั้ง”อินเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น สำหรับ”บ้านนี้เมืองนี้” ที่ ประชาชน ยัง”ฝากฝีฝากไข้” และฝาก”อนาคต”ของประเทศกับ”นักการเมือง” ไม่ได้…..ดังนั้น ประชาชน อย่าง เราๆ ท่านๆ อย่างเพิ่งดีใจว่า”บ่อนการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย” จะทำให้”ประเทศเจริญรุ่งเรือง” ประชาชน”อยู่ดีกินดี” เพราะ หลายครั้งแล้วที่ประชาชน”ถูกหลอก” จากนโยบาย”ขายฝัน” ของ”นักการเมือง” และ”พรรคการเมือง” จำเรื่อง”กัญชาเสรี” ได้หรือไม่ ที่”นักการเมือง” บอกกับประชาชนว่า ปลูกกัญชา ครอบครัวละ 6 ต้น แล้วจะ “อยู่ดีกินดี” แล้ว  วันนี้ เป็นอย่างไร ใครที่”ปลูกกัญชา” แล้วรวย” ยกมือขึ้น….. หรือการ”ปลดล็อก” ให้”พืชกระท่อม” พ้นจากการเป็น”ยาเสพติด” ประเภท 5  แล้ว มีการ”ส่งเสริม” ให้ ปลูกพืชกกระท่อม แทนพืชเกษตรอื่นๆ แล้วจะ”มีกินมีใช้” วันนี้ เป็นอย่างไร เห็นแต่คนที่”เชื่อ” นักการเมือง “เดินขึ้นโรงพัก” กันทุกภูมิภาค เพื่อ”แจ้งความ” เอาผิดกับการถูก”กลุ่มทุน” หลอกให้”ซื้อพันธุ์กระท่อมมาปลูก” และหลังจากนั้นก็”เปิดตูด” ไม่รับซื้อ” ใบกระท่อม” ตาม สัญญา จนทำให้ เกษตรกร”เจ๊งบ้ง” เป็นหนี้ สถาบันเงินกู้ ที่กู้มา “ลงทุนปลูกพืชกระท่อม” กันเป็นทิวแถว นั้นคือ”บทเรียน” ที่ยัง”สดๆร้อนๆ เพราะ ฉะนั้น อย่าได้ เชื่อว่า “บ่อนการพนันถูกต้องตามกฎหมาย” เป็น”ของวิเศษ ที่จะ”พลิกฟื้นเศรษฐกิจ” ของ”ประเทศไทย” เพราะสุดท้ายแล้วผู้ได้รับประโยชน์จาก” การมี”บ่อนการพนัน” ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นคนแค่เพียง”หยิบมือ”เดียวเท่านั้น

ผู้สัมปทานรังนกอีแอ่นใน “เกาะสี่เกาะห้า” อ.ปากพะพูน จ.พัทลุง “ร่อนสาร” ถึง”นิศากร วิศิษฎ์สรอรรถ” ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้”จัดการ” กับ เรือ สปีดโบ๊ต” ที่ นักท่องเที่ยว ขับวนเวียนอยู่รอบๆ “เกาะสี่เกาะห้า” ซึ่งเป็นเขต”สัมปทาน”ในการ”จัดเก็บรักนกอีแอ่น”ของบริษัท เพราะ จำนวนเรือ และเสียงเครื่องยนต์ อาจจะทำให้จำนวนของ”นกอีแอ่น”หายไป รวมทั้ง วันนี้ รอบๆเกาะมี”ประมงพื้นที่” เข้าไปทำการ”ประมง” เป็นจำนวนมาก แยกไม่ออกว่า ใครเป็นใคร ระหว่าง”ชาวประมง” และ”มิจฉาชีพ” ที่เข้าไปเพื่อ”ขโมยรังนก”……ส่วนที่ “ อ.เกาะยาว จ.พังงา ปีนี้เข้าปีที่ 3 ที่ ไม่มีผู้ขอ”สัมปทาน” เพื่อเก็บ”รังนกอีแอ่น” จนเป็นว่า ณ วันนี้” “รังนกอีแอ่น” ที่ถูกขนานนามว่า”ทองคำขาว” ไม่รู้ว่าเป็นของใคร เรื่องนี้ “สุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย “ พ่อเมืองพังงา” ไม่คิดที่จะแสดง”ฝีมือ” เพราะ”ปกป้อง” ทรัพยากรของแผ่นดินหรือไร  เช่นเดียวกับ “เกาะรังนก” ใน จ.กระบี่ ที่ ไม่มีผู้”สนใจ” เข้าไป”สัมปทาน” ทั้งที่ ณ วันนี้ “รักนกอีแอ่น” ยังมี”ราคา” และ”ตลาดรังนก” ในประเทศ และต่างประเทศ ก็ยังเติบโต เรื่องนี้ต้องมีอะไรที่”ไม่ชอบมาพากล” หน่วยงานไหนที่ “รับผิดชอบ” โปรด”ตื่นตัว” มาดูสภาพของปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย

จับตาดูความ”เคลื่อนไหว” ของ”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่ยังมีการ”เดินหน้า”ในการ”ต่อสู้” กับ”คดีความเรื่องบ่อนพนันออนไลน์” วันนี้เรื่อง”กฎหมาย” เป็นหน้าที่ของ”ทีมทนายความ” และ”มือปืนรับจ้าง” ในการออกมา”แฉขบวนการส่วย” แบบที่เคยประกาศไว้ว่าถ้า”เอาจริง” สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะ”ตายยกรัง” ส่วน”บิ๊กโจ๊ก” ทำการ”เดินสาย”ในภาคใต้เพื่อ”เช็คเรตติ้ง” ของ”มวลชน” เริ่มจากพบประชาชนที่ จ.พัทลุง และการมาพบ”มวลชน” ที่ จ.สงขลา ในงาน”เพชรคืนถิ่น” ที่ โรงเรียนวิเชียรชม สงขลา และงานต่อไปของ”บิ๊กโจ๊ก” ก็คือลงเกาะ”หลีเป๊ะ อ.เมือง จ.สตูล ที่ “บิ๊กโจ๊ก” ทำคดีเรื่อง”นายทุน” บุกรุกที่ดินของ”อุทยานแห่งชาติ” เพื่อเป็นการ สร้างผลงาน ให้”เข้าตา”ประชาชน และ”พรรคการเมือง” แผนนี้เรียกว่า”แยกกันเดิน รวมกันตี” เพื่อ”บดขยี้” ฝ่ายตรงกันข้าม

กรณีการที่ “ตำรวจไซเบอร์” และ” ดีเอสไอ” บุก “ทลายห้าง”  ขบวนการแกงค์คอลเซ็นเตอร์” ที่  อ.ฉวาง อ.นาบอน  อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้ผู้ต้องหาเกือบ 100 คน มี “นักการเมืองหญิง” ติด”ร่างแห”ไปด้วย จับตาให้ดี จะมีอีก”หลายแก๊งค์” ที่จะถูก”เช็คบิล” แม้แต่ในวงการ”ค้าบุหรี่เถื่อน” ในภาคใต้ ที่เป็นแหล่ง”ทำมาหากิน” ของ”ตำรวจน้อยใหญ่” ก็หวาดผวา กลัวว่าจะ”ลุกลาม”เข้ามาทำลายผลประโยชน์ที่ได้รับ

ปิดท้าย “เทศกาลสงกรานต์” ของ จ.สงขลา ปีนี้ มีความ”คึกคัก” เป็นอย่างยิ่ง โรงแรม ที่พัก ทั้ง หาดใหญ่ สะเดา และ เมืองสงขลา ถูกจองเต็มเอี๊ยด  มีการ จัดงาน “รื่นเริง” มากมาย เพื่อการต้อนรับ”สงกรานต์” ทุกฝ่าย”ยืนยัน” เงิน”สะพัด” อย่างแน่นอน  แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือการ”ป้องกันเหตุ” จาก”การก่อการร้าย” เพราะ ณ วันนี้”บีอาร์เอ็น” ต้องการทำลาย”เศรษฐกิจ”ของคนในพื้นที่  แต่ก็ยัง”อุ่นใจ” ที่เห็น”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ที่ให้ความ”สำคัญ” ในเรื่องการ “ป้องกันเหตุ” ใน เทศกาลสงกรานต์ และด้วย ประสบการณ์ที่เป็น”รอง ผวจ.” ใน จ.ปัตตานี มาก่อน รู้ถึง วิธีการของ”บีอาร์เอ็น” เป็นอย่างดี และยังมี “เศวต เพชรนุ้ย “ รอง ผวจ.ฝ่ายความมั่นคง ที่ใช้ชีวิตรับราชการในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” มายาวนาน ประกอบกับที่ อ.หาดใหญ่ มี “เอก ยังอภัย ณ สงขลา “ เป็น”นายอำเภอ” ที่ อ.สะเดา มี วิเชษต์ สายกี้เส้ง” เป็น”นายอำเภอ” ซึ่งทั้ง 2 คน ล้วนเป็น”ผลผลิต” จาก ปัตตานี,ยะลา และยังมี “ พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่ เป็น”อดีตตำรวจมือปราบ” ที่ รู้เรื่องของ”บีอาร์เอ็น” ได้ดี เชื่อว่า ถ้าไม่”ประมาท” และ”แนวป้องกัน” ที่เป็นพื้นที่”กันชน” อย่าง อ.จะนะ อ.นาทวี ไม่ถูก”บ่อนเซาะ” พื้นที่ของ “สงขลา” คงจะ “ปลอดภัย” และ ประชาชน นักท่องเที่ยวชาว มาเลเซีย คงจะมีความ สนุกสนาน ใน เทศกาลสงกรานต์ หรือ”ปีใหม่ไทย”……แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาศึกสีกากี! ทำลาย ศรัทธา ‘ประชาชน’

31 มี.ค. 2024
162

จับตามภาพใหญ่ของการเมืองไทยในรอบ สัปดาห์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” คือความ”น่าเห็นใจ” คนเป็น”นายกรัฐมนตรี” อย่าง” เศรษฐา ทวีสิน” ที่ยิ่ง อาการป่วยของ”ทักษิณ ชินวัตร” หายไปอย่างรวดเร็ว หลังการพักโทษ และกลับมา เคลื่อนไหวใน “อิริยาบถ” ตามใจชอบ เพราะยิ่ง”ทักษิณ ชินวัตร” เคลื่อนไหว มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นทำให้”บทบาท”การเป็น”ผู้นำประเทศ” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ถูกตั้งคำถามจากสังคมมากขึ้น ว่า ณ วันนี้”ประเทศไทย” ในเป็น”ผู้นำประเทศ” และแต่ละเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่” ใน”รัฐบาล” ใครเป็นคน”กดปุ่ม” เพื่อการ”ส่งสัญญาณ” กับ”นายกรัฐมนตรี” ….. เชื่อเถอะ สภาการเมืองที่”ขับเคลื่อน”ไปอย่างนี้ ต้องสร้างความ”อึดอัด” ให้กับ” เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ไม่น้อย ดังนั้น “เสี่ยนิด” จึง พยายามที่จะ สร้างผลงานในการ”ขับเคลื่อน”ทาง”เศรษฐกิจ” การลงทุน โดยหวังที่จะดึง “กลุ่มทุน” จาก”ต่างประเทศ” เข้ามาในประเทศทั้งการ”จัดกิจกรรม” และการ”ลงทุน” ใน”อุตสาหกรรม” ใหญ่ๆ แต่เป็นเรื่อง”ไม่ง่าย” และ”ไม่”รวดเร็ว” ที่กว่าจะเห็น ผลงาน ที่ต้องการให้”เข้าตา” ประชาชน” สถานการณ์ทาง”การเมือง” อาจจะเปลี่ยนไป ก็เห็นนะ ถึงความ”ตั้งใจ” ของ”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ เดินทางไม่หยุด แต่”ผลงาน” ที่”มองไม่เห็น”ด้าน “การเงิน,การลงทุน”แม้แต่เรื่อง”การท่องเที่ยว”ก็ยังไม่เป็นไปใน”ทิศทางบวก” การลงพื้นที่ พบปะ “ประชาชน” เป็นเพียงงาน”การเมือง” เช่นการเพิ่มค่าตอบแทน “อสม.” เป็นเรื่องการใช้”งบประมาณ” เพื่อผลทาง”การเมือง” แต่เรื่อง”ค่าแรง”เรื่อง”เงินเดือน” ที่เป็นเรื่องของคนส่วนใหญ่ ยังไม่มีการ”ขับเคลื่อน” ให้เป็นเป็น”รูปธรรม” เรื่องของผู้ประกอบการ”เอสเอ็มอี” ที่ยังเข้าไม่ถึง”โอกาส” จาก สถาบันการเงิน เรื่อง”พลังงาน” ที่เป็น”หัวใจสำคัญ”ของการ”ผลิต” และ”ลมหายใจ”ของ “คนจน” จำนวนมาก ยังไม่มีการ “แก้ไข” ในเรื่องของ”โครงสร้าง” มีแต่การใช้”งบประมาณแผ่นดิน” ที่มาจาก”เงินภาษี”ของ”ประชาชน”ใน “ตรึงราคา” ซึ่ง วันหนึ่งจะ”เดินต่อ”ไม่ได้ เป็นการ”บริหาร” ที่รอให้”หนองแตก”

เรื่องการ”ทุจริตคอร์รัปชั่น” ที่ยัง”เบ่งบาน” ทั้งประเทศ ในทุกหน่วย”ราชการ” รัฐบาลนิดหนึ่ง” ก็ไม่มีการนำมาเป็น”วาระแห่งชาติ” ในการ แก้ปัญหา แต่ละวันจะมี”ข่าว” การ”ทุจริตคอร์รัปชั่น” ให้ประชาชนได้เห็นได้ทราบ ถึงความ”ฟอนเฟะ” ของหน่วยงานราชการ ที่สำคัญ ปัญหา ยาเสพติด วันนี้กลายเป็นเรื่อง”อีรุงตุงนัง” ทั้งเรื่องการระบาดของ”น้ำกระท่อม” ที่ในอดีต ระบาดหนักใน”ภาคใต้” แต่หลังการ”ปลดล็อค” ให้”พืชกระท่อม” เป็น”พืชสมุนไพร” ที่ไม่ผิด”กฎหมาย” วันนี้ “ประเทศไทย” 77 จังหวัด จึงมีการ”ระบาด”ของ”น้ำท่อม”  ทั่วราชอาณาจักร กลายเป็นปัญหาใหญ่ของ”แผ่นดิน” ที่ เจ้าหน้าที่ต้อง ดำเนินการ จับกุม…..ในขณะที่”กัญชา” ก็กลายเป็นปัญหาที่ พรรคการเมืองบางพรรค ใช้ในการหาเสียง และเป็น”นโยบายทิพย์” ที่ไม่เป็นความจริง คนปลูกกัญชา  6 ต้นไม่มีใครร่วม แต่กลายเป็น”ติดกัญชา” เป็นปัญหาทั้ง”แผ่นดิน” ไม่ต่างจาก”น้ำกระท่อม” ที่ ผลสุดท้าย “รัฐบาล”ชุดนี้ต้องหาทางนำเอา”กัญชา” เป็น”ยาเสพติด” อีกครั้ง  ในขณะที่”ยาบ้า” ยังเป็น”อันตราย” กับ “ชุมชน” ทั่วประเทศ นโยบายมียาบ้า 5 เม็ด เป็นผู้เสพ เป็น นโยบาย ที่”ตอบโจทย์” หรือไม่ ดูได้จาก ปัญหา ที่เกิดขึ้น หลังมีนโยบาย เพราะถ้า “ดีจริง” และ”ตอบโจทย์”ได้จริง ทำไม ปัญหาจึงตามมามากมาย ตั้งแต่”ยาบ้า” ที่จับเท่าไหร่ก็ไม่หมด “คนเสพ” เมื่อกลายเป็น”คนป่วย” ไม่มีที่”บำบัด” เพราะ”คนเสพ” มีมาก” เมื่อเป็น”คนป่วย” จึงกลายเป็นมี”คนติดยา” ที่เป็น”คนป่วย” เต็มแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ไม่ปัญญาในการ”รับมือ” ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมา”พรรคเพื่อไทย” และ”รัฐบาลเพื่อไทย” โดย “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” ไม่ได้แสดง”ฝีมือ” ในการแก้ปัญหาให้”เป็นชิ้นเป็นอัน” แต่อย่างใด

วันนี้ ทุกคนรู้ได้ว่า “เศรษฐกิจ”ของประเทศไทยกำลัง”หัวทิ่ม” แต่ “รัฐบาล” ไม่ได้ “ออกอาวุธ” อะไรในการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ”ที่”ดิ่งเหว” นอกจากโครงการ”ดิจิตอลวอลเล็ต” ที่ยังไม่รู้ว่าจะ”เป็นจริง” หรือไม่ วันนี้ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” รอเพียง”งบประมาณผ่านสภาฯ” และ เร่งให้แต่ละกระทรวงใช้”งบประมาณ”โดยเร็ว และ ผลที่ตามมาคือการใช้”งบประมาณ”ไม่ทัน เพราะมีเวลาใช้เพียง 4 เดือน ดังนั้น 7 เดือนของ”เศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะ”นายกรัฐมนตรี” ที่เป็น”ผู้นำ” ในการ”บริหารประเทศ” จึงกลายเป็น “7 เดือน” แห่งความ”ว่างเปล่า” และ”อ้างว้าง” ในความรู้สึกของ”ประชาชน” ……แม้แต่ในเรื่องการแก้ปัญหา “ความไม่สงบ” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เศรษฐา ทวีสิน “นายกรัฐมนตรี” ยังตีโจทย์ผิด ที่เอาเรื่อง”เศรษฐกิจ-การท่องเที่ยว” มาก่อน โดยการ”ก้าวข้ามความรุนแรง” เพราะสุดท้ายการ”ก่อวินาศกรรม” คืนเดียว 45 เป้าหมาย เมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา ในพื้นที่ ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” และ”สี่อำเภอของ จ.สงขลา คงจะทำให้  ทั้งนายกรัฐมนตรี, “ เศรษฐา ทวีสิน,  พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์”  ผบ.ทบ.” และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาการ ผบ.ตร.” ได้”ตาสว่าง” เสียที เพราะเรื่องที่”หน่วยงานในพื้นที่ “รายงาน” ขึ้นไปล้วนแต่เป็นเรื่อง”จอมปลอม” และผู้ที่ควรมา รับทราบข้อเท็จจริง มากกว่า” ผบ.ทบ. และ รักษาการ ผบ.ตร. น่าจะเป็น”สุทิน คลังแสง” รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ที่เป็นผู้ “ลอยตัว” อยู่เหนือปัญหาความมั่นคง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด

หลังเกิดเหตุ”ก่อวินาศกรรม” คืนเดียว 48 เป้าหมาย ใน 3 จังหวัด และ 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา ซึ่งทั้ง 45 เป้าหมาย ล้วนเป็น”กิจการ”ของคน”ไทยพุทธ” และ”คนไทยเชื้อสายจีน” สิ่งที่ตามมาคือความ”เงียบเหงา” นักท่องเที่ยว”หายเกลี้ยง” ที่ อ.เบตง จ.ยะลา เมืองท่องเที่ยวที่”ขึ้นชื่อ” ทั้งเรื่อง”อาหารอร่อย, อากาศดี”,มีแหล่งท่องเที่ยงธรรมชาติมากมาย เช่น”สวนหมื่นบุปผา,สกายวอล์ค อัยเยอร์เวง,อุโมงค์ปิยะมิตร” หลังการก่อ”วินาศกรรม”ครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา “นักท่องเที่ยว” และ”บริษัททัวร์” ที่ จองโรงแรม, รีสอร์ต” มีการ”ยกเลิก”แบบ”เกลี้ยงกริบ” เอ๊ะ คราวนี้”ปลานิลสายน้ำไหล” อาหารขึ้นชื่อของ”เสี่ยนิด” จะขายใครละทีนี้….. จากการ”ลงพื้นที่” ดูที่เกิดเหตุ “พูดคุย” กับ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ในหลายจุด และดูจาก”กล้องวงจรปิด” เห็นชัดเจนว่า “กองกำลังติดอาวุธ” หรือ”แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” มีการ เตรียมการ อย่างดีในการ เข้า”ปฏิบัติการ”เพื่อ”ก่อวินาศกรรม” ในแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ รู้เส้นทาง รู้ว่าในโรงงาน เครื่องจักรที่สำคัญ อยู่ตรงไหน แสดงว่ามี”หนอนบ่อนไส้”ในทุก เป้าหมาย และใช้เวลา “ปฏิบัติการ”สั้นๆ แต่ได้ผล และ ถอยหนีอย่าง”ลอยนวล” เหมือนกับ”เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเพียง”หุ่นยนต์” ที่ไร้”ประสิทธิภาพ”

ปฏิบัติการของ”กองกำลังติดอาวุธ” หรือ”แนวร่วม”ของ”บีอาร์เอ็น” ไม่มีอะไรใหม่เป็นการ”ปฏิบัติการ” ที่”คล้ายคลึง” กับ หลายครั้งที่ผ่าน  แต่ที่เขา”ปฏิบัติการ” ได้ “สำเร็จ” โดยที่ไม่มีการ”สูญเสีย” และไม่มีการ”ปะทะ” กับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ก็เพราะ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ไม่มีอะไรใหม่ ในการ”ป้องกัน”การ”ดับไฟใต้” มีแต่”ยุทธวิธี” แต่ไม่มี”ยุทธศาสตร์” ผู้นำพื้นที่” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” ที่เป็น”คนของฝ่ายปกครอง” ไม่ได้ให้ความ”ร่วมไม้ร่วมมือ” และ”ฝ่ายปกครอง” ที่ถือว่าเป็นหน่วยงานที่”ใกล้ชิด” กับ”ประชาชน” มากที่สุด ณ วันนี้ก็”มืดบอด” เพราะถูก”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”  ตีกรอบครอบไว้เหมือนอยู่ใน”กะลา” เห็นสภาพการแก้ปัญหา”ไฟใต้” ในพื้นที่แล้วบอกได้คำเดียวว่า”ว้าเหว่” และ”วังเวง”…..ที่สำคัญ หน่วยงานที่ควรมี”บทบาท” อย่าง”สภาความมั่นคงแห่งชาติ”( สมช.) ก็กลายเป็น”เป็ดง่อย” ที่ไม่ได้แสดง”บทบาท” ของความเป็นหน่วยงานที่กำหนด” ยุทธศาสตร์” ในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง วันนี้ “พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” ได้รับการ”โปรดเกล้า ฯ” ให้ดำรงตำแหน่ง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” เต็มตัว และมีเวลาทำงาน”รับใช้ประเทศชาติ”เพียง  7 เดือน แต่ก็อย่างเห็นนะว่า ในเวลา 7 เดือน ท่านจะสามารถทำให้ “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” (สมช.)ฟื้นคืนจาก”เป็ดง่อย” มาเป็น”นกอินทรีย์” ได้หรือไม่……ที่สำคัญ สถานการณ์ ในห้วงของ”เดือนรอมฎอน” นับแต่นี้ จนถึง”เทศกาลสงกรานต์” จะต้องมีการ”ก่อเหตุ” จาก” กองกำลังติดอาวุธ” เกิดขึ้นอีกอย่าง ไม่ต้องสงสัย  ก็ต้องมีหน้าที่ของ” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ว่าจะ”สั่งการ” ให้ บรรดา” ผบ.ฉก. และ” ผบ.พัน ผบ.ร้อย จนถึง “ฐานปฏิบัติการ” ในพื้นที่ ป้องกัน เหตุราย อย่าไร ที่จะมิให้” กองกำลังติดอาวุธ” หรือ”แนวร่วม” ปฏิบัติการ” ก่อวินาศกรรม” อย่างที่เกิดขึ้น ที่สำคัญ” หน่วยงานความมั่นคง” ในพื้นที่เคยมีการ”ถอดบทเรียน” ของความ”ล้มเหลว” ในแต่ละครั้ง เพราะที่จะได้”บทเรียน” ไว้เพื่อไม่ต้อง”เสียโง่” ให้กับ”บีอาร์เอ็น” แบบ”ไม่รู้จบรู้สิ้น” นี่เป็นเรื่อง”น่าอายนะ” สำหรับ”ชายชาติทหาร”

ส่วน “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศอ.บต. ) ที่มี พ.ต.ท.วรรรณพงษ์ คชรักษ์” ทำหน้าที่เป็น” เลขาธิการ ศอ.บต.” ก็ต้องลงพื้นที่เพื่อ”สร้างขวัญ “ และ”กำลังใจ” กับ”เหยื่อสถานการณ์” และ “ประชาชน” ที่รู้สึกว่า”โดดเดี่ยว” กับ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งคน”ไทยพุทธ” ต่าง”คร่ำครวญ”ว่า”อยู่ยาก” ขึ้นทุกวัน ถ้า “สถานการณ์” ยังเป็นเช่นนี้ ย้อมต้องกระทบกับ”มิติการพัฒนา” ของ”ศอ.บต.” โดยเฉพาะเรื่อง การค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยว ที่สำคัญเรื่องที่จะนำ”ไทยพุทธคืนถิ่น” เพราะการ”ถดถอยของชุมชนไทยพุทธ” คงเกิดได้ยากแล้ว ก็ให้”กำลังใจ” นะ ทั้ง” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศอ.บต.) รู้ว่าเรื่อง”ไฟใต้” เป็น”โจทย์ยาก” แต่ก็”ไม่ยาก” จนแก้ไม่ได้ ถ้าไม่มีการตั้ง”โจทย์ผิด” และมี”เจตนา” ในการ”ค้ากำไร” จากความไม่สงบที่เกิดขึ้น…..เรื่องการ”แก้เกม” ของ”บีอาร์เอ็น” ในการสร้าง”นักรบพระเจ้า” เมื่อใช้”สันติวิธี” ใช้”ผู้นำศาสนา” เพื่อ”สร้างความเข้าใจ”กับ”ครอบครัว” ผู้ถูก”วิสามัญฆาตกรรม”ไม่เป็นผล ต่อไป” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ หลังการ”วิสามัญฆาตกรรม” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ต้อง เชิญ” ผู้นำศาสนา” เช่นใน จ.ปัตตานี ก็เชิญ” บาบอแม” ที่เป็น “ประธานกรรมการอิสลาม” และเชิญ” โต๊ะอิหม่าม” ที่เป็นผู้นำ”จิตวิญญาณ” ของผู้ที่นับถือ”ศาสนาอิลาม” ในพื้นที่ ไปยัง บ้านของผู้”เสียชีวิต” โดยให้ “ผู้นำศาสนา” ทำความเข้าใจว่า การเสียชีวิตของ”แนวร่วม” หรือ”กองกำลังติดอาวุธ” ที่ “ต่อสู้” กับเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่ยอม”มอบตัว” ไม่ได้เป็น”ชาอีด” หรือ”นักรบพระเจ้า” หรือผู้”พลีชีพ” แต่อย่างใด ดังนั้นจึงห้ามทำพิธีศพแบบ”ผู้พลีชีพ” เพราะแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้เป็น”แผ่นดินดารุนฮารบี” ที่มีความ”ขัดแย้ง” ที่เป็น”สงครามศาสนา” ให้ผู้นำ”ศาสนา”เป็นผู้”อรรถาธิบาย” ถ้ายังไม่เชื่อ ไม่ทำตาม ก็ถือว่าเป็นการ”บิดเบือน” ข้อเท็จจริง ที่สามารถ”เอาผิด”ได้

ส่วนผู้ที่มา”แห่แหนศพ” และตะโกนคำว่า” ปาตานี เมอร์เดก้า” ก็ไป พิจารณาดูว่า ขัดกับ”กฎหมาย” มาตราไหน ก็ว่ากันไป เมื่อ”สันติวิธี” เมื่อ”รัฐศาสตร์” ใช้ไม่ได้ และ”ล้มเหลว” กับการ”ดับไฟใต้” ก็ต้องบังคับใช้”กฎหมาย”ด้วยความ”เข้มข้น” เพราะทุกคนที่ เกิดในแผ่นดินไทย ต้อง”เคารพกฎหมายไทย” เพราะหากไม่ทำอะไรเลย เพราะมัวแต่อ้างว่าเป็นเรื่อง”ละเอียดอ่อน” ก็ยกพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอ ให้กับ”บีอาร์เอ็น” ไปปกครอง และ”อพยพคนไทย” ออกจากพื้นที่ ดีไหม ทุกอย่างจะได้”ยุติ”……และที่“กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องติดตามอย่างใกล้ชุด คือการจัดงาน”วันมาลายูเดย์” หลัง”รายอฮัจยี” แน่นอนการจัดงาน”วันมาลายู” ไม่ผิดกฎหมาย และต้องส่งเสริมในเรื่อง”ประเพณีวัฒนธรรม” ของ”ชนชาวมาลายู” แต่ในหลายครั้งที่ที่ผ่านมาจะมี”ปีกทางการเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ใช้การจัดงาน”มาลายูเดย์” เป็น”เครื่องมือ” ในการ”แทรก” เรื่องการ”แบ่งแยกดินแดน”  เพื่อต้องการสร้าง”เงื่อนไข” ให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้”กฎหมาย” กับ”แกนนำ” ในการ”จัดการชุมนุม” ซึ่งยังเป็น”คดีความ” ที่”คาราคาซัง” อยู่ในขณะนี้ หวังว่าการจัดงาน”มาลายูเดย์” ในปีนี้ ที่มีการ”ประโคมโหมโห่” จะ”ยิ่งใหญ่” กว่าทุกครั้ง” “กอ.รมน” ภาค 4 ส่วนหน้า” จะได้มีการ”เกาะติด” และไม่ปล่อยให้กลายเป็น”เกม” ของ”บีอาร์เอ็น” ในการแสวงหาประโยชน์ จากการจัดการ”ชุมนุม” ในวัน”มาลายูเดย์ฯ เหมือนครั้งที่ผ่านมา

เรื่องการ”รบรา,ฆ่าน้อง, ฟ้องนาย ,ขายเพื่อน”ใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นการทำลาย”ศรัทธา” ของ”ประชาชน” ที่มีต่อ”ตำรวจ” คงไม่จบลงแค่การที่” นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน” สั่งย้าย ทั้ง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. “เข้ากรุ” ไป ประจำ “สำนักนายกรัฐมนตรี” เพราะการ”สั่งย้าย” คนทั้ง 2 เพียงแค่”สยบคลื่นลม” หยุดการ”สาวไส้ให้กากิน” แต่ วันนี้ความ”ฟอนเฟะ” ของ “ตำรวจ” ยังคงมีให้เห็นในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องของการเรียกรับ”ผลประโยชน์” บ่อนการพนันออนไลน์ ใน”เครือข่าย” ของผู้ถูก”จับกุมดำเนินคดี” หยุดการ”ดูดเงิน” จากนักการพนัน แต่”บ่อนพนันออนไลน์” ที่ไม่ถูก”จับกุม” ยังมีอยู่”ทุกหัวระแหง” เช่นเดียวกับ”ผลประโยชน์” จาก”ธุรกิจสีเทา” ยัง”เต็มบ้านเต็มเมือง” ดังนั้นการ”ย้ายสองนายพล” ที่เป็นคู่”กรณี” จึงไม่ใช่การ แก้ปัญหาความ”ฟอนเฟะ” ของ วงการ”สีกากี”ซึ่งหากให้”อยู่รอด” และเป็นที่”ศรัทธา” ของ”ประชาชน” มีทางเดียวคือ “นายกรัฐมนตรี” ต้องมีความ”กล้า” ในการ”ผ่าตัดใหญ่” เพื่อตัด”เนื้อร้าย” ออกไป….ส่วนที่ กองบังคับการจังหวัดสงขลา ก็มี”สีกากี”ระดับ”รอง ผบก.” ที่ถูก”พนักงานสอบสวน”ทำการ”ชี้มูล” ว่ามีส่วนในการ”ร่วมด้วยช่วยรับผลประโยชน์” ในฐานะคน”ใกล้ชิด” ติด”ร่างแห”ไปด้วย ส่วน “สตอ.” คนหนึ่ง ที่มี “คฤหาสน์” กลางเมืองหาดใหญ่ มี”ห้องใต้ดิน” ในการ”เก็บเงิน” ที่ได้จาก”บ่อนออนไลน์” ไม่ติดอยู่ใน”ร่างแหฟ้าตาข่ายดิน” ในครั้งนี้ นี้คือคน”ดวงดี”

เรื่องของ”โกฟุก” นายทุน”สองสัญชาติ” ไทย-เมียนมา ที่ถูก “ดีเอสไอ” จับกุมในข้อหา “บ่อนพนันออนไลน์ และ “ค้าน้ำมัน”ด้วยการ”ส่งออกทิพย์” และขอ”คืนภาษี” 10 ปี โกงเงินภาษีไปถึง 24,000 ล้าน วันนี้”ดีเอสไอ” ตรวจสอบได้ความชัดว่า”บริษัทซินวิน” ที่เป็นผู้”สั่งน้ำมัน” จากประเทศเมียนมา ไม่มี”อยู่จริง” ใบ”พีโอ” ในการ”สั่งซื้อ” เป็น”ของปลอม” วันนี้ทั้ง”โกฟุก” และ”หุ้นส่วน” หลบหนีไปอยู่ใน”ถิ่นเก่า” ประเทศเมียนมา แล้ว แต่ ขบวนการที่”ร่วมโกงภาษี” กับ”โกฟุก” ยังอยู่ดีกินดีกันทุกคน เรื่องนี้ “รักษาการอธิบดี ดีเอสไอ” พ.ต.ท. ยุทธนา แพรดำ” ต้องเร่งดำเนินการ”เอาผิด” กับ “เจ้าหน้าที่ เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่จะถูก”โกฟุก” หลอกลวงถึง 10 ปี โดยการอ้างว่า”ไม่รู้” ส่วน ผู้ที่”เกี่ยวข้องกับ”โกฟุก” ในการ ขนน้ำมันทั้งจากคลังที่ จ.สุราษฎรธานี” และที่เป็น”น้ำมันเรือ” ซึ่งเป็น”ของเถื่อน” ทั้ง 5 บริษัท ก็ต้อง”สาวไปให้ถึง” เพราะมีความผิด ที่นำน้ำมัน ซึ่งมี เอกสารกำกับ” ให้ไปส่ง”ประเทศเมียนมา” มาขายในประเทศไทย…..และเรื่องการ”ส่งออกทิพย์” นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ “ตรวจสอบ” พบ ครั้งแรกเป็นการ”ส่งออก” น้ำมัน”ทรานส์ซิสเส้นทาง” จาก มาเลเซีย ไปยัง สปป.ลาว  ที่ไม่มีการ”ส่งออกจริง” แต่นำน้ำมันขายในประเทศ ซึ่งถูก”ด่านศุลกากรบึงกาฬ” แจ้งความดำเนินคดี และถูก”ศุลกากรสะเดา” ยึดรถบรรทุกพ่วง” ที่ใช้เป็น”พาหนะ” ในการขนส่งได้ 3 คัน และ ตรวจสอบ พบว่า บริษัทผู้”สั่งซื้อ” ตาม เอกสาร “ใบพีโอ” ไม่มีอยู่ใน สปป.ลาว และ ครั้งที่ 3 ตำรวจ ปนม.ภ.9 จับกุมและยึดรถ พร้อม น้ำมัน ในรถ”หัวลาก” จำนวน 3 คัน ที่ จอดอยู่ในพื้นที่ด่านศุลกากรสะเดา เมื่อ กลางเดือน มีนาคม นี้ ซึ่งอยู่ระหว่างการ”ตรวจสอบ” บริษัทผู้”สั่งซื้อ” และเป็นผู้รับ”สินค้า” จากประเทศเมียนมา ที่ เชื่อว่าก็ต้องเป็น”บริษัททิพย์” ที่ไม่มี”ตัวตน”

ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า”น้ำมันทรานส์ซิสเส้นทาง” ที่นำเข้าจาก”ประเทศมาเลเซีย” เพื่อไปยัง”ประเทศที่สาม” เป็นเพียง”กลโกง” ของ “ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติ” ที่ต้องการ”ฟันกำไร”สองต่อ “ต่อแรก” นำน้ำมันราคาถูก จาก “มาเลเซีย” มา”ขายแพง” ให้กับ “ลูกค้า” ในประเทศ” ต่อที่สอง” ขอคืนภาษีการ”ส่งออก” ทั้งที่เป็นการ”ส่งออกทิพย์” อย่างเดียวกับกรณีของ”โกฟุก”แห่ง จ.ระนอง เรื่องนี้เป็นเรื่อง”อาชญากรทางเศรษฐกิจ” ที่ต้องถาม ตั้งแต่”ปลัดกระทรวงการคลัง, อธิบดีกรมศุลกากร,อธิบดีกรมสรรพสามิต ,อธิบดีกรรมสรรพากร” รวมทั้ง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ว่า จะ ปล่อยปัญหาการทำลายชาติ ไว้อย่างนี้ หรือจะ ดำเนินการ อย่างไร เพื่อ”หยุด” ขบวนการ นำเข้าน้ำมัน”โดยการ”ทรานส์ซิสเส้นทาง” แต่ไม่ได้ไปยัง ประเทศที่สาม และ หน่วยงานไหนที่”มีเอี่ยว” ในเรื่อง”ผลประโยชน์” กับ”ขบวนการอาชญากรทางเศรษฐกิจ” ต้องมีการ “สืบสวนสอบสวน” เพื่อนำตัวมาลงโทษ……มี พลเมืองดี  แจ้งข่าวว่า ได้ทำการ”แจ้งเบาะแส” การค้า”น้ำมันเถื่อน” ใน”อ่าวไทย” ในพื้นที่ จ.สุราษฎรธานี,จ.นครศรีธรรมราช ให้กับ”ศรชล”ในพื้นที่ และให้กับ “กองทัพภาคที่ 4 ตาม หมายเลขโทรศัพท์ ที่มีการ “ประชาสัมพันธ์ มีผู้รับสาย รับเรื่อง ร้องเรียน แต่ไม่มีการเข้า”ตรวจสอบ” เพื่อการ”จับกุม” และ ทุกวันนี้ “น้ำมันเถื่อน”จาก”อ่าวไทย” ยังมีการ”ลำเลียงขึ้นฝั่ง คือละไม่ต่ำกว่า 20 คันรถหัวลาก เอ้า แล้วกัน อย่างนั้น การ”ประชาสัมพันธ์” หมายเลขโทรศัพท์ ให้”พลเมืองดี” แจ้ง”เบาะแส” การกระทำผิดก็เป็นแค่เรื่อง”ปาหี่” อย่างนั้นหรือ งง อ่านว่า งง

เรื่อง”อควาเรี่ยมหอยสังข์” ที่ จ.สงขลา ที่ถูก”ทิ้งงาน”และ”ทิ้งร้าง” ไปต่อไม่ได้ ผ่านมาแล้ว 15 ปี  ผ่าน “นายกรัฐมนตรี” มาแล้ว 3 ท่าน ในสมัย”บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี  เคยให้”สัมภาษณ์นักข่าว” ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แก้ หลังมี”รัฐบาลใหม่” ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น” นายกรัฐมนตรี มี สส. หน้าใหม่” อย่าง”สรรเพชญ บุญญามณี” สส. เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ทำการ”อภิปรายในสภา” เพื่อถามรัฐบาลว่า”โครงการ อควาเรี่ยมหอยสังข์” ที่ใช้”งบประมาณ”ไปแล้ว 1,400 ล้าน และ “ทิ้งงานมาแล้ว 15 ปี จะ”ไปต่อ” หรือ”พอแค่นี้” แต่ สุดท้าย ก็ ไม่มีคำตอบจาก”รัฐบาล” วันนี้ “คนสงขลา” ฝากคำถามมายัง”รัฐบาล” โดยเฉพาะ”นายกรัฐมนตรี”ว่า การที่จะทำให้”อควาเรี่ยมหอยสังข์” มี”ชีวิตชีวา” เพื่อความ”คุ้มค่า”กับเงินภาษีของประชาชน มัน ยากนัก หรือไร อำนาจการเป็น”นายกรัฐมนตรี” ถ้า แก้ปัญหาอย่างนี้ไม่ได้ แล้วจะทำในสิ่งที่”ยิ่งใหญ่” และ”ยุ่งยาก” ได้หรือ และ สุดท้ายแล้ว “คนสงขลา” ต้องทนเห็น “อควาเรี่ยมหอยสังข์เน่า” ไปอีกนานเท่าไหร่ ปัญหานี้จึงจะแก้ไขได้สำเร็จ

วันก่อน  พล.ต.ต. ภูริพัฒน์ ภัทรศรีวงศ์ชัย ผบก. อสท. 5 นำกำลังเข้า ตรวจค้น จับกุม โรงงานผลิตเครื่องสำอางเถื่อนยี้ห้อดัง ที่ขายอยู่ใน”แพลตฟอร์มออนไลน์” ได้”ของกลาง” และ”สารอันตราย” ที่ใช้ในการ ผลิต เป็น จำนวนมาก พร้อมผู้”ต้องหา” ที่เป็น”นอมินี” ของ “นายทุนใหญ่” ซึ่งเป็น”ไฮโซสองสามีภรรยา” ซึ่ง “แหล่งข่าว” แจ้งว่า นอกจากโรงงานเถื่อน” ที่ อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ที่ถูก”จับกุม” ยังมี “โรงงานย่อย” ที่ยังมีการ”แอบผลิต” อยู่ในพื้นที่ ต.บ้านพรุ และ ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ “สารอันตราย” ที่ใช้ในการ”ฟอกผิวให้ขาว” โรงงานเถื่อน ซื้อจาก” คลินิก” แห่งหนึ่งใน “สวนตูล” อ.เมือง จ.สงขลา โดยนำเข้ามาจาก ประเทศมาเลเซีย และมี”หลักฐาน” การ”สั่งซื้อ” ครั้งละ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท เรื่องนี้ ตำรวจ อสท. ต้อง สืบสวนสอบสวน และ ดำเนินการ”กวาดล้าง” โรงงานที่เหลืออยู่ และ ผู้ที่มีส่วน”เกี่ยวข้อง” ให้สิ้นซาก อย่าทำแบบ”ลูบหน้าปะจมูก” เพราะ”นายทุน” เป็นญาติกับ”นักการเมืองใหญ่” วันนี้ทุกอย่าง”ปิดไม่มิด” ชาวบ้านรู้ทุกเรื่อง

ฝีมือขั้นเทพ “วิชาพร ชินประพัทธ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชนจังหวัดยะลา ปีการศึกษานี้ มีนักศึกษา แห่กันมาสมัครเข้าเรียนถึง 800 กว่าคน มากที่สุดถ้าเทียบกับ”วิทยาลัยชุมชน” อื่นๆ โดยเฉพาะใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” สาเหตุเพราะเรื่อง”คุณภาพ”ของ “นักศึกษาที่จบจากที่นี้ และการมีโอกาสศึกษาต่อใน”มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา” ผลงานที่ปรากฏ ทำเอา”กิตติ  กิตติโชควัฒนา” นายกสภาวิทยาลัยชุมชนยะลา” ยิ้มแก้มปริ……นี่ก็มีผลงาน” ปกครอง สุวรรณดารา ผอ.ปปช. นราธิวาส ที่”ใส่ใจ” ในการ”ปราบปรามการจุจริตคอร์รัปชั่น” ในวงการราชการ ล่าสุด ประกาศ”เอาผิด” กับ” ข้าราชการระดับ”ผู้อำนวยการการศึกษา “และ” ข้าราชการสำนักงานแรงงานจังหวัด” ที่ จับได้ก็จับไป ที่ต้อง”อาญา” ติดคุกก็ติดไป แต่ที่ยัง”ฉ้อราษฎร์ บังหลวง”  โดยไม่กลัว”อาญาแผ่นดิน” ก็ยังมีอยู่ มากมาย เพราะ วันนี้ปัญหาการ”ทุจริตคอร์รัปชั่น” เหมือนกับปัญหาการค้า”ยาเสพติด” ที่มีการ”จับได้ไล่ทัน” ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็น” ที่รอดพ้น”ร่างแห” ของ”กฎหมาย”มีถึง 90 เปอร์เซ็น ถ้า ผอ.ปปช. ทุกจังหวัด “ขยันขันแข็ง” เหมือนๆ กัน “คุก” อาจจะไม่พอ”ขัง” ข้าราชการ และ นักการเมือง ก็ได้นะ

พื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา โดยเฉพาะปัญหาที่” ตำบลสำนักขาม” เมืองชายแดนที่ติดกับ ประเทศมาเลเซีย ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ได้ พ.ต.อ. สุรจิต เพชรจอม  มาเป็น ผกก.สภ.สะเดา มีการ”จัดระเบียบ”ของธุรกิจคนกลางคืน ให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย และมีการ”เข้มงวด” เรื่องของ”ยาเสพติด” ขอต้องทำให้ ตลอด  ปัญหาอย่างนี้”หย่อนยาน” เมื่อไหร่ ก็จะ กลับมาอีก……ปัญหา”คนกับลิง” ที่ จ.สตูล คือปัญหาของการ”อยู่ร่วมกัน” ทำอย่างไรให้อยู่อย่าง”สันติ” วันนี้มีการแก้ปัญหาเพื่อ”ลดจำนวนประชากรลิง” ด้วยการจับลิงไป”ทำหมัน” เป็นการแก้ปัญหา เพื่อหยุดการเพิ่ม”ประชากรลิง” เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่ถ้าจะให้ดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดให้มี”อาหาร” ในการ เลี้ยงดู เพื่อมิให้ลิงไป”รบกวน” ประชาชนที่มี บ้านเรือน อยู่ในพื้นที่ใกล้ลิงด้วย

เต็มที่กับงาน”ป้องกัน” พื้นที่”เศรษฐกิจ” ในเขตเทศบาลนครยะลา เพื่อให้เป็น”เขตปลอด” จากการ”ก่อวินาศกรรม” ของ”กองกำลังติดอาวุธ”จากขบวนการบีอาร์เอ็น” พล.ต.ต. เสกสันต์ ชูรังสฤษฎ์ “  มีการ”ติวเข้ม” และ”ติดตาม” การปฏิบัติงาน ตำรวจ ทุกหน่วย และเน้นงาน”การข่าว” รวมทั้ง”บูรณาการ” กับ “ปกครอง,ทหาร” และ” ท้องถิ่น “ เพื่อให้”เขตเทศบาลนครยะลา” ปลอดจากการ”ก่อวินาศกรรม”

เศรษฐกิจการค้า ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ตั้งแต่ ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจาก”นักท่องเที่ยว” จากประเทศ”เพื่อนบ้าน” อย่าง “มาเลเซีย” ที่เดินทางเข้ามา “ท่องเที่ยว” ใน จ.สงขลา อย่างต่อเนื่อง วันนี้ “หาดใหญ่” มี ชาวมาเลเซีย เข้ามา เที่ยว ทุกวัน ไม่ใช่มาแค่ วัน ศุกร์ ,เสาร์,อาทิตย์” และที่ สำคัญการจัด”อีเวนท์” อย่างต่อเนื่องของ “เทศบาลนครหาดใหญ่” เป็นการ”กระตุ้น” เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ที่ได้ผล ส่วนผู้ที่บ่นเรื่องปัญหา”จราจร”จากการ”ปิดถนน” ก็ขอให้เข้าใจว่าทุกอย่าง”เมื่อมีได้ ก็มีเสีย”  แต่ก็เป็นสิ่ง”จำเป็น” หากต้องการเห็น”หาดใหญ่ฟื้น”ที่ส่งผลดีกับคนส่วนใหญ่….สำหรับเรื่องการ”ระวังป้องกัน” การ”ก่อการร้าย” จาก” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็วางใจได้ เพราะ” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่ เป็น อดีตนายตำรวจที่”คร่ำหวอด”กับปัญหาความมั่นคงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ “เอก ยังอภัย ณ สงขลา “ นายอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา เป็น”นักปกครอง” ที่ เติบโต จาก พื้นที่ ปัตตานี,ยะลา มาตลอดของการรับราชการ เมื่อ”ปกครอง”กับ”ท้องถิ่น” จับมือกัน”เหนี่ยวแน่น” โดยมี “ตำรวจ”และ”ทหาร” เป็น กำลังสำคัญ และที่ สำคัญ คือ “ประชาชน” ในพื้นที่ ที่คอย”เป็นหูเป็นตา” ในการแจ้ง”เบาะแส” ความ เคลื่อนไหวของ”คนแปลกหน้า” เชื่อว่า”หาดใหญ่” จะเป็นพื้นที่”ปลอดภัย” สำหรับ”นักท่องเที่ยว” ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว……แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’ยุทธศาสตร์ใหม่BRN’จัดตั้งเขตปกครองพิเศษ’ แทน’แบ่งแยกดินแดน

23 มี.ค. 2024
139

การเมืองภาพใหญ่ของ”ประเทศไทย” เห็นการเดินทางของ”นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน “นายกรัฐมนตรี” ในการเดินทางไปต่างประเทศทำหน้าที่เป็น”เซลแมน”ใน “หลายประเทศ” ด้วยการนำเอาโครงการที่เป็น” อภิมหาโปรเจกต์” เพื่อชักชวน “นักลงทุน” มาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งวันนี้เป็นเพียงเรื่อง”ขายฝัน” ที่ยังไม่เป็นจริง เพราะยังไม่มีประเทศไหน”ตกล่องปล่องชิ้น” ในการ”หอบเงิน” เพื่อมา”ลงทุน” ในประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการ”แลนด์บริจด์” หรือ”สะพานบก” ในการเชื่อมสองฝั่งทะเล เป็นเส้นทาง”ขนส่ง” ที่เป็น”ทางเลือก”ของการ ขนส่งสินค้าข้าม”มหาสมุทร”หรือข้าม”ทวีป” ซึ่งหาก”เป็นจริง” หมายถึงความ”รุ่งเรือง” ของประเทศไทย แต่โดยข้อเท็จจริง “แลนด์บริดจ์”เป็นเรื่อง”ยาก” ที่จะเกิดขึ้นในภาคใต้  ดังนั้น “เอ็นจีโอ” และ”กลุ่มการเมือง” ที่ออกมา”ต่อต้านโครงการ”แลนด์บริดจ์” อย่าง”คึกคัก”ในวันก่อน   วันนี้”เก็บฉากกลับบ้าน” เพราะคงเห็นแล้วว่าการ”เดินสาย”ของ”นายกนิด” ยากที่จะประสพความสำเร็จ เป็นได้เพียงการ”ขายฝัน” เท่านั้น…..กลับจาก”ทัวร์เมืองนอก” ก็เป็นการ”ทัวร์” ในหลายพื้นที่ของ”ภาคเหนือ” ซึ่งเป็น”ภารกิจ” ทาง”การเมือง” ลงพื้นที่ พบปะประชาชน ให้”ยาหอม” เพื่อผลักดันโครงการในแต่ละจังหวัด ส่วนจะทำได้ มากน้อย แค่ไหน อยู่ที่”เศรษฐกิจ” ของประเทศ ว่าจะ”เติบโต” ได้หรือไม่ โดยเฉพาะ”งบประมาณแผ่นดิน”  ที่ยังมองไม่เห็นว่า จะ”เจียดเงิน” ที่ไหนไป”พัฒนาประเทศ” ตามความต้องการของแต่ละพื้นที่…..พูดง่ายๆในรอบ 7 เดือนของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” สิ่งที่ทำไปแล้วเป็นเรื่อง “เล็กๆน้อยๆ” แต่ โครงการใหญ่ๆ ที่ทำแล้วเห็นผลถึงความเปลี่ยนแปลงทาง”เศรษฐกิจ-ปากท้อง” และ” การเมือง” ยังมองไม่เห็น เช่นโครงการ”แจกเงิน” ให้ประชาชนคนละ”10,000 บาท” ที่เรียกว่า”ดิจิตัลวอลเล็ต” ซึ่ง “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ขอเวลา 1 เดือน เพื่อนำไป”ศึกษา” วันนี้ครบ 1 เดือนแล้ว แต่ไม่มีทั้ง”ข่าวดี” และ”ข่าวร้าย” เพื่อแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบว่า ประชาชนจะได้รับเงินแจก 10,000 บาท หรือ ไม่ได้ เพราะแม้แต่”จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง ที่ เสียงแข็ง ยืน”กระต่ายขาเดียว” ว่าทำได้แน่นอน วันนี้ก็ไม่”กร้าว” ในการให้”สัมภาษณ์สื่อ” เหมือนก่อน หรือ” เพื่อไทย” ได้รับคำสั่ง”ไอ้เสือถอย” จาก” ผู้นำประเทศ”ตัวจริง เสียงจริง” เรียบร้อย”โรงเรียนจันทร์ส่องหล้า” แล้วกระมัง

การเมืองไทย และการ “ตัดสินใจ” ทุกอย่างของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” นับตั้งแต่นี้ต่อไป แม้ทุก”คำตอบ” จะออกจาก” เรียวปาก” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” แต่ คนที่”กำหนดเกม” ทุกคนย่อมรู้ว่าเป็นใครที่วันนี้มีการ”เคลื่อนไหว” ทาง”การเมือง” โดยที่ “ประชาชน” ดูออกว่า หมดความ”จำเป็น” ในการแสดงบทบาทของ”ผู้ป่วย” แล้วนั่นเอง …..แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ และเพื่อให้”เป็นคุณ”กับ”ประเทศชาติ” และ”เจ้าตัว”  ก็อยากจะบอกว่าอะไรที่”อย่าเพิ่ง” และ”อะไรที่”อย่าทำ” ก็ อดใจไว้ก่อน อย่างที่”ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” นักแฉชื่อดัง เคยกล่าวว่า” อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้” และอย่าประมาทว่า”พลังประชาชน” ผู้ที่”หมดความอดทน” และผู้ที่”เห็นต่าง” ไม่มี”พลัง”ไม่มี”แกนนำ” อย่างดีก็มีเพียงความ”เคลื่อนไหว”บนโลก”โซเชียล”  ที่ไม่สามารถ”กดดัน” หรือสร้างความ”วุ่นวาย” ให้กับ”รัฐบาล”ได้ อย่าสร้างความ”เหิมเกริม” ที่ “เกินงาม “ ที่อาจจะทำให้”ม็อบจุดติด” และมี”ผู้นำ”การต่อต้านเกิดขึ้นได้

และอย่าลืมว่า การ”อภิปรายไม่ไว้วางใจ” รัฐบาล จาก”วุฒิสมาชิก” . และจาก”ฝ่ายค้าน” ที่กำลังเกิดขึ้น อย่าได้”ปรามาส” ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ไม่มีอะไร”ในกอไผ่”  เพราะมีหลายประเด็นที่”ฝ่ายค้าน” และ”สว. จะนำมา “อภิปราย” ทั้งเรื่องความ”ล้มเหลว” ในการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ-ปากท้อง-ทุจริตคอร์รัปชั่น” เรื่อง”พลังงาน” ทั้ง”น้ำมัน” และ”ไฟฟ้า” ที่ยัง”วนเวียน”อยู่กับการ”ลดภาษี” เพื่อเป็นการ”ตรึงราคา”ซึ่งใครมาเป็น”นายกรัฐมนตรี” และใครมาเป็น”เสนาบดี” กระทรวงแรงงาน ก็ทำได้ และเรื่อง”ป่วยทิพย์” แม้จะไม่ใช่”จุดตาย” ของ”รัฐบาล” แต่ถ้า”ฝ่ายค้าน” และ”สว.” มีการ”อภิปราย”ได้แบบ”ถึงแก่น” ก็อาจจะกลายเป็น”จุดอ่อน” ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” โดยเฉพาะ”เพื่อไทย” ผ่านไปแล้ว 7 เดือน ยังไมมีความ”สำเร็จ”ใน นโยบายที่”หาเสียง”ไว้กับประชาชน และแม้แต่เรื่อง” ฝุ่นควัน” หรือ”พีเอ็ม 2.5”  ที่ ณ วันนี้ คนที่กลายเป็น”พระเอก” ในภาคเหนือ ที่เป็น”ฐานที่มั่น” ของ”เพื่อไทย” ของ”ตระกูลชินวัตร” ก็ถูก” สส.ของ”ก้าวไกล” ทำการ”ตีกิน”ไปแล้ว และถ้า”เพื่อไทย” ยัง”ล้มเหลว” ทั้งเรื่อง”ดิจิตัลวอลเล็ต” ทั้งเรื่อง”ค่าแรงวันละ 400 บาท” และเรื่องของ”ซอฟต์เพาเวอร์” ที่ทำได้เพียงใช้”ผ้าขะม้าคาดคอ” เชื่อเถอะ เลือกตั้ง “นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด” ที่เป็นการ”เลือกตั้งท้องถิ่น” ที่จะมาถึง รวมทั้งการเลือก “วุฒิสมาชิก” นักการเมืองในสายของ”เพื่อไทย”จะพ่ายแพ้อย่าง”หลุดลุ่ย” และส่งผลถึง”การเลือกตั้ง” สส.ในสมัยหน้าของ”เพื่อไทย” อย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับ”ก้าวไกล” การถูก”ยุบพรรค” การที่”สส.แนวหน้า” ถูก”ตัดสินทางการเมือง” ก็ไม่ต่างจากที่ “อนาคตใหม่” เคยถูกยุบและ สส.”แถวหน้า” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ไม่ได้ทำให้”อนาคตใหม่หมดอนาคต” การ”เติบใหญ่”ของ”ก้าวไกล” ที่มาแทนที่”อนาคตใหม่” ก็จะเหมือนกับการ”เติบโต” ของ”พรรคใหม่” ที่จะมาแทนที่ของ”ก้าวไกล” เพราะวิธีการ “กำจัดศัตรูทางการเมือง” ด้วยการ”สั่งยุบพรรค” ไม่ใช่ทางออกของ”ชัยชนะ” แต่กลายเป็นการสร้างความ”เติบใหญ่” ให้กับ”พรรคก้าวไกล” ในชื่อใหม่ และจะมี”นักการเมืองหน้าใหม่” ที่พร้อมจะมา”แทนที่” ของ นักการเมือง”แถวหน้า” ที่ถูก”ตัดสิทธิ์” ห้ามเล่นการเมือง อย่างที่”ช่อ” พรรณิการ์” หรือ” ปิยะบุตร” หรือที่”ธนาธร” ได้รับ โดยการออกไป”เล่นการเมืองนอกสภา” ที่ “กฎหมาย” ไม่ได้ห้าม

ยังเป็นปัญหา”ระดับชาติ” คือการ”ระบาด”ของ”ยาเสพติด” ในประเทศไทย ที่ในการ”หาเสียง” ของ”เพื่อไทย” ที่มีการ”ตระโกนเย้วๆ” ทุกเวทีว่า “เพื่อไทยมายาเสพติดหาย” แต่วันนี้”เพื่อไทย”มาเป็น”รัฐบาล”แล้ว 7 เดือน นอกจาก”ยาเสพนติด” จะไม่ได้หายไปไหน หรือ”ลดลง” แต่กลับเพิ่ม”มากขึ้น” จับได้ 10 ล้านเม็ด มีการ “ผลิตเพิ่ม”อีก 100 ล้านเม็ด และ ลำเลียง”ข้ามประเทศ” เข้ามาแทนที่ “ยาบ้าที่ถูกจับ” รวมทั้งการ”ลำเลียงยาเสพติด” มีการ”พลิกแพง” มีวิธีการใหม่ๆ ตลอดเวลา วันนี้”เพื่อไทย” ไม่มีคำตอบให้กับ”ประชาชน” ว่าจะแก้ปัญหา”ยาเสพติด” อย่างไร และที่สำคัญเรื่องการแก้ปัญหา”ยาเสพติด” เป็นหน้าที่ของ” กระทรวงยุติธรรม” ที่ต้อง”รับหน้าเสื่อ” ทั้งเรื่องการ”เอาชนะยาเสพติด”ในเรื่องการ”ลดจำนวนผู้เสพ” และการ”ปราบปราม” เพื่อ”ลดจำนวนผู้ค้า” ที่สำคัญ กระทรวงยุติธรรม ยังต้องทำในเรื่อง”นำกัญชา” กลับไปเป็น”ยาเสพติด” อย่างในอดีต   และยังต้องมีการ”ควบคุม พืชกระท่อม” ที่ ระบาดหนัก หลังการ”ปลดล็อค” ออกจากการเป็น”พืชเสพติด” ด้วยการ”จับกุมน้ำกระท่อม”  ที่มีการ”ต้มขาย”ทั่วประเทศ เพราะเป็นการทำผิดกฎหมาย “น้ำกระท่อม” ต้มได้ กินได้ แต่”ห้ามขาย” ถ้าขายถูก”จับกุม”    ทั้งหมด กำลังจะ”เกินกำลัง” ของ”กระทรวงยุติธรรม” ที่เป็น”กระทรวงไม่ใหญ่ มี”เสนาบดี” เพียงคนเดียว โดยที่ไม่มี”รัฐมนตรีช่วย” ที่ สำคัญ เป็นกระทรวงที่ไม่มี”งบประมาณ” มากมาย แต่กลายเป็นมี”ภารกิจ” ที่”เกินตัว”    ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเห็น” เสนาบดี” กระทรวงยุติธรรม “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง “ ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไป ตะวันตก ตะวันออก และ”ต่างประเทศ” เหมือน”เหาะเหินเดินหน”ได้ เพราะ”ภารกิจ” ที่มากมาย

และสิ่งที่ สังคมต้องรับรู้ คือ หลังจากที่” เจ้าหน้าที่”เอาจริง” จับจริง และ ส่งฟ้อง ผู้ ต้มน้ำการะท่อมขาย  วันนี้ ผู้”เสพติดน้ำกระท่อม” เมื่อ”หาซื้อน้ำกระท่อม”ไม่ได้ ก็หันกลับไป”เสพยาบ้า” เป็นการ”ทดแทน” เพราะวันนี้”ยาบ้า” เป็น”ยาเสพติด”ที่หาง่าย มีการ”เดินยา” ที่เป็น”เดลิเวอร์รี่” คือ 24 ชั่วโมง และที่สำคัญ ยาบ้า 1 เม็ด 20 บาท ในขณะที่”น้ำกระท่อม 1 ลิตร 70 บาท เทียบราคาแล้ว” เงิน 70 บาท ที่เคยซื้อ”น้ำกระท่อม”ได้ 1 ชวด  ใช้ซื้อ”ยาบ้า”ได้ถึง 3 เม็ด  แล้วอย่างนี้จะแก้ปัญหาการ”ระบาด” ของยาเสพติดได้อย่างไร ….โดยเฉพาะ นโยบาย ครอบครองยาบ้า 5 เม็ด ถูกจับกุมยอมรับการ”บำบัด” กลายเป็น”ผู้ป่วย” กลายเป็นว่า นโยบายนี้ ได้สร้างให้เกิด”ผู้ป่วย” เต็มไปหมด ทุก หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และ วันนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ จะเอา”ผู้ป่วย” เหล่านี้ไป”บำบัด” ที่ไหน เพราะ”ศูนย์บำบัด” ที่มีอยู่ทั้งที่เป็นของรัฐและ”เอกชน” ไม่เพียงพอต่อ”ผู้ป่วย” หลังใช้ นโยบายมี”ยาบ้า 5 เม็ด” ไว้ในครอบครอง ให้เป็น”ผู้ป่วย” วันนี้ คนในสังคมไทย จึงอยู่กันด้วยความ”หวาดระแวง” เพราะไม่รู้ว่าจะถูก”ผู้ป่วย” ที่” เดินเพ่นพาน” เพราะไม่มีที่”บำบัด” จะ ทำการ”ทุบ ถอง “ หรือ” ทำร้าย” จนถึงแก่ชีวิตวันไหน นี่คือการแก้ปัญหา”ยาเสพติด” ที่” ได้อย่าง เสียอย่าง”

อย่าให้หายไปกับ”สายลมแสงแดด” คือเรื่อง”มาเฟียต่างชาติ” ที่เข้ามา”ทำมาหากิน” ใน” เกาะภูเก็ต” ที่”กร่าง” ถึงขาดการ “ทำร้าย” คนไทยที่เป็นเจ้าของ”แผ่นดิน” ล่าสุดมีการ ทำร้าย”ตำรวจ” ผู้รักษากฎหมาย  นี่แสดงให้เห็นว่า”ต่างชาติ” กำลัง”หยามหมิ่น” กฎหมายไทย เพราะที่ผ่านมามีการ”ทุจริตคอร์รั่ปชั่น” จนทำให้”ต่างชาติ” เข้าใจว่า”ประเทศไทย” ซื้อได้ทุกอย่าง เช่นการซื้อ “ชายหาด” ซื้อ”ที่สาธารณประโยชน์” ซื้อที่ดินใน”ป่าสงวน” และ”อุทยาน” เพื่อการ สร้างโรงแรม รีสอร์ต  บ้านพักตากอากาศ เรื่อง”อื้อฉาว” ที่ “เกาะภูเก็ต” ต้องไม่จบแค่” ถอนวีซ่า” ไล่ฝรั่งกลับเมือง ถอนใบอนุญาตการมี”อาวุธปืน” แล้วจบ แต่”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีระกุล” ต้องสั่ง” ผู้ว่าราชการจังหวัด” และ”เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด” รวมทั้ง “โยธาธิการจังหวัด”  และ “ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด”  ตรวจสอบ เอกสาร การครอบครองที่ดิน การซื้อ-ขาย การก่อสร้าง และการ อยู่ในเกาะภูเก็ต ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เรื่องนี้คน”เกาะภูเก็ต” และคนในประเทศไทยต้อง”ออกแรง” ช่วยกัน”กระทุ้ง” ให้มีการ”ตรวจสอบ” อย่างจริงจัง เพราะ วันนี้”นายทุน-และผู้มีส่วนได้เสีย”  พยายามที่จะให้เรื่อง”อื้อฉาว” บน”เกาะภูเก็ต” จบลงให้เร็วที่สุด  เพื่อที่จะได้ร่วมกันหาผลประโยชน์ต่อไป

จาก “เกาะภูเก็ต” เมืองท่องเที่ยวที่มีปัญหา”จราจร” ที่รถติดวินาศสันตะโร มายังเมือง”ระนอง” หรือ”แร่นอง” ที่วันนี้ไม่มี”แร่ให้ขุด”และ”ให้นอง” เหมือนในอดีต แต่เป็นเมืองที่มีเรื่องของ”โกฟุก” ที่เป็น”เครือข่าย” คนสองสัญชาติ ( เมียนมา-ไทย )  เจ้าของ”บ่อนการพนันออกไลน์” จำนวน 18 กลุ่ม และ ทำธุรกิจ”ส่งออก” น้ำมันเชื้อเพลิงจาก จ.ระนอง ไปยัง “เกาะสอง” ประเทศ เมียนมา ที่ ล่าสุดถูก” ดีเอสไอ” เข้าตรวจค้น จับกุม เรื่อง”บ่อนออนไลน์” ยังเป็นเรื่อง”จิ๊บๆ” ถ้าเทียบกับการ”ส่งออกน้ำมัน” ที่เป็นการ”ส่งออกทิพย์” คือไม่เกิดขึ้นจริง แต่มีการ”ขอคืนภาษี” จากการ”ส่งออก” ในรอบ 10 ปี ถึง 10.000 ล้านบาท  นี้คือความ “เสียหาย” และความ”สูญเสีย” ของประเทศชาติ สิ่งที่ “ดีเอสไอ”  ต้องเร่งดำเนินการ คือการ”ตรวจสอบ” เพื่อการ”เอาผิด” กับ เจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกี่ยวข้อง หลายหน่วยงาน หากเจ้าหน้าที่มีความ”รอบคอบ” และไม่”ร่วมมือ” กับ”โกฟุก” มีหรือที่จะถูก” หลอก” ให้มีการ”คืนภาษี” ได้ยาวนานถึง 10 ปี ดังนั้นผู้ที่ต้อง”รับผิด” ในเรื่องนี้อย่างเต็มๆ ต้องเป็น”เจ้าหน้าที่รัฐ” ดังนั่นจึงเห็นด้วย ที่”วัชระ เพชรทอง” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึง อธิบดีกรมสรรพากร ให้มีการ “ตรวจสอบ” เพื่อ”เอาผิด” กับ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในคดีการ”ส่งออกทิพย์” ของ”โกฟุก” และพวก

ล่าสุด “น้ำมันทรานซิสเส้นทาง” ที่มี”นายทุน” นำเข้ามาจาก ประเทศมาเลเซีย ก็ถูก” ตำรวจชุดปราบปรามน้ำมันเถื่อน” ของ” พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย”  ผกก. 3 กก. สส. ภาค 9 จับกุมได้ในพื้นที่ของด่านศุลกากรอำเภอสะเดา จ.สงขลา ก็มี”ปลายทาง” ในการ”ส่งออก” ไปยัง ประเทศเมียนมา ผ่านทาง จ.ระนอง เช่นกัน ดังนั้นนอกจากความผิดอื่นๆใน พรบ.น้ำมันเชื้อเพลิง ที่ ตำรวจ ปนม. ตั้งข้อกล่าวหาแล้ว ต้องมีการตรวจสอบให้ ชัดเจนว่าจาก” เอกสาร PO” หรือ”ใบสั่งซื้อ” ว่า บริษัทที่”สั่งซื้อ” จาก”ประเทศเมียนมา” มีอยู่จริงหรือไม่ และ ใน”เอกสารใบ PO “ สั่งซื้อ” น้ำมันอะไร เพราะที่ผ่านมาเคยมีการ”ตรวจสอบ” พบว่าบริษัทผู้”สั่งซื้อ” จาก” ประเทศ สปป.ลาว เป็น “บริษัททิพย์” ที่ไม่มี”ตัวตน” มาแล้ว และน้ำมัน”ทรานซิส” ที่นำเข้ามาจาก”ประเทศมาเลเซีย” เพื่อขอผ่าน”ประเทศไทย” ไปส่งให้กับ”ประเทศที่สาม”  ก็ไม่ได้ไปจริง แต่มีการ”แอบขาย” ให้กับ”ลูกค้า” ในประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยต้อง”สูญเสียรายได้” ที่เป็น”ภาษี” จำนวนมหาศาล ตรวจสอบให้จริงๆ จะเห็นว่า”น้ำมันทรานซิส” ที่ของผ่านประเทศไทย มีการทำกันเป็น”ขบวนการ” ที่เรียกว่า”ขบวนการค้าน้ำมันข้ามชาติ” ที่ ส่งขายในประเทศไทยกว่าครึ่งหนึ่งของการ”นำเข้า”ที่”ขบวนการค้าน้ำมันข้ามชาติ” ได้”กำไรสองต่อ” กำไรต่อแรกคือ ซื้อน้ำมันจากประเทศในมาเลเซียในราคาถูก ลิตรละ 19 บาท มาขายให้กับลูกค้าในประเทศไทย ลิตรละ 27 บาท กำไรต่อที่ 2 คือ ส่ง”เอกสาร” ให้กับ”ศุลกากร” เพื่อแสดงว่ามีการ”ส่งออก” ไปประเทศที่สามแล้ว และ”ขอคืนภาษี”…..เรื่องนี้มีการ”ไขข่าว” ใน”วงใน”ของ”ขบวนการค้าน้ำมันข้ามชาติ” ว่ามีการจ่าย”ใต้โต๊ะ” คันละ 90,000 บาท ต่อน้ำมันคันละ 40,000 ลิตร  เพราะ “ร่ำรวย”กับ”เละเทะ”

เรื่อง พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก. 3 กก.สส. ภ.9 นำกำลัง ตร.ปนม. เข้าจับกุม “น้ำมันทรานซิส” ในขณะที่ รถบรรทุกน้ำมัน”หัวลาก” จำนวน 3 คน มีน้ำมันในรถ 120.000 ลิตร โดยที่ รถทั้ง 3 คน จอดอยู่ในที่ทำการศุลกากรสะเดา โดย”นายทุน” ผู้”สั่งนำเข้า” อ้างว่า เป็นน้ำมันที่ถูกต้อง และอยู่ระหว่างการ ดำเนินการทางเอกสารการ”ทรานซิส” จาก” เจ้าหน้าที่ศุลกากร เรื่องนี้เป็นการ”ต่อสู้” ทาง”กฎหมาย” ระหว่าง”นายทุน” กับ” ตำรวจ” ผู้ทำการจับกุม ก็ต้องดูว่าสุดท้าย “เผดิมชัย มั่งคั่ง” นายด่านศุลกากรสะเดา จ.สงขลา จะยืนอยู่ข้างใคร ระหว่าง”นายทุน” กับ”ตำรวจ” ที่ เข้าไป”ล้วงคองูเห่า” เพราะไป”จับกุม” ในพื้นที่ของด่านศุลกากร เรื่องนี้ “บานปลาย” เป็นเรื่องของ”ศึกศักดิ์ศรี” และเกี่ยวข้องกับ หน่วยราชการหลายหน่วย เพราะแม้แต่ “พลังงานจังหวัดสงขลา” ที่ “ตำรวจ” ขอให้ไป “ตรวจสอบ” น้ำมันในรถที่นำเข้าว่า ตรงกับ”เอกสารนำเข้า” หรือ”ใบพีโอ” หรือไม่ ก็ไม่กล้าที่จะไป”ตรวจสอบ” โดยขอ”หารือ” กับ “กรมธุรกิจพลังงาน” ก่อน เพราะ”เคสการจับน้ำมันทรานซิส” เป็น “เคสแรก” ที่เกิดขึ้น หลังจากมีการนำเข้าน้ำมันจาก”ประเทศมาเลเซีย” โดย วิธีการ”ทรานซิส” เส้นทาง เพื่อไปยังประเทศที่สาม เรื่องนี้เป็นเรื่อง”ไม่ปกติ” ที่ “เสนาบดี” กระทรวงพลังงาน “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” ต้องให้ความ”สนใจ”

ส่วน”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ซึ่ง “สวมหมวก” ของ “เสนาบดีกระทรวงการคลัง” ด้วยนั้น ขอให้มีการ”ตรวจสอบ”การทำหน้าที่ของ”กรมศุลกากร” เป็นกรณีพิเศษ เพราะหน้าที่ของ”ศุลกากร” โดยเฉพาะใน จังหวัดที่เป็น”เมืองชายแดน” มีเรื่องของ”ผลประโยชน์ทับซ้อน” โดยเฉพาะเรื่องการ”นำเข้า-ส่งออก” และการ “ลักลอบ” สินค้าหลบหนีภาษี

เรื่องเศร้าสำหรับ”ชาวมูโนะ” อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่บ้านเรือน พังเสียหาย จากการ”ระเบิด”ของ”โกดังเก็บพลุ-ดอกไม้ไฟ” เมื่อกลางปี 2566  วันนี้บ้านที่กำลังสร้าง ถูกสั่งระงับการก่อสร้างทั้งหมด เพราะ”กรมบัญชีกลาง” แจ้งให้ทางจังหวัดว่า”ผิดระเบียบ” ไม่สามารถเบิกเงินได้   อะไรกันนักกันหนา กับ”ระบบระเบียบ” ของ “ราชการไทย” จากจังหวัด หรือจาก”ส่วนกลาง” และถามว่า เมื่อเกิดปัญหาอย่างนี้ ใครจะรับผิดชอบกับ”เคราะห์กรรม” ที่ชาวบ้านได้รับ

เรื่องความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านไป 20 ปี ยังมองไม่เห็น”แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ทั้งการ”ป้องกันปราบปราม” กองกำลังติดอาวุธของบีอาร์เอ็น ที่ก่อเหตุในพื้นที่ของสามจังหวัด สี่อำเภอของ จ.สงขลา ที่”รุนแรง” เป็น”ระยะๆ” ตั้งแต่เริ่มข้นปี 2567 เป็นต้นมา และหลังเข้าสู่”เดือนรอมฎอน” ก็มีการ”ปิดล้อม” เพื่อ”จับกุม” กองกำลังติดอาวุธของ”บีอาร์เอ็น” ที่แอบเข้ามา”เช่าบ้าน” ใน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อเตรียม”ก่อเหตุ” ที่จบลงด้วยการ”สู้ตาย” กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ……หลังจากนั้น”บีอาร์เอ็น” ก็”จัดฉาก” ให้คนตายจากการถูก”วิสามัญ” เป็นการตายแบบ”ชาอีด” หรือการ”พลีชีพ” เป็น”นักรบของพระเจ้า” มี ผู้คน”มากหลาย” ทั้งจากในพื้นที่และนอกพื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี มายืน”เข้าแถววัทยาวุธ” เป็นการ”เคารพศพ” และมีการ”แห่ศพผู้ตาย” ไปยัง”กุโบร์” ( สุสาน ) ด้วยการ “ตระโกนสรรเสริญผู้ตาย และตระโกนคำว่า” ปัตตานี เมอร์เดก้า” ที่สำคัญพ่อของผู้ตาย ให้สัมภาษณ์”สื่อ” ว่าภูมิใจกับการ”พลีชีพ” เพื่อเป็น”ชาอีด” ของผู้เป็นลูก นี่ไม่ใช่เรื่อง”ปกติธรรมดา” ที่ “แม่ทัพต้น” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 จะอยู่นิ่งๆ ได้อีกต่อไป  และต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อ”หยุด” การ”บิดเบือน” หลักการของศาสนา ที่เป็นแผนการของบีอาร์เอ็น ในการ”ปลุกระดม” และ”แสวงหามวลชน” โดยอาศัยการ”วิสามัญฆาตรกรรม” ของเจ้าหน้าที่ต่อ “กองกำลังติดอาวุธ”

สิ่งหนึ่งที่”ค้างคาใจ” และต้องถามให้”กระจ่าง” ที่ในรอบ 20 ปี ของ”ไฟใต้ละลอกใหม่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่ว่าใครมาเป็น”แม่ทัพ” จะต้องให้ความสำคัญกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ และขอความร่วมมืออย่าให้”บีอาร์เอ็น” ทำการ”บิดเบือน”ในหลักการของ”ศาสนา” งบประมาณจำนวนมากที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ใช้ในการ”ทุ่มเท” กับผู้นำศาสนา โดยเฉพาะใน จ.ปัตตานี ไม่มีผลในการช่วยแก้ปัญหาในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเลยหรือไร เพราะทุกศพที่” กองกำลังติดอาวุธของบีอาร์เอ็น” ที่ถูก” เจ้าหน้าที่รัฐ”ทำการ”วิสามัญฆาตรกรรม” ล้วนถูกบิดเบือนว่าเป็น”ชาอีด” หรือ”นักรบพระเจ้า” ทั้งสิ้น  และถ้า สถานการณ์อย่างนี้”ไม่ยุติ” ก็อย่าได้ถามว่า “ไฟใต้” จะ สงบได้เมืองไหร่ นี่คือ สถานการณ์การ”ก่อการร้าย” ในพื้นที่ ซึ่งมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นใน”เดือนรอมฎอน”

ส่วน สถานการณ์ ในการ”พูดคุยสันติสุข” ที่ผ่านมาแล้วทุกรัฐบาลเป็นเวลา 13 ปี มีการ”พบปะพูดคุย” ระหว่าง” คณะพูดคุย”ของ”รัฐไทย” กับ”บีอาร์เอ็น” แบบ”ลุ่มๆดอนๆ” ผ่านมา 13 ปี เพิ่งจะมีการร่างแผน”การแก้ปัญหาความมาสงบแบบองค์รวม” ( JCPP ) สำเร็จ ในครั้งที่ “พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ “ เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฯ และมีการนำ เสนอแผน (JCPP ) โดย “ฉัตรชัย บางชวด” หัวหน้าคณะพูดคุยฯฝ่ายไทย กับ “หิพนี มะเระ” หัวหน้าพูดคุยฝ่ายบีอาร์เอ็น เมื่อวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และมีการ”พูดคุย”ระหว่าง”ประธานฝ่ายเทคนิค” ของทั้งสองฝ่าย เมื่อวันที่ 7-8 มีนาคม2567…..แม้ “ฉัตรชัย บางชวด” หัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายไทย จะออกมา”อ้อมแอ้ม” ว่า “บรรยากาศการพูดคุย” เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ทุกฝ่ายก็รู้ว่า “บีอาร์เอ็น” ปฏิเสธแผน ( JCPP ) และยังขอเพิ่มพื้นที่ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จาก 3 จังหวัด 4 อำเภอของ จ.สงขลา เป็น 3 จังหวัด และ 5 อำเภอของ จ.สงขลา นั้นคือมี  อ.สะเดา ผนวกเข้าไปด้วย จากเดิมที่มีเพียง 4 อำเภอ คือ จะนะ,เทพา,สะบ้าย้อย,นาทวี เป็นเพิ่ม สะเดา  และนอกจากนี้ยังขอให้มีการใช้”กฎหมายชารีอะห์” กับผู้ที่”ลักทรัพย์” โดยให้อยู่ในการ ตัดสินของ “ดาโต๊ะยุติธรรม” ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่”รัฐไทย” จะ ยินยอม ตามคำเรียกร้องของ”บีอาร์เอ็น” ดังนั้น 13 ปี ของ “เวทีการพูดคุย” ระหว่าง”รัฐไทย” กับ”บีอาร์เอ็น” ที่มี”รัฐบาลมาเลเซีย” เป็น”ผู้อำนวยความสะดวก” จึงน่าจะมีการ”ช้อยเก็บฉาก”   และต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และเชื่อว่าผู้ที่จะ”ตัดสินใจ” ในการ”เดินหน้า” ในเรื่องการ”พูดคุยสันติสุข” ว่าจะเดินตามเกมของบีอาร์เอ็น หรือจะเริ่มต้นการ”พูดคุยสันติสุข” ใหม่อีกครั้ง โดยอาจจะมี”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” กลุ่มอื่นๆ ที่พยายามมิให้”ตกขบวนรถไฟสันติภาพ” เข้าร่วมด้วย    อยู่ที่การ”ตัดสินใจ” ของผู้อยู่”หลังฉาก”ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” เพราะอย่าลืมว่าผู้ที่”ริเริ่ม” ในการ”เจรจาสันติภาพ” เกิดขึ้นในสมัยของ”รัฐบาลยิ่งลักษณ์” แต่ผู้อยู่”เบื้องหลัง” ในการ”เจรจา” กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้ง 4-5 กลุ่ม คือ”ใคร” ซึ่งเป็นนโยบายที่ “กองทัพ” ไม่เห็นด้วย

หลังจากที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยึดอำนาจการปกครองจาก”รัฐบาลยิ่งลักษณ์” แม้จะมีการ”สานต่อ”ของ”โต๊ะการเจรจาสันติภาพ” แต่ก็มีการเปลี่ยนชื่อเป็น” การพูดคุยสันติสุข” และหนึ่งใน”คำสั่ง” ที่สำคัญยิ่งที่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี “สั่งการ” ผ่าน”กองทัพ”คือ “ห้ามมิให้มีการลงนามใดๆกับขบวนการบีอาร์เอ็น” อย่าง”เด็ดขาด” นั้นคือ สาเหตุที่”การพูดคุยฯ” ผ่านไปถึง 9 ปี โดยไม่มีการ”ลงนาม” กับ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” แต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อ “ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) ถูกแต่งตั้งโดย”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ให้ทำหน้าที่”หัวหน้าคณะพูดคุย” จึง”คาดหวัง” ที่จะสร้างผลงานชิ้น”โบว์แดง” ด้วยการ”ลงนาม” ร่วมกับ”บีอาร์เอ็น”ตามแผน ( JCPP ) ในสมัยของ “รัฐบาลพลเรือน” แต่ สุดท้ายแผน (JCPP ) ก็ถูก”เท” โดย “บีอาร์เอ็น” ที่ผ่านความเห็นชอบจาก”รัฐบาลมาเลเซีย” ดังนั้นการ”เจรจา”หรือ”พูดคุย” ครั้งต่อไปจะมีความ”สำเร็จ” และ”เดินหน้า” ไปได้หรือไม่จึงไม่ได้อยู่กับ”บีอาร์เอ็น” แต่ขึ้นอยู่กับ”รัฐบาลมาเลเซีย” และนี้คือ ประเด็น สำคัญที่ “กองทัพ”รู้ แต่”รัฐบาล”ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ไม่รู้  แต่ต้องทำตามความต้องการของ”กองทัพ”คือ “พูดคุย”ได้ แต่”ลงนาม” ไม่ได้ เพราะการ”ไม่ลงนาม” ไม่รับ”เงื่อนไข” ของ”บีอาร์เอ็น” คือความ”ปลอดภัย” ของ”แผ่นดินปลายด้ามขวาน”……เพราะเป็นที่รู้กันว่า”ปีกทางการเมือง” ที่ “ปฏิบัติการอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการกำหนดแผนการจัดตั้ง” นครรัฐปัตตานี”ไว้แล้ว เพื่อการ”บีบ” ให้”รัฐบาล”ยอมรับ”เงื่อนไข”ของ” การปกครองตนเอง” หรือการเป็น”เขตปกครองพิเศษ” แทนการ “แบ่งแยกดินแดน” ที่ “บีอาร์เอ็น” รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้   ทั้งหมดคือ”เกมกล”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่มีต่อพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากการแบ่งแยกดินแดนด้วยการ สถาปนาปัตตานีดารุสสลาม มาเป็น  เขตปกครองตนเอง หรือ เขตปกครองพิเศษ ที่ชื่อว่า”นครรัฐปัตตานี” นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยมี”กลุ่มการเมือง” บางกลุ่ม เห็นด้วย และให้การสนับสนุน ถ้าอยากเห็นอะไรดีๆ ให้จับตามการการ”อภิปราย” การแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ใน สภาผู้แทนราษฎร ก็จะพบเห็นถึงความเป็นจริง……แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ล้างบาง! ‘มาเฟียต่างชาติ’ ยึดเกาะภูเก็ต

16 มี.ค. 2024
142

ภาพใหญ่ของ”การเมือง” ทั้งใน”สภาผู้แทน” และ”นอกสภาผู้แทน” ยังมีภาพของความ”ไม่ลงรอย” มีการ”ขบเกลียว” กับในทุกเรื่องที่เป็นเรื่องการเสนอ”กฎหมาย”โดยเฉพาะที่เป็นของ”ก้าวไกล” รวมทั้ง”วิวาทะ”ที่เกิดขึ้น ระหว่าง”นักการเมือง” ต่างพรรค ที่เห็นชัดถึงความ”ขัดแย้ง”แบบที่สุดท้ายคือไม่ร่วม”สังฆกรรม” ในทุกเรื่องของ”สภาผู้แทนราษฎร”…..ส่วนในเรื่องของ” ผลงาน” ของ แต่ละพรรคการเมือง ซึ่งโดยภาพรวม”เพื่อไทย” ที่เป็น”แกนนำ” และมี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ซึ่งมีการ “ขับเคลื่อน” ภายใต้”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ไปแล้ว 6 เดือน แต่ยังไม่เกิด”มรรคผล” ที่เป็น”รูปธรรม” ให้”จับต้อง” หรือสร้างความ”พึงพอใจ” ให้กับ “ประชาชน” ทั้งประเทศ เพราะ วันนี้”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่” เพื่อไทย” ขอเวลา 1 เดือน ก็กำลังจะครบ 1 เดือน แต่ยังไม่มีคำตอบว่าการ”ซื้อเวลา 1 เดือน “เพื่อไทย จะ หา”ทางออก” เพื่อนำโครงการ”แจกเงิน” ให้ประชาชนคนละ”10,000 บาท ได้หรือยัง หรือยังจะต้อง”ซื้อเวลา” ต่อไปเรื่อยๆเพราะเข้าตำรา”กลืนไม่ได้ คายไม่ออก”…..ส่วนเรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” ก็กลายเป็นเรื่องที่มีแต่การ”พูด พูด พูด” และ”พูด” ซึ่งเต็มไปด้วยโครงการที่มากมาย แต่เป็นเพียงเรื่องของ”วาทกรรม” ที่ยังไม่”เป็นจริง” และที่สำคัญ ทั้งประเทศชาติ และ ประชาชน ยังไม่ได้รับ “ประโยชน์โภชน์ผล” จากเรื่องที่มาจาก”ซอฟต์พาวเวอร์” แต่อย่างใด “จับต้องไม่ได้” แต่”น้ำลายแตกฟอง” ที่หาเสียงไว้”เพื่อไทยมา”จะอยู่ดีกินดี” จนถึงวันนี้ยังไม่มี”ของจริง”…..”เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน “นายกรัฐมนตรี”  เพิ่งกลับจากการ”ทัวร์ต่างประเทศ” ในการทำหน้าที่เป็น”เซลล์แมน” นำเอาโครงการต่างๆ ที่เป็น”โปรเจตก์”ใหญ่ๆ ไปนำเสนอให้กับ “กลุ่มทุน”ในต่างประเทศ เพื่อ ชักชวน ให้มา”ลงทุน” ในประเทศไทย  ก็”เอาใจช่วย” ให้ มีความสำเร็จ ก่อนที่ ประเทศ จะ”ซวนทรุด” ไปกว่านี้

ต้องขอบคุณ ”เดวิด” ฝรั่ง เท้าไว้” แห่ง เกาะภูเก็ต ที่ทำให้เกิดการ”น้ำลดตอผุด” ทำให้คนทั้งประเทศเห็นถึงความ”ฟอนเฟะ” ของ ระบบราชการใน”ภูมิภาค” ที่มีการ”ปล่อยปละละเลย” ให้คน”ต่างชาติ” เข้ามามี”อิทธิพล” บุกรุก ยึด ที่ดิน ทางเท้า ที่สาธารณประโยชน์ ชายหาด ไปเป็น”สมบัติส่วนตัว” ทำได้แม้แต่การให้อนุญาตมี”อาวุธปืน” คนเดียว 2 กระบอก ถ้าไม่มีกรณีของ”เดวิด เท้าไว” เรื่องความ”ชั่วร้าย” ใน เกาะภูเก็ต คงจะกลายเป็น”ความลับ” ให้”กลุ่มทุน” สมคบ”เจ้าหน้าที่บางกลุ่ม” หาผลประโยชน์ไปอีกนาน…..ข้อสำคัญ ไม่ได้มี กรณีของ”เดวิด เท้าไว” เพียงคนเดียว ที่มี”พฤติกรรม” อย่างนี้ ยังมี”ชาวต่างชาติ” อีกจำนวนไม่น้อย ทั้งที่เป็น”ฝรั่งอั้งม้อ” จาก”ประเทศต่างๆ “จีน”  และ”อินเดีย” รวมทั้ง”รัสเซีย” ที่เป็น”มาเฟีย” อยู่ในเกาะภูเก็ต โดยการ”คุ้มครอง”ของ”กลุ่มทุนคนไทย” กับ”ข้าราชการ” ซึ่งเห็น”ผลประโยชน์ส่วนตน” มากกว่าความเสียหาย”ล่มจม” ของประเทศชาติ ก็ได้แต่ “ภาวนา”ว่า “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี” จะได้นำเอา” กรณีนี้ “ สั่งการให้ “กระทรวงมหาดไทย” ที่มี”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล” เป็น”เสนาบดี” ทำการ”ล้างบ้าง” เพื่อให้”เกาะภูเก็ต” กลับมาเป็น”สมบัติ” ของ”คนไทย”ทุกคน โดยไม่ต้องเดิน”ตัวลีบ” บน”แผ่นดิน” ของตนเอง และไม่รู้ว่าจะ”ถูกถีบ” วันไหน

เรื่องที่เกิดกับ”เกาะภูเก็ต” ก็เกิดกับ เกาะอื่นๆ และ เมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เช่นกัน เช่นที่ “เกาะสมุย –เกาะพงัน –เกาะเต่า” จ.สุราษฎร์ธานี ที่มี”มาเฟีย” ชาว”ต่างชาติ” มี”อิทธิพล” ที่ยิ่งใหญ่  ไม่แพ้ที่ “เกาะภูเก็ต” ซึ่ง”นายกนิด”ต้องสั่งการให้”มหาดไทย” โดยเฉพาะ”กรมที่ดิน” ตรวจสอบการถือครอง”ที่ดิน” บน เกะแก่ง ชายหาด ว่าเป็นการออกแบบ”ถูกต้อง” หรือไม่  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ตรวจสอบ” อื่นๆ ต้อง”ตรวจสอบ” อย่างจริงจัง โดยเฉพาะ กลุ่ม”ต่างชาติ” อิทธิพล” ที่”วีซ่าขาด” หรือ”โอเวอร์สเตย์” ซึ่งยังเดิน”เฉิดฉาย” และ”ประกอบธุรกิจ” ได้ ทั้งที่อยู่ในฐานะของคน”หลบหนีเข้าเมือง” เรื่องนี้  “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล “ผบ.ตร. ต้อง”สั่งการ” ให้”พล.ต.ต.ทรงโปรด สุขศิริ” ผบก. ตม.6  ดำเนินการ”กวาดล้าง” ให้สิ้นซาก อย่ากลัวว่าการ”กวาดล้าง”เพื่อให้”แผ่นดิน”ของ เกาะต่างๆ”สะอาดสะอ้าน” จะมีผลกระทบกับ”ธุรกิจการท่องเที่ยว”  แต่จะทำให้”แผ่นดินสูงขึ้น” และ” เศรษฐกิจ ธุรกิจ “และ “การท่องเที่ยว”  ในพื้นที่เหล่านี้”เฟื่องฟู” กว่าเดิม และ”คนไทย” ที่ทำธุรกิจท่องเที่ยว จะได้มีที่”หยัดยืน” แข่งขันกับ”ต่างชาติ”ได้ คนที่ออกมา”คัดค้าน” การ”กวาดล้าง กลุ่ม”มาเฟียต่างชาติ” และ”นักธุรกิจอิทธิพล” เป็นพวกที่ได้รับ”ส่วยสาอากร” และกลัวที่จะ”สูญเสียประโยชน์ “ที่ได้รับ ก็หวังว่า “โสภณ สุวรรณรัฐ “ผวจ.ภูเก็ต คงจะ”ตั้งหลัก” ได้แล้ว หลังจากถูก อนุทิน ชาญวีรกุล  มท. 1 เรียกตัวให้กลับมาจาก ต่างประเทศ อย่างเร่งด่วน เพื่อมาแก้ปัญหา”เน่าเฟะ” ของ เกาะภูเก็ต ที่”หมักหมม”มานาน  เบื้องต้น”ไล่ฝรั่ง” ที่”อิทธิพล” ทำผิดกฎหมาย ออกจาก”เกาะภูเกาะ” เอาพื้นที่”แหลมหงา” และ”หาดนุ้ย” กลับมาก่อน เพื่อให้”ชาวบ้าน” เห็นว่า”ตำแหน่ง”ผู้ว่าราชการจังหวัด ก็มี”น้ำยา” เหมือนกัน

นี่ก็”น้ำลดตอผุด” เรื่อง ที่ดิน”สปก.4-0 1” ที่ต้อง”ปรบมือ” ให้กับ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ที่กล้าออกมาทำในสิ่งที่”ถูกต้อง” กล้าที่จะ”เอาไม้สั้นไปรันขี้”  เพราะเรื่องของที่ดิน”สปก.” นั้น เป็นที่รู้กันทั้งประเทศ ว่ามีความไม่”โปร่งใส” และมีการครอบครองโดย”กลุ่มทุน” ที่ไม่”ชอบมาพากล” กันมานานนม การเอาที่ดิน”  สปก 4-01 “ มาออกเป็น”โฉนด สปก” คือช่องทาง ในการ”สร้างมูลค่าเพิ่ม” และการ”เปลี่ยนมือ” การ”เปลี่ยนผ่าน” จากการใช้ที่ดิน”เพื่อการเกษตร” ไปสู่ “ ธุรกิจ”อื่นๆ ที่ สำคัญ เมื่อเกิด กรณี  “สปก” รุกที่”อุทยานแห่งชาติ” สิ่งที่ “นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน” ต้องเร่งสั่งการคือ” เอกซเรย์” ที่ดิน “สปก.”ทั้งประเทศอีกครั้ง เพื่อที่จะได้รู้ว่า ณ วันนี้ ที่ดิน “สปก.” อยู่ในมือของ” นายทุน” เท่าไหร่” และที่ยังเป็นของ”เกษตรกร” เท่าไหร่ ถ้าผิด”วัตถุประสงค์” ของ การปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร” ก็ต้อง”ยกเลิก” ถามว่า กล้าไหมๆ  ตัวเลข “สปก.”รุกที่ อุทยาน 205,000 ไร่ อยู่ใน 142 อุทยานแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่อง”ล้อเล่น” แต่เป็นเรื่องที่ต้อง”ล้างบาง”   …..ส่วน “เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่ออกมาให้”สัมภาษณ์สื่อ” ว่าจะ”ล้างบางคนเลว” ในสำนักงานปฏิรูปที่ดินฯ ก็ขอให้ทำกันจริง อย่าทำแบบ”ผลัดกันเกาหลัง”  เพราะ”เสนาบดี” ทั้ง 2 กระทรวง ที่ลูกน้องกำลัง”เกาเหลา” กันอยู่นั้น เป็นนักการเมือง”พรรค”เดียวกัน” คนหนึ่งเป็น”มือขวา” และคนหนึ่งเป็น”น้องชาย” ที่”คลานตามกันมา” ของ”บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ “ ผู้เป็น”หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” ดังนั้นชาวบ้านร้านช่องเกรงว่าจะมีการ”เกี้ยเซี้ย”กันเกิดขึ้น เรื่องนี้ ประชาชน ต้อง จับตา และ ติดตาม เพราะเป็นเรื่องความ”หายนะ” ของประเทศชาติ

เรื่อง”ตั๋วเครื่องบินแพง”  ในทุก สนามบิน ของภาคใต้ เกิดจากอะไร และ หน่วยงานไหน รับผิดชอบ มีการ “ร้องเรียน”กันไปหลายครั้ง แต่ไม่มีคำตอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบว่าจะ “แก้ไข” อย่างไร หรือ แก้ไขไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของ” นายทุน” เจ้าของ”สายการบิน” ล่าสุด “ราคาตั๋ว” จาก สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ ไปยัง  สนามบินดอนเมือง และ สุวรรณภูมิ ในวันที่ 8-9-10 ราคา”ทะยาน”ไปถึง 5,000-6,000 บาท  อย่าว่าแต่”คนธรรมดา” ที่รับไม่ได้ แม้แต่”นักธุรกิจ” ในพื้นที่ ก็”เดือดร้อน” กับราคาที่บอกได้คำเดียวว่า”โคตรหฤโหด”….. บ้านนี้เมืองนี้ มีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อ”เสวยสุข”รับ”เงินเดือน” จาก”ภาษี” ที่มาจาก”เงิน” ของ”ประชาชน” มากมายแต่ทุกหน่วยไม่ได้”สนใจไยดี” กับความ”ทุกข์ร้อน”ของ”ประชาชน” ที่มีความ”จำเป็น” ในการต้อง”โดยสารเครื่องบิน” เรื่องนี้” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เสนาบดี กระทรวงคมนาคม ต้องให้ความ”สนใจ” และต้องมีการ”จัดระบบ” ของ”สายการบิน” ในเรื่องของ”ราคาตั๋ว” ที่ต้องมีการกำหนด”เพดาน” ว่าราคา”สูงสุด” อยู่ที่ไหน”ไม่ใช่ปล่อยให้เป็น”เสรี” โดยไม่มีการ”ควบคุม” เพราะนี่เป็นการ”เอาเปรียบผู้บริโภค” ที่ชัดเจนที่สุด….ที่สำคัญ “ตั๋วแพง” เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคแบบ”มัดมือชก” แต่การให้ บริหาร ทุกเส้นทางมีแต่เรื่องการ”ดีเลย์” ที่บางสายการบิน”โลว์คอส” ล้าช้าทีละ 1 ชั่วโมง และสิ่งที่ ผู้โดยสารได้รับจาก”สายการบิน” คือ” ขออภัยในความล่าช้า” แต่กับ”ผู้โดยสาร” ที่มาขึ้นเครื่องช้าไปเพียง 10 นาที คือ “ตกเครื่อง” ไม่สามารถขออภัยจากความ”ล่าช้า” ที่มาจากปัญหา”รถติด” แต่อย่างใด   แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่า”เอาเปรียบ” ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ที่สำคัญ” นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน หวังจะ”บูมการท่องเที่ยว” แต่”สายการบิน” ไม่”สนองตอบ” นโยบายของการ”บูมการท่องเที่ยว” แต่อย่างใด เรื่องนี้ “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” รัฐนตรีกระทรวงท่องเที่ยว และกีฬา ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็น”ปัญหาอุปสรรค” ของการท่องเที่ยว เลยหรือไร กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จึง”เงียบฉี่” เหมือน”เป่าสาก”

เรื่องของ”โกฟุก” นายทุน”สองสัญชาติ” ที่เป็น”กลุ่มทุนพนันออนไลน์” และ”ค้าน้ำมันเถื่อน ” แล้วขอ”คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม” ที่ โกงชาติโกงแผ่นดินเป็น”10,000 ล้าน ในรอบ 10 ปี หลังถูก”ดีเอสไอ” บุกเขา “กวาดล้าง”ที่ จ.ระนอง “โกฟุก” และ”หุ้นส่วน” เถ้าแก่เรือประมงสองสัญชาติ หนีข้ามไป”เมียนมา”ได้ แต่”ศรีภรรยา” ถูกจับกุมเป็นผู้ต้องหา ข่าวว่า”โกฟุก” ติดต่อกับ “นักการเมือง” ผู้”กว้างขวาง” ในพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อขอ”ประกันตัวศรีภรรยา”โดยพร้อมที่จะ”จ่ายใต้โต๊ะ” 20 กิโลกรัม เรื่องนี้ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง “ รัฐมนตรียุติธรรม ต้องอย่าให้”นักการเมือง” ผู้กว้างขวางทำได้สำเร็จ

เรื่องของ”ยาเสพติด” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ที่ยังมีการ”ระบาด” อย่างหนัก” โดยเฉพาะ”ผู้ค้า” ที่มี”ผู้หญิง” เข้ามาเป็น”ผู้ค้ารายใหญ่” มากขึ้น ที่สำคัญ มีการเปลี่ยนผู้”เดินยา” จาก” ผู้ชาย” มาเป็น”ผู้หญิง” มากขึ้น  ทั้ง คนท้อง คนมีอายุ และ เยาวชน เพราะคนเหล่านี้ ยังไม่เป็น”เป้าหมาย” ของ”เจ้าหน้าที่” สามารถ”ผ่านจุดตรวจ”อย่างปลอดภัย เพราะ”เจ้าหน้าที่” ไม่”เข้มงวด” ในการ”ตรวจค้นผู้หญิง” ต่อไป “จุดตรวจ” คงต้องมี”เจ้าหน้าที่ผู้หญิง” ประจำจุดตรวจ เพื่อไว้”รับมือ” กับขบวนการค้ายาเสพติดที่ใช้”ผู้หญิง” เป็นคน”เดินยา” นี้คือ”สถานการณ์” การระบาดของ”ยาเสพติด” ที่มีการ”เปลี่ยนไป”

ก่อนเข้าสู่” เดือนรอมฎอน” เพียงไม่กี่วัน สถานการณ์ความรุนแรง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทั้งการ”ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ” ทั้ง”ซุ่มยิง-ประกบยิง” และ” ระเบิดแสวงเครื่อง” โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ นราธิวาส เป็นการ”ชี้ชัด” ว่า “เดือนรอมฎอน” ปีนี้ ซึ่งเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2567 เป็นต้นไปเป็นเวลา 1 เดือน จะเป็น”เดือนรอมฎอนเลือด” เพราะยังมี” แนวร่วม” ที่เชื่อการ”บ่มเพาะ”จาก”อุสต๊าซ” ผู้ทำหน้าที่”สอนศาสนา” ของ”บีอาร์เอ็น”ว่าการ”ฆ่าศัตรู” ใน”เดือนรอมฎอน” จะได้บุญถึง 10 เท่า การ”บิดเบือน” คำสอนของ”ศาสดา” ให้”แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น”ฆ่าคน” ผิดทั้ง”กฎหมาย” และ”หลักศาสนา” รวมทั้ง”ศีลธรรม” แต่ก็แปลกตรงที่” โอไอซี” ที่เป็นตัวแทนของ”โลกอิสลาม” ที่เดินทางมาติดตามความคืบหน้า สถานการณ์ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เคย”พูดถึง” และไม่เคย”ประณาม” หรือขอให้”บีอาร์เอ็น” ยุติการ”ฆ่าคน” ใน”เดือนรอมฎอน” ที่เป็นเรื่องที่ขัดหลักการของ”ศาสนา-กฎหมาย” และ”ศีลธรรม” แต่อย่างใด……ดังนั้น “เดือนรอมฎอน” ของปี 2567 การรักษาความสงบ และความปลอดภัยของคนในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” จึงเป็นหน้าที่ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่มี” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.กอ.รมน.ภาคที่ 4 และ” พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ “ แม่ทัพภาคน้อยที่ 4 ต้อง”รับมือ” การ”ก่อการร้าย” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” และ”แนวร่วม” ในทุกระดับให้ได้

เห็น”คำสั่ง” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ออกคำสั่ง ให้ กำลังพล ระวังป้องกันตนเอง ในการเดินทางออกจาก”ฐานปฏิบัติการ” ให้”ชคต.” หรือ “ชุดคุ้มครองตำบล” ป้องกันตนเอง ห้ามให้ กำลังพล นำอาวุธปืนออกจาก”ฐานปฏิบัติการ” นี่แสดงว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เน้น” การป้องกัน”กำลังพล” และ”ป้องกันฐานปฏิบัติ” แต่ไม่มีแผนในการป้องกัน “ชีวิต” และ”ทรัพย์สิน” ของ”ประชาชน” ในพื้นที่เลย”ใช่หรือไม่ และการ”ปล่อยลูกโป่งสีขาว” เพื่อเป็น”สัญลักษณ์” ของความมี”สันติภาพ”  นอกจาก”เปลืองเงินค่าลูกโป่ง”แล้ว ไม่ได้ทำให้”บีอาร์เอ็น” รู้สึกรู้สา เรื่องของ”สันติภาพ” แต่อย่างใด  เพราะขนาดอยู่ใน”เดือนรอมฎอน” ที่เป็นเดือนแห่งความ”ประเสริฐ” ของผู้ที่เป็น”มุสลิม” บีอาร์เอ็น ยัง”บ่มเพาะ” ให้ “แนวร่วม”ฆ่าศัตรู เพื่อที่จะได้บุญ 10 เท่า อย่างนี้เรื่อง “สันติภาพ” เรื่องการปล่อย”ลูกโป่งสีขาว”  เพื่อ”สันติภาพ” จึงไม่อยู่ใน”สมอง”ของ”บีอาร์เอ็น”…..ส่วนการ”พูดคุย”ระหว่าง”ประธานฝ่ายเทคนิค” ทั้งของไทย และ บีอาร์เอ็น ในระหว่างวันที่ 7- 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา  ไม่มี”สัญญาณบวก” เพราะทั้งสองฝ่ายยังหาขอ”ยุติ” ไม่ได้ แผน JCPP ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะ”บีอาร์เอ็น” ฝ่ายเทคนิค ไม่ยอมรับ แต่ใช้”ร่างเก่า” ที่ “บีอาร์เอ็น”เคยนำเสนอใน “เวทีการพูดคุย” ก่อนที่จะมีแผน JCPP ในสมัยที่ “พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ” เป็นประธานคณะพูดคุย ในสมัยที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ดังนั้นจึงยังไม่มีการ”ลงนาม”จากทั้งสองฝ่าย” ความฝัน “ ที่”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) ฝันไว้ว่า จะมีการลงนามระหว่าง ไทย กับ บีอาร์เอ็น ใน สมัยที่ตนเองเป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” ที่เป็น”พลเรือน” คนแรกจึง”เป็นหมัน”

ทางที่ดีที่สุด สำหรับ”คณะพูดคุย” ที่มี”ฉัตรชัย บางชวด” เป็น หัวหน้าคณะ คือการ”ยกเลิก” แผน jcpp   ยกเลิกการ”พูดคุยสันติสุข”  ในรูปแบบเดิมทั้งหมดเป็นการ”ล้างไพ่” และ เริ่มใหม่ เพราะแผน JCPP สังเกตได้ว่า เป็นแผนที่มี”องค์กรต่างชาติ” จาก”ชาติตะวันตก” เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และ”รัฐบาลมาเลเซีย” ซึ่งอยู่ในฐานะของ”ผู้อำนวยความสะดวก” ก็ไม่เห็นด้วยกับ”โต๊ะการพูดคุย” ที่มี” องค์กรต่างชาติ อย่าง” เจนีวาคอลล์” เป็นผู้กำหนดเกม” ปีกการเมือง”  โดยมี”เจ๊ะมูดอ มะรือสะ” หรือ”เจ๊าะมูดอ ตะมะยูง” เป็น”แกนหลัก”ของ” บีอาร์เอ็น” ที่เป็น”ปีกทางการเมือง” เป็นผู้ประสานงานกับ” เจนีวาคอลล์” และมี”นายพล” นอกราชการ” ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของ”เจนีวาคอลล์” สนับสนุน   การที่”บีอาร์เอ็น” ทีม”เทคนิค” ไม่เห็นด้วยกับแผน JCPP เป็นการ”สั่งการ” จาก” รัฐบาลมาเลเซีย” เพราะ “นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ไม่เห็นด้วยกับการให้”องค์กรต่างชาติ” เข้ามาเป็นผู้”กำหนดเกม” การ”เจรจา” ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเรื่องนี้เป็น”ผลดี” กับประเทศไทย ที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ”ศอ.บต.” ก็”อึดอัดขัดข้อง” กับการเข้ามา”ก้าวก่าย” งานด้าน”ความมั่นคง” และการ”พัฒนา” ของ”เจนีวาคอลล์” และ”ไอซีอาร์ซี” ที่เป็น”องค์กรจากชาติตะวันตก

ส่วนในด้านการ”อำนวยความสะดวก” ให้กับ”ผู้ต้องหา” คดีความมั่นคง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง “ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ หัวหน้าพรรคประชาชาติ สั่งย้าย “นักโทษเด็ดขาด ในคดีความมั่นคง ที่ถูก”คุมขัง” ในเรือนที่กรุงเทพฯ จำนวน 34 คน ให้มี”คุมขัง”ที่”เรือนจำกลางสงขลา และ ปัตตานี เพื่อความสะดวกในการเดินทางมาเยี่ยมผู้”ต้องโทษ” ใน”เดือนรอมฎอน” ของบรรดาญาติๆ นี่เป็นเรื่อง”อำนวยความยุติธรรม” เพื่อ”ขจัดเงื่อนไข” และหวังที่จะสร้างความ”พอใจ” ให้กับ คนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้…….อีกประเด็น ที่ควรแก่การสนใจ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการสันติภาพ ที่มี”จตุรนต์ ฉายแสง” เป็นประธาน ได้มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากคนในพื้นที่เพื่อร่วมกัน”ออกแบบสันติภาพ” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เท่าที่ติดตาม ในเวทีมีแต่การพูดถึง”ความรุนแรง” ที่ประชาชนได้รับจาก “เจ้าหน้าที่รัฐ” ในรอบ 20 ปี ของ”ไฟใต้ละลอกใหม่” เรื่องของการ”ตรวจค้น” การตรวจ”ดีเอ็นเอ” การใช้”กฎหมายพิเศษ” ที่มีความเห็นว่า”ละเมิดสิทธิเสรีภาพ” ของประชาชน แต่”รากเหง้า” ของปัญหาคือ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่เป็นผู้ก่อเหตุ”เข่นฆ่า” ประชาชน” และ”เจ้าหน้าที่รัฐ” วางระเบิด  วางเพลิง ร้านค้า ปั้มน้ำมัน ไม่มีใครกล่าวถึง “ทั้งที่ทุกเรื่อง ทุกปัญหา ที่ถูกนำมา กล่าวบนเวที”ออกแบบสันติภาพ” มาจาก”บีอาร์เอ็น” ทั้งสิ้น ถ้าไม่มี”บีอาร์เอ็น” ทุกอย่างก็จบ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะกลับมา “สงบสุข” ตามเดิม ดังนั้น”แบบที่ออก” เพื่อการสร้าง”สันติภาพ” จึงเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้า”บีอาร์เอ็น” ยังคง”ก่อการร้าย” ในพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้  “ไฟใต้” จะ”ยุติ”ลงได้ คือต้อง”ปรามปรามบีอาร์เอ็น” ไม่ว่าจะด้วย “กำลังเจ้าหน้าที่” หรือด้วยการ”เจรจา”เรื่องนี้ประธานคณะกรรมาธิการสันติภาพ ผู้ที่”ชาญฉลาด” และเป็นนักการเมือง”น้ำดี” อย่าง”จตุรตน์ ฉายแสง” ไม่น่า”หลงประเด็น

เรื่องดีๆ ราคายางพาราในประเทศ แตะที่ กิโลกรัมละ 80 กว่าบาทแล้ว เอาเถอะ แม้ว่าจะเป็น” ราคาแพง” ในห้วงที่ “ผลผลิต” ออกสู่ ตลาดน้อยเพราะเป็น”ฤดูปิดกรีด” หรือยาง”ผลัดใบ” แต่ถ้า ผู้บริหาร”การยางแห่งประเทศไทย” สามารถทำให้ราคายางพารา “ยืนอยู่” ที่ กิโลกรัมละ 80 บาท ได้ ตลอดไป นี่คือสิ่งที่”เกษตรกร” ผู้ทำสวนยางพาราต้องการ และ”อยู่ได้” แต่ อย่าเพิ่งคุยนะ ว่าเป็น”ฝีมือ” ของ “รัฐบาล” เพราะนี่เป็นเรื่องของ”กลไกตลาดโลก” เป็นเรื่อง”ดีมานด์-ซัพพลาย” …..แต่หน้าที่ของ” เสนาบดี” กระทรวงที่เกี่ยวข้อง และ”การยางแห่งประเทศไทย” ต้องทำต่อคือ การนำ”ยางพารา” ในประเทศไป”ต่อยอด” ในเรื่องของ”อุตสาหกรรม” ที่เป็น”ปลายน้ำ” ให้ประสบความสำเร็จ ถ้าทำได้ อาจจะได้เห็น ราคายางพาราที่เลข “สามหลัก” ก็ เอาใจช่วย เพื่อให้ชาวสวนยาง”ลืมตาอ้าปาก”ได้อีกครั้ง

เรื่อง”น้ำมันเถื่อน” จาก”มาเลเซีย” ที่”ทะลักทลาย” เข้ามาทางชายแดน อ.สะเดา จ. มีการ”ทำคอก” เพื่อ”เก็บกัก” รอขนขึ้น”รถพ่วง”ในพื้นที่” อ.คลองหอยโข่ง” และ” ต.ท่านางหอม” อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หน่วยงานไหนที่มีหน้าที่ในการ”ป้องกันปราบปราม” โดยเฉพาะ”ตร.ปนม.” ตรวจสอบหน่อย เพราะนี้คือ”อาชญากรทางเศรษฐกิจ”ที่”ซ้ำเติม” ประเทศชาติในยามที่”เศรษฐกิจ” บ้านเมืองอยู่ในภาวะ”ฝืดเคือง”…….แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดี ครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…น้ำผึ้งหยดเดียว! ‘ฝรั่งเตะหมอ’สร้างตำนาน ‘ทวงหาด-กวาดมาเฟีย’

09 มี.ค. 2024
144

หลังกลับจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อม”ยาหอม” ให้เป็น”ความหวัง” ของคนในพื้นที่”ปลายด้ามขวาน”ในการ”ส่งเสริมการท่องเที่ยว” และการ”ต่อยอด”เพื่อสร้าง”มูลค่าเพิ่ม” ให้กับ” ผลิตภัณฑ์” ต่างๆ ในพื้นที่ รวมทั้ง”ปลานิลสายน้ำไหล”แ ละ”ปลาพวงชมพูฮาลาบาลา”ซึ่งเป็น นโยบาย สร้าง”เศรษฐกิจ” ให้มี”เงินสะพัด” มีงานทำ แล้วเชื่อว่าปัญหา”การก่อการร้าย” จะลดลง จะเป็นจริงหรือไม่ ไม่รู้ แต่ที่รู้กันแล้วก็คือ” หลังจาก” นายกนิด “เศรษฐา  ทวีสิน “นายกรัฐมนตรี” กลับไป กทม.เพียงวันเดียว “ กองกำลังติดอาวุธ” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็น “ ก็เปิดฉาก “โจมตี” ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทั้งในพื้นที่” จ.นราธิวาส และ ในพื้นที่ จ.ยะลา ในขณะที่ใช้”รถหุ้มเกราะ” เป็น”ยานพาหนะ” โชคดีที่ไม่มีใคร”เสียชีวิต” แต่เป็นการ”ตอกย้ำ” ให้เห็นว่า” พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีความ”รุนแรง” และยังมีแบบ” รายวัน” ก็ย่อมทำให้ ไม่มี”นักท่องเที่ยว” และ” นักลงทุน” เดินทางเข้ามา “ท่องเที่ยว” และ”ลงทุน” ตามความ”คาดหวัง” ของ” นายกรัฐมนตรี” และหลังจากนั้น “นายกนิด” ก็เดินทางไปยังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งก็เป็นเรื่องการ”พยายาม”ที่จะ”ฟื้นเศรษฐกิจ”ในพื้นที่ แต่สิ่งที่”ชาวบ้าน”ถามคือ จะทำอย่างไรกับเรื่อง” ปุ๋ยแพง” และ”ข้าวเปลือก” ราคาถูก” นี้ แสดงให้เห็นว่า เรื่อง”ข้าวเปลือกแพง” เป็น”ข้าวเปลือก” ของ”ชาวนา” ที่อยู่ในมือของ”เถ้าแก่โรงสี” ไม่ได้อยู่ในมือของ”ชาวนา นี่แหละที่เป็น”ปัจจัยสำคัญ” ที่ทำให้”ความมั่งคั่ง” ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ไปไม่ถึงมือ”ชาวนา” ที่เป็น”กระดูกสันหลัง” ของประเทศ

วันนี้” นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน” “นายกรัฐมนตรี” ก็นำ” เสนาบดี” หลายกระทรวง เดินทางไปประชุม”ทวิภาคี” กับประเทศ มาเลเซีย,นิวซีแลนด์,ออสเตรเลีย” เพื่อขาย”ไอเดีย” โครงการต่างๆ ในประเทศไทย หวังให้”กลุ่มทุน” จาก”ประเทศต่างๆ เดินทางมาลงทุนในประเทศไทย….เช่นเดียวกับที่เคยเดินทางไป”สาธารณรัฐประชาชนจีน,สหรัฐอเมริกา ,ญี่ปุ่น” ฯลฯ ในการ”โรดโชว์” โครงการ”แลนด์บริดจ์” ที่เป็น”สะพานบก” เชื่อมระหว่าง “มหาสมุทรอินเดีย” กับ” ทะเลจีนใต้” ซึ่งผ่านไปแล้ว หลายเดือน ยังไม่มี”เสียงตอบรับ” ว่าจะมา”ลงทุน” ในโครงการ”แลนด์บริดจ์” แม้แต่รายเดียว ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า “บทบาท”ของ”นายกนิด” จะเป็นได้เพียง”เชลล์แมน” ที่”ขายฝัน” หรือขาย”ของจริง” วันเวลาจะเป็นผู้ให้คำตอบ เพราะ “ วันเวลา” ไม่เคย” หลอกลวงใคร”….. ในบรรดา”เสนาบดี” ทุกกระทรวง ณ วันนี้ คนที่”ดวงดี” ที่สุดคือ” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” “เจ้ากระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์” เพราะเข้ามา”ถูกที่ถูกจังหวะ” ที่”มันสัมปหลัง” อ้อย,ยางพารา,ปาล์มน้ำมัน” ซึ่งเป็น”พืชเศรษฐกิจการเมือง” ทั้ง 4 ตัว มีราคาแพง โดยเฉพาะ”ยางพารา” ที่ราคา”ทะยาน”ไปถึง กิโลกรัมละ 77 บาท แต่เป็น”โชคร้าย” ของเจ้าของสวนยาง และลูกจ้างกรีดยาง  เพราะเป็น”ฤดูกาลยางผลัดใบ” หรือ”ปิดกรีด” แต่ก็เป็น”โชคดี” ของ”ประเทศไทย” ที่ นับแต่”รัฐบาลนิดหนึ่ง” เข้ามาบริหารประเทศ” ราคาพืชเศรฐกิจ-การเมือง” ทั้ง 4 ตัว แพงขึ้นตาม”กลไกตลาดโลก” ทำให้ ไม่ต้อง”สิ้นเปลืองงบประมาณ” ในการ”ประกันราคา” ที่ 4 ปี ของ”รัฐบาลบิ๊กตู่” พรรคประชาธิปัตย์” ที่เป็นผู้”กำกับดูแล” กระทรวงพาณิชย์” และ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ต้องใช้”เงินจำนวนมหาศาล” ในการ”ประกันราคา”ของ”ยาง,อ้อย,มัน.ปาลม์”

แต่ ประเด็นหนึ่งที่” กระทรวงเกษตร” และ”กระทรวงพาณิชย์” ของ”รัฐบาลนิดนึ่ง” ยัง”มะงุมมะงาหรา” หาทางออกไม่พบ คือ”เรื่องของ”ราคาปุ๋ย” ที่ยังเป็น”หนามยอกอก” ของ”เกษตรกร” เพราะยังมีราคาแพง “กำไร” ที่ได้มาจาก”การขาย”ผลผลิตทางการเกษตร” จึงหมดไปกับ”ค่าปุ๋ย” และ”ยาปราบศัตรูพืช” ที่มี”ราคาแพง” และเป็น “สองผลิตภัณฑ์” ที่ จำเป็นต้องใช้ สำหรับการทำการเกษตร “นโยบายปุ๋ยแห่งชาติ” คิดกันมาแล้ว 50 ปี แต่วันนี้ยัง”เป็นวุ้น” เรื่องนี้”นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี” น่าจะนำมา”ปัดฝุ่น” เพื่อ”ผลักดัน” ให้ นโยบายปุ๋ยแห่งชาติเกิดขึ้น เพราะจะไม่เป็น”ขี้ข้า” ของประเทศผู้”ผลิตปุ๋ย” หรือที่ไม่เคยมี”รัฐบาลไหน” กล้าทำ เพราะ”เกรงใจ” บริษัท”ผู้นำเข้า” ที่มี”คอนเนคชั่น” กับทุกพรรคการเมือง…..ครั้งแรกเรื่อง”สปก.4-01 ที่ “เขาใหญ่” จ.นครราชสีมา ทำท่าจะเป็นการ” ผลัดกันเกาหลัง” เพราะมีการ”จูบปาก”กัน ระหว่าง” เสนาบดีกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม” กับ” เจ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์” แต่”เกากันไปเกากันมา” วันนี้กลายเป็น”เกาเหลา” ไปเรียบร้อย”โรงเรียนธรรมนัส” เมื่อ” เลขาธิการ “สปก.” แจ้งความจับ” ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” อธิบดีกรมอุทยาน เรื่องนี้”นายกนิด” ก็”หย่าศึก”ไม่สำเร็จ เพราะเป็นเรื่องที่”มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง” ส่วนใครจะมี”ผลประโยชน์ทับซ้อน” ในเรื่องนี้อย่างไร เดี๋ยวก็รู้เพราะโลกวันนี้ไม่มีความลับ

อาการหนักแล้ว สำหรับเรื่องของ”พลังงาน” ในประเทศไทย ณ วันนี้ “กองทุนน้ำมัน” ที่ “กระทรวงพลังงาน” ให้การ”อุดหนุน” ราคา”น้ำมัน” ติดลบไปแล้ว 90,000 ล้าน อีกไม่กี่เดือนก็จะเพิ่มเป็น 100,000 ล้าน เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และ”รัสเซีย” หยุดการ”ส่งออก” น้ำมันเบนซิน….เช่นเดียวกับที่”หนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต” ( กฟผ.) ที่”บานทะโร่” ไปถึง 130,000 ล้านบาท เพราะการ “ลดค่าไฟฟ้า” ที่”รัฐบาล” โดย”กระทรวงพลังงาน” ต้องทำตามนโยบายที่”หาเสียง”กับประชาชน” ในการ”เลือกตั้ง” ที่ผ่านมา เรื่องนี้ “รัฐบาล” และ” เสนาบดี” กระทรวงพลังงาน อย่าง” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” จะแก้เรื่องนี้อย่างไร เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ คือการเดินไปสู่”หายนะ” ด้าน”พลังงาน”ของประเทศ ไหนที่ว่าจะมีการ”ผ่าตัดโครงสร้างพลังงาน” เมื่อไหร่จะ”ผ่าตัด” จะทำก็รีบทำ  อย่ารอให้”ฝีแตก”  แล้วค่อยพาเข้าห้อง”ไอซียู” เพราะจะไม่ทันการ และเรื่อง”พลังงาน” คือเรื่องที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ต้องเร่งดำเนินการและให้ความสำคัญที่สุด สำคัญกว่าการทำหน้าที่”เซลล์แมน” ทำการ”เดินสาย” เพื่อ”ขายฝัน” อย่างที่เป็นอยู่ เพราะเรื่องของ”พลังงาน” ส่งผลกระทบกับ”เศรษฐกิจ” ทั้ง”ระบบ”ของประเทศ รวมทั้ง”ปัญหาปากท้อง” ของ”ประชาชน ทุกชนชั้น

เรื่อง”ฝรั่งเตะหมอ” เป็นเรื่อง”น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่”ลากลาม” ไปทั้ง”เกาะภูเก็ต” เรื่องนี้”คุณหมอ” ยอมเจ็บ” แต่เป็นการ”บาดเจ็บ” ที่ได้สร้าง”คุณูประการ” กับ”ประเทศชาติ” และ”เกาะภูเก็ต” เพราะหลังเกิดเรื่อง” กระทรวงมหาดไทย โดย”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีระกุล รองนายกรัฐมนตรี และ”รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย” ต้อง”เอาจริง” ตาม”กระแสสังคม” เพื่อ”เอาผิด”กับ”ฝรั่งมังค่า” ที่เข้ามาใช้”อิทธิพล” ในการ”บุกรุก” ที่ดิน ชายหาด ที่ สาธารณประโยชน์ สร้าง โรงแรม สร้างรีสอร์ท มากมาย โดยอาศัย”เส้นสาย” หรือ”คอนเนคชั่น” กับ”ข้าราชการ” และ”กลุ่มทุนไทย” ในพื้นที่ ซึ่งเป็น “นักการเมืองท้องถิ่น” วันนี้”คนไทย” ใน”เกาะภูเก็ต” ต้อง”เกาะติด” และ”อย่าปล่อย” เรื่องนี้ให้กลายเป็น”คลื่นกระทบฝั่ง” ต้อง”ผลักดัน” ให้ “กรมที่ดิน” ตรวจสอบ ที่ทุกแปล หรือ ทุก โรงแรม ทุก”รีสอร์ท” และ”บ้านหรู” ของ”ชาวต่างชาติ”…..ที่สำคัญใน “เกาะภูเก็ต” มีชาว”ต่างชาติ” จาก หลายประเทศ เข้ามาเป็น”มาเฟีย” ในการให้ความ”คุ้มครอง” ชาวต่างประเทศ โดยมีการ”เก็บส่วย” ค่าคุ้มครอง และนำส่ง”ให้ใครบ้าง” ลองตรวจสอบดู ”ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องไม่”เพิกเฉย” ต่อการทำผิดกฎหมาย และการมี”มาเฟียต่างชาติ” ใน”เกาะภูเก็ต” และอีกปัญหาหนึ่ง ที่เกี่ยวกับ”ตำรวจ” โดยตรง  เรื่องนี้ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และ “พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิต” ผบช.ภ.9 . ต้องรีบจะ”ล้างบาง” กลุ่ม”อิทธิพล” และ”ฝรั่ง” หลาก”สายพันธ์” ที่เข้ามาช่วยกันทำ”ชำเรา”เกาะภูเก็ต แห่งนี้

ในที่สุด”เอ็นจีโอ” ที่เป็น”เครือข่ายกัญชา” ก็ออกมา”เคลื่อนไหว” โดย “ประสิทธิชัย หนูนวล” เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เตรียม นำผู้คนใน”เครือข่าย” เพื่อ”ถกถึงข้อดีข้อเสีย” ของ”กัญชา” กับ” ชลน่าน สีแก้ว “เสนาบดี” กระทรวงสาธารณสุข และ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง “  เสนาบดี กระทรวงยุติธรรม เพราะไม่เห็นด้วยกับการนำ”กัญชา” กลับไปเป็น”ยาเสพติด” อีกครั้ง คำว่า”พืชสมุนไพร” กับ”ยาเสพติด” มีเพียง เส้นบางๆกั้นไว้” มองด้านเป็น”คุณประโยชน์” ก็”เป็นคุณ” แต่ถ้ามองด้าน”ยาเสพติด” ก็”เป็นภัย” เรื่องนี้ถ้า”น้ำหนัก”ไปทาง”เป็นภัย” ก็ต้องนำกลับไปเป็น”ยาเสพติด” ที่ต้องมีการ”ควบคุม” การใช้”…..ที่เห็นชัดเจนถึงความ”ผิดพลาด” ในการ”ปลดพืชกระท่อม” ออกจากเป็น”พืชเสพติดประเภท 5 “ แล้ว เป็นไง วันนี้”ผู้คน” ติดน้ำกระท่อมทั้งประเทศ” และกลายเป็น”พืชเสพติด” ที่สร้างความเป็น”ภัยสังคม” ที่ นำความ “เสียหาย” มาสู่”สังคม” สู่”ชุมชน” จนต้องมีการออก”กฎหมาย” ให้”น้ำกระท่อม” ไม่ว่าจะเป็น”น้ำกระท่อม” ที่ไม่มีส่วนผสมของ”ยาแก้ไอ” และ”น้ำกระท่อม” ที่มี”ส่วนผสม” ของ”ยาแก้ไอ” และ”สารเสพติด” ชนิดอื่น เป็นสิ่ง”ผิดกฎหมาย” ใคร”ต้มขาย” ต้องถูก”จับกุม” วันนี้”การแพร่ระบาด” ของ”น้ำกระท่อม” กลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไปแล้ว ทั้งหมดมาจาก”ความไม่รอบคอบ”หวังเพียง”คะแนนเสียง” และเชื่อ” กลุ่มนายทุน” ที่มี “ผลประโยชน์ จนทำให้”น้ำกระท่อม” สร้างปัญหาไปทุก”หย่อมหญ้า”

ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคง”เดินหน้า” โดยไม่”หยุดยั้ง” เรื่องของการ”พูดคุยสันติสุข” ยังไม่สามารถที่จะ”ยับยั้ง” สถานการณ์ความ”รุนแรง” ในพื้นที่ “เพราะ”คณะพูดคุยสันติสุข” เป็นเพียงฝ่าย”ปีกการเมือง” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนของบีอาร์เอ็น” แต่ฝ่ายที่”ก่อเหตุ” ด้วยการ”ซุ่มโจมตี” ด้วย”ระเบิดแสวงเครื่อง” ด้วย” อาวุธปืน” เป็น”ปีกการทหาร”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ไม่เห็นด้วยกับการ”พูดคุย” หรือการ”เจรจา” ในเมื่อ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”ไม่มี ”เอกภาพ” การที่จะ”หยุดยั้ง” สถานการณ์การ”ก่อการร้าย” โดยหวังการ”พูดคุยสันติสุข” จึงเป็นเรื่อง”ห่างไกล” ดังนั้นการ”พูดคุยสันติสุข” ของ”ฝ่ายเทคนิค” ของ ทั้ง”สองฝ่าย” ที่จะมีการ”พบปะพูดคุย”กับ ที่ “กรุงกัวลาลัมเปอร์” ในประเทศมาเลเซีย จึงยัง”คาดหวัง” ไม่ได้ว่าจะ”ลงเอย” ด้วยความ”สำเร็จ” เพราะสิ่งที่”บีอาร์เอ็น” เสนอมาหลายครั้ง เป็น”เงื่อนไข” ที่ “คณะพูดคุย” ไม่ว่าจะเป็น”คณะใหญ่”หรือ”คณะเทคนิค” รับไม่ได้ ใคร”หลวมตัว” ตกปากรับคำ กับ”บีอาร์เอ็น” ระวังจะเป็น”กบฏเป็นอั้งยี่” เช่นเดียวกับ”บีอาร์เอ็น…..ดังนั้น “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จึงต้อง” มีการ”ปฏิบัติการ” ติดตาม”ไล่ล่า” และการ”ปิดล้อม ตรวจค้น” ในพื้นที่”มวลชนเข้มแข็ง” พื้นที่ของ สามจังหวัด และ สี่อำเภอของ จ.สงขลา เพราะการ”จับกุม”และการ”ตรวจค้น” ทำให้จำนวน”กำลังพล” และ”แนวร่วม” ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ลดน้อยลง การ”ก่อการร้าย” ก็ต้อง”ลดน้อยลง” เช่นกัน ทำให้จริง ทำให้”ต่อเนื่อง” โดยไม่ต้องมีการ”วิสามัญ” และไม่สร้าง”เงื่อนไข” ของ”มวลชน” อาจจะทำให้ “การก่อเหตุ” ในพื้นที่”ลดน้อยลง” ที่สำคัญ “ปฏิบัติการ”ของ”ปีกทางการเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่สามารถ”ทะลุทะลวง” เข้าไปใน”คณะกรรมาธิการ” และในที่อยู่ใน”รั้วสถานศึกษา” เพื่อให้”เวทีการเมือง” และ”เวทีวิชาการ” รวมทั้ง”เวทีกิจกรรม” เพื่อการ”ขับเคลื่อน” งาน”การเมือง” ให้กับ”บีอาร์เอ็น” ประเด็นนี้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะ ดำเนินการอย่างไร นี่แหละคืองาน”การเมือง” ที่สำคัญยิ่งของ”ฝ่ายความมั่นคง”

เห็น “ พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เข้าพบกับ”ประธานกรรมการอิสลาม”จังหวัดต่างๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อ”ขอความร่วมมือ” ให้”อิหม่าม” ในทุก”มัสยิด” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีการ”คุตเบาะ” ในทุกวันศุกร์ ที่เป็นวัน”ละหมาดใหญ่” ให้ คนในพื้นที่ไม่มีการ”จุดประทัด” ในเดือน”รอมฎอน” ที่จะถึงในวันที่ 11 มีนาคม นี้ เพราะการ”จุดประทัด”ในงานต่างๆ ไม่มีใน”ศาสนาอิสลาม” นี่ก็เป็นเรื่องที่”ท้าทาย” ว่าสุดท้ายแล้ว จะมี”อิหมาม” กี่คน ที่กล้านำเรื่อง”ห้ามจุดประทัด” ในเดือน”รอมฎอน” ใน”คุตเบาะ” ( เทศนา ) ใน”มัสยิด” ทุกวันศุกร์ ที่มีการ”ละหมาดใหญ่” นี่ก็เช่นเดียวกับเรื่องของ”ยาเสพติด” ที่”ผู้นำศาสนา” ก็ไม่กล้าที่จะ” ห้ามปราม” กลุ่ม”ผู้ค้ายาผู้ติดยา” ในทุกพื้นที่…..เมื่อ” แม่ทัพภาคที่ 4 “ พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” ห้ามมิให้”ชาวมุสลิม” จุดประทัดในเดือน”รอมฎอน” ก็ต้อง”สั่งห้าม” ให้”คนไทยพุทธ” หยุดการ”จุดประทัด” ในเทศกาลสงกรานต์ ด้วย เพื่อความ”เสมอภาค”…..แต่ทั้งหมดเป็นเรื่อง”ปลายเหตุ” เพราะหาก””แม่ทัพภาคที่ 4” ไม่ต้องการให้มีการ”จุดประทัด” ในเดือน”รอมฎอน” และในเทศกาล”สงกรานต์” สิ่งที่ทำได้ผลที่สุดคือ”ทำการ”ห้ามร้านค้าขายประทัด”ให้กับ”ผู้ซื้อ” ทุกอย่างก็จบ และไม่ต้อง”เดินสาย” ไป”กราบไหว้วิงวอนใคร” ให้เป็นที่”อึดอัดขัดข้อง” ของ”ผู้นำศาสนา” เพราะ”กฎหมาย” ในเรื่อง”ประทัด ดอกไม้ไฟ ระเบิดเพลิง”  กองทัพ มีอำนาจเด็ดขาดอยู่แล้ว  โดยเฉพาะใน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่แม้ “โกดัง” เก็บพลุ ดอกไม้ไฟ ที่ใหญ่ที่สุด ที่ตั้งอยู่ใน ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จะมีการ”ระเบิด” เป็น”จุณมหาจุณ” ไปแล้ว ก็จริง แต่”โกดัง” ที่ใช้เก็บ”พลุ ดอกไม้ไฟ” มีหลายแห่ง โดยเฉพาะที่เก็บไว้ใน”ตึกแถว” ใน”ชุมชน” และ ริม”แม่น้ำสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อ”ส่งออก” ไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” ตาม”ช่องทางธรรมชาติ” ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก  เรื่องนี้ “ทหาร,ตำรวจ” และ”ปกครอง” ใน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส รู้ดีที่สุด ก็ ฝากให้” พล.ต.ต.ไมตรี สันตยานุกุล “ผบก.ภ.จว. นราธิวาส และ ว่าที่  “ ร.ต. ตระกูล โทธรรม” ผวจ.นราธิวาส ตรวจสอบ และ ดำเนินการตามกฎหมายด้วย

เว็ปการพนันออนไลน์ ไม่ได้มีเพียงของ”มินนี่” และ”มาสเตอร์เว็ป” ที่ “ตำรวจไซเบอร์” จับกุมได้ที่”กลางเมืองหาดใหญ่” เท่านั้น วันนี้ ยังมี”เว็ปการพนันออนไลน์” ในพื้นที่ 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกถึง 700 เว็ป” ที่ยังมีการ”ลักลอบ”ให้มีการ”เล่นการพนัน” กันอยู่  แต่ เจ้าหน้าที่ ไม่มีการ”จับกุม” เพราะอาจจะ”ไม่ดัง” เหมือนกับเว็ปการพนันออนไลน์อย่าง”มินนี่” และ”มาสเตอร์เว็ป” ที่ถูกโยงมายัง” บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. และ”ลูกน้อง” คนสนิท ที่กลายเป็น”ผู้ต้องหา” อย่าง”ทั่วถึง” วันนี้ ในพื้นที่”หัวเมือง” และ”เมืองท่องเที่ยว”ของภาคใต้ “ธุรกิจ” ที่มาเป็น”อันดับหนึ่ง” คือ”หวยออนไลน์” และ”ธุรกิจบันเทิง” โดยมี”กลุ่มทุน” ที่เป็น”ลูกท่านหลานเธอ”ที่”ลงหุ้น ลงทุน” กับ”ลูกนักการเมือง” แล” กลุ่มทุน” ที่ต้องการ”ผู้คุ้มครอง” โดยไม่ถูก”ก่อกวน”และ”จับกุม” นี่คือวิธีการ”ทำมาหากิน” ของ”ลูกท่านหลานเธอ” ที่ไม่มีใครกล้า”จับกุม” แม้ว่า ธุรกิจเหล่านั้นจะ”หมิ่นเหม่” และผิด”กฎหมาย” เรื่องนี้ต้องฝากให้” “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีระกุล” รองนายกรัฐมนตรี “ และ”เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบ และลงพื้นที่มา”จับกุม”ด้วยตนเอง

เหมือนกับ”น้ำมันเถื่อน” กลางทะเลของ”เสี่ยโจ้” ราชาน้ำมันเถื่อนใน”อ่าวไทย” ที่มีเรือ”ประมงดัดแปลง” เข้าไป รับน้ำมันจาก”แทงค์เกอร์” เพื่อ นำขึ้นฝั่ง “ส่งขาย” ให้กับ” ปั๊มอิสระ” และ”บริษัทขนส่ง” มากมาย ตั้งแต่ จ.ชุมพร จนถึง นราธิวาส เรื่องนี้ต้องฝากให้” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. ทำการ ตรวจสอบด้วย โดยเฉพาะ”ตำรวจน้ำ” และ”ทหารเรือ” ต้อง”เข้มวงด” ในการ”ลาดตระเวน…..อีกเรื่อง”วัวเถื่อน” ที่มีการ”ส่งออก” ด้วยการ”ข้ามฝั่ง” ในช่องทางธรรมชาติ  ข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส เพราะมี”ออเดอร์” จาก พ่อค้า”วัวเถื่อน” จากฝั่ง มาเลเซีย ต้องการเป็น จำนวนมาก เพื่อเตรียมใช้ใน”เดือนรอมฎอน” เรื่องนี้เป็นเรื่องของ”ผู้มีอิทธิพล” ในพื้นที่ ซึ่งไม่มี หน่วยงานไหน ไม่ว่าจะเป็น” ตำรวจ,ทหาร “และ”ปศุสัตว์” ที่จะต้องให้”ไชยา พรหมมา” รัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มา ตรวจสอบ แถว ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก ที่เป็นจุด”ส่งวัวเถื่อนข้ามแดน” เพื่อ”จับกุม” แล้วจะรู้ว่าเป็น”ธุรกิจของใคร”

ชาวบ้านที่ใช้รถใช้ถนน ร้องเรียนมา มายัง”สมคะเณ เสมทัพพร  ผอ.แขวงทางหลวง สงขลา 1 ให้ ส่ง “ลูกน้อง” ตรวจสอบมี การ”รุกล้ำ” ทางหลวง เปิดเป็น “ซุ้มขายสินค้า” ในถนน “กาญจนวนิช”ใน เขต อ.เมืองสงขลา เป็นเหตุให้มีการ”บดบัง” การมองเห็น  อาจจะทำให้เกิด “ อุบัติเหตุ”ได้ ชาวบ้านร้องมา “สื่อ” ทำหน้าที่เป็น”สื่อกลาง” แจ้งให้ทราบ…..แต่ที่ทำดีและชาวบ้านฝากชื่นชมคือ “เทศบาลนครหาดใหญ่” ที่มี “พล.ต.ท. สาคร  ทองมุณี” เป็น”นายยกเทศบาลฯ”  ทำการ”ขอทางเท้าคืน” จาก บรรดา ผู้”ยึดทางเท้า” ตั้งสินค้าขายกันมากมาย ทำให้”คนเดินเท้า” ต้องลงมาเดินบน”ผิวจราจร” ที่เป็นความ”เดือดร้อน” มาช้านาน เอ้า ทำดี ชาวบ้านก็”ชื่นชม”และจะ”ส่งผล” ในการ เลือกตั้ง สมัยหน้า…..ส่วน”ทีมปลัดแป้น” ณรงค์พร ณ พัทลุง” อดีตปลัดจังหวัดสงขลา ซึ่งมีการ จัดทีมผู้สมัคร ลงรับเลือกตั้ง เทศบาลนครหาดใหญ่  ในสมัยหน้า  ก็ออกเดินพบปะกับ”ชาวบ้านร้านตลาด” เพื่อ”ขายนโยบาย” ในการ”สร้างความพึงพอใจ” ให้กับ ประชาชน  ส่วนจะได้รับการ”ตอบรับ” แค่ไหน อย่างไร วันนี้ยังตอบไม่ได้…..และอีกทีมที่ “เปิดตัว” ไปแล้วเช่นกัน คือ” พ.อ.พิเศษ สุชาติ จันทรโชติกุล” อดีต สส. พรรคความหวังใหม่ อดีตผู้สมัคร “นายก อบจ.สงขลา  ซึ่งก็”หมายมั่นปั้นมือ” ว่า “ศึกครั้งสุดท้าย” บน”เวทีการเมือง” ต้อง”ชนะ” อย่างเดียว  แต่ นั่นแหละ ผู้ที่จะให้คำตอบกับ” เสธชาติ” ได้ดีที่สุด คือ”ประชาชน” ในเขตเลือกตั้ง…..แต่ ที่มี”เสียงเรียกร้อง” ให้กลับมาทำหน้าที่เป็น”นายกเทศบาลบาล” อีกครั้ง คือ” พิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์” อดีต นายกเทศบาลเมืองปัตตานี หลายสมัย ซึ่งมี “ผลงาน” ฝากไว้ให้กับคนในเขตเทศบาลมากมาย และยังเป็น”นักการเมืองติดดิน” ที่ไม่ได้นั่ง”บริหาร” อยู่ใน”ห้องแอร์” เลือกตั้งเที่ยวหน้า ถ้า”พิทักษ์” ขึ้นเวที”แข่งขัน” อีกครั้ง เชื่อได้ว่า”ไม่เหนื่อย” แน่นอน

มีเรื่องให้”ปปช. ตรวจสอบมากมาย โดยเฉพาะการ”ก่อสร้าง”ของ”ท้องถิ่น” ซึ่งวันนี้” สำนักงาน”ปปช.” ของ จ.นราธิวาส ที่มี “ปกครอง สุวรรณดารา” เป็น” ผู้อำนวยการ” ลงพื้นที่เกือบทุกอำเภอ เพื่อ”ตรวจสอบ” โครงการก่อสร้างของ อบต. และ อีกเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการ”สร้างถนน หนทาง” คือการติดตาม”ตรวจสอบ” เรื่องของโครงการ” โคบาลแดนใต้” ว่ามีความ”โปร่งใส” หรือไม่

นักท่องเที่ยว ทั้ง”ไทย-เทศ” ต่าง ดีใจกันยกใหญ่ หลังทราบข่าวว่า”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี มีการประกาศว่าจะ”ยกเลิก ตม.6 “ ซึ่งเป็น”เอกสารผ่านแดน” ในทุกด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อ”ลดขั้นตอน”และลดการเสียเวลา ในการ”เข้าเมือง”  ปัญหาความ”ล่าช้า” ของการตรวจเอกสาร”ตม.6 “เป็นเรื่องที่”เรื้อรัง” มานาน และมีการ”ร้องเรียน” ว่ามีการ”เรียกรับประโยชน์” แต่ไม่มีใครกล้าที่จะ”ยกเลิก” เอกสาร ตม.6 เพราะมีการอ้างเรื่อง”ความมั่นคง” วันนี้การที่”นายกนิด” กล้าที่จะสั่งยกเลิก”เอกสาร ตม.6” จึงถูกใจของ”นักท่องเที่ยว นักธุรกิจการท่องเที่ยว ทั้งชายแดนใต้…..ส่วน ผลดี ในการที่ มีการ ทดลองยกเลิก”เอกสาร ตม.6 “ มาเป็นเวลา 3 เดือน ที่ด่านพรมแดน อ.สะเดา จ.สงขลา มีตัวเลขที่ชัดเจนว่า ทำให้”นักท่องเที่ยว” เดินทางผ่านด่านตรวจเข้ามามากกว่าเดิมถึง 30% และปัญหาด้าน”ความมั่นคง” ก็ยังไม่เกิดขึ้น

หาด สมิหลา สงขลา ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับของ จ.สงขลา ที่ยัง”คราคร่ำ” ด้วย ชาวมาเลเซีย และ ผู้คน จาก สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ วันนี้ นักท่องเที่ยว ต้อง ระมัดระวัง การ ลงเล่นน้ำ เพราะ “วันชัย ปริญญาศิริ “ นายกเทศบาลนครสงขลา แจ้งเตือนว่าให้ นักท่องเที่ยว”ระมัดระวัง” แมงกะพรุนไฟ  ในการลงเล่นน้ำด้วย ถ้าจะให้ดี ต้องมีการ”ปักป้าย” และ”ประกาศเตือน”อีกทางหนึ่ง ก็จะดีไม่น้อย เพราะ”สวัสดิภาพ” ของ”นักท่องเที่ยว” เป็นเรื่อง “สำคัญ”

ด้วย”ปฏิบัติการ” ในการ”รักษาความสงบ” ใน เขตเทศบาลนครยะลา อย่างมี”ประสิทธิภาพ” ภายใต้การ”สั่งการ” ของ” พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฎ์” ผบก.ภ.จว.ยะลา ทำให้สามารถ”ป้องกัน” เหตุร้ายในพื้นที่อย่างได้ผล นอกจากนั้นยังเป็นความสามารถของ” เสี่ยอ๋า” พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศบาลนครยะลา ที่มี”มวลชน” ที่”เข็มแข็ง” เป็น”หูเป็นตา”ในการ”แจ้งข่าว” เห็นชัดว่า พื้นที่ไหน”มวลชน”เข้มแข็ง พื้นที่นั้นจะ”ปลอดภัย” จากการก่อการเหตุของ” บีอาร์เอ็น”

เป็น”วิบากกรรม” ของ”นักการเมืองบ้านใหญ่” ที่ สังคมจับตามอง หลังจากที่ “ปปช.ตรัง. ชี้มูลความผิดของ”กิจ หลีกภัย” ที่เป็น”พี่ใหญ่”ของ”ตระกูลหลีกภัย” ในสมัยที่เป็น”นายก อบจ.ตรัง ในข้อหา””ซื้อที่ดิน” ที่”แพง” ซึ่ง ก็ต้องไปหา”พยานหลักฐาน” และ”เหตุผล” เพื่อชี้ให้” ปปช.เห็นว่าที่ต้องซื้อแพงกว่า”ชาวบ้าน” เพราะเหตุผลใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า การที่ ปปช.ฟ้อง”กิจ หลีกภัย” เป็นเรื่องที่”สะท้านสะเทือน” ทั้งจังหวัดตรัง….. แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’น้ำมันเถื่อน’เชื้อชั่วไม่ยอมตาย! ทะลักท่าเรืออ่าวไทย

01 มี.ค. 2024
93

วันที่ “เศรษฐา ทวีสิน” รับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” สังคมไทย ก็มีการ”ครหา” ว่าเป็น”นายกนอมินี” วันที่ “อุ๊งอิ๋ง” แพทองธาร ชินวัตร เธอ”เลื่อนชั้น” จาก”หัวหน้าครอบครัว” มาเป็น” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” สังคมไทยก็”ครหา”ว่า”ประเทศนี้มีนายกรัฐมนตรี2 คน และวันที่มีคน”พลัดบ้านพลัดเมือง” กลับมารักษาตัวที่”ชั้น 14 “สังคมไทยก็ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลนี้ มีนายกรัฐมนตรี 3 คน สุดท้ายทั้งหมดคือ”กับดัก” ที่ สร้างความ”อ่อนแอ” และความ”ไม่เชื่อมั่น” ต่อ”ผู้นำประเทศ” ที่คนไทย”ด้อยค่า” ผู้เป็น”ผู้นำประเทศ”ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น หากต้องการให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าอย่าง”มั่นคง”……โดยเฉพาะข่าวการเตรียม”ปรับ ครม.” ในปลายเดือน มีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน ที่จะถึงนี้  ทั้งที่”รัฐบาล”เพิ่งทำงานผ่านไปเพียง 6 เดือน แสดงให้เห็นว่า “ผลงาน” ที่ผ่านมา” ไม่เข้าตา” ผู้ที่มี”อำนาจ” ที่เป็น”ตัวจริง” ของ”รัฐบาล” ใช่หรือไม่ หรือ แสดงว่า ที่ผ่านมาได้มีการ”ต่างตอบแทน” โดยการให้ตำแหน่ง”รัฐมนตรี” กันไปแล้ว และการ”ปรับ ครม. ครั้งนี้ต้อง”ตอบแทน” ผู้ที่ยัง”รอคิว” การเป็น”รัฐมนตรี” อยู่ ใช่หรือไม่ หรือถ้าไม่ใช่” ก็ แสดงว่า” 6 เดือน ที่ผ่านมา มี”รัฐมนตรี” ที่”โลกลืม” อยู่หลายคน ที่”จำเป็น”ต้อง”เขี่ยทิ้ง” เพราะ”ผลงาน” ที่ไม่”ผ่านโปร”……ข่าวว่า”เพื่อไทย” ต้องการที่จะได้”กระทรวงแรงงาน” ที่เป็นโควตา” ของ”ภูมิใจไทย” กลับมา”กำกับดูแล” เพราะต้องการที่จะ”ขึ้นค่าแรง” ตาม นโยบายที่”หาเสียง”เอาไว้กับประชาชน” รวมทั้งอีกหลายกระทรวง ที่อาจจะมีการ”สลับเก้าอี้” ในการ”ปรับ “ครม. ครั้งนี้ ซึ่งก็ต้องติดตามกันแบบ”เกาะติด” ว่าปรับแล้ว “ดีกว่า” หรือ”แย่กว่า” และ “รัฐมนตรี” คนไหนบ้างที่ต้อง”เก็บของกลับบ้าน”

ผ่านไปแล้วกับปรากฎการณ์”ช้างเหยียบนาพญาเหยียบเมือง” ของ”นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่นำเอา “รัฐมนตรี” หลายกระทรวง เดินทางมา”ตรวจราชการ”ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น “ เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พรรคการเมืองที่ ถูกจับตามอง ว่าจะ”รอดสันดอน” ของการถูก”ยุบพรรค” หรือไม่ และยังมี”สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” รัฐมนตรีการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ถูก”วิพากษ์วิจารณ์” ว่าเป็น “รัฐมนตรีที่โลกลืม” ทั้งที่อยู่กระทรวงสำคัญ ที่มี”บทบาท” ในการ”ปั๊มเงิน”ให้กับประเทศ เพราะเป็นผู้ดูแลการท่องเที่ยว  แต่”บทบาท” ในการ”สื่อสารกับสังคม” มีน้อยกว่าน้อย   การได้ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งนี้ คงจะได้เห็น”ไอเดีย” การ พัฒนาการท่องเที่ยวที่อยู่”ท่ามกลางดงระเบิดและควันปืน” เพื่อใช้การ”ท่องเที่ยว” เพื่อ”ดับไฟใต้” ซึ่งเคยเป็น”ไอเดีย” ของ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ” อดีต “รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา” ของ”พรรคภูมิใจไทย” ที่เขียนแผนไว้แต่ไม่ได้ทำ เพราะใน “รัฐบาลนิดหนึ่ง”  “เสี่ยเกี๊ยะ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ ถูกให้ไปทำหน้าที่” จับกัง 1 “ คือ “ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ทำให้ไม่ได้สานต่องานการท่องเที่ยวตามความต้องการ…..และ” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง “ รัฐมนตรีกระรวงยุติธรรม ซึ่งกำลัง”ขับเคลื่อน” การดับไฟใต้” กองใหม่ นั้นคือเรื่องการ”ยาเสพติด”  ที่”ครึ่งหนึ่ง” ของ”ยาเสพติด” ที่ ขบวนการค้ายาเสพติด ส่งผ่านชายแดนทางภาคเหนือ,อิสาน.” และชายแดน”กาญจนบุรี” ล้วนแต่ถูกส่งมายัง”จังหวัดชายแดนภาคใต้” จนวันนี้พื้นที่ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นแหล่งพักยาเสพติด ก่อนส่งออกไปยัง”มาเลเซีย-สิงคโปร์” เพื่อ”ลงเรือ” ไปยัง”ประเทศต่างๆที่เป็น”ตลาดใหญ่ของยาเสพติด”

การเดินทางมา”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ครั้งนี้ของ”นายกนิด” และคณะ” เน้น”  ที่ต้องการ ดูงานด้านการพัฒนา การส่งเสริมอาชีพ และการท่องเที่ยว เพื่อที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว โดย”หลักคิด”ถ้า”เศรษฐกิจดี” คนในพื้นที่มีอาชีพ มีเงินใช้ สถานการณ์การก่อการร้ายจะลดลง รวมทั้งการส่งเสริม”พหุวัฒนธรรม” ในพื้นที่ ซึ่งเห็นได้จากที่ “คณะนายกรัฐมนตรี” เดินทางไปเยือน “ศาสนสถาน” ทั้งที่เป็น “ศูนย์รวมจิตใจ” ของคนไทยพุทธ เช่น”วัดช้างให้” อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” หรือ”ศาลเจ้าแม่ลิ่มกอเหนียว “มัสยิดกลางปัตตานี “มัสยิดกรือเซะ” และมีการ”ไหว้ศาลหลักเมือง” ทั้งใน จ.ปัตตานี และ ยะลา …..แต่ น่าเสียดาย ที่”นายกนิด” และ”คณะรัฐมนตรี เลือกที่จะไปเยือนพื้นที่ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่อง”การก่อการร้าย” อย่าง อ.เบตง จ.ยะลา เมืองชายแดน ที่ เศรษฐกิจ ดีอยู่แล้ว และเป็นเมืองที่ นักท่องเที่ยว ทั้งไทย-มาเลเซีย เข้ามาท่องเที่ยวอย่าง”ล้นหลาม” ถึง “นายกนิด” ไม่มาเยือน “เบตง” ก็เป็นเมือง ที่สามารถเติบโตได้ด้วย”ศักยภาพ” ของตนเองอยู่แล้ว….แต่กับพื้นที่ซึ่งมีปัญหา อย่าง”บันนังสตา” จ.ยะลา อย่าง”หนองจิก” จ.ปัตตานี และอย่าง”รือเสาะ” จ.นราธิวาส ที่เป็นพื้นที่”สีแดง” ไม่ได้อยู่ใน”โปรแกรม” ในการมาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้

ที่สำคัญ มีการพูดถึง”ปลานิลสายน้ำไหล” แล”ปลาพลวง” ที่เป็นอาหารของ”เศรษฐี” หรือ”ผู้มีอันจะกิน” เพราะ “ปลาหนึ่งตัวราคา 3,000 บาท  ส่วนเรื่อง”ลองกอง,มังคุด,ทุเรียน” ที่เป็นปัญหาของ”เกษตรกร” ที่เป็นคน”ส่วนใหญ่” ของพื้นที่มีการพูดถึง….เรื่อง”ยาเสพติด” ที่”ชาวบ้าน” ต้องการให้เร่งแก้ และไม่เห็นด้วยกับการ”ครอบครองยาบ้า 5 เม็ดไม่ผิดกฎหมาย” และเรื่องของ”น้ำกระท่อม” ที่มีการ”ต้มขาย” จน”เต็มพรืด” ทั้ง”สองข้างถนน” และในทุก”ชุมชน” เสียดายที่”นายกนิด” เดินทางด้วย”เครื่องบินเล็ก” จึงไม่ได้เห็นภาพ สองข้างทางที่เต็มไปด้วย”ธุรกิจการค้าน้ำกระท่อม” และ”ธุรกิจการค้าน้ำมันเถื่อน” ของ”ถนนทุกสาย”ที่ถูกขนาดนามว่า”สินค้าโอท็อป” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นแหละคือ”วิถีชีวิต” ของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง และนี่คือปัญหา”พื้นฐาน” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องแก้ไข….และที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง”ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”ประชาชน” เห็นว่าเป็น”หัวใจ” ของปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”เศรษฐกิจ”สังคม, การศึกษา  ยากจน ,ว่างงาน, ยาเสพติด”  และ” ความรุนแรง , หญิงหม้าย, เด็กกำพร้า” ล้วนมาจาก”รากเหง้า” ของ”การก่อการร้าย” แต่ในการ”สัญจรค้างแรม” ใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ของ”นายกนิด” ไม่มีเรื่อง”เหล่านี้” ให้”ประชาชน” ได้ยินแม้แต่”วลีเดียว” เป็นการ”เสียของ” ที่”น่าเสียดาย” สำหรับการเดินทางลงพื้นที่”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ครั้งนี้  ทั้งที่ขณะนี้”จังหวัดชายแดนภาคใต้” กำลัง”ร้อนระอุ”ที่เกิดจาก”ความขัดแย้ง” จากการเดินทางไป”พูดคุยสันติสุข”ของ”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.)ในฐานะ”หัวหน้าคณะพูดคุยฯของรัฐบาลไทย กับ”หิพนี มะเระ” หัวหน้าคณะพูดคุยของ”บีอาร์เอ็น “ ที่กำลัง”บานปลาย” โดย “นักวิชาการมหาลัย”  อดีต “ทหารใหญ่” และ”กูรู” ที่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่อง”ไฟใต้”ออกมา”คัดค้าน” การ”พูดคุยสันติสุข” ที่กำลังเป็นเรื่องของ”คณะผู้พูดคุย” ถ้าไป”คล้อยตาม” ข้อเสนอของ”บีอาร์เอ็น” เพราะการ”แบ่งแยกดินแดน” เป็นการ”ขบถ”และ”รัฐธรรมนูญไทย” เขียนไว้ชัดเจนว่า” อาณาจักรไทยแบ่งแยกไม่ได้”

เชื่อเถอะ  การ”ทุ่มเท”เพื่อการพัฒนา”เศรษฐกิจ” ไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าไม่แก้ที่”ต้นตอ” ของปัญหาความรุนแรงที่เกิดจาก”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน. ซึ่งเกิดจาก” บีอาร์เอ็น” และการ”ยุติ” ขบวนการบีอาร์เอ็น ไม่สามารถ ”ยุติ”ได้ด้วยการ”พูดคุย” กับ”บีอาร์เอ็น” แต่”ไฟใต้” จะ”ยุติ”ได้ ด้วยการ”พูดคุย” กับ”รัฐบาลมาเลเซีย” ให้เป็นผู้ดำเนินการกับ”บีอาร์เอ็น” ที่ตั้ง”ฐานที่มั่นใน”รัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย….ยกตัวอย่าง ถ้า”บีอาร์เอ็น”ไม่หยุดการ”ก่อการร้าย” และต้องการทำลาย”เศรษฐกิจ-การท่องเที่ยว” ในพื้นที่ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลลงทุน  และ”เอกชน” ทุ่ม”เม็ดเงิน” และ”งบประมาณ” ไม่ว่าจะเท่าไหร่ แค่”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” วางระเบิดแสวงเครื่อง”  ลูกละไม่กี่บาท” เพียง ตูม สอง ตูม ใน หัวเมืองเศรษฐกิจ  ใน สถานที่ท่องเที่ยว ,ร้านสะดวกซื้อ ,ปั๊มน้ำมัน, อย่างที่” บีอาร์เอ็น” ชอบทำ “เม็ดเงิน” และ”งบประมาณ” ที่ใช้ในการ”พัฒนา” ก็จะ”สูญเปล่า” ก็ เขียนไว้ให้คิด ไม่ได้เขียนไว้ให้กลัว เพราะเหตุการณ์อย่างนี้ เกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2565 ที่”ดับฝัน” การ”พัฒนา” ของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) สมัยที่ “พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เป็น”เลขาธิการ ศอ.บต. ที่”มุ่งมั่น”ในการ”พัฒนา”เศรษฐกิจ การค้าชายแดน และ การท่องเที่ยว เจอการ เผา การระบิด ปั๊มน้ำมัน และ ร้านสะดวกซื้อ ในพื้นที่ ทุกอย่างก็”พังพาบ” และอีกเรื่องที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีต้องให้ความ”สนใจ” คือต้องมี”รองนายกฝ่ายความมั่นคง” เพื่อทำหน้าที่”กำกับดูแล” และ”รับผิดชอบ” ในเรื่อง”ความมั่นคง” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่ปล่อยให้”กองทัพ” ที่มี”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” รับผิดชอบเพียงหน่วยเดียว เพราะถ้า”กองทัพ” และ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทำได้ดี ทำได้จริง สถานการณ์ของ”ไฟใต้” คงจะไม่”ยืดเยื้อ” ยาวนายมาถึง 20 ปี อย่างที่เห็น และเป็นอยู่ ปรับ “ครม.ครั้งหน้า หวังว่าจะได้เห็น” นายกนิด” ให้ความสำคัญกับเรื่องของ”ไฟใต้” ที่เป็นเรื่อง”ความมั่นคง” มากว่าเรื่องของ”ปลานิลสายน้ำไหล” และเรื่องของ” ปลาพลวง”

ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ”สนามบินเบตง” ที่กลายเป็น”สนามบินร้าง” เพราะไม่มี”แอร์ไลน์” บริษัทไหนให้ความสนใจ หลัง”นกแอร์” โบกมือ”บ้ายบาย” เพราะบินแล้ว”เจ๊งบ้ง” วันนี้ข่าวว่ามี”แอร์ไลน์” ที่ชื่อว่า” อีซี่แอร์ไลน์” สนใจที่จะเปิด”ไฟล์บิน” จาก”สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ ไปยัง สนามบินเบตง วันละ 6 เที่ยวบิน โดยค่าโดยสารจะมีการ”เคาะ” กันที่ 2,000-3,000 บาทต่อที่นั่ง เป็นเครื่องบิน 12 ที่นั่ง ดังนั้น”ค่าโดยสาร” จึงถือว่า”แพง” แต่ก็ถือเป็น”ข่าวดี” สำหรับผู้ที่ต้องการความ”รวดเร็ว” ในการเดินทาง ก็จะไม่”ติเรือทั้งโกลน” แต่จะเฝ้า”ภาวนา” ให้ “อีซีแอร์ไลน์” ประสบความสำเร็จ เพื่อ ที่จะเห็น”การบิน” ในระยะสั้นๆในเส้นทางของภาคใต้” เช่น”หาดใหญ่-กระบี่” หรือ”หาดใหญ่ –เกาะสมุย” และ”หาดใหญ่-นครศรีธรรมราช–หาดใหญ่-สุราษฎร์ธานี” เป็นต้น….ส่วนที่มีการเตรียม”ขยายรันเวย์” ของ สนามบิน ให้เป็น”มาตรฐาน” เพื่อไว้รองรับเครื่องบิน “โบอิ้ง 737” ให้สามารถ”ขึ้นลง”ได้นั้น ก่อนที่จะลงมือในการ”ก่อสร้าง” ให้ กระทรวง หรือ”หน่วยงาน” ที่รับผิดชอบต้อง  “แกแจะนายู” หรือ” เจรจา” กับ”รัฐบาลมาเลเซีย” ให้เรียบร้อยก่อน  เพราะถ้าเป็นเครื่อง”737” การ”ขึ้นลง” ต้อง”ล้ำน่านฟ้า” ของ”มาเลเซีย” ไม่ใช่คิดแต่”เม็ดเงิน” ในการ”ก่อสร้าง” โดยไม่”ใส่ใจ”ว่า หลังสร้างเสร็จ ถ้า”รัฐบาลมาเลเซีย” ไม่ “อนุญาต” ให้บิน”ล้ำน่านฟ้า” ของเขา ก็จะเป็นการ”สูญเปล่า” ในเรื่องของ”งบประมาณ”อีกครั้ง   นี่แหละที่เคยบอกว่าเรื่องที่”เสียหาย” กว่าการ”ทุจริต” หรือ” “คอร์รัปชั่น” คือการใช้”งบประมาณ” ที่”สูญเปล่า” เพราะการ”คอร์รัปชั่น” ยังสามารถหา”พยานหลักฐาน” เพื่อเอา”คนผิดเข้าคุก” แต่เรื่องการทำโครงการที่ใช้”งบประมาณ” แล้ว”สูญเปล่า” สำหรับประเทศนี้”หาคนมารับผิด” ไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว

เรื่องสำคัญอีกเรื่อง สำหรับการ”พัฒนาสนามบินเบตง” ให้มีความพร้อมในการ”ใช้งาน” คือเรื่องของ”คลังน้ำมัน” ที่ต้องมีใน “สนามบิน” เพราะ”สนามบิน” ที่ไม่มี”แท็งค์ฟาร์ม”  เครื่องบินที่ไป”เบตง” ต้อง”โหลดน้ำมัน” ทั้ง”ไป-กลับ” ที่กลายเป็น ภาระของการบรรทุกน้ำหนัก” ซึ่งเป็นปัญหาของ”การบิน”ของทุกสายการบินรวมทั้ง”เครื่องเหมาเช่า” หรือ”ชาร์เตอร์ไฟล์”…..เรื่องของ”ความมั่นคง”การ”พูดคุยสันติสุข” ภายใต้”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ที่ให้”พลเรือน” เป็น”หัวหน้าคณะ” เริ่มต้น”ยกแรก” ก็” สับสนอลหม่าน” เพราะปล่อยให้”พูดกันคนละที” แสดงความคิดเห็นกัน”คนละทิศคนละทาง” วันนี้ทั้ง”นักวิชาการ” ทั้งอดีต”เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง” อดีต”นายทหารใหญ่” ที่เคยทำหน้าที่ใน จชต. ต่างออกมา แสดงความ”วิตกกังวล” กับ”เส้นทางการพูดคุย” ที่เห็นชัดว่า” คณะพูดคุย” ของ”รัฐบาล” ที่มี”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.)ทำหน้าที่”หัวหน้าคณะพูดคุย” กำลัง”เพลี่ยงพล้ำ” ให้กับ” กลเกมกลโกง” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ต้องติดตามดูว่า”การพูดคุยยกที่สอง” ระหว่าง”คณะเทคนิค” ของทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 7-8 มีนาคม ที่จะถึงนี้จะออกมาในรูปแบบไหนจะเป็น”ลำไม้ไผ่” หรือ”บ้องกัญชา” เดี๋ยวรู้ ก็บอกให้รู้ว่า “ประธานคณะเทคนิคฝ่ายไทย”คือ” พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยที่ 4  ซึ่งเป็น”นายทหาร” ที่”รู้ไส้รู้พุง”ของ”บีอาร์เอ็น” เป็นอย่างดี เชื่อเถอะ ถึงไม่คืบหน้าก็ไม่”แพ้ทั้งการะดาน”แน่นอน

เรื่องของที่ดิน”สปก.4-01” ที่มีการ”รุกล้ำ” ไป”ปักหมุด” ในเขต”อุทยาน” ที่  จ.นครราชสีมา จนเป็นเรื่องราวที่ความจริงเป็น”เรื่องใหญ่” แต่” เจ้ากระทวง” ทั้งสองกระทรวงพยายาม”ผลัดกันเกาหลัง” เพื่อให้กลายเป็นเรื่อง” เล็กๆ” นั้น ในพื้นที่ของ”ภาคใต้” หลายพื้นที่ มีการยึดเอาที่”สปก.4-01 “ ที่เป็น”สวนปาล์ม” ที่หมด “สัมปทาน” จาก”บริษัท” ทั้งของ”ต่างชาติ” และ”นายทุนไทย” มาเป็นของ”นักการเมือง” และของผู้มี”อิทธิพล” โดยเฉพาะใน จ.กระบี่ สืบค้นให้ดีๆ จะพบว่า ณ วันนี้ ที่ “สปก 4-01” กลายเป็นที่ดินที่มี”โฉนด” กว่า 6,000 ไร่ ที่เป็นของ”นักการเมือง” ไปแล้ว บรรดา”นักร้อง” ทั้งหลายไม่สนใจที่จะ”เปิดโปง” กันบ้างหรือ

พัทลุง”เมืองคนด้น “ ( คนดุ ) ล่าสุด คนสนิทของ”แป้ง นาโหนด”  หรือ”เชาวลิต ทองด้วง” ที่รู้จักกันในนาม”หมีขาว ป่าบอน” ถูก “ถล่ม” ด้วยอาวุธปืนสงครามทั้ง”เอ็ม 16 และ คาร์บิน” จนพรุนไปทั้งร่าง เคยเขียนไว้หลายครั้งว่า “ปืนสงคราม” ยังมีอยู่มากมายในพื้นที่ของ จ.พัทลุง ที่”กวาดล้าง”ไม่เคยสำเร็จ เปลี่ยน “ผบก.ภ.จว.” มาแล้ว หลายคน ก็ไม่เคยทำให้”อาวุธสงคราม” หายไปจากพื้นที่ ครั้งนี้ได้ “พล.ต.ต.ญฐกรณ์ กาญจนาภรณ์” มาเป็น”ผู้การ” สถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดพัทลุง ก็ยังเหมือนเดิม หรือนี่คือ”ซอฟต์พาวเวอร์”ของ”บรรพบุรุษ”ของ”เมืองลุง” ที่ต้อง”อนุรักษ์”ไว้….ส่วน”ข่าวคราว”ของ”แป้ง นาโหนด” หรือ”เชาวลิต ทองด้วง” นักโทษหลบหนี”เรือนจำนครศรีธรรมราช” ที่มีข่าวว่า”หลบซ่อน” อยู่ในประเทศเพื่อนบ้างนั้น  วันนี้”ข่าววงใน” ที่เชื่อถือได้ แจ้งว่า”แป้ง นาโหนด” กลับมานอน”ทอดหุ่น” สบายใจเฉิบ อยู่ในพื้นที่ของ”พัทลุง” นานแล้ว โดยอยู่ใน”ซุ้มใหญ่”ของ”นักการเมือง”  ถ้าเป็นจริง อีกไม่นานคนมี”ข่าวใหญ่” เพราะ”ตำรวจ” ไม่ได้มีเพียงกลุ่มที่ให้ความคุ้มครอง”แป้ง นาโหนด” เพียงกลุ่มเดียว “ตำรวจ” ที่ต้องการตัว”แป้ง นาโหนด” เพื่อ”ล้ม” กลุ่มที่ให้ความ”คุ้มครอง” แป้ง นาโหนด” ก็มี   ตัวอย่างของ” กำนันตุ้ม” คนดังของ”เมืองลุง” ที่ หลบหนีคดี”ประหารชีวิต” ของ”ศาลฏีกา” อยู่ในการ”อารักขา” ของ “กลุ่มอิทธิพล” สุดท้าย ก็หนีไม่พ้น”เงื้อมมือ” ของ”ตำรวจ” จาก”ส่วนกลาง”

หลายวันก่อน รถตู้บรรทุกบุหรี่หนีภาษีจากท่าเรือแห่งหนึ่งจาก จ.ตรัง มาเกิด”อุบัติเหตุ” ชนท้ายรถ”กระบะ” ของชาวบ้านใน อ.กงหรา จ.พัทลุง ภายในรถมี”บุหรี่หนีภาษี” 250 ลัง มูลค่าหลายล้านบาท หลังเกิดเหตุมี”นายตำรวจระดับนายพล” สั่งการให้”ปล่อยของกลาง” แต่”ร้อยเวร” เจ้าของคดีไม่ยอม และมีการ”ขอร้อง” อย่าให้”เป็นข่าว” แต่”นักข่าว”ไม่ยอม ถามกัน”ให้แซด” ว่า “นายพลตำรวจ” คนนั้นเป็นใคร ก็ตอบให้รู้กันว่า มีข่าวว่าเป็น”ลูกพี่ใหญ่”ของ” แป้ง นาโหนด” และ วันนี้ยัง”รับราชการ” อยู่ ส่วน”เกี่ยวพัน” กับ” เจ๊ ก ไก่” เจ้าของ”บุหรี่เถื่อน”อย่างไร เป็นหน้าที่ของ “เดอะโต้ง” พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี  ผบช.ภ. 9 ต้องไป”พิสูจน์ทราบ” เอาเอง…..ส่วนใน”น่านน้ำอันดามัน” ด้าน จ.สตูล วันนี้ ไม่มีมีเพียง”น้ำมันเถื่อน”และ”บุหรี่เถื่อน สุราเถื่อน” ที่ถูก”ลักลอบ” นำเข้าจาก”เกาะลังกาวี” ประเทศมาเลเซียเพียงเท่านั้น ยังมีการนำเข้า”สินค้าหลบหนีภาษี” อื่นๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก ล่าสุด” ศรชล” ของ กองเรือภาคที่ 3 จับกุม เรือขนสินค้าหลบหนีภาษีในน่านน้ำสตูลได้ถึง 4 ลำ ด้วยกัน ในน่านน้ำอันดามัน จ.สตูล มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการ”สกัดกั้น” สินค้าหลบหนีภาษี ทั้ง”ศรชล” ของ”กองเรือภาคที่ 3 “ มีทั้ง”ตำรวจน้ำ” มีทั้ง”ศุลกากร” และ”สรรพสามิต” ถ้าทั้งหมดร่วมมือกัน มีหรือที่”ของเถื่อน” จะ”หลบรอด”ไปได้

ยังเป็นปัญหาใหญ่ สำหรับการ”ระบาด” ของ”ยาเสพติด ที่”ผู้เสพ” กลายเป็น”ผู้ป่วยทางจิต” และกลายเป็น”ฆาตรกร” และ”ภัยสังคม” เช่นผู้”ติดยาเสพติด” ที่ อ.เทพา จ.สงขลา”ใช้มีดฟัน “สองผัวเมีย” แรงงานรับจ้างสวนปาล์ม เสียชีวิตอย่าง”อนาถ” และ”คนติดยา” ในพื้นที่ อ.นาโยง จ.ตรัง ขโมยรถ ที่จอดอยู่ในตลาด ขับหลบหนี  เจ้าหน้าที่ด้วยการ”ชนดะ” มาจนมุม เจ้าหน้าที่ในท้องที่ จ.พัทลุง รายหลังโชคดี ที่ เจ้าหน้าที่ จับกุมได้ โดยไม่มีการ”เสียเลือดเนื้อ” ทั้งสองเหตุการณ์  จากการ”สอบสวน” พบว่ามาจาก”การเสพ” ที่”มากขึ้น” ของ”ผู้เสพ” เนื่องจาก” ยาบ้ามีการคาถูก” เม็ดละ 20 บาท ทำให้ มีความสามารถเสพได้วันละหลายเม็ดจึงทำให้”บ้ามากและบ้าเร็วขึ้น” วันนี้ปัญหาของ”ยาบ้า” จึงไม่ใช่เรื่อง”ครอบครอบ 5 เม็ด” แล้วเป็น”คนป่วย” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ”ยาบ้ามีราคาถูก” อีกต่างหาก เรื่องนี้”นายกรัฐมนตรี” และ”เสนาบดี” กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ต้อง”รู้ปัญหา” และต้อง”แก้ให้ตรงประเด็น” วิธีเดียวที่ได้ผลคือต้อง” สกัดกั้น” การ “ลำเลียง” ยาเสพติดจาก”ชายแดนเพื่อนบ้าน” ที่ต้องได้ผล    ส่วนเรื่องการ”เอาผู้เสพ” ออกจาก”ชุมชน” เพื่อการ”บำบัด” วันนี้ยังห่างไกลจากความสำเร็จ อย่างใน จ.สงขลา “สมนึก พรหมเขียว”  ผวจ.สงขลา ทำทุกวิถีทางในการนำเอา”คนเชือน” หรือผู้มีอาการ”ทางจิต” ออกจาก”ชุมชน” เพื่อแก้ปัญหาให้”สังคมปลอดภัย” แต่ยังติดที่”กลไก” ระดับ”ปฏิบัติการ” ใน ระดับ อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ยังไม่พร้อมกับปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น”งบไม่มี คนไม่พอ” และ”ส่วยยาเสพติด” ยังมีอยู่

ในขณะที่”ตำรวจ” ก็มีปัญหา จับคน”เสพยา” มาเป็น”ผู้ต้องหา” ผู้ถูกจับเป็น”ผู้เสพ”  อีก 2 วัน ผู้ถูกจับ กลับเข้า”ชุมชนหมู่บ้าน กลายเป็นปัญหา และเป็นข้อ”ครหา” กับ”ตำรวจ” ว่าไม่”เอาจริง”ปล่อยผู้ต้องหา เมื่อ” ผู้เสพ” ที่ถูกให้เป็น”ผู้ป่วย” กลับมายัง”ชุมชน” ก็ไม่มีหน่วยงานส่งเจ้าหน้าที่ติดตามการ”บำบัด” เพราะ เจ้าหน้าที่”ไม่พร้อม” วันนี้ ปัญหาของ”ยาเสพติด” จึงเป็นเรื่อง”สวยหรู” แต่ไม่”เป็นจริง” มีคน 700,000 คน ที่ ติดยาเสพติด 400,000 อยู่ในเรือนจำ 300,000 เป็น”ผู้ป่วย” อยู่นอกเรือน ถ้าเอา 300,000 คน ที่เป็น”ผู้ป่วย” เข้าเรือนจำด้วย จะ”แออัดยัดเยียด”ขนาดไหน และวันนี้มี”ผู้เสพ” อีก กี่แสนคน ที่ยังไม่เข้าสู่”ขบวนการ”ของ”ผู้เสพ” ที่ยังอยู่ใน”ชุมชน” ถ้าจะ”จับจริง” และให้”เรือนจำ” เป็นที่”คุมขัง”เรือนจำทุกเรือจำ อย่างว่าจะ”นอน” เลยเอาแค่”ยืน” ก็จะไม่มีที่ยืนด้วยซ้ำ  นี้คือเรื่องจริงของสถานการณ์”ยาเสพติด” ของประเทศไทย

จำได้ว่าครั้งที่”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” สมัยแรก มีการ”ลงนาม” พื้นที่”ทับซ้อน”ของแหล่งก๊าซ “เจดีเอ”ใน”อ่าวไทย” ระหว่าง ไทย-มาเลเซีย โดยมีการสร้างโรงงานแยกก๊าซที่ อ.จะนะ จ.สงขลา และมี”เอ็นจีโอ” ประท้วงด้วยการประกาศ”มึงสร้างกูเผา” มีการ”ปะทะ”ระหว่าง”ตำรวจ” กับ”เอ็นจีโอ” กลางในเมืองหาดใหญ่  เป็นข่าวดังทั่วโลก “ทักษิณ ชินวัตร” กลับประเทศไทยครั้งนี้ “เศรษฐา ทวีสิน” กับ”ฮุน มาเน็ต” ผู้นำประเทศกัมพูชา กำลัง”เจรจา” เรื่องการแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่”ทับซ้อน” ที่เป็น”แหล่งก๊าซธรรมชาติ” ระหว่าง ไทย-กัมพูชา  ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะ”ออกหัวออกก้อย” เพราะมีเรื่อง”พื้นที่เขตแดน” ที่ไม่ง่ายเหมือนกับที่”อ่าวไทย” ระหว่าง ไทย กับ มาเลเซีย แต่ที่มีคนสงสัยคือการ”ให้เปล่า” ของ”ไม้หมอนรถไฟ” ของ”การรถไฟแห่งประเทศไทย” ที่ยกให้กับ”กัมพูชา” โดยที่ ไม่มีการ”ประชาสัมพันธ์” ให้คนไทยได้รับรู้ เรื่องนี้มีการ”วิพากษ์วิจารณ์”กันมากว่ามีอะไรที่”แอบแฝง” อยู่หรือไม่อย่างไร ผู้ว่าการรถไฟ จะไม่ตอบข้อ”ข้องใจ” ของประชาชนเลยหรือ โดยเฉพาะใครเป็นผู้”อนุมัติ” ในการ”ให้เปล่า” ครั้งนี้

เรื่องของ” สตอ.ชวนิล จินดามณีกาศ”  พลขับสำรอง ของ สภ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า” เกิด”คลุ้มคลั่ง” ไล่แทง ชาวบ้าน ที่ขับรถ ผ่านโรงพัก ตาย 1 บาดเจ็บ 1  ยังกลายเป็นข้อ”ถกเถียง” ของ ประชาชน เพราะไม่แน่ใจว่า ในแต่ละ หน่วยงาน ของ ตำรวจ ยังมี”ผู้ป่วย” ประเภทนี้อยู่” มาก น้อย “ แค่ไหน และถ้าเป็น”ผู้ป่วย” ควรหรือไม่ ที่ยังให้”ปฏิบัติหน้าที่” อยู่ในหน่วย เพราะไม่รู้ว่า วันไหน เมื่อไหร่ จะกลายเป็น”คนร้าย” ไล่”เข่นฆ่า” ชาวบ้านชาวช่อง เรื่องนี้” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. ต้อง”สั่งการ” ให้”ตำรวจป่วยทางจิต” หยุด ปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะ รักษาหาย  อย่าให้”ประวิติศาสตร์ซ้ำรอย” เกิดขึ้นอีกเลย

หลังจากเวลานานถึง 6 เดือน ในที่สุด”คำสั่ง คสช.” จำนวน 3 ฉบับ ที่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ใช้ในการ”บอนไซ” ให้” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต..) ให้อยู่ภายใต้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ก็มีการนำเข้า สภาผู้แทนราษฎร เพื่อของความเห็นชอบในการ “ยกเลิก” คำสั่งทั้ง 3 ฉบับ อีกไม่นาน “ศอ.บต. ก็จะกลับมาเป็นตัวของตัวเอง  มี พรบ. ที่เป็นของ ศอ.บต. ในการ”ขับเคลื่อน” งานด้านการพัฒนา และ สังคมจิตวิทยา อย่างในอดีตก่อนที่จะมีการ”ยึดอำนาจ” ก็ได้แต่หวังว่า “พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. จะ นำพา ศอ.บต. ให้เป็น หน่วยงานที่เป็น”ที่พึ่ง” ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหมือนในอดีต

ปิดท้ายที่”น้ำมันเถื่อนกลางทะเลอ่าวไทย” ซึ่งไม่รู้ว่าได้”ไฟเขียว” จากหน่วยงานไหน จึงมีการ”ลำเลียง” นำมันเถื่อนจากประเทศมาเลเซีย นำขึ้นฝั่งที่ ท่าเรือประมงหลายแห่งในภาคใต้ อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” มี รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ บรรทุกได้คันละ 40,000 ลิตร ไป รถขนถ่ายจากเรือขึ้นรถ คืนละไม่ต่ำกว่า 10 คัน “จุดหมายปลายทาง” คือ”จังหวัดทางภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ถามว่าถ้าไม่มี”ไฟเขียว” จะทำได้หรือไม่ รอง ผบ.ตร. ท่านไหน ที่ทำหน้าที่ “หน.ตร. ปนม.” ตรวจสอบด้วย เพราะนี้ไม่ใช่เรื่อง”ผิดกฎหมาย” อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ”อาชญากรทางเศรษฐกิจ” ด้วย

ใครที่เดินทางไป”ท่องเที่ยว” หรือไปทำ”ธุระปะปัง” ใน” รัฐเปอร์ลิส” ประทศมาเลเซีย ต้อง เติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อให้เพียงพอกับการเดินทาง”ไป-กลับ” เพราะ”กฎหมาย” ของ”รัฐเปอร์ลิส” ห้ามรถยนต์ที่เป็นป้ายทะเบียนไทย เติมน้ำมันในปั๊ม เพราะ”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” จากประเทศไทย นำรถยนต์”ดัดแปลง” ไปขนน้ำมันจากปั๊มมาเลเซีย ที่ ขายถูกว่าไทยลิตรละ  20 บาท ( เบนซิน ) และ ลิตรละ 14 บาท ( ดีเซล) ทำให้ผู้บริหารรัฐเปอร์ออกกฎหมาย ห้ามรถยนต์ไทยเติมน้ำมัน นี่คือความเดือดร้อนของคนไทยที่เกิดจาก”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติ”

แจ้งข่าวจาก สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ( สนต.) “ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล” นายกสมาคมฯ เชิญสมาชิก ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ในวันที่ 5 มีนาคม 2567  ณ ห้องประชุม โรงแรมบีพีแกรนด์ทาวเวอร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เวลา 13 .00 น. เป็นต้นไปหลังจากจบประชุมใหญ่ฯ “แดดร่มลมตก” เชิญร่วมงาน”สังสรรค์วันนักข่าว” ที่”สระน้ำชั้นสาม” โรงแรมเดียวกัน “นกน้อยในป่าคอนกรีต”อย่าลืม…..แล้วพบกันอีกครั้งในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง ‘เศรษฐา’ นำทีมลงพื้นที่ชายแดนใต้

ปิดฉากไปแล้วตามความคาดหมายใน กรณีของ”นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่นอนรักษาอาการป่วยที่ รพ.ตำรวจ ครบถ้วนตามกฎหมายของการ”จำคุก” และได้รับการ”พักโทษ” กลับไปอยู่”บ้านจันทร์ส่องหล้า” หลังจาก”นิราศร้าง”บ้านเกิดเมืองนอน ถึง 17 ปี ส่วนจะมีความสุขกับการ”อุ้มหลาน” หรือจะเป็น”ผู้กำกับการเมือง” ของ”พรรคเพื่อไทย” เพื่อเป็น”นายกเงา” อย่างที่ สังคมตั้งข้อสงสัย หรือไม่ ประการใด เดี๋ยวก็รู้ เพราะ วันเวลา จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และที่สำคัญ” วัน เวลา”หลอกลวงใครไม่เป็น….สถานการณ์ของ”ประเทศไทย” และของ”รัฐบาล” ที่นำโดย”นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน ต่างหากที่ คนไทย น่าจะให้ความสนใจให้มากกว่าเรื่องของ”นายทักษิณ ชินวัตร” เพราะ วันนี้ ประเทศไทย อยู่ใน สภาวะ”ป่วยไข้” ทาง”เศรษฐกิจ” เพราะ หลายๆ นโยบายของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ตั้งแต่เรื่อง”พักหนี้เกษตรกร” เรื่องการจัดการกับ”หนี้นอกระบบ” เรื่องการแก้ปัญหา”พลังงาน” เรื่องการลด”ค่าน้ำ-ค่าไฟ”  เรื่อง”ฟรีวีซ่า” และอีก” จิปาถะ” ยังไม่สามารถที่จะ”ตอบโจทย์” การแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ-ปากท้อง” และ”ความยากจน” ของคนส่วนใหญ่ใน”แผ่นดิน” เพราะตราบใดที่ “สินค้าแพง-ค่าแรงถูก” และ”เงินเดือน”ของ”มนุษย์เงินเดือน” ยังไม่มีการ”ขยับปรับเปลี่ยน” เรื่องที่จะเห็น”เศรษฐกิจพื้นตัว” และ”เงินเฟ้อลดลง” คงจะไม่สำเร็จ”

เห็นนะ ว่า”นายกนิด” เศรษฐา ทวีสิน ทำงานอย่างไม่”เหน็ดเหนื่อย” อย่างที่ประกาศไว้ แต่การ ทำงานมาก ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้เกิดความ”สำเร็จ” ในการแก้ปัญหา ถ้าการ”ขับเคลื่อน” ที่เกิดขึ้นยัง”ไม่ตอบโจทย์” อย่างเรื่อง”ฝุ่นพีเอ็ม 2.5” ที่ สั่งการให้ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์  ซึ่งวันนี้สิ่งที่เห็นคือการ”ระดมเครื่องมือในการฉีดน้ำดับไฟ” นี่เป็นเรื่องของ”ปลายเหตุ” ที่ต้อง “สูญเสียงบประมาณ” และ”กำลังพล” ในการ”ปฏิบัติการดับไฟ”เพราะ”ต้นเหตุ”อยู่ที่การ”จุดไฟ” ที่”ผู้ว่าราชการจังหวัด,นายอำเภอ,” และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง”เอาจริง” กับคนที่”จุดไฟ” ไม่ว่าจะเป็น”เกษตรกร” หรือ”บุคคลอื่นๆ” ถ้าทำความเข้าใจแบบที่”ไม่ยอมเข้าใจ” สุดท้ายก็ต้อง”บังคับใช้กฎหมาย” เพื่อการแก้ปัญหาและการ”ยุติ”ปัญหา…..วันนี้เรื่อง”เงินดิจิตัลวอลเล็ต” คงจะลดความ”ร้อนแรง”ลดเพราะ”ท่าที่ของ”นายกนิด” และ”เพื่อไทย” ยอมที่จะรับฟัง”ความเห็นต่าง” ที่เกิดขึ้นจาก”กฤษฎีกา,ปปช. “และ”ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” และให้มีการ”ศึกษารายละเอียด” อีกครั้งในกรอบเวลา 1 เดือน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะ”ยกเลิก” หรือประกาศ”ไอ้เสือถอย” แต่เป็นการ”ตั้งหลัก” เพื่อการ”ซื้อเวลา” และหาวิธีการในการ”ลุยไฟ” เพื่อ”ขับเคลื่อน” โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ด้วยการ”กู้เงิน 500,000 บาท เพื่อ”แจก” ให้ประชาชน

เรื่องนี้”หัวเด็ดตีนขาด” ถ้าไม่มี”คำสั่ง” จาก”ผู้มีอำนาจ”ที่แท้จริงใน”เพื่อไทย” จะไม่มี”ทางถอย”…..ง่ายๆ…..เพราะ รัฐบาลชุดนี้ ไม่ได้มี”แผนสอง” หรือ”แผนสำรอง” ในการ”ฟื้นคืนเศรษฐกิจ” ของประเทศในรูปแบบอื่นๆ มีเพียงแผนเดียวคือ”แจกเงิน” ตามโครงการ”ดิจิตัลวอลเลต” เท่านั้น เพราะแผนนี้เป็นการ”ยิงปืนนัดเดียว” แต่”ได้นกสองตัว” หนึ่งคือการ”ฟื้นเศรษฐกิจ” ตามระบบคิดของ”กูรูเศรษฐกิจ” ของ”เพื่อไทย” และ 2 คือได้”การเมือง” คือ”คะแนนเสียง” จากการ”แจกเงิน”ให้ประชาชน…..ก็คอยดูต่อไป เพราะ”เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง” คงจะ”สำเหนียก”ได้ถึง”บทเรียน”ของโครงการ”จำนำข้าว” ในสมัยของรัฐบาล”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ก่อนจะมีการ”ขับเคลื่อนโครงการ” ก็มีเสียง”ติเตือน” อย่างนี้เกิดขึ้น แต่”รัฐบาลไม่ฟัง” สุดท้ายจึงเกิดการ”ทุจริต” และผลพวงในครั้งนี้” อดีตรัฐมนตรี” และ”บุคคล” ที่เกี่ยวข้อง วันนี้ยังต้อง”ชดใช้ความผิด” อยู่ใน”เรือนจำ” บทเรียนของความ”ดื้อรั้น” มีมาแล้ว และผลแห่งความ”ดื้อรั้น” ก็”ประจักษ์ชัด จึงอยู่ที่”เพื่อไทย” จะตัดสินใจ”ลุยไฟ” หรือไม่เท่านั้น

ที่สำคัญ วันนี้ ชาวบ้านอย่าง เราๆ ท่านๆ ไม่รู้ว่าจะ ฟังใคร และ เชื่อใคร เพราะ ล่าสุด “เลขาธิการ “สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ( สศช ) ก็ออกมา ให้ข้อมูล ว่า เศรษฐกิจของไทย”ไตรมาศที่ 4” ยัง”ดิ่งเหว” โตเพียง 1.7 % เท่านั้น ในขณะที่ปีที่ผ่านมาโต. 1.9%  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า โต กว่าปีนี้ ทั้งที่มีเรื่องของ”โควิด 19 “   ที่สำคัญ “สภาพัฒน์ฯ” คาดการว่า ปี 2567 เศรษฐกิจไทย จะโตไม่เกิน 2.2. หรือ เต็มที่อยู่ที่ 3.2%  เท่านั้น ถ้าเชื่อตัวเลข และการคาดการณ์ของ”สภาพัฒน์ฯ” นั้นหมายถึง “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่ต้องใช้”ยาแรง” และ”เร่งด่วน” ในการแก้ไข แต่ถ้าพังจาก” “แบ็งค์ชาติ” ,ปปช.” เศรษฐกิจ ก็ยังไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้อง”กระตุ้นด้วยยาแรง” และ”ไม่ต้อง”ลดดอกเบี้ยเงินกู้” สรุป ใครจะบอกได้ว่า สถานการณ์ของ”เศรษฐกิจไทย” เป็นอย่างไร  ใครเป็นของเท็จ ใครเป็นของจริง คนไทยเป็นงง นะ

วันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ นี้ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็จะมีปรากฏการณ์ “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” เกิดขึ้น ณ “แผ่นดินปลายด้ามขวาน” เมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะ นำคณะเดินทาง”ตรวจราชการ” ใน จังหวัดปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” แบบ”แรมคืน” ตามแบบอย่างที่”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต นายกรัฐมนตรี เคย ปฏิบัติ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  นัยว่าเพื่อที่จะมาดู”ของจริง” ทั้งเรื่อง”ปากท้อง,เรื่อง”เศรษฐกิจ” การค้า การลงทุน และการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” รวมทั้งเรื่องของ”ความมั่นคง” ในพื้นที่ นี่เป็นเรื่อง”ที่ดี” และเป็น”ข่าวดี” สำหรับ ประชาชนในสามจังหวัด…..หวั่นก็แต่ว่า สิ่งที่”นายกนิด” จะได้แต่”ยาหอม”  จาก”มวลชนจัดตั้ง” ที่ถูกเกณฑ์ไปต้อนรับ และได้”ข้อมูล” ในด้านที่”ดูดี” จาก”หน่วยงานภาครัฐ คล้ายๆกับ”อดีตนายกรัฐมนตรี” หลายท่านที่ผ่านมา ที่สุดท้ายแล้ว การลงพื้นที่”เข้าไม่ถึงข้อเท็จจริง” และปัญหาที่แท้จริง แบบที่เรียกว่าเห็นเพียง”กระพี้” แต่ไม่เห็น”แก่นแกน”ของปัญหาของข้อเท็จจริง” สุดท้ายเป็นเรื่อง”เสียของ” และ”เสียเวลา” รวมทั้งสร้างปัญหาให้กับ” เจ้าหน้าที่” ในการ”รักษาความปลอดภัย” ให้กับ”คณะของนายกรัฐมนตรี” ก็”ติติง” กันไว้ เพื่อจะให้การเดินทางมา”ค้างแรม” ณ แผ่นดิน”ปลายด้ามขวาน” ของ”นายกรัฐมนตรี และคณะ จะไม่”เสียของ” ได้รับรู้”ของจริง” เพื่อนำไปแก้ไขให้เป็นไปแบบ”ถูกทิศถูกทาง”

ส่วน สถานการณ์ความไม่สงบของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ก่อนที่”นายกรัฐมนตรี” จะเดินทางมาเยือนนั้น มีความ”ดุเดือดเลือดพล่าน” ตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา “ทหาร,ตำรวจ” อาสาสมัคร” ในพื้นที่ ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” ต้องใช้ชีวิต”สังเวย” คมกระสุน และ”ระเบิดแสวงเครื่อง”ไปแล้วกว่า 10 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง  รวมความแล้ว สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” อยู่ในอาการที่เรียกว่า”เอาไม่อยู่” 1 ป้องกันการก่อเหตุไม่เป็นผลสำเร็จ” 2 หลังการก่อเหตุ”จับกุมคนร้ายไม่ได้” เมื่อ 2 เรื่องนี้ทำไม่สำเร็จ เรื่องที่ 3 และที่ 4 ก็ไม่ต้องเขียนถึง…..ที่สำคัญ ก่อนที่จะถึงวันที่ 27-29 ที่”นายกนิด” จะนำ”รัฐมนตรี” หลายกระทรวงมา”ค้างแรม” ในพื้นที่ 3 จังหวัด สถานการณ์ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน เพราะ”บีอาร์เอ็น” ต้องการ”แสดงตัวตน”ให้”รัฐบาล”ได้รับรู้ และต้องการใช้”ความรุนแรง” ในการ”ควบคุมมวลชน” ให้เกิดความกลัว  เพื่อให้”มวลชน” ที่ไม่ใช่ของ”บีอาร์เอ็น” ทำตัวเป็น”จ่าเฉย” ไม่ให้ความร่วมมือกับ”เจ้าหน้าที่รัฐ” …..รวมทั้งเป็นการใช้”ความรุนแรง” ด้วยการ”ก่อเหตุร้าย” ในพื้นที่ เพื่อเป็นการ”กดดัน” คณะการ”พูดคุยสันติสุข” ของ”รัฐบาล” ให้ยอมรับ”เงื่อนไข” ที่”คณะพูดคุยด้านเทคนิค”ของทั้งสองฝ่ายจะมีการ”พบปะพูดคุย”กัน ในต้นเดือน มีนาคม ที่จะถึงนี้   ทั้งหมดเป็น”ปฏิบัติการ” แบบเดิมๆของ”บีอาร์เอ็น” ที่ไม่มีอะไรใหม่ เพียงแต่ที่เรา”เอาไม่อยู่” เพราะ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ไม่มี”ยุทธวิธี” และ”ยุทธศาสตร์” ที่”ทันสมัย”  ที่ใหม่กว่ายุทธวิธีของ”บีอาร์เอ็น” ต่างหาก

ล่าสุดมีการ”ถอดหมุดรางรถไฟ” ในพื้นที่ “ต.คลองทราย” อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ถึง 108 ตัว แต่ โชคดี ที่ เจ้าหน้าที่ ตรวจเส้นทาง พบเห็นก่อนที่ ขบวนรถไฟมามาถึง นี่เป็นการ”ก่อวินาศกรรม” เพื่อให้”รถไฟตกราง” ซึ่งเป็นวิธีการ เก่าๆ เดิมๆ ที่ทำมากว่า 60 ปี แล้ว แต่ก็ยังทำอยู่ ทั้งที่การที่”รถไฟตกราง” ขบวนรถหยุดเดินรถ ผู้เดือดร้อน คือ ประชาชนแต่”บีอาร์เอ็น” สามารถ”ไอโอ” ให้คนในพื้นที่เห็นว่าเป็นความผิดของ”เจ้าหน้าที่รัฐ” ไปได้….. ก็ต้องติดตามดูว่า หลังการลงพื้นที่”ค้างแรม” ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ กลับไปยัง กรุงเทพมหานคร แล้ว “นายกนิด” จะมี”ไอเดีย” อะไร ในการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่ขนาดมี”ด่านตรวจ” มี”จุดสกัด” มากมาย มี”กฎหมายพิเศษ” ถึง 3 ฉบับ ซึ่ง”ภูมิภาค”อื่นๆ ไม่มีแต่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยัง”เอาไม่อยู่” ถ้า”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ทำตามข้อเสนอของ”กรรมาธิการสันติภาพ” ที่มี”จตุรนต์ ฉายแสง” เป็นประธาน ด้วยการ”ยุบ กอ.รมน.” ถอนทหาร ยกเลิก “กฎหมายพิเศษ” และ”ยกเลิก”ด่านตรวจ”จุดสกัด” สถานการณ์ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะ “เลวร้าย”และ”รุนแรง” ขนาดไหน

เรื่องของการมี”ยาบ้า 5 เม็ด” คือการเป็น”ผู้เสพ”ซึ่งเป็น นโยบายในการแก้ปัญหา”ยาเสพติด” ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” กลายเป็น”ดราม่า” ที่มีผู้คนในประเทศ “วิพากษ์วิจารณ์” กันมาก เหตุผลเพราะไม่เชื่อว่า “เจ้าหน้าที่” จะดำเนินการให้เป็นไปตามที่”เสนาบดีกระทรวงสาธารณสุข” นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว และ”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล “ผบ.ตร. ออกมา แถลง ถึงการ ปฏิบัติ ว่าทำได้จริง….ยกตัวอย่าง ตำรวจ”จับกุม” ผู้มียาบ้าในครอบครอง 5 เม็ด เจ้าตัวยอมรับว่าเป็น”ผู้เสพ” เมื่อส่งไป”บำบัด” ซึ่ง สถานบำบัดไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่ส่งกลับพร้อม”จ่ายยา” ให้ไป”บำบัดที่บ้าน” เมื่อมาถึงบ้าน ใครจะเป็นผู้”ควบคุม” ดูแลการ”บำบัด” ยาที่ใช้”บำบัด” ถูก”โยนทิ้ง” และ”ผู้ป่วย” ก็กลับไป”เสพ” และ”เดินยา” ในหมู่บ้าน ด้วยวิธีการครอบครองทีละ 5 เม็ด …..ส่วนที่  พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. และ”นายตำรวจใหญ่น้อย” ที่ออกมา”การันตี” ว่า การ”จับกุม” ดูที่”พฤติกรรม”มี”ยาบ้า” เพียง 1 เม็ด” ก็”เอาผิด”ได้ถ้ามี”พฤติกรรม” ว่าเป็น”ผู้ค้า” เรื่องนี้คือเรื่องที่”ประชาชน” ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า ตำรวจจะทำได้…..ทำอย่างไร ประชาชน จึงจะมีความ”เชื่อมั่น” วันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง “สาธารณสุข, มหาดไทย.และ ตำรวจ ที่เป็น หน่วยงานในพื้นที่ ต้องทำงาน”สื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ” ให้กับ”ประชาชน” อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ในทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ไม่มี หน่วยงาน ที่รับผิดชอบ เพื่อ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน   ซึ่งการปล่อยให้”ประชาชน” เข้าใจผิด และนำเรื่องนี้ไป”ดราม่า” ไม่เป็นผลดีกับ”รัฐบาล” อย่างแน่นอน

สังเกตุดู วันนี้เรื่อง”การเอาชนะยาเสพติด” กลายเป็นการ”ขับเคลื่อน”ของ”กระทรวงยุติธรรม”ที่มี “ พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เป็น”ด้านหลัก” ส่วน”มหาดไทย”และ”สาธารณสุข” เป็นเรื่องรองลงไป และ”ตำรวจ”ที่เป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุดในการ”ปราบปราม” ยาเสพติด”รายย่อย” ในพื้นที่ตามมาเป็น”ลำดับสุดท้าย” โดยข้อเท็จจริง ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ต้องมีการ”ประสานมือกัน” และ”ก้าวไปด้วยกัน” มี”ข้อมูล” ที่เป็น”ชุดเดียวกัน” การแก้ปัญหาจึงจะไปด้วยกัน และนำไปสู่”ปลายทาง”แห่งความ”สำเร็จ”….วันนี้” กระทรวงยุติธรรม” ใช้ “ขบวนการเอาชนะยาเสพติด” ด้วยการอาศัย”กลไกภาคประชาชน” ในการ”จัดตั้งเครือข่าย” ใน หมู่บ้าน ตำบล เพื่อการ”เอาชนะยาเสพติด” ตามหลักการเอาชนะ”การก่อการร้าย” นั้นคือ”ชัยชนะต้องมาจากหมู่บ้าน” ซึ่งวันนี้” คณะทำงานของกระทรวงยุติธรรม” ที่มี “เสนาบดี” ผู้เดินทางอย่างไม่รู้จัก”เหน็ดเหนื่อย” อย่าง” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” เดินทางไปให้ นโยบาย และ “ยุทธศาสตร์” ในการ”เอาชนะยาเสพติด” โดย”ภาคประชาชน” ในทุกจังหวัดของประเทศ และ”เน้น” จุด”แตกหัก” ใน “ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ “ปปส. “มี ข้อมูลว่า “ยาเสพติด” กว่าครึ่ง ที่ทะลักเข้าประเทศไทย จากชายแดน ภาคเหนือ ,อิสาน และภาคตะวันตก เดินทางมายัง “ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยเฉพาะ”ยาไอซ์” ที่ ใช้พื้นที่”ชายแดนไทย-มาเลเซีย” ในการ”ส่งออก” ไปยัง “ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งก็ต้อง”เกาะติด” สถานการณ์ของการ”ขับเคลื่อน” โดยภาคประชาชนว่า จะประสพความสำเร็จ หรือไม่ อย่างไร

ก็เคยบอกแล้วไงว่า “โพงพาง” ที่ทำไว้เพื่อการ”ดักเรือ” ที่ เจ้าของสร้าง”รุกล้ำร่องน้ำการเดินเรือ” ใน”ทะเลสาบสงขลา” เป็น”โพงพาง” ที่”มีเส้น” ไม่ใช่พวก”เกาเหลา” เพราะหลังจากที่”สมนึก พรมเขียว” ผวจ.สงขลา” ขีดเส้นตาย” ให้”เจ้าหน้าที่ภูมิภาคที่ 4 “ ดำเนินการ”รื้อถอน” ภายในวันที่ 24 กุมภาพันธ์  ปรากฏว่าในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็มีการสั่ง”ชะลอการรื้อถอน” ไว้ก่อน เพราะมี หนังสือจาก” เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย ) สส.เขต 5 และ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ขอทำหน้าที่เป็น”คนกลาง” เพื่อการ”หาทางออก” ระหว่าง” เจ้าของโพงพาง” กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ”  ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ปัญหาของ”โพงพางดักเรือ” จะต้องอยู่คู่กับ” ทะเลสาบสงขลา” ต่อไปตราบ”นิรันดร์กาล” หรือไม่อย่างไร ก็ เห็นใจนะ สำหรับความ”ตั้งใจ” ที่จะแก้ปัญหา”โพงพาง” ที่”หมักหมม” มาเป็นเวลา 10 กว่าปี ของ”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น   ซึ่งเป็นทั้งเรื่อง”ผิดกฎหมาย” และเป็นที่”ทัศนอุจาด” ใน”ทะเลสาบสงขลา ที่สุดท้ายมี”ดิสเบรก” จาก”การเมือง” ให้ไปต่อไม่ได้

นี่ก็ความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพประมงสงขลา วันก่อน ดร.สุรเดช นิลอุบล นายกสมาคมประมงจังหวัดสงขลาพร้อมผู้ประกอบการประมง เข้าพบเพื่อยื่นหนังสือ”ร้องทุกข์ ร้องเรียน” ไปยัง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ผ่าน “ สรรเพชญ บุญญามณี  สส.เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ รัฐบาลเร่งกำเนินการเร่งซื้อเรือประมงคืน และแก้ปัญหา ราคาสัตว์น้ำตกต่ำ และ เร่งรัดให้ พรบ.ประมง ประกาศใช้โดยเร็ว เห็นหรือไม่ว่า วันนี้ ทุกอาชีพของคนไทย มีแต่ปัญหา ที่ต้องให้รัฐบาลแก้ไข….หลายวันที่ผ่านมา มีชื่อ “สองก๊ะ” ที่ โผล่ขึ้นมาเป็นข่าว ก๊ะแรกคืบหน้า คือ”ก๊ะดา”  ที่ถูก พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 แถลงข่าวว่าเป็น ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ของ จ.นราธิวาส ซึ่ง ตำรวจ ติดตาม จับกุมผู้เป็น”ลูกสมุน” ได้ทั้ง “ยาบ้า” และ”ยาไอซ์” กว่า 200 กิโลกรัม ส่วน”ก๊ะดา” หลังเกิดเหตุ”ล่องหน”ไปแล้ว…..ในขณะที่”ชยพล สายทวี “ ผอ.ดีเอสไอ ภาคใต้ ก็นำกำลังเข้า”ตรวจค้น” โกดังใหญ่ ของ”ก๊ะฟา” ที่เป็นที่เก็บสินค้าจาก”ประเทศจีน” ที่ ผิดกฎหมาย ไม่ เสียภาษี และเป็นสินค้าที่ไม่มีเครื่องหมาย” มอก.” ได้ของกลาง หลายสิบล้านบาท ที่น่าสังเกตคือ วันนี้”ก๊ะทั้งหลาย”ซึ่งเป็น”ผู้หญิง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก้าวขึ้นชั้นเป็น”เจ้าแม่” ในวงการ”ของเถื่อน” และ”ยาเสพติด” เป็นจำนวนมาก และใช้”ผู้หญิง” ในการ”เดินยา”และเป็น”เครือข่าย”ขายสินค้าออนไลน์ ที่เป็น”ของเถื่อน” นี้อาจจะเป็น”ปรากฎการณ์ใหม่” สำหรับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะแก้อย่างไร ใครเป็นคนแก้ เพราะเถ้าขืนปล่อยไป อนาคต ข้างหน้า”แผ่นดินปลายด้ามขวาน” จะเต็มไปด้วย ปัญหา”ของเถื่อน” และ”ยาเสพติด”ที่เป็น”เครือข่าย”ของ”เยาวชน ชาย หญิง”

นี่ก็ความเดือดร้อน “เมื่ออดีต”ลูกจ้าง กยท.” หรือ “การยางแห่งประเทศไทย จำนวนกว่า 100 คน ที่ จ.นครศรีธรรมราช ออกมาเรียกร้อง “สิทธิทำกิน” ซึ่งได้รับผลกระทบจากการ”สร้างเขื่อนคลองสังข์” ใน ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ที่พบว่า วันนี้ คนในพื้นที่ มีชื่อ”หล่นหาย” เป็นจำนวนมาก และมีชื่อ”คนนอกพื้นที่” เข้ามาได้ “สิทธิทำกิน “  เอ้า หน่วยงานที่ รับผิดชอบ ตรวจสอบกันหน่อย ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน และมีหรือไม่ สำหรับ “ชาวบ้านตาดำๆ”……ส่วนที่ จ.ภูเก็ต เมื่อแห่ง”ไข่มุกอันดามัน” ที่มีความ”ขัดแย้ง” ในการ “ทำมาหากิน” ทั้งเรื่อง”ชายหาด” ทั้งเรื่องผู้ประกอบการรถโดยสาร โดยเฉพาะ”รถแท็กซี่” ที่มี”อิทธิพล” และ”คนเถื่อน” มากมาย  ถ้าผู้รักษากฎหมาย ยังใช้”กฎหมาย” ในการ”เอื้อ” ผลประโยชน์ ให้กับตนเอง และพวกพ้อง ปัญหาของ”เกาะภูเก็ต” ก็จะ”ใหญ่โต” ขึ้นเรื่อยๆ  นี่เป็นหน้าที่ของ “พล.ต.ต.เลิศสิน สุขุม “ ผบก. ภ.จว.ภูเก็ต ที่ต้องกล้า”ลงดาบ” กับคนในวงการเดียวกันที่เป็นคนสร้างปัญหา….ส่วนที่ จ.กระบี่ เรื่องการ”แย่งชิงที่ทำกิน “ ยังมาเป็นอันดับหนึ่ง ล่าสุดชาวบ้าน รุกเข้ายึดสวนปาล์มของ”นิคมสหกรณ์อ่าวลึก” ที่ อ.ปลายพระยา เป็นการ “อ้างสิทธิ์” ระหว่าง”เอกชน” กับ” สหกรณ์” เรื่อง”การ”บุกรุกสวนปาล์ม” ในหลายพื้นที่ของ จ.กระบี่ เป็นเหมือน”มหากาพย์” ถ้าหลักของ”รัฐศาสตร์” ใช้ไม่ได้ ก็ต้องใช้หลัก”นิติศาสตร์” คือการใช้”กฎหมาย” เพื่อแก้ไขปัญหา เรื่องนี้ก็เป็น หน้าที่ของ” พล.ต.ต.ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผบก.ภ.จว.กระบี่ ต้อง “สั่งการ” ให้ตำรวจในทุกพื้นที่ซึ่งมีปัญหา”แย่งชิง ,บุกรุก สวนปาล์ม” ดำเนินการอย่าง เข้มงวดกับผู้ทำความผิด

ปัญหาเก่า แต่จะใหญ่ขึ้น สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ “คนเถื่อน” จากประเทศเมียนมา ที่”ล้นทะลัก” จากการ หลบหนีการถูกจับไปเป็น”ทหาร” ของ รัฐบาลเมียนมา ซึ่ง ส่วนที่ เข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย ก็จะมา”แย่งอาชีพคนไทย” เพราะ”นายจ้าง” ต้องการจ้าง”แรงงาน” ที่ราคาถูก และชาวเมียนมา ที่หนีภาวะสงคราม คือ”คนงานที่ค่าแรงถูก” ส่วน”คนเถื่อน” ส่วนหนึ่ง”หลบซ่อน” เพื่อ “ทำงาน” ในเมืองไทย และส่วนหนึ่ง ต้องการเดินทางไป”มาเลเซีย” เพื่อหางานทำ และทั้งหมด ก่อนที่จะ”หลบหนี”ไป”มาเลเซีย” ก็จะมา”หลบซ่อน” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ “สงขลา,ปัตตานี,สตูล,นราธิวาส”  วันนี้มี”คนเถื่อน” ที่ถูกจับได้ก่อนข้ามไป”มาเลเซีย” มากมาย ส่วนที่จับไม่ได้ก็อีกจำนวนมาก เรื่องนี้จะแก้อย่างไร ลำพัง “ พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ “ ผบก. ตม. 6 น่าจะ แก้ไม่ได้ ต้องถาม “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ วิมลสุข” ผบ.ตร. ว่า นอกจากการ”สกัดกั้น” และ”จับกุม” เพื่อนำไป”ขังคุก” ให้”เปลืองข้าวหลวง” และ ยังจะมีวิธีไหน กับปัญหา”คนเถื่อน” จาก” เมียนมา” ที่”หลบซ่อน” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อข้ามไป”มาเลเซีย” เรื่องนี้”กระทรวงต่างประเทศ” มีการ”พูดคุย” กับ รัฐบาลมาเลเซีย หรือไม่ และ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแล จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการ”หารือ” กับ”ตัวแทนของรัฐบาลมาเลเซียเพื่อ”หาทางออก” หรือไม่ อย่างไร

”เดชตะวัน” นี่ไม่ใช่ชื่อคน แลไม่ใช่”นักมวย” แต่เป็น”ชื่อขบวนการค้าของเถื่อน” รายใหญ่ที่สุด ในปัจจุบันใน “ทะเลอันดามัน” ของ จังหวัดสตูล  ที่ รับผิดชอบในการ”ขนสินค้าเถื่อน” จาก “เกาะลังกาวี” ประเทศมาเลเซีย เข้ามายัง ประเทศไทย   ก็ต้องถามไปยัง”  พล.ต.ต.จารุต ศรุตยาพร”  ผบก.ภ.จว.สตูล ว่า จะ”จัดการ” อย่างไรกับ “ขุมข่าย” การทำลายชาติของ”เดชตะวัน”

เรื่อง “หมุด สปก.4-01” ที่”เขาใหญ่”  จ.นครราชสีมา  ซึ่ง รุกเข้าไปในที่”อุทยานแห่งชาติ” เป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ ที่ต้องติดตามดู เพราะอาจจะไม่เป็นเฉพาะที่ “โคราช” ที่เดียว แต่อาจจะเกิดในหลายพื้นที่  ซึ่งที่ดินมีราคาแพง และสามารถทำเป็น “แหล่งท่องเที่ยว” หรือ “บ้านพักตากอากาศ” เพราะฉะนั้น “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ” ต้องมีการตรวจตราให้ละเอียด ในภาคใต้เอง ก็มี ที่ดิน “สปก.4-01 “ ในหลายจังหวัด ทั้งที่เป็นเกาะ และเป็นภูเขา ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เรื่องนี้ “เสนาบดี” กระทรวงทรัพย์ฯ “ พล.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ” อย่าให้”เสียเชิงชาย” ที่เป็น”อดีตตำรวจใหญ่” มาก่อน เพราะการนำที่ดิน”  สปก.4-01” มาออก”โฉนด” ในครั้งนี้ อาจจะมี”เงื่อนงำ” บางอย่าง ที่”คนจน” เป็นเพียงผลพลอยได้ แต่”เศรษฐี” ได้ที่ดิน หลักร้อยล้าน พันล้าน ไว้ในครอบครอง

ตำรวจ อาจจะ ลืมแล้ว แต่ชาวบ้าน ที่ จ.พัทลุง ยัง จำได้ว่า ยังมีคดีของ”แป้ง นาโหนด” ที่ยัง”คาราคาซัง” ไหน ตำรวจใหญ่ น้อย ต่างให้ข่าวกับ”สื่อ” ว่า หลังปีใหม่ จะมีการ”ติดตามไล่ล่า” และจะออก”หมายแดง” เพื่อให้ ตำรวจ ในประเทศเพื่อนบ้าน “จับกุม”  มาลงโทษ แต่วันนี้ “เงียบฉี่” ตั้งแต่” ผู้การตำรวจจังหวัดพัทลุง” จนถึง “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9. ชาวบ้านเขาสงสัยว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไร”อยู่ในกอไผ่”.….วันนี้เรื่องของ”โคบาลชายแดนใต้” ในพื้นที่ จ.ปัตตานี-และ นราธิวาส กำลัง”คลี่คลาย”ไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะ เกษตรกร ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีปัญหา แต่”ส่วนน้อย” เท่านั้น ที่ออกมา”ร้องเรียน” เรื่อง”วัวไม่ตรงปก” เพราะมีเรื่องอื่น”แอบแฝง” จะเหลือยู่ก็ที่ จ.สตูล ที่ เกษตรกร ซึ่งไม่เข้า”เงื่อนไข” ที่ ยังออกมาเรียกร้อง ให้ “บริษัทเอกชน” ที่เป็น”เจ้าของวัว” และ”กรมปศุสัตว์” รวมทั้ง “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) เร่ง”สะสาง” ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างให้ถึงกับ”อีรุงตุงนัง” ต้องถึงกับ “ขึ้นโรงขึ้นศาล” กันเลย สงสารชาวบ้านที่ต้อง”กู้หนี้ยืมสิน” มาเป็นค่าทนาย ใครผิดใครถูก ยังตัดสินไม่ได้ แต่ทางที่ดี” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. ต้อง เป็น”คนกลาง” ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะ โครงการนี้เป็นของ ศอ.บต.

แม้จะยังเหลือเวลาอีกปีกว่า  จึงจะมีการ”เลือกตั้งท้องถิ่น” ระดับ เทศบาล และ อบต. แต่วันนี้ คนในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี เริ่มมองหาผู้ที่จะมาเป็น” นายกเทศบาลเมืองปัตตานีคนใหม่” กันแล้ว เพราะที่ผ่านมา หลายปัญหา ที่สร้างความ เดือดร้อน กับคนในเขตเทศบาลกลายเป็นเรื่อง”คาราคาซัง” ไม่มีการแก้ไข ข่าวว่า คนจำนวนมากต่างคิดถึง “พิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์” อดีต นายเทศเทศมนตรีเทศบาลเมืองปัตตานี และ เชียร์ให้กลับมา จัดทีมลงรับเลือกตั้งอีกครั้ง….ส่วนที่จังหวัดสงขลา ไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ. สงขลา ขยันลงพื้นที่ ใน “คาบสมุทรสทิงพระ” แบบถี่ๆ มีการทำโครงการ ส่งเสริมอาชีพ การเกษตร โดยเฉพาะเรื่องของการ”ปลูกมะพร้าวน้ำหอม” พืชเศรษฐกิจ ที่ ตลาดต้องการ เพื่อให้ เกษตรกร”ลืมตาอ้าปาก”ได้  ส่วนหนึ่งเป็น”หน้าที่” แต่ส่วนหนึ่งเป็น”คะแนนเสียง” เพราะ “นายกไพเจน” รู้ว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า คู่ต่อสู้เป็นถึง” อธิบดี” ที่มี”เงินถุงเงินถัง” และใช้”เงินหว่าน” ในพื้นที่ 4 อำเภอของ”คาบสมุทรสทิงพระ” มาเป็น”แรมปี” แล้ว …..ไม่เหมือนกับ องค์กรบริหารส่วนจังหวัดยะลา ที่วันนี้ยังไม่มี นักการเมืองท้องถิ่นคนไหน กล้าที่จะประกาศตัวเพื่อ”แข่งขัน”กับ”มุขตาร์ มะทา “ นายก อบจ. ที่ใช้”ความดี” เดินหน้าในการทำงาน”การเมือง” ลงสมัครเมื่อไหร่ ชาวบ้านก็”ดีใจ” และ เทคะแนนให้ทันที โดยไม่ต้องขอเสียง ……และบรรทัดนี้ขอแสดงความยินดีกับ นันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. และ ปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ปปส. ที่มารับตำแหน่ง รองเลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อเป็น “มือช้าย-มือขวา” ให้กับ” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. หวังว่า ศอ.บต. คงจะ”ขับเคลื่อน”งานได้อย่างเต็มสตีม….แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…”ดิจิทัลวอลเล็ต” โจทย์ใหญ่ “เพื่อไทย”ไปต่อหรือพอแค่นี้!

เมื่อพรรคเพื่อไทย ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” และ”อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ทายาททาง”การเมือง”ของตระกูล”ชินวัตร” เตรียมที่จะ”ลุยไฟ” เพื่อการ”ขับเคลื่อน” โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ให้ได้ โดยไม่”หวั่นไหว” กับการ”ชี้แนะ” ทั้งของ “กฤษฎีกา” และ” ปปช.” รวมทั้งยัง”งัดข้อ” กับ”ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” ที่”เห็นต่าง” ในเรื่อง”วิกฤตเศรษฐกิจ” ของประเทศไทย เรื่องการ”ลุยไฟ” ในการ”เข็นโครงการ” ที่ องค์กรหลัก ของ ประเทศไม่เห็นด้วย จึงอาจจะต้อง”เดิมพัน”ด้วย”อนาคต”ของพรรคเพื่อไทย ในขณะที่”นักการเมือง” ที่เกี่ยวข้อง อาจจะเหมือนการ”ยื่นเท้าข้างหนึ่ง” เข้าไปเตรียมรับข้อหา หาก”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่”ขับเคลื่อน”แล้วไม่ได้ทำให้”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศ”ฟื้นคืน” แต่เป็นการ”ก่อหนี้” ให้กับคนไทย”ทั้งแผ่นดิน…..ก็ เห็นใจ “นักการเมือง” ในฟากของ”เพื่อไทย” เพราะโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่”เพื่อไทย” หาเสียงไว้กับ ประชาชน นั้น คือ”แจกเงิน 10,000 บาท ให้กับประชาชนทุก”ชนชั้น” ที่อายุ 16 ปีขึ้นไป เพื่อให้ช่วยกัน”ใช้จ่าย” ให้เกิด”พายุการหมุนเวียน”ของเงินตราจำนวน 600,000  ล้านบาท คิดดูจะเป็น”พายุมหึมา”ที่”หมุนเวียน” ใน”ตะกร้าเงิน” ขนาดไหน แต่เมื่อมาโดน “ดิสเบรก” ทั้งจาก”นักวิชาการ. กฤษฎีกา,ปปช. ,ธนาคารแห่งประเทศไทย” โดยการ”ชี้แนะ” ให้”ปรับเปลี่ยนนโยบาย” แจกได้แต่แจกเฉพาะกลุ่มที่”เปราะบาง” และอยู่ภายใต้”เส้นแบ่ง”ของคำว่า”ยากจน” ซึ่งแน่นอน วิธีแบบนี้”ลุงตู่” ใช้มาแล้ว 9 ปี แต่ เศรษฐกิจไม่ได้รับการ”กระตุ้น” ให้มีการ”กระเตื้อง” แต่อย่างใด  ดังนั้นถ้า”แจกแบบนี้” เพื่อไทยคง”ไม่เอาด้วย” ดังนั้นเรื่อง”เงินดิจิตัล” จึงเป็นเรื่องของ”สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนนัยน์ตาคม เห็นดวงดาว อยู่พราวพราย”

แต่ วันนี้ คงจะ”ชี้ชัด”ไม่ได้ว่าฝ่ายไหนที่”เห็นโคลนตม” และ”ฝ่ายไหนที่”เห็นดวงดาว” สรุป แล้ว เรื่องนี้ หลังจากที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี” และ”พลพรรค”ของเพื่อไทย ที่ได้ขึ้นเวที”ลุยไถ” ด้วยการ”ฟาดฟัน” ผู้ที่”เห็นต่าง” แบบ “ปะฉะดะ” มาแล้ว จะทำการ”ลุยไฟ” หรือไม่นั้น เชื่อเถอะ ผู้ที่ทำการ”กดรีโมท” เพื่อ”สั่งการ”ให้”เดินหน้า”หรือ”ถอยหลัง” ย่อมต้องเป็น”คนบนชั้น 14 คนเดียวเท่านั้น และถ้า”ชั้น 14 สั่ง”ไอ้เสือถอย” เพืยงคำเดียว “วิวาทะ” ทั้งหมดก็จบแบบ”ไม่มีปี่มีขลุ่ย”  เรื่องนี้”ไอ้เรืองเอาหัวเป็นประกัน……ที่สำคัญ เช็คกระแสของพรรคการเมืองที่เป็น”พรรคร่วม” เริ่มจะ”คิดหนัก” และ”รวนเร” กับการที่ “ปปช. ออกมา แถลงแสดงความเป็นห่วง “โครงการเงินดิจิตัลวอลเล็ต” เพราะไม่ต้องการ”แบกรับ” ความ”สุ่มเสี่ยง” ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้า”เพื่อไทย” ตัดสินใจ”ลุยไฟ” เพราะผลสุดท้าย พรรคร่วมในฐานะที่เป็น”รัฐบาล” ต้องมีส่วน”รับผิดและรับชอบ” จากการตัดสินใจ”ลุยไฟ”เพื่อ”แจกเงิน”ดิจิตัลวอลเล็ต”ของ”เพื่อไทย”  ในครั้งนี้….. ดังนั้นเมื่อ”ความแน่นอน”คือความ”ไม่แน่นอน” สิ่งที่”เพื่อไทย” และ”นายกนิด” ต้อง ดำเนินการ คือ”แผนสอง” ที่จะใช้ในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ที่จำเป็นต้องมี อย่าตั้ง”ความหวัง”ไว้ที่”ดิจิตัลวอลล็ต” เพียงอย่างเดียว ส่วน”ประชาชน” ที่ยังรอ”ความหวัง” ของการได้รับ”แจกเงิน” คนละ 10,000 บาท อย่างเพิ่ง “ฟาดงวงฟาดงา” หรือ”โกรธแค้น” พรรคเพื่อไทย ว่า”หลอกให้เก้อ” เพราะ ลำพังพรรคเพื่อไทย อยากจะ”แจกเงิน” ให้”ประชาชนใจจะขาด” แต่ติดที่เงินที่จะแจกไม่ใช่เงินส่วนตัวของ”เพื่อไทย”  แต่เป็น”เงินกู้” เพื่อเอามาแจก เรื่องนี้ไม่ใช่”เพื่อไทย” หลอกลวงประชาชน เพียงแต่เป็นนโยบายในการ”หาเสียง” ที่ทำไม่ได้ หรือต้อง ”ลุยไฟ” เพื่อทำให้ได้  เป็นการ”สุ่มเสี่ยง” เป็นอย่างยิ่ง

ส่วนโครงการใหญ่ที่ 2 ที่รองจาก”เงินดิจิตัล” นั้นคือเรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” ที่เป็น นโยบายของพรรคที่”หัวหน้าคอบครัวเพื่อไทย” และ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย “แพทองธาร ชินวัตร “ ใช้ในการ”หาเสียง”ของทุกเวที ที่มีเธอ นี่ อายุ”รัฐบาล” ก็ใกล้จะผ่าน”ครึ่งปี” แต่ยังมองไม่ชัดว่า”อะไรที่จะเป็น”ซอฟต์พาวเวอร์”ของประเทศไทย และเรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” ก็ยังเป็นที่”งุนงงสงสัย” ของคนไทยจำนวนมาก เพราะแม้แต่”หมูกระทะ” ก็เป็นเรื่องของ”ซอฟต์พาวเวอร์” ก็สิ่งของที่เรียกว่า”ซอฟต์พาวเวอร์” คือสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่การทำให้เป็น”ซอฟต์พาวเวอร์” จะทำอย่างไร ยังไม่เห็นเป็นเรื่องเป็นราวให้”จับต้อง”  และเรื่อง”ซอฟต์พาวเวอร์” ก็กำลังจะกลายเป็น”วาทกรรม” ที่เรียกว่า”ดีแต่พูด” แต่ทำแล้ว”ไปไม่ถึงไหน”นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง”จุดอ่อน” ของ”เพื่อไทย” …..ถ้า 2 เรื่องใหญ่อย่าง”เงินดิจิตัลวอลเล็ต” และ” “ซอฟต์พาวเวอร์” ทำไม่ได้ หรือไม่สำเร็จ แล้ว”เพื่อไทย” จะ”ขายอะไร”ในการสร้าง”จุดแข็ง” ให้กับ”เศรษฐกิจ” และ”จุดขาย” ทาง”การเมือง” ในการเลือกตั้งสมัยหน้า

ส่วนโครงการใหญ่อย่าง”แลนด์บริดจ์” ที่ไม่เคยอยู่ใน”โปรแกรมการหาเสียงของเพื่อไทย” และ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เพิ่งจะ”หยิบยก” มาเป็น”จุดขาย” หลังจากที่ได้รับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” แล้วนั่น  วันนี้ยังไม่มีคำตอบว่า ประเทศต่างๆที่”นายกนิด” ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไปนำเสนอต่อ”กลุ่มทุน” ว่าเขาจะมาลงทุนในโครงการ”แลนด์บริดจ์” หรือ”สะพานบก” ที่จะสร้างระหว่าง จ.ระนอง-ชุมพร เพื่อ ย่นระยะทางของการขนส่งสินค้า…..ที่สำคัญ”มหาอำนาจอย่างจีน” ยังให้ความสนใจในเรื่องการ”ขุดคลอง เอ 9” หรือ”คอคอดกระ” ระหว่าง จ.สงขลา กับ จ.ตรัง เพื่อการเชื่อมสองฝั่งทะเลมากกว่าเรื่องของ”สะพานบก”อย่าง”แลนด์บริดจ์” ล่าสุด กลุ่มผู้”สนับสนุน” การ”ขุดคลอง” ยังมีการจัด”ประชุมสัมมนา” ที่ “มหาวิทยาลัยสงขลานคนินทร์” เพื่อ”ขับเคลื่อน” โครงการ”ขุดคลอง เอ 9 “ โดยการ”อุดหนุนงบประมาณ” จาก”กลุ่มทุนจีน”…..วันนี้สังคมไทยกำลังได้รับความเสียหาย จากนโยบาย”กัญชาเสรี” และการ”ปลอดล็อค” ให้”พืชกระท่อม” ไม่ใช่”ยาเสพติด” ทั้ง 2 เรื่องการเป็น”ต้นไม้พิษ” ที่”ออกดอกออกผล” ให้เกิดความ”เสียหาย” อย่างร้ายแรงต่อ”เยาวชน” ละ”สังคมไทย ที่ “กระทรวงยุติธรรม”ที่มี “ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เป็น “รัฐมนตรี” ต้อง”ลุยไฟ” เพื่อแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย

ในตอนหาเสียง และตอนที่จะออก”กฎหมาย” บอกว่า “ปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้น” ทุกคนจะ”มีกินมีใช้” มีการ “ส่งเสริม” ให้ปลูกกันยกใหญ่ “คนจนปลูกที่บ้าน” ส่วน”คนรวย” ลงทุน สร้างโรงเรือน ลงทุนลงแรง เรือนแสน เรือนล้าน วันนี้ทั้ง”คนจน”และ”คนรวย” ต่าง”เจ็บตัว” กันเป็น”ทิวแถว” และ”เจ็บใจ” เหมือน”ถูกหลอก” ไม่แตกต่างกับ”พืชกระท่อม” ที่มีการ”ส่งเสริม” ให้ ปลูกกัน หลังการ”ปลอดล็อก” ออกจาก”บัญชียาเสพติด” มี”นายทุน” โฆษณาขาย”ต้นกล้า” และ”ทำสัญญา”ลูกไร่” ให้กับ สมาชิกที่ซื้อ”ต้นกล้าไปปลูก” ในการรับซื้อคืนโดยให้”กำไรงาม” วันนี้”ลูกไร่” ทั้งหมดถูก”ลอยแพ” หลายแห่งมีการ”แจ้งความฟ้องร้องกัน” สรุปว่า นโยบาย”กัญชาเสรี” และ”พืชกระท่อม” เพื่อการเป็น”เศรษฐีทุกครัวเรือน” เป็นเรื่อง”ไม่จริง” และเหมือนกับเป็นการ”หลอกลวง” จาก”พรรคการเมือง” เจ้าของนโยบาย และ ทั้งหมดคือเรื่องการไม่”รอบคอบ” ของฝ่ายการเมือง ของ”รัฐบาล” ที่ไม่มีการศึกษาถึง”ผลดี ผลเสีย”แต่คิดเพียง”ผลได้” ทางการเมือง ที่สุดท้าย”เสียหาย” ทั้ง”พรรคการเมือง”ที่เป็นเจ้าของนโยบาย เสียหายถึง”รัฐบาล” ที่”เห็นดีเห็นงาม” กับ นโยบายของ”พรรคการเมือง” และ”รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง” และที่”ชี้ช้ำกระหล่ำปลี” ที่สุดโดยไม่มีใคร”เยียวยา” ในความ”เสียหาย” ที่เกิดขึ้นคือ”ประชาชน”  และ”บทเรียน”เหล่านี้คือสิ่งที่”พรรคการเมือง” และ”รัฐบาล” พึงสังวรณ์ อย่าให้”กงล้อประวัติศาสตร์แห่งความเลวร้ายซ้ำรอยเดิม”

เงียบๆ นิ่งๆ แต่”เอาจริง” กับทุกปัญหาที่”หมักหมม” ของ จังหวัดสงขลา “ สมนึก พรหมเขียว” เรียกประชุม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “สั่งการ” ให้ ดำเนินการกับ “โพงพาง” ที่สร้าง”รุกล้ำร่องน้ำการเดินเรือ” ความยาว 5 กิโลเมตร ใน”ทะเลสาบสงขลา” ให้”เสร็จสิ้น” ภายใน 15 วัน เริ่มตั้งแต่ให้”ประมง” และ”เจ้าท่า” ซึ่งเป็น”เจ้าของเรื่อง” ประกาศให้ เจ้าของ”โพงพาง “ทำการ”รื้อถอน” หากยัง”ดื้อแพ่ง” ก็ให้”เจ้าของเรื่อง” แจ้งความดำเนินคดี เพื่อให้”กฎหมาย” ในการให้ความ”เป็นธรรม” กับทุกฝ่าย แบบนี้”บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น” คนทำผิดก็ต้องว่าไปตามความผิด”…..และอีกเรื่อง คือการ”จัดการ”กับเรือประมงคราดปลิง” ที่เป็นของ”ชาวประมงเวียดนาม” ที่ถูก” ทหารเรือจับกุม” ในฐานความผิดในการ”ลักลอบเข้ามาทำประมงในเขตทะเลไทย” หลังคดีเสร็จสิ้น”เรือประมงของกลาง” ถูก”จอดทิ้ง” อยู่ใน”ทะเลสาบ” ไม่ต่ำกว่า 200 ลำ กลายเป็น”ทัศอุจาด” ของ”ทะเลสาบสงขลา วันนี้” “ผู้ว่าราชการจังหวัด” สั่งการให้มีการ”ประมูล” เรือของกลาง เพื่อเป็นการคืนความ”สวยงาม” ให้กับ “ทะเลสาบสงขลา” แล้ว ส่วนเรื่องการเอาชนะ”ยาเสพติด” ที่เป็น”บ่อเกิด”ของปัญหา”อาชญากรรม” และความไม่”ปลอดภัย”ของสังคม ที่เริ่มจากการ”จัดระเบียบน้ำกระท่อม กัญชา และ ยาบ้า  แน่นอน จะให้”สะอาดหมดจด” เป็นเรื่องยาก แต่การทำให้”ลดปริมาณ” และ สามารถควบคุม ให้อยู่ในกรอบของ”กฎหมาย” คือการแก้ปัญหาที่ ถูกต้อง และ ได้ผล อย่างน้อยก็สร้างความ”ปลอดภัย” ให้กับสังคม

ปิดฉากไปแล้วแบบ”ไม่มีอะไรในกอไผ่” สำหรับการ”พูดคุยสันติสุข” ระหว่าง”คณะพูดคุยสันติสุข”ของ”รัฐบาลไทย” ที่มี “ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ( สมช.) กับ” หิพนี มะเระ” ตัวแทนขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น โดยมี”พล.อ.ตันสรี ซุลกิฟลี ไซนัล อาบีดิน” อดีต ผบ.ทบ. ตัวแทนของรัฐบาลมาเลเซียเป็น”ผู้อำนวยความสะดวก” ในการพูดคุยครั้งนี้ที่”กรุงกัวลาลัมเปอร์” ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นไป”ตามกรอบการพูดคุย” เพื่อ”เห็นชอบ” ในรายละเอียดของการ”พูดคุย”ด้วยกัน ที่มีสาระสำคัญ 3 ข้อ คือ”ยุติความรุนแรง,การปรึกษาหารือสาธารณะ และ การแสวงหาทางออกทางการเมือง” มองอย่างเผินๆ ไม่มีอะไร แต่ในความ”เป็นจริง” มีการ”ซ่อนเงื่อน ซ่อนปม” ของการ”แตกประเด็น” ในการ “นำเสนอ” ที่มากมาย ซึ่งเป็นหน้าที่ของ” พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยที่ 4 ประธานคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค ที่จะ”สานต่อ” กับ”ประธานฝ่ายเทคนิคของบีอาร์เอ็น” และคณะนี้แหละที่เป็นคณะสำคัญหรือเป็น”หัวใจ” ของการ”พูดคุย” แต่ เชื่อมั่นนะว่า”ปราโมทย์ พรหมอินทร์” ประธานคณะ” ไม่เป็นสองรองใคร ในเรื่องความ”เข้าใจ” และมีความ”ช่ำชอง” ที่เรียกว่า”เขี้ยว” รับรองไม่”เสียท่า” หรือ”เสียเปรียบ” บีอาร์เอ็น แน่นอน

เพราะแค่”ยกแรก” ของการ”พูดคุยสันติสุข” ในการ”แถลงการณ์” ระหว่าง”คณะพูดคุยฝ่ายไทย” ที่มี “ฉัตรชัย บางชวด” เป็นหัวหน้าคณะ” กับ””หิพนี มะเระ” ที่เป็น”หัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายบีอาร์เอ็น” ที่มี”แถลงการณ์”ออก”สื่อ” สู่”สาธารณะ” ที่ไม่เหมือนกัน” ฝ่ายเรา”สื่อ”ถึงความสำเร็จในความร่วมมือในการ”รับรอง” ใน”แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติภาพในแบบองค์รวม” (JCPP.) แต่”บีอาร์เอ็น” แถลงการณ์” กล่าวหา”ฝ่ายไทย” ไม่ได้นำปัญหาที่เป็น”รากเหง้า” ของความ”ขัดแย้ง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มา”หารือ”ในการ”เจรจา” คำว่า”รากเหง้า” ที่”บีอาร์เอ็น” กล่าวถึงคือ ข้อเรียกร้อง ของ”หะยีสุหลง โต๊ะมีนา” เมื่อ 70 ปีก่อน ใช่หรือไม่ นี่แหละที่”ผู้เขียน” ให้”นิยาม” การพูดคุยสันติสุข” ระหว่าง”รัฐบาลไทย-บีอาร์เอ็น” ที่มี”มาเลเซีย” เป็นผู้”อำนวยความสะดวก”ว่าเป็นเรื่อง” นอนเตียงเดียวกันฝันคนละเรื่อง” รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า”บีอาร์เอ็น” ต่างหากที่”ไม่จริงใจ” กับเวทีการ”พูดคุย” และ”เขี้ยว” กับเราในทุกเรื่อง

ส่วนในเรื่อง”ความปลอดภัย” ในพื้นที่ ในห้วงของ”เดือนรอมฎอน” ที่จะมาถึงในเดือนมีนาคม ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาถูกเรียกขานว่าเป็น”รอมฎอนเลือด” เพราะ “แนวร่วม” ถูก”บ่มเพราะ” จาก”อุสต๊าซ” ให้ “หลงเชื่อ” ว่าการ”เข่นฆ่าศัตรู” ในห้วงของเดือน”รอมฎอน” จะได้รับ “ผลบุญ”ถึง 10 เท่า นั้น ในเดือน”รอมฎอน”ปีนี้” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 จะใช้”สันติวิธี” ด้วยการลดการ “ปฏิบัติการทางทหาร” เช่น “ตรวจค้นเป้าหมาย” เท่าที่จำเป็น ลด”ด่านตรวจ” หน้า”ฐานปฏิบัติการ” และ ให้”ด่านตรวจความมั่นคง” ทำหน้าที่เป็น”ด่านตรวจอำนวยความสะดวกสะดวกกับประชาชน” เพื่อให้ผู้ที่นับถือ”ศาสนาอิสลาม” ปฏิบัติศาสนกิจอย่าง”ปลอดโปร่ง,ปลอดภัย” ตามความประสงค์ จะเห็นว่า ณ ปัจจุบัน ฝ่ายความมั่นคงได้”ผ่อนปรน” การ”ปฏิบัติการ” ในพื้นที่มากที่สุดแล้ว  “เอ็นจีโอ กลุ่มสิทธิมนุษย์ชน” และ”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น” ควรจะพอใจ และไม่ควรที่จะ”บิดเบือน”ข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์ของตนเอง และสร้างความ”สับสน” ให้กับคนในพื้นที่ …..ส่วนจะมีการ”ตกลง” หรือมี”เงื่อนไข” ให้เดือนรอมฎอนเป็น”รอมฎอนสันติสุข” ได้หรือไม่นั้น  เป็นหน้าที่ของ”ฝ่ายเทคนิค” สองทั้ง 2 ฝ่าย ที่จะมีการ”พูดคุยกัน” ในวันที่ 1 มีนาคม ที่จะถึงนี้ ถ้า”บีอาร์เอ็น” สามารถ”สั่งการ” ให้”กองกำลังติดอาวุธ”ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หยุดได้  คนใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็จะพบกับ”สันติสุข” ใน 1 เดือน แต่ “รัฐไทย” อาจจะต้องแลกด้วยการยอม”ยกเว้นการใช้กฎหมาย” ด้วยการ”ยินยอม” ให้” สมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เดินทาง”เข้า-ออก” มาอยู่กับครอบครัวใน”เดือนรอมฎอน” โดยไม่ถูกจับกุม และยังต้องรับความความปลอดภัยว่าจะไม่มีใคร”ทำร้าย”ให้ด้วย และนี้คือ”ต้นทุน” ที่รัฐบาลไทย”ต้องจ่าย” เพื่อแลกกับ”สันติสุขในเดือนรอมฎอน” เชื่อเถอะ ไม่มีอะไรที่ได้ฟรี โดยเฉพาะกับการ”ต่อรอง”กับ”บีอาร์เอ็น”

ที่สำคัญปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้วันนี้ไม่ใช่เรื่อง”ความไม่เป็นธรรม” เพราะความไม่เป็นธรรม ที่”แกนนำบีอาร์เอ็น”ในประเทศมาเลเซีย และ”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของบีอาร์เอ็น ใน “ปัตตานี” นำมากล่าวอ้างเป็นเรื่อง”วาทกรรม” และเป็นเพียง”ความรู้สึก” วันนี้คนที่เป็น”มาลายู” ในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” มีความ”เท่าเทียม” และอาจจะ”มากกว่า” คน”ไทยพุทธ” ด้วยซ้ำ…..วันนี้ เรื่องของ”การก่อการร้าย” แม้ยังมีความสำคัญที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องรับผิดชอบในการ”ยุติความรุนแรง” แต่เรื่องของ”ความจน” ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นเรื่อง สำคัญที่ไม่”ยิ่งหย่อน”ไปกว่ากัน เรื่อง”ความจน” ของคนในพื้นที่ เป็นหน้าที่โดยตงของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ที่อยากให้ “พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. ให้ความ สนใจให้มากกว่าเรื่อง”อำนวยความยุติธรรม” เพระความ”ยากจน” คือ”บ่อเกิดของความไม่มั่นคงในชีวิต” คนในครอบครัวต้อง”กระสานซ่านเซ็น” เดินทางไป”รับจ้าง”นอกพื้นที่   ยิ่งวันที่”มาเลเซีย” ค่าแรงตกต่ำตามค่าเงินริงกิต  แรงงานไทยเดินทางเข้าไปทำงานน้อยลง จะเห็นคนใน 3 จังหวัด เดินทางไป”รับจ้าง” ทำงาน ใน ทุกจังหวัดของประเทศ โดยเฉพาะ “กทม. ที่เดินไปทางไหนพบว่า”รปภ.” ส่วนใหญ่เป็นคนจาก”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ถ้า ในพื้นที่มีงานทำ มีโรงงานอุตสาหกรรมคนเหล่านี้คงไม่”ทิ้งถิ่นฐานบ้านช่อง” แต่เพราะในพื้นที่ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม ไม่มีการลงทุน เพราะการก่อการร้าย ครอบครัวจึง”กระจัดกระจายกระสานซ่านเซ็น” ไปหางานทำต่างถิ่น ต่างบ้าน ต่างเมือง

การ ส่งเสริมอาชีพ การ”ต่อยอดอาชีพ” ของคนในพื้นที่ ในเรื่อง”เกษตรกรรม” ที่ ศอ.บต. ทำมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”ส่งเสริมประมงชายฝั่ง” เช่นการ เลี้ยงปลา เลี้ยงปู การ ส่งเสริมให้”ปลูกไผ่” เพื่อใช้ในการ”อุตสาหกรรมไฟฟ้าชีวะมวล” และใน อุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ต้องมีการ”ผลักดัน ,ส่งเสริม” อย่างต่อเนื่อง และ ทั่วถึง เช่นเดียวกับเรื่องของการ ส่งเสริม”ปศุสัตว์” อย่างโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” เป็นโครงการที่ดี เหมาะกับการส่งเสริมให้เป็น”อาชีพ” ที่”ถาวร” ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมี”ตลาดรองรับ”ที่ใหญ่และยาวนาน แต่น่าเสียดาย ที่โครงการ”โคบาลชายแดนใต้” มีการ”ขับเคลื่อน” ที่”บกพร่อง” มากมาย จนกลายเป็น”จุดอ่อน” ให้ถูก”โจมตี” ว่ามีการ”ทุจริตคอร์รัปชั่น” เกิดขึ้น  วันนี้ ถ้าจะ”ผลักดัน” โครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ให้เดินหน้าต่อ “ศอ.บต.” และ”กรมปศุสัตว์” รวมทั้ง”มหาดไทย” ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ต้อง”ประสานมือ” เพื่อเดินไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างไป และเมื่อเกิดปัญหา”ต่างฝ่ายต่างโบ้ย” ในการรับผิดชอบ  ถ้าอย่างนี้ เกษตรกร ก็จะเป็นผู้”รับเคราะห์กรรม” จากปัญหาที่เกิดจาก”ราชการ” เรื่องนี้ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้มีหน้าที่”กำกับดูแล ศอ.บต.” และ”รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องเร่ง”ผ่าทางตัน” เพื่อให้”โครงการโคบาลชายแดนใต้” ไปต่ออย่างไม่มีปัญหา

อุบัติเหตุ รถตู้”ขนบุหรี่หนีภาษี” จาก จ.สตูล ขณะขับผ่าน อ.กงหรา จ.พัทลุง ด้วยการ ชนกับรถกระบะของชาวบ้าน เมื่อ ตำรวจ ตรวจภายในรถตู้พบ”บุหรี่หนีภาษี” จำนวน 200 กว่า ลัง ราคาถ้ารวม”ค่าปรับ” อยู่ที่ 5 ล้านบาท  ข่าว”วงใน” แจ้งว่าเป็นของ” เจ้าแม่ “บุหรี่หนีภาษี”สตูล นำเข้าจาก “เกาะลังกาวี”  ส่วนจะมีการ”นำขึ้นฝั่งสตูล” อย่างไร และผ่านด่าน”ศุลกากร “ ผ่าน”จุดตรวจ” ของ”ตำรวจ” ที่มีอยู่ทุกอำเภออย่างไร ต้องไปถาม เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ทั้ง “ตำรวจ”ศุลกากร” และ”สรรพสามิต” เอาเอง…..เพราะ “ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง” ในประเทศยัง”แพงมาก” จึงไม่ต้อง”แปลกใจ” ที่  จังหวัดสงขลา ในหลายพื้นที่ รวมทั้ง”หาดใหญ่” ยังมีการการ”จำหน่าย”น้ำมันเถื่อนอย่าง”โจ๋งครึ่ม”  โดยเฉพาะในพื้นที่”บางแฟบ” ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีการ”เปิดขายแข่ง”กับปั้มน้ำมัน”ที่ถูกต้องตาม”กฎหมาย” เอ้า ใคร รับผิดชอบพื้นที่ตรงนั้น ไป”ตรวจสอบ” และดำเนินการให้เป็นไปตาม”กฎหมาย” ด้วย คนที่เขา”ค้าขาย”และ”จ่ายภาษีให้รัฐ” ทุกเดือนเขาเดือดร้อน……และในเขต เทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา ก็ไม่ต่างกัน เพราะ”ทุกมุมเมือง” มีการ”วางขาย” น้ำมันเถื่อน” เต็มไปหมด โดย “เจ้าหน้าที่” ที่เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบ ไม่ได้ให้ความสนใจ เช่นเดียวกับ”นายทวาร” ด่านศุลกากร ก็ไม่มีการ”เข้มงวดกวดขัน” กับการ”ขนน้ำมันเถื่อน”จากประเทศมาเลเซียเข้ามาใน”ราชอาณาจักรไทย” ใช่ ทางหนึ่งเป็นการทำให้คนในพื้นที่ ใช้น้ำมันราคาถูก แต่ทางหนึ่งคือทำให้ประเทศชาติ”สูญเสีย” ในเรื่องของ”ภาษี” ที่ต้องใช้ในการ”ทะนุบำรุงประเทศชาติ และที่สำคัญเป็น”เงินเดือนข้าราชการ” ด้วยนะ

ส่วน” กลุ่มทุน” ผู้ค้าน้ำมันเถื่อน กลางทะเล ใน จ.สงขลา ที่หยุดไป”พักใหญ่” เพราะยัง”เคลียร์ส่วย” ไม่สำเร็จ แต่ วันนี้ “เรือน้ำมันเถื่อน” กลับมาอีกแล้ว หลายวันก่อน”เจ้าหน้าที่ทหารเรือ” จาก “ทัพเรือภาค 2 .สงขลา จับกุมเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนได้ 1 ลำพร้อม”ลูกเรือ” ข่าวว่า”นายทุน” อยู่ที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา แต่คงสาวไปไม่ถึง เพราะมีการ”คัทเอ้าท์” ไว้แล้ว “นายท้าย” และ”ลูกเรือ” คือผู้”เป็นแพะ”……ส่วนที่ จ.ระนอง คดีของ”โกฟุก” ที่ “ดีเอสไอ”จับกุม และตั้งข้อหาโกงภาษีการส่งออกน้ำมัน”ด้วยการขอ”คืนภาษีจากรัฐ” ยังไม่จบง่าย วันนี้ “ดีเอสไอ” เชิญ “วัชรินทร์ ภานุรัตน์ “ รองอธิบดีอัยการสำนักงานสอบสวนคดีพิเศษเข้าร่วมเป็นคณะทำงานด้วย เรื่องนี้นอกจาก”โกฟุก” ก็ต้องติดตามดูว่าจะมี ข้าราชการ”ตัวเป้ง” ติด”ร่างแห” หรือไม่ และที่สำคัญเรื่อง”ส่งออกน้ำมันไปประเทศที่ 3” แล้วขอคืนภาษีแบบ”ทุจริต” ไม่ได้มีแค่”เครือข่ายโกฟุก” เจ้าเดียว ยังมีอีกหลาย”เครือข่าย” ที่”ดีเอสไอ” ต้องดำเนินการอย่า”เลือกที่รักมักที่ชัง” นอกนั้นยังมี”กลโกง” จาก”บริษัทค้าน้ำมันรายใหญ่ ที่”ส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศ” แต่เมื่อถึง”น่านน้ำสากล” ก็ นำเรือกลับวกมาขายน้ำมันในประเทศไทยเป็นการ”เลี่ยงภาษี” และ”สร้างกำไร” อีกชนิดหนึ่งของ”กลุ่มทุนพลังาน” ที่”ดีเอสไอ” น่าจะมีการ”กระชากหน้ากาก” ให้สังคมไทยได้รับรู้

คนทั้งประเทศ ที่”เดือดร้อน” จาก”ราคาน้ำมัน” ในประเทศ ที่”ลงราคา” 1 ครั้ง แต่มีการ”ปรับขึ้น 3 ครั้ง จากผู้ค้าน้ำมัน”ทุกแบรนด์” ของประเทศไทย ยังรอ”ความหวัง” จาก รองนายกรัฐมนตรี และ “เสนาบดี กระทรวงพลังงาน”  พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เพื่อให้มีการ”แก้ไขโครงสร้าง” ของ”พลังงาน” ที่”กลุ่มทุนพลังงาน” ยังเป็นผู้”เกาะกุมกลไก”ของ”ราคาน้ำมัน” โดยที่”กระทรวงพลังงาน” ยังไม่มีท่าทีว่าจะมีการ”รื้อโครงสร้าง” เพื่อสร้างความ”ยุติธรรม” ให้กับ”ประชาชน” ผู้เดือดร้อน คำถามคือเมื่อไหร่”เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” จะเลิก”เงื้อง่าราคาแพง” โดยที่ไม่กล้า”ลงดาบ”กับ”กลุ่มพลังงาน” ที่เป็นผู้”กำหนดกลไก”ของ”ราคาน้ำมัน” ทั้งที่รู้ว่า”ไม่เป็นธรรม”

ดีใจกันได้เดือนเดียว เกษตรกรชาวสวนยาง เริ่มจะ”ยิ้มไม่ออก” เพราะวันนี้ ราคายาง กำลัง หลุดจากกิโลกรัมละ 70 บาท ทั้งที่กำลังเข้าสู่”ฤดูยางผลัดใบ” จำนวนผลผลิตยาง เริ่มออกสู่ตลาดน้อยลง และ เสนาบดีกระทรวงเกษตรฯ” ก็ให้ข่าวว่า”ยางเถื่อน” จากประเทศ”เพื่อนบ้าน” อย่าง”เมียนมา” ถูก “จับกุม” อย่าง”ราบคาบ” แล้ว ทำไม ราคายางจึงเริ่ม”ตกต่ำ” ทั้งหมด ก็คงไม่ผิดจาก”ราคาน้ำมัน” เพราะ ราคา”ยางพารา” จะ ขึ้น จะลง เป็นเรื่องของ”พ่อค้าคนกลาง” เป็นผู้ “กำหนดราคา” ไม่ใช่เป็นเพราะ””ฝีมือ” ของ”เสนาบดี” และ”ข้าราชการประจำ”เรื่องนี้ “เพิก เลิศวังพง” ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ( บอร์ด กยท. ) ต้อง กล้าที่จะ”พูดความจริง” โดยไม่มีเรื่อง”ตำแหน่ง” เกี่ยวข้อง ในฐานะ “เพิก” เป็น”กูรู” เรื่องของ”ยางพารา” ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ของประเทศไทย

”รองเบิร์ด” ชื่อนี้ดังมากใน “ยุทธจักร” ของ วงการสีกากี จ.สงขลา เพราะไม่รู้ว่าเป็น “ตำรวจจริง” หรือ”ตำรวจปลอม”  แต่อ้างว่าเป็น”หัวเบี้ย”ของ”นาย” ออก “อาละวาด” เก็บ”ส่วย” ทั้งจากผู้ขาย”น้ำกระท่อม,กัญชา, ธุรกิจสีเทา” แม้แต่”ร้านค้าของเก่า” ก็ต้อง จ่ายเดือนละ เป็นหมื่น โดยเฉพาะในเขต อำเภอเมืองสงขลา ฝากให้”พ.ต.อ.บรรเทิง เหล่าสุวรรณ” ผกก.สภ.เมืองดูด้วย

ตรุษจีน ปีนี้ “หาดใหญ่-สงขลา” และ “ด่านนอก” เมืองชายแดน ไทย-มาเลเซีย  มีการจัดงานรับ”เทศกาลตรุษจีน” อย่าง”คึกคัก” มีนักท่องเที่ยว เข้ามา ท่องเที่ยว “จับจ่ายใช้สอย” ทำให้มี”เงินสะพัด” จำนวนมาก โดยเฉพาะที่”หาดใหญ่” การที่มีหลาย”องค์กร” จัดงานตรุษจีน” ในหลาย”มุมเมือง” ก็ดีเหมือนกัน  เพราะเป็น”ทางเลือก”ของ”นักท่องเที่ยว” และเป็นการ”แบ่งกำไร” ไปให้กับผู้”จัดงาน” แต่ละ องค์กร ไม่”กระจุกตัว” อยู่กับ”ออแกไนเซอร์” และ”กลุ่มทุน” กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  งานตรุษจีน ปีนี้ “พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ “ วันชัย ปริญญาศิริ” นายกเทศมนตรีเทศบาลนครสงขลา “ยิ้มกว้าง”  ที่เห็น”นักท่องเที่ยว” ยัง เดินทางมาเที่ยว”หาดใหญ่-สงขลา” อย่าง”อุ่นหนาฝาคั่ง” …..เช่นเดียวกับ”ตรุษจีน” ที่ อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อชายแดน อีกด้านหนึ่งที่อยู่”ใต้สุดชายแดน” ที่เป็นเมืองไม่เคย”ร้างเสน่ห์” เพราะมี นักท่องเที่ยว จาก มาเลเซีย และ คนไทย เดินทางไป ท่องเที่ยว ที่ เบตง เป็นจำนวนมาก จน โรงแรมไม่พอให้พัก ต้อง”แย่งกันกินแย่งกันนอน” ทำเอา”สกุล เล็งลัคน์กุล” ( โกตุ้น) นายกเทศมนตรีเมืองเบตง ยิ้มแก้มปริ และที่สำคัญ”สกายวอล์ค” ที่”อัยเยอร์เวง” ยังเป็น”จุดเช็คอิน” ของ นักท่องเที่ยว ทั้งไทย-เทศ…… แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้าสวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’ไก่เห็นตีนงู-งูเห็นนมไก’เวที ‘พูดคุยสันติสุข’ก็แค่ ‘นอนเตียงเดียวกัน แต่ฝันคนละเรื่อง’

เริ่มต้นที่”การเมืองภาพใหญ่” ของประเทศไทย ที่ วันนี้”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ภายใต้การ”ขับเคลื่อน”โดย”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่แม้ว่า”คลื่นลม” ใน”พรรคร่วม” จะเป็นไปด้วยความ”สงบเรียบร้อย” เพราะ ทุกพรรคการเมืองต่าง”ตระหนัก” ดีว่าทุกพรรคยังไม่ต้องการ”ไม่พร้อม” ที่จะเห็น”การเมืองในพรรคร่วม” มีปัญหา และ”ทุกพรรค”ต่างพยายามที่จะ”หาคะแนนเสียง” ด้วยการ”ผลักดัน” โครงการที่”หาเสียง”ไว้กับ”ประชาชน” รวมทั้งอยู่ในห้วงเวลาของการ”สะสมเสบียงกรัง” เพื่อรับการ”เลือกตั้ง” ครั้งหน้าให้มากที่สุด เพราะไม่มีอะไรที่จะ”การันตี”ได้ว่า “รัฐบาล” จะอยู่คนเทอม 4 ปี แต่ ทุกพรรคต่าง”คาดหวัง” ที่จะเป็น”รัฐบาล” ให้อยู่แบบ”ครบเทอม” เพราะทุกพรรค”ไม่พร้อม” ที่จะ”เลือกตั้ง” หากรัฐบาลเกิด”อุบัติเหตุ” ที่ต้อง”ยุบสภา” หรือ”ลาออก” ดังนั้นจึงเป็น”โชคดี” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และของ”พรรคเพื่อไทย” ที่ไม่ต้อง”รับศึกภายใน” กับ”พรรคร่วมรัฐบาล” ทำให้มีเวลาในการ”รับมือ” กับ”พายุเศรษฐกิจ” ที่ยังโหมกระหน่ำ” มา”รอบทิศทาง” ปัญหา”เศรษฐกิจถดถอย” ที่ยังไม่เห็นผลจากการ”ขับเคลื่อน” ในหลายๆโครงการ เช่น”ฟรีวีซ่า” กับ ประเทศจีน และ ประเทศอื่นๆ เพื่อหวัง”ดึงเม็ดเงิน” จาก “นักท่องเที่ยว” เข้าประเทศ  ซึ่งยังไม่มี”ตัวเลข” ที่”ชี้ชัด” ว่าจะได้ผลหรือไม่ ในขณะที่ ผลกระทบจาก”สงคราม” รัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ สินค้าหลายอย่าง “แพงขึ้น” เช่น “ปุ๋ยเคมี” ที่มีความจำเป็นสำหรับเกษตร และวันนี้ “สงครามในทะเลแดง” ที่ประทุขึ้น ระหว่าง”สหรัฐอเมริกากับพันธมิตร” กับ  กับกลุ่มติดอาวุธใน”เยเมน” และประเทศใน”ตะวันออกกลาง” ที่ทำให้”ค่าขนสิ่ง”สินค้าทางเรือแพงขึ้นตามราคา”ระวางเรือบรรทุกสินค้า” ที่ขยับขึ้น 5 เท่า เพื่อรองรับ”ความเสี่ยง” นั้นหมายความว่าสินค้าจำนวนมากในประเทศไทย จะต้องมีการ”ปรับราคา” ตามต้นทุนการขนส่ง เป็นการ”ซ้ำเติม”คนส่วนใหญ่ในประเทศ โดยเฉพาะ”รากหญ้า” และ”ผู้”ใช้แรงงาน” ที่วันนี้”เพื่อไทย” ยังไม่ได้”ขึ้นค่าแรง” และ”เงินเดือน” ตามที่มีการ”หาเสียง” กับประชาชน เช่น”ค่าแรง 400บาท” เงินเดือน”ปริญญาตรี” 25,000 บาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทั้ง” เสี่ยนิด” และ”อุ้งอิ้ง” ยังจำได้หรือไม่ว่าเคย”ประกาศ” ไว้ทุกเวทีที่ไป”หาเสียง”

ที่สำคัญเรื่องโครงการ”เงินดิจิตัววอลเล็ต” ที่จะ”แจก” ให้ทุกคนทีอายุ 16 ปี ขึ้นไป ที่”เพื่อไทย”หวังที่จะ”ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว” คือได้เรื่องการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” แบบ”คลื่นยักษ์สึนามิ” และหวังที่จะได้”คะแนนเสียง”จาก”ประชาชน”หวังที่จะเรียก”ศรัทธา”คืนจาก”ประชาชน” ที่ในการ”เลือกตั้ง” ที่ผ่านมา”แปรพักตร์” ไปอยู่กับ ”ก้าวไกล” จนทำให้ผลการ”เลือกตั้ง” ที่ออกมา”เพื่อไทย” กลายเป็นพรรคที่ถูกเลือกมาเป็น”อันดับสอง” ไม่สามารถที่จะเป็น”แลนด์ไสลด์” ตามที่”คาดหวัง” วันนี้”ดิจิตัลวอลเล็ต” ยังไป”ไม่ถึงฝั่งฝัน” ดังนั้นทั้งเรื่องการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ก็ยังไม่เกิด และยังเป็นการ”รอความหวัง” ของประชาชนที่ต้องการเงิน” 10,000 บาท เพื่อแก้ปัญหา”ความขัดสนจนยาก” ที่ได้รับ ดังนั้น”เศรษฐกิจ”โดยภาพรวมของประเทศยังคง”ติดกับดัก” ที่”เดินหน้า”ไม่ไป”ถอยหลัง”หกล้ม” และ”เสี่ยง” กับการที่จะเกิด”ต้มยำกุ้ง” ถ้า”เสี่ยนิด” และ”เพื่อไทย” รวมทั้ง”คนชั้น 14 “ ยังคิด”แผนสอง” เพื่อใช้ในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ”และคิดอยู่อย่างเดียวว่า”ดิจิตัลวอลเล็ต” ต้องเกิดได้

อีกเรื่องคือ”สินค้าจาก”ประเทศจีน” ที่ได้เปรียบทั้งในเรื่อง”ภาษี” และ”ค่าแรง” ค่าวัตถุดิบ” ที่ถูกกกว่าผู้ผลิตในประเทศไทย ที่กำลังทำให้กลุ่ม”เอสเอ็มอี” ในประเทศไทย”กระอักเลือด” เพราะ”ผลิต”แล้วสู่ราคา “สินค้าจากจีน”ไม่ได้ ต้อง”เจ๊งบ๊ง” กันเป็นแถว ยกตัวอย่าง”กางเกงช้าง” ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ ในขณะนี้ ซึ่งผู้ผลิตจากจีน ส่งเข้ามา”ตีตลาด”ในราคาที่”ถูกกว่า” ทั้งที่”กางเกงช้าง” มีการจด”ลิขสิทธิ์” แต่”กฎหมาย”ก็ทำอะไรไม่ได้กับ”สินค้าเลียนแบบ” ที่เข้ามา”แย่งตลาด” ของ”ผู้ผลิตที่เป็นคนไทย” เรื่องนี้เป็น”เรื่องใหญ่” ที่” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีจะอ้างว่าเป็น”ซีทูรมาร์เก็ต” เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีการ”แก้ปัญหา” ที่เกิดขึ้นด้วยเพราะนี่แหละที่เป็น”สารตั้งต้น” ในการทำให้”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศไทย” อยู่ในอาการ”ถดถอย” ไม่มีการ”ฟื้นคืน” ผิดกับ”ประเทศอื่น” ที่หลังจากพ้นเรื่องของ”โควิด 19 “ เศรษฐกิจ”ของเขา”กลับคืนมา”และ”ก้าวหน้า”กว่าของ”ประเทศไทย”…..นี่ยังดีนะที่ รัฐบาลชุดนี้ยัง”โชคดี” ที่ทำให้ราคา”พืชเศรษฐกิจ” ของ”เกษตรกร”ทุกภาค มีราคา เช่น”ยางพารา” ที่ไม่เคย”ขยับสูง” ในรอบ 9 ปี ของรัฐบาล”พล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี ก็”ขยับ” ไปถึง กิโลกรัมละ 70 บาท และเชื่อว่า ถ้ายังคงราคานี้ต่อไป ปีนี้จะเห็น”ชาวสวนยาง” ไม่มีการ”หยุดกรีด”ในฤดูยาง”ผลัดใบ” แน่นอน วันนี้ “เกษตรกร” หลายคน”เลิกจากการ”ขายแรงงาน” ไป”กรีดยาง” ….เช่นเดียวกับราคา”มันสำปะหลัง” ที่ขึ้นไปถึง กิโลกรัมละ 4 บาท และ”อ้อย” ที่ขายได้ในราคาตันละ 1,200 กว่าบาท ทำให้”เกษตรกร”ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ยิ้มออก” แต่ ทั้งหมด กลับไม่ใช่”ฝีมือ” ของ”เสนาบดี” กระทรวงพาณิชย์ และ”กระทรวงเกษตร แต่เป็นเพราะ”กลไก” ของ”ตลาดโลก” ต่างหาก

ในขณะเดียวกัน ก็เป็นอย่างที่”ผู้เขียน”ว่าไว้ คือเรื่อง”ปาล์มน้ำมัน” ที่พอถึง”ฤดูกาล” ที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาด ราคา”ผลปาล์มสด” ก็ร่วงลงทันที่ กิโลกรัมละ 1-2 บาท ซึ่ง ล่าสุด “ตัวแทนเกษตรกรชาวสวนปาล์มภาคใต้” ก็ได้ยืนหนังสือถึง”ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ให้ทำการ”ผลักดัน พรบ.ปาล์มน้ำมัน”เข้าสู่”สภาผู้แทนราษฏร” ซึ่งที่ผ่านมา” พรบ.ปาล์มน้ำมัน” ที่มีการนำเข้าสภาฯใน 20 ปี ที่ผ่านมาแท๊งกลางสภาฯทุกครั้ง  ส่วนการแก้ปัญหา “ราคาผลปาล์มสดตกต่ำ” ก็ต้องดู”ฝีมือ” ของ” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนามบดี” กระทรวงเกษตร ว่าจะใช้”มาตรการ”ใดในการช่วยเหลือชาวสวนปาล์มในครั้งนี้

ประเด็น”เพลิงไหม้” ที่กระทรวงพาณิชย์ ที่เป็น”ตึกทำการของ”ไชยา พรหมมา” รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่าเป็นการ”วางเพลิง” นั้นเป็นเรื่องที่ห้าม”ความคิด”ของผู้คนไม่ได้ เพราะใน”อดีต”หลายหน่วยงานราชการที่มีเรื่อง”ทุจริต” ใช้การ”วางเพลิง” เพื่อการ”ทำลายหลักฐาน” เพราะ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกระทรวงใหญ่ ที่มี”งบประมาณ” จำนวนมาก และหลายกรมมีเรื่อง”อื้อฉาว” ที่มีเรื่องให้ ปปช. ตรวจสอบอยู่หลายเรื่อง ทั้ง”หมูเถื่อน” เรื่อง”ตีนไก่เถื่อน” เรื่อง”วัวเถื่อน” จาก”เมียนมา” ยังอยู่ระหว่างการ”ดำเนินคดี”ของ”ดีเอสไอ” ทั้งหมดต่างอยู่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยังไม่จบแค่นี้แน่ ยังมีอีกหลายเรื่อง หลายประเด็น ที่ยังไม่มี”นักร้อง”นัก”ขุดคุ้ย” นำออกมา”ตีแผ่” ให้ ประชาชนได้รับรู้……วันนี้เรื่อง หอม-กระเทียม” ที่”ลักลอบ”นำเข้าประเทศ ทำให้”เกษตรกร”ไทยที่เป็นผู้”ปลูกหอม-กระเทียม” ได้รับผลกระทบ ราคาตกต่ำ เพราะสู้”ของเถื่อน” จากประเทศจีนไม่ได้ “เสนาบดี” กระทรวงเกษตรยังไม่ได้แก้ไข ที่ภาคใต้มีการ”ลักลอบ”นำเข้าและยังมีการนำเข้าจาก”ชายแดนด้านแม่น้ำโขง อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” และที่สำคัญคือการนำเข้าทาง”ท่าเรือแหลมฉบัง” ด้วยการ”สำแดงเท็จ” เช่นเดียวกับ “ขบวนการหมูเถื่อน” และ”ตีนไก่”ส่วนที่”หาดใหญ่” โกดัง”หรือ”เอเย่นต์”ใหญ่” ในการ”กระจายสินค้า”หอม – กระเทียม เถื่อน” ข่าวว่าตั้งอยู่ในย่าน”ถนนรัถการ” ถ้าผ่านไปทางนั้น จะเห็นผู้คนแวะเวียน เข้าไป”เจี๊ยะเต้” เป็นประจำ ก็ฝากถึง”ชยพล สายทวี” ผอ.ดีเอสไอ ภาคใต้ไป ตรวจสอบด้วย

หลายวันก่อนเจ้าหน้าที่”ดีเอสไอ” ที่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาการ อธิบดี เข้า จับกุม ขบวนการ” การพนันออฟไลน์-ออนไลน์” ของ”โกฟุก” ซึ่งเป็น”กลุ่มทุนรายใหญ่” ของ”จ.ระนอง ที่เป็น”กลุ่มทุน” ข้ามประเทศใน”น่านน้ำอันดามัน” ระหว่าง”ไทย-เมียนมา” บ่อนการพนันออนไลน์ของ”โกฟุก” และ”บ่อนกาสิโน” ใน”เกาะสอง”ประเทศเมียนมา สถานที่เป็นชื่อของ”โกฟุก” แต่ผู้ที่ดำเนินการคือ”โกต๋อง” ทั้งสองคนเป็น”หุ้นส่วน” ที่เป็นคน”สองสัญชาติ” เมื่อข้ามไป”เมียนมา” ก็เป็น”ประชาชนเมียนมา “ เมื่อข้ามมาฝั่งไทยก็เป็น”ประชาชนไทย” เรื่อง ขบวนการ การพนันออนไลน์ ออฟไลน์ ของ”โกฟุก-โกต๋อง” จำนวน 18 กลุ่ม ถ้า”ดีเอสไอ” เอาจริง คนที่เป็น”ผู้ต้องหา” ไม่ใช่แค่”โกฟุก”กับ”โกต๋อง” แต่มีมากกว่านั้น ที่สำคัญมี”คนมีสี” และ”นักการเมือง” รวมอยู่ในนั้นด้วย….ส่วนเรื่องที่”โกฟุก” และ”เครือข่าย” ถูก”ดีเอสไอ” แจ้งข้อกล่าวหา”ค้าน้ำมันเถื่อน” และมีการ”ส่งออกน้ำมันทิพย์” และใช้หลักฐานการ”ส่งออก” เพื่อ”ขอคืนภาษี” ใน 10 ปี ที่ทำให้”รัฐเสียหาย”มีมูลค่า”10,000 ล้านนั้น  ถ้าจะมีการ”เอาจริง” นอกจาก”โกฟุก” ที่ต้องเป็น”ผู้ต้องหา” แล้ว ยังต้องมี”เจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้”ดีเอสไอ” ต้องหา”หลักฐาน” และ”พยาน” เพื่อหา”มูลฐานในการทำผิด”

ลึกๆลงไปเรื่อง”อื้อฉาว” ของโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ทั้งหมดมาจากความ”หละหลวม” ในการไม่ตรวจสอบ และติดตามโครงการ เพื่อการ”แก้ปัญญา” ให้กับ”เกษตรกร” ใน”กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ที่ตั้งขึ้นมาทั้ง 40 กลุ่ม และจากการตรวจสอบ ใน จ.ปัตตานี และ นราธิวาส พบว่า ที่ จ.นราธิวาส ไม่มีปัญหา ทั้งในเรื่องของ”วัว” ที่ได้รับถูกต้อง”ตรงปก” และ”เกษตรกร” ปฏิบัติตาม”เงื่อนไข”ได้ทั้งหมด ส่วนที่ จ.ปัตตานี ที่ “กลุ่มวิสาหกิจ” ที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 16 กลุ่ม มีปัญหา”สองกลุ่ม” ที่ออกมา”เรียกร้อง” ให้”บริษัทแก้ปัญหา ซึ่งได้ทำการ”เปลี่ยน” วัวผอม” เพราะ การเลี้ยงที่”ปล่อยปละ” ไปแล้ว 1 กลุ่ม และ”ยกเลิก”ไปแล้ว 1 กลุ่ม….ส่วนเรื่องการ”รับมอบโค” ระหว่าง”บริษัท”กับ”เกษตรกร” ที่อ้างว่าไม่มีการ”ชั่งน้ำหนัก” ไม่มีการ”วัดส่วนสูง” จะไปโทษใคร นอกจากต้องโทษ “กลุ่มวิสาหกิจ” และ”คณะกรรมการ” ในการ”ตรวจรับ” ที่”หละหลวม” ไม่”รอบคอบ” อ้างว่าไม่มี”ตาชั่ง” เป็นเรื่องที่”ฟังไม่ขึ้น”โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) เจ้าของโครงการที่”ปล่อยปละละเลย” และหลังจากเกิดปัญหาระหว่าง”บริษัทเจ้าของวัว” กับ”เกษตรกร”ผู้เลี้ยง ก็ไม่มีการ”ประสานงาน” เพื่อแก้ไขอย่างทันท่วงที งานนี้”ศอ.บต. เสียหาย ที่ทำให้ “ โครงการดีๆ” กลายเป็นโครงการที่มีปัญหา และถูกมองว่ามีเรื่อง”ทุจริต”หรือไม่

ส่วนที่ จ.สตูล ซึ่งเป็น จังหวัด”นำร่อง” ที่ ศอ.บต. ให้ บริษัทเอกชน”วิชัยฟาร์ม” เข้าไป”นำร่อง” ตั้งแต่ต้นปี 2566 เพราะเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมของ”เกษตรกร” ซึ่งมีการตั้งกลุ่ม”วิสาหกิจชุมชน”เพื่อการ”เลี้ยววัว” 18 กลุ่ม โดย”วิชัยฟาร์ม” ได้ นำวัว มาให้ “เกษตรกร” เลี้ยงก่อน ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าโครงการ ”วิชัยฟาร์ม” เป็นผู้”ลงทุน” ในการปลูกแปลงหญ้า แปลงละ 100,000   บาท สร้าง”คอกรวม” คอกละ 350,000 บาท วัวตัวละ 17,000 บาท ต่อมา กลุ่มเกษตรกรทั้ง 18 กลุ่ม เข้าเงื่อนไขของโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” เพียง 8 กลุ่ม ส่วนอีก 10 กลุ่ม ติด”เงื่อนไข” ที่ กลุ่มของผู้เลี้ยงอาศัยอยู่ในที่ สงวนแห่งชาติ และที่ สาธารณประโยชน์  “คอกรวม” และ”แปลงหญ้า” ที่สร้างแล้ว จึงกลายเป็น”ผิดกฎหมาย” จนทำให้”เกษตรกร” มีการร้องเรียนขึ้น เพราะ”วัว” ที่”เกษตรกร” เลี้ยงอยู่ ครัวเรือนละ 5 ตัว กลุ่มละ 50 ตัว กลายเป็น”ภาระ” ทั้งเรื่อง”เงิน” ที่ใช้ในการซื้ออาหารวัวและ”ค่าแรง”ของคนเลี้ยง ที่เมื่อ”เข้าโครงการไม่ได้” ก็เบิกเงินไม่ได้เช่นกัน นั้นคือ”ภาระ”และ”รายจ่าย” ที่เป็น”ต้นทุน” ของ”ผู้เลี้ยง ส่วน”วิชัยฟาร์ม” ลงทุนทั้ง”แปลงหญ้า” ทั้ง”คอกรวม” และ”ทั้งโค” รวมแล้วกว่า 20 ล้าน วันนี้ยังไม่รู้ว่าจะ”เบิกเงิน” จำนวนนี้จากใคร….ทั้งหมดคือ”ข้อเท็จจริง” และคือ”ปัญหา” ที่”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเร่งแก้ไข และที่ สำคัญ หลังเกิดปัญหา”ศอ.บต.” ขาดการ”ประชาสัมพันธ์ในเชิงรุก” เพื่อ”สร้างความเข้าใจ” ให้กับ”ประชาชน” ได้รับรู้ เรื่องนี้ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. ต้องให้ความสนใจ เพราะการ”เดินหน้า” ทำงานอย่างเดียว โดยขาดการ”สื่อสารกับสังคม” จะกลายเป็น”จุดอ่อน” ของ”ศอ.บต. โครงการนี้ “ใครผิด ใครถูก” ไม่มีใครรู้ แต่ถูก”ประชาชน” เข้าใจว่าเป็น”ผู้ทำผิด”ไปแล้ว คือ”ศอ.บต. ไม่ใช่”กรมปศุสัตว์” หรือ”วิชัยฟาร์ม” หรือ” กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ซึ่งพบว่าหลายคนที่ออกมา”เรียกร้อง” มี”นัยแอบแฝง”

ที่ สำคัญ หลังเกิดเรื่อง”อื้อฉาว”ในโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ผอ.ปปช. ทั้ง 3  จังหวัดต่าง”รับลูก” เข้าทำการ”ตรวจสอบ” โครงการนี้แล้ว   ว่ามีการ”ฉ้อราษฎร์บังหลวง” หรือไม่ อย่างไร  แต่ใน”เบื้องต้น” ยังไม่พบ”หลักฐาน” ถึงการ”ทุจริตคอร์รับชั่น” ทั้งในส่วนของ”ศอ.บต. และในส่วนของ”กรมปศุสัตว์”แต่ แค่”บกพร่อง” โดย”สุจริต” ก็กลายเป็น”จำเลย”ของสังคมไปแล้ว   ถ้ามีเรื่อง”ทุจริต” หรือ”เงินทอน” เข้ามาเกี่ยวข้องอีกเข้ามาอีก “ศอ.บต.ก็จะเป็นหน่วยงานที่”หมดราคา” ในการที่จะเป็น”ที่พึ่ง” ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้…..อีกเรื่องนะ สำหรับเรื่องที่”ไม่ชอบมาพากล” คือเรื่องของ”ที่ดิน”จำนวน 8,000 ไร่ ที่เป็น”ทุ่งเลี้ยงสัตว์” ใน ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ที่จะเป็นพื้นที่”สร้างสนามบินภูเก็ต 2 “ซึ่งเป็นโครงการ”ส่งเสริมขยายการท่องเที่ยว” ในฝั่งจังหวัดอันดามัน” เพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว  ปัญหาที่ต้องมีการ”ตรวจสอบ” คือที่ดิน”ทุ่งเลี้ยงสัตว์ 8,000 ไร่” สำนักงานที่ดิน จ.พังงา ต้องไป “รางวัด”ว่า ยังเป็นที่ดิน”ทุ่งเลี้ยงสัตว์” ซึ่งเป็น”ที่หลวง” อยู่หรือไม่ หรือกลายเป็น”โฉนด” หรือเป็น” นส. 3 ก.”ไปแล้ว มากน้อยเท่าไหร่ เพราะมี”พรายกระซิบ” ว่า มี”อีแอบ” นำที่ดิน”ทุ่งเลี้ยงสัตว์” แห่งนี้ไปออกเป็น”เอกสารสิทธิ์” ให้กลุ่ม”นายหัว”ไปแล้วกว่า 2,000 ไร่ เรื่องนี้เป็นเรื่อง”มหึมา” ถ้าเป็นเรื่องจริง ก่อนที่จะดำเนินการเรื่อง”สนามบิน” นายกรัฐมนตรี”เศรษฐา ทวีสิน” และ”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล”  เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย ผู้กำกับดูแล”กรมที่ดิน” สั่งการให้”อธิบดีกรมที่ดิน” ตรวจสอบหน่อย หรือนักร้อง” คนไหน สนใจก็หา”ข้อมูล”ไป”ร้องเรียน” ให้เป็น”ข่าว” ก็ไม่สงวน”ลิขสิทธิ์” แต่อย่างใด เพราะการป้องกันการ”ทุจริต” เป็นหน้าที่ของ”คนไทยทุกคน” แต่อย่า”ร้อง”เพื่อ”รีด” อย่าง กรณีของ”พี่ศรี” ก็ แล้วกัน

นี่ก็เรื่อง”อื้อฉาว” จาก”เงิน” และ”วัสดุ” ที่มีผู้”บริจาค” กับชาวบ้านใน ต.มูโนะ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เพื่อใช้ในการ”ก่อสร้างบ้านเรือน” ที่ถูก”โกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟ ระเบิด” จนได้รับความเสียหายกว่า 300 หลัง วันก่อนมีการสอบถามว่าเงินบริจาค 100 ล้าน อยู่ที่ไหน และมีการ”บริหารจัดการ” อย่างไร วันนี้มีข่าวจากชาวบ้านว่า มี “กลุ่มคน” ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านนำเอา”กระเบื้อง มุงหลังคา” ที่มีผู้”บริจาค” ให้ผู้เดือดร้อนเพราะ”บ้านพังเสียหาย” มาขายให้ชาวบ้าน แผ่นละ 20 บาท เรื่องนี้ “ว่าที่ ร.ต.ตระกูล โทธรรม” ผวจ. ต้องเร่ง”ตรวจสอบ” เพื่อหาข้อเท็จจริง เพราะถ้ามาการ”ทำจริง” คนพวกนี้ต้องประณามว่า”เลวชาติ” จึงจะสาสม เพราะเป็นการ”เพิ่มทุกข์” ให้กับผู้ที่”ทุกข์ทน” อยู่แล้วให้”ทุกขเวทนา” ยิ่งขึ้น

ยุคนี้เป็นยุคที่ ปปช. จ.ตรัง มีผลงาน ให้ปรากฏแก่สายตาของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด มีการลงพื้นที่”อุทยานแห่งชาติ”ในหลายแห่ง เพื่อการ”ตรวจสอบ” การ”จัดเก็บรายได้” ว่าเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะเคย”ตรวจสอบ”พบว่ามี”อุทยายานแห่งชาติ” หลายแห่ง ที่มีความไม่”โปร่งใส” ในการ”จับเก็บรายได้” ทำดี ก็ต้องชม…..เช่นเดียวกับ “สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ที่ วันนี้สามารถ”สั่งการ” ให้ ฝ่ายปกครอง เป็น”พระเอก” ในการ”จับกุม” และ”สั่งห้าม” มิให้ ผู้ค้า”น้ำกระท่อม” ในพื้นที่ ผลิตน้ำกระท่อมขาย เพราะเป็นเรื่อง”ผิดกฎหมาย” โดยแต่ละอำเภอ สามารถ”จับกุม” ผู้ผลิตและผู้ขาย ได้ เป็นจำนวนมาก และ อันดับ 1 ที่มีการ”ผลิต” และ”จำหน่าย” มากที่สุดคือ” อ.จะนะ จ.สงขลา ส่วนในพื้นที่ อำเภอเมือง สงสัย นายอำเภอมาใหม่ ยังไม่”คุ้นชิน”พื้นที่ จึงยังไม่เห็น”ผลงาน” ในการ”กวาดล้าง” ผู้ขาย”น้ำกระท่อม” ซึ่งมีอยู่ 20 กว่าราย บนถนนสายกาญจนวนิช ตั้งแต่บ้าน”เกาะหมี” จนถึง”บ้านน้ำกระจาย”ยังเปิดขายตามปกติ  ก็บอกไว้เป็น”ข้อมูล” ข่าวว่าผู้ผลิต”น้ำกระท่อมรายใหญ่” ใน อ.เมืองสงขลา มีการ”จ่ายส่วย” ให้”เจ้าหน้าที่”จาก 2 หน่วยงาน หน่วยละ 10,000 บาท ส่วนจะเป็นใคร หน่วยไหนไป สืบค้น เอาเอง

เรื่องของ”ไฟใต้” ไม่กล่าวถึงไม่ได้ เพราะ”ไฟใต้” ยังคง”ร้อนแรง” สัปดาห์นี้มี”อาสาสมัคร” ทั้งที่ถูก”กับระเบิด”เสียชีวิต และที่ถูก”ซุ่มยิง”ได้รับบาดเจ็บ ในพื้นที่ จ.ปัตตานีไปแล้ว 2 ราย มีการ”เผากล้องวงจรปิด” ไปจำนวนมาก ในหลายอำเภอของ จ.ปัตตานี เห็นที “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้อง”สั่งการ” ให้ “ทหาร,ตำรวจ,ปกครอง” บูรณาการ การป้องกันเหตุ เพื่อหา”จุดอ่อน” ที่เกิดขึ้น เพราะที่”แนวร่วม” ยัง”ก่อเหตุ”ได้ เป็นเพราะยังมี”เสรีภาพในการเคลื่อนไหว” ทั้งในการ”ก่อเหตุ”และการ”หลบหนี” หลังการก่อเหตุ”จุดอ่อน” นี้เป็นมาแล้ว 20 ปี จะแก้อย่างไร…..และที่ จ.นราธิวาสมีการ”ปลิดชีพ” แลอาลี คอปเตอร์  วาจิ อดีต”แกนนำบีอาร์เอ็น” ที่เป็น”คู่จิ้น”ของ”มะแซ อูเซ็ง” เจ้าของแผนการ”บันได 7 ขั้น” ที่ออกมา”รายงานตัวเป็นผู้”ร่วมพัฒนาชาติไทย” ในสมัยของ” พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” หรือ” แม่ทัพเมา” เป็น แม่ทัพภาคที่ 4  ที่ถูก”ถล่มด้วยอาวุธสงคราม” เสียชีวิต ใครคือผู้ที่”ปลิดชีพ”ของ” แกนนำตัวเอ้ที่เคยมีค่าหัวในการนำจับ 1 ล้านบาท เป็นฝีมือของ”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ใช่หรือไม่ เพราะรู้กันใน”วงใน”ว่า” “แวอาลีคอบเตอร์ วาจิ ” คือ”มือทำงาน” ให้กับ”นายพล” บางคน…..เหตุการณ์ ทั้งหมด เกิดขึ้นก่อนการที่จะมีการ”ขับเคลื่อน” เวทีการ”พูดคุยสันติสุข” ครั้งที่ 1 ของ”รัฐบาล” ชุดนี้ ในวันที่ 6-7  ก.พ. ที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมี”รัฐบาลมาเลเซีย “ เป็นผู้”อำนวยความสะดวก” หรือเรียกให้ถูกคือผู้”ควบคุมเกม” นั่นเอง และ เหตุ”รุนแรง” ที่เกิดขึ้น การ”ปลิดชีพ” ของ”แวอาลีคอปเตอร์ วาจิ ” อาจจะเกี่ยวกับการ”พูดคุย” ระหว่าง”บีอาร์เอ็น” กับ”รัฐบาลไทย” ก็เป็นไปได้สูง

เรื่องของการ”พูดคุย” ก็อย่า”คาดหวัง” อะไรให้มากมาย เพราะไม่ว่าจะเป็นการ”พูดคุย” ในยุคของ”รัฐบาลทหาร” หรือ”รัฐบาลพลเรือน” การ”พูดคุย” ของ”คณะพูดคุย” ของ”รัฐบาลไทย” ยังคงเป็นไปภายใต้กรอบของ”กองทัพ” หรือฝ่าย”ความมั่นคง” ที่ตัวแทน”รัฐบาล” หรือ”หัวหน้าคณะพูดคุย” อย่าง”ฉัตรชัย บางชวด” รอง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จะมี”อิสระเสรี” ในการ”ขับเคลื่อน”การพูดคุยได้อย่างที่ต้องการ…..ที่น่าสนใจคือเรื่อง”การพูดคุยสามฝ่าย” ระหว่าง”รัฐไทย,บีอาร์เอ็น,มาเลเซีย” เป็นเรื่องของการ”นอนเตียงเดียวกัน แต่ฝันคนละเรื่อง” มาเลเซียเป็นผู้”อำนวยความสะดวก”เข้ามาเป็น”ผู้อำนวยความสะดวก” เพื่อต้องการ”ควบคุมบีอาร์เอ็น” ภายใต้”กฎหมายของมาเลเซีย” และต้องการให้”ไทย”ที่เป็น”พันธมิตร” เห็นว่า ได้ทำการ”ช่วยเหลือ” ให้”รัฐไทย” ได้พบปะพูดคุยกับ”บีอาร์เอ็น”ที่เป็น”คู่ขัดแย้ง” และให้”สังคมโลก”ได้เห็นว่าให้ความสำคัญในเรื่อง”สันติภาพ” ส่วนจะคุยกันรู้เรื่อง”สำเร็จ” หรือ”ล้มเหลว” เป็นเรื่องของพวกคุณสองฝ่าย มาเลเซียไม่เกี่ยว ส่วน”บีอาร์เอ็น” เข้าสู่ขบวนการ”พูดคุย” เพื่อการ”ยกระดับขององค์กร” จาก”โจรก่อการร้าย” เป็น”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่”สหประชาชาติ”ยอมรับ” และ”บีอาร์เอ็น” รู้ดีว่า”เงื่อนไข” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไม่”เข้มแข็ง”เพียงพอ”มวลชน” ยังมีเพียง”หยิบมือ” ไม่เพียงพอในการที่จะ”เปลี่ยนแปลง”การ”ปกครอง” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้น”บีอาร์เอ็น” จึงเสนอ”เงื่อนไข” ในสิ่งที่”รัฐบาล”ทำไม่ได้ เพื่อให้เวทีการเจรจาลากยาวออกไปเป็นการ”ซื้อเวลา” เพื่อสร้างงาน”มวลชน”ในพื้นที่ให้มากพอและเข้มแข็ง  และใช้เวทีนี้ ในการ”กล่าวหา” ว่า”รัฐบาลไทย” ไม่”จริงใจ” กับการ”พูดคุยเพื่อสันติภาพ” เป็นแผนการ”เอาดีใส่ตัว” และ”เอาความชั่วให้รัฐไทย”

ส่วน”รัฐบาลไทยรู้อยู่”เต็มอก”ถึงแผนการของ”มาเลเซีย” และ”บีอาร์เอ็น” เพราะ”ฝ่ายความมั่นคงของไทย” ไม่ใช่”คาราบาว” แต่”รัฐบาลไทย” ก็พร้อม”กระโจน” ลงสู่เวทีการ”พูดคุย” เพราะต้องการ แสดงให้”สหประชาชาติ” และ”องค์กรจากชาติตะวันตก” ที่เข้ามา”ยุ่มย่าม” ทั้งใน”เวทีการพูดคุย” และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเห็นด้วยกับการแก้ปัญหา”ไฟใต้” ด้วย”สันติวิธี” หรือเวทีแห่ง”สันติภาพ” รวมทั้งต้องการใช้”เวทีแห่งนี้” ในการ”เปิดโปง” ตัวตน”ของ”บีอาร์เอ็น” และของ”มาเลเซีย” ต่อ”สาธารณะ” ทั้งหมดคือเรื่องของการ”นอนเตียงเดียวกัน แต่ ฝันคนละเรื่อง” ของ”เวที”พูดคุยสันติสุขชายแดนใต้” ที่สุดท้ายการ”พูดคุย” แบบนี้ จบที่ได้ใช้”งบประมาณ” แต่ไม่มีความ”สำเร็จ” ในเรื่องการดับ”ไฟใต้” นั่นแล

ตั้งแต่ ผู้กำกับหนุ่ม อย่าง “พ.ต.อ.สุรจิต เพชรจอม” มาทำหน้าที่ ผกก.สภ. สะเดา จ.สงขลา หลายปัญหาได้รับการแก้ไข เช่นเรื่องของ”ยาเสพติด” เรื่อง รณรงค์การขับขี่ปลอดภัย แต่เรื่องใหญ่ ที่มี ประชาชน ต้องการให้แก้ปัญหาคือเรื่อง”จราจร จลาจล” ในเขตเทศบาลตำบลสำนักขาม ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่”รถบรรทุกสินค้า” แย่งชิง “ผิวจราจร” จนทำให้”รถติดยาวเหยียด” ในชั่วโมงเร่งด่วน เรื่องนี้ถ้า”แก้ได้” จะกลายเป็น”พระเอก” เพราะที่ผ่านมา แม้แต่”นายพล” บางคน ก็เคยเข้ามาแก้ไข แต่ไม่”สำเร็จ” เพราะ”พ่ายแพ้” ต่อ”อิทธิพล”ของ”บริษัทผู้”ส่งออก” ที่เป็นตัวปัญหา

เปิดตัว”ทีมปลัดแป้น” เพื่อ”ชิงตำแหน่งนายกเทศบาลนครหาดใหญ่” จ.สงขลา ตั้งแต่”ไก่ยังไม่โห่” คือ” ณรงค์พร ณ พัทลุง” หรือ”ปลัดแป้น” อดีต ปลัดจังหวัดสงขลา ซึ่ง เที่ยวนี้เจ้าตัวบอก”พร้อมในทุกด้านในการเข้ามาเพื่อ”เปลี่ยนหาดใหญ่เพื่อชาวหาดใหญ่” ก็ถือเป็น”คู่แข่ง” ที่”พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ ประมาทไม่ได้ รวมทั้ง”พ.อ.พิเศษ สุชาติ จันทรโชติกุล” ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ก็ต้อง”หนาว” และที่”ชาวหาดใหญ่” ให้ความ”สนใจ” คือผู้สมัครของ”ก้าวไกล” จะเป็นใคร เพราะถือว่า”ก้าวไกล” เป็น”ตัวเลือก” ของคน”รุ่นใหม่” ที่พร้อมในการ”วัดพลัง” กับ”ผู้สมัครจากทุกทีม ดังนั้น การเลือกตั้งผู้บริหารเทศบาลนครหาดใหญ่ในสมัยหน้าถือว่า” ดุเด็ดประดาบเลือดเดือด” แน่นอน ….แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…สั่งสอบ โครงการ ‘โคบาลแดนใต้’ หลังพบวัวไม่ตรงปก!

หลัง พบปัญหา วัวไม่ตรงปก @สำหรับ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” วันนี้สิ่งที่คนในประเทศให้ความสนใจ คือเรื่องของการแก้ปัญหา”วิกฤติเศรษฐกิจ”และ”วิกฤติพลังงาน” ซึ่งทั้ง”สองวิกฤติ” เป็นเรื่องที่”ควบคู่กัน” แม้ว่าในการบริหารประเทศ” เพื่อไทย” โดย”เศรษฐา ทวีสิน” ผู้เป็น”นายกรัฐมนตรี” และเป็น”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ในขณะที่”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยชาติชาติ ทำหน้าที่เป็น”รองนายกรัฐมนตรี” และ”รัฐมนตรีกระทรงพลังงาน” แต่ทั้ง สองฝ่าย สองตำแหน่ง ต้องร่วมมือกันในการ”ฟันฝ่า” เพื่อ”หาทางออก” ทั้งในเรื่อง”วิกฤติเศรษฐกิจ” และ”วิกฤติพลังงาน” เพื่อนำประเทศให้พ้นจาก”หลุมดำ” ทาง”เศรษฐกิจ”…..วันนี้เรื่อง”โครงการเงินดิจิตัล” หรือการ”กู้เงิน” แล้วเอามา”แจกประชาชน” ที่อายุตั้งแต่ 16 ปี ขึ้นไป  ไม่ใช่แค่”ทำท่า”ว่าทำไม่ได้  แต่”เห็นชัด”ว่า”ไม่เวิร์ค” แน่นอน เพราะมีการ”ปรับเปลี่ยน” วิธีการไปแล้วมากมาย จาก”แจกทุกคน” กลายเป็น”แจกเฉพาะกลุ่ม” จาก”ไม่กู้” กลายเป็นต้องออก”พรบ.เงินกู้” ที่ “ประชาชน”ต้อง”เป็นหนี้ทั้งแผ่นดิน” และในเรื่องของ”ข้อกฎหมาย” แม้ว่า”เพื่อไทย” จะทำการ”ตีความ” เนื้อหาของการสอบถาม” หน่วยงานต่างๆ” แล้วสรุปว่า”ทำได้” แต่ถ้า “ทะเร่อทะร่า” เดินหน้าต่อไปอาจจะมี”คุกรออยู่ข้างหน้า” และวันนี้”ข่าววงใน”มีการ”กระเซ็นกระสาย” ว่า “พรรคร่วมรัฐบาล” กำลัง”คิดหนัก” ว่าจะ” เอาด้วย”หรือจะ”เข้าเกียร์ถอย” ดีกว่า สรุปว่า “ดิจิตัลวอลเล็ต” มีโอกาสที่”แท้ง”ก่อน”คลอด” สูงมาก

ดังนั้น”เพื่อไทย”ต้องไม่”วิตกกังวล” เรื่อง”เสียหน้า” และ”เสียฐานคะแนนเสียง” ของประชาชนที่รอ”เงินแจก” เพราะพวกเขารอ”จนเงิบ” และ”ทำใจ” ได้แล้วบางส่วน “เพื่อไทย” และ” นายกนิด” รวมทั้ง”เจ้าของพรรค” ต้องคิดถึง”แผนสอง” ที่จะใช้ในการ”กู้วิกฤติเศรษฐกิจ” ว่าจะ ดำเนินการอย่างไร ในการที่จะ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของประเทศให้พ้นจาก”หลุมดำ” อย่าไปห่วงเรื่อง”ฐานคะแนนเสียง” ที่ไม่พอในใจในการไม่ได้รับ”แจกเงิน 10,000 บาท เพราะเวลาที่เหลืออยู่อีก 3 ปีครึ่ง ของ”รัฐบาล” ถ้ามี”ฝีมือ” และ”มี”นโยบาย” ในการ”กอบกู้เศรษฐกิจ” ได้จริง “คะแนนเสียง” ก็จะกลับมาเอง เพราะการอยู่ดีกินดี” ของ”คนในชาติ” ไม่ได้เกิดจากการ”แจกเงินคนละ 10,000 บาท เพียงอย่างเดียว แน่นอน

เช่นเดียวกับ”วิกฤติพลังงาน” ซึ่งมองเห็นนะ ว่า”เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” อย่าง” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” มีความ”ตั้งใจสูง” แต่”ขอโทษเถอะ” ที่ผ่านมา 4  เดือน ยังไม่เห็นการ”ผ่าตัด” โครงสร้างของ”พลังงาน” ที่เรียกว่าเป็นการแก้ที่”ถูกวิธี” แต่ที่ทำมาทั้งหมด เป็นเพียงการ”บรรเทาความเดือดร้อน” ให้กับประชาชน โดยการ”ลดภาษี” ที่”จัดเก็บ” ซึ่งเป็น”รายได้ของประเทศ” เพื่อ”ตรึงราคาพลังงาน” อย่าให้”แพงเกินไป” เท่านั้น นี่เรียกว่าเป็นการ”แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” หรือการ”แก้ผ้าเอาหน้ารอด” จาก”วิกฤติพลังงาน” เวลานับแต่นี้ไป” เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” และ”คณะที่ปรึกษา” ต้อง”กล้า” ในการ”รื้อโครงสร้าง”ของ”พลังงาน” เพื่อการแก้ปัญหา”พลังงานแพง” ให้”ถูกทิศถูกทาง” ประเทศไทยเราติดอยู่ใน”กับดัก” นี้มานาน โดยปล่อยให้”กลุ่มทุนพลังงาน” ร่ำรวยมีผลกำไร”มหาศาล” ในแต่ละปีจน”พุงปลิ้น” ทุกค่ายทุกแบร์นด”ในขณะที่”ประชาชน” ต่าง”ผอมโซพุงแห้งจนติดกระดูกสันหลัง”

อีกเรื่องที่”ประชาชน”ทุก”ภูมิภาค” ถามไถ่ทุกวันคือเรื่อง”ซอฟพาวเวอร์” ว่ามันคืออะไร”เป็นจั่งได๋” เพราะสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ทุกอย่างที่มีอยู่ ใน ประเทศถูกหยิบยกให้เป็น”ซอฟพาวเวอร์” ไปหมดแล้ว เชื่อไหม วันนี้คำว่า”ซอฟพาวเวอร์” จึงกลายเป็นสิ่ง”ธรรมดา” ที่ไม่สามารถ”กระตุ้น” ความสนใจ หรือ”กระตุ้น” ความยากของคนทั้งประเทศ “ซอฟพาวเวอร์” จึง”ไม่ปัง” อย่างที่”เพื่อไทย” ต้องการและกลายเป็น”กระสุนด้าน” อย่างน่าเสียดาย และแทนที่”โครงการซอฟพาวเวอร์” จะเป็นเหมือน”พลุ” เพื่อส่ง” อุ๋งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไปให้”ละลิ่ว” เพื่อการเตรียมเป็น”นายกรัฐมนตรี” ก็ไม่เป็นอย่างที่”เพื่อไทย” คิด  จึงเป็น”โอกาสทอง” ที่จะได้เห็น” เศรษฐา ทวีสิน” เป็น “นายกรัฐมนตรี” ไปอีก”นาน” ซึ่งวันนี้”เจ้าตัว” ยัง”สนุกสนาน” กับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี”อยู่ แม้ว่าจะมีปัญหา” มะรุมมะตุ้ม” รอบตัวก็ตาม

และอีก”เผือกร้อน” ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” คือเรื่อง”เรือดำน้ำจีน” ที่แม้จะพยายาม”ถ่วงรั้ง” อย่างไร สุดท้าย ก็ต้อง”ตัดสินใจ” ว่าจะ”เอา”หรือ”ไม่เอา” เรือดำน้ำที่ครั้งแรก” เรือจีน” แต่เครื่องยนต์”เยอรมันนี” ตาม”สัญญา” หรือตาม”ทีโออาร์” แต่วันนี้”ปิดประตูเรื่อง”เครื่องยนต์เยอรมันนี”ไปได้แล้ว ถ้าเอาก็ต้องเป็น”เรือจีนเครื่องยนต์จีน” ผิดสัญญาแน่นอน “เรือดำน้ำได้แน่” แต่ผลจากการ”ผิดสัญญา” สิ่งที่ตามาหลังมา”มากมาย” แต่ถ้า”ไม่เอา” นอกจาก”ไม่ได้เรือดำน้ำให้กองทัพเรือ” ยังมี”แนวโน้ม” ถูก”ริบมัดจำ” หายไป”ทั้งโซ่ทั้งลิง” และสิ่งที่”ได้มา” อาจจะ”ผิดใจ” กับประเทศมหาอำนาจอย่าง”สาธารณรัฐประชาชนจีน” ซึ่งอาจจะ”ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะหลายเรื่องราวที่ไม่ต้อง”จารนัย” ก็รู้กันอยู่ว่า “ไทย”ยังจำเป็นในการ”พึ่งพา”ประเทศจีน…..เรื่องนี้”สุทิน คลังแสง” คนเป็น” เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม หนักใจนะหนักใจแน่ แต่คนที่”หนักกว่า” และ”แบกปัญหา”เอาไว้”บนบ่าไหล่” คือ”เศรษฐา ทวีสิน” เรื่องนี้เข้าตำราที่เรียกว่า”ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก”

โครงการ”แลนดน์บริดจ์” จะเกิดได้หรือเปล่ายังเป็นเรื่องที่”ไม่แน่ไม่นอน” แต่วันนี้มีการพบว่ามี”กลุ่มทุน” จาก”ตระกูลใหญ่” ในประเทศ เข้ามา”ซื้อที่ดิน” ที่เป็นพื้นที่”ทำเลทอง” ถ้า”แลนด์บริดจ์” เกิดขึ้นได้จริง อาจจะเป็นเพราะ”กลุ่มทุน” ที่เกือบจะเป็น”เจ้าของประเทศ” ได้มีการ”ลงทุน”ไปแล้ว หรือไม่ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้”เพื่อไทย” และ”นายกนิด” ต้องเร่งออกไปทำ”โรดโชว์” กับ”กลุ่มทุน” ในประเทศต่างๆ เรื่องนี้  วันนี้ เป็นที่”โจษจัน” ของคนในพื้นที่”ชุมพร-ระนอง”  นี่กระมัง ที่”เกษตรกร” และ”กลุ่มต่อต้าน” โครงการ”แลนด์บริดจ์” ในพื้นที่จึงมี”คำถาม”ว่า โครงการ”แลนด์บริดจ์” ใคร”รวย”และใคร”เจ๊ง”และใครที่จะ”จน”ต่อไป

นี่ก็เป็นเรื่อง”ทอคล์ออฟเดอะทาวน์” เป็นที่”สนใจ” ของประชาชนทั้งประเทศ เมื่อ”พี่ศรี”  ศรีสุวรรณ จรรยา” นักร้องระดับประเทศ” ที่ไป”สดุดขาที่สาม”ของตนเอง “หกคะเมนเค้เก้” กลายเป็น”ผู้ต้องหา”ในการ”เรียกรับเงิน” จาก”อธิบดีกรมการข้าว” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องนี้”ไม่ยาว” ทั้งหมดทั้งปวงอยู่ที่”หลักฐาน” และถ้ายึดถือ”หลักธรรม” คือ”กรรมเป็นผู้ชี้เจตนา” เป็นเรื่องของ”กรรรมมุนา วัตตีโลกา” โดยแท้…..แต่ สิ่งหนึ่งที่ต้อง”จับตามอง”คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกระทรวงที่มีเรื่อง”อื้อฉาว” มาเกือบทุกยุคทุกสมัย ทุกรัฐบาล เรื่อง”หมูเถื่อน”และ”ตีนไก่” ก็เป็นเรื่องของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ยัง”สืบสาว” จับกุม”คนผิด”ยังไม่จบ เรื่อง”วัวเถื่อน”เรื่อง”แพะลม” กำลังจะตามมาในไม่ช้า และเรื่องที่เพิ่ง”อุบัติ” คือเรื่อง”โคบาลแดนใต้” ที่ “เกษตรกร” มีการ”ร้องเรียก” ว่า ได้รับ”วัว” ที่ไม่เป็นไปตาม”ทีโออาร์”  น้ำหนักไม่ได้ เป็นโรค มีการไปสร้าง”คอกรวม” ในป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่ง วันนี้” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งให้มีการ”ตรวจสอบ” ว่าโครงการมีการ”ล็อคสเปค” และมี”เงินทอน”เกิดขึ้นหรือไม่

โดยข้อเท็จจริง โครงการ”โคบาลแดนใต้” เป็นเรื่อง”ที่ดี”ถ้าทำไปโดยไม่มีปัญหา ไม่มีเรื่อง”เงินทอน” ไม่มีการ”ล็อคสเปก” และไม่มีอะไรที่เป็น”เบื้องหน้าเบื้องหลัง” เพราะโครงการนี้เป็นโครงการที่”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศอ.บต.) เมื่อครั้งที่ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” ทำหน้าที่เป็น” เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ผ ศอ.บต.) นำเสนอ”คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กพต.) เพราะเล็งเห็นว่า การให้”เกษตรกร” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอาชีพในการ”เลี้ยงวัวพันธุ์พื้นเมือง” เพื่อเป็นการ”พัฒนาคุณภาพชีวิต” เพราะ”ผลผลิต” ที่ได้มี”ตลาดรองรับ” การเขียน”โครงการ” เขียนอย่างดี เช่นต้องมีการ”ตั้งกลุ่ม”ให้เป็น”วิสาหกิจชุมชน” ต้องมี 50 คนต่อหนึ่งกลุ่ม ต้องมี “ทุ่งหญ้า” ในการเป็นแหล่งอาหาร ต้องมี”คอกรวม” ไม่ใช่โครงการ”แจกฟรี” แต่ทุกคนที่เข้า”ร่วมกลุ่ม” ต้องทำการ”กู้เงิน” จาก”แหล่งทุน” ที่ “ศอ.บต.”หาให้ และมี”กรมปศุสัตว์” มี”นักวิชาการ” จาก”มหาวิทยาลัย” ในพื้นที่ เป็นผู้ติดตามดูแล มี”คณะกรรมการ” เป็นผู้”ติดตามตรวจสอบ” …..แต่ สุดท้าย ก็กลาย”เป็นข่าว” เรื่อง”วัวผอม” และ”เป็นโรค” และอาจจะ”ไม่ออกลูก” ตามมา รวมทั้ง ปัญหาอื่นๆอีก”จิปาถะ” ที่ถูกตั้งข้อ”สงสัย” ตรงนี้ เป็นเรื่องที่”ศอ.บต.” และ”กรมปศุสัตว์” รวมทั้ง”หน่วยงาน” และ”บุคคล” ที่เกี่ยวข้อง ต้อง”แถลงข้อเท็จจริง” ให้”ประชาชน” ได้รับรู้

แต่ก็มีข้อ”พิรุธ” จาก “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ที่ออกมา”ร้องเรียน” ให้ต้อง”พิจารณา” ข้อที่ 1 ” กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ที่ออกมาร้องเรียนในเรื่องนี้ เป็น”พวกพ้องเดียวกัน”  ทั้งใน จ.สตูล และ”ปัตตานี ใช่หรือไม่ ข้อที่ 2 ทำไมนำ วัวมาเลี้ยงถึง 1 ปีครึ่ง จึงเพิ่งจะมีการ”ร้องเรียน” ข้อที่สาม การสร้าง”คอกรวม” ที่ไปสร้างในพื้นที่”ป่าสงวนแห่งชาติ” กลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นผู้”เลือกสถานที่เอง” ใช่หรือไม่ และหลายแห่ง” กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ขอที่จะเป็น”ผู้สร้างเอง” โดยการ”รับจ้าง” จาก”บริษัท” โดยอ้างว่า ไม่มีงานทำ และข้อที่สี่ การเลี้ยงๆ แบบ”ปล่อยปละละเลย” หรือมีการ”เลี้ยงดู” ให้เป็นไปตามหลัก”วิชาการ” สิ่งเหล่านี้ ต้องมีกา”ตรวจสอบ” ใน”รูปแบบ” ของ”คณะกรรมการ” เพื่อหาข้อเท็จจริง เพื่อที่โครงการ”โคบาลแดนใต้”จะได้”เดินหน้า”ไปได้ เพราะการ”ตั้งเป้า”ที่ 400 กลุ่ม นี้เพิ่งจะมีการ”ส่งมอบ” วัวให้กับ”กลุ่มวิสาหกิจชุมชน”เพียง 40 กลุ่ม ก็เกิดเรื่อง”อีโมอีโป” มากมายที่ล้วนแต่”เสียหาย” ทั้งสิ้น…..และที่สำคัญ ทำไม  “ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ในพื้นที่ จ.นราธิวาส และ ยะลา จึงไม่มีปัญหา เหมือนกับ” ที่ จ.สตูล และ ปัตตานี  ทั้งที่ “ซื้อวัว” มาจาก” บริษัทเดียวกัน…..ทั้งหมดคือประเด็นปัญหาที่”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้ทำหน้าที่”กำกับดูแล”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) ต้องมีการ ตรวจสอบ

เรื่องดีๆ กันบ้าง เชื่อเถอะ หลังการ”ลงนาม” ระหว่างตัวแทนของ”รัฐบาลจีน” กับ”รัฐบาลไทย” ในการ”ยกเลิกวีช่า” ของทั้ง 2 ประเทศ นักท่องเที่ยว จากประเทศจีน ต้องเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น สิ่งที่  รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาต้อง”รับมือ” มีหลากหลายปัญหา ทั้งการ”เอาเปรียบ”นักท่องเที่ยว จากผู้”ประกอบการ” และ”ผู้ประกอบการ” เรือทัวร์-เรือโดยสาร” ในพื้นที่จังหวัดชายทะเล ที่มักจะ”กอบโกยผลประโยชน์” จนเกิด”อุบัติเหตุ” ด้วยความ”ประมาท” รวมทั้งต้องมีการ”ป้องกัน” เรื่องของ”ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคที่”การท่องเที่ยวจีนเฟื่องฟู” ที่ ผลประโยชน์ หรือ”รายได้-เม็ดเงิน” จากการท่องเที่ยว ไม่ได้”เข้ากระเป๋าคนไทย” แต่กลายเป็น”นักธุรกิจจีน” ได้”กอบโกย” ไปหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้อง”ป้องกัน” ไม่ใช่การท่องเที่ยวโต คนมาเที่ยวมากมาย ทรัพยากรธรรมชาติ”เสียหาย” แต่ “รายได้” ไม่ได้เข้าประเทศ “บทเรียนท่านผ่านมามีมาแล้ว” ต้องอย่าให้เกิดขึ้นอีก และขอตั้งเป็นข้อสังเกต เพราะรู้สึกว่า ณ วันนี้”บทบาท” ของ” สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” ( ททท) ที่ตั้งอยู่ใน”ภูมิภาค” ใน จังหวัดต่างๆ ไม่มี”บทบาท” เรื่องของการท่องเที่ยวเท่าที่ควร หลายพื้นที่กลายเป็น”หน่วยงานที่โลกลืม”ไปแล้ว

ที่ภาคเหนือ”ชายแดนเมียนมา” และ”สปป.ลาว” มีปัญหาเรื่อง”แกงค์คอลเซ็นเตอร์” ที่มาจาก”ทุนจีนสีเทา” แต่ที่ชายแดน”ไทย-มาเลเซีย” ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส วันนี้”แก็งค์คอลเซ็นเตอร์” ที่เป็น”จีนมาเลเซีย” ซึ่งเป็น”ทุนจีนสีเทา” อีกกลุ่มหนึ่ง เข้ามาใช้”พื้นที่ชายแดนไทย”ในการติดตั้ง”ซิมบอกซ์” ซึ่งเป็นเครื่อง”ส่งสัญญาณ” ใช้กับการ”สื่อสาร” ของแก็งค์คอลเซ็นเตอร์  ที่”ตำรวจสอบสวนกลาง” นำโดย “พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช” ผบช.สอบสวนกลาง ทำการ “กวาดล้าง” ได้แต่ผู้ต้องหาคนไทยที่เป็น”นอมินี” ส่วน”ทุนจีนสีเทา” ที่เป็นชาวมาเลเซีย”หลบหนีได้โดย”ละม่อม” เรื่องของ”ทุนจีนสีเทามาเลเซีย” เป็นปัญหา”หมักหมม”ของจังหวัดชายแดนภาคใต้มานานมาก”ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ”ผู้เป็น”นายทุนหวยเถื่อนหวยมาเลเซีย” ผู้ที่เป็น”นายทุนเปิดบ่อนการพนัน” และ”หวยออนไลน์” เป็น”นายทุนการพนันออนไลน์” รวมทั้ง”โต๊ะฟุตบอลออนไลน์” และ “ธุรกิจเถื่อน” อีกมากมาย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งใน”เมืองท่องเที่ยว” ชายทะเลภาคใต้”แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์” ล้วนแต่มาจาก”จีนเทามาเลเซีย” เรื่องนี้ “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 . มี นโยบายในการ”กวาดล้าง” หรือการ”ป้องกัน” อย่างไร หรือ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. จะมี นโยบาย อย่างไรกับ ปัญหาของ”ทุนจีนสีเทา” ที่เป็น”ชาวมาเลเซีย” และ”สิงคโปร์” ที่ทั้งเดินทาง”เข้า-ออก” และที่”ลงหลักปักฐาน” อยู่ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้

หน่วยงานที่รับผิดชอบในการ”ประมูลรังนกอีแอ่น” ที่  อ.เกาะยาว จ.พังงา อยู่กันอย่างไร จึงปล่อยให้ไม่มีการ”ประมูล” หรือ”สัมปทาน” การจัดเก็บรังนกอีแอ่นถึง 3 ปี ปล่อยให้รัฐขาดรายได้ที่ควรจะได้ และปล่อยให้กลุ่มผู้มีอิทธิพล เข้าไป” “ขโมยรังนก” ที่เป็น”สมบัติของแผ่นดิน”ไปขายสร้างรายได้อย่างมหาศาล ที่สำคัญ หน่วยงานท้องถิ่น ต้อง”สิ้นเปลือง”งบประมาณ ในการรับผิดชอบเฝ้าเกาะรังนกเดือนละ 70.000 บาท เรื่องนี้ “สุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย” ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องเร่งดำเนินการ โดยหาสาเหตุที่แท้จริงของการที่ ไม่มีผู้สนใจในการยื่น”ประมูล”เป็นเพราะเหตุใด

หนึ่งเดือน “พะยูน” ใน “เกาะลิบง” จ.ตรัง ตายไปแล้ว 3 ตัว นี่เป็นเรื่องที่”ผิดปกติ” และเป็นเรื่อง”น่าเศร้า” ที่ หน่วยงานที่รับผิดชอบ  “ปกป้อง”ชีวิตของ”พะยูน”ไม่ได้ และอาจจะ”สูญพันธุ์” ในอนาคต สาเหตุของการตาย พบว่าในท้องของ”พะยูน” เต็มไปด้วย เศษซากของ”พลาสติก” และอื่นๆ ที่ไม่ใช่”หญ้าทะเล” ที่เป็นอาหารของพะยูน สาเหตุหลักเกิดจาก” ห่วงโซ่อาหาร” ที่เป็น”หญ้าทะเล” ใน”เกาะลิบง” ที่เป็นอาหารของ”พะยูน” ที่กำลังลดลงเรื่อยๆจาก”สิ่งแวดล้อม” และอาชีพประมงของคนในพื้นที่ เรื่องนี้ “ทรงกลด สว่างวงศ์” ผวจ.ตรัง อย่านิ่งเฉย ต้องทำหน้าที่เป็น”เจ้าภาพ” ในการ”ช่วยชีวิต”ของ”ประชากรพะยูน” เพื่ออย่าให้”สูญพันธุ์”

กระแสการ”ตื่น”การสำรวจพบ”แร่ลิเทียม” ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ซึ่งมีข่าว”ใหญ่โต” ว่า ถ้านำขึ้นมาได้ จะเป็น”อุตสาหกรรม” ด้าน”แบตเตอรี” รถยนต์ ที่จะทำให้ ประเทศไทย”ลืมตาอ้าปาก “ได้ เรื่องนี้”เท็จจริง” ยังเป็นเพียง”ข่าว” ที่มาจาก”ภาครัฐ” ส่วน “เอกชน” ที่ได้รับ”อาชญบัตร” ในการ”สำรวจ” ยังไม่ได้”แถลงข่าว” ถึงความเป็นไปได้ใน”เชิงพาณิชย์” หรือ”อุตสาหกรรม” แต่ก็ทำให้”เจ้าของที่ดิน” ที่รู้ว่าที่ดินตนเองมี”แร่ลิเทียม” อยู่ ก็”ฝันหวาน” และคนในพื้นที่ก็ต้องการให้มีการสำรวจใน”วงกว้าง” เผื่อจะได้เป็น”เศรษฐี”กันทั้งจังหวัด…..ก็อย่างเพิ่ง”ดีใจ” และ”ฝันไกล” เพราะอาจจะ”ไปไม่ถึง” เพราะทุกอย่างเป็นเพียง”ข่าว” ที่ยังไม่มีอะไรที่”แน่ชัด” และที่สำคัญ การทำ”เหมืองแร่ลิเทียม” ไม่ง่าย “สินแร่” ที่ลึกอยู่ใต้ดิน 100-200 เมตร กับเรื่องของ”สิ่งแวดล้อม”ของ”มลภาวะ” เป็นของที่”คู่กัน” วันนี้ดู”ตัวอย่าง” การทำเหมือง”โปรแตชฯ” ที่ จ.นครราชสีมา ที่เกิด”มลพิษ” มากมาย มีประชาชนเดินขบวน”ต่อต้าน” ให้”ปิดเหมือง” คือ”ตัวอย่าง” ที่ต้องเรียนรู้

เรื่องที่ “พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ,กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” แจ้งความให้”ดำเนินการทางกฎหมาย” กับกลุ่มของ”นักเคลื่อนไหว” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการจัดการ”ชุมนุมวันมาลายูเดย์” และมีปัญหาเกี่ยวกับ”กฎหมายความมั่นคง” เริ่มจะ”คลี่คลาย” ไปในทิศทางที่ดี หลังจากที่” คณะกรรมาธิการสันติภาพ” ที่มี”จาตุรนต์ ฉายแสง” เป็นประธานกรรมาธิการ นำคณะมาประชุมที่ จ.ปัตตานี โดยมีการ”หารือ” และ”รับทราบ”ข้อเท็จจริง” จาก” แม่ทัพภาคที่ 4 ,ตัวแทน ศอ.บต.” และ” ผบช.ภ.9 “ และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทำให้การ”บิดเบือน” ว่าผู้ถูก”แจ้งจับ” เพราะ”แต่งกายแบบมาลายู” เป็นอันตกไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่อง”ละเอียดอ่อน” เป็นเรื่องการทำ”ผิดกฎหมาย” ซึ่ง “ตำรวจ” ต้อง เร่งดำเนินการ นำผู้ถูก”กล่าวหา” ส่งฟ้องโดยเร็ว เพราะสุดท้ายแล้ว “ศาลสถิตย์ยุติธรรม” คือผู้”ชี้ขาด”และทุกคนต้องอยู่ภายใต้”กฎหมาย”

ส่วนเรื่องการ”ป้องกัน” การ”ก่อเหตุ” ในพื้นที่ใน”เทศกาลตรุษจีน” ตามที่”การข่าว” เตือนให้มีการ”ระวังป้องกัน” ก็เป็น”หน้าที่”ของ ทุกฝ่าย ตำรวจ,ทหาร,ปกครอง” ในการ”มีแผน”ของการ”รับมือ” หรือ”มีแผน” ใน”เชิงรุก” ด้วยการ”รุกกลับ” ต่อ” กองกำลังติดอาวุธ” และ” แนวร่วม” ใน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เพื่อ”ทำลาย” แผนการ”ก่อการร้าย” และการ”จำกัดเสรีภาพ” ในการ”เคลื่อนไหว”ของ”กองกำลังติดอาวุธ” รวมถึงการ”ซีลแนวชายแดน” ที่เป็นช่องทางการ”เข้า-ออก” การ”ลำเลียง” ยุทโธปกรณ์ จากประเทศ มาเลเซีย เข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทย ถ้าทำได้ ความปลอดภัยใน”เทศกาลตรุษจีน” ก็จะเป็นเทศกาลที่ทุกคน”มีความสุข” และ”เศรษฐกิจ” ในพื้นที่ก็จะมี”เงินสะพัด”

เรื่องของการเดินหน้าในการ”ก่อสร้าง” หรือในการใช้งาน” อความเรี่ยมหอยสังข์สงขลา” ที่”ยืนตระหง่าน” โชว์ความเป็น”หอยเน่า” ที่เชิงสะพาน”ติณสูลานนท์” อ.เมือง สงขลา ยังไม่มี”ความหวัง” ของความ”คืบหน้า” เมื่อ”กรมอาชีวศึกษา” เจ้าของ”โครงการ” ที่ปล่อยให้มีการ”ทุจริต”เกิดขึ้น จนมีการ”ทิ้งงาน” ทำให้”งบประมาณ” 1.400 ล้าน เป็นได้เพียง”ประติมากรรมบูดเบี้ยว” เพราะ”เจ้าของโครงการ” อ้างว่าการ”เดินหน้า” เพื่อของบประมาณก่อสร้างต่อ ซึ่งต้องใช้งบประมาณอีก 500 ล้านบาท หรือถ้า”ไม่ไปต่อ” แต่”พอแค่นี้” ด้วยการใช้”อควาเรี่ยมหอยสังข์” ทำประโยชน์อย่างอื่นๆ ยังต้องรอให้” ปปช.” ดำเนินการกับผู้ที่ตกเป็น”ผู้ถูกกล่าวหา” ทั้ง 27 คน ให้แล้วเสร็จ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็น”ชาตินี้” หรือ”ชาติหน้า” เพราะ 15 ปีผ่านไป วันนี้ ขบวนการของ ปปช. ยังอยู่ใน”ขั้นตอน” ให้ผู้ถูก”กล่าวหา” ส่ง”เอกสาร” ไป”ชี้แจง”และแก้ข้อ”กล่าวหา” เหนื่อยมั้ย ประชาชนคนสงขลา

น่าเห็นใจกับ”พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” รอง ผบ.ตร. ที่ รัฐบาล เสนอให้ไปนั่งในตำแหน่ง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ( สมช. ) ที่จนย่างเข้าเดือน กุมภาพันธ์ แล้ว ยังไม่”สะเด็ดน้ำ” ถ้าขั้นตอนตาม”กฎหมาย” จบในเดือน กุมภาพันธ์ นี้ ก็แสดงว่า”บิ๊ก รอย” ได้นั่งในตำแหน่ง “เลขาธิการ สมช.”เพียง 7 เดือน แล้ว เกษียณอายุราชการ   7 เดือน ในตำแหน่งสำคัญ อย่าง”เลขาธิการ สมช.” จะแก้อะไร ทำอะไร ได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญ เมื่อ”ผู้ใต้บังคับบัญชา” รู้ว่าอีก 7 เดือน”หัวหน้าหน่วย” ต้อง”เกษียณ” จะเข้าตำรา”สั่งได้” แต่”ไม่เชื่อ” หรือไม่ น่าสงสารนะกับหน่วยงานที่ได้ชื่อว่า”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ที่กลายเป็น”หน่วยงาน” ที่”ขาดๆ เกินๆ” ทั้งในยุคที่”ทหารนั่งเมือง” แลในยุคที่”พลเรือนนั่งแท่น” แต่ยังไม่มีความเป็น”อิสระ” จาก”ทหาร” หรือเพราะ”ที่นี่ ประเทศไทย” ทุกอย่างจึงเป็นแบบไทยๆ

วันนี้ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พูดชัดว่ามาก  “กฎหมาย” ไม่”อนุญาต” ให้”ต้มน้ำกระท่อม” ขาย แต่สามารถ”ต้มกินเอง”ได้ ส่วน”ใบกระท่อม” ขายได้แต่ต้องมีการ”ติดป้าย” และต้องมีการ”ควบคุม”ให้เป็นไปตาม”กฎหมาย” หลาย จังหวัด ทั้งประเทศ ตำรวจ ปกครอง สาธารณสุข เริ่มทำการ” ตักเตือนแจ้งข่าว” ให้”หยุดกิจการ” และหลายจังหวัด”จับกุม” ทันที  ในพื้นที่ของ จ.สงขลา เช่นที่ อ.สะเดา พ.ต.อ.สุรจิต  เพชรจอม ผกก.สภ.สะเดา จับกุมและส่งฟ้องต่อศาล จ.นาทวี แล้ว เช่นเดียวกับที่ สภ.บางกล่ำ ที่ พ.ต.อ.สมปราช กรรณกานนท์ ผกก.สภ.บางกล่ำ ก็นำ เจ้าหน้าที่ออก”ปฏิบัติการ” จับกุม”ผู้ค้าน้ำกระท่อม” ไปแล้วหลายราย แต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ เช่น อ.เมือง, อ.หาดใหญ่ ที่ยังปล่อยให้ในพื้นที่เต็มไปด้วย”ซุ้ม” และ”รถยนต์” ที่นำมาจอดริมถนนเพื่อ”เปิดท้ายขายน้ำกระท่อม” ซึ่งผิดทั้ง”กฎหมาย”ของ”ยาเสพติด” และผิดทั้ง”กฎหมาย”ของการ”รุกล้ำเขตทางหลวง”  และที่”ตำรวจ” น่าจะรู้ดีคือใน จ.สงขลา มี”นายทุนผู้มีโรงงานผลิตน้ำกระท่อมรายใหญ่ที่มี”เครือข่าย” ในการ”จำหน่าย” ในพื้นที่ของ จ.สงขลา ไม่ผิดกับ”เครือข่ายโรตีสายไหม” เรื่องนี้ พล.ต.ต.เชาวลิตร เลี้ยงสุพงศ์ ผบก. ภ.จว.สงขลา ต้อง”ออกแรง” เพื่อ”กระทุ้ง” ให้”ตำรวจ” ในท้องที่ซึ่งมีปัญหา” เช่น  “ สภ.หาดใหญ่,คอหงส์” และ”สภ.เมือง” ให้สนใจในเรื่องของ”น้ำกระท่อม” เพราะนี่เป็น”บ่อเกิด” ขั้นต้นของ”ยาเสพติด”และ “อาชญากรรม”

มีการประชุมนัดแรกไปแล้ว สำหรับ”คณะทำงานการขับเคลื่อนการแก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ภายใต้การดำเนินการของ”กระทรงยุติธรรม” ที่มี พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รัฐมนตรีกระทรวงเป็น”เจ้าภาพ” มี”พล.อ.วิชาญ สุขสง” และ”พล.ต.ท.พัฒนวุธ อังคนาวิน” เป็นสอง”ผู้ขับเคลื่อน”หลัก มี”คณะทำงาน”ในการ”ขับเคลื่อน” จำนวน 41 คน เพื่อไปทำหน้าที่กำหนด”ยุทธวิธี” เพื่อ”ปฏิบัติการ” ในการ”เอาชนะ” การ”แพร่ระบาด”ของยาเสพติดในพื้นที่ และนี้เป็น”หนึ่งความตั้งใจ”ของ” รัฐมนตรียุติธรรม” ที่ต้องการเห็น”บ้านเมืองนี้” ปลอดจาก”ยาเสพติด” ซึ่งก็ต้องติดตามกันแบบ”ยาวๆ” ว่า “คณะทำงานชุดนี้ จะดำเนินการอย่างไรกับผู้ที่”อยู่เบื้องหลัง” ของ”กลุ่มค้ายาเสพติดในพื้นที่” เพราะ”ส่วนหนึ่ง” เป็น”คนในเครื่องแบบ” ถ้ายังไม่สามารถเอา”คนในเครื่องแบบ” และผู้นำ” ท้องที่ ท้องถิ่น.นักการเมือง” ออกจาก” วงจรชั่ว” การ”เอาชนะ” ยาเสพติดก็ยากที่จะสำเร็จ

แม้ว่ายังไม่มี”ลงดาบ” จาก”ศาลฎีกา”ให้ สส.เขต 8 จ.นครศรีธรรมราช “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล  “ หยุดปฏิบัติหน้าที่จากการที่ “กกต.ให้ใบแดง” แต่ พรรคการเมืองหลายพรรคก็มีการ”ประแป้งแต่งตัว” เพื่อส่งผู้สมัครลง”แข่งขัน”กับ”ผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย เจ้าของ”ที่นั่งเดิม” โดยเฉพาะพรรค”แม่ธรณีบีบมวยผม” หรือ”ประชาธิปัตย์” มีมติที่จะส่ง”ชินวรณ์ บุญยเกียรติ” สส ,หลายสมัย และอดีต”รัฐมนตรี” ลง”ชิงชัย” ในเขตเลือกตั้งที่ 8 เพื่อเป็นการ”กู้ชีพกู้ศรัทธา” จาก”ประชาชน”แดนสะตอ” แต่  เชื่อเถอะ เป็น”งานหนัก”ทั้งของ”เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย ) เลขาธิการพรรคฯ และ”ชัยชนะ เดชเดโช” รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ หาก”ภูมิใจไทย” เจ้าของ ที่นั่งเดิม “ไม่ถอย” และส่ง”ผู้สมัคร” ที่มี”ชื่อชั้น” เพื่อ”รักษาพื้นที่”ในส่วนของ”ประชาธิปัตย์” ถ้า”ชินวรณ์” ชนะก็แค่ “เสมอตัว” แต้ถ้าแพ้แบบ”ยับเยิน” นั้นยิ่งเป็นการ”ตอกย้ำ”ถึงความ”ตกต่ำ” ของ”พรรค”และ”ผู้บริหารพรรค”ด้วยนะ

ปีนี้เป็นปี”มังกรทอง” ที่ ชาวไทยเชื่อสานจีนถือเป็นปีแห่ง”มงคล” ที่ จ.สงขลา งาน”ตรุษจีน” ปีนี้จึงเป็น”งานช้าง” มีการจัดแบบ”อลังการ” ทั้งที่ อ.เมือง และ หาดใหญ่  “สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา และ”เศวต เพชรนุ้ย” รอง ผวจ.สงขลา สองแรงแข็งขัน ประสานสัมพันธ์กับ”ท้องถิ่น” และ”เอกชน” เรื่อง”เศรษฐกิจ”และ”การท่องเที่ยว” ต้อง”จับมือกัน” และ”เดินไปด้วยกัน” เพราะผลประโยชน์เป็นของคนสงขลาไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง……ก็เป็น “แนวคิด” ที่ดี สำหรับ “หอการค้าจังหวัดสงขลา ที่มี”ทรงพล จังศิริวัฒนาธำรง” เป็น”ประธาน” ที่เสนอให้ “รัฐบาล” สร้าง”ท่าเทียบเรือ” เพื่อรับ”เรือสำราญ” ที่เข้ามา”จอดเทียบท่า”ที่ “ เกาะหนูเกาะแมว” ให้สามารถนำ”นักท่องเที่ยวขึ้นฝัง” มาเที่ยวใน”ตัวเมืองสงขลา และ หาดใหญ่ เพื่อที่จะมี”เม็ดเงิน” จาก”นักท่องเที่ยวต่างชาติ” หมุนเวียนใน จ.สงขลา  ก็ต้องติดตามดูว่า จะมี “นักการเมือง”จากพรรคไหนบ้าง ที่เห็นถึงความ”สำคัญ” ของโครงการนี้ และช่วยกัน”ผลักดัน”

ปัญหา”โคบาลชายแดนใต้” ที่มีการ”ร้องเรียน”ที่ จ.สตูล เกิดจากเรื่องของการ”ผิดเงื่อนไข” ในการเข้าสู่โครงการของ”วิสาหกิจชุมชน” ตั้งแต่การทำ”คอกรวม” ซึ่งไปทำในที่”ป่าสงวน” ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของบริษัทผู้ขายวัวให้กับ”วิสาหกิจชุมชน” แต่เป็นเพราะ”เกษตรกร”ในหลายอำเภอที่เข้าร่วมโครงการ เช่น อ.ละงู อ.ควนโดน ซึ่ง ที่ดินส่วนใหญ่อยู่ใน”ป่าสงวนแห่งชาติ” ที่มีสิทธิ์ในการ”ทำกิน” แต่”ออกโฉนด” เป็น เจ้าของที่ดินไม่ได้ เรื่องการทำ”คอกรวม” ของโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” นายอำเภอ และ ปศุสัตว์อำเภอ “เข้าใจ” และ” อนุญาต” ให้สร้างได้ แต่ “ปศุสัตว์จังหวัด” ไม่”โอเค”  เกษตรกร รับมอบวัวมาแล้ว กลุ่มละ 50 ตัว แต่”เข้าโครงการไม่ได้”  เบิกเงินค่า”อาหาร,และค่า”บริหารจัดการ”ไม่ได้  แถมมี”น้ำท่วม” ในพื้นที่ 2 ครั้ง จึง”ถูกต้องแล้ว” ที่”วัวในกลุ่มที่ผิดเงื่อนไข” อยู่ในสภาพที่”ผอมแห้ง” และ”เป็นโรค” เพราะ”เกษตรกร” กลุ่มนี้เอาวัวมาเลี้ยงถึง 1 ปี กว่า แล้ว แต่เข้า”โครงการ”ไม่ได้ “เบิกเงิน”ไม่ได้ และต้องการที่จะ”ขายวัว”คืน ให้เจ้าของ”บริษัท” เพื่อที่จะได้นำเงินที่ได้”จ่ายคืน” ให้กับ ธนาคารเกษตรและสหกรณ์” เพราะโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ไม่ใช่โครงการ”ให้เปล่า” แต่เป็นการให้”เกษตรกร “ ที่ต้องการ”เลี้ยงวัว” ตั้งเป็นกลุ่ม”วิสาหกิจ” และมีสิทธิ์ในการ”กู้เงิน” มาเพื่อ”ซื้อวัว” โดย”เงื่อนไข” ต้องเป็นไปตามที่”กรมปศุสัตว์” เป็นผู้กำหนด  ปัญหาของ”กลุ่มวิสาหกิจสตูล” ผู้ที่ทำหน้าที่”ปศุสัตว์จังหวัด”ต้องเข้าใจ และ”ศักระ ปิลกาญจน์” ผวจ. สตูล ต้อง”ใส่ใจ” และร่วมในการ”แก้ปัญหา” ที่เกิดขึ้น

ส่วนที่ โครงการนี้ ทำไมมีเพียง บริษัทเดียวก็ไม่น่าจะเป็นการ”ล็อคสเปค” เพราะมีการเปิดให้ทุกบริษัทที่สนใจ ดำเนินการ”ชี้แจง” กับ”กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ในพื้นที่ ของ “ปัตตานี,นราธิวาส,สตูล, ยกเว้น สงขลา และ ยะลา ที่ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ บริษัทอื่น ไม่สนใจที่จะมาร่วมโครงการใน”เฟสแรก” ส่วนโครงการนี้จะมี”เงินทอน” ระหว่าง” บริษัท” กับ”กรมปศุสัตว์” หรือไม่นั้น ยังไม่มี”หลักฐาน” เพียงแต่รู้ว่าโครงการนี้” ชาวบ้าน”ที่เข้าร่วมโครงการ”รับเงิน” จาก”ธนาคารฯ ด้วยตนเอง และ”จ่ายเงิน” เพื่อ”ซื้อวัว” ให้กับ”บริษัท”ที่เป็น”เจ้าของวัว”โดยตรง  และเงินในการ”บริหารจัดการ” ใน 1 ปี 6 เดือนๆ ละ 250,000 บาท ก็ โอนให้ กลุ่มวิสาหกิจโดยตรง ตรงนี้คงจะ”หักหัวคิว” ไม่ได้…..แต่อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยที่”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดี”กระทรวงเกษตรฯ จะได้ทำการ”ตรวจสอบ” ข้อเท็จจริง และ “ไชยา พรหมมา” รมช.กระทรวงเกษตรฯ ก็ได้”ลงพื้นที่” จ.ปัตตานี เพื่อพบกับกลุ่มผู้”ร้องเรียน” และกลุ่มผู้ที่ ไม่มีปัญหา ในการดำเนินการ  เพื่อที่จะได้เห็น”เหรียญทั้งสามด้าน”  ในส่วนของ “ศอ.บต.” ซึ่งถือว่าเป็น” เจ้าของเรื่อง”พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. ก็ต้องทำหน้าที่ในการ”ตรวจสอบ” เพื่อให้มีความ”โปร่งใส” ในทุกขั้นตอน เพราะโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” เป็นโครงการที่ดี มีประโยชน์กับ”เกษตรกร” และเพิ่งดำเนินการไปเพียง 40 กลุ่ม ก็มีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น” บทเรียน” ให้มีการ”แก้ปัญหา” เพราะโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” มีการ”ตั้งเป้า” ในการ”ส่งเสริม” เกษตรกรถึง 400 กลุ่ม เพื่อที่จะได้”ป้องกัน” อย่าให้เกิดปัญหาแบบนี้ หากยังจะ”ขับเคลื่อน” โครงการนี้ต่อไป…..แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาการแก้ปัญหา ‘อุบัติใหม่’ เมื่อ’เยาวชน’ ก่ออาชญากรรมรุนแรงขึ้น!

เริ่มต้นที่”การเมืองภาพใหญ่” ของ”รัฐนาวานิดหนึ่ง”ซึ่งนำคณะ “ครม.สัญจร”มา”ประชุมที่จังหวัดระนอง”ในวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา พร้อมกับ”ยาหอมหม้อใหญ่”ให้กับคนภาคใต้ตอนบน “กลุ่มอันดามัน 6 จังหวัด” จำนวน 21 โครงการ วงเงินงบประมาณ  616 ล้าน เพื่อเสริมสร้างการ”พัฒนา” ถือเป็นปรากฎการณ์” ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” ที่แสดงให้เห็นว่า แม้”เพื่อไทย” จะไม่มี สส.ในภาคใต้ แม้แต่”หน่อเดียว” แต่”เพื่อไทย”ไม่ได้”ละเลย”ต่อการพัฒนาภาคใต้ อย่างที่เคยถูก”กล่าวหาจาก”ชวน หลักภัย” อดีต”นายกรัฐมนตรี และ” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” รวมทั้ง”สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ” สส.เขต 2 จ.ตรัง ของพรรคเดียว ที่”อภิปรายงบประมาณ”ว่า”ภาคใต้”ถูก”รัฐบาลทอดทิ้ง”ส่วนจะเป็นไปได้แค่ไหน เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป โดยเฉพาะเรื่อง”สนามบินพังงา” หรือ”ภูเก็ต 2 “ เพื่อ “ส่งเสริมการท่องเที่ยว” อย่าลืมว่าที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างสนามบิน ยังมีปัญหาหลายเรื่อง เพราะมี”กลุ่มทุน” ทั้ง”การเมืองท้องถิ่น-การเมืองระดับชาติ” และ”กลุ่มทุนอิทธิพล” ในพื้นที่ และคนของพรรคการเมืองบางพรรค  “ครอบครอง”กันไปแล้วนับพันไร่ โดยมีการ”ออกโฉนด” ในที่”สาธารณประโยชน์” เพื่อนำมา”ขายให้รัฐ” เพื่อสร้าง”สนามบิน” งานนี้ฝากให้”ปปช.  “หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”รื้อพรม”สักครั้งแล้วจะเห็น”ขยะใต้พรม” ที่เป็นเรื่องการ”ทุจริต” ในการ”ออกโฉนด”ในที่ดินแปลงดังกล่าว ถ้าจะสร้างสนามบินพังงา ในพื้นที่ดังกล่าว ต้อง”ตรวจสอบ”ให้ถูกต้อง และต้องไม่ใช่”การเอื้อประโยชน์” ให้กับ”นายทุนและพรรคการเมืองบางพรรค”ที่นำที่”สาธารณประโยชน์” ออกเป็น”โฉนด”แล้วขายให้กับรัฐ

อีกเรื่องที่ยังน่าเป็นห่วงก็ยังเป็นเรื่องของการ”แจกเงิน” ในโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่แม้”เสี่ยนิด” และ” รัฐมนตรีช่วยคลัง” ยังยืนยันแบบ”กระตายขาเดียว”ว่า”ทำได้” และไม่ผิด”กฎหมาย” แต่ก็ทำไม่ได้อย่าง”ปัจจุบันทันด่วน” และมี”แนวโน้ม”ว่าจะไม่ทันในปีงบประมาณ” 2567” และหากมีการ”เลื่อนออกไป” ยิ่งจะเป็นการเสียหาย…..เพราะถ้า”เศรษฐกิจ” ของประเทศแย่จริง”ซึมลึกซึมยาว” จริง อย่างที่” เสี่ยนิด” และ”รัฐมนตรี” หลายคนของ”เพื่อไทย” ออกมาให้ข่าว โดยจะแก้การ”ซึมลึกซึมยาว” ของ”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ของ”ประชาชน” ด้วยการใช้”ดิจิตัลวอลเลต” เป็น”เครื่องมือ” หรือเป็น”ยาวิเศษ” ในการรักษา”ผู้ป่วยหนัก” ที่อยู่ใน”ขั้นโคม่า” การที่ต้อง”เลื่อน” การ”แจกเงิน” หรือการ”แจกยา” เพื่อรักษาอาการ”โคม่า” ทางเศรษฐกิจ” หรืออาการ”ป่วย” ของ”ประเทศ” ที่ยิ่ง”ล่าช้า” ยิ่งจะส่งผล “เสียหายร้ายแรง” ให้กับ”ประเทศ”หรือ”คนป่วย” ดังนั้นถ้า”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศ”ซึมลึกซึมยาว” อย่างที่”เสี่ยนิด” ว่าไว้ โดยที่ “รัฐบาล” ไม่มี”แผนสำรอง” ในการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” เท่ากับว่า”รัฐบาลนิดหนึ่ง” กำลังพา”รัฐนาวาไทย” ไปสู่ท้องทะเลที่”ไร้จุดหมาย” ท่ามกลาง”พายุทางเศรษฐกิจ” ที่”โหมกระหน่ำ”

แต่ในทางกลับกับ เมื่อโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” เลื่อนออกไปแบบ”ไร้จุดหมาย” และ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ไม่มีแผนสำรองในเรื่องการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ด้วย”ยาแรง” แบบอื่นๆ แต่”ประเทศไทย” ยังคง”ขับเคลื่อน”ไปได้แบบ”โตน้อยโตช้า” แต่ไม่ถึงกับ”หายนะ” ก็แสดงให้เห็นว่ามีคนที่”พูดไม่จริง” เกี่ยวกับเรื่อง”เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศไทย” ที่บอกว่าหากไม่ใช้การ”แจกเงิน” ครั้งเดียว 500,000 ล้าน ประเทศไทยจะ”ซึ่งลึกซึมยาว” และ”เศรษฐกิจ”จะไม่ฟื้นตัว ก็เป็นเรื่องที่”ไม่จริง” เป็นเรื่อง”หลอกลวง” ทางการเมือง โดย”เพื่อไทย” มีจุดประสงค์หลักในการ “ผลัดดัน” โครงการ” แจกเงิน 500,000 ล้านบาทเพื่อการ”หาเสียง” เป็นการ”หวังผล” ทางการเมือง” มากกว่าการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” วันนี้โครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” สำหรับ”เพื่อไทย” และนายกรัฐมนตรี”เศรษฐา ทวีสิน” จึงมีแต่”เสียกับเสีย” และที่ จะ”เสีย”มากที่สุด หากมีการ”แจกเงิน 500,000 ล้านบาท และไม่สามารถ”กระตุ้น เศรษฐกิจ” และสามารถทำให้”จีดีพี” ของประเทศเพิ่มขึ้นตาม”เป้าหมาย” แต่กลายเป็น”คนไทย” ทุกคนต้อง”แบกหนี้เพิ่ม” และต้อง”จ่ายเงินต้นและดอดเบี้ยเงินกู้” จำนวน 500,000 ล้านบาท ซึ่งต้องส่งผลถึงการ”เลือกตั้ง” ครั้งหน้าของ”เพื่อไทย” อย่างไม่ต้องสงสัย

อีกเรื่อง”สำหรับ”ซุปเปอร์เซลล์แมน” ที่เป็นอีกตำแหน่งหนึ่งของ”เศรษฐา ทวีสิน” คือการเดินทางไป”ต่างประเทศ” และขายโครงการ”อภิมหาโปรเจกต์” อย่าง”แลนด์บริดจ์” เพื่อดึง”นักลงทุน” ทั้งจาก”สหรัฐอเมริกา-ยุโรป-จีน-ญี่ปุ่น” และสุดท้ายคือ”อินเดีย” ให้มาลงทุนในโครงการ”แลนด์บริดจ์” ก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ถ้า”กลุ่มทุน”จาก ประเทศเหล่านั้นๆ “สนใจ” เข้ามา”ลงทุน” จริง อย่างที่”เสี่ยนิด” แถลงข่าว”…..แต่ที่”น่าเป็นห่วง” และเป็นเรื่องที่”เสี่ยนิด” ต้องทำก่อนคือการ”สื่อสารสร้างความเข้าใจ” กับ”ประชาชน”ในพื้นที่ ที่ไม่ใช่ “นักลงทุน นักธุรกิจ” แต่เป็น”เกษตรกร” ที่มี”ส่วนได้ส่วนเสีย” ที่ออกมา”คัดค้าน” ไม่เห็นด้วยกับ”แลนด์บริดจ์” ที่ต้อง”พาดผ่าน” ที่ดินเรือกสวน ที่เป็นที่”ทำกิน” ของเขา “รัฐบาล” จะ”จัดการ”อย่างไร เช่นการ”ชดเชย”การสร้างอาชีพใหม่ และให้เขาไปอยู่ที่ไหน ทำอะไร  ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้”สะเด็ดน้ำ เพราะการลงพื้นที่”ประชุมสัญจร”ครั้งนี้”เสี่ยนิด” ก็เห็นเต็มสองตา” ถึง”โปสเตอร์”ของการ” โน แลนด์บริดจ์” ที่กลุ่มผู้คัดค้านมา”ต้อนรับ” ครม.เสี่ยนิด “ รวมทั้งเรื่องของกลุ่ม”เอ็นจีโอ” ที่เป็น”หัวหอก” ในการ”ต่อต้าน” และกลายเป็นผู้ที่ให้”ข้อมูล” ซึ่งอาจจะ”เท็จบ้าง จริงบ้าง” ตาม”วิถี” ของ”เอ็นจีโอ” ที่จะมองแต่”ภาพลบ” แบบ”เหรียญด้านเดียว” เรื่องการ”ต่อต้าน” เป็นเรื่องใหญ่” เพราะ”กลุ่มทุน” ในประเทศที่เขามี”ศักยภาพ” ในการ”ลงทุน” เขาติดตามความเคลื่อนไหว และ”สถานการณ์” ในพื้นที่ และ”ลงลึก” มากกว่า”รัฐบาล” ด้วยซ้ำ ถ้า”ปัญหาการต่อต้าน” ยังไม่”คลี่คลาย” จะมี”กลุ่มทุนไหน” ที่จะ”กล้าเสี่ยง” มาลงทุนในพื้นที่ซึ่งมี”สถานการณ์”ที่ไม่”ปกติ”

รวมทั้งวันนี้” รัฐบาลนิดหนึ่ง” ต้องยอมรับความจริงว่า ผลการศึกษาในโครงการ”แลนด์บริดจ์” ยังมี”ข้อมูล” ที่เป็น”ข้อเท็จจริง” ที่ยังไม่เพียงพอ และไม่”ครอบคลุม” ตามที่”ประชาชน” ในพื้นที่” เอ็นจีโอ” และ”พรรคฝ่ายค้าน” กล่าวหา ถ้า ปัญหา เหล่านี้ยังแก้ได้แบบไม่”สะเด็ดน้ำ” การออกไปทำหน้าที่”ซุปเปอร์เซลล์แมน” และการเตรียมทุ่ม”งบประมาณ”เพื่อการ”โรดโชว์” อาจจะเป็นการ”สูญเปล่า” ก็เป็นไป…..ที่สำคัญ ทั้งเรื่อง”แลนดบริดจ์” และเรื่อง”ดิจิตัลวอลเล็ต” คือเรื่อง”อนาคต” ที่ยังไม่มีความ”แน่นอน” แต่เรื่องที่”แน่นอน” และต้องทำก่อนคือ”ส่งออกไทยชะลอตัว การท่องเที่ยวชะลอตาม” เพราะ”เศรษฐกิจของประเทศจีนที่ย่ำแย่” ซึ่ง”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ต้องมีแผนในการ”ขับเคลื่อน” ทั้งการ”ส่งออก” และการ”ท่องเที่ยว” ให้”เข้าเป้า”โดยเร็ว….  ปัญหาสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ ปล่อยกู้ยาก และ”ดอกเบี้ยสูง” รวมทั้งการ”เข้มงวด” ในการ”ปล่อยกู้” เอกชน ผู้ลงทุน”ขาดสภาพคล่อง” ราคา”พลังงานที่ยังสูงมาก” และ”รัฐบาล” ยัง”ควบคุมไม่ได้ อสังหาริมทรัพย์ ที่เหลือ”บานเบอะ” ผู้ซื้อมี   แต่”สถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้” นี่แหละที่เป็นปัญหาที่ทำให้”เศรษฐกิจ” มีสภาพของการ”ซึมลึกซึมยาว” อย่างแท้จริง ที่ต้อง”ระดมสอง” แก้โดยด่วน

ที่ดีขึ้นอย่าง”ราคายางพารา” ที่ “ขยับขึ้นไป กิโลกรัมละ 60 กว่าบาท” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็อย่าดีใจ เพราะเกษตรกรชาวสวนยาง กำลังจะ”หยุดกรีดยาง”ในอีก 1 เดือนข้างหน้า ดังนั้น”อานิสงค์” ของ”ยางพารา” ที่มีราคาแพงขึ้น” อาจจะเป็น”ผลบุญ” ของ”นายทุน” ที่รับซื้อยางใน”ราคาถูก”และเก็บสต๊อกไว้เพื่อนำมาขายใน”ราคาแพง” เช่นเดียวกับ”ข้าวเปลือก” ที่มีราคาแพงขึ้น ก็ต้องถามว่า”ชาวนา” มีข้าวที่เป็นของ”ตนเอง” เก็บอยู่ใน”ยุ้งฉาง” เพื่อที่จะได้นำไปขายให้กับ”โรงสี” หรือไม่ หรือ”ข้าวเปลือก” ที่ขายได้ใน”ราคาแพง” เป็น”ข้าวเปลือก” ของ”โรงสี” ที่รับซื้อจาก”ชาวนา” ใน”ราคาถูก” ใช่หรือไม่   ที่สำคัญ เมื่อ”ข้าวเปลือกราคาแพง” และผู้ได้”กำไร”คือ” เจ้าของโรงสี” และ”บริษัทผู้”ค้าข้าว” และ”ผู้”ส่งออก”  แต่ผู้ที่”รัดทดหดหู่”เพราะต้องเป็นผู้”รับเคราะห์” กับราคา”ข้าวเปลือกที่แพงขึ้น” คือ”ประชาชน” ที่ต้อง”ซื้อข้าวสาร” มาเพื่อ”บริโภค” ในราคาแพงขึ้น”ตามราคา”ข้าวเปลือก” สุดท้ายจะเห็นว่าผู้ที่”ร่ำรวย” ไม่ใช่”ชาวนา” แต่เป็น”พ่อค้าคนกลาง”ต่างหาก

ที่สำคัญเดือน มีนาคม ที่จะถึงนี้”ผลปาล์มน้ำมันในภาคใต้” จะมีผลผลิตสู่โรงงาน เป็นจำนวนมาก   ราคาปาล์มน้ำมันในภาคใต้ ณ วันนี้ เกษตรกรขายได้ กิโลกรัมละ 4-5 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่มี”กำไร” แต่เมื่อมีผลผลิตออกมาสู่โรงงานมาก”เล่ห์เหลี่ยม” ของ”พ่อค้าคนกลาง” ก็จะฉวยโอกาสในการ”กดราคารับซื้อ” โดยอ้างว่า”ล้นสต๊อก” อ้างว่ามีปัญหาจาก”ไบโอดีเซล” ที่ใช้เป็นส่วนผสมของ”น้ำมันดีเซล” ที่ไม่เพิ่มขึ้น เพราะ”โรงกลั่น” นำเอา”ไบโอดีเซล” ไปเป็นส่วนผสมสูงสุดคือ”ดีเซลบี 7 “ เท่านั้น ทางออกของปัญหา”ปาล์มน้ำมัน หรือ”น้ำมันปาล์ม” กระทรวงพาณิชย์จึงต้อง”ส่งออก” ให้มากขึ้น ปี 2566 มีการ”ส่งออก 1 ล้านตัน” ปี 2567 ต้อง”ส่งออก”ให้ได้มากกว่าปี 2566 ปัญหาน้ำมันปาล์มจึงจะแก้ได้เพื่อที่เกษตรกรจะไม่ต้อง”ชี้ช้ำกระหลำปลี”…..แต่ที่มีการแก้แล้ว ส่วนจะเป็นการแก้ที่”ถูกทิศทาง”  หรือไม่ นั้นคือ” พาณิชย์จังหวัดกระบี่” ประกาศไปถึง”ลานปาล์ม” ทั้งหมด ให้หยุดรับซื้อ”ผลปาล์มร่วง” จาก”เกษตรการชาวสวนปาล์มอย่างเด็ดขาด ใครไม่เชื่อ ถูก”จับกุม” จะมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือ “ทั้งจำทั้งปรับ” เจ้าของ”ลานปาล์ม” จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้นะ

ปัญหา”อุบัติใหม่” ที่”น่าวิตกกังวลของสังคมไทย” คือเรื่อง”เยาวชน”ที่มีการก่อ” อาชญากรรม” มากขึ้นทุกขณะ การแก้ปัญหายังคงเป็นเรื่อง”วัวหายล้อมคอก” เช่นเรื่อง”ป้าบัวผัน”กับ”ลุงเปี๊ยก” ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ประเด็นที่ต้องถามถึงคือ วันนี้”กฎหมายที่ใช้กับเยาวชน” จำเป็นต้องนำมา”พิจารณา” และต้องมีการ”สังคายนา” กันใหม่อีก”สักรอบ” ดีหรือไม่ดี  ตรงไหนที่”หย่อนยาน”และเป็น”ปัญหา”ที่สมควรแก้ก็ต้องแก้อย่างคิดแต่เรื่องการ”คุ้มครอง” จนมีการ”ละเลย” ในเรื่องของ”ข้อเท็จจริง”ที่เกิดขึ้น…..ที่ผ่านมาเรา”ผิดพลาด”หรือไม่” ที่มีการ”ดึงไม้เรียว” จากมือของคนที่”เป็นครู” ที่เป็นผู้”สั่งสอนเด็ก” จนทำให้ไม่มีการ”ลงโทษ” เด็กๆ ในขณะที่”พ่อ –แม่ “ ก็ไม่มีเวลาในการ”ดูแล –อบรม” จนทำให้”เยาวชน”เป็นปัญหา”สังคม” และก่อ”อาชญากรรม”มากขึ้น เรื่องนี้เป็น”เรื่องใหญ่” ที่ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทุกกระทรวงต้องมีการ”บูรณาการ” เพื่อแก้ปัญหา โดยเฉพาะ” เสี่ยนิด” ในฐานะ”ผู้นำรัฐนาวา” ต้องให้ความ”ใส่ใจ” เรื่องนี้ให้มากเหมือนกับเรื่อง”เศรษฐกิจ” เพราะ”เยาวชน”คือ”อนาคตของประเทศชาติ”

และ”ผลพวง” จากการก่อ”อาชญากรรม” ของ”เยาวชน” ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ต่อ”ป้าบัวผัน” และการนำ”ลุงเปี๊ยก”ไปเป็น” แพะรับบาป” ยิ่งทำให้เป็นชัดว่า”ตำรวจ” เป็น”หน่วยงาน” ที่ต้องมีการ”ปฏิรูป” อย่าง”เร่งด่วน” แต่เมื่อ” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่กำกับดูแล”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” แสลงคำว่า”ปฏิรูป” โอกาสที่จะเห็นการ”ปฏิรูป” องค์กรตำรวจ คงจะเกิดขึ้นได้ยาก วิธีการแก้ปัญหาของ”ตำรวจ”คือ”วัวหายแล้วล้อมคอก” เป็นเรื่องๆอย่างที่เห็น เช่นการ”เด้ง” นายตำรวจ ที่เป็น ผกก, และ ตำแหน่งที่รองลงมา เพื่อให้สังคมเห็นว่ามีการ”ลงโทษ” คนผิด และก็ จบ …. และเมื่อเกิดเหตุการณ์ แบบเดียวกันขึ้น ก็ใช้”วิธีการเดิม” คือ”เด้ง” ผู้ที่ทำหน้าที่”ผู้นำหน่วย” จนการใช้นโยบาย”เด้ง” ผู้นำหน่วย กลายเป็นเรื่อง”ปกติ” ของ “ตำรวจ” ที่ไม่มีใครกลัว และกลายเป็นโรค”ดื้อยา”ไปเรียบร้อย “โรงเรียนตำรวจ”ไปแล้ว   การแก้ปัญหาของ”ตำรวจ” ประธาน ก.ตร. ที่นั่งเป็น”ประธาน” ในการ “แต่งตั้ง-โยกย้าย” ต้องไม่ใช่”นายกรัฐมนตรี” แต่ต้องมีการ”เลือกตั้ง”ประธาน ก.ตร.” แบบเดียวกับ”ประธานคณะกรรมการอัยการ( กอ )  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงจะได้รับการ”ปฏิรูป” อย่างแท้จริง

ที่นี้เขียนถึงเรื่อง”วัวเถื่อน” ที่มีการ”นำเข้าจากภาคเหนือ” ที่ติดกับชายแดน”เมียนมา” เข้ามายังภาคใต้ และส่วนหนึ่ง”ส่งออก” ทาง”ช่องทางธรรมชาติ” ( เถื่อน ) ไปยัง”มาเลเซีย” ไม่ผ่านการ”กักสัตว์” ตามที่ กฎหมายของ”กรมปศุสัตว์” บังคับ มาแล้วหลายครั้ง แต่ หน่วยงานที่รับผิดชอบ”เอาหูทวนลม” …..วันนี้ “เฉลิมชัย” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต “เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ซึ่งกำลัง”ของขึ้น” จากการถูก”กล่าวหา” ว่ามีส่วน”พัวพัน” กับเรื่องการนำเข้า”ตีนไก่” และ”หมูเถื่อน” จึงออกมา”เปิดโปง” เส้นทางนำเข้า”วัวเถื่อน”จาก”เมียนมา” ซึ่งเป็นการ”เอาคืน” นักการเมือง”บางคนบางพรรค” ที่เป็นผู้อยู่”เบื้องหลัง” ของการนำเข้า”วัวเถื่อน” จาก”เมียนมา” แบบ”เถื่อนๆดิบๆ” ก็เป็นหน้าที่ของ “ดีเอสไอ”ในการ”แกะรอย” ขบวนการนำ”วัวเถื่อน” ข้ามประเทศ และส่งไป”มาเลเซีย” อย่าง”เป็นลำเป็นสัน” เขาทำกันอย่างไร   ส่วนเป็นนักการเมืองพรรคการเมืองไหน “ลูกเด็กเล็กแดง” ใน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทราบดี

พูดถึงเรื่องของ “ดีเอสไอ” มีประชาชน”ฟ้องมา” มีผู้อ้างเป็น”เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ” ( บางคน ) ยัง”เดินสาย”เพื่อ”เก็บส่วย” จาก กลุ่มผู้ค้าบุหรี่หนีภาษีในภาคใต้ ล่าสุดมีการ”จับกุม” ที่ จ.ภูเก็ต” ที่เป็นการจับแบบ”เลือกที่รักมักที่ชัง” พวกเดียวกันที่”จ่ายแล้ว” ไม่จับ แต่ไปจับ”คู่แข่ง” ของพวกเดียวกัน และที่สำคัญ”ผู้ที่อ้างว่าเป็น”ดีเอสไอ” ผู้นี้ มีร้าน”บุหรี่เถื่อน” ตั้งอยู่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เรื่องนี้ต้องร้องไปยัง”ยุทธนา แพรดำ “ รักษาการอธิบดี ดีเอสไอ ให้ตรวจสอบด้วย เพราะ ดีเอสไอ มีหน้าที่”ไล่จับผู้ที่ทำผิด” ในหน่วยของ”ดีเอสไอ” ต้องไม่มี”เหลือบแอบแฝง”อยู่ จริงหรือไม่

ส่วน “สำนักก่อสร้างทางหลวง 18 สงขลา” ใครที่เป็น”ผู้อำนวยการ” ก็ให้”เงี่ยหู” ฟังเสียงของ”เจ้าของกิจการ” ที่เกี่ยวข้องกับ”อิฐ หิน กรวด ทราย” ไว้บ้าง  ตรวจสอบ “ลูกน้อง” ให้มีความ”เป็นธรรม” กับ”เจ้าของกิจการ” อย่า”เลือกที่รัก มักที่ชัง” หรือมีความ”ลำเอียง” ถ้าเป็น”พวกเดียวกัน” ถูกต้อง ทั้งที่”ไร้มาตรฐาน” ส่วน”เจ้าของกิจการ” ที่ไม่ใช่”พวกพ้อง” ถึงมี”มาตรฐาน” ก็หาทาง”กีดกัน” ข่าวว่ามี”เจ้าของกิจการ”บางส่วนที่”หมดความอดทน” จะออกมา”แฉ” ถึงความ”ไม่ชอบมาพากล” ที่อาจจะทำให้”ตายหมู่” เกิดขึ้น

เรื่องความไม่ชัดเจนทางทะเลของ”อุทยานแห่งชาติ” ที่ จ.สตูล ทำให้ “เรือประมง” จำนวนหนึ่งถูกจับกุมในข้อหา”รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา” ซึ่งขณะนี้ ชาวประมงเจ้าของเรือที่ถูกจับกุม ได้ร้องเรียนไปยัง”ศูนย์ดำรงธรรม” เพื่อขอให้มีการคืน”เรือของกลาง” เรื่องนี้”ผิด-ถูก” เป็นอย่างไร “ข้อกฎหมาย”และ”ข้อเท็จจริง””ต้อง”ล้อ”กันไปได้ ก็เชื่อว่า “ศักระ กปิลกาญจน์”  ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล คงจะ”พิจารณา” เพื่อสร้าง”บรรทัดฐาน”ของความเป็นธรรมให้กับ ประชาชน…..ส่วนตรงนี้เป็นเรื่อง”อิทธิพล”ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ต.วังมะปรางเหนือ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง ที่ใช้”อิทธิพล” ส่ง”ลูกสมุน” วางยาเครื่องจักรกลของ”ผู้รับเหมาต่างถิ่น” ที่เป็น”ผู้ประมูลงานก่อสร้างถนน”รวมทั้ง”บีบ” ให้”ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง” ในพื้นที่ ไม่ให้ขายวัสดุให้กับบริษัทที่ประมูลงานได้ เพื่อ”บีบบังคับ” ให้มีการ”ทิ้งงาน” เรื่องนี้ “พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์  คีตโมทนียกุล” ผบก.ภ.จว.ตรัง ต้องดำเนินการนำ”คนร้าย” และ”ผู้บงการ” มาดำเนินการตาม”กบิลเมือง” ให้ได้ อย่างให้”คนร้ายลอยนวล”

สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี 2567  เจ้าหน้าที่ถูก”ซุ่มโจมตี” จาก” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ถี่ขึ้น ตั้งแต่ ต้นเดือน มกราคม เป็นต้นมา “ทหารพราน,ตชด.” และ”อาสาสมัคร” กลายเป็น”เหยื่อ” ครบถ้วนเหลือเพียง”ชรบ.” ที่ยัง”อยู่รอดปลอดภัย” ก็อยู่ที่”เจ้าหน้าที่รัฐ ในพื้นที่ ซึ่งต้องมีการ”เคลื่อนไหว” ในการ”ปฏิบัติภารกิจ” และการ”เดินทางต้องมีการปรับตัว ” ต้องมี”การข่าว” และการป้องกันตนเองให้”รัดกุม” โดยเฉพาะ”จุดเสี่ยง” ทุกจุด ที่เหมาะกับการ”ซุ่มโจมตี” ต้องมีการ”ลาดตระเวน” เพราะเกือบทุกครั้งที่มีการ”สูญเสีย” ส่วนหนึ่งมาจากการ”ปฎิบัติการ” ที่ยัง”ไม่รัดกุมพอ….แต่ เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือเรื่อง”ปฏิบัติการทางการเมือง” ที่”ขับเคลื่อน”โดย”ภาคประชาสังคม”ที่ทำหน้าที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ใช้โอกาสที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีการ”บังคับใช้กฎหมาย” กับกลุ่มผู้นำ”ภาคประชาสังคม” ที่ทำ”ผิดกฎหมาย”  ทำการ”ร้องเรียน” หน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศ และใน”องค์กรสหประชาชาติ” ว่าถูก”รังแก” จาก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ด้วยการ”บิดเบือนข้อเท็จจริง” เพราะ”ข้อเท็จจริง” ที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” กล่าวหา” กลุ่มผู้นำ”ภาคประชาสังคม” คือการกระทำที่”เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” ส่วนจะเป็นการ”รู้ไม่เท่าทัน ”หรือ”จงใจ เจตนา” เป็นหน้าที่ของทั้ง”ผู้กล่าวหา” และผู้ถูก”กล่าวหา” ต้องนำข้อเท็จจริงไป แสดงให้”ศาลสถิตยุติธรรม”เป็นผู้”ตัดสิน”….แต่สิ่งที่”ผู้ถูกกล่าวหา”นำไป”บิดเบือน” ด้วยการให้”ข้อมูล” กับ หลายๆ”หน่วยงาน” ทั้งในประเทศ และใน”ยูเอ็น”ว่า ถูก”กล่าวหา” ว่าทำความผิดในข้อหา แต่งกายในเครื่องแต่งกายที่เป็น ”อัตลักษณ์มาลายู” ซึ่งเป็น”คนละเรื่อง”กับข้อ”กล่าวหา” จาก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ แม้ว่า “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน. ได้แถลงข้อเท็จจริงให้กับ “กรรมาธิการสันติภาพ”อย่าง”ชัดเจน” แต่”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ยังมีการ”บิดเบือน” และ”กล่าวหา” ว่าพวกตนถูก”จับกุม” ในข้อหาการแต่งกายตาม”อัตลักษณ์มาลายู” ในวัน”มาลายูเดย์”

การที่”กลุ่มนักเคลื่อนไหว” พยายามให้ “หน่วยงานด้านสิทธิมนุษย์ชน”และ”เอ็นจีโอ” ทำการ”กดดัน” ให้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถอน”แจ้งความ” เพื่อไม่”เอาผิด” ใน”ความผิด” ที่เกิดขึ้น  นั่นหมายถึงการใช้”กฎเถื่อน” หรือ”กฎหมู่” อยู่เหนือ”กฎหมาย” เป็นการไม่ยอมรับ”กฎหมาย”ของ”รัฐไทย” ใช่หรือไม่  ที่ผ่านมา “กลุ่มนักเคลื่อนไหว” ต่างเรียกร้องความ”เป็นธรรม” เรียกร้องให้ “ทหาร.ตำรวจ, หยุดการ”อุ้มหาย” หยุดการ”คุกคาม” คนในพื้นที่ และเรียกร้องให้มีการใช้”กฎหมาย” ด้วยความ”เท่าเทียม”และ”เป็นธรรม” แต่ทำไม่เมื่อตนเอง”ทำผิด” จึง”ปฏิเสธ” ที่จะเข้าสู่”ขบวนการยุติธรรม”  และถ้าทุกคนในพื้นที่ซึ่ง”ทำผิด” ต่างไม่ยอมรับการ”บังคับใช้กฎหมาย” แล้วพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้”จะไม่เป็น”สเตทเฟล” หรอกหรือ แล้ว”บ้านเมือง”จะอยู่กันอย่างไร  กรณีนี้ คน”ส่วนใหญ่” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นด้วย เห็นใจ และให้กำลังใจ” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” มีทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  ที่บังคับใช้กฎหมาย กับเรื่องที่เกิดขึ้น ผิด ถูก ให้จบที่”ศาลสถิตยุติธรรม” เพื่อการ”ธำรง”ไว้ถึงความ”ศักดิ์สิทธิ์” ของ”กฎหมาย” และให้รู้ว่า”บ้านเมืองมีขื่อมีแป” ไม่ใช่ความผิดที่เกิดขึ้น จบ และไม่ถูกดำเนินคดีเพียงการชี้แจงว่า”รู้เท่าไม่ถึงการณ์” หรือ”ผมไปชี้แจ้งแล้ว” ทำไมจึงต้อง”กล่าวหา”ผมอีก”

เห็น”โศกนาฎกรรม” โรงงานทำพลุระเบิด ที่ จ.สุพรรณบุรี ที่ทำให้มี”ผู้เสียชีวิต”ถึง 23 ศพ. ก็ให้เป็นห่วง เรื่อง สถานที่”เก็บพลุ-ประทัด-ดอกไม้ไฟ”ในพื้นที่เมืองใหญ่ๆ ของภาคใต้ตอนล่าง เช่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่มี  “โกดัง” ในการ”เก็บพลุ” เพื่อขายใน”เทศกาลตรุษจีน” ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นี้  “โกดัง” ที่”มิดชิด” และ”ห่าง”ชุมชน” ไม่น่าห่วง แต่กับ”ห้องแถว”และ”อาคารพาณิชย์”ที่เป็นที่”ซุกซ่อน” ที่ใช้”หลบเจ้าหน้าที่” และอยู่ใน”ตัวเมือง”  ทั้งใน “เทศบาลนครหาดใหญ่” และใน”เทศบาลสุไหงโก-ลก” โดยเฉพาะ”สุไหงโก-ลก” ที่มีการ”ซุกซ่อน” เพื่อ”ส่งขาย “พ่อค้ามาเลเซีย” ว่าที่ ร.ต. ตระกูล โทธรรม”   ผวจ.นราธิวาส ต้องให้ นายอำเภอ, ผู้กำกับ เข้มงวด ตรวจค้น ให้ทั่วถึง บทเรียน”โกดังพลุระเบิด ” ที่บ้านมูโนะ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก เมื่อกลางปี 2566  ยังคง”หลอกหลอน” คนในพื้นที่ อย่างให้”ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”

ต้อง ขอบคุณ “สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการปราบปราม”ยาเสพติด” เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ของ จ.สงขลา  ซึ่งหลังจาก”คอลัมน์นี้” ได้ “ตีแผ่” เรื่องของการ”ขายน้ำกระท่อม”ริมถนนสายหลักๆ ปรากฏว่า ผู้กำกับ นายอำเภอ และ สาธารณสุข” ในหลายพื้นที่ ได้ออกตรวจ และ”จับกุม” ผู้ที่”ขายน้ำกระท่อมที่ผสมยาแก้ไอ” ไปแล้วในหลายอำเภอ เป็นการ “ลดปัญหาสังคม”ในระดับหนึ่ง  เพราะ”น้ำกระท่อม”ที่ผสม”ยาแก้ไอ” ถ้า”เสพติด” ก็จะมีการ”หลอน” ไม่ต่างกับ”ยาบ้า” ซึ่งวันนี้กลายเป็น”ภัยสังคม” ที่ “อันตราย” ทั้งกับคนใน”ครอบครัว”และ”คนใน”สังคม”

หลังปีใหม่ 2567 คดีของ”แป้ง นาโห

บรรทัดนี้ยินดีด้วยกับ “เอก ยังอภัย ณ สงขลา” นายอำเภอเบตง จ.ยะลา ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็น”นายอำเภอหาดใหญ่”  จ.สงขลา เพื่อรอ”ขึ้นแท่น” เป็น”ปลัดจังหวัดสงขลา” ในปีหน้า ส่วน”นพพร หนูเพชร” นายอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา ก็”ได้ดิบได้ดี”ย้ายไปเป็น”นายอำเภอเมืองยะลา จ.ยะลา….. สำหรับ นายอำเภอเบตง จ.ยะลา เมือง ท่องเที่ยว ชายแดนมาเลเซีย ได้”นักปกครองมือดี” อมร ชุมช่วย” นายอำเภอยะหา จ.ยะลาไปเพื่อ พัฒนาให้” เมืองในหมอก” มีความ “รุ่งเรือง” ยิ่งขึ้น สำหรับนายอำเภอสะเดา จ.สงขลา เมืองชายแดน มาเลเซีย ที่นักปกครองจำนวนมาก ต้องการมาอยู่  โยกย้ายครั้งนี้     ได้ “วิเชษต์ สายกี้เส้ง “ นายอำเภอปะนาเระ  จ.ปัตตานี มาเป็นนายอำเภอสะเดา เพื่อ”เป็นมือทำงาน” แก้ปัญหา”ยาเสพติด” และ”อื่นๆ ให้กับ”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา และ”สุรัตน์ ลายจันทร์”  นายอำเภอระโนด ย้ายจาก”ฝั่งทะเลระโนด มาเป็นนายอำเภอเมือง สงขลา ซึ่งเป็นเมือง”สองทะเล” และ “คนระโนด ก็ได้”วรพันธ์ สุวรรณยุหะ “ นายอำเภอบางแก้ว จ.พัทลุง มาเป็น นายอำเภอระโนด จ.สงขลา ก็เชื่อมั่นว่า ทุกคนจะเป็น”ที่พึ่ง” ของ “ประชาชน”ได้ …..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา ‘กองกำลังติดอาวุธ ‘เปลี่ยนเป้ามุ่งสังหาร ‘ตำรวจ-ทหาร’

ผ่านไปแล้วสำหรับการ”อภิปรายงบประมาณปี 2567” ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง”ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี”ซึ่งถูก”ฝ่ายค้าน” อย่างพรรคก้าวไกล ทำการ”ชำแหละ” ให้เห็น”เนื้อใน” ของการจัดทำ”งบประมาณ” ที่ไม่มีอะไรที่”พิเศษ” กว่าการจัดงบบริหารประเทศของรัฐบาลชุดเก่าของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี  หลายประเด็นที่”ฝ่ายค้าน” ตั้ง”ข้อสังเกต” และมีการ”อภิปราย” เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องที่”ผิดปกติ”  เพราะเห็นชัดว่าเป็นการนำ”งบเก่า” ของ”รัฐบาล” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี มาทำการ”ปะผุ” และ”สอดไส้” โครงการต่างๆของ” รัฐบาลนิดหนึ่ง”เข้าไป จนได้”ฉายา” ว่าเป็นงบประมาณฉบับ”เป็ดง่อย” ซึ่งเป็นเรื่องที่  “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ต้องรับฟัง การ”ท้วงติง” ของ สส.ฝ่ายค้าน  และต้อง”แก้ไข” เพื่อให้การใช้”งบประมาณ” มีประสิทธิภาพ เพื่อการ”พัฒนาประเทศ” และความ”เป็นอยู่”ของประชาชน”ให้ดีขึ้นในทุกภาคส่วน เพราะ”งบประมาณ” ที่”รัฐบาลใช้”คือ”เงินภาษีของประชาชน” …..ที่น่าเป็นห่วง “งบประมาณ” ที่ถึงแม้จะ”ผ่านสภาผู้แทนราษฎร”ไปแล้ว แต่มีเวลาใช้เงินงบประมาณเพียง 4 เดือน ในการใช้งบประมาณที่ไม่ “ปกติ” ใช้นี่คือความน่า”ห่วงกังวล” ในการ”เติบโตทางเศรษฐกิจ” ที่ต้องไม่เป็นไปตาม”เป้าหมาย”  ดังนั้น เศรษฐกิจ”ของประเทศในปี 2567 ไม่มีทางที่จะ”เติบโต” ตามที่” เศรษฐา ทวีสิน”  นายกรัฐมนตรี ผู้นำ”รัฐนาวานิดหนึ่ง” ได้แถลงต่อสภาผู้แทนฯแน่นอน    เชื่อเถอะ ”เศรษฐกิจไทย” โดยรวมในปี 2567 จึงเป็นเรื่องที่”น่าเป็นห่วง”ยิ่งนัก

อีกเรื่อง”เงินดิจิตัลวอลเล็ต” ที่ยังไม่รู้ว่าจะ”ออกหัวออกก้อย” เช่นถ้า”กฤษฎีกา” ตอบว่า”ทำไม่ได้” หรือ”หมิ่นเหม่” ต่อเรื่องของ”กฎหมาย” เพื่อไทยจะหา”ทางออก” อย่างไร “รัฐบาล” มีแผนการ”สำรอง” หรือไม่ หรือ”รัฐบาลชุดนี้” มีแผนในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” เพียงแผนเดียวคือการ”แจกเงิน” ให้ประชาชนไป”ใช้จ่าย” คนละ 10,000 บาท เท่านั้น   เพราะเป็น นโยบาย ที่ พรรคเพื่อไทยได้”หาเสียง”ไว้ เรื่องนี้ก็เป็น”จุดเจ็บจุดตาย” ของ”เพื่อไทย” และของ”รัฐบาล”ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ที่จะไปไม่ถึง”เป้าหมาย”..…แต่ ถึงอย่างไรก็ตาม”ในปี 2567 “เศรษฐา ทวีสิน” ก็ยัง”มีดวง” ในการเป็น”นายกรัฐมนตรี” ต่อไป ไม่มีการ”เปลี่ยนม้ากลางศึก” เพราะยังมี”หลายเรื่อง” ที่”คนชั้น 14 “ ยังต้องให้”เศรษฐา” เป็น”หัวหมู่ทะลวงฟัน” และยังไม่ใช่เวลาที่จะให้”อุ๋งอิ๋ง” ขึ้นแท่นไป”รับมือ”กับปัญหาที่”ถาโถม” เข้ามา รวมทั้งทุกพรรคการเมืองที่”มัดข้าวต้ม” เป็น”พรรคร่วม” ใน”รัฐบาล” ยังไม่มีความ”ขัดแย้ง” ในการ”ร่วมรัฐบาล” เพราะทุกพรรคยัง”แฮ้ปปี้” และ กลัวการเป็น”ฝ่ายค้าน” ดังนั่นไม่ว่าจะมีการ”กระทบกระทั่ง”กันบ้าง “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ก็พร้อมที่จะ”ถูลู่ถูกกัง”ต่อไป

เรื่อง”อุทกภัย” ที่เป็นความเสียหายครั้งใหญ่ของ”ปลายด้ามขวาน” จ.ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” หลังจากที่ทุกหน่วยงาน ได้ร่วมกัน”ซับน้ำตา” ของ ประชาชนผู้ที่เป็นผู้”สูญเสีย” อย่างแท้จริง จบแล้ว   อยากให้”หน่วยงาน” ในพื้นที่ อย่าง”กรมป่าไม้” กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม,กรมการปกครอง และ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” กลับมา”พิจารณา” ถึง”ข้อเท็จจริง” ที่มี”หลักฐาน” คือ”ท่อนไม้” ที่”เกลื่อนกลาด” ในหลายพื้นที่ ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีหน่วยงานไหน”พูดถึง” ว่านี่คือสาเหตุของ”น้ำท่วม” ครั้งใหญ่ ที่สร้างความ”สูญเสียอย่างใหญ่หลวง” เพราะมีการ”ตัดไม้ทำลายป่า” ใน”เทือกเขา” ต่างๆ ในพื้นที่ อย่าอ้างว่าที่”น้ำท่วม” และ”เสียหาย” ครั้งใหญ่หลวง เป็นเพราะ”ฝนตกหนัก” ในรอบ 50 ปี เพียงอย่างเดียว เพราะถ้ามีการ”ป้องกันป่า” ไม่ปล่อยให้”มอดไม้”กับ”นายทุน” ทำการ”ผลาญพล่า” ป่าไม้อย่าง”เมามัน” ความ”เสียหาย” อาจไม่มากเท่ากับที่เกิดขึ้น…..”พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  หน่วยงานอนุรักษ์ป่าไม้ หน่วยงานอุทยาแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องมีการ”บูรณาการ” ด้วยกันอย่างจริงจัง เพื่อที่จะ ป้องกันป่า ให้เป็นผล เพราะหากยังปล่อยให้”นายทุน” และ”มอดไม้” รวมทั้ง”เจ้าหน้า”( บางหน่วย และ บางส่วน) “ทำมาหากิน” กับ”ทรัพยากรแผ่นดิน ปีหน้า ,ปีโน้น ความสูญเสียของ ประชาชน” จาก”อุทกภัย” จะ หนักหนาสาหัส ยิ่งกว่านี้ รวมทั้งต้องนำเอา”ความสูญเสีย” ที่”ประชาชน”ได้รับ ให้ ประชาชน ได้รับรู้ว่าเกิดจากการ”ทำลายป่า” ของคนในพื้นที่ ซึ่ง ประชาชน ในพื้นที่”นิ่งดูดาย” มาโดนตลอด

มาต่อเรื่องของ”ไฟใต้” ที่”หลังปีใหม่”  กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ยังต้อง”ระวังป้องกัน” การก่อเหตุจาก”กองกำลังติดอาวุธ ให้จงหนัก  ทั้งจาก”คาร์บอมบ์” จาก”รถยนต์” จำนวน 2 คัน ที่”แหล่งข่าว” แจ้งเตือน และ”ระเบิดแสวงเครื่อง” จำนวนหนึ่ง ที่”แหล่งข่าว” แจ้งว่า” แนวร่วม” ได้ทำการ “ลำเลียง” จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเตรียมก่อเหตุในห้วง”ส่งท้ายปีเก่า –ต้อนรับปีใหม่” แต่เพราะเกิด”อุทกภัย”ขึ้น การ”ก่อการร้าย” จึงต้อง”ชะลอ”ไว้ก่อน เพราะ”แนวร่วม” ในพื้นที่ ซึ่งเป็น”ส่วนสำคัญ” ต้องไป”ปฏิบัติการ”ร่วมกับ”กองกำลังติดอาวุธ”ไปทำ”ภารกิจ” ในการช่วยเหลือ”มวลชน” ที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ในขณะที่”น้ำท่วม” เมื่อ”โอกาสเปิด” กองกำลังติดอาวุธ ในพื้นที่ ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก็”โจมตี” กำลังทหารพราน ที่ลาดตระเวนในพื้นที่ ทำให้กำลังพลของชุด”ชป.ป่าเขา” ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย และ กองกำลังติดอาวุธ ในพื้นที่ ต.จะแนะ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ก็”ไล่ยิง”  เจ้าหน้าที่ อส.อ. เสียชีวิตอีก 1 ราย  ห้วงเวลานี้ เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ทหาร และ อส. ที่ เดินทาง  ไป-กลับ ในพื้นที่ต้อง “ระมัดระวัง” เป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ “ทีมสังหาร” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ได้ทำการ”ปลิดชีพ” อดีต จสท. ทหารพราน จาก ฉก ทพ.46 ที่บ้านพักใน ต.โคกโพธิ์ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี มาแล้ว โดย แนวทางการสอบสวนพบว่า ก่อนที่จะมีการ”ปฏิบัติการ” ทีม”ล่าสังหาร” เจ้าหน้าที่รัฐ “ ทีม”ล่าสังหาร” ชุดนี้ได้ใช้เวลาเข้ามา”เกาะติด”พื้นที่กว่า 3 เดือน เมื่อ”เหยื่อ” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” เปลี่ยนจาก “พระ.ครู,ข้าราชการพลเรือน”และ”ประชาชน” ที่เป็น”เป้าหมายอ่อนแอ” มาเป็น”เจ้าหน้าที่” และ”อดีต ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ” ดังนั้นทางหนึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่”ประชาชน” ซึ่งเป็น”เป้าหมายอ่อนแอ”  ครู และ พระ จะได้”ปลอดภัย” แต่ในขณะเดียวกัน “เจ้าหน้าที่” และ”อดีตเจ้าหน้าที่รัฐ,” ต้อง”ป้องกันตนเอง”ล่าสุด “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ได้ออกมา”แจ้งเตือน” กำลังพล ในพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอ ให้ ระมัดระวัง ตนเองแล้ว เรื่องนี้” อัตตาหิ อัตโน นาโถ” ตนคือที่พึ่งแห่งตน

วันนี้ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ได้มีการแต่งตั้ง “ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” รอง ผบ.ตร. ให้เป็น” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช. ) เป็นที่”เรียบร้อยโรงเรียนนิดหนึ่ง” แล้ว ก็ต้อง รอดูว่า การอยู่ในตำแหน่ง” เลขาธิการ สมช.” เพียง 9 เดือน จะทำประโยชน์ให้ สมช. แค่ไหน การได้”หัวหน้าหน่วยงาน” ที่ใกล้”เกษียณอายุราชการ” ถึงจะมี”ความรู้ ความสามารถ” ก็อาจจะทำ”ประโยชน์” ให้กับ”องค์กร”แบบที่เรียกว่า”ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย” ก็ได้ เพราะเห็นมามากแล้วที่” สั่งได้แต่ไม่มีใครฟัง”……ต่อไป ก็คงต้องติดตามดูว่า เรื่องของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) จะมีการแต่งตั้ง รองเลขาธิการ ที่ยังขาดอยู่ 2 ตำแหน่ง เพื่อที่จะได้เป็น”กำลัง” ช่วยงานที่”ล้นมือ” ของ”พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. เมื่อไหร่ และจะมีการ”ปลดล็อค” คืนความ”เป็นไท” ให้กับ “ศอ.บต.” ด้วยการ ยกเลิกคำสั่ง”คสช.” จำนวน 3 ฉบับ ที่เป็น”โซตรวน”ในการ”ล่ามขา” ของ ศอ.บต. จนทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่ใน”มิติการพัฒนา” และ”สังคมจิตวิทยา” ได้อย่างเต็มที่ เรื่องนี่คือเรื่อง”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแล ศอ.บต.ต้อง เร่งมือ …..ส่วนเรื่องที่”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี  อ้างว่า ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแล” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ได้เข้ามาแก้ปัญหาของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายเรื่อง โดยมีการขอคำ”แนะนำ” จาก”รองนายกรัฐมนตรี” ประเทศมาเลเซีย ที่ขอให้ “รัฐบาลไทย” ส่งเสริม”ให้”โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา”ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ประเด็นนี้ แสดงว่า “ ทั้ง”รองนายกสมศักดิ์” และ”รองนายกรัฐมนตรี” ของประเทศมาเลเซีย” ไม่รู้เรื่อง” และ”ไม่เข้าใจ” ในข้อเท็จจริง “โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้”รัฐบาลไทย ดูแล ส่งเสริม สนับสนุนนั้น ”ดีกว่า” โรงเรียน”เอกชนสอนศาสนา” ในประเทศมาเลเซียเสียอีกหลายเท่า  ว่างๆ “รองสมศักดิ์” ต้องเชิญ ให้ “รองนายกรัฐมนตรี” ประเทศมาเลเซีย เข้ามา”สัมผัส” โรงเรียนสอนศาสนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้เห็น”ของจริง” และ”เข้าใจ”ถูกต้อง ถ่องแท้

ความจริง” สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ต้องขอร้องกับ” รองนายกรัฐมนตรี”ประเทศมาเลเซีย ว่าถ้า”รัฐบาลมาเลเซีย” ต้องการ”ช่วยเหลือ” ให้”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” กลับไปสู่ความ”สันติสุข” แค่”รัฐบาลมาเลเซีย” เลิก”อุ้ม” เลิกให้ที่”พักพิง” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น  จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะ”จบสิ้นปัญหา” ความรุนแรงทันที……และอีกเรื่อง ที่”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ต้องมีการ”จับเข่าคุย” กับนายรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย  “ ตันสรี ดาโต๊ะวันวาร์ อิบราฮิบ” คือเรื่อง”แรงงานเถื่อน” จาก”เมียนมา,บังคลาเทศ” ที่”ใช้เส้นทางของประเทศไทยในการ”หลบหนีเข้าเมือง” เพื่อ”ข้ามแดน”ในทำงานยังประเทศมาเลเซียปีละเป็น “100,000 คน ที่เป็นปัญหาให้”รัฐบาลไทย” ต้องจับกุม และนำมา”คุมขัง” เพื่อรอ”ส่งกลับ” ซึ่งต้องใช้”งบประมาณ” ในการ”เลี้ยงดู” และต้องใช้” เจ้าหน้าที่” ในการ”ปราบปราม” เรื่องนี้ถ้า”มาเลเซีย” ไม่มีการ”ไฟเขียว” มีหรือที่”ประเทศ”ที่”เข้มงวด” การทำผิดกฎหมาย อย่างมาเลเซียจะ”มองไม่เห็น” กลุ่มขบวนการ”คนเถื่อน” ที่ “ลักลอบเข้าเมือง….. ที่สำคัญ”ตลาดแรงงาน” ใน”มาเลเซีย” ควรจะเป็นของ”แรงงาน” ของประชนในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งอยู่ในสภาพของการ”ว่างงาน” แต่เมื่อ”แรงงานเถื่อน” จาก” เมียนมา,บังคลาเทศ” และ”อินเดีย” เข้าไปแทนที่ด้วยการเป็น ”แรงงานเถื่อน” จำนวนแรงงานไทยจาก”จังหวัดชายแดนภาคใต้”ก็ลดน้อยถอยลง เรื่องอย่างนี้ คือเรื่องที่ “ผู้นำทั้งสองประเทศ” ต้องมีการ”เจรจา” ไม่ใช่ทุกเรื่อง”รัฐบาลไทย” ต้องมีแต่”คล้อยตาม”มาเลเซีย แบบ “เสียเปรียบแล้ว เสียเปรียบอีก”อย่างที่เห็นมา”ชั่วนาตาปี”

ส่วนเรื่องการ”พัฒนาอาชีพ” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เรื่องการ”ส่งเสริมการเลี้ยงโค” โดยให้ “ครัวเรือน” ที่มี”ความพร้อม” กู้เงินคนละ 50,000 บาท จาก สถาบันการเงินของภาครัฐ เพื่อ”ซื้อวัว 1 ตัว” และ”ผสมพันธ์โดยการใช้น้ำเชื้อ” ใน 4 ปี ทุกครัวเรือนจะมี”วัว 2 ตัว” และ 10 ปีทุกครัวเรือนจะมีวัว 10 ตัว และพ้นจากเป็น”ครัวเรือนยากจน” นั้น ถ้าทำได้จริง จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเรื่องการ”ส่งเสริม” ให้คนในพื้นที่เลี้ยง”ปศุสัตว์” ทั้ง เลี้ยง วัวแพะ  ทำกันมาตั้งแต่”พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เป็น “นายกรัฐมนตรี” และ” ศอ.บต. “เอง ก็ “พยายาม” ทำมาแล้ว หลายครั้ง หลายครา แต่”ล้มเหลว” ไม่เป็นท่า มาโดยตลอด เรื่องนี้” สมศักดิ์ เทพสุทิน” อย่าคิดว่าง่าย เพราะ”โครงการโคล้านตัว” ที่ทำที่”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ซึ่งมี”ปัจจัย” มากมายที่ง่ายว่า”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ยัง” ล้มเหลว” ทุกอย่างในจังหวัดชายแดนภาคใต้มี”ปัจจัย” มากมายที่เป็น”ปัญหา”และ”อุปสรรค” โดยเฉพาะ”ค่านิยม” และ”ทัศนคติ” ของคนในพื้นที่ ถ้ายังไม่มีการ”พัฒนาคน” อย่างอื่นก็ยากที่จะ”พัฒนา”ให้เป็นไปตาม”เป้าหมาย…..โดยเฉพาะเรื่อง”การพัฒนา” เป็นเรื่องที่”ผูกติด” กับเรื่องการ”ก่อการร้าย” ถ้า”บีอาร์เอ็น” ยังไม่เลิกที่จะ”ก่อเหตุความรุนแรง” การพัฒนาก็ยากยิ่งที่จะเดินไปข้างหน้าตาม”หมุดหมาย” ยิ่งเห็นการ”ขับเคลื่อน”งานด้านการ”ดับไฟใต้” ด้วย”สันติวิธี” โดยใช้เวที”การพูดคุยสันติสุข” ที่”สภาผู้แทนราษฎร” มีการตั้งคณะ”กรรมาธิการสันติภาพ” เพื่อการ”ออกแบบ”ของการ”ดับไฟใต้” ซึ่งผ่านไปแล้ว 90 วัน ยังไม่มี”แก่นสาร” ผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจ ในสถานการณ์ความไมสงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็น”ที่ปรึกษา”กรรมาธิการ และที่ปรึกษา”อนุกรรมการ” มีการ”ลาออก” และไม่ไปร่วมประชุม เพราะเห็นชัดว่าเป็นการ”ออกแบบ” ที่”ไม่ใช่” และ”ไม่ตอบโจทย์” เพราะ “วนเวียน” อยู่กับเรื่อง”ลดจุดตรวจ,จุดสกัด,ยกเลิก พรบ.ฉุกเฉิน และ “กฎอัยการศึกษา” และ”ลดจำนวนทหาร”ในพื้นที่

ทั้งหมดเป็นเรื่อง”ปลายเหตุ” เพราะ”ต้นเหตุ”คือ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็นผู้”สั่งการ” ให้”ก่อการร้าย” และ”ปลุกระดมมวลชน” เพื่อต้องการ”แบ่งแยกดินแดน” การ”ออกแบบ” ใดๆ ก็ตาม ต้องทำให้”บีอาร์เอ็น” เลิกความคิดในการ”แบ่งแยกดินแดน” และเลิกการใช้ “กองกำลังติดอาวุธ” เพื่อ”ก่อการร้าย” ถ้า”บีอาร์เอ็น” เลิกก่อการร้าย เรื่อง”จุดตรวจ จุดสกัด,เรื่อง”กฎหมายพิเศษ” เรื่อง”ถอนทหาร” ก็จะหมดไปในทันที แต่ถ้า “บีอาร์เอ็น” ยังไม่เลิก”ก่อการร้าย” ยังไม่เลิก”แบ่งแยกดินแดน” ถามว่า ถ้า”ถอนทหาร,เลิกจุดตรวจ ยกเลิกกฎหมายพิเศษ” แล้ว เจ้าหน้าที่จะใช้อะไรในการ”สู้ปรบปรบมือ” กับ “กองกำลังติดอาวุธ” ไหน กลุ่ม”นักวิชาการโลกสวย”ที่เห็น”องค์กรต่างชาติ” เป็น”พระเจ้า ลอง”ออกแบบ” เรื่องการสร้าง”สันติภาพ” ให้ดูหน่อยเถอะ อยากเห็นนะ เรื่องนี้ฝาก “จตุรงค์ ฉายแสง” ประธานคณะกรรมาธิการสันติภาพ” ดูหน่อยว่าจะทำอย่างไร “งบประมาณ” ในการประชุมจะไม่”สูญเปล่า”…..ยิ่งมาดู”บริบท” ของ”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการ สมช. ที่”รัฐบาล” แต่งตั้งให้เป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” ที่ เดินทาง”ขึ้น-ลง” ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้า-ออก บ้านของ”ผู้นำศาสนา” บางคน และเดินตามหลัง”พลเอก” ที่ เกษียณอายุ” บางคน ที่ คนในพื้นที่และคนใน”วงการ” แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้”รู้ใส้รู้พุง” ว่า ตลอดเวลาที่ผ่าน เขาทำอะไร และทำเพื่อประเทศชาติ หรือเพื่อตนเอง ก็ยิ่งเห็น”เด่นชัด” ว่า แนวทางการ”พูดคุยสันติสุข” จะเดินไปในทิศทางที่”ล้มเหลว”หรือ”ก้าวหน้า “

ในขณะที่ “แกนนำ” ที่เป็น”ที่ปรึกษา” ของ”คณะพูดคุย” ของ” บีอาร์เอ็น” อย่าง”อาวัง ยาบะ” บอกกับ “แหล่งข่าว” ว่า ในการเริ่มต้นที่จะ”ขับเคลื่อน” การ”พูดคุยสันติสุข” ครั้งนี้  สิ่งที่”บีอาร์เอ็น” เสนอคือให้กันพื้นที่ 3 อำเภอ ใน จ.นราธิวาสเป็นพื้นที่”ปลอดภัย” จากการใช้”กฎหมาย” เพื่อให้” แกนนำ”ของ”บีอาร์เอ็น” สามารถ เดินทาง”เข้า-ออก” ระหว่าง ชายแดนไทย-มาเลเซีย ได้โดยไม่ถูก”จับกุม” และต้อง”ปลอดภัย” เพื่อที่ “แกนนำ” บีอาร์เอ็น” จะได้เข้ามาทำ”กิจการทางการเมือง” 8 กิจกรรม “ ตาม แผนของบีอาร์เอ็น เพื่อการสร้าง”ความเข้าใจ”และ”สันติภาพ” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  แค่เห็น “ข้อเสนอ”ของ”บีอาร์เอ็น ผู้”สันทัดกรณี”ในพื้นที่ถึงกับ”ส่ายหัว” ส่วน”คณะพูดคุยของรัฐไทย” น่าจะอยู่ในอาการ”ยิ้มไม่ได้ หัวเราะไม่ออก”

จะสำเร็จ หรือไม่ไม่รู้ แต่เห็นข่าวว่า” รองนายกรัฐมนตรี” และ “เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” จะมีการ”รื้อโครงสร้าง” ของ”พลังงาน” โดยเฉพาะเรื่อง”พูล แก๊ส “ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับ” ประชาชน” ไม่ใช่เป็นการ”เอื้อ” กลุ่มนายทุนปิโตรเคมี รวมทั้งเรื่องของ”ไฟฟ้า” ที่เกี่ยวข้องกับ “โซล่า รู้ฟ”   คือเรื่องที่”ถูกต้อง” และ”ต้องทำ” ที่ผ่านมา เรื่องการ”รื้อโครงสร้าง”ของ”พลังงาน” เป็น”ยาขม” ที่ทุก”รัฐบาล” ไม่กล้าทำ แม้แต่ รัฐบาล “คสช.” ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต “นายกรัฐมนตรี” ก็ไม่กล้าที่จะ”ลงดาบ” กับ”กลุ่มทุนพลังงาน” ถ้า” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค “ ทำสำเร็จ จะเป็น”คุณูประการ” กับประเทศนี้เป็นอย่างยิ่ง

บรรทัดนี้ ขอแสดงความยินดีกับ “ชวกิจจ์ สุวรรณคีรี” นายอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ เจริญก้าวหน้า ในการรับราชการ ได้ตำแหน่งใหม่เป็น”ปลัดจังหวัดนครศรีธรรมราช” ส่วน “สุรินทร์ สุริยะวงค์ “ นายอำเภอสะเดา จ.สงขลา ก็ “ขยับ” ขึ้นเป็น”ปลัดจังหวัดสงขลา”  ต่างกันเพียง คนแรกรอเป็น “ผู้ว่าราชการจังหวัด” คนที่สองรอที่จะ”เกษียณอายุราชการ”และอีกคนที่ขยับจาก” ปลัดจังหวัด” ขึ้นมาเป็น”รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ”คือ”เศวตร เพชรนุ้ย” คนนี้เป็น”มือดีของกรมการปกครอง” ที่จะเป็น”มือเป็นไม้” ของ”สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้ ส่วน”ชัยวุฒิ บัวทอง” นายอำเภอเมืองสงขลา ไปเป็น”ปลัดจังหวัดสตูล”  และ”โอราฬ บิลสัน “ นายอำเภอเมืองปัตตานี ไปเป็น”ปลัดจังหวัดยะลา” ในขณะที่ “สุเทพ แก้วประดิษฐ์” นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ขึ้นเป็น”ปลัดจังหวัดตรัง” ส่วน”วิทยศักดิ์ จำเริญนุสิทธิ์” นายอำเภอเมืองยะลา เป็น”ปลัดจังหวัดปัตตานี” สำหรับ”ธราวุธ ช่วยเกิด” ปลัดจังหวัดยะลา ต้องเดินทางไปรับตำแหน่งเดิม เป็น”ปลัดจังหวัดพัทลุง” ขอแสดงความยินดีกับทุกคนใน”ฐานะ” ของคน”รู้จักมักคุ้น”……คิวต่อไปเป็นการ”ย้ายระดับนายอำเภอ ซึ่งต้องจับตามอง ว่า ใครที่จะมาเป็น นายอำเภอเมืองใหญ่ๆ ระดับ 9 อย่าง อำเภอสะเดา,อำเภอหาดใหญ่ และ อ.เมืองสงขลา ซึ่งเป็นที่”หมายมั่นปั้นมือ”ของ”นักปกครอง ซึ่งมีข่าวว่า มีการ”วิ่งเต้น” กันพอสมควร และต้องดูว่า”พรรคการเมือง”อย่าง”ภูมิใจไทย” ที่”อนุทิน ชาญวีรกุล” หัวหน้าพรรค ที่เป็นทั้ง”รองนายก”และ”เสนาบดี”กระทรวงมหาดไทย จะส่งใครมาเป็น”ฐานเสียง” ทางการเมือง โดยเฉพาะ”หาดใหญ่” ที่เป็น”เป้าหมาย” ในการ”ปักธง” ให้มี”ผู้แทน” ใน จ.สงขลา ในการเลือกตั้ง สมัยหน้า”

โยกย้าย “ตำรวจ” ระดับ”ผกก.ที่ผ่านมาของ บชภ. 9 , ครั้งนี้ คน อ.สะเดา จ.สงขลา โชคดี ที่นาย”นายตำรวจหนุ่มฟ้อ” มีความรู้ความสามารถอย่าง” พ.ต.อ.สุรจิต เพชรจอม” เป็น ผกก.สภ.สะเดา จ.สงขลา หลายปัญหาของ”ด่านนอก” ที่”หมักหมม” มานาน ตั้งแต่”มาเฟีย” ที่เรียกเก็บ”ค่าคุ้มครอง” ทั้งที่เป็น”ผู้นำท้องที่” เรื่องของ”ตู้เกมส์” ที่นำเข้ามา”มอมเมา”นักพนัน คงจะได้รับการแก้ไข และ ทราบว่า จะมีการทำโครงการ”ชุมชุมสีขาว” เพื่อให้เป็น”ชุมชนปลอดยาเสพติด” เรื่องหลังนี้ เชียร์ นะ

ในการ”อภิปราบงบประมาณ”ของพรรคฝ่ายค้านครั้งนี้ “รัฐบาลนิดนึ่ง” ยกเอา”โครงการแลนด์บริสจ์”  หรือ”สะพานบก” ที่เป็นการ”เชื่อมสองมหาสมุทร” ระหว่าง จ.ระนอง กับ ชุมพร มาเป็น”มาเป็น”จุดขาย” เพื่อให้เห็นว่าเป็น” อภิมหาโครงการ” ที่จะ “เปลี่ยนประเทศไทย” เรื่องของ”แลนด์บริสจ์” ยังไม่มีอะไรที่”แน่นอน” และ”แน่ชัด” ว่า ทำแล้ว จะได้ประโยชน์ในการ”ย่นระยะทางเดินเรือสินค้าได้จริง” ทำไม “รัฐบาลนิดหนึ่ง” จึงรอผลการศึกษาให้”ถ่องแท้ชัดเจน” แล้วค่อยทำการ”โฆษณา” เพราะหากมีการ”ประโคมโหมโห่” ไป”ทั่วโลก” แต่แล้วทำไม่ได้จริง  ใครเสียหาย ก็”ประเทศไทย” นั่นแหละ วันนี้หลายเรื่องของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” กำลังกลายเป็นเรื่อง”คิดไป ทำไป”ไม่ใช่เรื่อง”คิดใหญ่ ทำเป็น” อย่างที่เป็น”สโกแกน” ของพรรคนะ

ข่าวว่า โครงการ” เมืองต้นแบบที่ 4 “ หรือ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” อ.จะนะ จ.สงขลา ที่ “รัฐบาล” ของ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี มอบให้”สภาพัฒนฯ” เป็นผู้ทำการ”ขับเคลื่อน” แทน”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) และ” สภาพัฒน์” ได้”ว่าจ้าง” ให้”มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์” ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องของ”สิ่งแวดล้อม” ทั้งที่ไม่มีกฎหมายรองรับ มีทีท่าที่จะ” บิดเบี้ยว” และ คณะผู้รับผิดชอบในการ”จัดทำ” มีความ”โน้มเอียง” โดยไม่เห็นด้วยกับการเกิดขึ้นของ” เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมในอนาคต”แห่งนี้ เรื่องนี้ต้องให้”สภาพัฒน์ฯ ทำการ”ทบทวน” ว่าการ”ว่าจ้าง” ให้”หน่วยงาน” ที่มีความ”โน้มเอียง”เป็นที่ตั้งทำในเรื่อง”รับฟังความคิดเห็น” ถูกต้องหรือไม่ เพราะ “หน่วยงาน” ที่รับทำงานเช่นนี้ต้อง”เป็นกลาง” โดย “ปราศจากอคติ”  แม้ว่าตนเองจะไม่เห็นชอบ และยืนอยู่ฝ่ายของ”เอ็นจีโอ” ก็ไม่พึงกระทำ และที่ต้องตั้งข้อสงสัยคือ “โครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” แห่งนี้ นักลงทุน ทั้งใน พื้นที่ และ นอกพื้นที่ต่างต้องการที่จะให้เกิดขึ้น เพื่อเป็น”เกตเวย์” ที่ 3 ของประเทศเพื่อการ”ส่งออก” ทำไม พรรคเพื่อนไทย และ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ผู้ที่มาจาก”นักลงทุน” จึง”มองไม่เห็น” และไม่ทำการ”ผลักดัน” ทั้งที่เป็นโครงการของ”รัฐบาลชุดเก่า” ที่”เห็นชอบ” และมี” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ” อดีต รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ลงนาม”อนุมัติ” โครงการในฐานะ”ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( กพต. ) เห็นที่ว่า”นักลงทุน” ใน จ.สงขลา ต้อง”ไถ่ถาม”ไปที่”บิ๊กป้อม” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า ณ วันนี้ ท่านลืมโครงการนี้ที่ท่านให้”สัมภาษณ์”ว่า จะเป็นการพัฒนาที่แก้ปัญหา” เศรษฐกิจ” แก้ปัญหา”ความยากจน” และแก้ปัญหา”คนว่างงาน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ วันนี้ ท่าน ไม่รู้ ไม่รู้ แล้วจริงๆ

เรื่องนี้น่าสนใจ หลังจากที่”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา มีความคิดที่จะแก้ปัญหา”โพงพาง” ที่ “รุกล้ำ” ร่องน้ำ การเดินเรือ ใน”ทะเลสาบสงขลา” ก็มีเหตุการณ์”วางเพลิง” หรือ”ไฟฟ้าช๊อร์ต” ที่”ฐานตอม่อ” ของ”สะพานติณสูลานนท์” ขึ้น ซึ่ง “แขวงการทาง”สิงหนคร จ.สงขลา ได้มีการแจ้งความเพื่อให้มีการ”ตรวจสอบ” หาข้อเท็จจริงกับ” พ.ต.อ.บรรเทิง” เหล่าสุวรรณ” ผกก.สภ. สงขลา ไว้แล้ว  เรื่องของ”โพงพาง” ที่มีการสร้าง”รุกล้ำร่องน้ำในการเดินเรือ” เมื่อเรือ เฉี่ยวชน ได้รับความเสียหาย ต้องมีการจ่ายเงินให้เจ้าของ”โพงพาง” แม้แต่เรือของ”ทหารเรือ” และ”แพขนานยนต์” ของ อบจ.สงขลา ที่ไป”เฉี่ยวชน” ก็ไม่เว้นที่ต้อง”จ่ายค่าเสียหาย” ส่วนเรือพาณิชย์ ไม่ต้องพูดถึง”จ่าย”กันเป็น”รายเดือน” ดังนั้น”โพงพาง” ในทะเลสาบสงขลาถูกจึงเรียกว่าเป็น”โพงพาง” ดักเรือ ไม่ใช่ดักปลาหรือสัตว์น้ำ ประเด็นที่ต้อง”สอบถาม” คือทำไม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงไม่สามารถใช้”กฎหมาย” ในการดำเนินการกับผู้ที่ทำผิด โดยปล่อยให้ปัญหา”เรื้อรัง” มานานถึง 10 ปี ประเด็นที่ 1 โพงพาง” ไซนั่ง.ไอ้โง่” เป็นเครื่องมือทำการประมงที่”ผิดกฎหมาย” เรื่องนี้อยู่ใน”อำนาจหน้าที่” ของ “ประมงจังหวัด” ใช่หรือไม่ 2 เรื่อง”โพงพาง” ที่มีการ สร้าง”รุกล้ำร่องน้ำเดินเรือ” เป็น”อำนาจหน้าที่”ของ”เจ้าท่าภูมิภาคที่ ภ. 4 สงขลา” ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ทำไม่จึงไม่มีการทำหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย”  ทะเลสาบสงขลา”  เป็นที่ตั้งของ”กองเรือภาคที่ 2” และ” ฐานทัพเรือสงขลา”  รวมทั้ง” กองกำกับตำรวจน้ำ”  ทำไม่ทุกหน่วยงานจึง”ไม่หือไม่อือ” ปล่อยให้คนเพียง”หยิบมือเดียว” ใช้”อิทธิพลเถื่อน” อยู่เหนือ”กฎหมาย” อย่างที่เป็นอยู่ หรือทุกหน่วยงานอยู่แค่”หายใจไปวันๆ” เท่านั้น

นี่ก็เป็นเรื่อง”เสียหาย” ของ “คนสงขลา” เมื่อ”อัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร้องเรียนกับ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. ให้”รื้อคดี”เว็ปการพนันออนไลน์”imiwim” ที่ถูกตำรวจ pct” มีผู้ที่พัวพันและผู้ถูกกล่าวหา ทั้งที่เป็น”นักการเมือง” เป็น”ตำรวจ”จำนวนมาก “ตำรวจ” มีการ”ส่งฟ้อง”ผู้ต้องหาที่เป็น”นักการเมือง” และ”หัวเบี้ย” ผู้”เก็บส่วย” แต่”พนักงานอัยการสั่ง”ไม่ฟ้อง” และ” ผบช.ภ.9 ไม่มีความ”เห็นแย้ง” จึงมีการ”ร้องเรียน” ให้” ผบ.ตร. รื้อคดีนี้ใหม่ เพราะเห็นถึงความ”ผิดปกติ” เรื่องนี้เป็น”เผือกร้อน” ในมือของ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” เพราะ “นักการเมือง” ที่เกี่ยวข้องเป็น” สส.” ของพรรคการเมืองอย่างน้อย 2 พรรค ทั้งที่เป็นพรรค”ร่วมรัฐบาล” และ”พรรคฝ่ายค้าน” และ”ตำรวจ” ที่เป็น”ลูกน้อง” ของ”ผบ.ตร. เอง ที่สำคัญ คดีนี้ “เกี่ยวพัน” กับ”ตำรวจ” และ”พนักงานอัยการ” ชุดเดียวกับที่”เกี่ยวพัน” กับคดีของ”แป้ง นาโหนด” หรือ”เชาวลิต ทองด้วง” นักโทษที่แหก”โรงพยาบาล” ซึ่ง กำลังหลบหนีการ”ไล่ล่า” จาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องนี้เป็น”หนังยาว” และ”หนังชีวิต” เพราะมี”ชีวิต” ทั้งของ”นักการเมือง”และของ”นายตำรวจ” เป็น”เดิมพัน”

เรื่องของ”นักการเมืองสีเทา” ใน จังหวัดสงขลา และ”ภาคใต้” ที่เกี่ยวพันกับเรื่อง”บ่อนออนไลน์,น้ำมันเถื่อน,หวยใต้ดิน” และ”อื่นๆ ที่ต่าง”ฟอกขาวตนเอง” และ”ฟอกเงินใต้ดิน” ด้วยการ”พาเหรด”สู่ถนน”การเมือง” เป็นไปอย่าง”คึกคัก” พ่อเป็น สส.ลูกเป็น สจ. น้องเป็น นายก อบต. เมียเป็นรองนายก อบจ. เป็นการยึดเวทีการเมือง ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ทั้งหมดจะไปโทษใครไม่ได้นอกจาก”ประชาชน” คนที่เป็นผู้”หย่อนบัตรเลือกตั้ง” ที่ไปเลือกเข้ามา จะด้วย”ปัจจัย”อะไรก็แล้วแต่ แต่ผลสุดท้ายคือความ”เสียหาย”ที่เกิดขึ้น…..แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…คุ้มไม่คุ้ม? ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ กู้เงินแจกสร้างหนี้คนทั้งชาติ!

ขึ้น”ศักราชใหม่”ของปีพุทธศักราช 2567  ที่มีเงินสะพัดทั้งประเทศ จากการ”เฉลิมฉลอง” วันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่  ยกเว้น”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ประสบกับปัญหา”น้ำท่วม”ครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี” ปีใหม่ปีนี้ ทุกจังหวัดเต็มไปด้วย”นักท่องเที่ยว”ทั้ง”ไทย-เทศ” ที่มีการ”เฉลิมฉลอง” กันอย่าง”ครึกครื้น” โดยเฉพาะ แต่ละจังหวัดที่มากด้วย”สีสัน”ของการจัดงาน “เคาท์ดาวน์” ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเชื่อว่าใน”จังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว อย่าง เกาะภูเก็ต,เกาะสมุย,กระบี่,พังงา ตรัง” และ” สตูล” ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว”ฝั่งอันดามัน” เจ้าของธุรกิจ “พ่อค้า แม่ขาย”  ตั้งแต่”เจ้าสัว” เจ้าของ”โรงแรม”จนถึงคนค้าขาย”แบกะดิน”ต่าง”รับทรัพย์”กันถ้วนหน้า  ส่วนที่”สงขลา” ก็ “ครึกครื้น” ไม่แพ้ที่อื่นๆ ปีนี้ ชาวมาเลเซีย และ สิงคโปร์ เดินทางเข้ามา ท่องเที่ยว ที่ อ.หาดใหญ่ ตั้งแต่วัน”คริสต์มาส” และอยู่ยาวจนงาน”เคาท์ดาวน์” ที่มีการจัดขึ้นทั้งใน “หาดใหญ่” และ” หาดสมิหลา” สงขลา…..นี่ กระมัง ที่หลายภาคส่วนต่าง”เถียงคอเป็นเอ็น” ว่า”พื้นฐานของ”เศรษฐกิจไทย” ยังดีอยู่ ยัง”เข้มแข็ง” ไม่ได้ถึงจุดที่”ต่ำสุด” จนต้องใช้การ”กระตุ้น” ครั้ง”มโหราฬ” ด้วยการ “กู้เงิน” 500,000 ล้าน เพื่อมา”แจกประชาชน” ตาม นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต” ที่เป็น นโยบาย ในการ”หาเสียง”ของ”พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเรื่อง”กู้มาแจก” วันนี้ยังเป็นปัญหาของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เพราะยัง”ลูกผีลูกคน” เพราะ”กฤษฎีกา” ยังไม่ให้ความเห็น และอีกหลายองค์ ก็ยัง “คัดค้าน”อย่าง”แข็งขัน”  นอกจากนั้น ประชาชน ส่วนหนึ่งก็”ไม่เห็นด้วย” หลังจากที่รู้ว่า”การแจกเงิน”ครั้งนี้มี”ต้นทุน” ที่เป็น”รายจ่าย” ที่ประชาชนทุกคนต้อง”แบกรับ” เพราะเป็นการ”กู้เงิน” หรือ”เขียนให้เข้าใจง่ายคือ” เอาเงินประชาชน” มาแจกให้กับ”ประชาชน” โดย”ประชาชน” เป็น”ลูกหนี้สถานบันการเงิน” และ”ต้องจ่าย” ทั้ง”ดอก” ทั้ง”ต้น”โดย”ประชาชน” รัฐบาล และ พรรคการเมือง เป็นเพียงผู้”ดำเนินการทางธุรการในการกู้เงินและ”แจกเงิน” ให้ประชาชน เท่านั้น และในการดำเนินการ”ทางธุรการ” รัฐบาล ยังต้อง”กู้เงิน” อีก “100,000 ล้าน ในการเป็นค่า”บริหารจัดการ” อีกต่างหาก

เรื่อง”แจกเงิน” ประชาชนคนละ” 10,000 บาท “ทั้ง”เพื่อไทย” และ”พรรคร่วม” รวมทั้ง”พรรคฝ่ายค้าน” ถ้ามองเห็นถึง”ปัญหา”และ”หายนะ” ใน “อนาคต”  ที่จะเกิดขึ้น หากเงิน”500,000 ล้านบาท ไม่สามารถ”กระตุกกระตุ้น” ระบบ”เศรษฐกิจ”ได้จริง ช่วยกันคิด ช่วยกันห้าม ช่วยกับ”เบรก” โครงการนี้ไว้ และใช้นโยบาย อื่นๆ ในการ”กระตุ้น”เศรษฐกิจ” ซึ่งยังมีอีกหลาย”ช่องทาง” ไม่ใช่การ”กระตุ้น” เศรษฐกิจ” จะมีเพียงเรื่อง”แจกเงิน” ให้”ประชาชน” คนละ”10,000 บาท “ เพียงอย่างเดียว ก็จะเป็น”คุณูประการ” กับประเทศชาติอย่าง”อเนกอนันต์”…..เรื่อง นโยบาย”แจกเงินดิจิตัล” ถ้าเกิดความ”ผิดพลาด”แจกแล้ว จ่ายแล้ว ไม่”เป็นคุณ” กับการทำให้”เศรษฐกิจ” ดีขึ้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่”ผิดพลาด” จะเป็น”พรรคเพื่อไทย” เพื่อพรรคเดียว แต่ต้อง”หมายรวม” ถึง”พรรคร่วมรัฐบาล” ทุกพรรค และรวมทั้ง”พรรคฝ่ายค้าน” อย่าง”ก้าวไกล” และ”ประชาธิปัตย์”ด้วยนะ ก็ต้องติดตามการ”อภิปรายงบประมาณปี 2567” ที่กำลังจะมีขึ้น ว่า”พรรคฝ่ายค้าน” ทั้ง”ก้าวไกล,และ”ประชาธิปัตย์” จะมีความ”เห็นต่าง” อย่างไรกับการ”จัดงบ” ของ”รัฐบาล” ที่เป็นการ”จัดงบประมาณ” แบบ ประเทศชาติอยู่ในภาวะ”ปกติ” เพราะหาก”ประเทศชาติ” อยู่ในภาวะที่ไม่”ปกติ” มีปัญหาทาง”เศรษฐกิจ” ที่”ย่ำแย่” อย่างที่”นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน” มีการออกมา”ตอกย้ำ” ทุกวี่ทุกวัน เพื่อการ”ผลักดัน” โครงการ”แจกเงิน” ให้กับ”ประชาชน” การ”จัดงบ” ทำไม่จึงเป็นอย่างที่เห็น. นี้คือ”ข้อสังเกต” อีกอย่างที่ต้องนำมา”พิจารณา” และ”แจกแจง” ให้ประชาชนได้รับรู้

และต้องติดตามเป็น”พิเศษ” คือ”พรรคประชาธิปัตย์” ในการ”อภิปรายงบประมาณ” ว่าเป็นการ”ซูเอี๋ย” เพื่อรอที่จะ”เสียบ”หรือ”ร่วมรัฐบาล” ในการ”ปรับ ครม. ในอนาคต  หรือไม่  เพราะ ณ วันนี้ ถึงแม้ทั้ง “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรค”เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย) เลขาธิการพรรคฯ และ คนอื่นๆ จะออกมา”นั่งยัน นอนยัน”ว่าจะเป็น”ฝ่ายค้าน” ที่”อภิปราย”อย่าง”สร้างสรรค์” และไม่ขอร่วม”รัฐบาล” คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อ แต่ถ้าการ”อภิปราย”งบประมาณครั้งนี้การแสดงให้เห็นถึง”จุดยืน”ของการเป็น”ฝ่ายค้าน” ประชาชนคงต้องมีการ”พิจารณา” อีกครั้ง ว่า”ประชาธิปัตย์” ไม่ใช่พรรคที่พร้อมเป็น”พรรคอะไหล่”ให้กับ”เพื่อไทย…..สิ่งที่ต้องติดตามต่อคือ” ก้าวย่าง”ของ”รัฐบาล”ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น” ผู้นำ” ว่าในปี 2567  หรือย่างเข้าเดือน 4 ของ” รัฐบาลนิดหนึ่ง” จะมีอะไรที่”ดีขึ้น” ทั้งในเรื่อง”เศรษฐกิจ” ในเรื่อง”ปากท้อง” ในเรื่องของปัญหาหลักๆของประเทศ เช่นเรื่องการ”ปราบปรามยาเสพติด” ที่เป็น”ภัยสังคม” เรื่องของการ”คอร์รัปชั่น” ที่ยังเป็น”มะเร็งร้าย”ของประเทศ จะมี”ผลงาน” อะไรที่”เป็นชิ้นเป็นอัน” เพราะที่ผ่านมา เห็นเพียงการ”สั่งการ” และการ”ประชุม” หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องของ”นามธรรม” ส่วนเรื่องของ”รูปธรรม” ที่”จับต้องได้” และ”เกิดขึ้นจริง” ยังไม่เห็น” ก็อย่าให้” สังคมปรามาส” ว่า “รัฐบาล 4 เดือน” ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของ”รถเก่า” ทั้งแต่ยุคของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น”เจ้าของ” เพียงแต่เปลี่ยน”คนขับ” ที่เป็น”มือใหม่” อย่าง”เศรษฐา ทวีสิน” มาทำการ“ขับแทน“เท่านั้น  และถ้าเป็นจริงคือ”รถเก่าคนขับมือใหม่” นั่นคือ” อันตราย”สำหรับ”ผู้โดยสาร” แน่นอน

เรื่องของการ”ดราม่า” ข้ามปี  สำหรับประชนไทยคือเรื่อง”น้ำมันไม่เต็มลิตร” ของ”แบร์นด์ใหญ่” ในวงการ”น้ำมันเชื้อเพลิง” ที่ แม้ว่า “กรมการค้าภายใน” จะออกมา”ชี้แจง”กับประชาชนทั้งประเทศว่า”ไม่ผิดกฎหมาย” แต่”ประชาชน”ผู้”บริโภค” ไม่เข้าใจ” เพราะคำว่าเติมน้ำมันแต่ได้น้ำมัน”ไม่เต็มลิตร” ในความรู้สึกของ”ประชาชน”ถือว่า ”ถูกเอาเปรียบ” ที่เหมือนกับ”ถูกโกง” เอ้า แล้วทีไป”ซื้อของ” แล้วถูกแม่ค้า”โกงตาชั่ง” ได้สินค้าเพียง 9 ขีด ขาดไปอีก 1 ขีด ทำไม”กฎหมาย” จึง”เอาผิด” และบอกว่า”โกง” ตรงนี้”อธิบดีกรมการค้าภายใน” ต้อง”อธิบาย” และที่ต้องถามให้ชัดคือหน่วยงาน”ชั่ง ตวง วัด” ที่เป็น”ผู้ตรวจ” และออก”ใบรับรอง” ให้มีการนำไป”แสดง” ในสถานบริการน้ำมัน มี”มาตรฐาน” ในการ”ตรวจสอบ”แค่ไหน ทำไมจึงไม่สามารถทำให้”น้ำมันเต็มลิตร”ได้ ชาวบ้านเขา”ข้องใจ” ว่า” เจ้าของปั้ม กับ” เจ้าหน้าที่” รวมมือกันหรือไม่ ส่วน”เจ้าของ”เครื่องหมายการค้า” แม้ว่าจะไม่ผิด เพราะการ”บริหารจัดการ”สถานีจ่ายน้ำมันเป็นเรื่องของ”เอกชน” เจ้าของปั๊ม แต่ในฐานะ”เจ้าของ”เครื่องหมายการค้า” ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบใน”ด้านของ”ภาพลักษณ์” ในฐานะองค์กรที่มี”ธรรมาภิบาล” ไม่ใช่เงียบเหมือน”เป่าสาก”เรื่องนี้เป็นเรื่องที่”ขำ”และ”ขื่น” สำหรับผู้”บริโภค” นะ

ไม่เห็นเอกสารการ ”ถอดบทเรียน” น้ำท่วมครั้งใหญ่ ในพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” ที่ ลงความเห็นว่า เป็นเรื่อง”ภัยธรรมชาติ” ที่ 1, ฝนตกหนัก 2.การทำเกษตรเชิงเดี่ยว 3 .สภาพภูมิศาสตร์ ( ภูเขา-สายน้ำ ) คือ ปัญหา ที่ทำให้  เกิดความ เสียหาย ในวงกว้าง  แต่เรื่องการที่ เจ้าหน้าที่รัฐ ปล่อยให้มีการ”ตัดไม้ทำลายป่า” ซึ่งเป็น”ปัจจัย” ที่สำคัญที่สุด กลับไม่มีอยู่ในการ”ถอดบทเรียน” นี่หมายถึงอะไร ถ้าไม่ใช่ไม่กล้าที่จะ”พูดความจริง”  หรือ ต้องการที่”ซุกขยะไว้ใต้พรม” นี่คือ”วิกฤติ” ของการแก้ปัญหาทุกปัญหาของ”ประเทศไทย” ที่ทำให้การแก้ไขปัญหาแก้ไม่ได้ เพราะเป็นการ”ตั้งโจทย์” ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง”…..แล้ว อายหรือเปล่า ที่ปล่อยให้”โฆษก” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ออกมา”สื่อสาร” กับคน”ปัตตานี” และชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของ”น้ำท่วมใหญ่” ที่”เจ้าหน้าที่รัฐ” ปล่อยให้มีการ”ตัดไม้ทำลายป่า” นั่นคือความ”ล้มเหลว” ของ”ราชการ” ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่”ไร้ความสามารถ” แต่เป็นเพราะต่างมี”ผลประโยชน์”กับขบวนการ”นายทุน” ที่ใช้”มอดไม้” ในพื้นที่ “โค่นไม้” และ”ขายที่ดิน” เพื่อใช้ในการทำการเกษตร” เสนาบดี” กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม อย่าง” พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ” จะไม่ “สละเวลา” ลงมาดู”ท่อนไม้” ที่ ยัง”หลงเหลือ”และ”ระเกะระกะ” ในพื้นที่ สักหน่อยหรือ เพื่อจะได้มี”แนวทาง” ในการแก้ไข อย่าหาทางออกด้วยการโทษว่าเป็น”ฝนตกหนักในรอบ 50 ปี” เพียงอย่างเดียว เพราะ”ฝั่งของมาเลเซีย” ฝนตกหนักเหมือนบ้านเรา แต่ทำไม่เขาจึงไม่”เสียหาย” เท่ากับพื้นที่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ในการ”รับมือ”กับ”อุทกภัย” ในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ “ทหาร” จาก “กองทัพภาคที่ 4” จาก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เป็นหน่วยงาน”โดดเด่น” ในการ”ช่วยเหลือ”ประชาชนผู้ประสพภัย ที่สามารถ”อพยพ” ประชาชน ใน”จุดเสี่ยง” ทำให้ลดความ”สูญเสีย” ซึ่งหากไม่มีกำลังของ”ทหาร” ในพื้นที่ ผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ อาจจะ”มากกว่า “ 20 ชีวิต ก็เป็นได้  ถ้าการ” เสี่ยงภัย,เสี่ยงชีวิต” ให้เห็นอย่างนี้แล้ว “ทหาร” ยังสร้าง”มวลชน” ในพื้นที่ไม่ได้ ก็ต้องโทษว่าเป็น”เวรเป็นกรรม”ของจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วหละ   ส่วนผู้นำ”กองทัพภาคที่ 4 “ อย่าง” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ แม้จะ”ลอยคอ” กลางกระแสน้ำไม่เก่งเหมือน” พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์” อดีต “แม่ทัพภาคที่ 4” แต่ การลงพื้นที่”แจกถุงยังชีพ” อย่างไม่”เหน็ดเหนื่อย” ด้วยอาการ”ยิ้มแย้มแจ่มใส” ก็น่าจะ”ได้ใจ” คนในพื้นที่ไปไม่น้อย…..ส่วนที่ไม่สมควรทำ คือการที่”หน่วยทหาร” บางหน่วยในพื้นที่  เข้าทำการ”ตรวจสอบ”ประวัติ” ของกลุ่ม”เยาวชน” ที่ทำการ”ช่วยเหลือ” ชาวบ้านผู้”ประสบภัย” ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็น”กลุ่มเปอร์มูดอ” หรือ”กองกำลัง”เยาวชน” ของขบวนการ”บีอาร์เอ็น” ที่มี”หน้าที่” ในการ”ช่วยชาวบ้าน” ที่ประสบภัย เป็นการ”แย่งชิงมวลชน”  ถือเป็นการ”ไม่ฉลาด” เพราะทำให้”เสียมวลชน” โดยใช่เหตุ  เรื่องนี้”เสียทั้งการเมือง” และ”การทหาร” ไปหมด” ทั้งโซ่ทั้งลิง” ว่างั้น

เขียนถึง อดีต”แม่ทัพภาคที่ 4 “ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ซึ่ง เกษียณอายุราชการแล้ว”ไม่ว่าเหว่” และยังมี”โอกาส” ใช้ความรู้ ความสามารถในการช่วยเหลือ”ราชการ” และ”บ้านเมือง” เพราะได้รับการแต่งตั้ง จาก” เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย” และ”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีรกุล” ให้เป็น”ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย” ใน”ฐานะ” คนกันเอง ก็ขอแสดงความยินดี ด้วยครับ…..วันนี้ สถานการณ์ ของ 3 จังหวัด หลัง”น้ำลด” บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก บางพื้นที่บ้านเรือนหายไปกับกระแสน้ำ และจำนวนมากต้องมีการ”ซ่อมแซม” โดยเฉพาะ”รถราม้าช้าง” ที่จมอยู่ใต้” บาดาล” ต้อง”ซ่อมแซม” พืชผลทางการเกษตร เสียหายอย่าง”ยับเยิน” หลายร้อยครอบครัวเหลือเพียง”เสื้อผ้า” ติดตัวเพียง”ชุดเดียว” นี่คือเรื่องที่ต้องมีการ”ช่วยเหลือ” จากภาครัฐโดยเร็ว เพื่อให้ทุก”ครัวเรือน” สามารถที่จะ”ยืนหยัด” เพื่อทำมาหากินต่อไปได้ ….โดยเฉพาะ”ถนนหนทาง,สะพาน” และสิ่ง”สาธารณูประโยชน์” ต่างๆ ที่”เสียหาย” จาก”การถูกน้ำ”ถล่ม” และ”กัดเซาะ” ในครั้งนี้  ซึ่ง”ส่วนใหญ่” เป็นของ”ทางหลวงชนบท” และ”ท้องถิ่น” ต้องมีการ”ซ่อมแซม” โดยเร็ว แต่อย่าได้ใช้ความ”โดยเร็ว” ด้วยการ”ฉ้อราษฎร์บังหลวง” โดยหวัง”เงินทอน” ด้วยการอาศัย”ระเบียบการจ้างงาน”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่มีการใช้”วิธีการจ้างงานแบบพิเศษ” หน่วยงานไหนที่”คิดไม่ดี” โดยหวังแต่”เงินทอน” เป็นหลัก

ก็ให้ดูตัวอย่างการ”ทุจริต”ในโครงการ”เสาไฟฟ้าโซล่าเซลล์”1,400 กว่าล้านบาท ของ”ศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 ปี ที่ผ่านมา ซึ่ง วันนี้ “ศาลทุจริตฯภาค 9 “ มีการ”พิพากษา” สั่ง”จำคุก” เจ้าหน้าที่ และ บริษัทผู้รับเหมา ไปแล้ว นี่คือ”ตัวอย่าง”ของ”ข้าราชการ” ที่ชอบ”เงินทอน” จำเอาไว้เป็น”ตัวอย่าง”  เรื่องความ เดือดร้อน ของ”ประชาชน” และเรื่องการ”เยียวยา” การ”ซ่อมแซม” สิ่งสาธารณูประโภค สาธารณูประการ เป็น”หน้าที่”ของ “ผู้ราชการการจังหวัด ที่”พาตีเมาะ สะดียามู ผวจ.ปัตตานี,อำพล พงษ์สุวรรณ ผวจ.ยะลา, ว่าที่ ร.ต.ตระกูล โทธรรม” ผวจ.นราธิวาส ต้อง “เร่งรัด” ทุกหน่วยงานให้มีความ”รวดเร็ว” ให้สมกับคำขวัญของ”มหาดไทย” ในการ”บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”ให้ประชาชน และ…..รวมทั้งเรื่องของ” เครื่องตรวจวัตถุระเบิด “อัลฟ่า” หรือ” ทีจี 200” ที่”ข้าราชการระดับ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” จนถึง”นายอำเภอ” และ”คลังจังหวัด” ใน จังหวัดยะลา ที่ถูก”ศาลทุจริตฯ” ตัดสิน”จำคุก” ตั้งแต่ 8 ปี ถึง 4 ปี ซึ่งแม้จะยังเปิดให้ทุกคนที่ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้ในการขอ”อุธรณ์”ได้ แต่”ประวัติ” ของการ”จบไม่สวย” ก็เป็น”บาดแผล”ไปตลอดชีวิต เรื่องนี้”คนกินเงินเดือนหลวง” ที่มาจาก”ภาษีประชาชน” ต้องพึงระวัง

เห็นความ “ตั้งใจ” ของ”สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ในการที่จะแก้ปัญหาสังคมในเรื่อง”ยาเสพติด” ด้วยการเอาผู้ที่”ติดยา”และ”มีอาการทาง”จิตประสาท” ออกจาก”ชุมชน” เพราะหากปล่อยไว้ นอกจากคนในครอบครัวที่เป็นคน”ใกล้ตัว” อาจจะ”เป็นเหยื่อ” ของความ”บ้าคลั่ง”และการ”หลอนยา” แล้ว คนใน”ชุมชน” ที่ไม่รู้”อิโหน่อิเหน่” ก็อาจจะได้นับ”อันตราย” ด้วย  นี้เป็น นโยบาย ที่ดีที่ต้อง”ชื่นชม”…..แต่ในขณะเดียวกัน”สงขลา” ก็มีเรื่องปัญหาใหญ่ๆ ที่รอผู้มา”สะสาง” ซึ่ง บุคคลที่จะ”สะสาง”ได้ หนีไม่พ้น” พ่อเมือง” ใน”ฐานะ” ของผู้ที่มี”บทบาท” ในการ”นั่งหัวโต๊ะ” และอาจต้องใช้การ”ตบโต๊ะ”ในบางครั้งคราว เพื่อให้”ปัญหา” มีการแก้ไขได้”ตรงปก” ….เช่นเรื่องของ”โพงพาง” ที่มี”เจตนา” ในการ”ดักเรือ” เพื่อการ”ตบทรัพย์” เจ้าของเรือ มากกว่าการ”ดักปลา” เรื่องนี้ต้องแก้ที่”ต้นตอ” คือต้อง”เอาผิด” กับหน่วยงานที่มี”หน้าที่”โดยตรง แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ ….อีกเรื่องที่เป็นเรื่อง”อัปยศ อดสู” ของ”คนสงขลา” คือเรื่อง”อควาเรี่ยมหอยสังข์” ที่ “กรมอาชีวะศึกษา” ทำการ”ขี้ทิ้งไว้จนเหม็นหึ่ง” และไม่มีการ”เช็ดล้าง ” ปล่อยให้”เน่าเหม็น” เป็นการ”ผลาญงบประมาณ” ถึง 14,000 ล้านบาท โดย”เปล่าประโยชน์” เพราะกลายเป็น” พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ” ที่ถูก”ปล่อยทิ้งร้าง”ถึง 15 ปี น่าจะไม่มีที่ประเทศไหนในโลก นอกจาก”ประเทศไทย” ที่มีเรื่องเช่นนี้   เรื่องนี้เป็นเรื่องที่”พ่อเมืองสงขลา” ต้องเป็น”หัวหอก” ในการ”บูรณาการ” กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จบ ถ้าไม่”ทำต่อ” โดยขอที่จะ”พอแค่นี้” ก็ต้อง”ปรับปรุง” และ”ปรับเปลี่ยน” ให้”หอยสังข์เน่า” เป็น”หอยสังข์ที่มีชีวิต” และ” ใช้ประโยชน์” ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่”พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ”ได้   นี่อาจจะเป็น”ทางออก” ในการ”เดินต่อ” ของ”หอยเน่า” ที่ เชิงสะพานติณสูลานนท์”

เรื่องของ”น้ำกระท่อม” ที่มีการต้มขายตามริมถนน”กฎหมาย” เขียนไว้ชัดเจนว่า “พืชกระท่อม” ที่เป็นใบ  ต้น ราก และส่วนประกอบอื่นๆ จำหน่าย ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่”น้ำกระท่อม” ที่ต้มขายกันริมถนนเป็นการค้าที่”ผิดกฎหมาย” เห็นในพื้นที่อื่นๆของประเทศไทย มีการ”จับกุม”กันแล้วหลายพื้นที่ แต่ในพื้นที่”ภาคใต้ตอนล่าง” ตั้งแต่” ตรัง”ไปถึง”นราธิวาส” มีการ”ตั้งซุ้ม” ขายกันอย่างเสรี โดยเฉพาะในพื้นที่ของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถนนสาย”คลองหวะ-สนามบิน” มีการขายกันอย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” โดยที่ไม่มีการจับกุม ทั้งที่เป็น”ความผิดซึ่งหน้า” แต่ในที่ใกล้ๆกัน กับมีการ”ตั้งด่าน” เพื่อทำการ”จับรถยนต์-จยย.” ที่ผิดกฎจราจร หรือการจับกุมผู้ทำผิดเกี่ยวกับ”น้ำกระท่อม” ไม่มีการแบ่งเงิน”ค่าปรับ” ไม่เหมือนกับ”พรบ.จราจร” ตำรวจ จึงไม่สนใจในการจับกุม  เรื่องนี้ฝากให้” พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์” สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  จัดการด้วย

เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” หรือ”เชาวลิต ทองด้วง” ผู้ต้องหาที่เป็น”นักโทษ” ที่หลบหนี”ข้ามปี” แต่ เจ้าหน้าที่ ยังตามจับกุมตัวมา”รับโทษ” ไม่ได้ ส่วนคดีใหม่ ที่ศาล จ.พัทลุง เพิ่งจะ”พิพากษา” ลงโทษ”จำคุกตลอดชีวิต” จากกรณีร่วมกับพวก พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ คือ”ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ “ฟันธง” ได้ว่า”แป้ง นาโหนด” ไม่มีทางที่จะ”มอบตัว” เพื่อสู้คดี ดังนั้นจึงต้องรอดู”ฝีมือ” ของ” พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ. 9 คนใหม่ ว่าจะ”จัดการ” นำตัว”แป้ง นาโหนด” มารับโทษด้วยวิธีใด เพราะตั้งแต่เกิดคดีขึ้น เห็นแต่”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. ที่ ออกมา”ให้ข่าว” การติดตาม”ไล่ล่า” เพื่อนำตัว”แป้ง นาโหนด” กลับมา”รับโทษ” แต่ ตำรวจภาค 9 โดยเฉพาะ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี “ ทำตัว”เงียบเชียบ” เหมือน”เป่าสาก” เมื่อเป็นอย่างนี้ ประชาชน จะเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ได้อย่างไร  โดยเฉพาะ “ทีม” หรือ”ขบวนการ” ที่ อยู่เบื้องหลังพา”แป้ง นาโหนด”หนีจากการ”ไล่ล่า” ของ”ตำรวจ” ไม่ได้มีแค่ 5 คน ตามที่”ตำรวจ”ทำการจับกุมตัวมาได้ แต่ แปลก ที่ ไม่มีการจับใครเพิ่ม หรือนี่เป็นการ”ปิดคดี” แบบ”ตัดตอน” เพื่อมิให้สาวไปถึงผู้ที่อยู่”เบื้องหลัง” ที่เป็น”นักการเมือง” และ”คนมีสี” กระมัง และในส่วนของการ”สอบสวน” กลุ่ม”นายตำรวจ” ที่เป็น”ลมใต้ปีก” ในการหนุนให้”แป้ง นาโหนด” ให้กลายเป็นผู้ที่มี”อิทธิพล” ประชาชนก็อยากทราบว่า วันนี้ผลการ”สอบสวน” มีความคืบหน้าไปถึงไหน

ร้องกันมาจาก ประชาชน ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ตรัง เกี่ยวกับเรื่องการ”ระบาด”ของ”ยาเสพติด” ทั้ง”ยาบ้า,ยาไอซ์,กัญชา” และ”น้ำกระท่อม” ที่ส่งผลให้มีการ”ลักเล็กขโมยน้อย” เกิดขึ้นมากมาย ก็ฝากให้ “พ.ต.อ. สานิตย์ พลเพชร” ผกก.สภ.เมืองตรัง”ใส่ใจ”กับปัญหาของ”ยาเสพติด” อย่าคิดว่าเป็นปัญหา”ประจำถิ่น” ของ”ประเทศไทย” เพราะวันนี้ “สังคมไทย” ถูกทำให้เข้าใจว่า “นโยบาย” ให้มีการ”ครอบครอง” ยาเสพติดได้ 5 เม็ด เป็น”ผู้เสพ” ที่ไม่มีความผิด เป็นการให้”ชุมชนยอมรับที่จะร่วมกับคนติดยา” และตำรวจก็ไม่”ใส่ใจ” กับปัญหาของ”ผู้เสพ” เหล่านี้ ความ”ทุกข์ร้อน” จึงตกอยู่กับ ประชาชน…..การท่องเที่ยวทางทะเลในฝั่ง”อันดามัน” และ”อ่าวไทย” ในบางจังหวัด มีเหตุ”เรือล่ม” เกิดขึ้นบ่อยมากทั้งก่อน”เทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” และก่อนหน้านั้น ล่าสุดเรือ”สปีดโบ๊ต” ที่ชนกับ”โขดหิน” ที่”เกาะไม้ท่อน” จ.ภูเก็ต” สาเหตุมาจากคนขับ”เสพยาเสพติด”  และอีกกรณีที่มีเทศกาลจะมี”นักท่องเที่ยว” เป็นจำนวนมาก เจ้าของ”กิจการท่องเที่ยว” ต่างเร่งมือในการ”กอบโกยผลกำไร” มีการนำเรือที่”ไม่พร้อม” คนขับที่”ไม่พร้อม” และการ”เร่งรอบ” รวมทั้งมีการใช้”สารเสพติด” จนกลายเป็นเรื่อง”โศกนาฏกรรม” ที่สร้างความ”สูญเสีย” ให้กับ”นักท่องเที่ยว” และความ”เสียหาย” ให้กับ”ประเทศชาติ” เรื่องการ”ควบคุมเรือ”และ”ผู้ที่ทำหน้าที่”นายท้ายเรือ” หน่วยงานไหนเป็นผู้รับผิดชอบ ต้อง”ติวเข้ม” ให้มากกว่านี้ แต่นี้ผ่านๆมา ไม่มีแม้กระทั่งเรื่องของ”วัวหายแล้วล้อมคอก” เรื่องใหญ่ๆอย่างนี้”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ต้อง”ใส่ใจ” และต้อง”เอาจริง” กับ ทั้งหน่วยงานที่”หย่อนยาน” และกับ”เอกชน” เจ้าของ”ธุรกิจท่องเที่ยว” ที่คิดแต่จะ”กอบโกย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่ตามมา

ป้าย”ไวนิล” ในการ”สวัสดีปีใหม่ 2567 ของ”นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต รมช.มหาดไทย ที่ติดใน 16 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยไม่มี”โลโก้” ของ”แม่ธรณีบีบมวยผม” และชื่อของ”ประชาธิปัตย์” กลายเป็นเรื่องที่สร้างความ”สงสัย”ให้กับ”คนในพื้นที่”และ”คนทั้งประเทศ” ซึ่งคำตอบจาก”เรียวปาก”ของ” อดีตรัฐมนตรีนิพนธ์” คือ ที่ไม่ใช้”เครื่องหมายการค้า”ของ”พรรคประชาธิปัตย์” ไม่ใช่เป็นเพราะ”เครื่องหมายการค้า” ใช้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะ” “ผมไม่มีตำแหน่งแห่งหน” ในพรรคประชาธิปัตย์แล้วต่างหาก จึงเห็นว่าไม่สมควรใช้”เครื่องหมายการค้า”ที่เป็นของพรรคฯ  ส่วนใน”อนาคต” จะ”อยู่หรือจะไป” จาก”พรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม”ยังไม่ตัดสินใจเพราะยังไม่”ตกผลึก” ทางความคิด ก็ เข้าใจตามนี้นะ ……แต่ที่ ตัดสินใจแล้วคือ ในการเลือกตั้ง”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา” ใน”สมัยหน้า” มีชื่อของ”นิพนธ์ บุญญามณี” ลงสมัครแน่นอน เพราะในการ”เปิดบ้าน” ในวัน”ปีใหม่” ที่ “สวนตูล” ต.เขารูปช้าง” อ.เมือง สงขลา มี”มวลชน” จำนวนมาก ให้การ”สนับสนุน” โดยเฉพาะ “โกถึก” สมยศ พลายด้วง  สส.เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ สงขลา ที่เตรียมส่ง”ศรีภรรยา”เข้าสู่ เวทีการเมืองท้องถิ่นในตำแหน่ง “รองนายก อบจ.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

รัฐนาวานิดหนึ่ง ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” ทำหน้าที่เป็น”นายท้าย” ผู้ถือ”หางเสือ” อาจจะทำงาน”รวดเร็ว” ในการ”ลงพื้นที่” และอาจจะ เก่งในเรื่อง”เศรษฐกิจ” แต่ในระยะสั้นๆ ยังมองไม่เห็น”ผลงาน” โดยเฉพาะการไป”โรดโชว์” ใน”ต่างประเทศ” ทั้งเรื่องการขายโครงการ”แลนด์บริดจ์” และการ”โน้มน้าว” ให้กลุ่มทุนใหญ่ๆ จาก”ต่างประเทศ” มาลงทุนในประเทศไทย แต่เรื่องที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี”สอบตก” แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย คือเรื่องของ”ความมั่นคง” เพราะผ่านไปแล้ว 4 เดือน ยังแต่งตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่”เลขาธิการสภาความมั่นคง” ( สมช.) ไม่ได้ สาเหตุเพราะ”ทหาร” ยังต้องการที่จะให้”ตัวแทน” ของ”กองทัพ “  เป็น”เลขาธิการ สมช.”ทำให้การแต่งตั้ง “เลขาธิการ สมช.” เดินหน้าไปไม่ได้ กลายเป็น”สูญญากาศ” ในองค์กร….และแต่งตั้ง “รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) ที่ว่างลง 2 ตำแหน่ง ก็ยัง”คาราคาซัง” โดยปล่อยให้” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต.” ขาด”มือขาดไม้” ในการ ทำหน้าที่ ซึ่งมีงานมากมายที่ต้องรับผิดชอบ และที่สำคัญ การ “ยกเลิก” คำสั่ง คสช. 3 ฉบับ ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเพื่อ”บอนไซ” ให้ ศอ.บต. อยู่ใต้”อำนาจ” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”  ยังไม่มีการ”ยกเลิก” สาเหตุที่แต่งตั้ง “รองเลขาธิการ ศอ.บต.”ล่าช้าออกไป เพราะมีการ”ห้อยโหน” มีการ”วิ่งเต้น” จนกลายเป็น”เงื่อนไข” ของการได้”รองเลขาธิการ  ศอ.บต.” ที่”ไม่ตรงปก” และจะเป็นปัญหา”ขัดแย้ง”เกิดขึ้น  ส่วนเรื่อง ปัญหาอุปสรรคการยกเลิก”คำสั่ง คสช.” ทั้ง 3 ฉบับ เพราะ”ทหาร” ไม่เห็นด้วยที่จะให้”ความเป็นไท” แก่”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศอ.บต. ) และอีกเรื่อง”การพูดคุยสันติสุข” ที่หลังการแต่งตั้งให้”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการ สมช. ทำหน้าที่”หัวหน้าคณะพูดคุย” แต่ไม่ปรากฏการ”ขับเคลื่อน” เพราะ”ทหาร”ต้องการให้การ”พูดคุยอยู่ในกรอบเดิม” ที่”ทหาร” เคยทำไว้ ดังนั้นจึง สรุป ได้ว่า “เศรษฐา ทวีสิน”  นายกรัฐมนตรี”สอบตกทุกวิชา” ในเรื่องของ”ความมั่นคง” และที่สำคัญคือ”ไม่เป็นตัวของตัวเอง”  เมื่อเป็นอย่างนี้ “สถานการณ์ภาคใต้” จึงยังเดินไป”ข้างหน้า” ในแบบเดิมๆ ที่ไม่มีการการ”พัฒนา” และไม่มีการ”ปฏิรูป” ใดๆให้ปรากฎ  กล่าวคือไม่มี”ความหวัง” ของแสงสว่างที่”ปลายอุโมงค์” มีแต่เรื่องของ”งบประมาณ” ที่ยังต้องใช้ในการ”ทับถม”กับปัญหาของ”ไฟใต้” ต่อไปอย่าง”อสงไข” ปัญหาของ”ไฟใต้”ก็ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ นะโยม…..แล้วผมกันใหม่ในวันศุกร์หน้า ครับ

ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” เส้นใหญ่ไม่มีวันตาย?

ปีปฏิทิน กำลัง”เปลี่ยนผ่าน” จากปี 2566 ซึ่งเป็นปี”กระต่ายทอง”ไปสู่ปี 2567 ซึ่งจะเป็นปี”มังกรทอง” หรือ”มังกรไฟ” ก็ยังไม่แน่ชัด แต่ถ้าฟังจาก” หมอดู” หรือ”โหร” หลายสำนัก ก็จะเห็นว่ามีการออกมา”เขย่าดวงเมือง”ว่าปี 2567 จะเป็นปี”มังกรไฟ” เพราะ ณ วันนี้ ประเทศไทยเรา ยังมีปัญหามากมายที่”รุมเร้า” ทั้งเรื่อง”เศรษฐกิจ” และเรื่อง”ปากท้อง” ของ”คนส่วนใหญ่” ที่เป็น “ชนชั้นล่าง” ของประเทศ ปัญหา”หนี้ครัวเรือน” ที่เกี่ยวกับ”หนี้นอกระบบ”และหนี้ในระบบ” ที่”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ยังหาทางออกที่ชัดเจนไม่ได้ ยังเป็นปัญหาหนักหนา”สาหัสสากรรจ์” ของประชาชนและประเทศชาติ…..การ”พักหนี้” การ”ออมชอม” กับ”นายทุนเงินกู้” เพื่อให้หยุดการ”ขูดรีด” ดอกเบี้ยราคา”มหาโหด” อาจจะทำให้”คนจน” หายใจได้คล่องขึ้นนิดหน่อย แต่ เมื่อ”รายได้” ยังเท่าเดิม เช่น”ค่าแรง” ที่เพิ่มขึ้น”นิดหน่อย” อย่างใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่”ค่าแรง” ปรับเพิ่ม 2 บาทต่อวัน จะไปแก้ปัญหาอะไรได้ ในเมื่อ”ราคาสินค้า” เพิ่มทุก”สัปดาห์” โดยที่”กรมการค้าภายใน” ตามไม่ทัน ราคาผลผลิตของ”เกษตรกร” ก็ยังเท่าเดิม แต่”ต้นทุน” ในการทำการเกษตรเพิ่มขึ้นทุกปี   เมื่อ “นโยบาย” ของ”พรรคการเมือง” เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง” เป็นเรื่องการ”ขายฝัน” ขาย”ไอเดีย” ที่แสนจะ”บรรเจิด” เพื่อ”หลอกชาวบ้าน” บนเวที”หาเสียง” เช่นค่าแรงวันละ 400 และจะเป็น 600 ในอีก 4 ปี เป็นเรื่อง”เพ้อฝัน” เพราะการขึ้น”ค่าแรง” มี”กฎหมาย”มี กำหนดกฎเกณฑ์ ที่ต้อง”ปฏิบัติตาม” จะไปขึ้นตามใจ”พรรคการเมือง” และ”นายกรัฐมนตรี”ไม่ได้ เพราะประเทศไทยไม่ใช่”บริษัท” ที่กำหนดโดย”เจ้าของ”หรือ”นายทุน” หลายเรื่องที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ออกมา”สวนกระแส”กับความเป็นจริง จึงถูกมองว่ายังอ่อน”ประสบการณ์ทางการเมือง” เมื่อรายได้ของ”ชนชั้นล่าง” และ”ชนชั้นกลาง” ยังอยู่แบบ”ต๊อกต๋อย” ปี 2567 จึงเป็นได้เพียงการ”เปลี่ยนผ่าน” ของปี”ปฏิทิน” แต่ “คนไทย” ยังคง”จมปลัก” อยู่กับความ”ยากจน” อย่างเดิมๆ

ที่น่าเห็นใจ “นายทุนระดับล่าง” ที่ทำธุรกิจ”สร้างบ้านจัดสรร” ครั้งละ 4 หลัง 5 หลัง กำลัง”ซื้อเชือก” เพื่อฆ่าตัวตาย เพราะคนที่ต้องการ”ซื้อบ้าน” เมื่อไปขอ”สินเชื่อแบ็งค์” บ้านราคา 1.5 ล้าน ถึง 3 ล้าน ต่าง”กู้ไม่ผ่าน” ที่น่าตกใจจำนวนผู้กู้ 100 ราย ผ่านเพียง 30 ราย เพราะ”สถาบันการเงิน”จะปล่อยกู้แต่”ลูกค้าชั้นดี” เท่านั้น และที่ สำคัญ “รัฐบาล” ไม่มีสิทธิ์ในการ”สั่งการ” ให้แบ็งค์ ช่วยเหลือประชาชน…..ในขณะที่ปัญหา”การเมือง” ทั้งใน”สภาผู้แทนฯ” และ”นอกสภาฯ” ยังเต็มไปด้วยความ”ขัดแย้ง” ที่เห็นชัดเจนคือ” พรบ.นิรโทษกรรม” ที่ทุกพรรคการเมืองไม่ให้แก้”ม 112  ตามที่พรรคก้าวไกล เสนอ และเรื่องการแก้”รัฐธรรมนูญ” ทั้ง สองเรื่อง เป็นเรื่องสำคัญ ที่นำความ”ขัดแย้ง” มาสู่ประเทศชาติเกือบ 20 ปี เมื่อ”เสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมืองไม่มี” และ”นักการเมือง”ไม่ช่วยหา”ทางออก” มีแต่การ”สุมไฟ” แทนที่  ความ”ปรองดอง” จะเกิดกับคนในชาติได้อย่างไร นี่คือ”กับดัก” ทาง”การเมืองในสภาฯ”ที่”ร้อนแรง” และ”นอกสภาฯ” ก็ต้อง”จับตา” เรื่อง”ขบวนการยุติธรรม” ที่เกี่ยวข้องกับ”นักโทษเทวดา” ซึ่งกำลังกลายเป็น”ชนวน”ให้”รัฐบาลนิดหนึ่ง” เกิดความ”ง่อนแง่น”มากขึ้น ซึ่ง”รัฐบาล” จะใช้กฎหมาย “คุมขังนอกเรือนจำ” ที่ออกมาแล้ว ก็เร่งดำเนินการเสีย โดยไม่ต้อง”ตะขิดตะขวง” เพราะคนทั้งประเทศก็รู้อยู่ว่า กฎหมายนี้ออกมาเพื่อใคร  จะได้เป็นการ”ถอดชนวนระเบิดเวลา” เพราะอย่างน้อย นอกจาก”นักโทษเทวดา” จะได้ประโยชน์ จาก”กฎหมายการคุมขังนอกเรือนจำ” แล้ว ยังมี”ผู้ต้องขัง” ที่อยู่ใน”ข่าย” การ”คุมขังนอกเรือนจำ” ที่คนทั่วไปได้สิทธิ์อันนี้ด้วย และที่สำคัญ”ประเทศอื่นๆ” เขาก็มีการใช้”กฎหมาย”นี้เช่นกัน เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ  เรื่องนี้”เศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะ”นายกรัฐมนตรี” อย่าอาย” และต้อง”รับผิดชอบ” ไม่ใช่โยนไปให้” สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรียุติธรรม ผู้ ออกกฎหมาย”คุมขังนอกเรือนจำ” และอย่าโยนเรื่องนี้ไปที่” อธิบดีกรมราชทัณฑ์” รับผิดชอบเพียงผู้เดียว เรื่อง”นักโทษเทวดา” รีบทำให้จบเร็วเท่าไหร่ เป็นการช่วยให้”ขบวนการยุติธรรม”เสียหายน้อยลงเท่านั้น วันนี้จะเห็นว่า”เสนาบดี”ทุกคน รวมทั้ง”ข้าราชการ”ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการ”ตอบคำถาม”เรื่อง”นักโทษเทวดา” ต่างทำตัวแบบ”สุภาษิต”ของ”สุนทรภู่” คือ”รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง” ซึ่งไม่ใช่ผลดีสำหรับ สถานการณ์ของประเทศ และของ”รัฐบาล”

ที่สำคัญ วันนี้ ย่างเข้าปี 2567 ในขณะที่ตัวประกันคนไทย ที่ถูก”กลุ่มฮาส” จับเป็นตัวประกัน  8 คน ยังไม่ถูกปล่อยออกมา วันนี้เรื่องนี้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ไม่ได้พูดถึงว่าจะมีการ”ช่วยตัวประกัน” อย่างไร  นี่คือความ”เสดสา” กับครอบครัวผู้ที่”สามี”และ”พ่อ” ยังเป็น”ตัวประกัน”ที่ไม่รู้”ชะตากรรม” เป็นเรื่องเศร้าใน”วันปีใหม่” ของ”ครอบครัว” เหล่านี้ ซึ่ง”เสนาบดี”กระทรวงแรงงาน “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” แจ้งว่าในส่วนของ”กระทรวงแรงงาน” มีการ ดูแล”ครอบครัว”ของผู้ประสบกับ”ชะตากรรม” เป็นอย่างดี แต่เรื่องการนำ”ตัวประกัน” กลับบ้าน เป็นหน้าที่ของ”รัฐบาล” และ”กระทรวงต่างประเทศ”

ก็”รวดเร็วดี” กับการเดินทาง”ลงพื้นที่” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เพื่อติดตามสถานการณ์”น้ำท่วม” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี,ยะลา และ นราธิวาส ซึ่ง เป็น”ปรากฎการณ์” ที่น้ำท่วมหนักในรอบ 50 ปี  สาเหตุ เพราะ”ฝนที่ตกหนัก” และ ตกติดต่อกันมาร่วม 2 สัปดาห์ และหลายแห่งที่เป็น”ป่าต้นน้ำ” มีการ”บุกรุกโค่นป่า” และ ปัจจุบัน แม่น้ำ ลำคลองที่ตื้นเขิน ทำให้รับมวลน้ำจำนวนมากไม่ได้ และการระบายน้ำลงสู่ทะเลล่าช้า   วันนี้ จ.นราธิวาส “เสียหาย” เป็นวงกว้าง ประชาชน ได้รับความเดือดร้อน จำนวนมาก “นายกรัฐมนตรี” ได้มาเห็น”ของจริง” จะได้ กลับไป เพื่อ”สั่งการ” ให้”กระทรวง ทบวงกรม ที่เกี่ยวข้อง  ส่งความช่วยเหลือ เพื่อการ”เยียวยา” ผู้เดือดร้อนอย่าง”เร่งด่วน”……สำหรับในพื้นที่ การแก้ปัญหา”เบื้องต้น” ทั้ง” กองทัพภาคที่ 4 “ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กำลัง”ทหารพรานนาวิกโยธิน ตชด. และ กำลังของฝ่ายปกครอง บรรเทาสาธารณภัย ท้องถิ่น ท้องที่ และ “เอกชน”  และ”มูลนิธิ” ต่างๆ ร่วมมือกันเพื่อ”ซับน้ำตา” ผู้ประสบ”ชะตากรรม” จาก”ภัยธรรมชาติ” อย่างเต็มที่……ส่วน”ศูนย์ อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ซึ่งทำหน้าที่เป็น”กองหลัง” เปิด”สายด่วน” รับแจ้งเหตุ ความเดือดร้อน และ ความช่วยเหลือ เพื่อการ”บูรณาการ”กับ ทุกภาคส่วน อย่างเต็มความสามารถ เป็นงานแรกที่น่าจะทำให้ “พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. “น้ำหนักลดลงแน่….ก็ขอแสดงความเสียใจกับ ประชาชนใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้อง”ฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” ทามกลางสภาวะของ”น้ำท่วม”

ส่วนที่ จ.ยะลา ก็มีพื้นที่ถูก”ท่วมหนัก” หลายพื้นที่ เช่นที่ อ.รามัน ที่ติดกับ”แม่น้ำสายบุรี” และแม้แต่ในเขต ”เทศบาลนครยะลา” ก็หนีไม่พ้นความเดือนร้อน เมื่อ”เขื่อนบางลาง” ของ”การไฟฟ้าฝ่ายผลิต “ ( กฟผ.) ก็เอา”น้องน้ำไม่อยู่” ต้องระบายนำทิ้งวันละ 12 ล้านลูกบาศน์เมตร  คนที่อยู่”ริมน้ำ, ท้ายน้ำ” และที่”ราบลุ่ม” คือคนกลุ่มแรกๆ ที่รับเดือนร้อน เห็นภาพของ” ตำรวจ”,ทหาร” และ”ปกครอง” ออก”ลุยน้ำ”เพื่อช่วยเหลือ”ประชาชน” ก็”อุ่นใจ” แม้เราจะสู้กับ”ธรรมชาติ”ไม่ได้ แต่เราก็มี”ความพร้อม” ในการช่วยกัน”ซับน้ำตา” ของผู้ที่เดือดร้อน งานนี้” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 /ผอ. กอ.รมน.ภาค 4  อำพล พงษ์สุวรรณ์ ผวจ.ยะลา และ พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฏ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา ได้ คะแนน เต็มร้อย……ส่วนพื้นที่”ปลายน้ำ” อย่าง” จ.ปัตตานี ก็”อ่วม”เพราะเป็นพื้นที่”สุดท้าย” ซึ่งต้อง”รับน้ำ” จาก จ.ยะลา แบบ”หลีกเลี่ยง”ไม่ได้ ส่วนจะทำให้”ประชาชน” ที่อยู่ใน”โซน” น้ำท่วมขัง ได้ดีแค่ไหน ก็อยู่ที่”ฝีมือ” ของ” พาตะเมาะ สะดียามู”  ผวจ.”หญิงแกร่ง” ของ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และต้องดูว่า”เศรษฐ อัลยุฟรี” นายกองค์กรบริหารจังหวัดปัตตานี มี”ความพร้อม” แค่ไหน อย่างไร ในเรื่องของการ”ช่วยเหลือ” และการ”แจกถุงยังชีพ” เพื่อให้”ประชาชน” มี”อาหาร-น้ำดื่ม” ประทังชีพในเบื้องต้น…..และเรื่อง”ถุงยังชีพ” กับ” องค์การปกครองท้องถิ่น” ตั้งแต่ “อบต,เทศบาล” และ” อบจ. ที่ผ่านมา”ผู้บริหาร” หลายรายถูก “ปปช.”ชี้มูลความผิดเรื่อง”การจัดซื้อจัดจ้าง” เกี่ยวกับ”ถุงยังชีพ” ที่ถูกกล่าวหาว่า”ทุจริต” การช่วยเหลือ”ประชาชน” ที่เดือดร้อน เป็นเรื่อง”จำเป็น”ที่อาจจะต้องทำอย่าง”เร่งด่วน” แต่การใช้ความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน” เพื่อหา”ผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อ” ก็เป็นเรื่องที่”ไม่ควรกระทำ” สิ่งเหล่านี้ นักการเมืองท้องถิ่น ต้อง”สังวร”ให้มาก  ก็ เตือนไว้เป็น”อุทาหรณ์” เพราะวันนี้” เรือนจำ”หลายแห่งกำลังเป็น”ก๊วน” ของ”นักการเมืองท้องถิ่น”ไปแล้ว

ส่วน จังหวัดสงขลา แม้ว่าจะมีฝนตกตลอด แต่ สถานการณ์ยังปลอดภัยดี พื้นที่”คาบสมุทรสทิงพระ” อ.สิงหนคร,สทิงพระ,กระแสสินธ์ ,ระโนด” ที่เป็นพื้นที่”ท้ายน้ำ” วันนี้ยังถึงกับเรื่องว่า”น้ำท่วม” เหมือนทุกปี  แต่เป็นเรื่อง”ปกติ” ที่ใครอยู่ในที่”ราบลุ่ม” ย่อม”แช่น้ำ” เป็นธรรมดา ส่วนพื้นที่”ไข่แดง” ที่เป็น”ย่านเศรษฐกิจ” อย่าง”หาดใหญ่” ยังปลอดภัย เพราะ”คลอง ร 1 “ มีการ “ขยายพื้นที่” กว้างขวาง รับน้ำ และ”ระบายน้ำ” ลงทะเลสาบสงขลา ได้รวดเร็ว คนที่เป็นนายกเทศบางนครหาดใหญ่ จ.สงขลา อย่าง” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นอนหลับสบาย ในยามค่ำคืนไม่ต้อง ”สะดุ้งตื่นกลางดึก ” เพราะเรื่อง”น้ำท่วม” เหมือนกับ”นายกเทศมนตรี” หลายๆคนในอดีต ที่”เสียผู้เสียคน” จากการที่”น้ำบุกรุกเข้าเมืองหาดใหญ่ในยามวิกาล” เห็นหรือยังว่าถ้ามีการ”พัฒนา” ให้ “แม่น้ำ ลำคลอง” มีความลึก ความกว้าง ให้มากขึ้น ปัญหาของ”น้ำท่วม” ก็จะแก้ได้ ส่วนเรื่อง”น้ำขัง” หรือ”น้ำรอระบาย” เป็นเรื่อง”ปกติ” ของทุกพื้นที่ซึ่งต้องเรียกว่า”กรรมใครกรรมมัน”……น้ำท่วมที่สร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส อย่าโทษเรื่อง “ธรรมชาติ” คือฝนตกหนักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องโทษ “เจ้าหน้าที่” ที่ปล่อยให้มีการ”ตัดไม่ทำลายป่า”บนเขา”เมาะแต” จนกลายเป็น”เขาหัวโล้น” ที่เมื่อฝนตกหนัก ทั้ง”โคลน”ทั้งน้ำ” จึงไหลลงมาสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง ถ้ายังปล่อยอย่างนี้ ในอนาคต “น้ำตกซีโป” อาจจะไม่มีน้ำ”ให้ตก”ให้เห็น ก็เป็นได้ เรื่องนี้ นอกจาก”หน่วยอนุรักษ์ป่า” กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรสหกรณ์ ต้องรับผิดชอบแล้ว” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็”มีส่วน” ในการ “รับผิดชอบ” เพราะมีคำถามมาโดยตลอดว่า”ทหาร” ที่ ตั้ง”กองร้อย” และ”กองพัน” ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ทำไมจึงมองไม่เห็น”มอดไม้” และเสียงของ”เครื่องเลื่อย” รวมทั้งการ”ลำเลียง” ไม้ลงจากภูเขา “พล.ต.เฉลิมพร ขำเขียว”  ผบ.ฉก.นราธิวาส ต้องมีการ”ปรับแผน” ในเรื่องการ ป้องกันป่าด้วยนะ

หลังปล่อยให้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี “บินด่วน” ลงมาติดตาม สถานการณ์”น้ำท่วม” ใน พื้นที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ไปก่อน จึงเห็น สส.พรรคประชาชาติ ที่”กูลีกูจอ” ลงพื้นที่ เขตใคร เขตมัน  ใน จ.ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส  แต่การที่ลงพื้นที่ ”ล่าช้า” กว่าการลงพื้นที่ของ”นายกรัฐมนตรีและคณะ” ก็ทำให้”เสียรางวัด” พอสมควร…..มีนัยอะไรหรือเปล่า” คอการเมือง” ใน จ.สงขลา ต่างถามกัน”อึงมี่” เมื่อเห็น “โปสเตอร์สวัสดีปีใหม่” ของ”นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต รมช.มหาดไทย เต็มทั้งพื้นที่ 16 อำเภอของ จังหวัดสงขลา ที่ “เคียงคู่”กับ”โปสเตอร์” ของ “สรรเพ็ชญ์ บุญญามณี” สส.เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ผู้เป็น”ลูกชาย” ลีลา”เสือออกจากถ้ำ” อีกครั้งของ” นิพนธ์”ในวันนี้  กำลัง”จะบอกอะไร”หรือกำลังสื่อไปยังเรื่องของการเตรียม”ลงสนาม” เพื่อการ”เลือกตั้ง” นายก อบจ.สงขลา ในสมัยหน้า หรือไม่อย่างไร เดี๋ยวรู้ ในเย็นๆ นะ คอการเมือง…..แต่พื้นที่”คาบสมุทรสทิงพระ” ซึ่งหมายถึง 4 อำเภอของเขตเลือกตั้งที่ 4 ของ จ.สงขลา ประกอบด้วย “ระโนด,กระแสสินธุ์,สทิงพระ,สิงหนคร” ซึ่ง สส.เจ้าของพื้นที่อย่าง”ชนนพัฒน์ นาคสั้ว” จาก”พลังประชารัฐ” แท็กทีม” กับ สุพิศ พิทักษ์ธรรม ”อธิบดีกรมฝนหลวง” และ”กลุ่มทุน” กลุ่มการเมืองท้องถิ่น กำลัง”ขับเคลื่อน” งานการเมืองอย่าง”เต็มสูบ” เพื่อส่งให้ “อธิบดีกรมฝนหลวง” ขึ้นสู่ ”เก้าอี้”นายก อบจ.สงขลา”ให้ได้ เรื่องนี้”เท่าไหร่เท่ากัน” ล่าสุดมีการ”ทุ่มทุน” จัดมวย” และ”นักร้อง ดนตรี” ให้ ชาวบ้านดูฟรีในช่วง “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” ครื้นเครง กันทั่วหน้า

ยืดเยื้อมานานเกือบ 10 ปี ในที่สุด”โครงการทุจริตที่อื้อฉาวคือ”เสาไฟฟ้าโซลาเซลล์” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน ในสมัยที่ “ภานุ อุทัยรัตน์” เป็น ผอ.ศอ.บต. ก็จบลงที่  ปปช. ได้ส่งฟ้อง ทั้ง”ข้าราชการ” ระดับ ผู้อำนวยการ”และ”ภรรยา” รวมทั้ง”ผู้รับเหมาก่อสร้าง” โดย ศาลทุจริตภาค 9 ได้สั่งลงโทษ ทั้งการ”จำคุก” และ”จ่ายค่าปรับ” เป็นการ”ปิดฉาก” ให้เห็นว่า โครงการนี้” มีการ”ทุจริต” เกิดขึ้นจริงตามที่”สื่อ” เคยนำเสนอข่าว และเป็นการ”ตอกย้ำ” กับ”ข้าราชการ” ให้เห็นว่า”เงินหลวง ของหลวง” เป็นของ”ต้องห้าม” และ”ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” ถ้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”เอาจริง” และ วันนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นการ”ทุจริต” ในเรื่องการ”จัดซื้อ จัดจ้าง” ใน “ศอ.บต. ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของ”ปปช.”

ต้องยอมรับว่า “ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนด้วยรถบรรทุกหัวลาก ไทย-มาเลย์-สิงคโปร์” เป็นขบวนการ”ค้าน้ำมันเถื่อน” ที่”เส้นใหญ่” เพราะ”จับเมื่อไหร่” ได้”ของกลาง” อย่าง”เป็นกอบเป็นกำ” ล่าสุด ปช.จรยุทธ์ มว.ปล.ที่ 2 ร้อย ร.5021  ทำการตั้งจุดตรวจแบบ”ป็อปอัพ” จับรถบรรทุก”หัวลาก” ได้ที่ หน้าสำนักงานที่ดิน อ.สะเดา จ.สงขลา 2 คน พบมีการ “ลักลอบ” นำเข้า”น้ำมันเถื่อน” จาก”ประเทศมาเลเซีย” คันละ 1,800 ลิตร ถ้ารถ”หัวลาก” 200 คัน จะมี”น้ำมันเถื่อน”ที่ถูก”ลักลอบ” นำเข้ามาวันละเท่าไหร่ และ “น้ำมันเถื่อน” ทั้งหมดเป็นของ”นายทุนคนไหน” และ”ขายให้กับนายทุนคนไหน” เป็น”กำไร” บนความ”เสียหาย” ของประเทศชาติ ที่สำคัญ “รถหัวลาก” ที่มีการ”ลักลอบ”นำเข้าน้ำมันเถื่อน ต่าง”วิ่งผ่านหน้า ” 2โรงพัก “  ก่อนที่จะนำไป”ลงแท็งค์” เพื่อขึ้นรถ”บรรทุกน้ำมัน” ส่งขายไปยัง”ภาคกลาง” เรื่องนี้” ผกก. ต้องไม่ปล่อยให้ ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน”ลอยนวล”

เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” หรือ”เชาวลิต ทองด้วง” ยังไม่จบ เพราะผ่านไปแล้ว 2 เดือน “ตำรวจ”ทั้งของ ภ.จว.พัทลุง และ”ตำรวจ”ภาค 9 . ที่มี”เดอะโต้ง” พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9, ยังตอบไม่ได้ว่า”แป้ง นาโหนด” อยู่ที่ไหน ในประเทศ หรือต่างประเทศ แต่”นกมีหู หนูมีปีก” บอกว่า” แป้ง นาโหนด” ไม่ได้อยู่ที่”มาเลเซีย” หรือ” อินโดนนีเซีย” แต่อยู่ในใต้”จมูก”ของ”ตำรวจ”ในพื้นที่”พัทลุง” นี่แหละ โดยอยู่ในความ”คุ้มครอง”ของ”กลุ่มนักการเมือง” ที่มี”อิทธิพล” เพราะมี”คนในเครื่องแบบสีกากี” ให้ความ”คุ้มครอง” สำหรับการที่จะรอให้”แป้ง นาโหนด” มอบตัว เป็นเรื่อง”เพ้อเจ้อ” เพราะ”แป้ง นาโหนด”เพิ่งจะถูก”ศาลจังหวัดพัทลุง” ตัดสินในคดี”พยายามฆ่า” เจ้าหน้าที่รัฐ ถูกสั่ง”จำคุก” 20 ปี  “มอบตัว” หรือ”ถูกจับ” จึงมีค่าเท่ากันคือ”ติดคุกหัวโต” แต่ที่สำคัญ ถ้า”แป้ง นาโหนด” ถูกจับได้”คายความลับ” ถึง ขบวนการในการให้การ”ช่วยเหลือ” จะมีคนที่ถูกลาก”เข้าปิ้ง” มากกว่า 1 โหล และที่สำคัญ ถ้า”แป้ง นาโหนด” ยังไม่ถูกตำรวจจับ ใครที่เป็น”ศัตรู”กับ”แป้ง นาโหนด” คงต้อง ระวังตัวให้ดี เพราะการ”แหกคุก” ของ”แป้ง นาโหนด” ครั้งนี้ ไม่ใช่ “แสวงหาอิสรภาพ” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการออกมาเพื่อ ”แก้แค้น” และ”เอาคืน” กับคนที่”แป้ง นาโหนด” เห็นว่า”หักหลัง” และ”โกงเงิน” ของเขาในเรื่อง”วิ่งเต้น” ให้หลุดพ้นจาก”คดีความ” เชื่อเถอะ”เสือลำบาก” อย่าง”แป้ง นาโหนด” กัดไม่ปล่อย แน่

คดีของ”แป้ง นาโหนด” ที่”พ่นพิษ” แล้วในวันนี้คือ” 7 นายตำรวจ จาก บชภ. 8 จ.สุราษฎร์ธานี และ 1 พลเรือน ที่เป็น”สายข่าว” ให้ ตำรวจ จับตัว”นายจรวด”ในข้อหา”ค้ายาเสพติด” และนำ”นายจรวด” มายังจุดที่มีการ”แย่งชิงตัว” โดย”แป้ง นาโหนด” และพวก และหลังที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนี้”แจ้งความเอาผิด”กับ”แป้ง นาโหนด” และพวก “แป้ง นาโหนด” และ พวก ก็ ได้”อาคืน” ด้วยการ”แจ้งความ” ดำเนินคดีกับ 7 ตำรวจ 1 พลเรือน ในข้อหา “ ม 157 “ หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ซึ่ง “พนักงานอัยการ” มีความเห็น”ส่งฟ้อง”ต่อ”ศาลทุจริตภาค 9 สงขลา” โดย “ศาลทุจริตภาค 9 สงขลา จะดำเนินการสอบจำเลยในวันที่ 10 มกราคม 2567 เรื่องนี้”กรรมเป็นผู้ชี้เจตนา” จะ”ผิด ถูก” ก็ เสียเวลา และเสีย”อนาคต”

กลางดึก เมื่อหลายคืนก่อนมีผู้ร้องเรียนมาว่า “โชเฟอร์ขับรถบรรทุกน้ำมัน” ที่วิ่งผ่านพื้นที่ของ โรงพักเกาะนางคำ อ.ปากพะยูน”  จ.พัทลุง  ถูกนายตำรวจยศ”ผู้กอง” เรียกให้หยุด และถามว่ามี”ใบผ่านทาง” หรือไม่ และ”จ่ายรายการ”แล้วยัง ก็เห็นจะต้องฝากถามไปยัง  ผกก.สภ.ปากพะยูน และ ผบก.ภ.จว.พัทลุง ว่า ทำไมผู้ที่”ขับรถผ่านทาง” ในพื้นที่ของ “โรงพัก เกาะนางคำ” ต้องมี”ใบผ่านทาง” และต้อง”จ่ายรายการ” หรือ”เกาะนางคำ” ไม่ใช่” แผ่นดินไทย” ช่วย”ตรวจสอบหน่อยเถอะ” อย่าให้เรื่องนี้”กลายเป็นเรื่อง”คลื่นกระทบฝั่ง”.…..เรื่องของ”ตำรวจ” อีกเรื่อง ที่มีการร้องเรียนกันมา ถึงเรื่องของการ”เก็บส่วย” ของ” สองนายจ่า” คนหนึ่งชื่อ”จ่า ต. และจ่า น.”  ทำหน้าที่”เก็บส่วย”  จากผู้ที่ทำธุรกิจสีเทา ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อ้างเก็บ”ให้นาย” หลายโรงพัก หลายสังกัด ที่ได้รับการ”ร้องเรียน” ให้มีการ”ตรวจสอบ” เพราะไม่รู้ว่า”เก็บเข้ากระเป่า” หรือเก็บส่งนาย ตามที่”แอบอ้าง”

อยากเห็นนะ กับความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” จาก”รัฐบาลนิดหนึ่ง”  แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจน ทั้งที่ “เศรษฐา ทวีสิน” ทำหน้าที่”นายกรัฐมนตรี มาเกิน 100 วัน แล้ว แต่เรื่องหลายเรื่องของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ยังคง”ย่ำเท้าอยู่กับที่” เช่นเรื่องการ ยกเลิก คำสั่ง “คสช. ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ อดีต “นายกรัฐมนตรี”ที่ให้ “ศอ.บต. อยู่ใต้”อำนาจ”ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า  ก็ยังไม่”คืบหน้า” เรื่องการแต่งตั้ง รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังว่างอีก 2 ตำแหน่ง ก็ยังไม่มีการแต่งตั้ง  ก็ให้สงสัยว่า ทำไมจึง”อืดอาด” ยิ่งกว่าการคืบคลานของ”หอยทาก” เรื่องของการ”พูดคุยสันติสุข” หลังการออกคำสั่งแต่งตั้งให้”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคง” ( สมช.) เป็น หัวหน้าคณะ แต่ยังมี”เนื้อหา” ว่าจะ”เดินหน้า”อย่างไร และใครจะมาเป็น”เลขาธิการสภาความมั่นคง”  แทน “พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม” ก็ไม่มีการแต่งตั้ง ดูแล้ว”ยุ่งยาก” และเต็มไปด้วย”ปัญหา” เหมือนกับว่า”นายกรัฐมนตรี” ต้องรอ”ไฟเขียว” จาก”คนอื่น” จนทำให้เรื่องของ”ไฟใต้” ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด

หาดใหญ่ฟื้นแล้ว” หลังจากที่”โทรมทรุม” อย่างยาวนานเพราะการระบาดของ”โควิด 19 “ วันนี้ “หาดใหญ่” มี นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ”แฟมีลี่ทัวร์” ถ้า นักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า ไม่เห็นแก่ได้ ไม่”ขูดรีด”ไม่โก่งราคาขาย และ โรงแรม ที่พัก มีราคาที่”มาตรฐาน” เชื่อว่า”หาดใหญ่” จะ”ฟื้นคืน”อย่างเต็มที่ในอีกไม่ช้า เสียดายเพียง สส. ของแต่ละพรรคการเมือง” เก่งในการ”ขายไอเดีย” เฉพาะช่วงการ”หาเสียง”เพื่อ”เลือกตั้ง” แต่ หลังจากได้เป็น สส. สมใจนึกบางลำพูแล้ว ก็ไม่เคย”ผลักดัน” ให้ หาดใหญ่ เป็นไปตามที่เคย”หาเสียง”เอาไว้ ….. แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ‘อควาเรี่ยมหอยสังข์’ประติมากรรมอัปยศ1,400ล้าน

ครบ100 วันที่ พรรคเพื่อไทยเป็น”แกนนำรัฐบาล” โดยมี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี ที่บริหารประเทศมาได้ 100 วัน แต่ ประชาชน ส่วนใหญ่ ต่างตั้งข้อสงว่า”นายกฯเศรษฐา” เป็น”ตัวจริง”หรือเป็น”นายกฯเงา “ ซึ่งโดย”ธรรมเนียมการเมือง” เมื่อมีการ บริหารครบ 100 วัน ก็ต้องมีการ “แถลงผลงาน” ถึงความ”สำเร็จ” ให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อสร้าง”เครดิต” ให้กับพรรคและผู้เป็น”นายกรัฐมนตรี” และที่สำคัญคือการ”สร้างความมั่นใจ” ให้กับประชาชน เพราะ”รัฐบาล” ที่”ประชาชนมั่นใจ” คือ”รัฐบาล” ที่มี”เถียรภาพ” ที่แท้จริง…..แต่ วันนี้ “รัฐบาล”ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ยังไม่มีอะไรที่”โดดเด่น” ที่จะนำมาเป็น”จุดขาย” เพราะนโยบายหลักๆ ที่”หาเสียง”ในการ “เลือกตั้ง”ของ”เพื่อไทย” เช่น”เงินดิจิตัล 10,000 บาท” ที่”คาดหวัง”ว่าจะเป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของประเทศครั้งใหญ่ของประเทศ และเป็นการ”แจก”เพื่อ”ซื้อใจ”ของ “ประชาชน” ผ่านไปแล้ว 100 วัน ก็ยังตอบไม่ได้ว่า เรื่อง”เงินดิจิตัล” จะ”ล้มเหลว” หรือ”สำเร็จ”  ยิ่ง”ลากยาว”ไปเรื่อยๆ ความ”เสื่อม”ของยิ่งจะมาเยือน

เรื่อง”ยาเสพติด” ที่มีการให้”คำมั่นสัญญา” กับ”ประชาชน” ในทุกเวทีที่หาเสียง”เพื่อไทยมายาเสพติดหมด” วันนี้”หมดไหม” มีแต่ ยิ่งมายิ่งเยอะ ขนกันมาเป็น”คันรถบรรทุก” ด้วยซ้ำ “เพื่อไทยมาเศรษฐกิจดีขึ้น, ผลผลิตทางการเกษตรสูงขึ้น” ดีจริงมั้ย สูงขึ้นจริงมั้ย” เรื่องนี้ ประชาชนระดับ”รากหญ้าตอบได้” เพราะ “ล้วงมือ” ลงไปในกระเป๋าสิ่งที่เจอคือ”ความว่างเปล่า” ค่าแรง 400 บาท ที่หาเสียงไว้ ก็เป็นเรื่องที่”ไม่มีอยู่จริง” เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท ก็เป็นได้เพียง”เงินเดือนทิพย์”ที่สุดท้ายแล้ว อาจจะ”ล่องลอย”อยู่กลางอากาศ …..ส่วนในเรื่องของ”ไฟใต้” หรือการแก้ปัญหา”ความมั่นคง” ก็ไม่มี”อะไรใหม่” สำหรับ”รัฐบาลชุดนี้” ทุกอย่างยังเป็น” ก๊อปปี้เดิม” ที่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ อดีต”นายกรัฐมนตรี” วางเอาไว้ เช่น” กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็เป็น”สมบัติของทหารข้า” ที่ใคร”อย่าแตะ” เรื่องการ”พูดคุย”กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ก็แค่เปลี่ยนหัวหน้าคณะ”พูดคุย” จาก”ทหารเกษียณ” มาเป็น”พลเรือนที่ยังรับราชการ” แต่”เนื้อใจ” ที่เป็น”สาระ” ก็ยังเป็น”ของเดิม” ที่”คาดหวัง”ความสำเร็จไม่ได้

ที่” ทำแล้ว” คือเรื่อง”การพักหนี้เกษตรกร,การเข้ามา”จัดการหนี้นอกระบบ” และการแก้ปัญหา” หนี้ในระบบ” ที่สุดท้ายแล้ว “หนี้ก็ยังเป็นหนี้”อยู่วันยังค่ำ  เพียงแต่เป็นช่องทางให้”ลูกหนี้” ได้มีโอกาส”หายใจ”  เพื่อการ”ตั้งหลัก”ในการแก้ปัญหา เพราะ “ทั้งต้น ทั้งดอก” ก็ยังอยู่ครบเต็มอัตรา เริ่ม”จ่ายหนี้”เมื่อไหร่ จำนวนหนี้จะมากขึ้นเพราะการ”พักหนี้” แต่”ดอกเบี้ย” ยัง”เดินตาม”…..ส่วนการเปลี่ยนที่ดิน “สปก.4-01 ให้เป็น”โฉนด สปก.” ก็ไม่”ปัง” อย่างที่คิด เพราะไม่มี”กระแส” ตอบรับจาก “เกษตรกร “และ การเปลี่ยน สปก. ให้เป็น โฉนด” ที่อาจจะทำให้ ที่ดิน สปก.มีราคาสูงขึ้น   เปลี่ยนมือง่ายขึ้น ใน อนาคต ที่ดิน สปก.  ที่ “รัฐบาล” ชุดที่ออกระเบียบที่ดิน สปก.4-01 เพื่อให้เป็น “มรดกตกทอด” ให้กับ ครอบครัวเกษตรกร อาจะถูก”เปลี่ยนมือ” ขายให้กับ”นายทุน” จนที่ดินทำกิน ไม่เหลืออยู่ในมือของ”เกษตรกร” ก็เป็นได้

ก็เห็นใจ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้ต้อง”แบกความหวัง”ของคนทั้งประเทศจำนวน 66 ล้านคนไว้”บนบ่าไหล” โดยที่ ไม่สามารถทำในเรื่องของ “นโยบาย” ที่มีการ”หาเสียง”เอาไว้กับ”ประชาชน” ให้เป็นจริง และอาจจะถูก “ประชาชน” ลงโทษในข้อหา”ตระบัดสัตย์” เพราะ”พูดอย่าง ทำอย่าง” และ หลายอย่าง”ไม่ได้ทำ” เพราะ”ทำไม่ได้”  ขืน”ดันทุรังทำ” มีโอกาสในการ”ติดคุก” เหมือนกับนักการเมือง”รุ่นพี่” ของ”เพื่อไทย” ที่เป็น”ตัวอย่าง” ที่ นักการเมืองทุกพรรคพึง “ สำเหนียก” และ”สังวรณ์”ให้มาก  และในการเขียนนโยบายเพื่อ”หาเสียง” ในครั้งต่อไป ก็ต้องให้”รอบคอบ” ว่าอะไรที่ทำได้ และอะไรที่”ห้ามทำ” เพื่อจะได้ไม่”ตกม้าตาย”ตอนจบ…..แต่ สำหรับ”การเมืองแบบไทยๆ” เรื่องการ”พูดอย่างทำอย่าง” หรือการ”ตระบัดสัตย์” ในทางการเมือง อาจจะเป็นเรื่อง”ปกติ” ที่มีการหาทางออกว่าเป็นการ”ตระบัดสัตย์เพื่อชาติ”ที่เคยมี”ตัวอย่าง” ตั้งแต่” พล.อ.สุจินดา คราประยูร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” และล่าสุดที่”สดๆร้อนๆ” ก็ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรค คนที่ 9 ของ”ประชาธิปัตย์” ที่กลายเป็นเรื่องที่คอการเมืองยัง”วิพากษ์ วิจารณ์” กันอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นการ บริหารประเทศครบ 100 วัน ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่เป็น”แกนนำ” พรรคเพื่อไทย จึงไม่มี”ข่าวดี” ที่จะทำให้ ประชาชน”ยิ้มได้ด้วยความดีใจ”

สำหรับ”ประชาธิปัตย์” มรสุมที่”ถั่งโถม” จากการ เลือกตั้ง”หัวหน้าพรรคคนใหม่” และ”กรรมการพรรคชุดใหม่” คงเป็นเรื่องที่แก้ไม่จบในสามเดือนอย่างที่ “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรคฯ ได้ให้”สัมภาษณ์”ไว้กับสื่อต่างๆ  แต่อาจจะใช้เวลาถึง 3 ปี ในการ”ฟื้นฟู” พรรคเพื่อให้กลับมาเป็นที่”ศรัทธา” ของ”ประชาชน โดยเฉพาะ”คนภาคใต้” ที่เป็น”ฐานที่มั่นสุดท้าย” ของ”ประชาธิปัตย์” ซึ่งก็ต้องดูว่า หัวหน้าพรรคอย่าง “เฉลิชัย ศรีอ่อน” และ เลขาธิการพรรคอย่าง”เดชอิศม์ ขาวทอง ( นายกชาย ) จะ”ปรับเปลี่ยน” อย่างไรในการสร้าง”จุดขาย” ทางการเมือง แต่ถ้า นโยบาย ยังเป็น”การเมืองบ้านใหญ่” อย่างเก่าตาม”วิสัยทัศน์”ของ”นักเลงการเมือง ” เลือกตั้ง สมัยหน้า ก็”ชี้ตัวกาหัว” ได้ล่วงหน้าว่า ใครจะได้เป็น “ ผู้แทน” กี่คน

เขียนถึง”ข่าวดี” สำหรับ ประชาชนภาคใต้บ้าง เห็นข่าว”มนพร เจริญศรี รมช. คมนาคม “เจรจาต้าอ่วย” กับ”ตัวแทน”เวิร์ลแบ็งค์” เพื่อกู้เงินมาพัฒนาภาคใต้ใน โครงการ”สร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เชื่อม อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา กับ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ในวงเงินก่อสร้าง 4,841 ล้านบาท ซึ่งหากสร้างแล้วเสร็จ สามารถ”ย่นระยะทาง”จาก 80 กิโลเมตรเหลือ 7 กิโลเมตร และการก่อสร้าง สะพานเชื่อมเกาะลันตา จ.กระบี่ วงเงินก่อสร้าง 1,854 ล้านบาท โดย “เวิร์ลแบ็งค์ให้ให้กู้ 6,000 ล้าน และในโครงการ”สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา” ได้มีการทำ “ข้อตกลง” กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อการ”อนุรักษ์ฝูงโลมาอิรวดี” ที่เป็น”ฝูงสุดท้าย” ใน”ทะเลสาบสงขลา” จำนวน 14 ตัวไว้แล้ว เชื่อว่าการก่อสร้าง “สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา”แห่งนี้ จะไม่ส่งผลถึง”ฝูงโลมาอิรวดี” อย่างแน่นอน    โดยทั้ง 2 โครงการ จะนำเสนอ”ครม” ต้นปี 2567

ยังเกาะติดข่าว”อควาเรี่ยมหอยสังข์สงขลา” ล่าสุด “สรรเพชญ บุญญามณี” สส. เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ”กรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ”  ได้สอบถาม คณะกรรมการอาชีวศึกษา ถึงเรื่อง”อควาเรี่ยมหอยสังข์” ที่ถูก”ทิ้งร้าง” หลังการ”ทิ้งงาน”ไป 15 ปี และ เบิกงบประมาณไปแล้ว 1,400 ล้าน ว่าจะ”เดินหน้าต่อ หรือ”พอแค่นี้” ซึ่งตัวแทนของคณะกรรมการอาชีวศึกษาตอบว่า ถ้าจะ”ให้ไปต่อ” ก็ต้องขอ”งบประมาณ”อีก 500 ล้านในการก่อสร้างให้มีความสมบูรณ์…..แต่ข้อเท็จจริงที่ ผู้อำนวยการวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ แจ้งให้ทราบคือ  หลังผู้รับเหมาทิ้งงาน  วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ เสื่อมโทรมตามกาลเวลา  สิ่งของหลายอย่างถูกกลุ่มคนร้าย ลักขโมยไปเป็นจำนวนมาก ขอให้ หน่วยงานที่เป็น”เจ้าของโครงการ” เร่งดำเนินการสานต่อก่อนที่จะเสียหายมากกว่านี้    ในขณะที่ กรมบัญชีกลาง กล่าวว่า  เจ้าของโครงการ ยังไมมีการดำเนินการของบประมาณเพื่อดำเนินการก่อสร้างแต่อย่างใด ฟังแล้วก็”ว้าเหว่วังเวง” นะ…..วันนี้ถ้าใคร ขับรถผ่าน”สะพานติณสูลานนท์”  ก็จะพบกับ”ทัศนะอุจาด” นั้นคือ”ประติมากรรมรูปหอยสังข์” ที่ชื่อว่า”อควาเรี่ยมหอยสังข์สงขลา” ที่ยืนอย่างโดดเด่นแต่” สีสันลายพร้อยเหมือนหอยเน่า” เพราะขาดการดูแล เป็นการ”ประจาน” เจ้าของโครงการเป็นการชี้ให้เห็นถึงเรื่อง”ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ที่เกิดขึ้น และที่น่า”เสียใจ” คือ ไม่มี องค์กรไหนในจังหวัดสงขลาที่”รู้สึกรู้สา” ถึงความ”อัปยศ” ที่เกิดขึ้น และออกมาเพื่อ”แก้ปัญหา” อย่างจริงจัง

ล่าสุด “ราม  วสุธนภิญโญ” ผอ ปปช.สงขลา  ออกมาให้ข่าวว่า ได้หารือกับ “ยศพล เวณุโกเศศ” เลขาคณะกรรมการกรมอาชีวศึกษา ที่เป็น”เจ้าของโครงการ เพื่อหาแนวทาง ให้มีการใช้ประโยชน์จาก”อควาเรียมหอยสังข์”แห่งนี้…..ก็ต้องถามว่า นี่เป็น”หน้าที่ของ”ปปช. หรือไม่ ในการที่จะหาทางใช้ประโยชน์จาก”อควาเรี่ยมหอยสังข์สงขลา” เพราะหน้าที่ของ ปปช. คือการ  เร่งทำคดีการโกงกินของ “ข้าราชการ” ที่ทำให้เกิด”อควาเรี่ยมหอยสังข์ร้าง” ซึ่งมีผู้ถูก”กล่าวหา” 27 ราย คนสงขลา ต้องการเห็นผู้”ทำผิด” ได้รับการ”ลงโทษ” จาก” ปปช. มากกว่า เพราะนี่ปาเข้า 15 ปี แล้วที่ คดียังเดินเป็น”หอยทาก”    ส่วนเรื่องการใช้ประโยชน์จาก”อควาเรียมหอยสังข์” ในกรณีที่” กรมอาชีวศึกษา”ไม่สร้างต่อ ควรจะเป็นเรื่องของ”ฝ่ายปกครอง” กระทรวงมหาไทย ไม่ใช่เรื่องของ”ปปช.

จังหวัดสงขลา ไม่อยู่ใน”โซน” ของ 5 จังหวัดทั่วประเทศ ที่”เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย” อนุทิน ชาญวีรกุล” อนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงถึง ตี 4 แต่ โดยข้อเท็จจริง “สถานบันเทิง” ทั่วประเทศนี้ ที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยว  เช่น จ.สงขลา ซึ่งมี”สถานบันเทิง” ต้องอยู่ อย่าง “อำเภอเมือง,อำเภอหาดใหญ่ อ.สะเดา “ เขาก็ไม่ได้”ปิด –เปิด ตามที่ “กฎหมาย” บังคับอยู่แล้ว วันธรรมดา เขาอาจจะเปิดถึง ตี 2  ส่วน “เสาร์-อาทิตย์” วันหยุด” วันเทศกาล “ ก็เปิดถึง ตี 4 หรือ”สว่าง” ถือเป็นเรื่อง”ปกติ” ที่ “เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” ปลัดกระทรวง” และ” อธิบดีกรมการปกครอง” ต้องรู้ไว้ เพราะวิธีการที่ไม่ต้อง”เปิด-ปิด” ตามที่”กฎหมาย” กำหนด คือการ”จ่ายส่วย”  ที่พวกเขาเรียกร้องให้”กฎหมาย” อนุญาตให้เปิดได้ถึง ตี 4 เพราะเขาไม่ต้องการ”จ่ายส่วย” หรือ”ภาษีเถื่อน” ให้ “เจ้าหน้าที่” ต่างหาก…..ยกตัวอย่างที่ “ด่านนอก” เทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา “เมืองชายแดน” ที่มี โรงแรมกว่า 100 โรง มี “สถานบันเทิง”ทุกตรอกทุกซอย  ทั้งเป็นของ”นายทุนชาวอินเดีย” และ”นายทุนชาวมาเลเซีย” กับของ”นายทุนไทย” เขาเปิดให้”บริการแขกเหรื่อ” ตั้งแต่ “บ่าย 2“ ( 14.00  น ) และ ปิดตามใจชอบ บางแห่งแขกหมดก็ปิด บางแห่งปิด” ตอนสว่าง “ก็ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่ คนไหนไป”วอแว” หรือไป สั่งให้เขาต้องทำตาม”กฎหมาย” ดังนั้น จ.สงขลา จึงถือว่าเป็น”โชคร้าย” ของ”กลุ่มทุนสถานบันเทิง” ที่ต้อง”จ่ายส่วย” ในการ”เปิดเกินเวลา” ส่วนคนเก็บส่วยถือเป็นผู้ที่”โชคดี” ยิ่งกว่าการ”ถูกหวย” เพราะ”หวย” ไม่ได้ถูกทุกวันแต่”ส่วย” จาก “สถานบันเทิง” ที่”ผิดกฎหมาย” เก็บได้”ทุกคืน” ไม่ว่า”ฝนจะตกแดดจะออก” ก็ได้เงินแน่นอน

การอนุญาตให้เปิด “สถานบันเทิงถึงตี 4 “ จะเป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ตามนโยบายของรัฐบาล จะมี”เม็ดเงิน” เพิ่มมาเท่าไหร่ไม่รู้ และ คนที่จะ”ร่ำรวย” เป็น”กลุ่มทุน” หรือ”ประชาชน”ทั่วไปก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ และต้อง”จับตามอง” คือปัญหาความ”หายนะ” ของสังคมจะเพิ่มขึ้น “วัยรุ่น-เยาวชน” จะแห่กันไปเที่ยวตาม”กระแส” ผู้ที่อายุไม่ถึง 18 ปี ก็จะหาทาง”เข้าผับ-เข้าบาร์” อย่างเรื่องที่เกิดกับ”เสี่ยบาส”ผู้เป็น”โม้อมตะ” ที่”ขอนแก่น” จะเกิดมากขึ้น ยาเสพติดคืออีกหนึ่งปัญหาที่จะตามมา และสุดท้าย”อุบัติเหตุบนท้องถนน” จาก”เมาแล้วขับ” ที่เกิดขึ้น นี่คือ”ต้นทุน” ที่จะตามมาให้”รัฐบาลแก้ไข” ก็ เตรียม”รับมือ”แต่เนิ่นๆ เพราะเกิดแน่นอน

ฤดูฝนของภาคใต้คงตกถึงสิ้นปี หลายจังหวัดมี”ประชาชน” ได้รับความ”เดือดร้อน” เช่น จ.นราธิวาส หลายอำเภอมี”น้ำท่วม”หนักบ้าง เบาบ้าง แต่ก็ยัง”โชคดี” ที่ มี กำลังของ ฉก.นราธิวาส ที่มี” พล.ต.เฉลิมพร ขำเขียว” ผบ.ฉก  นราธิวาส  เป็นกำลังสำคัญในการ “รับมือ” และมีกำลังของ “นาวิกโยธิน” ค่ายจุฬาภรณ์ ที่ พร้อมทั้ง อุปกรณ์ ยานพาหนะ และ กำลังพล รวมทั้งวันนี้ จ.นราธิวาส มี ผวจ.”ป้ายแดง” ร.ท. ตระกูล โทธรรม ที่เคยผ่านการเป็น รอง ผวจ.ปัตตานี มาแล้ว จึง ประสานงานกับ กำลังของ ทหารบก ทหารนาวิกโยธิน ในพื้นที่ได้อย่างดี การช่วยเหลือประชาน”เบื้องต้น” จึงไม่มีปัญหา แต่ หลังน้ำลด จังหวัดต้องมีความพร้อมในการ ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเหล่านี้ด้วยนะ

นานแล้วที่ในพื้นที่ จ.สงขลา ไม่มีการ”สังหาร” นักการเมืองท้องถิ่น ล่าสุด “นายกมิง” นายอดุลย์ คาน นายก อบต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา คือ”เหยื่อกระสุนปืน” ที่ถูก “คนร้าย” ถล่มถึง 15 นัด ประเด็นสำคัญ น่าจะมาจากเรื่อง”รับเหมา”และความ”ขัดแย้ง” ทาง”การเมือง” กับ”คู่แข่ง”ในพื้นที่ มากกว่าเรื่อง”ความมั่นคง” เพราะปี 2565 ที่ผ่านมา “รถยนต์”ของ”นายกมิง” ถูกลอบเผาถึง 5 คันด้วยกัน   แม้ว่า “ปลอกกระสุน” ในที่เกิดเหตุ จะยิงมาจากอาวุธปืน ที่เคยมีการก่อเหตุด้าน”ความมั่นคง” ก็อย่างเพิ่งด่วนสรุป เพราะ”ปืนที่ใช้ก่อเหตุในเรื่องความมั่นคง” เป็นปืน” กองกลาง” ที่”คนร้าย” ที่ไม่ใช่”แนวร่วม”แต่เป็นผู้มี”อิทธิพล” และมีความ”สัมพันธ์” กับ “ขบวนการ”  สามารถ”หยิบฉวย” มาใช้ได้ เพื่อที่จะทิ้งหลักฐาน ว่าคดีที่เกิดขึ้นเป็น เรื่อง”ความมั่นคง” เพื่อให้”ตำรวจปิดสำนวน”ได้ง่ายๆ เรื่องนี้”พล.ต.ต.เชาวลิตร เลี้ยงสุพงษ์ ผบก. ภ.จว.สงขลา ต้อง “ละเอียดรอบคอบ” อย่า”หลงประเด็น” และที่สำคัญต้อง “แสดงฝีมือ” ในการติดตามจับคนร้ายมาลงโทษให้ได้

หลังเกิดคดี นักโทษชาย เชาวลิต ทองด้วง หรือ ”แป้ง นาโหนด” หลบหนีเรือนจำ จ.นครศรีธรรมราช และมา”หลบซ่อน” ที่บ้าน”ในตระ” เทือกเขาบรรทัด” ท่ามกลางการ “ปิดล้อมไล่ล่า” ของ “ตำรวจ”กว่า 200 นาย เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์ แต่สุดท้าย”แป้ง นาโหนด” ก็ได้”พลพรรค” พาหลบหนีจาก”วงล้อม”ของ ตำรวจ อย่าง”ลอยนวล  หลังความ”ล้มเหลว” ครั้งใหญ่ของ ตำรวจ บชภ.9 ภายใต้การนำของ “ผบช.”ป้ายแดง” พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 “พล.ต.ต.ณัฐกรณ์ กาญจนาภรณ์” ผบก.ภ.จว.พัทลุง  ได้มีคำสั่ง”กวาดล้าง”อาวุธปืนเถื่อน,ยาเสพติด” ซึ่งได้ ผู้ต้องหา และ ของกลาง”จิ๊บจ๊อย” และ”พล.ต.ต.ภรศักดิ์ นวนหนู “ รอง ผบช.ภ.9 ก็ออกมาแถลงข่าวว่า “ตำรวจ” ยังคงติดตาม”ไล่ล่า” เพื่อจับกุมตัว”แป้ง นาโหนด” ต่อไป รวมทั้ง ผู้ที่อยู่ในขบวนการพา”แป้ง นาโหนด” หลบหนี แต่ ก็ตอบไม่ได้ว่า”แป้ง นาโหนด” อยู่ที่ไหน และผู้ที่พา”แป้ง นาโหนด” หลบหนีเป็นใคร ฟังแล้วก็”เป็นงง”…..หลายคนก็สงสัยว่า ทำไม่คดีการติดตามตัว”แป้ง นาโหนด”  จึงขาด”นายตำรวจมือดี”  เจ้าพ่อ”คดีค้างเก่า” อย่าง พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส. จชต.  ผิดกับ คดีใหญ่ๆ ทุกคดีที่ต้องมี”ศักดา” ทำหน้าที่”ไล่ล่า” ทุกครั้ง สงสัยคดีนี้”สายสืบมือดี” ทุกคนของภาค 9 “เจอตอ” เพราะรู้ว่า ผู้ที่”อุ้มเสี่ยแป้ง” เป็นใคร กระมัง

กลุ่ม สมัชชาเลี้ยงหมูรายย่อยใน จ.พัทลุง และ 14 จังหวัดภาคใต้ ที่ได้รับความ”เดือดร้อนจากขบวนการหมู่เถื่อน” คงรอการทำงานของ”ดีเอสไอ” ไม่ไหว จึงรวมตัวกันทำพิธี”เผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง” ผู้นำเข้าหมู่เถื่อน พร้อมเรียกร้องให้ รัฐบาล แก้ปัญหาที่เป็น”อุปสรรค”ของผู้เลี้ยงหมูรายย่อย หวังว่าการ”สาปแช่ง” ครั้งนี้คงจะดังถึงหูของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ”รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  และ “กลุ่มสมัชชารายย่อยคงจะไม่”สูญเสียหัวหมู 39 หัว ที่นำมาบวงสรวงสาปแช่ง”ผู้ค้าหมูเถื่อนในครั้งนี้แบบ”สูญเปล่า” นะ

คดีการ”บุกรุกที่อุทยานบนเกาะหลีเปะ อ.เมือง จ.สตูล กำลังจะเงียบหาย หลังจากที่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” หรือ”โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”รอง ผบ.ตร.  ผู้ทำคดีนี้ ไม่ได้รับผิดชอบในงาน “สืบสวนสอบสวน” คดีการ”บุกรุกที่ดินอุทยาน” ยืดเยื้อยาวนาน และเป็น”มวยล้ม” มาแล้วหลายครั้ง  ก็ได้แต่คาดหวังว่า ครั้งนี้ ผู้ที่เข้ามารับผิดชอบคดีนี้แทน “บิ๊กโจ๊ก” จะได้มีการ “สานต่อ”  เพื่อเอาที่”อุทยานกลับมา” และเอา”คนผิด”ไปลงโทษตาม”กบิลเมือง”……การพนัน”ล้อลูกแก้ว” ในการจัดงาน”สวนสนุก” กำลัง”ฟื้นคืนชีพ” ข่าวว่า จะมีการ”จัดงานสวนสนุก” และจัดให้มีการ”พนันล้อลูกแก้ว” ที่ จ.สงขลา ถึง 3 งาน เพื่อการ”ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” จำได้ว่าสมัยที่”เจษฎา จิตรัตน์” เป็น ผวจ. สงขลา มีคำสั่งห้ามมิให้”นายอำเภอ”ออกใบอนุญาตให้มีการ เล่นการพนันทุกชนิดในงาน”สวนสนุก” ทุกงาน วันนี้ “เจษฎา จิตรัตน์” ย้ายไปเป็น”ผวจ.สุราษฎร์ธานี และ” สมนึก พรหมเขียว” เป็น ผวจ. สงขลา นโยบายการเล่นการพนันใน”สวนสนุก” จึงเปลี่ยนไปอย่างนั้นใช่มั้ย

ศุกร์,เสาร์,อาทิตย์” นักท่องเที่ยวแบบ”แฟร์มีลี่ทัวร์” ที่โดยสารมากับ”รถบัส” มาเที่ยว”หาดใหญ่ “ จ.สงขลา แน่นขนัด เพราะอยู่ในช่วง”ปิดเทอม” ของ”ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งการที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีสั่งให้”ตรวจคนเข้าเมืองสะเดา” ยกเลิกการให้”เอกสาร ตม.6” ในการ”เข้าเมือง”  ส่งผลให้ นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 30 %  เรื่องดีๆอย่างนี้ “สำนักงานการท่องเที่ยว” ต้องเสนอให้”นายกรัฐมนตรี” ยกเลิกการใช้”เอกสาร ตม.6” ให้หมดในทุกด่านพรมแดน   ทั้งที่”ด่านพรมแดนเบตง จ.ยะลา และ”ด่านพรมแดน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส  นี่คือ”รายได้”ที่เรียกว่า”สิบเบี้ยใกล้มือ” ไม่รู้จักคว้า ก็สมควรที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีจะออกมา”ว้ากใส่” สำหรับผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย…..และต้อง”ชื่นชม” นโยบาย”ขอคืนทางเท้า”ของ”เทศบาลนครหาดใหญ่” จ.สงขลา ภายใต้การบริหารของ” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศมนตรี เพื่อให้ผู้”สัญจร” ที่มาเที่ยวหาดใหญ่ มีความ “สะดวกสบาย” เดินบนทางเท้าอย่างปลอดภัย รวมทั้งเรื่องการ”จัดระเบียบจราจร” ที่ทำได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน นี่คือ”หัวใจ” ของการให้”หาดใหญ่” เป็นเมืองท่องเที่ยว น่าเที่ยวมากขึ้น

แม้จะ”สอบไม่ผ่าน” ถึง 2 ครั้งจากการเป็นผู้สมัคร สส.เขต 6 ของ จ.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ แต่ วันนี้ “อนุกูล พฤกษานุศักดิ์”  ยังมี”อนาคตที่รุงโรจน์” สังเกตได้ว่าในการ”โยกย้าย” ตำรวจของกองบัญชาการตำรวจภูธร 9 ครั้งนี้  เส้นทาง ไปสู่บ้านของ”เสี่ยโบ๊ต,” ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา มีตำรวจ” เดินเข้า เดินออก “ แบบที่เรียกว่า”หัวกระไดไม่แห้ง” ก็แล้วกัน อนาคต ทางการเมืองยังไม่ถึง”ฝั่งฝัน”แต่ความ”ยิ่งใหญ่” ในวงการ”สีกากี” ประสบความสำเร็จแล้ว…..และ ข่าวว่า ก้าวเดินต่อไปของ”เสี่ยโบ๊ต” คือการก้าวสู่”ถนนการเมืองท้องถิ่น” ด้วยการ”สนับสนุน”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อธิบดีกรมฝนหลวงฯ” ให้ลงสมัครเป็น”นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา” โดยมีทีมงานของ”ชนนพัฒน์ นาคสั้ว”  สส. เขต 4 สงขลา พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้”เดินเกม”ในพื้นที่ 4 อำเภอของ”คาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลา ข่าวว่ามีการ”จัดสรรตำแหน่ง” รองนายก อบจ.สงขลา ลงตัวกันแล้ว  และหนึ่งใน “รองนายก อบจ.สงขลา “คือ” เสี่ยโบ๊ต” นี่แหละที่เขาเรียกว่า”รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม” อ้าว แล้ว “ไพเจน มากสุวรรณ” นายกองค์กรบริหารจังหวัดสงขลาคนปัจจุบัน ไปอยู่ตรงไหนของการ”เลือกตั้ง” นายก อบจ. ครั้งหน้า  เพราะมีการ”ออกข่าว” แล้วว่า”ยังคง”พิสมัย” ตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลา และขอลงสมัครเพื่อทำงานให้ชาวสงขลาเป็นครั้งที่ 2  เพราะ “เจ้าตัว” เชื่อมั่นใน”ผลงาน” ที่มี”มากมาย” แต่ นั่นแหละ”ประชาชน” จะมองเห็นหรือเปล่า ”ไพเจน มากสุวรรณ” ต้อง ศึกษาไว้เพื่อ”รับมือ”กับการ”เลือกตั้ง” ครั้งหน้า

”ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” คดีตำรวจ สภ.ป่าบอน จ.พัทลุง” จับ “ลุงแก่ๆ” ในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และมีการ”เจรจา” เรียกเงิน 20,000 บาท” เพื่อไม่ดำเนินคดี แต่”ลุงแก่ๆ ฮึดสู้” ว่าถูก “ตำรวจวางแผน” ยัดข้อหาแล้ว”ตบทรัพย์” จนกลายเป็น” คดีความ” นำไปสู่การ”ร้องขอความเป็นธรรม” วันนี้” พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี “ ผบช.ภ.9 สั่งย้ายตำรวจทั้งชุด ไปช่วยราชการ และสั่งตั้ง “กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง” นี่คือเรื่อง”ไม่เข็ดไม่หลาบ” ในวงการตำรวจ ที่ไม่ว่าใครจะมาเป็น” ผบ.ตร. ปัญหานี้ แก้ไม่เคยได้ และ”ตำรวจ” ก็ไม่เคย”ใส่ใจ” ทั้งที่แต่ละปีมี”ตำรวจ” ที่ถูกออก “ให้ออก” และ”ไล่ออก” จากราชการตำรวจมีเป็นจำนวนมาก” พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.”  คนใหม่  จะแก้อย่างไรกับปัญหานี้……นี่ก็เป็นเรื่อง”เรื้องรัง” ที่ แก้ไม่ได้ หรือไม่แก้ก็ไม่รู้ เรื่อง “ตัดไม่ทำลายป่า” ในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ล่าสุดเกิดขึ้นกับ”ป่าไม่ในเขาปกโย๊ะ” ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา พื้นที่”สีแดง” ที่มีกำลัง”ทหาร-ตำรวจ” อยู่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่ช่วยให้”มอดไม้” เกรงใจ ก็ต้องถาม พล.ท.ศานติ  ศกุลตนาก” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผบ.กอ.รมน.ภาค 4 ว่า จะทำอย่างไร ที่จะให้”กำลังพล”ในพื้นที่ “มีส่วน” ในการป้องกัน”ทรัพยากรป่าไม้” ได้บ้าง …..แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา ‘การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ กลายเป็นตําบลกระสุนตก!

หลายเรื่องที่เกี่ยวกับการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ของ”ประชาชน”ภายใต้” อุ้งมือ” ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ยังอยู่ในลักษณะ”ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก” ทั้งเรื่องของเงิน” ดิจิตัลวอลเล็ต” หรือการ”แจกเงิน 10,000 บาท  ที่รัฐบาลต้องกู้เงินมา 500,000 ล้านบาท  เพื่อ “แจก” ให้ ประชาชนได้ใช้จ่าย เป็นการ”กระตุ้น”เศรษฐกิจ” ที่วันนี้ โครงการนี้ ยัง”ลูกผีลูกคน” เพราะนอกจากมีเสียง”คัดค้าน”ที่ดัง”กระหึ่ม” จากผู้ไม่เห็นด้วย ซึ่งล้วนเป็น”กูรูทางเศรษฐกิจการเมือง” และยังไม่ผ่านด่านของ”กฎหมาย” ความหวังที่”ประชาชน” จะได้จะรับ”เงินแจกฟรี” ในห้วงของ”เทศกาลสงกรานต์” เป็นอัน”ดับฝัน” ไปเรียบร้อย ความหวังในเรื่องการสร้าง”ฐานการเมือง”ของ”เพื่อไทย” จากโครงการ”แจกเงิน 10,000 บาท ก็”พังพาบ” ไปด้วย…..ส่วนเรื่องการ”ท่องเที่ยว” ที่เป็นอีกหนึ่ง”ความหวัง” ในการฟื้น”เศรษฐกิจ” ที่”รัฐบาลนิดหนึ่ง” คาดหวัง ทั้งในเรื่องการออกนโยบาย” ฟรีวิซ่า” ให้กับ นักท่องเที่ยวประเทศจีน ก็ไม่”สมความปรารถนา” เพราะวันนี้”รัฐบาลจีน” ไม่สบอารมณ์กับ นโยบายของ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ในหลายเรื่องหลายราว “สื่อ”ของ”จีน” ถึงกับออกมา”วิพากษ์”ว่า ก่อนที่จะให้”คนจีน” เข้ามา เที่ยวในเมืองไทย ไทยต้องเร่ง”กวาดบ้านตนเอง” เสียก่อน ประเด็นนี้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ต้องไป”ทบทวน” เอาเองว่า นโยบายอะไรที่ทำให้จีน”ตั้งแง่” กับประเทศไทย

เรื่องการ”ท่องเที่ยว” ที่ไม่เป็นไปตามความ”คาดหวัง” ของ”นายกรัฐมนตรี” ทำให้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีเกิดอาการ”ของขึ้น” เมื่อรู้ข้อมูลจาก” ผวจ.กาญจนบุรี” เรื่อง จำนวนนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาเที่ยวแล้ว”ใช้จ่ายน้อยมาก” แค่คนละ 1,000 กว่าบาทต่อคน “ตำบลกระสุนตก” จึงเป็นที่” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย”  แบบนี้เขาเรียกว่า”เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” เพราะ”การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” เพิ่งจะถูก”ทัวร์ลง” ในเรื่องความเห็นให้”ตำรวจจีนมาดูแลนักท่องเที่ยวจีน” เที่ยวนี้ถูก” นายกรัฐมนตรี” บอกให้หยุดไป”เมืองนอก” และพอหันมาดูปัญหาของการท่องเที่ยวในเมืองไทยบ้าง เรื่องการ”ท่องเที่ยว” ที่ “เศรษฐี” อย่าง”เศรษฐา” ไม่รู้ก็คือ วันนี้ “นักท่องเที่ยว” ทั้งที่เป็น”คนไทย” และ”ต่างชาติ” ที่เดินทางมาท่องเที่ยวต่าง”ประหยัด” เช่น”นอนรีสอร์ทราคาถูก กินอาหารไม่แพง  “  พยายามใช้จ่ายให้น้อยที่สุด เพราะเงินในกระเป๋าที่น้อยลง สาเหตุมาจาก”เศรษฐกิจตกต่ำ” แค่  ได้มาเที่ยวก็บุญโขแล้ว …..ประเด็นที่ทำให้”เศรษฐกิจไทย” ไม่เดินไปตามที่คาดหวังคือเรื่อง”ความล่าช้า”ของการใช้”งบประมาณ” ปี 2567 ที่ กว่าจะผ่านสภาผู้แทนราษฎร กว่าจะประกาศใช้ได้ก็ โน่น เดือน”เมษายน 2567 กว่าจะผ่านวิธีการ”จัดซื้อ จัดจ้าง” หรือ ใช้ งบประมาณ ได้จริง  ก็ปาเข้าเดือน พฤษภาคม  เข้าไปแล้ว เท่ากับปี 2567  ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานราชการ มีเวลาใช้เงินงบประมาณเพียง  3 – 4  เดือนเท่านั้น  ดังนั้น อย่าแปลกใจ ที่ ขณะนี้ “ผู้รับเหมา-ผู้ประกอบการ” ในประเทศ ที่เกี่ยวกับการ”ก่อสร้าง” การ”ขายวัสดุอุปกรณ์” และ”เหมืองหิน- เหมืองทราย- บ่อดิน” และ อื่นๆ จึง ไม่มีงานทำ และ”ปลดคนงาน” เป็นการ”ซ้ำเติม” เศรษฐกิจ ปากท้อง ให้ “ย่ำแย่” ยิ่งขึ้น จึงยังไม่มี”อะไรที่ใหม่ๆที่เป็นความหวังของคนไทย”ในเรื่อง”เศรษฐกิจ ปากท้อง” สำหรับคนไทย ในปีใหม่ 2567 ที่จะมาถึงนี้”

ส่วนในเรื่อง”การเมือง”เปิดสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ นอกจากเรื่อง” พรบ.นิรโทษกรรม “ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล แล้ว ยังมีเรื่องของ”ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่เป็น 2 เรื่องใหญ่ ซึ่ง “นักการเมือง” และ”พรรคการเมือง” ยังมีความเห็น”หลากหลาย” ที่ยัง”ขัดแย้ง”กันอยู่ ซึ่งดูแล้วยัง”ไม่ง่าย” ที่พรรคการเมืองที่เป็น”แกนนำรัฐบาล” อย่าง”เพื่อไทย” จะนำ”รัฐนาวา” เดินไปข้างหน้าด้วยความ”ฉลุย”…..เรื่อง”รัฐธรรมนูญ” เป็น”กฎหมายปกครองประเทศ” ที่สำคัญยิ่ง “การเมือง”ที่ดีต้อง”สุจริต-สะอาด”  ร่างรัฐธรรมนูญ ใหม่ต้องใช้  สสร. เป็นผู้ยกร่าง 100 % จึงจะเป็นการน่าเชื่อถือ แต่จะเป็นไปได้แค่ไหน ในเมื่อดู”บริบท” ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ที่ผ่านมา 3 เดือน ยังพบว่ายังอยู่”ใต้เงาปีก” ของ”อำนาจเก่า” เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มี”ดีลลับ” และ”แหยง” แม้แต่จะพูดคำว่า”ปฏิรูป” เมื่อไม่กล้าที่”ปฏิรูป” แล้วจะเห็นความ”เปลี่ยนแปลง”อย่างไร นี่คือคำถาม …… ”ชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี” และอดีต”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” กล่าวว่าการเมืองยุคเก่าเป็น”การเมืองสุจริต” การเลือกตั้งที่ จ.ตรัง เมื่อก่อนชาวบ้านมี สโกแกน ว่า “ ใส่ชื่อทวี กินฟรีพิทักษ์  เลือกพรรคนายชวน”  นั่นเป็น”การเมืองแบบเก่า” ส่วนการเมือง”แบบใหม่” ในการ”เลือกตั้ง” แต่ละครั้ง โดยเฉพาะ”ล่าสุด” ปี 2566 ที่ผ่านมา “ภาคใต้” เป็นภาคที่ใช้เงินในการ”ซื้อเสียง” มากที่สุด บางเขตใช้ถึง 100 กิโล บางเขตที่มี “นักการเมือง” ที่ถูก”ดำเนินคดีในข้อหาการพนันออนไลน์” ใช้ถึง 140 กิโล เพราะมีการ”แข่งขัน”ที่สูงมาก เมื่อ”นักการเมืองเข้าไปเป็น สส. โดยไม่”สุจริต” แล้วจะหวังได้เห็น”การเมือง”มีความ”สุจริต” อย่างไร เห็นด้วยกับ” ชวน หลีกภัย” ที่ ตั้งคำถามว่า เมื่อผู้ที่ได้เป็น สส. ใช้เงิน 50 ล้าน ในการ”ซื้อเสียง” แล้วเป็นไปได้หรือที่จะไม่มีการ”ถอนทุน” ดังนั้น “รัฐธรรมนูญ” ที่จะมีการ”ร่างขึ้นใหม่” ก็ต้องมีความ”ศักดิ์สิทธิ์” และแก้ปัญหาการเมืองที่ไม่”สุจริต” ให้ได้ด้วย

” ชวน หลีกภัย” พูดทุกเรื่องเกี่ยวกับ”การเมืองไทย” ได้ถูกที่สุด แต่”เสียดาย” ที่เป็นการพูดในขณะที่” หมดยุค” ของนักการเมือง”รุ่นเก่า” ที่ชื่อ” ชวน หลีกภัย” แล้ว เพราะแม้แต่คนใน”ประชาธิปัตย์” ที่บอกว่าเป็นนักการเมือง”รุ่นใหม่” ก็ไม่ได้”สำเหนียก” กับคำพูดของผู้มี”คุณูประการต่อพรรคประชาธิปัตย์”อย่าง” นายหัวชวน” การเลือก “หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์” ที่ผ่านมาคือ”คำตอบที่ชัดเจน”…..ก็ขอแสดงความยินดีกับ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคฯ และ” เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรคฯ หน้าที่ของทั้งสองท่าน คือต้อง แสดงให้ ประชาชนเห็นว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่”ชวน หลีกภัย” ออกมา”วิพากษ์วิจารณ์”และต้องไม่นำ”ประชาธิปัตย์” เป็น”อะไหล่” ทางการเมือง ในรัฐบาลชุดนี้ และในการ”เลือกตั้ง” ในครั้งต่อไป จำนวน สส.ของพรรคต้องเพิ่มขึ้น ที่สำคัญอยากเห็น”จุดขาย” ทางการเมืองของ”ประชาธิปัตย์” ที่จะประกาศต่อประชาชน เพราะที่ผ่านมา”ประชาธิปัตย์” มีแต่”จุดตาย” ทั้งสิ้น……เรื่อง”ประชาธิปัตย์” ยังไม่จบง่ายๆเพราะ นอกจาก” อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ” อดีต”หัวหน้าพรรค”และ”สาธิต ปิตุเตชะ” รองหัวหน้าพรรคฯ” ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคแล้ว ล่าสุด” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ( เสี่ยตาล) อดีต สส.หลายสมัยของ จ.ตรัง ก็ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคกับเขาด้วย และเชื่อว่ายังมีสมาชิกพรรคอีกจำนวนหนึ่งที่ ทยอยกันลาออก และที่ต้องจับตามองคือ” สรรเพชญ บุญญามณี สส.เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาแถลงผ่านโซเชียลว่าจะขอทบทวนบทบาทของตนเอง

กลับมาดูเรื่องการ”พัฒนาด้านเศรษฐกิจของภาคใต้” ที่ วันนี้เรื่องของ”แลนด์บริจส์” ที่เป็น”สะพานบก” เชื่อมระหว่างฝั่งทะเล”อันดามัน”กับ”อ่าวไทย” ระหว่าง จ.”ระนอง-ชุมพร” ยังไม่มีความ”ก้าวหน้า” ว่าจะมี”กลุ่มทุน” จาก”ต่างประเทศ” ให้ความสนใจมาลงทุน  มีแต่”เอ็นจีโอ” ที่ลงพื้นที่ เพื่อ”ตระเตรียมมวลชน” ไว้ทำการ”ต่อต้าน” ถ้ามีผู้สนใจเข้าไปลงทุน ส่วนโครงการใหญ่อื่นๆ ในภาคใต้นอกจาก”แลนด์บริจส์” ก็ไม่เห็นมีอะไร เพราะหลายโครงการเช่น “ท่าเรือน้ำลึก” ที่ อ.ละงู จ.สตูล ก็ถูกสั่ง”ยกทิ้ง” ในสมัยของ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น “นายกรัฐมนตรี” แล้ว ส่วน”เซ้าท์เทิร์นซีบอร์ด” หลังการเวนคืนพื้นที่ในสมัยที่”ชวน หลีกภัย” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ก็”ยกเลิก”โครงการไปแล้วเช่นกัน และแม้แต่ โครงการที่ “รัฐบาล” ของ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี “อนุมัติ” แล้วอย่าง”เมืองต้นแบบที่ 4 “ หรือ”เมือง”อุตสาหกรรมจะนะ” อ.จะนะ จ.สงขลา ที่เป็นการลงทุนของกลุ่มทุน” ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” เจ้าสัวใหญ่ของอาณาจักร “ที่พีไอ โพลีน ฯ” ในวงเงิน 600,000 ล้านบาท  ซึ่ง “รัฐบาล” ชุดก่อน มอบให้ “สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”( สศช,) เป็นผู้รับผิดชอบ ก็ไม่เคยเห็น”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง ทั้งที่ โครงการนี้ ถ้าเกิดขึ้นได้ จะเป็นประโยชน์กับการพัฒนาภาคใต้ตอนล่างเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญเป็นเรื่องการพัฒนาที่ไม่ต้อง”พึ่งพา” เพื่อนบ้านอย่าง”มาเลเซีย” อีกต่างหาก

สงขลา ต้องการ”ท่าเรือน้ำลึก”  แห่งที่ 2 เพื่อการ”ส่งออก” เพราะทุกวันนี้”สงขลา” ต้องขนตู้”คอนเทนเนอร์” ทางรถบรรทุก และรถไฟ เพื่อไปยัง”ท่าเรือปีนัง” ถ้า”สงขลามี”ท่าเรือน้ำลึก” ที่มี”มาตรฐาน” เศรษฐกิจ  การค้า ของ”ภาคใต้ตอนล่างก็จะ”กระเตื้อง” และ”แข่งขัน” กับ”คู่แข่ง”ได้ เรื่องนี้ไม่ทราบว่า”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้ที่กำกับดูแลการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นประธาน”คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ( กพต. ) มีความ”คิดอ่าน” อย่างไร การ พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้อง”หายใจ” ด้วย”จมูกตนเอง” อย่าฝากความหวังไว้กับ”เพื่อนบ้าน” อย่าง”มาเลเซีย” เด็ดขาด….ล่าสุดมีการขอ”งบประมาณ 360 ล้าน ในการ”พัฒนา” ท่าเรือวงแหวนอันดามัน” เพื่อการ”เชื่อมโยง”ท่าเรือใน จ.ภูเก็ต,กระบี่,พังงา เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว ที่วันนี้”ท่าเรือ”เหล่านี้”ทรุดโทรม” และนี่คือปัญหาของการพัฒนาการท่องเที่ยวในภาคใต้  ที่รัฐขาดการ”เอาใจใส่” ไม่มี”ความพร้อม” ในการ”อำนวยความสะดวก” ให้เกิดขึ้น แต่ต้องการเห็น”เม็ดเงิน” จากการ”ท่องเที่ยว” เข้าประเทศเยอะๆ  แต่จะพัฒนาอย่างไร ก็ดูให้ดี ว่าให้เป็นเหมือนท่าเรือ( บางแห่ง )ที่สร้างเสร็จแล้ว ไม่เกิดความ”คุ้มค่า”และการซื้อ”ที่ดิน” ที่”แพงกว่าราคาประเมิน” หลายสิบเท่า  และที่สุด “ปปช.” ก็ทำการ”เช็คบิล” ผู้บริหาร อบจ. ในขณะนั้น ทำให้ วันนี้ต้องไป”สู้คดี” หลัง “ปปช.” ชี้มูลความผิด

อยากเห็นนะ การพัฒนาที่”เป็นชิ้นเป็นอัน” ของ จ.สงขลา ในฐานะที่เป็นเมือง”เศรษฐกิจ”ท่องเที่ยว” และเป็นเมือง”หน้าด้าน” ที่ติดกับ ประเทศมาเลเซียทั้ง”รัฐเปอร์ลิส “ และ”รัฐเคด้า” ที่ผ่านมา มี”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ผ่านกันเข้ามา”เป็นพ่อเมืองสงขลา” หลายคน แต่คนที่พอจะมีผลงาน”เป็นชิ้นเป็นอัน” เช่นการ”เอาสนามกอล์ฟ” ที่มีคน”ตีกอล์ฟ” ไม่ถึง 20 คน มาเป็นสวนสาธารณะเพื่อคนส่วนใหญ่ และ “จัดระเบียบ” ด้วยการ”รื้อร้านค้า” ที่ “บดบัง” สถานที่ราชการ ที่”หาดชลาทัศน์” ออกไปได้ ก็คือ” ธรรมรงค์ เจริญกุล” อดีต “ผวจ.สงขลา” ที่เป็นเป็น”ผวจ.เพียง 1 ปี ที่มีผลงานที่”จับต้องได้”……วันนี้จึงอยากเห็น” สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ที่อายุราชการปีเดียว ทำในสิ่งที่เป็นการสร้างประโยชน์ให้ชาวสงขลา เช่นจัดการเรื่องของ”โพงพาง”ที่”รุกล้ำร่องน้ำเดินเรือ” ในทะเลสาบสงขลา” จัดการกับ”สุสานเรือเวียดนาม” ที่เป็น”ของกลาง” ในคดี”ลับลอบทำประมงในน่านน้ำไทย” ซึ่งเป็น”ทัศนอุจาด” ของ”ทะเลสาบสงขลา” และการ”ผลักดัน” การก่อสร้าง “สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา” ระหว่างฝั่ง อ.เมือง กับ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่ง” เจือ ราชสีห์” อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ” ได้เสนอโครงการให้กับ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต นายกรัฐมนตรี ไว้แล้ว และขณะนี้”เจือ ราชสีห์” ก็เป็นที่ปรึกษาของ”พีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน  เรื่องอย่างนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา สมควรออกมา”ผลักดัน” หรือคน สงขลา ต้องใช้”แพขนานยนต์” ตลอดไป โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ

อีกเรื่อง สำหรับ จังหวัดสงขลา ที่”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ต้องมีการ”บูรณาการ” กับ”ตำรวจ”ในการ”ปัดกวาด” คือเรื่อง”บ่อนการพนันออนไลน์” ที่มีอยู่”เกลื่นกลาด” ใน อ.หาดใหญ่ อ.เมือง อ.สะเดา ที่”ล่าสุด” ตำรวจ “PCT” เข้าจับกุม คอนโดหรู กลางเมืองหาดใหญ่ ได้ผู้ต้องหา 36 คน ที่”วีนัส มาสเตอร์” ที่มีสาขาถึง 700 แห่ง เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่” พ่อเมืองสงขลา” ต้องดำเนินการ เพราะนี่คือ”ภัยอันตราย” ของ “เด็ก –เยาวชน” ในสังคมไทยอย่างแท้จริง ส่วนเรื่องเล็กๆ “กระจุ๋มกระจิ๋ม” เช่นการ”จัดระเบียบคิวรถ”จัดระเบียบ”จราจร” สั่งการให้ “นายอำเภอ” ไปทำบ้างก็ได้ …..เงียบไป แต่ยังไม่จบ นั่นคือ “คดีการจัดสัมมนาให้แสดงความคิดเห็นเรื่องการแบ่งแยกดินแดน” เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยา เขตปัตตานี จัดโดย คณะนักศึกษาและภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค”  แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  เป็นโจทย์ แจ้งความเอาผิดกับ “แกนนำผู้จัดสัมมนา” ในครั้งนั้น ล่าสุด “ พนักงานสอบสวนสภ.เมืองปัตตานี” แจ้งข้อหา 5 แกนนำ”ภาคประชาสังคม” ในความผิด “ ม.166 “ ข้อหา”ยุยงปลุกปั่น” ก็ยังเหลือแต่”นักการเมือง” ที่เข้าร่วม”เสวนา” ในวันนั้น ที่ยังไม่ถูกแจ้งข้อหา ก็ไปหา”หลักฐาน” เพื่อ”แสดงความบริสุทธิ์” ในขบวนการยุติธรรมกันต่อไป เพราะ”กฎหมาย”บอกว่า ตราบใดที่”ศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่ามีความผิด”ตราบนั้นผู้ถูกกล่าวหาก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์” และ ทันทีทันควัน 4 องค์กรสิทธิมนุษย์ชน ใน จ.ปัตตานี ก็ออกมา”เรียกร้อง” ให้” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ให้”ถอนแจ้งความ” ในคดีนี้ เพราะมีความเห็นว่า”การจัดเสวนาเป็นเรื่องทางวิชาการเป็นการแสดงความคิดเห็นตามประชาธิปไตย”  ก็เป็นการ”มองต่างมุม” ระหว่าง”นักสิทธิมนุษย์ชน” กับ”นักกฎหมายความมั่นคง” ส่วนจะผิด หรือ ถูก เป็นหน้าที่ของ” ศาลยุติธรรม” ที่จะเป็นผู้”ชี้ขาด” เข้าใจนะ

สิ่งที่ต้อง”จับตามอง”คือการ”จัดเวทีสัมมนาย่อย” ของ”ภาคประชาสังคม”ที่เป็น”ปีกทางการเมืองของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ในหลายๆ พื้นที่ ซึ่ง”เนื้อหา” เป็นการ”ยุงยงปลุกปั่น”ในเรื่องการ”แบ่งแยกดินแดน” เรื่องนี้เป็น ปัญหาที่”ยุ่งยาก” และ”สำคัญ”กว่าการ”ใช้กำลังในการ”ก่อเหตุความรุนแรง” เพราะเป็นการ”บ่มเพาะ ปลูกฝัง” นำคนเข้าสู่ขบวนการบีอาร์เอ็น” ถ้ายังปล่อยให้มีการ”จัดกิจกรรม” ที่เป็น”ภัย” กับ ประเทศชาติ ต่อไปอย่างเสรี การแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไม่ประสบความสำเร็จ นี่คือ ประเด็นปัญหา ที่”ท้าทาย” สำหรับ “ พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทรน์” แม่ทัพน้อยที่ 4  ซึ่งทำหน้าที่” ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี” ที่ต้อง “หยุด” การ”ขับเคลื่อน” เวทีเสวนา ของ”ภาคประชาสังคมที่เป็น”ปีก ทางการเมือง” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ให้ได้

ในขณะที่”ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 และ รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  ลงพื้นที่ จ.นราธิวาส บ่อยขึ้น เพื่อการ”ติวเข้ม”  กองกำลังของ ฉก.ในแต่ละอำเภอของ จ.นราธิวาส  เพื่อให้มี”ประสิทธิภาพ” ในการ “ป้องกันเหตุ” เพราะ จ.นราธิวาส เป็นพื้นที่เดียวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ยังก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า” ยุทธวิธี” ของ “ ฉก.ต่างๆ ยังไม่มี”ประสิทธิภาพ”ที่ดีพอ จึงป้องกันเหตุไม่ได้ หลังการ”ติวเข้ม” ครั้งนี้ หวังว่า สถานการณ์ความรุนแรงใน จ.นราธิวาส จะลดน้อยลง…..ลือให้แซ่ดเปิดให้เล่นแล้วจ้า “บ่อนการพนัน 3 แห่ง ใน  อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่เป็นของ”คนไทย 1 บ่อน เป็นของชาว มาเลเซีย 2 บ่อน   ถ้าถือว่าเป็นเรื่อง”ปกติของเมืองชายแดน” ก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้ายังเห็นว่า”ประเทศนี้” ยังมี”กฎหมาย” อยู่ ก็ฝากให้ พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ อินทร์ประพันธ์ ผกก.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ผู้มาไกลจาก” ผกก.สภ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร ตรวจสอบด้วยนะว่าจริงหนือไม่   ส่วนอาชีพ”นายบ่อน” น่าจะสงวนได้สำหรับ”คนไทย” ไม่ใช่”ชาวมาเลเซีย

อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เป็นหนึ่งในพื้นที่ ซึ่ง ขบวนการค่าแรงงานเถื่อน ใช้ในการเป็น”ซ่องสุมแรงงานเถื่อน” ก่อนที่จะ”ส่งออก”ไปยังประเทศมาเลเซีย วันนี้ พ.ต.อ.สมปราช กรรณกานนท์ ผกก.สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ถูกส่งมาเป็น ผกก.สภ.บางกล่ำ  จ.สงขลา ก็หวังว่าจะสามารถทำให้”พื้นที่ของบางกล่ำ” ปลอดจากการเป็นที่”หลบซ่อนซ่องสุม” แรงงานเถื่อนได้นะ……เช่นเดียวกับ” พ.ต.อ.อภิชาติ วรรณโก” ผกก.สภ.สทิงพระ จ.สงขลา มาเป็น ผกก. ในขณะที่ ประชาชน ในพื้นที่ อ.สทิงพระ กำลังเดือดร้อนจาก ปัญหาการระบาดของ”ยาเสพติด” ที่ขายกัน เม็ดละ 30 บาท จนมี”ประชาชน” และ”เยาวชน” ติดกัน”งอมแงม” มี”คนเดินยา” เต็มพื้นที่ และ “ผลพวง”คือ” พืชผลทางการเกษตร” ถูก”ลักขโมย” จน ตำรวจต้องตั้ง “ฉก.เพื่อจับกุม”  ก็”เอาให้อยู่” นะ กับปัญหาเหล่านี้

ประเทศนี้มีนโยบาย”เมาไม่ขับ” แต่”รัฐบาลกำลัง”เปิดผับตี 4 “ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม นี้  การเปิดผับถึงตี 4 เป็นการ”สวนทาง” กับนโยบาย”เมาไม่ขับ” หรือไม่ ก็คิดกันเอาเอง เพราะคน”เข้าผับเข้าร้านเหล้า” จุดประสงค์คือ”ดื่มเหล้า” และแน่นอนคือ”ต้องเมา” ส่วน”มาตรการ” ที่มีการออกมาใช้กับ”ผับกับห้องอาหาร” เชื่อเถอะ สุดท้าย ทำไม่ได้ และ อุบัติเหตุจาก”คนเมา” จะมากขึ้น  ที่สำคัญเรื่อง”อบายมุข” ก็ต้องเพิ่มขึ้น กรณีเด็กอายุไม่ถึงเกณฑ์ แบบที่”ขอนแก่น” อย่างกรณี”สมรักษ์ คำสิงห์” ก็จะเกิดมากขึ้น ปัญหาสังคมจะมากขึ้นจากนโยบายนี้ ไม่เชื่อก็คอยดูกันต่อไป

”นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ผอ.ร.พ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เปิดประเด็นค่าใช้จ่ายในการ”ไปหาหมอ” ของ”คนไข้” โรคหัวใจ โรคไต และโรคอื่นๆ ที่  โรคพยาบาลอำเภอ” รักษาไม่ได้ต้องมีการ”ส่งต่อ” ไป โรงพยาบาลศูนย์ใน อ.เมือง และ อ.หาดใหญ่ ที่สุดท้ายแล้วถึงจะมี”บัตรทอง” 30 บาทรักษาทุกโรค ก็จริง แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการ”เดินทาง” นั้นคือการ”เหมารถ” ใน กรณีที่”คนไข้” และ”ครอบครัว” ไม่มี”รถยนต์ส่วนตัว” คนละ 1,000  บาทขึ้นไป เพราะ ณ วันนี้ รถยนต์ประจำทาง ได้มีการ”ยกเลิก” หมดแล้ว ปัญหานี้”กระทรวงสาธารณสุข” โดย”นายแพทย์ชลน่าน สีแก้ว” รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ต้องคิดว่าจะแก้ปัญหาให้”คนไข้” อย่างไร เช่นปรับปรุง “เครื่องมือ เครื่องใช้” ทางการแพทย์ของ โรงพยาบาลประจำอำเภอให้มีความ”ทันสมัย” ในการ “เยียวยา”คนไข้จำพวก” โรคหัวใจ-โรคไต-มะเร็ง” เพื่อช่วยให้”คนไข้”ลดค่าใช้จ่ายในการไปพบหมอแต่ละครั้ง

เรื่อง”ยาเสพติด” ที่ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ประกาศเป็น นโยบายหลัก ในการหาเสียง   แต่ในทาง ปฏิบัติ ณ วันนี้ ยังเป็นเรื่องของหน่วยงานเช่น ปปส.  ตำรวจ, ปกครอง ที่ยังคง”เช้าชามเย็นชาม” เพราะเรื่องของ”งบประมาณ” ที่ทุกหน่วยอ้างว่า”ไม่มี, มีน้อย, ไม่พอ ” ก็เห็นแต่” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง “ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ที่ “เดินสายทั่วประเทศ” ให้นโยบายกับ”หน่วยงานต่างๆ” ในการ ปราบยาเสพติด ล่าสุด”ล่องลงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้”  เพื่อการ”จัดระเบียบ” การ ป้องกันปราบปราม” กัญชา” และ”กระท่อม” กับส่วนราชการ  ส่วนจะได้ผลแค่ไหนอยู่ที่”หน่วยงานในพื้นที่” ซึ่งส่วนใหญ่ก็อย่าว่า”เช้าชามเย็นชาม” ตามระบอบ”ราชการไทย” …..ในขณะที่”กระทรวงสาธารณสุข” ที่มี”ชลน่าน สีแก้ว “เป็น”เสนาบดี” ซึ่งควรจะ”กระตือรือร้น” ในเรื่องของ การจัดระเบียนของ”กัญชา” และ”กระท่อม”แต่ กลับ”เงียบฉี่” เหมือนปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของ”สาธารณสุข” อย่างงั้น ก็ให้นึกถึงตอนที่”หาเสียง” ในการเลือกตั้ง เมื่อหลายเดือนก่อน ทุกพรรคการเมือง ต่างมี”นโนยาย”ที่”สวยหรู” ในเรื่องการ”ปราบปรามยาเสพติด” โดยเฉพาะ”เพื่อไทย” ที่ “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” กระโดดตัวลอยบนเวที”หาเสียงที่บอกว่า”เพื่อไทยมายาเสพติดหมด” แล้ววันนี้เป็นอย่างไร “สองข้างถนน” เต็มไปด้วย”แผงขายน้ำกระท่อมและใบกระท่อม” ในตัวเมืองท่องเที่ยวมี”ร้านกัญชา” อยู่มากมาย และ”ยาบ้า” กำลังจะเหลือ” 4 เม็ดร้อยบาท หรือทั้งหมดทั้งปวง” คือ” ซอฟต์พาวเวอร์”

เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” ยังไม่จบง่ายๆ  เพราะ ณ วันนี้ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. ก็ยังตอบไม่ได้ว่า” เชาวลิต ทองด้วง” หรือ “แป้ง นาโหนด” หลบหนีไปอยู่ที่ไหน นี่ถือเป็นความ”อัปยศ” ของ “วงการสีกากี” ยิ่งนัก เพราะ”ในวงการนี้ในอดีตมี”นักสืบมือดี” มากมาย แต่ วันนี้ แม้แต่ที่อยู่ของ”แป้ง นาโหนด” ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และที่สำคัญคือ ยังไม่สามารถที่จะ”ควบคุมตัว” ของ”แป้ง นาโหนด” กลับมารับโทษได้  หรือ สุดท้ายแล้ว เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” จะกลายเป็นเรื่อง”คลื่นกระทบฝั่ง” หลังจากที่คนในประเทศไม่ให้ความสนใจ เพราะมี”ข่าวอื่น” เข้ามาแทนที่…..ที่สำคัญ  ขบวนการพา”แป้ง นาโหนด”หลบหนีจาก ”เขาบรรทัด” ที่ข่าวว่า เป็นคนใน”เครื่องแบบ” วันนี้ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” มีการดำเนินการอย่างไร

มาช้า แต่ก็ดีกว่าไม่มา” นั่นคือเรื่องที่ เจ้าหน้าที่”ดีเอสไอ” ที่นำโดย พ.ต.ต.นิมิตร พรหมมา” รอง ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” นำกำลังเข้าตรวจยึดคืนพื้นที่”ป่าแหล่งท่องเที่ยว สวิตเซอร์แลนด์ ลิวง “ ในท้องที่ ต.ท่าหมอไทร อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเป็นที่ดินที่เป็น”เหมืองแร่ที่หมด สัมปทาน” แล้ว จำนวน 195  ไร่ หลังจากปล่อยให้”กลุ่มทุน” เข้าไปบุกรุก ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว เก็บเงินผู้ไปท่องเที่ยว หาผลประโยชน์อยู่นานหลายปี  เรื่องนี้ต้องกล่าวโทษ” เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น,ท้องที่” และ”ฝ่ายปกครอง” ที่ทำตัวเป็น”ทองไม่รู้ร้อน” ไม่ “ปกป้อง” ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ขั้นตอนต่อไป ต้องติดตามดูว่า “ดีเอสไอ” จะสามารถ”เอาผิด”กับผู้”บุกรุก” ได้หรือไม่ และที่สำคัญ หลัง”ปิดป้ายยึดคืน” แล้ว จะสามารถ”ปกป้อง” มิให้”กลุ่มทุน” เข้าทำประโยชน์ได้จริงหรือไม่……แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…วัดใจรัฐบาลใจกล้าหรือเปล่า! รื้อโครงสร้าง “ไฟฟ้า-น้ำมัน”

จับตาดู “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ที่มี”เศรษฐา ทวีสิน” ทำหน้าที่”นายกรัฐมนตรี” ในการนำพา”ประเทศไทย” และ”คนไทย” ไปในทิศทางของการ”อยู่ดีกินดี” นั้นหมายถึงต้องทำเรื่องการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ”ภายในประเทศให้ประสบความสำเร็จ และต้องมีความสำเร็จในเรื่อง”การส่งออก” สินค้าไปยังต่างประเทศ รวมทั้งการนำ”กลุ่มทุน” จากประเทศอื่นๆเข้ามา”ลงทุน” ในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น….. ทั้งหมดคือ”งานช้าง” ของ”รัฐบาลชุดนี้ และของ”เศรษฐา ทวีสิน” ที่ ณ วันนี้ ผ่านไปแล้ว 3 เดือน ยังมองไม่เห็น”แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” การเดินทางไปเป็น”เซลล์แมน” ในหลายประเทศ เป็นการได้”พบปะ” กับ”กลุ่มทุน และเขารับปากว่า”จะมาลงทุน” แต่มาจริงหรือไม่เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เรื่อง”กระตุ้นการท่องเที่ยว” โดยใช้นโยบาย”ฟรีวีซ่า” กับ”นักท่องเที่ยวจีน” ก็ไปไม่ถึง”ฝั่งฝัน” ตามที่”คาดหวัง”ไว้ เรื่อง”แจกเงิน 10,000 บาท ให้กับ”ประชาชนใช้จ่าย” หรือ”ดิจิตัลวอลเล็ต” ที่เคยคิดว่าง่ายเหมือน”ปอกกล้วยเข้าปาก” ก็กลายเป็น”งานยาก” มีปัญหา”งอกราก” ออกมามากมาย จนกลายเป็น”ลูกผีลูกคน” และ “ล่าช้า” ไม่ทันการณ์กับเรื่อง”เศรษฐกิจ-ปากท้อง” ที่ยังไม่”กระเตื้องขึ้น” ในขณะที่”ตลาดหุ้นยังรูดทะราด” แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และแม้แต่ตลาด”อสังหาริมทรัพย์” ที่เคย”อู่ฟู่” เพราะ กลุ่มทุนจีน” หลังจากมีการ”ปราบปรามจีนเทา” ตลาดบ้าน และ คอนโด ก็ “ซบเซา” ทั้งประเทศ

ขณะที่เรื่องของ”ราคาน้ำมัน” และ”ราคาค่าไฟฟ้า” ที่เคยหาเสียงในการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า”ลดทันที” ที่เป็นรัฐบาล ที่มีการลดก็จริงแต่เป็นการ”ลดภาษี” และลด”ค่าหน่วย”  ไม่ได้ไป”แตะที่โครงสร้าง” ของ”ผู้ผลิต” ที่เป็น”กลุ่มทุน” เพราะ”รัฐบาล” และ”กระทรวงพลังงาน” ยังปล่อยให้”ราคาน้ำมันขึ้น-ลง เป็นรายวัน” ภาษีที่ลดลงไป 2 บาท เมื่อน้ำมันใน”ตลาดโลก”ปรับตัวสูงขึ้น  โดย “โรงกลั่น-คลังน้ำมัน” ก็ปรับราคาตามการขึ้นของตลาดโลก สำหรับน้ำมันดิบ และตลาด”สิงคโปร์” สำหรับน้ำมันสำเร็จรูป การลด”ภาษีน้ำมัน” ก็ไม่ได้ช่วยให้”ประชาชน” ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลง….เช่นเดียวกับ”ค่าไฟฟ้า” ที่มีการ”ให้ข่าว” ว่าจะมีการ”ปรับขึ้น”ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าถึง”หน่วยละ 4.9 บาท เล่นเอา”ช็อก” ประเทศ ไม่เว้นแม้แต่” “นายกรัฐมนตรี” และ”รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน” ก็เห็นด้วยนะกับ” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์”เสนาบดีกระทรวงพลังงาน ที่จะ”ซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ที่ถูกกว่า และเห็นด้วยกับการใช้”กฎหมาย” กับ”โรงกลั่น” ส่วนเรื่องการนำเข้า”น้ำมันเสรี” ที่เคยเป็น”ไอเดีย” ของ”เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” คอลัมน์นี้” แย้งไว้ตั้งแต่เห็น”ไอเดีย” ว่าทำไม่ได้นั้น สุดท้ายก็ทำไม่ได้จริงๆ เพราะ”ตลาดน้ำมันของประเทศไทย” อยู่ใน”กำมือของกลุ่มทุน” และความ”ยุ่งยาก”ของ”กฎหมาย” ของ”ระเบียบปฏิบัติ” มากมายของ”ราชการ” ที่ไม่”เอื้อ” ให้มีการนำเข้า”น้ำมันจากต่างประเทศอย่างเสรี,นั้นเอง เรื่องของ”กลไกการค้าน้ำมัน”ที่”บิดเบี้ยว”  นักกฎหมาย อดีต”ผู้พิพากษา” อย่าง” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” คงมองทะลุ แต่กล้าในการ”แก้” หรือไม่เท่านั้น  ดังนั้น 3 เดือน ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ในตำแหน่ง” นายกรัฐมนตรี” จึงเต็มไปด้วยปัญหาที่”มะรุมมะตุ้ม” จนกลบความ”สว่างไสว” ไปโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น “รัฐบาลนิดหนึ่ง” จึงต้อง”กลบข่าว”ความไม่”ก้าวหน้า”ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ด้วยการ “ผลักดัน” การ”แจกการให้” เช่นการ”แจกโฉนด สปก.เป็นของขวัญปีใหม่  และการ “แจกเงินให้ชาวนาไร่ละ 1,000 บาท แจกชาวไร่อ้อย 120 บาทต่อตัน และอีกหลายโครงการที่จะ”ทยอย” ออกมา แต่ถ้าหาข้อข้อมูลในเชิงลึก จะพบว่า ณ วันนี้คนส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องการเห็นความ”เปลี่ยนแปลง” ของ “สังคมไทย”โดยการนำพาประเทศไปสู่”สังคมที่ดี” ปลอดจาก”คอร์รับชั่น” ปลอดจาก” ยาเสพติด” มากกว่าที่จะเห็นการบริหารประเทศแบบ”แจก-แถม” ที่เป็น”การเมือง”แบบเก่าๆที่ไม่สามารถ”เปลี่ยนแปลง”ประเทศไปสู่สิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ แต่ก็น่าจะ”ผิดหวัง” เพราะ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ได้พูดอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีการ”ปฏิรูป”ใดๆทั้งสิ้น เมื่อไม่”ปฏิรูป” ก็ย่อมไม่เห็นการ”เปลี่ยนแปลง” ดังนั้น “ประเทศไทย” จึง”ย่ำเท้า” อยู่กับ” สังคมเก่าๆ การเมืองน้ำเน่า” กันต่อไป

วันก่อนพบกับ”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน ที่แสดงความเป็นห่วง”ตัวประกันชาวไทย” ที่ยังอยู่กับ”กลุ่มฮามาส” อีก 8 ชีวิต เรื่องการ”ช่วยตัวประกัน” อยู่นอกเหนือ”หน้าที่”ของกระทรวงแรงงาน ดังนั้นจึงต้อง”ลุ้น” ให้”รัฐบาล” และ”กระทรวงการต่างประเทศ” รวมทั้ง”หน่วยงาน” ที่มีหน้าที่โดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ ในส่วนของ”แรงงาน” ที่เดินทางกลับมาแล้ว และ”ตัวประกัน” ที่ได้รับการปล่อยตัวกลับมาประเทศไทย เป็นหน้าที่ของ”กระทรวงแรงงาน” ในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งขณะนี้”กระทรวงแรงงาน”ได้เข้าไป ดูแล และ ให้การ”ช่วยเหลือ”อย่างเต็มกำลังความสามารถ…..คิดได้อย่างไรกับเรื่อง”ยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า” สำหรับนักท่องเที่ยว ที่อนุญาตให้”ซื้อเหล้า-บุหรี่” คนละ 1 ขวด คนละแถว และไปลด”ภาษี เหล้า-บุหรี่”” ในประเทศ เพื่อเป็นการ”เพิ่มรายได้” หรือเป็นการทำให้”นักท่องเที่ยว” หายไป ใครที่เป็น”ต้นเรื่อง” ในการ”คิดเรื่องนี้” ก็ไม่ต่างกับที่เคยคิดให้”ตำรวจจีน” มาดูแล”นักท่องเที่ยวจีน” ที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย คำ”พังเพยจีน”เขาเรียกคนประเภทนี้ว่า”เจี๊ยะป้าบ่สื่อ” คือ”กินอิ่มแล้วไม่มีงานทำ”

คดีของ”แป้ง นาโหนด” หรือ” เสี่ยแป้ง” หรือ” เชาวลิต ทองด้วง” นับตั้งแต่”หลบหนีจาก รพ.นครศรีธรรมราช” จนถึงวันนี้ 50  วันเข้าไปแล้ว ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ยังหาตัว”แป้ง นาโหนด” ไม่เจอ และยังไม่กล้าที่จะ”ฟันธง” ว่า” แป้ง นาโหนด” อยู่ใน “ประเทศไทย” หรือใน “ต่างประเทศ” แต่ที่”แป้ง นาโหนด” สร้างความ”ยับเยิน” ให้เกิดขึ้นกับ “สังคมไทย” คือการ”ตอกย้ำ” ให้เห็นถึง”ขบวนการยุติธรรม” ที่”ล้มเหลว” ตั้งแต่”ต้นน้ำ-จนถึง”ปลายน้ำ” ที่ต้อง”สอบสวนทวนความ” ให้เป็นผลสำเร็จ” คือการ”เรียกรับสินบน” ของ “เจ้าหน้าที่” การ”ซื้อ-ขาย สำนวน” ของผู้ที่ทำผิดที่เกี่ยวพันไปทั้ง”ขบวนการยุติธรรม” ที่สำคัญ”เท็จจริง” ยังต้อง”ตรวจสอบ” แต่ วันนี้” ประชาชน” เลือกที่จะเชื่อคำพูดของ”แป้ง นาโหนด” และออกมาเป็น”กองเชียร์” ของ”แป้ง นาโหนด” เหมือนกับเป็น”ฮี่โร่” ของคนไทยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ผู้นำประเทศ “เสนาบดี” และ “หน่วยงานใน”ขบวนการยุติธรรม” ต้องมีการ”สำเหนียก”……เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” ยังไม่จบง่ายๆ เพราะล่าสุด” พี่ชาย” ของ”แป้ง นาโหนด” ที่ รับราชการในสำนักงานป่าไม้ ในพื้นที่ “เขาบรรทัด”  จ.พัทลุง เข้าพบ”ทนายความ” เพื่อเรียกร้องความ”ผิด-ถูก” ที่เขาถูก ตำรวจ  สภ.เมืองพัทลุง นำกำลังไปตรวจค้นบ้านพัก และนำตัวมาสอบสวน ก่อน”แจ้งข้อหา” ในการให้การ”ช่วยเหลือ” ให้”แป้ง นาโหนด” หลบหนี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นการ”ปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เป็นธรรม” กับเขาและครอบครัว  เรื่องการใช้”อำนาจ”เกิน”ขอบเขต”ของ “ตำรวจ” พล.ต.ต.ณัฐกรณ์ กาญจนาภรณ์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง คนใหม่ ต้องมีการ”ตีกรอบ” ให้ชัดเจน เพราะยุคนี้เป็นยุค”โซเชียลมีเดี่ย” ไม่ใช่”ยุคมืด” ที่ทุกอย่างถูกปิดเป็นความลับได้

ที่สำคัญ ใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง วันนี้เหลือเพียง”พัทลุง” จังหวัดเดียว ที่ยังมี”วัฒนธรรมเก่า” เช่นมีการ”ลักวัว” มี”ซุ้มมือปืน” มี”เจ้าพ่อ” มี”นักการเมืองอิทธิพล” มี”ปืนกองกลาง” เพื่อใช้ในการ”ทำงาน”  สิ่งเหล่านี้ “ผู้ปกครอง” ทั้งฝ่าย “ปกครอง”และ” ตำรวจ” รวมทั้ง”นักการเมือง” ( รุ่นใหม่ ) ต้องช่วยกันทำให้ หมดไปจาก” พัทลุง” เหมือนกับที่เคยเอารูปปั้นของ”ชั้งกั้ง” ไปโยนทิ้ง หรือ”พัทลุง” จะมีการ”ต่อยอด” ตั้งแต่ยุคของ”รุ่ง ดอนทราย-มาถึง “ดำ หัวแพร” และส่งต่อให้กับ”แป้ง นาโหนด” อย่างนั้น ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะ…..เรื่องของ”แป้ง นาโหนด” ประเด็นสำคัญคือ”กลุ่มตำรวจ” ที่ทำตัวเป็น”ลมใต้ปีก” สร้างให้”แป้ง นาโหนด” จาก คนธรรมดา มาเป็น”นักเลง” ผู้มี”อิทธิพล” ที่วันนี้ ยัง”อยู่ดีกินดี” ทั้งที่ควรจะได้รับการ”พิจารณาโทษ” ที่เป็น”เจ้าหน้าที่ “ซึ่งใช้”อำนาจหน้าที่” ในการ”แสวงหาผลประโยชน์” และยังเป็น”หนอนบ่อนไส้” ในการนำ”แป้ง นาโหนด” หลบหนีอย่าง”ลอยนวล” ในครั้งนี้    เรื่องนี้” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ต้อง “เอาจริง” สาวถึงใครต้องได้รับโทษทุกคน…..ในขบวนการ “สืบสวนสอบสวน” ระบุว่า” แป้ง นาโหนด” หลบหนีจาก” อ.ตะโหมด จ.พัทลุง ไปยัง อ.ละงู  จ.สตูล มีรายละเอียดแม้แต่”ท่าเรือ” ที่”แป้ง นาโหนด” ลงเรือเพื่อหลบหนีคือท่าเรือ”บากันโต๊ะทิด” แต่ ในการ “จับกุม” จนถึง วันนี้ ยังไม่เห็น “ตำรวจ” ได้ จับกุม ผู้ร่วมทำผิด หรือ”ยึดยานพาหนะ ในการนำ”แป้ง นาโหนด” หลบหนีแต่อย่างใด นี่แสดงให้เห็นว่า ทีมที่พา”แป้ง นาโหนด” หลบหนีเป็นผู้”ทรงอิทธิพล” ที่ ตำรวจ ไม่กล้าแตะต้อง แน่นอนว่า ขบวนการคุ้มครอง”แป้ง นาโหนด” ต้องมีการระมัดระวัง”แป้ง นาโหนด” ยิ่งกว่า” ไข่ในหิน” เพราะวันไหนที่”แป้ง นาโหนด” ตกอยู่ในมือ”ตำรวจ” รับรองว่า “ความลับ” ที่”แป้ง นาโหนด” เปิดเผย จะทำให้มี”ใครบางคน”ต้องอยู่ในอาการ”ตายยกรัง” ชัวร์

ยังจับกุมได้ทุกวัน สำหรับชาว”เมียนมา” ที่ “หลบหนีเข้าเมือง” จาก ชายแดนภาคเหนือ และอื่นๆ เพื่อเดินทางไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” โดยวิธีการเดิมๆ คือ”ซ่อนตัว” มากับรถกระบะ ที่มี”คนไทย” เป็นผู้”รับจ้าง” จับเท่าไหร่ก็ไม่หมด ตราบใดที่”มาเลเซีย” ยัง”อ้าแขนรับ” แรงงานเถื่อน เหล่านี้ ก็ฝากให้ พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุข” ผบก.ตม.6 หาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้”ถูกที่ถูกทาง” หรือไม่ก็ เสนอให้ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” มีการ”พูดคุย” กับ”รัฐบาลมาเลเซีย” ในเรื่อง”แรงงานเถื่อน” ที่ “มาเลเซีย”ต้องการ” แต่การเดินทาง”ผิดกฎหมายของประเทศไทย”

โยกย้ายใน กองบัญชาการตำรวจภาค 9  ครั้งนี้ มีหลายตำแหน่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในตำแหน่ง” ผกก.” ที่เป็น”ทำเลทอง” อาทิ. อ.เบตง จ.ยะลา ที่ “พ.ต.อ.ณรงค์ ดูดิง” จาก”สภ. ทุ่งยาแดง จ.ปัตตานี  ถูกวางตัวเป็น” ผกก.สภ.เบตง จ.ยะลา “ พ.ต.อ.สุจริต เพชรจอม “ ผกก.สภ.คลองหอยโข่ง ย้ายไปเป็น ผกก.สภ.สะเดา จ.สงขลา ส่วน” พ.ต.อ.ภูวรา แก้วพารัตน์” ผกก.สภ.สะเดา ที่ อยู่ในตำแหน่งได้ปีเดียว ถูกส่งกลับถิ่นเดิมเป็น ผกก.สภ.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่”เซอร์ไพร์” คือ “พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ อินประพัฒน์” จาก ผกก.สภ.เมือง มุกดาหาร มาเป็น” ผกก.เมือง สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมืองชายแดน ที่เป็นที่”หมายปอง”ของ”ตำรวจ” …..ส่วน “พ.ต.ต.พิเชษฐ์ สมรรคจันทร์ “ผกก.สภ.คลองแงะ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่”ทางเสือผ่าน” ขยับขึ้นเป็น รอง ผบก. ภ.จว.สตูล ก็ ยินดีด้วย และยินดีกับ “พ.ต.อ.เดชาวุธ เจ๊ะเต๊ะ “ ผกก.สภ.กระพ้อ จ.ปัตตานี ที่ได้มานั่งเก้าอี้ ผกก.สภ. คลองแงะ อ.สะเดา จ.สงขลา  ส่วน “พ.ต.อ.พงศ์พศิษฐ์ ทองด้วง “ผกก.สภ.บางกล่ำ  จ.สงขลา ที่ก่อนหน้านี้มี”ลมใต้ปีก” จากนักการเมือง”ค่ายประชาธิปัตย์” หนุนให้เป็น ผกก.สภ.สะเดา จ.สงขลา  แต่เพราะนามสกุล”ทองด้วง” โยกย้ายครั้งนี้จึงถูกขยับไปเป็น ผกก.สภ.รัษฎา จ.ตรัง และ “พ.ต.อ.สุชาเวชช์” ธานีไทย ผกก.สภ.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่เป็นพื้นที่”พลุระเบิด” และมี”คนตาย” มีความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท ไปเป็น ผกก.บก.สส. จชต.

บรรทัดนี้ ขอแสดงความยินดีกับ” พ.ต.ท.มาชา แก้วทอง “ รอง ผกก.ป.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เที่ยวนี้ได้ขยับขึ้นเป็น ผกก.สส 3  บก.จชต. และ” พ.ต.ท. ถาวร ผลกล้า “รอง ผกก.ป.สภ.เมือง สงขลา นายตำรวจผู้ที่”ไร้เส้นสาย” เป็น รอง ผกก.มา 15 ปี ได้ ขยับไปรับตำแหน่ง ผกก.สภ.โกตาบารู จ.ยะลา “เฮ้อ ได้เป็น”ผู้กำกับแล้ว” ยินดีนะ ส่วน “ผู้กำกับ” ที่ยัง”รักษาตำแหน่งไว้ได้ โดยขออยู่ที่เดิม” อาทิ.” พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์” ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา “พ.ต.อ. บันเทิง เหล่าสุวรรณ” ผกก.สภ.เมือง สงขลา” พ.ต.อ.บัญฑูร  เทพสุวรรณ  “ผกก.สภ.คอหงส์ จ.สงขลา “พ.ต.อ.คมเทพ เปาอินทร์ “ ผกก.สภ.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา  นี่คือตำรวจ”สายแข็ง” สำหรับ” พ.ต.อ.ดุสิต พรหมสิน” นักสืบมือดี”ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม คือ ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา เพื่อเป็นมือทำงานให้กับ “พล.ต.ต  เชาวลิตร เลี้ยงสุพงศ” ผบก.ภ.จว.สงขลา และโยกย้ายครั้งนี้นายตำรวจ”มือดี “ พ.ต.อ.อภิชาติ วรรณโก” หลุดจาก”กรุ” มาเป็น ผกก.สภ.สทิงพระ จ.สงขลา เมืองที่มีปัญหา”ยาเสพติด”และ”การลักขโมยผลผลทางการเกษตร จนต้องมีการตั้ง  ฉก. เพื่อการจับกุมคนร้าย ……และ “พ.ต.อ.บุญเลิศ ตรัสศิริ” ผกก.สภ.ควนโดน จ.สตูล นายตำรวจ”สายแข็ง”ของ จ.สตูล ก็ย้ายจาก”โรงพักควนโดน”ไปเป็น ผกก.สภ.ฉลุง อ.เมือง จ.สตูล ห่างจากที่เดิมแค่ 10 กิโลเมตร และที่น่าเห็นใจคือ” พ.ต.อ.ธเนศ สุขชัย” ผกก.ตม.จ.ภูเก็ต ที่ขอลาออกจากราชการ หลังมีคำสั่งให้ไปเป็น ผกก.ตม.จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเหมือกับการย้ายไป”ตบยุง” ทั้งที่ เป็น”นายตำรวจมือดี “ มีผลงานมากมายในการแก้ปัญหาใน เมืองท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต

การโยกย้ายของ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ครั้งนี้ ฝีมือการ”ชง” ยังเป็นฝีมือของ” พ.ต.อ.ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล” ผบก. สส.จชต. ที่เป็น” มือขวา” ของ “เดอะโต้ง” พล.ต.ท.ปียวัฒน์ เฉลิมศรี  ผบช.ภ.9  และเที่ยวนี้มาแปลก เพราะ”ตั๋วหลายใบ” ในการ”โยกย้าย” ครั้งนี้ไปจาก” เสี่ย พ.พาน” นักธุรกิจ และ นักการเมืองท้องถิ่น ใน จ.สงขลา……เห็นบทบาทของ” นิพนธ์ คนขยัน “ สส.จ.บึงกาฬ พรรคเพื่อไทย ที่เห็นถึงความเดือดร้อนของ เกษตรกรชาวสวนยาง นำ “รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ไปพบชาวสวนยาง 4-5 ร้อย คน เพื่อให้ เกษตรกร ชาวสวนยางได้สะท้อนถึงความต้องการ และปัญหาของเกษตรกร ผิดกับ สส.ในภาคใต้ ที่มองไม่เห็น”ความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง” ไม่เคย”ดูดำดูดี” ปล่อยให้ เกษตรกร ช่วยเหลือตนเองอย่าง”โดดเดี่ยว”…..โดยเฉพาะ หลังจากที่” นิพนธ์ บุญญามณี” ไม่มีบทบาทภายในพรรค  ข่าวคราวใน”เชิงบวก”ของ”ประชาธิปัตย์ ในพื้นที่ แทบจะ”เลือนหาย”ไปจากการ”รับรู้” ของประชาชน

พูดถึง”ประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองของคนภาคใต้ เพราะ จำนวน สส. ที่ได้รับเลือกเข้ามา ยังเป็น”สส.ในพื้นที่ของภาคใต้มากที่สุด และ วันที่ 9 ธ.ค. นี้ ก็จะมีการประชุมเพื่อเลือก “หัวหน้าพรรค” และ”กรรมการบริหารพรรค” ซึ่งเป็นการ”แตกหัก”ระหว่างขั้วของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” อดีต เลขาธิการพรรค ที่มี”กำลังหนุน” จากกลุ่ม สส.ภาคใต้ทั้งหมด โดยมี” เดชอิศม์ ขาวทอง “ รองหัวหน้าพรรค และ”ชัยชนะ เดชเดโช” รองเลขาธิการพรรค เป็นกำลังหนุน กับทีมของ” ชวน หลีกภัย,บัญญัติ บรรทัดฐาน,อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ซึ่ง หัวหน้าพรรคจะเป็นใครไม่สำคัญเท่า หลังจากที่พ้นการ”เลือกตั้ง” ในครั้งนี้ จะเห็นถึงความ”สะบั้นไมตรี” และ “แยกย้าย”กันเดินออกจากพรรคครั้งใหญ่อีกครั้งของพรรค”แม่ธรณีบีบมวยผม”ที่กำลังกลายเป็น”แม่ธรณีกันแสง” กับการ”แตกยับ” ของพรรคการเมืองเก่าแก่ของประเทศไทยที่อายุ 77 ปี มีหัวหน้าพรรคเพียง 8 คน และ 4 คน เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี

เรื่องของการเมืองท้องถิ่น  ที่ถึงแม้จะยังเหลือเวลาอีก 1 ปี ครึ่ง จึงจะครบวาระการเลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัด ,เทศบาล ,อบต.” แต่ หลาย “ท้องถิ่น” มีการ”เคลื่อนไหว”กันแล้ว เช่นที่ เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา “ พ.อ.พิเศษ สุชาติ จันทรโชติกุล” อดีต สส.สงขลา อดีตผู้สมัครนายก อบจ.สงขลา เปิดตัวบอกกับ ประชาชนให้ทราบแต่เนิ่นๆว่า จะลงสมัครเพื่อชิงตำแหน่ง” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่” จาก” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่ แน่นอน…..เช่นเดียวกับ “พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศบาลนครหาดใหญ่  จ.สงขลา ก็ ประกาศ”เสียงดังฟังชัด” ว่ายังพร้อมที่จะลงเพื่อป้องกันตำแหน่ง “นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ “ เป็นครั้งที่ 2   แต่เรื่องที่ คนหาดใหญ่สนใจคือ”พรรคก้าวไกล” จะส่งใครลงเพื่อ”ชิงตำแหน่ง” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่เพราะ”ก้าวไกล” ตั้งเป้าในการส่งผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่อย่างแน่นอน  โดยมีผู้ยื่นความประสงค์ให้พรรคพิจารณาแล้ว 4 ราย ด้วยกัน…..เรื่อง”หมูเถื่อน”ในภาคใต้ ที่”ดีเอสไอ” มีการส่งเจ้าหน้าที่”ตรวจสอบ”ห้องเย็นทุกพื้นที่ และไม่พบ”หมูเถื่อน” เพราะเรื่อง”หมูเถื่อน” โด่งดังมานานเป็นเดือน ยังจะมี”ห้องเย็น” ที่ไหนจะโง่พอจะเก็บ”ของกลาง” ให้ถูกจับ เรื่อง”หมูเถื่อน” ที่กลายเป็น”หมูเด้ง” ด้วยการ”เลื่อนตำแหน่งให้ “ผอ.ดีเอสไอ”ไปเป็น”รองปลัดกระทรวงยุติธรรมเพื่อปราบปรามยาเสพติด ส่วนใครจะได้ขึ้นมาเป็น “อธิบดี ดีเอสไอ” ก็ต้องติดตามดู เพราะต้อง”รู้ทิศทางลม” ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง”ด้วย

แต่เรื่องของ”วัวเถื่อน” จาก อ.แม่สอด จ.ตาก ชายแดนไทย-เมียนมา ยังแก้ไม่สำเร็จ การ”ขนย้าย” วัว จาก”แม่สอด มาภาคใต้ และส่งข้าม”แม่น้ำสุไหงโก-ลก” ไปยัง ประเทศมาเลเซีย  ผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบดูหน่อยว่า มีการ”ตรวจโรค” และมีการ”กักสัตว์” หรือไม่ ถ้าจะ”เอาจริง” ก็ต้องไม่ทำแบบ”ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” หรือเพราะ” นายทุนใหญ่” ที่ “สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส  อยู่ใน”คอลโทรล” ของ”นักการเมืองใหญ่” ทุกอย่างจึง เงียบฉี่

เห็นประกาศเอาจริงกับเรื่องของ”ยาเสพติดของ” สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา  ตั้งแต่วันที่มารับตำแหน่ง” แต่ผ่านไปเป็นเดือน ยังเห็น”ร้านค้าน้ำกระท่อม”  ริมถนนสายหาดใหญ่ สนามบิน และ หาดใหญ่-พัทลุง ยังมีการขายกัน”สบายใจเฉิบ” ทั้งที่เป็นเรื่อง”ผิดกฎหมาย” และเป็น”อันตราย”ต่อสุขภาพ ของผู้ดื่ม เพราะไม่รู้ว่าใน”น้ำกระท่อม” มีส่วนผสมอะไรบ้าง ถ้าเรื่องเล็กๆ ยังทำไม่ได้ และเรื่องใหญ่ๆเช่นการ”ปราบปรามยาเสพติด อย่าง”ยาบ้า,เฮโรอีน ยาไอซ์” จะทำได้อย่างไร….. จังหวัดสงขลา เป็นจังหวัดใหญ่มี รอง ผวจ.จำนวน 4 คน แต่วันนี้มีเพียง “มาหามะพีสกรี วาแม” เป็น รอง ผวจ.เพียงคนเดียว อีก 3 คน กรมการปกครองยังไม่มีการแต่งตั้งรองผู้ว่าอีก 3 คน งานหนักจึงตกอยู่กับ”รองผู้ว่าฯ” เพราะไม่ใช่”นารายณ์ 4 กร”…..เช่นเดียวกับ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ที่ยังไม่มีการแต่งตั้งรองเลขาธิการที่ขาดอยู่ 2 ตำแหน่ง “พ.ต.ท.วรรณพงษ์  คชรักษ์ “ เลขาธิการ ศอ.บต.” จึงต้องทำหน้าที่แบบทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ ซึ่งในยุคที่”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรีที่ กำกับดูแล ศอ.บต. ในการ”ขับเคลื่อน” การพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการ”ร่วมมือ” อย่างใกล้ชิดกับ”ประเทศมาเลเซีย” รวมทั้งในการ”พูดคุยสันติสุข” ที่จะเกิดขึ้นใหม่ “ศอ.บต. ก็ได้รับบทบาทในเวทีการ”พูดคุยฯในครั้งนี้ด้วย ตำแหน่ง รองเลขาธิการ ศอ.บต. จึงต้องได้คนที่มี”ความรู้ ความสามารถ” มาเพื่อเป็น”มือเป็นไม้” ของผู้เป็น เลขาธิการ

แต่อย่างไรก็ตาม การ”ขับเคลื่อน” โต๊ะการพูดคุยสันติสุข” ของ” รัฐบาลนิดหนึ่ง” ด้วยการแต่งตั้ง “ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคง” ( สมช.) เป็น หัวหน้าคณะการพูดคุยสันติสุข” ก็”ไม่ปังอย่างที่คิด” เพราะถ้าดูอย่าง”ลงลึก” จะพบว่าการ”พูดคุยสันติสุข” ครั้งใหม่ เป็นเหมือน”หนังสือเล่มเดิม” ที่เพียงมีการ”เปลี่ยนปก” แต่”เนื้อในเหมือนเดิม” ชื่อที่ใช้”พูดคุยสันติสุข”ก็ยังเป็นของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี” คือ”การพูดคุยสันติสุข” หาใช่การพูดคุยเพื่อ”สันติภาพ”ไม่ รวมทั้ง หน่วยงานสำคัญหลายส่วนถูกตัดออก”เช่น”หน่วยงานสันติบาล” และ” กอ.รมน.ในส่วนกลาง มีเพียง “กอ.รมน.ภาคที่ 4 ส่วนหน้า” ที่เป็น “กรรมการและเลขาธิการ” ของคณะพูดคุยฯ ซึ่งใน “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องมีการ”จับตา”ให้ดีว่า ยังจะมี”กลุ่มนายพลนอกราชการ” ที่เป็น”อำนาจเก่า” ซึ่งถูกมองว่ามี”ผลประโยชน์” ใน”งบประมาณ”ของการ”พูดคุย” จะยังมีบทบาทอยู่ใน “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า หรือไม่…..เช่นเดียวกับ”คณะกรรมาธิการสันติภาพ” ที่มีการตั้งขึ้นมาเพื่อ”ออกแบบ” การสร้าง”สันติสุข” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ฟังแล้วยัง”ว้าเหว่” เพราะมีการพูดถึงเรื่องการ”ยกเลิก”พรก.ฉุกเฉิน” หรือ”กฎหมายสามพี่น้อง”ที่เป็นเรื่อง”ปลายน้ำ” การยกเลิก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า  เรื่องความไม่เป็นธรรม แต่เรื่องของ”บีอาร์เอ็น” ที่เป็น”รากเหง้า” ของปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีการ”หยิบยก” ขึ้นมาเป็นประเด็น เพื่อการแก้ปัญหาที่ถูกจุด เรื่องนี้ “จาตุรงค์ ฉายแสง “ ประธานคณะกรรมาธิการ และ”สุธรรม แสงประทุม” ประธานคณะที่ปรึกษาฯ ต้องให้ความ” สำคัญ”

อาคารฑันตกรรม “ครุอำโพธิ์-พงศ์สุวรรณ” ที่” เฉลิมพล ครุอำโพธิ์” คหบดีอำเภอสิงหนคร จ.สงขลา เจ้าของโรงโม่หินแห่งอำเภอบางกล่ำ จ.สงขลา งบประมาณ 34 ล้าน ที่สร้างให้ โรงพยาบาลสิงหนคร จ.สงขลา เพื่อลดความแออัด และให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชน มีกำหนดจะเปิดป้ายอย่างเป็นทางการภายในเดือน มกราคม 2567 วันนี้ “เถ้าแก่หลี” จึงต้อง ลงพื้นที่ ติดตามงานที่เหลืออย่างใกล้ชิด…..เด็กแว้นที่ยึดถนนลพบุรีราเมศวร์ ใน เขต สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อการ”แข่งรถจยย.” ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน “พล.ต.ต.สาธิต พลพินิจ” รอง ผบช.ภ.9 และรองโฆษกตำรวจภาค 9 ได้มีการ”สั่งการ” ให้มีการ”กวาดล้าง” จับกุมได้เกือบ”ครึ่งร้อย” ทั้งรถจยย.และ”เด็กเว้น” และหลังจากนั้น “พล.ต.ต.เชาวลิตร เลี้ยงสุพงศ์” ผบก.ภ.จว.สงขลา ก็ได้สั่งการให้ ตำรวจทุกพื้นที่ “กวดขัน” เรื่องการยึดถนนเพื่อ”แข่งรถของเด็กเว้น” เพื่อให้จับกุมแล้ว

สุดท้าย “ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล” นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย” ( สนพท.) และนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ( สนต.)ขอบคุณ” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค “แม่ทัพภาคที่ 4 /ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 , “พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการศอ.บต.” อำพล พงศ์สุวรรณ” ผวจ.ยะลา ศอ.บต.” “พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี “นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ “,พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ” นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา ,”ไพเจน มากสุวรรณ์ “นายก อบจ.สงขลา, “มุกตาร์ มะทา” นายก อบจ.ยะลา ,”พาติเมาะ สดีนามู “ผวจ.ปัตตานี.”ปรีชา นวลน้อย” รอง ผวจ.นราธิวาส,”มาหามะพีสกรี วาแม “รอง ผวจ.สงขลา ,”เอก ยังอภัย ณ สงขลา “นายอำเภอเบตง ,”สกุล เล็งลัคกุล นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา” สันติ เหมมัน” นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองคลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา . “วิภาวี ปัญญาดี” ตัวแทนจาก ปตท.สผ. และ” เฉลิมชัย ครุอำโพธิ์”  ที่ให้การ สนับสนุน สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ในการในโครงการ”สานสัมพันธ์สื่อมวลชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยวคาบสมุทรมาลายู ครั้งที่ 1 จนลุล่วงไปด้วยดี……สวัสดีครับ พบกันใหม่วันศุกร์หน้า

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’เศรษฐา’ล่องใต้ เร่งพลิกฟื้นปลุกเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้

เริ่มต้นที่การเดินทาง”ลงใต้” โดยมี”หมุดหมาย” ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ของ”เศรษฐา ทวีสิน “ นายกรัฐมนตรี เพื่อพบกับ”ดาโต๊ะ ตันสรี อัลวาร์ อิมราฮิบ” นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย เพื่อการประชุมร่วมมือในการ”พัฒนาเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้” โดยเฉพาะในกรณีของ”ด่านศุลกากรสะเดา”แห่งใหม่ ที่”สร้างเสร็จ” หลายปีแล้วแต่ยังเปิดใช้ไม่ได้ เพราะยังไม่มีการ”เชื่อมต่อ” กับ”ด่านศุลกากรมาเลเซีย” ที่”บูกิ๊ตกายูฮีตำ” ฝั่งมาเลเซีย แต่ถึงจะมีการ”หารือ” ระหว่าง”ผู้นำทั้งสองประเทศ” แล้วก็จริง แต่กว่าจะเปิดใช้ได้ก็ยังต้องรอถึงปี 2567 และกว่าจะ”สมบูรณ์”จริงๆ ก็ โน่น ปี 2568 แต่ก็ถือว่า”โอกาสดี” ที่ผู้นำทั้งสองประเทศ ได้มีการ”พบปะสนทนา” ในปัญหาระหว่างประเทศ ที่”คาราคาซัง” มาหลายปี จะได้หมดเรื่อง”ที่ทำการ”ศุลกากรตาบอด” เสียที

ส่วนปัญหาใหม่ ที่ ประชาชนใน เขตเทศบาลตำบลสำนักขาม ที่เมือง”เมืองชายแดน” ติดกับ”มาเลเซีย” ยื่นเรื่อง”ร้องขอ” ให้ ด่านศุลกากรแห่งใหม่ เป็น “เส้นทางของรถบรรทุกขนส่งสินค้า” เพียงอย่างเดียว ส่วนรถของ “นักท่องเที่ยว” ให้ผ่านเส้นทาง”ด่านศุลกากรเก่า” เพราะหาก ให้รถยนต์ทุกชนิด ใช้ เส้นทาง”ด่านศุลกากรใหม่”  ธุรกิจการค้าขาย  การลงทุน ใน เขตเทศบาลตำบลสำนักขาม ต้องได้รับผลกระทบ   เพราะพื้นที่ชายแดนใน เทศบาลตำบลสำนักขาม มีโรงแรม รีสอรต์ ทั้ง เล็ก ใหญ่ ถูกต้อง และ” ผิดกฎหมาย” นับร้อยแห่ง มี สถานบันเทิงทุก  ตรอก ซอก ซอย” มี ร้านค้าหลายร้อยแห่ง ถ้าปล่อยให้”รถทัวร์” รถของ นักท่องเที่ยว ไปใช้”ด่านใหม่” ชาวบ้าน,นายทุน ก็จะ”เจ๊งกันระนาว” ก็เป็น”หน้าที่” ของ “ท้องถิ่น” ที่ต้องร่วม”จังหวัด” ในการ แก้ปัญหา เพื่อให้”มีกรอบ” ของ”น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า” ไม่ใช่ทุกปัญหา ต้องให้”รัฐบาล” หรือ”นายกรัฐมนตรี”มา”แบกรับ” ไม่อย่างนั้น “ผู้ว่าราชการจังหวัด,นายอำเภอ,นายกเทศบาล” จะมีไว้เพื่ออะไร จริงมั้ย “ สมนึก  พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา

แต่ที่น่าสังเกต ในการ”หารือ” ระหว่าง”นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศ” ไม่มีเรื่องของ”ความมั่นคง” เกี่ยวกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวกับการ”ขับเคลื่อนการเจรจาสันติภาพ” ระหว่าง”รัฐบาลไทย” กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ที่มี”รัฐบาลมาเลเซีย” ทำหน้าที่ในการ”อำนวยความสะดวก” หรือเป็นเพราะเรื่องนี้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ได้มีการ”พูดคุยหารือ” กับ”ดาโต๊ะ ตันสรี อัลวาร์ อิมราฮิม ในการเดินทางไปประชุมที่ “สหรัฐอเมริกา” ก่อนหน้านี้ ซึ่ง”ทั้งสอง ได้มีการ”หารือ”แบบ”ปิดลับ” ถึง 30 นาที หรือ เหมือนๆกับทุก “รัฐบาล” ที่ผ่านมา ที่เรื่อง”สำคัญที่สุด” อย่างเรื่อง”บีอาร์เอ็น” ที่ตั้ง”ฐานที่มั่น” ใน”มาเลเซีย” แต่มีการ”ปฏิบัติการ” ก่อการร้ายใน จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องที่ต้องหารือ”ใต้โต๊ะ” เพราะการหารือ”บนโต๊ะ” เป็นเรื่อง”แสลง”ของผู้นำประเทศมาเลเซีย

แต่การ”ขับเคลื่อน” การ” พูดคุยสันติสุข” หรือ”การเจรจาสันติภาพ” แล้วแต่ฝ่ายไหนจะให้คำ”นิยาม” ก็มีการ ดำเนินการอย่างเป็น”รูปธรรม” จาก รัฐบาลนิดหนึ่ง” แล้ว เพราะมีการแต่งตั้ง”ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคง ( สมช.) ที่ “ชวด” ตำแหน่ง “เลขาธิการสภาความมั่นคง” เพราะต้องเปิด”ตำแหน่ง” ให้ “ พล.ต.อ.รอย อิงคโพโรจน์” รอง ผบ.ตร. ผู้”ชวด” ตำแหน่ง ผบ.ตร. ไป นั่งในตำแหน่ง “เลขาธิการสภาความมั่นคง ( สมช.) ก่อน 1 ปี ก่อนเกษียณอายุราชการ ดังนั้นการแต่งตั้งให้”ฉัตรชัย บางชวด” ทำหน้าที่”หัวหน้าคณะเจรจากับขบวนการแบ่งแยกดินแดน” จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง 1 เป็น ครั้งแรกที่”หัวหน้าคณะพูดคุยฯ” เป็น “พลเรือน” 2 .”ฉัตรชัย บางชวด” รอง เลขาธิการสภาความมั่นคง ( สมช.) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการ”พูดคุย”หรือการ”เจรจา” กับ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” มาเป็นเวลานานหลายปี ”รู้แจ้ง เห็นจริง” กับ”เหลี่ยม คู เล่ห์กล” ของ”บีอาร์เอ็น, มาเลเซีย” และ “ องค์กรต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น” เจนีวาคอลล์” หรือ” ไอซีอาร์ซี” และอีก”หลายกลุ่ม” ที่เข้ามา”แทรกแซง” ใน”ขบวนการสันติภาพ” ของไทย  และ 3 เป็นการให้”รางวัล”กับ” ฉัตรชัย บางชวด” ที่ “ชวด” ตำแหน่ง”เลขาธิการสภาความมั่นคง( สมช.) ได้”สั่งสม” ประสบการณ์ ก่อนที่จะได้ขึ้นเป็น”ตัวจริง” ของ” สภาความมั่นคงแห่งชาติ และ คณะ”พูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้” มี ผู้แทน”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทำหน้าที่เป็น”กรรมการ”และ”เลขานุการ”

ก็ดู”ทหาร”ที่”เกษียณอายุ”แล้ว ทำหน้าที่”หัวหน้าคณะพูดคุยฯ” มาแล้ว หลายคน ตั้งแต่” พล.อ.อักษรา เกิดผล, พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ, พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” แต่ถูกมองว่า”ขบวนการพูดคุย” เหมือนกับ”พายเรือในอ่าง”วนไปวนมา”ไปไหนมาสามวาสองศอก” ครั้งนี้เมื่อ หัวหน้าคณะพูดคุยเป็น”พลเรือน” ผลงานจะ”เข้าตาประชาชนหรือไม่ โดยเฉพาะ ณ วันนี้” นายกรัฐมนตรี”  เศรษฐา ทวีสิน” ก็เป็น” พลเรือน” รัฐมนตรีกลาโหม” สุทิน คลังแสง” ก็เป็น” พลเรือน” และ”ฉัตรชัย บางชวด” หัวหน้าคณะพูดคุย ก็เป็น”พลเรือน” สมใจของ”นักวิชาการ,เอ็นจีโอ,และ”ภาคประชาชนสังคม ที่ออกมา”เรียกร้อง”ให้”พลเรือน” ทำหน้าที่ของ”คณะพูดคุยฯ   ก็ติดตามกันต่อไปว่า”สุดท้าย” ผลที่ออกมาจะสามารถทำให้”จังหวัดชายแดนภาคใต้” กลับคืนไปสู่ความ”สงบสุข”หรือไม่ และที่”ท้าทาย” การใช้”เวทีการพูดคุย” จะเป็นทางออกของการ  ”ดับไฟใต้” ได้ตามที่”นักวิชาการ,และ”เอ็นจีโอ.” คาดหวังหรือไม่…..และที่ต้องติดตามต่อไปคือ”ฝ่ายของ”บีอาร์เอ็น” จะมีใครบ้างที่เป็น”คณะพูดคุยฯ” ยังจะเป็น”คณะพูดคุยชุดเดิม” ที่ถูก ตั้งข้อสังเกตว่า เป็น”บีอารเอ็น” ก็จริง แต่หลังการเปิดตัวเป็น”คณะพูดคุยฯ ก็มีการ”ปลดออก” จากตำแหน่ง”บริหาร” ของขบวนการฯ จึงไม่มีอำนาจในการที่จะ”ตัดสิน” ว่าจะ”เยส” หรือ”โน”ในเวทีของการ”พูดคุย” ที่ผ่านมา ซึ่งมีข่าว”วงใน” แจ้งว่า” ในการ”ขับเคลื่อน” เวทีการ”พูดคุยสันติสุข” ครั้งนี้ จะมีผู้ที่เป็น”ผู้นำ”จิตวิญญาณ”เป็น “หัวหน้าคณะ ถ้าเป็นจริง นี่คือ”สัญญาณ” ที่ดีของเวทีการ”พูดคุยสันติสุข” ที่อาจจะมองเห็น”จุดหมายปลายทาง” หรือ” แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”

สังคมไทย”ป่วยไข้” และต้องหาทาง”เยียวยา” ก่อนที่จะ”โคม่า” ยิ่งกว่านี้ มีอย่างที่ไหนที่ “สังคม” ต่าง”เห็นใจ” และ”ยกย่อง” เชาวลิต ทองด้วง หรือ”เสี่ยแป้ง” ที่เป็น”อาชญากร” มีการ”ก่อคดีมากมาย” โดยตนเอง และเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง โดยข้อเท็จจริง” เสี่ยแป้ง” ทำผิดกฎหมาย และใช้เงินในการ”ติดสินบน” เจ้าหน้าที่เพื่อให้”พ้นผิด” แต่เมื่อเกิดข้อ”ผิดพลาด” และถูกพวกเดียวกัน”หักหลัง” เพื่อ”เอาตัวรอด” จึงทำให้”เสี่ยแป้ง” วางแผน”หลบหนีจาก”เรือนจำ” เพื่อ”แก้แค้น” พวกเดียวกันที่”หักหลัง” และ”เชิดเงิน” ที่ใช้ในการ”ล้มคดี” ดังนั้น”เสี่ยแป้ง” จึงไม่ใช่”คนดี” ที่ สังคมจะไป”ยกย่อง”…..วันนี้สังคม”ชื่นชม”และ”เชียร์” เสี่ยแป้ง เหมือนกับคดี”น้องชมพู่”กับ”ลุงพล” และเหมือนกับคดี”ดาราที่หล่นจากเจ๊ตสกี” ที่ “สังคม” ไม่เชื่อถือ”ตำรวจ” ทั้งที่”ตำรวจ” มีหลักฐานที่”ชัดเจน”ว่า เรื่องจริง เป็นอย่างไร   เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ต้องให้”น้ำหนัก” ในการที่ต้องกู้”วิกฤติศรัทธา” ของ”ประชาชน” ที่มีต่อ”สถาบันตำรวจ”

ถูกต้อง คดีนี้”เสี่ยแป้ง” หรือ”เชาวลิต ทองด้วง” ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคนที่ร่วมทำผิดอีก 5 คนและผู้ร่วมก่อเหตุได้รับการ”ประกันตัว” ในชั้นการ”พิจารณาคดี” และถูก”สั่งไม่ฟ้อง”ในขณะที่”เสี่ยแป้ง” นอกจากไม่ได้รับการประกันตัวแล้ว ยังถูก”สั่งฟ้อง” เมื่อ”พิจารณา”อย่างถี่ถ้วน จะพบว่าขบวนการยุติธรรม” ทั้งแต่”ต้นน้ำ”คือ”ตำรวจ” ที่เป็น ผู้จับกุม ผู้กล่าวหา  ผู้สอบสวน และ ผู้ส่งฟ้อง มี”พฤติกรรม” ที่” ไม่ชอบมาพากล” ตั้งแต่การจับกุม”นักค้ายาเสพติด”ที่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี และ ขยายผลมาจับ”นายจรวด” ที่บ้านพักใน จ.พัทลุง” และมีการ”ต่อรอง” ที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากัน  ถึงเรื่องการ”ติดสินบน” จนนำมาสู่การ”วางแผน”ให้ “เสี่ยแป้ง” คุม”ลูกสมุนโจร” ไปชิงตัว”นายจรวด” นักค้ายาเสพติด ในจุด”นัดพบ” ที่ อ.ควนขนุน” จ.พัทลุง “ นอกจาก”ชิงตัวผู้ต้องหา” แล้วยังมีการ”ชิงอาวุธปืน” และ”โทรศัพท์” มือถือของ”ตำรวจ” มาด้วย และ”ตำรวจ” ที่ถูก “ชิงผู้ต้องหา”และ”ชิงปืน ชิงโทรศัพท์” ยังไม่มีการ”แจ้งความ” ในทันทีทันใด แต่กลับมีการ”เจรจา” ขอ”ปืนและโทรศัพท์” คืนจาก”เสี่ยแป้ง” ก่อนที่จะมีการ” แจ้งความ”เพื่อ”เอาผิด” กับ “เสี่ยแป้ง” “พลพรรค” จำนวน 7 คน ทั้งที่มีคน ร่วมก่อเหตุ” 20 กว่าคน

และหลังที่”เสี่ยแป้ง” และพวก เข้ามอบตัวเพื่อ”ต่อสู้คดี” ก็มีการอ้างว่า”จ่ายเงิน”  จำนวนหนึ่ง เพื่อ”ล้มคดี” และที่ทำให้”ประชาชน”เชื่อว่ามีการ”ใช้เงิน” เพื่อ”ล้มคดี” เป็นความจริง” เพราะคดีนี้ สั่ง”ไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหาทั้ง 7 คน แต่เมื่อมีการส่งสำนวนให้”อัยการภาค 9” มีการ”เห็นแย้ง” จนทำให้มีการ”สั่งฟ้อง” ผู้ต้องหา 2 คน นั้นคือ” เสี่ยแป้ง” และ”นายจรวด”  และนี่เป็น”ชนวนเหตุ” ที่”เสี่ยแป้ง” อ้างว่าไม่”ยุติธรรม” และต้อง”หลบหนีเรือนจำ” มาทวงถามความ”ยุติธรรม” จาก” เจ้าหน้าที่บ้านเมือง” เพราะคนทั้ง 7 รวมกันทำผิด”กฎหมาย” แต่กลับ”หลุดรอดร่างแห”ของ”กฎหมาย”….ก็ ถูกต้องแล้วที่ “คดีเสี่ยแป้ง” ต้องนำมา”พิจารณา” กันใหม่ ถ้ามี”หลักฐานใหม่”  โดย “สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ”รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม” พ.ต.อ” ทวี สองส่อง” ถึงกับ”เชิญชวน” ให้”เสี่ยแป้ง” มอบตัว เพื่อเข้าสู่ขบวนการ”ทวงคืนความชอบธรรม”ของ”กฎหมาย

คดีนี้ใหญ่กว่า คดีของกำนันตุ้ม ที่ จ.นครปฐม เพราะคดี “กำนันตุ้ม” ผู้”เสียหาย” มีเพียง”ตำรวจ”ที่”เสียชีวิต” และ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ที่”เสียชื่อเสียง” เพราะปล่อยให้”กำนัน” ใหญ่กว่า”ผู้กำกับ” และ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” แต่คดี”เสี่ยแป้ง” ทำให้”ขบวนการยุติธรรม” เสียหายทั้งระบบ โดย ประชาชน เชื่อว่า มีการ”ซื้อ-ขาย” สำนวนคดี  นี่คือความ”เสียหาย” ใน”ขบวนการยุติธรรม” ที่ทำให้ ประชาชนขาดความเชื่อถือ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ”กระทรวงยุติธรรม” ที่จะต้องมีการ”สังคายนา” ครั้งใหญ่ จากคดีที่”เสี่ยแป้ง” เรียกร้อง…..ที่สำคัญ”เสี่ยแป้ง”  จะ”เรียกร้อง” ผ่านทาง”สื่อ” อย่างเดียวไม่ได้ เพราะ”สื่อ” ไม่มีหน้าที่” ดังนั้นถ้า”เสี่ยแป้ง” จะขอ”คืนความชอบธรรม เพื่อให้คนทำ”ทำผิด” ทุกคน ได้รับโทษเหมือนกับ”เสี่ยแป้ง” เสี่ยแป้ง ต้องมอบตัว เพื่อทำหน้าที่เป็นโจทย์ เป็นผู้”เสียหาย” ในคดีนี้  แต่ถ้า”เสี่ยแป้ง” ยัง หลบหนี เรื่องการ”คืนความชอบธรรม” ก็เดินหน้าต่อไม่ได้ และ”เสี่ยแป้ง” ต้อง”หลบหนี” จนกว่าจะสิ้นอายุความ พร้อมทั้งถูก”ไล่ล่า” ทั้งจาก” เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ซึ่งจะมีการถูก”วิสามัญ” สูงยิ่ง รวมทั้ง”เสี่ยแป้ง” ถูก”ไล่ล่า” จากผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ เพื่อการ”ปิดปาก” ดังนั้น ทางออกเดียวของ”เสี่ยแป้ง” คือการ”มอบตัว” เพื่อให้พ้นจาก”ความตาย”และ”พิสูจน์ความจริง”..….ส่วนใครที่”ช่วยเหลือ” ให้”เสี่ยแป้ง” หลบซ่อนในบ้าน”ในตระ” อย่างปลอดภัย เชื่อว่าวันนี้” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. และ”ผู้ช่วยแมน” คงจะรู้แล้วว่า “เกลือเป็นหนอน” เกิดจาก” ตำรวจคนไหน ที่ ลอบให้การช่วยเหลือ”เสี่ยแป้ง” ให้ รอดพ้นจากการถูก” วิสามัญ” บนเทือกเขาบรรทัด และ ก็คงรู้แล้วว่า “บุคคลใด” ที่ให้ความช่วยเหลือพา”เสี่ยแป้ง” หนีจากพื้นที่”บ้านในตระ” หลังจาก”ปะทะ” กับ”ตำรวจ”  ก็ต้องรอดูว่าจะมีการ”เช็คบิล” คนใน”สีเดียวกัน” อย่างไร

ถามกันจังถึงเรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท หรือโครงการ”ดิจิตัลวอลเล็ต” เพื่อให้ประชาชนนำไป”ใช้จ่าย” เพื่อการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ซึ่ง”นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน” ผลักดันเรื่องนี้อย่าง”เต็มสูบ” โดยไม่ฟังเสียงของ”ผู้เห็นต่าง” ซึ่งสุดท้ายก็ต้องรอให้ ขบวนการทางกฎหมาย “ ชี้ขาด” นโยบาย”กู้เงินมาแจกประชาชน” ทำได้หรือไม่ แต่ดู”แนวโน้ม”แล้วข้อ”กฎหมาย” น่าจะผ่าน และถ้า นำเข้าสภาฯ เพื่อขอ”มติ” ก็คงจะ”ฉลุย” เพราะ พรรครวมรัฐบาล ยังต้องการ”เกาะกลุ่ม” เป็นรัฐบาลให้ยาวนานที่สุด ไม่มีใครอยากให้รัฐบาล”อายุสั้น” เพราะ พรรคการเมืองทุกพรรค ต้องมีการ”สะสมเสบียงกรัง” เพื่อการ”เลือกตั้งในอีก 4 ปีข้างหน้า ก็บอกกับ ประชาชน ว่า เงิน 10,000   บาท ที่”รัฐบาล” แจกฟรี ได้ใช้แน่แต่ช้าหน่อย ใจเย็นๆ นะโยม…..วันนี้ต้องเห็นใจรัฐบาลของ” เศรษฐา ทวีสิน” ที่เข้ามาบริหารประเทศได้เพียง 3 เดือน ที่มีปัญหามา”รุมเร้า”มากมายเหมือน 3 ปี โดยเฉพาะปัญหา “เศรษฐกิจ” ที่ อุตส่าห์ ใช้นโยบาย” ฟรีวีซ่า” ให้กับประเทศจีน เพื่อต้องการให้”ชาวจีน” มา เที่ยวประเทศไทยให้มากที่สุด แต่”สุดท้าย” นอกจาก” ตัวเลขของการคาดการณ์จะ”ห่างไกลความเป็นจริงแล้ว” สายการบิน 10 บริษัทของประเทศจีน ยัง”ยกเลิกไฟล์บิน” มาประเทศไทยอีกต่างหาก และที่”ต้องจับตามอง” คือ นโยบาย”ฟรีวีซ่า” ของ”รัฐบาลจีน ที่ยกเว้นการ”ขอวีซ่า” เข้าประเทศจีน เพื่อทำธุรกิจ เพื่อการท่องเที่ยว เยี่ยมญาติเป็น เวลา 15 วัน ให้กับประเทศต่างๆ 6 ประเทศ และ 1 ใน 6 ประเทศ มี”มาเลเซีย” ที่เป็น”เพื่อนบ้าน”ของประเทศไทย แต่ไม่มีประเทศไทยใน 6 ประเทศนั้น ถามว่า”รัฐบาลจีน” คิดอะไร และ”รัฐบาล”ของ”เศรษฐา ทวีสิน” คิดอย่างไร

รวมทั้งเรื่องของโครงการ”แลนดบริดจ์” หรือการก่อสร้าง”สะพานบก” เชื่อม “มหาสมุทรอินเดีย” กับ”ทะเลจีนใต้ “ เข้าด้วยกัน ที่ จ.ชุมพร และ จ.ระนอง มีข่าวว่า “รัฐบาลจีน” ไม่ให้ความสนใจ  แต่”รัฐบาลจีน” กำลังมองหา “ช่องทาง” อื่นๆ ในการ”ขนส่ง” ประเด็นนี้ ก็ต้องถามว่า การ”ส่งสัญญาณ” ของ”รัฐบาลจีน” ที่ส่อไปใน”ทางลบ”ต่อประเทศไทยหลายเรื่อง มาจากปัญหา”เรือดำน้ำ” ที่ “รัฐบาลไทย” ทำการ”ชักเข้าชักออก” จนทำให้”รัฐบาลจีน” ส่ง”สัญญาณ”ของความ”ไม่พอใจ” ใช่หรือมั้ย  และถ้าใช่” เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะแก้ไขอย่างไร

เรื่องการท่องเที่ยวในประเทศ หลังจากที่”สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” มีการยกเลิกการ ”เขียนคำร้อง ตม.6”   ที่ ด่านพรมแดน อ.สะเดา จ.สงขลา ทำให้การเดินทางของ”นักท่องเที่ยว”จาก”มาเลเซีย-สิงคโปร์” มีความ”สะดวก” และไม่ต้อง”เสียเบี้ยใบ้รายทาง” ให้กับ”นายหน้า” ผู้”รับจ้าง” เขียนเอกสาร ตม.6  ทำให้นักท่องเที่ยว เดินทางเข้ามายัง จ.สงขลาเพิ่มขึ้นถึง 30 กว่า %…..ดังนั้นเรื่อง”เอกสาร ตม.6”  ต้องมีการ”ยกเลิก” ในทุกด่านพรมแดน โดยเฉพาะที่ ด่านตรวจคนเข้าเมือง” ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งวันนี้มีนักท่องเที่ยว จากต่างชาติ “หลั่งไหล” เข้ามา “ท่องเที่ยว กำลังจะ”ทะลุ 1 ล้านคน” และนอกจากต้องเขียน”เอกสาร ตม.6 “  ที่ ทำให้เกิดความ”ล่าช้า” แล้วยังมีการ เปิด”ช่องทาง”ให้ “เข้าเมือง” เพียงช่องทางเดียว ที่เรียกว่า”ช่องทางวีไอพี” ซึ่ง “นักท่องเที่ยว” ให้ข้อมูลว่า คำว่า”ช่องทาง วีไอพี” คือ”หัวละ 200- 300 บาท เท็จจริงอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ต้องมีการ”ตรวจสอบ”

โยกย้าย ตำแหน่ง ผู้ว่าการจังหวัดครั้งล่าสุดของ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ว่าที่ ร.ต.ตระกูล โทธรรม รอง ผวจ.ปัตตานี ก็ได้รับการพิจารณาให้ไปขึ้นเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด นราธิวาส  ทำให้ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี “ผู้ว่าราชการจังหวัด”ครบทุกจังหวัด…..ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ก็เป็นไปตามคาดคือ”ทรงกลด สว่างวงศ์ รอง ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ขยับขึ้นเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดแทน “ขจรศักดิ์ เจริญโสภา” ที่”ตกม้าตาย” ต้องออกจากราชการ จากเรื่อง”จัดซื้อจัดจ้าง” เรื่องตรวจจับวัตถุระเบิด”อัลฟ่า” หรือ”ทีจี 200” และ” สมชาย หาญภักดีปฏิมา” รอง ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และ “นริศ นิรามัยวงศ์ รองผู้ว่าจังหวัดนครสวรรค์ เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นการ “ขยับ” รองผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งสิ้น

คดีการ”ก่อวินาศกรรม” ร้านทองใน อ.ตากใบ” และ “ก่อวินาศกรรม” สถานที่ต่างๆ 8  จุด ใน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ในคืนวันที่  21 ต.ค. 66   วันนี้มีความคืบหน้าแล้ว เมื่อ พ.ต.อ.สุธน สุขวิเศษ รอง ผบก. ภ.จว.นราธิวาส แถลงข่าวว่า มีการ”ออกหมายจับ”  ผู้ก่อเหตุชุดแรก ที่มี”หลักฐาน” สาวไปถึง จำนวน 4 คน และที่อยู่ระหว่างรวบรวบหลักฐานเพื่อออกหมายจับอีก  3 คน  เมื่อ”ป้องกันการก่อเหตุ”ไม่ได้ หลังการก่อเหตุ มีการ”จับกุม” หรือ”ออกหมายจับ” ได้ ก็คือเป็น”ประสิทธิภาพ”ของการ”สืบสวนสอบสวน” วันนี้ผู้ต้องหาทั้งหมด อาจจะ”หลบอยู่” ใน”มาเลเซีย” แต่ วันหนึ่งก็ต้อง”จับได้” เพราะ”คนร้าย” เหล่านี้ “ข้ามไป-มา” ระหว่าง ไทย และ มาเลเซีย เป็นประจำ

ฝนตกหนัก และ “น้ำท่วม” ใน หลายพื้นที่ของ จ.นราธิวาส และ ปัตตานี นอกจาก” เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง”และ”ท้องถิ่น” ที่ ออกให้การช่วยเหลือ”ประชาชน” ผู้ที่”เดือดร้อน” จากเรื่อง”น้ำท่วม” แล้ว ก็เห็น”กำลังพล” ของ”กองทัพภาคที่ 4 “ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่มี”ความพร้อม” ทั้ง “กำลังพล” และ”ยานพาหนะ” ที่ ลงพื้นที่ทันท่วงที และที่สำคัญ”ถุงยังชีพ” ที่ให้ความ”ช่วยเหลือ” ต่อประชาชน อย่างทันท่วงที และ นี่คือคำตอบว่า”ทหารมีไว้ ทำอะไร” และทั้งหมดคืน “นโยบาย” ในงานด้าน”มวลชน” ของ “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ”ผอ.กอ.รมน.ภาค 4….ความ”ยุติธรรม” ที่ต้อง”ดิ้นรน” เพื่อ”เรียกร้อง” แม้จะต้องใช้เวลายาวนานถึง 12 ปี สุดท้าย คดีที่ “พลทหาร”วิเชียร   เผือกสม”  ถูก”ซ้อมทรมาน”จนเสียชีวิต จาก”ครูฝึก” ในค่ายทหารใน จ.นราธิวาส ก็มีการ”พิพากษา” ให้”จำเลยทั้ง 7 นาย ได้รับโทษ ตามที่ญาติของผู้เสียชีวิตเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งทำให้เห็นว่า”ความเป็นธรรม” มีอยู่จริง แต่บางครั้งต้อง”ออกแรง” ในการ”เรียกร้อง” และต้องใช้เวลาในการ”รอคอย”

เห็นความ”ขยันขันแข็ง” ของ” พ.ต.ท.วรรณพงศ์ คชรักษ์ “ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ที่ “เดินสาย” ลงพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพบกับผู้นำ” องค์กร” และ”บุคคล” สำคัญ ในพื้นที่ เพื่อการ”แสวงหาความร่วมมือ” ในการ”พัฒนา”เพื่อให้เกิด”สันติสุข” และความ”อยู่ดีกินดี” ของคนในพื้นที่ ซึ่งหลังจากนี้ ก็คงเห็นชัดถึง “นโยบาย” ของ “ศอ.บต.” ในการ”ขับเคลื่อน” งานด้านต่างๆ ที่ต้อง”ตอบโจทย์” ของ ปัญหา และ ของคนในพื้นที่…..มีผู้”หวังดี”ต่อประเทศชาติ ส่ง”จดหมาย” และ”ภาพถ่าย” การโค่นป่าที่สมบูรณ์ ในนิคมสร้างตนเองท้ายเหมือง จ.พังงา ในพื้นที่ 50 ไร่มาร้องเรียน     ซึ่ง  ” วิไลวรรณ บุญอามร”  ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเอง” อ้างว่าเป็นการ “ไถพื้นที่” เพื่อการ”ทำการเกษตร” ปลูกผัก ปลูกหญ้า” แต่ ปัญหาที่ ชาวบ้าน”ข้องใจ” คือ” ได้มีการ”ขออนุญาตโค่นป่าที่มีความสมบูรณ์ต่ออธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ถูกต้อง และได้รับการ “อนุมัติ” แล้วหรือไม่   และ”ข่าวว่า” เป็นการโค่นป่าเพื่อ”ทำสวนปาล์ม” เป็นความจริงหรือไม่ และเป็น”สวนปาล์ม” ของใคร เรื่องนี้ต้องสร้างความ”กระจ่าง” ให้กับสังคมโดยเร็ว อย่าให้ความ”สงสัย” กลายเป็นเรื่องของ”ไฟลามทุ่ง” นะ”ผู้ปกครอง”

กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานเทศกาลสินค้าอุตสาหกรรมภาคใต้ (Industrial Fair) ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. ณ ลานอเนกประสงค์ ตลาดเสาร์-อาทิตย์ ถนนพัฒนาการคูขวาง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดย รัฐมนตรีอุตสาหกรรม พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เป็นประธานเปิดงาน จุดประสงค์ของงานก็เพื่อส่งเสริมสินค้าอุตสาหกรรมภาคใต้ ในโครงการนี้จะมีบูธจำหน่ายสินค้ากว่า 300 บูธ ซึ่งผู้เข้าชมงานครั้งนี้จะมีโอกาสซื้อสิ้นค้าในราคาโปรโมชั่นพิเศษ อาทิ ถ่ายน้ำมันเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ฟรีวันละ 75 คัน นอกจากนั้นท่านผู้ชมงานมีโอกาสชมคอนเสิร์ตการแสดงของศิลปินดัง ๆ 5 วันเต็ม

วันก่อน “ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล” นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย  (สนต.) นำคณะ”สื่อมวลชน” และ”ผู้ประกอบการท่องเที่ยว” จากประเทศมาเลเซีย และ อินโดนีเซีย มา”ทัศนศึกษา” สถานที่ท่องเที่ยว และดูงานด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้    รวมทั้งข้อเท็จจริง ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหา”ความมั่นคง” ได้รับการ”ต้อนรับ” อย่างดียิ่งจาก “อำพล พงษ์สุวรรณ์” ผู้ว่าราชารจังหวัดยะลา พ.จ.ท. อนันต์ บุญสำราญ รอง ผวจ. และ  “เอก ยังอภัย ณ สงขลา “ นายอำเภอเบตง จ.ยะลา “สกุล เล็งลัคค์กุล” นายกเทศมนตรีเบตง และ”โตหอง แซ่หลี” นายกสมาคมการท่องเที่ยว และ “ผู้จัดการ”สวนหมื่นบุปผา  ที่สร้างความประทับใจ ให้กับ”สื่อมวลชน” ของทั้งสองประเทศ เป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องกล่าวคำว่า”ขอบคุณ” อีกหลายๆ ครั้ง….. เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) และ” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  ที่ให้ความสำคัญ ให้เวลา”คณะสื่อมวลชนทั้งสองประเทศ” เข้าพบ และ บรรยายถึงเรื่องของการการ”พัฒนา” และเรื่องของ”ความมั่นคง” ที่”สื่อมวลชน” ต่างเข้าใจถึงข้อเท็จจริง นี้แหละ ที่เรียกว่า”สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”   แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…เข้าหน้า ‘มรสุม’ทุกข์หนักชาวปักษ์ใต้!

ก็ได้ทำตาม นโยบาย การเป็น”เซลล์แมน” ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ในการไปประชุม ระดับโลก พบปะ ผู้นำ และ นักธุรกิจ ในประเทศ สหรัฐอเมริกา กลับมาพร้อม”ความหวัง” จากการไป”ขายโปรเจกส์” ใหญ่ๆ เพื่อ ดึง”กลุ่มทุน” ระดับโลก เข้ามาลงทุนในประเทศไทย” ซึ่ง” นายกนิดหนึ่ง” แถลงข่าวว่ามี “กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่” สนใจจะมาลงทุนในประเทศไทย หลายแสนล้าน….ก็”ฟังหูไว้หู” เพราะใน”ภูมิภาคนี้” ไทย ไม่ใช่ ประเทศที่ “น่าลงทุน” เพียงประเทศเดียว ไทย มีคู่แข่งหลายประเทศ ที่”การเมืองมั่นคง” และ”ค่าแรงถูกกว่า” ในขณะที่”บ้านเรา” การเมือง”ง่อนแง่น” ความ”ขัดแย้งสูง” ตลาดหุ้น”ดิ่งเหว” ต่อเนื่องมาแล้ว 3 เดือนแล้ว และยังมี”สารพัดปัญหา” ที่เพียงถูก”ก้าวข้าม” โดยยังไม่ได้แก้ไข ดังนั้นความ”คาดหวัง” และความฝัน” ต่างกับ”ความจริง”ที่เกิดขึ้น แน่นอน…..แค่เรื่อง” ดิจิตอลวอลเล็ต” เพียงเรื่องเดียว ก็สร้างความ”ปั่นป่วน-ขัดแย้ง” ทั้งทาง”การเมือง” และ”สังคม” อย่างเหลือเชื่อ เป็นยุคที่”ประชาชนตาสว่าง” ไม่รับเงิน” ที่อาจจะสร้าง”หนี้สิน” ให้กับประเทศชาติและ”ลูกหลาน” ในอนาคต ดังนั้นวันนี้จึงยัง”คาดหวัง”ไม่ได้ว่า โครงการ” ดิจิตอลวอลเลต” ที่ “รัฐบาล” โดยพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า เงิน 10,000 บาท ที่แจกให้ประชาชน 50 ล้านคน ในวงเงิน 500,000 ล้าน เพื่อไปใช้จ่าย จะเป็น”แสงสว่าง” ในการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ที่”ดิ่งเหว” ให้”ลุกพรวดพราดอย่างเฉียบพลัน” ยังเป็นเรื่องที่”เชื่อไม่ได้” เพราะมีเสียง”คัดค้าน” จาก”ผู้รู้” ทั้ง”นักวิชาการ”และ”กูรู” ทางเศรษฐศาสตร์ ที่ สำคัญ หลายสำนัก ทั้งของ “รัฐและเอกชน” ต่างออกมา ตอบโต้ว่า “เศรษฐกิจไทย” ไม่ได้”เลวร้าย” ขนาดที่ ต้องใช้เงินกู้ 500,000 ล้าน เพื่อ”พยุง” ประเทศชาติไม่ให้”ดิ่งเหว”ไปกว่านี้ วันนี้ คนส่วนหนึ่งจึง”ละล้าละลัง” ว่าการกู้เงินมาแจกชาวบ้าน 500,000 ล้าน จะเป็นการ”สร้างหนี้ “หรือ”สร้างอนาคต” กันแน่

ที่สำคัญและเริ่มเป็นปัญหา สำหรับประเทศไทยคือ”สังคมเริ่มไม่มั่นใจ” ในตัวของ”เศรษฐา ทวีสิน” ว่า นี่คือ”นายกรัฐมนตรีตัวจริงหรือไม่” นี่คือ”วิกฤติศรัทธาทางการเมือง” ที่แม้แต่”ต่างประเทศ” ก็ให้ความสนใจ และ “จับตามอง” การเมืองของประเทศไทย ซึ่งเป็น หน้าที่ของพรรคเพื่อไทย ในการ”สื่อสาร” เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ “สังคมไทย” และ”สังคมโลก”ได้มั่นใจว่า ประเทศไทยมี”นายกรัฐมนตรี”เพียงคนเดียวที่ชื่อ”เศรษฐา ทวีสิน”…..ถือว่าเป็นการ”คิดดี” และ “หวังดี” สำหรับ นโยบาย การเข้าไป”จัดการ “กับหนี้นอกระบบ ที่”นายทุน” ใช้ในการ”โขกสับ” ประชาชนที่เป็น”ลูกหนี้” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ถึงขนาดให้มีการ “ขึ้นทะเบียน” ลูกหนี้ –เจ้าหน้า กับทาง โรงพัก และ อำเภอ โดยให้”มหาดไทย” เป็น”เจ้าภาพ” เพื่อให้”เจ้าหนี้” เก็บ”ดอกเบี้ย” จาก”ลูกหนี้” ในราคาที่ “เป็นธรรม” หรือตาม”กฎหมาย”…..เรื่องนี้ย้อนกลับไปยัง”รัฐบาลลุงตู่” ที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เคยมีการ”กวาดล้างจับกุม” เจ้าหน้าที่นอกระบบอย่าง”อึกทึก” ทั้งประเทศ มีการ”ยึดโฉนด.หัวทะเบียนรถยนต์ จยย.” เพื่อคืนให้กับ”ลูกหนี้” เป็นข่าวที่”โด่งดัง” ทั้งประเทศ แล้วเป็นไง เรื่อง”หนี้นอกระบบ” จบมั้ย เปล่าเลย เพราะหลังจากที่”ลูกหนี้” ได้”ทรัพย์สินคืน” ก็กลับไป”จำนำ”กับ”เจ้าหนี้”คนเดิมอีกครั้ง และ”หนี้นอกระบบ” ก็”เติบโตยิ่งขึ้น”ตามระบบ”เศรษฐกิจ” ที่ตกต่ำ “และความ”ยากจน” ที่เพิ่มขึ้นของ”ประชาชน” โดยเฉพะในห้วง 2 ปีกว่าของ “โควิด 19”…..สิ่งที่”รัฐบาล”ต้องรับรู้คือ” หนี้นอกระบบ” เกิดจาก”คนจน” เข้าไม่ถึง”สถาบันเงินกู้” ทั้ง”ของรัฐ”และ”เอกชน” เมื่อ ประชาชน เดือดร้อน เช่น “ลูกสอบเข้าตำรวจ, สอบเข้าพยาบาล , และสอบเข้ามหาวิทยาลัย ,” ลูกต้องการเป็น”อส. “ เป็น”ทหารพราน” ลูกเรียนจบ ต้องการ”ซื้อรถ” การ”ประกอบอาชีพ “ ที่ต้องใช้”ทุนรอน” ประชาชนผู้เดือดร้อน ต้อง”หยิบยืม” จากการกู้เงิน”นอกระบบ” ถ้า “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ยังไม่มี นโยบาย ให้”คนกลุ่มนี้” เข้าถึง สถาบันการเงินของรัฐ และ เอกชน การ”ปราบปรามเงินกู้”นอกระบบ” คือความ”หวังดี” เป็นการมอง”สังคมไทย”จาก”หอคอยงาช้าง” ที่มองไม่ทะลุ”แก่นแกน” ของ”สังคมไทยที่แท้จริง

ยกตัวอย่าง”ผู้ที่กู้เงินเพื่อซื้อบ้านจากสถาบันการเงินของเอกชน” ใน 100 ราย สามารถ”กู้ผ่าน” เพียง 10 ราย เพราะ สถาบันการเงิน “คัดเฟ้น” แต่ ลูกค้า ที่มั่นใจว่า เป็น”ชั้นดี” ความ”เสี่ยงต่ำ” ดังนั้นถ้า”รัฐบาล” ยังหาแหล่ง”เงินกู้” ในระบบ ที่เป็น สถาบันการเงินของรัฐ ให้กับ”คนจน” ไม่ได้ การ “ปราบปรามการ”กู้เงินนอกระบบ” ไม่มีมีทางหมดไปจากประเทศไทย เพราะ”นายทุนเงินกู้นอกระบบ” คือ”ธนาคารคนจน” ที่แจ้งจริง ที่คนจนยอมให้”ขูดรีดกรีดเนื้อ” ดีกว่าไม่มี”แหล่งเงินทุน”ในการ”ต่อลมหายใจ”ให้กับเขา……เลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด นั้นคือ “หมุดหมาย” การเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ”นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน ที่จะมีการ”นัดพบกับ” “นายกรัฐมนตรี” ประเทศมาเลเซีย” ที่ครั้งแรก จะมีการพบกันที่ จ.สงขลา และมีข่าวว่า จะเปลี่ยนเป็นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส แต่สุดท้าย ก็ไม่มีอะไร”ในกอไผ่” เรื่องของ”เศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงเป็นเรื่องของ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้ทำหน้าที่ กำกับดูแล” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ในการ”ผลักดัน” โครงการต่างๆ ที่ ทำไว้ในสมัยที่” พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” ทำไว้ และยังไม่เสร็จ เช่น ปัญหา”ด่านศุลกากรสะเดา” ที่สร้างเสร็จนานแล้ว แต่เปิดใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีถนนเชื่อมระหว่างระหว่าง “ทางหลวง” และ”ด่านศุลกากรมาเลเซีย,เรื่องสนามบินเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ที่ สร้างเสร็จ แล้วปล่อยให้”เป็นสนามบินร้าง” ไม่ตอบโจทย์การพัฒนา เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว โครงการ “เมืองโคบาล” โครงการ”ปลุกไผ่ให้เป็นพืชเศรษฐกิจ,โครงการปูทะเลโลก” และอีก”มากมาย ที่จะ”สานต่อ” หรือจะ”ยกเลิก” ซึ่งเป็น”งานหนัก” ของ “พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) คนใหม่ ที่ขณะนี้ งานแรกๆ คือการ”เดินสาย” เข้าพบกับ องค์กร และ บุคคลสำคัญ ต่างๆ ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อ”แสวงหาความร่วมมือ” ในการ เดินหน้าเพื่อ พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการ”ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม”

เห็นภาพของ “เลขาธิการ ศอ.บต.เข้าพบ “พล.ท.ศานติ สกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 และ พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4 ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แล้ว สบายใจ ถึงการ”บูรณาการ” ในการร่วมกัน”ขับเคลื่อน”อุปสรรค ปัญหา ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยไม่”ยึดติด”กับ” ยศ ตำแหน่ง ที่ ใครใหญ่ใครเล็ก แต่ยึดกันที่”อาวุโส” ตาม ขนบของวัฒนธรรมไทย”……ฟังว่า “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบ จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ระหว่างการ”หารือ” กับ”หลายฝ่าย” ในเรื่องการ”ขับเคลื่อนเวทีสันติภาพ” เพื่อให้มีการ”สานต่อ” บนโต๊ะการ”พูดคุย” ระหว่าง”รัฐบาล”กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” โดยมี ประเด็นการ”เลือกเฟ้น” หัวหน้าคณะพูดคุย”ว่าจะเป็น”พลเรือน” หรือเป็น”ทหาร” สำหรับ ผู้เขียน เป็นใครไม่สำคัญเท่ากับว่าเป็นผู้ที่”เข้าใจปัญหาความขัดแย้งของจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ต่างหาก” เพราะหลายครั้งที่”หัวหน้าคณะพูดคุย” ไม่เข้าใจและไม่”แตกฉาน” ในประเด็นที่จะมีการ”พูดคุย”หรือ” เจรจา” ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด…..ถ้าจะเอา”ข้าราชการเกษียณ” ที่ เพิ่งจะ”เกษียณ”ปีนี้ และเป็นผู้ที่”เข้าใจ” และ”ช่ำชอง” กับปัญหา”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็มีอยู่ 2 คน เช่น พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร อดีตเลขาธิการศูนย์อำนวยการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) และ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ผช.ผบ.ทบ. อดีต แม่ทัพภาคที่ 4 ทั้งสองคน มีความเหมาะสมกับการเป็น”แม่ทัพ” ในการ”เจรจา”กับ”บีอาร์เอ็น”อย่างแน่นอน

และอีกประเด็น ที่เห็นด้วยกับ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีการหนุนให้ฟื้นสภาที่ปรึกษาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถูก คำสั่ง คสช. โดย” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต นายกรัฐมนตรี เพราะ “สภาที่ปรึกษาฯ” มาจาก ประชาชน ทุกสาขาอาชีพ ในการ เสนอแนะ ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และความต้องการของคนในพื้นที่ให้กับ” เลขาธิการศูนย์อำนวยการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ที่จะทำให้ ศอ.บต. เดินไปข้างหน้าอย่างมี”ประสิทธิภาพ” และมี”ทิศทาง” ที่เป็นไปตามความต้องการของคนในพื้นที่

อ้าว น้ำตาลทรายในภาคใต้หลายจังหวัด นอกจากจะ”ขาดตลาด” ยังขึ้นราคาไปแล้วกิโลกรัมละ 2-3 บาท ก็ไหน รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ “ภูมิธรรม เวชยชัย” บอกว่า ไม่ให้ขึ้นราคาไง แล้วทำไม “ร้านค้า” จึงไม่เชื่อฟัง ที่สำคัญ “น้ำตาแว่น,น้ำตาลปี๋ป,น้ำตาลโตนด” ก็ขึ้นราคาไปแล้ว กิโลกรัมละ 5 บาท แล้ว น้ำตาลพวกนี้ไปเกี่ยวอะไรกับ”โรงงานน้ำตาล” กับ”ชาวไร่อ้อย” เอ้า “ อธิบดีกรมการค้าภายใน” สั่งการให้”พาณิชย์จังหวัด” ออกตรวจสอบด้วยชาวบ้านเดือดร้อนนะ

เห็นด้วยกับ” พีรพันธ์ สารีรัฐวิภาค” รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ที่”ไม่แฮ้ปปี้” กับ นโยบายการ”ขึ้น-ลง” ของ ราคาน้ำมันจาก”โรงกลั่น” ที่มีการ”ขึ้น-ลง”เป็น”รายวัน” ทั้งที่ไม่ใช่”ตลาดหุ้น” ก็ต้องบอกให้”รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน” ได้รับรู้อีกเรื่องว่า “ราคา ซื้อขาย” ที่ “คลังน้ำมัน” ในภาคใต้ ทั้งที่ จ.สงขลา และที่ จ.สุราษฎร์ธานี ไม่ได้ ขึ้นลง วันละครั้ง แต่มีการ”แกว่งไกว”ไปมา บางวัน”ขึ้น-ลง “ 3 รอบ ยิ่งกว่า การ”ขึ้นลง” ของราคาทองคำ” เรื่องนี้ “รัฐมนตรีพลังงาน” ต้องถาม “อธิบดีกรมน้ำมันเชื้อเพลิง” และต้องมี”นโยบาย” ที่ชัดเจนในการ “พูดคุย” กับโรงกลั่น” ทั้งหมดในประเทศไทย เพื่อสร้าง”มาตรฐาน”ของ”ธุรกิจพลังงาน” ให้เกิดขึ้น เพราะการร”ขึ้น-ลง” วันละหลายรอบของ”น้ำมันเชื้อเพลิง” ไม่เพียงแต่”ประชาชน” ที่ต้อง”แบกรับ” ราคาน้ำมันที่แพง แต่”ผู้ค้าน้ำมันรายย่อย” ก็กำลังจะที่ถึงจุดของการ”ล้มละลาย” ทางธุรกิจการค้าเช่นกัน

นายตำรวจตำแหน่ง”นายพล”ว่างอีกหนึ่งตำแหน่ง เมื่อ พล.ต.ต.สมกูล กาญจนอุดมการณ์ ผบก.ตชด.ภาค 4 ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ เพื่อไปทำธุรกิจส่วนตัว หลังรับตำแหน่ง ผบก.ตชด.ภาค 4 มา 1 ปี ก็ต้องติดตามว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะแต่งตั้ง นายตำรวจคนไหน ให้มาทำหน้าที่ ผบก.ตชด.ภาค 4 คนใหม่ เพราะ”ภาคใต้” เป็นพื้นที่ ซึ่งต้องใช้” ผู้การ ตชด.มือดี” มาทำหน้าที่ เนื่องจากมีปัญหา ทั้ง”ยาเสพติด,คนเถื่อน.ของเถื่อน น้ำมันเถื่อน,สินค้าเถื่อน,ยางพาราเถื่อน” ที่ต้องอาศัย กำลัง ตชด. ในการ สกัดกั้น

นี่ก็เดินทางโยกย้ายพร้อมกับ”ฟ้าฝน” วรณัฐ หนูรอด รอง ผวจ.สงขลา มีคำสั่งจาก” สุทธิพงศ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ไปรับตำแหน่ง รอง ผวจ.สมุทรสาคร เป็นคำสั่งโดดๆ”เพียงคนเดียวที่ถูก”โยกย้าย” ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเปลี่ยนที่ทำงาน เพราะเป็นรอง ผวจ.สงขลา มาแล้วถึง 5 ปี…..ในขณะที่ “สมนึก พรหมเขียว” ผวจ. สงขลา คนใหม่ แม้จะมีอายุราชการแค่ 1 ปี แต่”ฟิตจัด” จัดระเบียบสังคม”เอาจริง”กับ”สถานบันเทิง” และเรื่องการ”ปราบปรามยาเสพติด” และการ”พัฒนา” ส่งเสริมให้ ชาวบ้าน ปลูกผัก กินในครัวเรือน เรื่องการบังคับใช้”กฎหมาย” กับ “สถานบริการ” ก็ขอให้”เน้น” ที่ เทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่ง สถานบันเทิง นอกจากจะเปิดเกินเวลาแล้ว ยังไม่มีใบอนุญาต โดยเฉพาะ “โรงแรม” เป็นจำนวนมาก ที่อยู่ในพื้นที่ ตรวจสอบด้วยว่าเป็นการ”ก่อสร้าง” ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมี ใบอนุญาต หรือไม่

ข่าวว่า” พล.ต.ต. เชาวลิต เลี้ยงสุพงศ์” ผบก.ภ.จว.สงขลา คนใหม่ ก็”ฟิตจัด” มีการ”เอาจริง” กับ “อบายมุข” ในทุกพื้นที่ เป็นการ”จัดระเบียบแถวตรง” เพื่อป้องกันการ”นอกแถว” ของทั้ง”ผู้บริหารโรงพัก และ เจ้าของ กิจการ ว่างั้น ก็เล่นเอา”อดยากปากแห้ง” ในหมู่ของ”สีกากี” ด้วยกัน ถ้วนหน้า …..เรื่องของ”เจ้านายคนใหม่” กับการ”ตั้งเป้า” เดือนละ “ครึ่งล้าน” ในจังหวัดพื้นที่ บช.ภ.9 มีการพูดกันมากจากคนในวงการ”สีกากี”ด้วยกัน เรื่องนี้ “เท็จจริง”อย่างไร พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 .อย่างลืม”เงี่ยหูฟัง” ด้วย เพราะสุดท้าย ผู้เดือดร้อนจากการ”ตั้งเป้า” คือ”ประชาชน ในพื้นที่

”เสี่ยแป้ง”เชาวลิต ทองด้วย” นักโทษหนีเรือนจำ จ.นครศรีธรรมราช ทำให้คนทั้งประเทศ รู้จักจังหวัดพัทลุง โดยเฉพาะ”เทือกบรรทัด อย่างถึง”แก่นแกน” แต่อีกทางหนึ่ง การที่”เจ้าหน้าที่”ยก”โขยง” กว่า 200 นาย ในการ “ค้นหา” ที่ซ่อนตัว”ของ”เสี่ยแป้ง” ก็สร้างความเดือดร้อน ให้กับประชาชน ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ”ชาวบ้านตระ” ที่ ถนนหนทาง ชำรุด จาก รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ของเจ้าหน้าที่ เรื่องนี้”ตำรวจ” รับผิดชอบไม่ได้ เพราะเขาใช้ เส้นทาง ในการ”ไล่ล่า” คนที่เป็น”อาชญากร” หลังจบ”ภารกิจไล่ล่า” และ”หมดหน้าฝน” “ ท้องถิ่น” และ”ชาวบ้าน” ต้องช่วยกัน”ซ่อมแซม”…..เรื่องความ”ล้มเหลว” ของการไล่ล่า”เสี่ยแป้ง” ที่ เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเหมือน”งมเข็มในมหาสมุทร” ไม่ใช่มาจากเรื่อง”เก่งไม่เก่ง” ของ “ ตำรวจ” แต่ละหน่วย แต่ความ”ล้มเหลว” ที่เกิดขึ้น และ”ไล่ต้อน” เสี่ยแป้ง ให้”จนมุม” มาจากเรื่องของ”การข่าว” ที่”มืดบอด” …..ที่สำคัญ” นักการเมือง” และ”คนในพื้นที่ซึ่งรู้จัก”เสี่ยแป้ง” ต่าง ปฏิเสธว่าไม่รู้จัก เพราะ ถ้าใครที่รู้จักจะถูก”ตำรวจ” ทำการ”หิ้ว” มาสอบสวน และอาจจะถูก”ข้อหา” จึงทำให้”ตำรวจ” ไม่ได้”เบาะแส” ของ”เสี่ยแป้ง” ทั้งหมดของการ”ไล่ล่า เสี่ยแป้ง” บนเขาบรรทัด คือการ”ขี่ช้างจับตั๊กแตก” กว่าจะจบภารกิจที่”ล้มเหลว” คงหมดงบประมาณไม่ใช่น้อย เสียดายนะกับ”งบประมาณแผ่นดิน” ที่ต้องเสียไป

ไม่เข็ดไม่หลาบ กับการ”เรียกสินบน” ทั้งที่มีข่าวให้เห็นแทบทุกวัน ล่าสุด”พ่อค้าหมู” อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แจ้งความเอาผิดกับ” ตำรวจ” ระดับ “สารวัตร” ของ จ.สงขลา ที่”เรียกเงินสินบน” เพื่อปิดคดี”ในการ”พกปืน” ซึ่งหลังมีการ”แจ้งความ” พ.ต.อ.ศิรโกศล ปราบกรี” ผกก.สภ. ควนเนียง จ.สงขลา ได้ดำเนินการ สั่งให้ “นายตำรวจคนดังกล่าว”ไป ปฏิบัติราชการที่ ศปก.ภ.จว.สงขลา แล้ว จนกว่า ผลทางคดีจะสิ้นสุด เรื่องทำ”โรงพัก” ให้เป็น”ตลาดหลักทรัพย์” ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ พล.ต.ต.เชาวลิตร เลี้ยงสุพงศ์” ผบก.ภ.จว.สงขลา ยังต้องแก้ไขต่อไป เพราะ”โรงพัก” หลายๆแห่ง เรียกรับ”ซอง” แม้แต่การให้”ประกันตัว”ผู้ต้องหา ทั้งที่เป็นสิทธิ์ของเขา

ไม่ใช่ แก้แล้วไม่หาย แต่เพราะ”ไม่มีการแก้ไข”ต่างหาก เรื่อง”ฝนตก น้ำท่วม” ถนนกาญจนวณิชย์”สายเก่า หาดใหญ่ –สงขลา ที่ “ควนหิน.ท่าข้าม.แฟลตเคหะ” ต.น้ำน้อย อ.เมือง จ.สงขลา เป็นเพราะพื้นที่”รับน้ำ” ถูกนำไปสร้างหมู่บ้าน โรงงาน จนน้ำไม่ที่ไป จึงไหลบ่า ท่วมถนน และ บ้านเรือนประชาชน ถ้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่มีการ “ขุดคลอง” เพื่อ”ระบายน้ำ” ลงสู่”คลองสายหลัก” เพื่อไหลลง”ทะเลสาบสงขลา” ยิ่งนานวัน”ยิ่งหายนะ” กับ ประชาชน ที่อยู่ ริมถนนสาย กาญจนวณิชย์ เรื่องนี้ลำพัง ผู้ว่าราชการจังหวัด ทำไม่ได้ ใครเป็น สส. เขต อ.เมือง สงขลา ต้องรู้”หน้าที่” รู้ถึงความ”เดือดร้อน” ของประชาชน และ ผลักดัน แผนงาน งบประมาณ เพื่อแก้ปัญหา…..เช่นเดียวกับ “ทะเลสาบสงขลา” ที่กลายเป็นที่ทิ้งสิ่ง”ปฏิกูล” ไหลลงไปเป็น”ศูนย์รวม” จนวันนี้”ทะเลสาบสงขลา” กำลัง”แอ่งน้ำ” ที่ “ตื้นเขิน” หน้าแล้ง ผู้คนลงไปเดินได้เล่นได้ แล้ว เรื่องนี้ สส.สงขลา ไม่ลอง”สุมหัว” หาทางออก ในการ”กู้ชีพ” ให้กับ”ทะเลสาบ”แห่งนี้บ้างหรือไร

ฟ้องแล้ว เพราะเป็น”ทางออกสุดท้าย” ของ ชาวบ้านใน ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ในการ เรียกร้อง ค่าเสียหาย จากเจ้าของ”โกดังพลุ” ที่เกิดระเบิด จน”หมู่บ้านทั้งหมดย่อยยับ” “โอราฬ กุลวิจิตร” ตัวแทนสภาทนายความเป็น”ตัวแทนชาวบ้าน” ที่ได้รับความเสียหาย เรียกค่าเสียหายจาก” สองสามีภรรยา” เจ้าของ”กิจการพลุดอกไม้ไฟ” จำนวน 300 ล้านบาท สุดท้ายก็ต้องพึ่ง”ศาลสถิตยุติธรรม”

เห็นด้วยกับ” พล.ต.ไพศาล หนูสังข์” รองแม่ทัพภาคที่ 4 ที่สั่งให้มีการ”ปรับแผน” ปรับ”ยุทธวิธี” ของ กองกำลังทหาร ในพื้นที่ จ.นราธิวาส เพราะ วันนี้เป็นพื้นที่เดียว ที่ยังมีการ”ก่อความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง” จาก”กองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็น” ถ้าจำเป็นต้อง”กวาดล้างแนวร่วมในหมู่บ้าน” หรือ”ไล่ล่ากองกำลังติดอาวุธ” หลังหมู่บ้าน ใน”เชิงเขา” หรือ”ซีลแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย” ให้”เข้มงวด” ก็ต้องทำ……พูดถึง”ชายแดนใต้”นอกจากความเคลื่อนไหวของ”กองกำลังติดอาวุธ” เพื่อการ”ซุ่มโจมตี” เจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ก็ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของ”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น” ที่ ล่าสุด ยังมีการ”จัดเวทีสัมมนา” ด้วยการเอาเรื่อง”ประวัติศาสตร์การเสียปัตตานี” มาเป็น”เงื่อนไข” ในการ”ปลุกระดม”ให้มีความ”เกลียดชัง” เป็นการมุ่งทำลาย”พหุวัฒนธรรม” ที่ ภาครัฐพยายามที่จะสร้างในพื้นที่ เรื่องนี้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถ้าจะให้”ยุติ” ก็ต้อง”เกาให้ถูกที่คัน” ปัญหาจึงจะ”ยุติ” ลงได้

ภาคเหนือ ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “หนาวแล้ว” แต่”ภาคใต้” เข้าสู่หน้า”มรสุม” ฝนตก ลมแรง เรือเล็ก เรือขนาดกลาง ต้อง”จอดรอ” นั่นหมายถึง”ขาดรายได้” เช่นเดียวกับ”ชาวสวนยาง” ที่ร่ำรวยก็”กินอิ่ม นอนอุ่น” แต่ ที่”ยากจน” ก็ต้องอยู่อย่าง”เสดสา” ต้อง”หยิบยืม” เพื่อนบ้าน เพื่อการ”ประทังชีวิต” เพราะ”ตัดยางไม่ได้” เรื่องนี้คือเรื่อง”ปากท้อง” ที่ในตอน”หาเสียง” พรรคการเมืองหลายพรรค”หยิบมาเป็นจุดขาย” แต่หลังเป็น”รัฐบาล” ก็ไม่ได้”ขับเคลื่อน” อย่างที่”หาเสียง”กันไว้ ชีวิต ชาวสวนยาง มี”สองหน้า” ที่ “รัฐบาลต้องดูแล” คือ”หน้าฝน”กับ”หน้ายางผลัดใบ” ซึ่งเป็น “สองฤดูกาล” ที่ต้อง”กู้หนี้ยืมสิน” ที่ต้องฝากให้” รัฐบาล” หาทาง”เยียวยา”……ส่วนการ”รับมือ” กับ”อุทกภัย” ที่ เริ่มเห็น”เค้าลาง” ว่าอาจจะ”ท่วมหนัก”ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ “นราธิวาส” ถ้า”มาเลเซีย” ระบายน้ำในเขื่อน”ยือลี” รัฐกลันตัน บวกกับ”น้ำป่าจากเทือกเขาสันกาลาคีรี” ก็จะ”ท่วมหนัก” แต่ วันนี้ยัง”อุ่นใจ” เพราะ” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 สั่ง กำลังพลเตรียมพร้อม ทั้ง “รถราม้าช้าง” เพื่อการช่วยเหลือ ผู้ประสพภัยน้ำท่วม รวมทั้งหน่วยงานของ”นาวิกโยธินภาคใต้” ค่ายจุฬาภรณ์” มีการ เตรียมรถ เตรียมเรือ” เพื่อ “ผจญน้ำ” อย่างเต็มที่ ประเด็นนี้ ไม่ต้องถามว่า”ทหารมีไว้ทำอะไร”

ส่วนที่ เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เรื่อง”น้ำท่วม” เหมือนใน”อดีต” จะไม่หวลกลับมา”หลอกหลอน” คนหาดใหญ่อีกแล้ว เพราะ”คลอง ร. 5 “ ที่เป็น เส้นทาง ระบายน้ำ มีการ ขยายให้สามารถ “รับน้ำ”ได้อย่างเพียงพอ ที่เรียกว่า”น้ำท่วม” ใน เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ใน ถนน ใน ซอย ในหมู่บ้าน ที่”ลุ่มต่ำ” เป็นเรื่องของ”น้ำที่ระบายไม่ทัน” ซึ่ง พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา สั่งการ ให้แก้ไขอย่างเต็มความสามารถแล้ว

ศึกใน”ประชาธิปัตย์” ยกที่ 3 ที่จะ “ระเบิด” ในวันที่ 9 ธันวาคม ศก นี้ ถือว่าเป็น”มวยยกสุดท้าย” หลายคน”เห็นฟ้องต้องกันว่า” กลุ่ม”ยังเติร์ก”ของ”เฉลิมชัย ศรีอ่อน,เดชอิศม์ ขาวทอง.ชัยชนะ เดชเดโช” จะเป็นฝ่ายที่”คว้าชัย” เหนือกลุ่ม”โอลล์แมน” ที่นำโดย “ชวน หลักภัย,บัญญัติ บรรทัดฐาน” และ คณะ ซึ่ง หนุนให้”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมาเป็น” ผู้นำพรรค” อีกครั้ง…..และเชื่อว่า”ถ้าศึกครั้งนี้แตกหัก” ประชาธิปัตย์ถูก” สส.กลุ่มภาคใต้ ยึดพรรคได้ ก็อาจจะได้เห็น”การออกจากพรรค” เพื่อการ”ตั้งพรรคใหม่” ของ”ใครหลายคน” ที่ สำคัญ” แพ้-ชนะ” จะ”แตกหัก” หรือ” ออมชอม” ต่อจากนี้ไป” ประชาธิปัตย์” ก็ยัง”ย้ำเท้าอยู่กับที่” ไม่มี “ยุทธศาสตร์” ใหม่ๆ ที่จะ”แข่งขัน”กับ”ก้าวไกล” และ”เพื่อไทย” เพราะ”ประชาธิปัตย์ภาคใต้” ยังยึดเอา”ระบบบ้านใหญ่” เป็นหลัก ในการ”ขับเคลื่อนพรรค”

เพิ่งกลับจากการทำธุระที่ อ.เบตง จ.ยะลา เมืองท่องเที่ยว ที่เป็น”อันซีน” ของ ชายแดนภาคใต้ ที่นี้ ไม่ว่าจะเป็น”หน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว” ยัง”คลาคล่ำ” ไปด้วย นักท่องเที่ยว ทั้งที่มาจาก”มาเลเซีย” และ”อื่นๆ รวมทั้ง”คนไทย” จาก นอกพื้นที่ เศรษฐกิจ การค้า ที่ “เบตง” จึงยัง”สดใสกาววาว” ยิ่งนัก ส่วนหนึ่ง เพราะ”คนในพื้นที่” มีความรัก สามัคคี ในการ “ป้องกันเหตุ” และได้ “เอก ยังอภัย ณ สงขลา “ นายอำเภอ”มือดี” เอาใจใส่” บูรณาการ”กับ หน่วยงาน ในพื้นที่ “ตำรวจภูธร ,ตชด. ทหาร และ กองกำลังท้องถิ่น ในการรักษาความสงบ

ได้ไปชม”สวนหมื่นบุปผายุคใหม่” ที่มี”โตหอง แซ่หลี” เป็นผู้บริหาร มีการ”ทุ่มทุน” ถึง 50 ล้านบาท เพื่อให้เป็น”อันซีน” ของ อ.เบตง และที่ นักท่องเที่ยวทุกคนที่มา”เบตง” ต้องไปชมคือ”สกายวอร์คอัยเยอร์เวง” ซึ่งตรงนี้ หลังจากที่”กรมป่าไม้”มีการ”จัดเก็บ” ค่าเข้าชม”ทะเลหมอก” อาจจะทำให้ นักท่องเที่ยวลดลงบ้าง แต่ เชื่อว่า สักระยะหนึ่ง ถ้ามีการ”ประชาสัมพันธ์” ให้เข้าใจ ก็ไม่ใช่ปัญหา ก็คนไทย เวลาไปเที่ยว”ต่างบ้านต่างเมือง” ก็เห็นอยู่ว่า” สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ต้องจ่ายค่าเข้าชมทั้งสิ้น และ”รายได้” จากการ”เข้าชม” ก็นำไป”บูรณะซ่อมแซม” สถานที่ท่องเที่ยว นั่นเอง ไม่ได้เข้า”กระเป๋าใคร” ทั้งสิ้น…..แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับไม่หมด!คนเถื่อน ‘พม่า-เขมร- อินเดีย-ปากีฯ’ทะลักชายแดนใต้

ยังไม่มีความคืบหน้าที่น่าพอใจ สำหรับ”ตัวประกันชาวไทย” ที่ถูก”กลุ่มฮามาส” จับไว้เป็นตัวประกัน เพื่อการต่อรองกับ”อิสราเอล”  เข้าใจนะว่าทั้ง” นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน และ” รัฐมนตรีต่างประเทศ” ได้พยายามอย่างเต็มที่ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของ”สงคราม” ที่”ตัวประกัน”กลายเป็น”เครื่องมือการต่อรอง” จึงไม่ง่ายในการที่จะใช้เรื่อง”การทูต” เพียงอย่างเดียวในการ ช่วยเหลือตัวประกันที่อยู่ในมือของ”กลุ่มฮามาส”……และการใช้”คอนเนกชั่น” ในการ”เข้าถึง” กลุ่มประเทศ”มุสลิม” ที่”เข้าถึง” ทั้ง”กลุ่มฮามาส” และ”ปาเลสน์” “ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร” วันมูหะมัดนอร์ มะทา และ ทีมงานใช้ในการ”พูดคุย” เพื่อของความร่วมมือให้เป็น”คนกลาง”ในการประสานงานกับ”กลุ่มฮามาส” ก็ยังไม่ประสพผลสำเร็จอย่างที่คาดหวัง ทุกอย่าง”ไม่ง่าย” เพราะ”สงคราม” ระหว่าง”อิสราเอล” กับ”ฮามาส” ครั้งนี้ “อิสราเอล” ต้องการ”บดขยี้” เพื่อ”ถอนรากถอนโคน” กลุ่ม”ฮามาส” ให้ได้  การต่อสู้ใน” “ฉนวนกาซากาซ่า” จึงยัง”ลากยาว”ต่อไป โดยมี”ตัวประกันทุกชาติเป็นเหยื่อ” ก็เป็น”กำลังใจให้กับครอบครัวของแรงงานงาน” และ”เร่งรัด” ให้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ดำเนินการทุกอย่างแบบ”เกาะติด” เพื่อการนำ”ตัวประกัน” กลับมายังประเทศไทยด้วยความปลอดภัย

เรื่อง”เงินดิจิตัล 10,000 บาท” ที่เป็นโครงการ”แจกเงินให้ประชาชน” เพื่อการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” เพื่อหวังให้เกิด”สึนามิในการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ” คงจะ”กระจ่างและจบ” หลังจากที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงข่าวด้วยตนเอง” วันนี้ทุกคนที่”รับรู้ข่าวสาร” จะไม่ต้องถามไถ่ว่า ใครบ้างที่อยู่ใน”ข่ายได้เงินดิจิตัล” และใครบ้างที่อยู่”ในข่ายชวดเงินดิจิตัล 10,000 บาท” รวมทั้งจะได้”รับรู้” ว่า เรื่อง”เงินดิจิตัล” เป็นเรื่อง”ทำจริง” ของพรรคเพื่อไทย ส่วนเงินจำนวน 500,000 ล้าน รัฐบาล จะเอามาจากที่ไหน ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป…..  แต่ที่น่าแปลกสำหรับความรู้สึกของ ประชาชน เรื่อง”เงินดิจิตัล”ไม่”ปัง” อย่างที่คิด เพราะแม้แต่คนที่เป็นคน”ระดับล่าง”ของสังคม ยังปฏิเสธ ไม่ไต้ ว่าเงิน”10,000 บาท ที่รัฐบาลให้ เพราะสงสารประเทศไทยที่ต้อง”เป็นหนี้เป็นสิน” ระยะยาว เรื่องนี้”เพื่อไทย”ไม่ได้”คะแนนนิยม” อย่างที่คาดหวัง ในขณะที่ “ผู้ที่เห็นต่าง” ก็ยัง”ไม่หยุดนิ่ง” ยังมีการ”ชักแม่น้ำทุกสาย” มา”สาธยาย” แสดงความไม่เห็นด้วย  จนสุดท้ายแล้ว โครงการแจกเงินดิจิตัล 10,000 อาจมีการ”ฟ้องร้อง” ต้องการ”ชี้ขาด” จาก องค์กรที่เกี่ยวข้อง และการ”และทำให้”โครงการแจกเงิน” ไม่เป็นไปตามที่”เพื่อไทย” กำหนด ในขณะที่”พรรคร่วมรัฐบาล” ก็มี”ท่าที่เหล่ๆ” กับโครงนี้เช่นกัน

เรื่องการ”ไล่ล่า เสี่ยแป้ง” เชาวลิต ทองด้วง” นักโทษหลบหนีเรื่องจำ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งหลังการ”รุดโซ่ตรวน” หลบหนีจากโรงพยาบาลนครศรีธรรมราช” เจ้าตัวยัง”วนเวียน” ในพื้นที่”บ้านตระ” รอยต่อระหว่าง อ.ตะโหมด จ.พัทลุง กับ อ.นาโยง จ.ตรัง โดยมี”คนในพื้นที่” ซึ่ง”เสี่ยแป้ง” เคยให้การช่วยเหลือ เป็น”เกราะกำบัง” ที่สร้างความ”ปวดเศียรเวียนเกล้า” ให้กับ” ตำรวจ” ที่”ไล่ต้อนเสี่ยแป้งไม่จนมุม” เรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึง”ประสิทธิภาพและขีดความสามารถของตำรวจภูธร”ในพื้นที่ จ.พัทลุง ที่ “พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี”  ผบช..ภ.9  ต้องมีการ”ปรับแก้” เพราะพื้นที่ของ จ.พัทลุง ณ วันนี้ ยังมี”ผู้มีอิทธิพล” แบบ”เสี่ยแป้ง” อีกจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญ “พัทลุง” เป็นถิ่นที่มีผู้มี”อิทธิพล” เป็นจำนวนมาก “ซุ้มมีปืน” และ”อาวุธสงคราม” ใน”พัทลุง” ก็ถือว่า”เป็นหนึ่ง” ในภาคใต้ตอนล่าง ที่สำคัญไม่ว่าใครจะมาเป็น”ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง” ก็ไม่เคยแก้ปัญหาของ”พัทลุง”ได้…..และล่าสุด หลังมีการ”ปรับเปลี่ยน” ผู้นำหน่วยคนใหม่ ก็มีข่าวว่ามีการ”ตั้งเป้า” ในการ”เก็บ” จาก”ลูกน้อง”เพิ่มกว่าเดิมอีกเท่าตัว ก็ถือว่า”เสดสา” สำหรับพื้นที่”ห่างไกล” การที่จะต้อง”ทำยอด” สุดท้ายก็”เปิดบ่อน” และ”ตั้งด่าน” สังคม” และ”ประชาชน” คือผู้รับกรรม…..อีกเรื่องสำหรับ”พัทลุง” ที่เกิดขึ้น เมื่อ”ตชด. มีการ”ตั้งด่าน” จับกุมรถขนส่งเอกชน ตรวจยึด”บุหรี่เถื่อน”ได้จำนวนมาก และมีผู้”แอบอ้าง” โทรไปหา”เจ้าของสินค้า”เพื่อ”คืนของ” และ”จ่ายเงิน” ตั้งแต่รายละ 5,000 -10,000 บาท แล้วแต่”ของกลางมากน้อย”  เรื่องนี้ ฝากให้ ผบช. ตชด.ภาค 4 คนใหม่  ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงด้วย

จับตาความเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “องค์กรภาคประชาสังคม”หลายองค์กร จัดกิจกรรมรำลึกเนื่องในวันครบรอบ 238 ปีเหตุการณ์”ปาตานีเสียกรุง” เมื่อปี พ.ศ. 2328  นี่คือการแสดงให้เห็นถึงการใช้”ประวัติศาสตร์” ในการ”ปลุกระดม” ให้มีความรู้สึกที่เป็น”ปรปักษ์ต่อรัฐ ”โดยอ้างว่า”สยามเป็นผู้รุกราน นอกจากนั้น ในรอบ 1 เดือน ที่ผ่านมา “หลายองค์กร” โดยเฉพาะที่เป็น”ปีกทางการเมือง” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ต่างก็ออกมา”เคลื่อนไหว” ในกรณีการทำสงครามระหว่าง”อิสราเอล-ปาเลสไตน์” ซึ่งล้วนเป็นผลกระทบทางด้าน”ความมั่นคง” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เป็นหน้าที่ของ” พล.ท. ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 และ พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4 ที่ต้อง”ติดตามสถานการณ์” ที่เกิดขึ้น เพราะ”องค์กรภาคประชาสังคม” เหล่านี้มี”เป้าหมาย” ที่ต้องการเห็นความ”เปลี่ยนแปลง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตาม”ธง”ของตนเอง……ส่วนสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ ณ วันนี้ยังมี”การก่อเหตุ”เกิดขึ้นเป็น”ระยะๆ “ โดยเฉพาะใน จ.นราธิวาส ที่ยังมีความถี่ของการเกิดเหตุ ทั้งการ”วางระเบิดแสดงเครื่อง” และ”ซุ่มยิงเจ้าหน้าที่”และ อื่นๆ ซึ่งก็ต้องถาม พล.ต. เฉลิมพร ขำเขียว ผบ.ฉก.นราธิวาส ว่าจะมี”นโยบาย” อย่างในการลด”เหตุรุนแรง” ทำไม “กำลังทหาร” ในพื้นที่จึงไม่สามารถ”หยุดการเคลื่อนไหว” ของ”กองกำลังติดอาวุธ”ในพื้นที่ได้ ทั้งที่”กองกำลังติดอาวุธ” มีจำนวนไม่มากนัก  ที่สำคัญ”ชายแดนไทย-มาเลเซีย” วันนี้ยังมี”ช่องว่าง” ให้”กองกำลังติดอาวุธ” ข้ามไป-มา ได้อย่าง”อิสระ” ปัญหานี้จะแก้อย่างไร แผนการ”ซีลชายแดน” ฝั่ง จ.นราธิวาส จะทำอย่าไร จึงได้ผล

ได้ใจของ”คนไทยพุทธ” เมื่อ” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า “ทหาร”ยังมีความจำเป็น สำหรับการดูแล”ไทยพุทธ” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะวันนี้ “ไทยพุทธ” ในพื้นที่ยังอยู่ในความ”ถดถอย”ในทุกด้าน เพราะแม้แต่”การพัฒนา” ก็ยังไปไม่ถึงไหน ครั้งนี้ก็ได้แต่หวังไว้ว่าเมื่อ” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) จะเป็นผู้ที่นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเมื่อ ศอ.บต.  ปลอดจากคำสั่ง “คสช. ทั้ง 3 ฉบับ ในสมัยที่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น นายกรัฐมนตรี การ”ก้าวเดิน”ใน”มิติการพัฒนาและสังคมจิตวิทยา” คงจะไปได้ดีขึ้น…..ส่วนในเรื่องการ”สานต่อ”การ”พูดคุยสันติภาพ”ระหว่าง “รัฐบาล” กับ”บีอาร์เอ็น” โดยมี” มาเลเซีย” เป็นผู้อำนวยความสะดวก เชื่อว่าในปีนี้ คงจะไม่มีอะไรที่เป็นความคืบหน้า และอาจจะมีการ”เปลี่ยนแปลง” จากการ”พูดคุยที่เปิดเผย” มาเป็นการ”พูดคุยในทางลับ” ซึ่งอาจจะได้ผลมากกว่าการ”พูดคุยแบบเปิดเผย” อย่างที่ผ่านมาก็เป็นไปได้  โดยเฉพาะ”รัฐบาล” ต้องมีการ”พูดคุย”ในทางลับกับผู้นำประเทศมาเลเซีย เพราะหาก”มาเลเซีย” ยังคง”สนับสนุน” ให้”กองกำลังของบีอาร์เอ็น” อยู่ใน”บางรัฐของมาเลเซียอย่างที่เป็นอยู่ ” การที่จะ”ยุติ” ปัญหาการ”แบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้” คงเกิดขึ้นไม่ง่ายนัก ทั้งหมดทั้งปวง ก็ต้องติดตามว่า”นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็น”ผู้ถืออำนาจ” ในด้านของความมั่นคง  โดยที่ไม่มีการมอบอำนาจให้ “รองนายกรัฐมนตรี” คนไหน จะดำเนินการอย่างไรในเรื่องของจังหวัดชายแดนภาคใต้

ก็ต้องชื่นชม “นิพนธ์ คนขยัน” สส.จังหวัดบึงกาฬ นักการเมืองจาก”ที่ราบสูง” ที่”อภิปราย” เรื่องของ”ที่ดินทุ่งเลี้ยงสัตว์” กว่า 20,000 ไร่ ใน จ.พังงา ที่รัฐบาลเตรียมใช้ในการสร้างสนามบินที่ภูเก็ต  2 เพราะ”ขยายการเติฐโตของการท่องเที่ยว” เพราะ ที่ดินใน”ทุ่งเลี้ยงสัตว์” แห่งนี้ มี”นายทุน” เข้าไป ครอบครอง และมีการออก”เอกสารสิทธิ์”ไปแล้วบางส่วน ซึ่งอยู่ในการ”ถือครอง”ของคนใน”ตระกูลใหญ่” ในพื้นที่ และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองบางพรรค   นักการเมืองจาก”ที่ราบสูง” เห็นถึงปัญหาของ”ทุ่งเลี้ยงสัตว์”แห่งนี้ แต่”นักการเมือง” ในพื้นที่ภาคใต้กลับ”เงียบฉี่” กับปัญหาที่เกิดขึ้น  ไม่มีข้อมูล หรือ”เกรงใจคนกันเอง”    ล่าสุดข่าวว่า เจ้าของที่ดิน มีการ”ต่อรอง” กับบางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับเรื่อง”ราคาที่ดิน” ที่จะต้องมีการ”เวนคืน” เพื่อเรียกร้องให้ได้ราคาแพงๆ……เรื่องที่ดิน”ทุ่งเลี้ยงสัตว์” ที่”รัฐบาล” จะใช้ในการ”สร้างสนามบิน” ต้องเริ่มต้นที่การตรวจสอบว่าการออก”เอกสารสิทธิ์” ของผู้ที่”ถือครอง” ว่าเป็นออก”เอกสารสิทธิ์” ที่ถูกต้อง หรือ”ผิดกฎหมายหรือไม่” ถ้าเป็นการออกที่ผิดกฎหมาย นอกจากต้อง”เพิกถอน” คืนที่ดินให้กับ”รัฐบาล” แล้ว ยังต้อง”เอาผิด” กับ เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ครอบครองด้วยด้วย นี่คือสิ่งที่ถูกต้องและรัฐบาลต้องทำให้เป็นจริง  ก็เชื่อว่า”นิพนธ์ คนขยัน” ที่นอกจากเป็น สส. จ.บึงกาฬ แล้ว ยังเป็น “เลขานุการของคณะกรรมาธิการ ปปช.อีกด้วย ก็ต้องใช้ “บทบาท” ของ “เลขานุการ ปปช.ในการ”ตรวจสอบ”เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะเป็นการ”ทุจริต” ขนาดใหญ่

โยกย้ายครั้งนี้ พ.ต.อ.ภัทรวิชญ์ คีตะโมทนียกุล รอง ผบก.ภ.จว.ตรัง ได้ขยับขึ้นเป็น พล.ต.ต. ทำหน้าที่”ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง” ในฐานะที่”คลุกคลี” ในพื้นที่ เป็นเวลานาน ก็หวังว่า คงจะทำหน้าที่ ในการแก้ปัญหาเรื่อง”อาชญากรรม” ที่ยังเกิดขึ้นสูงในพื้นที่ได้ดีขึ้น ส่วนที่ “กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต” นี้ได้ พล.ต.ต. สินเลิศ สุขุม ผบก.สันติบาล 3  มาทำหน้าที่ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต  ก็เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งมี”ชาวต่างชาติ” ที่เป็น”นักลงทุน” และเป็น”นักท่องเที่ยว”เข้ามาอยู่ใน ภูเก็ต เป็นจำนวนมาก  จะได้ใช้ความรู้ในการเป็น”ตำรวจสันติบาล” มาใช้ประโยชน์กับปัญหาของจังหวัดภูเก็ต  และ ยินดีด้วยกับ”พล.ต.ต.วิสูตร นาคจู “ผบก.พิสูจน์หลักฐาน 9 ที่ ขยับขึ้นไปสู่ตำแหน่ง รอง ผบช.สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เป็นสายงานเดิมๆที่ทำมาโดยตลอดและคงจะได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ของ ภาคใต้ในเรื่องงานพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งเป็นงานสำคัญ ในการ”เอาผิด” กับกลุ่มก่อการ้าย เพื่อจะได้นำ”คนผิดเข้าซังเต”มากขึ้น…..พูดถึง”การท่องเที่ยว” ที่ ประเทศไทยยัง”หวังเป็นอย่างยิ่ง” ว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมา ถึงกับในคนในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว บางคน เสนอ”ไอเดีย” แสนจะบรรเจิด ให้ “รัฐบาลไทย” นำตำรวจจีนเข้ามาดูแลนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อสร้างความความ”มั่นใจ” ให้กับ นักท่องเที่ยวจีน เรื่องนี้”แค่คิดก็ผิดแล้ว” จึงเห็นด้วยกับ”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่ รีบออกมา”คัดค้าน” ความเห็นในเรื่องนี้ หรือจะให้ยุบ” กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว” แล้วไปเอา”ตำรวจจากจีน จาก รัสเซีย เข้ามา เพื่อดูแล นักท่องเที่ยว จะประเทศเหล่านั้น  ถามเถอะ คิดได้แค่นี้จริงๆ หรือ

กระทรวงมหาดไทยโดย “อนุทิน ชาญวีรกุล” รัฐมนตรีว่าการ และ รองนายกรัฐมนตรี   มีนโยบายในเรื่อง”จัดระเบียบการขายใบกระท่อม –น้ำกระท่อม” ที่”เกลื่อนกลาด” ทั้งใน ตลาด ในชุมชน และ สองข้างถนนในทุกภาค ทั่วประเทศ  เพื่อให้มีการ ปฏิบัติตามกฎหมาย ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่า”ผู้ว่าราชการจังหวัด” แต่ละจังหวัด จะตอบสนอง นโยบายเรื่องการ”จำหน่ายพืชกระท่อม”ได้แค่ไหน….ที่ จ.สงขลา ถนนสาย “สนามบินหาดใหญ่” และ”ถนนสายเอเชีย” หาดใหญ่ –พัทลุง ที่เป็นถนน”สายหลัก” ก็เต็มไปด้วยการ จำหน่าย”น้ำกระท่อม” ที่เป็นการ”ต้มขายกันเอง” และไม่รู้ว่ามีการ”ผสมยาแก้ไอ” หรือ”สารอะไรลงไปบ้าง ก็ขอฝากเป็น”การบ้าน” ไปยัง” สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ให้ดำเนินการกับถนนทั้ง 2 สาย ให้เป็นตัวอย่าง ให้เป็น”ถนนปลอดน้ำกระท่อม” ที่”ผิดกฎหมาย”…..ที่สำคัญ วันนี้  “เขตทางหลวง” ทั้ง 2 ด้าน มีการ”บุกรุก” ทั้งการตั้ง”ซุ้มขายของ” และการ”ปักป้ายโฆษณาสินค้า” เต็มไปหมด  โดยที่ปล่อยให้มีการ”รุกล้ำ” ตามใจชอบ เหมือนกับบ้านเมือง ไม่มี”กฎระเบียบ” ซึ่ง”สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ต้องมีการ”บูรณาการ” กับ “แขวงทางหลวง” ให้เข้ามาดำเนินการให้ถูกต้อง นอกจากทำ”กฎหมาย” ให้เป็น”กฎหมาย” แล้ว ยังเป็นการจัดระเบียบ”บ้านเมือง” ให้ดู”สวยงาม”ด้วย

เห็นด้วยนะกับการที่ “”ฝ่ายปกครอง” สั่งให้ “สถานบันเทิง” ในจังหวัดสงขลา “ปิด-เปิด” ตามที่กฎหมายกำหนด หลังจากที่ปล่อยให้”หย่อนยาน” กฎหมายไม่เป็นกฎหมายมาเป็นเวลาหลายปี เมื่อฝ่ายปกครองที่เป็น” เจ้าของเรื่องเอาจริง” ตำรวจก็ต้องทำตาม “  สภ. เมือง,หาดใหญ่,คอหงส์ “ และ” สภ.สะเดา” จ.สงขลา คือ 4 อำเภอ ที่มี “สถานบันเทิง” ตั้งอยู่เป็นจำนวนมากคงต้อง”หวานๆร้อนๆ” เพราะอยู่ในช่วง”พิจารณาโยกย้าย” บรรทัดนี้ ยินดีกับ พ.ต.อ.บรรเทิง เหล่าเจริญ” ผกก.สภ.เมือง สงขลา ที่ โรงพักเมืองสงขลา” ได้รับการ “คัดเลือก” เป็น “สถานีตำรวจดีเด่น” ข่าวว่า “โยกย้ายเที่ยวนี้”  พ.ต.อ.บรรเทิง เหล่าเจริญ” จะได้”ขยับเข้ามาเป็น”ผกก.ที่ โรงพักใหญ่ ของ จ.สงขลา

เรื่องที่ยังแก้ไม่ตก ในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือเรื่อง”คนเถื่อน”ที่”ยิ่งจับยิ่งมาก” แสดงให้เห็นว่าเป็นการ”เกาไม่ถูกที่คัน” เพราะถ้าการ”จับกุม” เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด จำนวน”คนเถื่อน” จาก”เมียนมา” จาก”กัมพูชา,อินเดีย, คงจะไม่”ทะลักทลาย” ให้ถูกจับกุมอย่างทุกวันนี้ ล่าสุด” พ.ต.อ.พูลศักดิ์ แก้วสีขาว”  ผกก.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนราธิวาส” มีการจับกุม”ชาวอินเดีย” และ”ปากีสถาน” ได้จำนวนมาก  ในตัวเมือง สุไหงโก-ลก  มีทั้งที่มี หนังสือเดินทางแต่”โอเวอร์สเตย์” และที่ไม่มี”หนังสือเดินทาง”ในข้อหา หลบหนีเข้าเมือง …..และที่ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ก็จับกุม” ชาวอินเดีย” ที่ “เข้าเมืองผิดกฎหมาย” มีการใช้”ดวงตราปลอม” ในหนังสือเดินทาง  วันนี้ “ชาวอินเดีย” เข้ามา”ท่องเที่ยว” ในประเทศไทย และ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่อนข้างมาก ซึ่ง “เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง” ต้องมี”มาตรการ” ในการ”ตรวจสอบ” เพราะจาก”รูปการณ์ที่เกิดขึ้น” แสดงให้เห็นว่ามี”คนเถื่อน”ที่เป็นชาวอินเดีย แอบแฝงเข้ามาโดยผิดกฎหมายของเข้าเมือง ที่สำคัญคือเข้ามาเพื่อ”ก่ออาชญากรรม” และการทำ”ธุรกิจผิดกฎหมาย” ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว

ทุกข์ของชาวบ้านกับหน้าที่ของ”ผู้แทนราษฎร์ ที่เป็นของคู่กัน ชาวบ้านท่าหรั่ง ต.ทุ่งลาน อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา เดือดร้อนจากการที่”ค่าเวนคืนที่ดิน” แนวถนนสายเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ ไม่มีความคืบหน้า ล่าสุด “เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย ) สส.เขต 5 สงขลา  รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ควงแขน”มาดามน้ำหอม” สุภาพร กำเนิดผล” สส.เขต 6  ลงพื้นที่พบกับ กลุ่มชาวบ้าน โดยรับปากจะ ประสานกับ”รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม” เพื่อให้ ชาวบ้านมั่นใจว่า จะได้รับค่า”เวนคืนในปี 67 นี้…..เมืองท่องเที่ยวอย่าง จ.ภูเก็ต มีปัญหา ล่าสุด “ผู้ประกอบอาชีพกลุ่มร่มหลากสี”ที่เป็น ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลกะรน  ที่ได้รับความเดือดร้อน เพราะ”ผู้บริหารท้องถิ่น” อนุญาตให้มีเอกชนเพียงกลุ่มเดียวที่ทำมาหากินริมหาดได้  เข้ายื่นหนังสือถึง “โสภณ สุวรรณรัตน์” ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอความ”ช่วยเหลือ” ในการประสานงานกับ”ท้องถิ่น” เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเรื่อง”ร่มและเตียง” ในการให้บริการนักท่องเที่ยว ก็ต้องคอยดูว่า” พ่อเมืองภูเก็ตคนใหม่” จะดำเนินการปลอดทุกข์ให้ชาวบ้านได้ผลหรือไม่

ค่าแรง ขึ้นแน่แต่ไม่ใช่ 400 บาท นี่คือคำพูดของ “ พิพัฒน์ รัชกิจประการ”  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้”สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว” ส่วนจะขึ้นได้เท่าไหร่ ต้องรอความเห็นความหลายภาคส่วน โดยต้องรอ”สภาพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ” กับธนาคารแห่งประเทศไทย” เพื่อ สรุปสภาวะ “เงินเฟ้อ” และ”การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เห็นด้วยกับ”เสนาบดีกระทรวงแรงงาน” เรื่องการขึ้น”ค่าแรง” ต้องมีสูตรและต้องเป็นตาม”ขั้นตอน” และ”ขั้นบันได” เพราะเกี่ยวกับ” เจ้าของกิจการ” และ”นักลงทุน”ด้วย ไม่ใช่เรื่องของ”ผู้ใช้แรงงาน”เพียงอย่างเดียว “บรรทัดสุดท้าย” ได้ขึ้น”ค่าแรง” แต่”ตกงาน” กับยัง”งานทำ” แต่ค่าแรงไม่ถึง 400 จะ เลือกอย่างไหน…..และหลังขึ้น”ค่าแรง” ค่าสินค้าอุปโภค บริโภค จะมีการปรับขึ้นจาก”กลุ่มทุนผู้ผลิตสินค้าหรือไม่” เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ” ภูมิธรรม เวชยชัย”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ ในการ มิให้”กลุ่มผู้ผลิตสินค้า”ขึ้นราคาสินค้าเพื่อ รับกับ”ค่าแรง” ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นทุกครั้งที่มีการ”ขึ้นค่าแรง” ที่สุดท้าย”ค่าแรงที่แรงงาน”ได้รับก็จะกลายเป็นของ”กลุ่มทุน” จากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น นั่นเอง

ส่วนเรื่อง “ปืนเถื่อน” และการ”พกพาอาวุธปืน” ที่ “อนุทิน ชาญวีรกุล” มท. 1 ให้ นโยบายว่า ปี 2567 จะมีการ”จัดระเบียบ” กับเรื่องของ” อาวุธปืน” ก็ดีนะ เพราะ หลังจากเรื่อง”กราดยิงที่พารากอน” ไม่มีการพูดถึง เรื่องการ”จัดการกับปืนเถื่อน”และเรื่องการ”ครอบครองอาวุธปืน” ก็ค่อยๆ “เลื่อนหายจากสังคมไทย” ปืนสวัสดิการ” ของ”กรมการปกครอง,ของสำนักงานตำรวจ และ หน่วยงานอื่นๆ นั่นแหละ”ตัวดี” ที่มีการ”ซื้อสิทธิ์-ขายสิทธิ์” ให้กับ”บุคคลภายนอก” จน”เลอะเทอะ”ไปหมด “นายอำเภอ ที่เป็น”นายทะเบียนอาวุธปืน” ต้องมีการ”ควบคุมให้รอบครอบ”…..เรื่อง”น้ำท่วมซ้ำซาก”ในทุก พื้นที่ของ ทุกจังหวัด เป็นเรื่องที่ “รับรู้กัน” ทั้ง”ฝ่ายปกครอง,ท้องถิ่น”  และ”บรรเทาสาธารณภัย” จึงขึ้นอยู่กับการ”บูรณาการ” ของ”ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้การ”ดูแลช่วยเหลือ” เป็นไปอย่างมี”ประสิทธิภาพ” ที่ จ.สงขลา “สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ลงพื้นที่ เพื่อตรวจดู”พื้นที่ท่วมซ้ำซาก”ไปแล้วในหลายอำเภอ เป็นการ”รับมือ” ก่อนที่”อุทกภัย” จะมาเยือน

ส่วนที่  จ.ปัตตานี “พาตีเมาะ สะดียามู” ผู้ว่าหญิงแกร่ง ก็ ลงพื้นที่ด้วยตนเอง รวมทั้งสั่งการให้”นายอำเภอ” ทุกอำเภอ มีความพร้อมในการช่วยเหลือ ประชาชนอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับที่ จ.ยะลา “อำพล พงศ์สุวรรณ” ผู้ว่าราชการจังหวัด แม้จะเป็น”มือใหม่” แต่มีประสพการเป็น รองผู้ว่าราชการจังหวัดมาหลายจังหวัด ประสบการณ์ในการ” รับมือน้ำท่วม” โชกโชน  เชื่อว่าถ้าเกิด”อุทกภัย” ขึ้นในพื้นที่ ไม่มีคำว่า”เอาไม่อยู่” แน่นอน…..เหลือแต่ที่ จ.นราธิวาส ที่ยังไม่มี”ผู้ว่าราชการจังหวัดตัวจริง” มีเพียง “ปรีชา นวลน้อย” รอง ผวจ.รักษาการ  ปัญหาเรื่องของ”ฝีมือ” ไม่เป็นสองรองใคร แต่การที่”ไม่ใช่ตัวจริง” การสั่งการอาจจะมีปัญหา  แต่ จ.นราธิวาส กำลัง”ทหาร” ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ามีความเข้มแข็ง และยังมี”หน่วยนาวิกโยธินภาคใต้” ของ”ค่ายจุฬาภรณ์” ที่มีความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชน ที่พอจะ”อุ่นใจ”ได้อยู่

“คลื่นลมกลางอ่าวไทยเงียบสงบ” เรือน้ำมันเถื่อนทางทะเลมีการทอดสมอ ”หยุดเคลื่อนขบวน”เป็นการชั่วคราว …..แต่ “น้ำมันเถื่อนทางบก” ที่”ขนโดยรถกระบะ รถเก๋ง ดัดแปลง” และจาก” บรรดารถบรรทุกหัวลากระหว่างประเทศ” ยังมีการขนน้ำมันเถื่อนอย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” เจ้าของพื้นที่ ช่วยกัน “จับกุม” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศหน่อยนะ…..ก็เหมือนกับที่ผ่านมา การเลือกตั้ง “ตัวแทนเกษตรกร” ของภาคใต้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มี”เกษตรกร” ออกมาใช้สิทธิ์ในการ “เลือกตัวแทน”ของตนเองน้อยมาก สาเหตุเป็นอย่างไร 1 ไม่เข้าใจไม่มีการ “ประชาสัมพันธ์” ให้ เกษตรกรรับทราบอย่างทั่วถึง หรือ 2 ไม่ สนใจ เพราะไม่มีใคร”มาจ้าง” ให้ไป ลงคะแนน เพราะ ณ วันนี้ในความรู้สึกของประชาชน เรื่องการ”เลือกตั้ง” ไม่ว่าจะเป็น แบบไหน อย่างไร ต้องมี”ค่าจ้าง” จึงจะออกไปเลือกตั้ง…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า  สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…’เสี่ยแป้ง’ ยังล่องหน วัดกึ๋นโปลิศ ‘บชภ.8 – 9

พบกับคอลัมน์”ข่าวสังคมภูมิภาค” เป็นประจำทุกวันศุกร์ รับหน้าที่ในการรายงานความเคลื่อนไหว ให้ประชาชนได้รับทราบ…..ถึงคิวที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะได้เดินทางมา”ตรวจราชการ”ในภาคใต้ตอนล่าง เสียที หลังจากที่”ตระเวน”ลงพื้นที่ไปแล้วทุกภาคของประเทศ หลังเข้ารับตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”ปาเข้าเดือนที่สาม….ข่าวว่าหลังกลับจากการประชุม “ระดับโลก” ที่ “สหรัฐอเมริกา” จังหวัดสงขลาคือ”หมุดหมายแรก” ที่ “เศรษฐา ทวีสิน” จะ มาติดตามเรื่อง”เศรษฐกิจเมืองชายแดน” ปัญหาของ”ด่านศุลกากรสะเดา” ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่สร้างแล้วเปิดใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีการ”วางแผน” ในเรื่องการเชื่อม”ถนน” ระหว่างที่ทำการฯ กับ ถนนสายหลักในประเทศ และไม่ได้ทำข้อตกลงในการให้”ประเทศมาเลเซีย” ตัดถนนจากด่านศุลกากรมาเลเซียมาเชื่อมกับถนนของประเทศไทยที่ชายแดนไทย คือความ”ล้มเหลว” ของ “ราชการไทย” ที่คิดแต่เรื่อง”งบประมาณการก่อสร้าง” และไม่ได้คิดถึง”การใช้ประโยชน์” เพื่อ”ตอบโจทย์” ในการสร้าง”เศรษฐกิจชายแดน”ให้กับ ประเทศชาติ เรื่องความ”ผิดพลาด” ที่เกิดขึ้นกับเรื่อง”ด่านศุลกากรอำเภอสะเดา” เป็นปัญหา”คาราคาซัง” มาตั้งแต่สมัยที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น”นายกรัฐมนตรีสมัยแรก” แต่การแก้ปัญหาไม่ประสบความสำเร็จ และที่ สำคัญ “กรมศุลกากร” เจ้าของเรื่อง เจ้าของปัญหา”เงียบเป็นเป่าสาก” ปล่อยให้ หน่วยงานอื่นๆ เป็นผู้เข้าไปแก้ปัญหาที่”กรมศุลกากร” สร้างขึ้น

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า “เศรษฐา ทวีสิน” จะมี”ยุทธศาสตร์”ในเรื่องการสร้าง”เศรษฐกิจ” ของภาคใต้ตอนล่าง อย่างไร นอกจากเรื่องของ”การค้าชายแดน” เรื่อง”ท่าเรือน้ำลึกสงขลา” แห่งที่ 2 จะมีการ”ขับเคลื่อน”หรือไม่ เรื่องของ”เมืองต้นแบบที่ 4 “ หรือ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ที่ “รัฐบาลชุดก่อน” ได้มี”มติ”ไปแล้วให้มีการก่อสร้าง จะมีการ”สั่งการ” ให้”เดินหน้า” ได้หรือไม่ เรื่อง”เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ ชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา ที่”เงียบงัน” ในสมัยของ “รัฐบาลชุดเก่า” ยังจะมีการ”เดินหน้า” หรือ”ยกเลิก” และเรื่อง”เศรษฐกิจ ท่องเที่ยว” ของ จ.สงขลา และภาคใต้ตอนล่าง ที่ยังคง”ซบเซา” อย่างต่อเนื่อง “เศรษฐา ทวีสิน” จะ มี”ไอเดีย” อะไรที่จะทำให้”เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว” กลับมารุ่งเรืองเหมือนในอดีต เพราะ ณ วันนี้ ทุกอย่าง ทั้งในเรื่อง”การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ” ก็ต้อง”พึ่งพาท่าเรือของประเทศมาเลเซีย” เรื่อง”การท่องเที่ยว” ก็ต้อง”นั่งรอ” นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย แม้แต่”แรงงาน”ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้อง”พึ่งพา” มาเลเซีย ถ้า “มาเลเซีย” เข้มงวดกวดขัน แรงงานนับแสนคน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะกลายเป็น”คนตกงาน” ทันที

ข่าวว่าการเดินทางมา จ.สงขลา ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ครั้งนี้จะมีการ “พบปะ” กับ”ดาโต๊ะ สรี อันวาอิบราฮิบ” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียด้วย ซึ่งก็จะเป็นการดีกับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ “ไทยกับมาเลเซีย” มี ปัญหาเรื่องการพัฒนาชายแดนหลายเรื่องที่”คาราคาซัง”มากว่า 10 ปี เช่น เรื่องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส แห่งที่ 2 เรื่องการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เพื่อเชื่อมกับ เมืองเปิงการันกูโบ รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น เรื่องเหล่านี้มันควรจะ จบได้เสียที,,,,, วันนี้การแก้ปัญหาของประเทศไทยในทุก”มิติ”ไม่ใช่ค่อยเป็นค่อยไป” อย่างที่” “เศรษฐา ทวีสิน” พูด แต่ต้อง”ก้าวกระโดด” เพราะ 8-9 ปี ที่ผ่านมาประเทศไทย”ติดหล่ม” จนทำให้ไม่”ขยับเขยื้อน” วันนี้ ปัญหามากมาย ที่ต้อง”ก้าวกระโดด” เช่น”ปัญหาปากท้อง สินค้าแพง ความยากจน,เรื่องการ”ทุจริตคอรัปชั่น,เรื่องของ”ไฟใต้” ที่”ลากยาว” มาถึง 19 ปี ใช้ “งบประมาณ”ไปแล้วมากมาย เรื่องอย่างนี้ต้องทำอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่”ค่อยเป็นค่อยไป” ส่วนเรื่องของ” กอ.รมน.” ที่อาจจะมี”ความกลัว” หรือมี”อำนาจอื่น” ที่ทำให้”เศรษฐา ทวีสิน” ต้อง”เห็นดีเห็นงาม” ไม่กล้าที่จะ”แตะต้อง” แต่ก็ต้อง”ปรับปรุงแก้ไข” ไม่ใช่ ไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะ “งานของกอ.รมน.” เป็นงานที่มี หน่วยงานอื่นๆเขา รับผิดชอบโดยตรง เกือบทั้งหมด มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เสียหายตรงไหน

สิ่งที่ต้อง”ติดตามดูกันยาวๆ” สำหรับ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” คือเรื่องของการ”สื่อสารทำความเข้าใจ” เพราะ หลายเรื่องที่”ผิดพลาด” ตั้งแต่เงิน” ดิจิตัลวอลเลต 10,000 บาท ที่ผู้เกี่ยวข้องออกมา”สื่อสาร” กับประชาชน จนนำไปสู่ความ”สับสนอลหม่าน” เรื่องของการขึ้น”ราคาน้ำตาล” โดย กระทรวงอุตสาหกรรม และประกาศ”ยกเลิก” โดย กระทรวงพาณิชย์ ที่ทำให้เห็นอย่าง”เด่นชัด” ว่า เป็นการ ทำงาน ที่ไม่มีกระประสานงานกัน และสุดท้ายก็กลายเป็นการ”ประสานงา” กระทรวงอุตสาหกรรม ที่มี “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” จากพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็น”เสนาบดี กระทรวงพาณิชย์ มี”ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็น “เสนาบดี” เป็นพรรครวมรัฐบาล แต่ไม่มีการ”หารือ” ก่อนที่จะมีการ ตัดสินใจ จึงกลายเป็นเรื่อง”น้ำตาลขม” เกิดขึ้น…. สามเดือนของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” มีแต่เรื่อง ”เงินออกจากกระเป๋า” เช่นการ”ลดภาษีสรรพสามิต” เพื่อให้ ประชาชน ใช้น้ำมันราคาถูก การลดค่าไฟฟ้าตามที่”หาเสียง”เอาไว้ ต่อไปคงต้อง”ชดเชย”ให้กับ”ชาวไร่อ้อย” เพื่อไม่ต้องการขึ้นราคา”น้ำตาล” ทุกอย่าง”มีรายจ่าย” ที่เป็น”เงินภาษีของรัฐ” และถ้าปี 2567 มีการ “ขึ้นเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ” และต้อง”ขึ้นค่าแรง”ให้กับ”ผู้ใช้แรงงาน” ทุกอย่างที่”รัฐบาลนิดหนึ่ง” มี”มติ” ใน 3 เดือน ที่เข้ามาบริหารประเทศมีแต่”รายจ่าย” ส่วนรายได้เข้าประเทศ จะมาจาก”ส่วนไหน” ยังมองไม่ออก จะหวังการ”ท่องเที่ยว” หรือก็ยัง”วังเวง” เพราะนโยบาย”ฟรีวีซ่า” ยังไม่”เข้าเป้า”

ที่สำคัญวันนี้ เงิน 5-6 แสนล้าน ที่จะนำมา”แจก” ให้”ประชาชนคนละ 10,000 บาท ตามโครงการ”เงินดิจิตัล” ยังมองไม่เห็นว่าจะ”กู้” จาก สถาบันการเงิน หรือจะต้องรอ”เงินงบประมาณ” ถ้าแจกแล้วไม่เกิด”สึนามิ”ทาง”เศรษฐกิจ” อย่างที่”คาดหวัง” อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เปลี่ยนตัว”นายกรัฐมนตรี” นะง่าย แต่”หนี้สิน” ที่ ก่อขึ้นมา จะกลายเป็น”ตุ้มถ่วง” ประเทศไทยไปยาวนาน ใครจะรับผิดชอบ….เห็นด้วยนะ กับการ”ยกเลิกเอกสารเข้าเมือง ตม.6” ของด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สะเดา จ.สงขลา เพราะจะเป็นการ”อำนวยความสะดวก ให้กับ”นักท่องเที่ยว” ที่เดินทางจากประเทศมาเลเซียและอื่นๆ แล้ว ยังเป็นการทำลาย”วงจรอุบาทว์” ที่มี”หน้าม้า” เรียกเก็บเงินค่า”เขียนการ์ดเข้าเมือง” จาก”นักท่องเที่ยว” คนละ 10 ริงกิต ได้อีกด้วย ภาพลักษณ์”ของประเทศจะได้สูงขึ้น

เรื่องขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ต้องมี”ผลประโยชน์” ที่ “ซับซ้อน” เกินกว่าที่จะมองเห็น”ด้วยตาเปล่า” เพราะ ไม่ว่าจะเป็น” ยุคไหนสมัยไหน” หรือจะมีการ”ปราบปราม” อย่างไร”น้ำมันเถื่อนทางทะเล” ไม่เคยหมดไปจากภาคใต้ วันนี้” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. มีการแต่งตั้งให้ “พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวดทรง “ จเรตำรวจฯ ทำหน้าที่ หน. ตร.ปนม. แต่ ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ยัง”เหิมเกริม” นำเข้าน้ำมันเถื่อน ส่งขาย ให้กับ ผู้ต้องการ เหมือนเดิม หรือ” หน.ตร.ปนม.” ยัง “จัดทัพ”ไม่เรียบร้อย จึงยังไม่เห็น”ผลงาน” ในการ ปราบปราม”เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน” ก็บอกให้รู้ “น้ำมันเถื่อน”ทางทะเลรายใหญ่ ไม่ได้มีที่”ภาคใต้” อย่างเดียว ที่จ.ระยอง และ จ.สมุทรปราการ สองรายนี้ ระดับ”มหึมา” แถมอ้างว่า”ได้ตั๋วนำเข้า” ครั้งละ 5 ล้านลิตรอีกต่างหาก

บรรทัดนี้ขอแสดงความยินดีกับ นายตำรวจที่ได้ ขยับขึ้นเป็น” รอง ผบช.ภาค 9 “ ทั้งหมด เช่น พล.ต.ต.ภรศักดิ์ หนูนวล, พล.ต.ต.นรินทร์ บูสะมัญ, พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ,พล.ต.ต.สาธิต พลพินิจ” ทั้งหมดล้วนเป็น”รองป้ายแดง” ที่ล้วนมี”ประสบการณ์” กับเรื่องของ”ภาคใต้” มาอย่างโชกโชน พล.ต.ท. ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9. ได้”มือดี”ไปร่วมงาน ถ้ายังทำให้ สถานการณ์ของภาคใต้ไม่ดีขึ้น ก็คงจะ “จบข่าว”…..ส่วน ภ.จว. นราธิวาส ได้ พล.ต.ต.ไมตรี สันตยานุกุล ที่ย้ายจาก ผบก.สส.จชต.ไปนั่งเป็น”ผู้การจังหวัดนราธิวาส “แทน” พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ” ที่ เกษียณอายุราชการได้กลับไป”พักผ่อน” เรื่องของ นราธิวาส “บ่อนมีกี่บ่อน,ซ่องมีกี่ซ่อง” ตู้สล๊อตมีกี่ตู้, และ” หญิงสาวชาวลาว ใน อ.สุไหงโก-ลก มี กี่ร้อยนาง ของเถื่อน ที่ สุไหงโก-ลก ที่ มูโน๊ะ ที่ ตากใบ. มี ปริมาณ “นำเข้า-ส่งออก” เท่าไหร่ รู้ตั้งแต่เป็น”ผู้การสืบ” แล้ว ถ้าจะ”เอาจริง” ทุกอย่างคง”ง่าย”เหมือน”ปอกกล้วย” ก็ต้องติดตามดู” ฝีมือ”กัน ยาวๆ…..ส่วน”ผู้การสืบของ ศชต.” คนใหม่ ก็ไม่ใช่ใครเป็น”พล.ต.ต.ชุมพล ศักดิ์สุริยะมงคล” ที่ “เขยิบ” จาก รองผู้การสืบฯ มาเป็น “ผบก.จชต.” แทน พล.ต.ต. ไมตรี นั่นเอง นายตำรวจรายนี้เห็น”ทุกอย่าง” ใน ศชต. เหมือนเห็น”ลายมือตนเอง” ถ้าจะ”เอาจริง” กับ ทุกปัญหา ตั้งแต่เรื่อง”ยาเสพติด”” รับรองว่า”ราบคาบ” ใครที่มีผลประโยชน์”อดอยากบุหรี่เถื่อน,น้ำมันเถื่อนปากแห้ง” ทั้งบาง

นี่ก็”ห่างหาย” จาก วงการตำรวจภูธรของภาคใต้ไปนาน” พล.ต.ต.สันทัด เชื้อพุดตาน” โยกย้ายครั้งนี้ มาเป็น ผบก.ภ.จว. ปัตตานี ซึ่งน่าจะเป็น” พื้นที่ใหม่ สำหรับ”ผู้การจังหวัด” ที่ เติบโตมาจาก สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แต่ เชื่อว่าคง”ปรับตัวได้”ในไม่ช้า กับงาน”สนามในพื้นที่ปัตตานี” เช่นเดียวกับ” พล.ต.ต.เชาวลิตร เลี้ยงสุพงษ์ ผบก.ตรัง ที่ ขยับมาเป็น ผบก.ภ.จว.สงขลา เพราะ ปัญหาของ “ตรัง” กับของ”สงขลา” ก็ไม่แตกต่างกัน เรื่อง”ยาเสพติด” เรื่อง”ของเถื่อน” เรื่อง”อาชญากรรมพื้นฐาน” และที่สำคัญเรื่อง”เจ้าหน้าที่กับส่วย” ถ้าแก้ได้ ปัญหา”ยาเสพติด.ของเถื่อน” ก็จะน้อยลง และจะต้อง”ควบคุม” พื้นที่พิเศษอย่าง” ด่านนอก” เมืองชายแดนไทย-มาเลเซีย” จะแก้อย่างไร….เห็นด้วยกับ” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ที่ให้ข้อมูลว่า “ยาเสพติดเข้าสู่ประเทศไทยจากชายแดนภาคเหนือ 60% จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 40% โดยมี”ภาคใต้” เป็น”ประตูส่งออก” ถ้า “สกัดกั้น” ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ ยาเสพติดในภาคใต้ โดยเฉพาะ “ตอนล่าง” ก็จะ”เบาบาง” และจะมีการ”พูดคุย” กับ “เจ้าหน้าที่ของมาเลเซีย” ในเรื่องการ”สกัดกั้น” หรือการ”ปราบปราม” เพราะเท่าที่ผ่านมา “รัฐบาลมาเลเซีย” มีการ”บังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด” ด้วยการ”ประหารชีวิต” ผู้ค้า และ ผู้ที่ครอบครองยาเสพติด” เพื่อการเสพ ก็มีโทษหนัก ทำให้ “มาเลเซีย” ไม่มีผู้ “ติดยา ขายยา “ ที่เป็น”รายย่อย” อย่างประเทศไทย มาเลเซีย จึงไม่มีการ”ปราบปรามยาเสพติดรายใหญ่” ที่ผ่านประเทศไปยังประเทศที่สาม สังเกตได้”ข่าว” เรื่อง”จับยาเสพติด”รายใหญ่” ไม่เคยมีปรากฏใน”ข่าวสาร” ไม่ว่าเป็น” หนังสือพิมพ์,วิทยุ,โทรทัศน์” ของ มาเลเซีย เลย ทั้งที่ มี”ยาบ้า” จาก” จังหวัดชายแดนภาคใต้” ผ่านชายแดน” มาเลเซีย ไปยัง “ท่าเรือ” ปีละนับหมื่นนับพันล้านเม็ด ยาบ้าเหล่านี้ ไม่เคยถูก จับได้ ที่ประเทศมาเลเซียแต่อย่างใด

ในที่สุด”ตำรวจ” ก็”คว้าน้ำเหลว” ในการติดตามจับกุม”เสี่ยแป้ง” หรือ”เชาวลิต ทองด้วง ผู้ต้องหาหลบหนีจากเรือนจำนครศรีธรรมราช ที่แม้ว่าจะมีการ”ตามจับ” หรือ”มอบตัว” จาก”สมุนเสี่ยแป้ง” ได้เกือบ”ครบเซ็ท” แต่ตัว”เสี่ยแป้ง” ยัง”ล่องหน” เย้ยฝีมือของ”ตำรวจ” ทั้งจาก”บชภ.8 และ 9” รวมทั้ง”กองปราบ” วันนี้” เสี่ยแป้ง” ไม่ได้หลบอยู่ใน”มาเลเซีย” อย่างที่เข้าใจ ส่วนจะไปอยู่”ใต้ปีก” ของ”ผู้มีอิทธิพล” คนไหน “ตำรวจ” ต้อง”สืบหา”เอาเอง เรื่องของ”เสี่ยแป้ง” ไม่”ธรรมดา” เพราะ ก่อนที่จะ”ต้องโทษในเรือนจำ” เสี่ยแป้ง มีการ”ไปมาหาสู่” กับนายตำรวจระดับสูง มีการ”เอาพระเครื่องสายใต้” ไปเป็น”ของฝาก” เป็นประจำ

ก็เป็นไปอย่างที่เคยเขียนไว้ เรื่อง”คดีโกดังพลุระเบิด” ที่ ต.มูโนะ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ที่หลังเกิดเหตุมีการ”แห่แหน” ลงพื้นที่ของ”ผู้หลักผู้ใหญ่” จากทุก กระทรวง จากทุกหน่วยงาน เหมือนกับเป็น”ตลาดสด” แต่หลังจากผ่านไป 2 เดือน ก็เป็นเหมือน”ตลาดวาย” วันนี้ “คดีโกดังพลุระเบิดที่มูโนะ” ผ่านไปแล้ว 100 วัน ปัญหาความเดือดร้อน เรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องอาชีพ เรื่องของค่าชดเชย ยังคง” คาราคาซัง” แม้แต่ในระดับจังหวัด ก็กำลัง”เพิกเฉย” เพราะ วันนี้จังหวัดนราธิวาส ยังไม่ได้มีการแต่งตั้งใครให้มาเป็น” ผวจ. คนใหม่ ทั้งที่ เป็นพื้นที่ชายแดน ที่มีปัญหาต้อง”สะสาง” มากมาย ข่าวว่ามี”เด็กฝาก”จากหลายสาย ดังนั้นเรื่องความเดือดร้อนของ”ชาวมูโนะ” จึงกลายเป็นเรื่อง”ตามมีตามเกิด” ตามประสาการบริหารราชการของ”ไทยแลนด์แดนกะลา” นั่นหละ

นี่ก็จะเข้าสู่”เดือนสุดท้ายของปี 2566 ตำแหน่ง รอง ผวจ. ปลัดจังหวัด และ นายอำเภอ ยังไม่มีการประกาศ และ”นักวิ่งเกือกเหล็ก” ของ”กรมการปกครอง” ก็ยัง”แซงโค้ง หลุดโค้ง” กัน “อุตลุด” เช่นเดียวกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่”รายชื่อ”การโยกย้ายระดับ “ รอง ผบก.ผกก.จนถึง สว.รอง สว. ที่ยังไม่มีการประกาศ ดังนั้น “นักวิ่ง” ทุกคนจึงยังมีหวัง โดยเฉพาะใน กรณีของ ผกก.ที่เหลืออายุราชการ 2-3 ปี ที่ไม่ต้องการขึ้นเป็น”รอง ผบก. ที่ต้อง”วิ่งอยู่ต่อ” ใน ตำแหน่ง ผกก. และ รอง ผกก. ที่ต้องการ”ขยับขึ้นเป็น ผกก. ที่ต้องต่อสู้กัน”หนักหน่วง” สิ่งสำคัญ ทั้งใน กรมการปกครอง” กระทรวงมหาดไทย” และ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” คือ”เส้น” โดยเฉพาะ”ตั๋ว” จาก “นักการเมือง” ทุกอย่างเหมือนเดิม ตามที่”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกอย่าง”ค่อยเป็นค่อยไป” จะไม่ไป”หักโค่น” กับใคร ดังนั้นความ”เลวร้าย” ในประเทศนี้จึงยังอยู่อย่าง”ครบถ้วน”

ในขณะที่” ก้าวไกล” เปิดเกมรุกทาง”ภาคประชาสังคม” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง”ถึงพริกถึงขิง” ในประเด็นของ”สันติภาพ” ของการยุบ กอ.รมน. เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “รอมฏอน ปันจอร์” สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และ รองประธานคณะกรรมาธิการสันติภาพฯ เดินทางเปิดเวที”สัมมนา”ให้กับ”ภาคประชาสังคมชายแดนใต้” ที่ ห้องประชุม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพื่อ”ผลักดัน” นโยบายของพรรคในเรื่องของ”สันติภาพ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการ”ยุบ กอ.รมน ที่”เป็นธง” ของ”ก้าวไกล …..ในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่เป็น”เป้าหมาย” ของ”พรรคก้าวไกล” ที่ต้องการให้”ยุบทิ้ง” นั้น พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” แม่ทัพน้อยที่ 4 ก็ไม่”หยุดนิ่งกับที่”มีการ”ปัดฝุ่นบ้านกรงนก” ที่เป็นที่ตั้งของ”ศูนย์สันติวิธี” เพื่อให้เป็น สถานที่”ระดมความคิดเห็น” จาก” มวลชนทุกภาคส่วน” และจาก”ภาคประชาสังคม จากผู้เห็นต่าง” เพื่อ”ขับเคลื่อน” การแก้ปัญหา วันนี้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”ยอมรับความจริงว่า”บีอาร์เอ็น” คือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เป็นผู้”บงการ” ให้เกิดสถานการณ์ของ”ไฟใต้” ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา การที่จะ”ดับไฟใต้” ให้ได้ผล ต้อง”ดับบีอาร์เอ็น” ให้ได้ ส่วนวิธีการนั้น ก็ว่ากันไปตาม”สถานการณ์” และต้องมี”ยุทธศาสตร์” ในการ”เอาชนะ”ทางการเมือง ที่ชัดเจน เรื่องของ”ไฟใต้” ที่” พล.ท.ปราโมทย์” พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4 ใช้”ศูนย์สันติวิธี” ในการ”ขับเคลื่อน” เป็นการ”เดินที่ถูกทาง” และต้องยอมรับว่าในบรรดา”นายทหารระดับนายพลของกองทัพภาคที่ 4 “ นั้น” พล.ท.ปราโมทย์” มีความรู้ในโครงสร้างของ”บีอาร์เอ็น” และเข้าใจถึง”บริบท” ของ องค์กรต่างชาติ ที่ เข้ามามี”บทบาท” ด้านมวลชน และ อยู่เบื้องหลังการ “สนับสนุน บีอาร์เอ็น” ดีที่สุด

ส่วน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ “สมช.” ก็คงจะเป็นไปตามความต้องการของ”ฝ่ายการเมือง” ที่ต้องการโยก” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” รอง ผบ.ตร. ที่”พลาดหวัง” จาก ตำแหน่ง “ผบ.ตร. ทั้งที่”อาวุโสอันดับ 1 “ จึงมีการให้ตำแหน่ง” เลขาธิการ สมช.” ที่เป็นตำแหน่ง”ข้าราชการพลเรือนระดับ 11” เทียบเท่า ผบ.ตร. และ”ปลัดกระทรวง เป็นการ”ปลอมใจ” เมื่อ” เลือกไม่ได้” ก็ต้องยอมรับ และได้แต่”คาดหวัง”ว่า ด้วย “ความรู้ในเรื่องของตำรวจ”บิ๊กรอย” คงจะเข้าใจงานด้าน”ความมั่นคง” ของประเทศที่เป็นหน้าที่ของ”สมช. ….และ แน่นอน ก็ แสดงความ”เสียใจ” กับ บรรดา”ลูกหม้อ” ของ “สมช. ที่ ตั้งแต่ยุคของ” ถวิล เปลี่ยนสี” ที่เป็น”ลูกหม้อ” คนสุดท้ายของ “สมช. ที่ได้เป็น”เลขาธิการ สมช.” หลังจากนั่น ตำแหน่ง”เลขาธิการ สมช. ก็กลายเป็น”รางวัลปลอบใจ” ของ “นายพล”ที่อกหักจาก ตำแหน่ง”ผู้นำหน่วย” ต้องมาเป็น” เลขาธิการ สมช. ก็ต้อง แสดงความ”เสียใจ” กับ”ลูกหม้อ” ของ “สมช. ที่ต้อง”ชวด”ตำแหน่ง “เลขาธิการ สมช. ที่ควรจะได้ ให้กับ”นโยบาย”ของ”การเมือง” อีกครั้ง ที่เหมือนกับ หลายครั้งที่ผ่านมา ก็ต้องติดตามดูว่า หลังจากนี้ สมช.จะ”ก้าวหน้า” ถอยหลัง”หรือ”อยู่กับที่” เวลา 1 ปี จะเป็นเครื่องพิสูจน์

เดินทางมารับตำแหน่ง “เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ( ศอ.บต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา สำหรับ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. คนใหม่ แต่ก่อนหน้านี้ ได้มีการเดินทางลงพื้นที่ พร้อมกับ “พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รัฐมนตรียุติธรรม “ แล้วหลายครั้ง นี่ก็เป็นผู้”บุคคลหนึ่ง” ที่”ย้ายมาจากกระทรวงยุติธรรม” เป็น” เสือข้ามห้วย” ที่ต้อง ติดตามดูว่า จะนำพา”ศอ.บต.” เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ มากน้อยแค่ไหน เพราะ ศอ.บต. วันนี้มี สถานที่ไม่เหมือนเก่า มีคำสั่ง “คสช. 3 ฉบับ” ที่ออกมาบังคับใช้ในสมัยของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ อดีต นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ “ศอ.บต.” อยู่ใน”อำนาจ” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถ้ายังไม่”ยกเลิก” คำสั่งของ”คสช” ยากนักที่ “เลขาธิการ ศอ.บต.” คนใหม่ จะนำ “ศอ.บต.”ไปสู่”เป้าหมาย” เพื่อประโยชน์ของพื้นที่และของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

เรื่อง”ยาเสพติด” กี่เม็ดจะเป็น”ผู้เสพ” กี่เม็ดจะเป็น”ผู้ค้า” ตามนโยบายของ”ชลน่าน สีแก้ว” เสนาบดี กระทรวงสาธารณสุข ยังตกเป็น”เป้า” ในการ”วิพากษ์วิจารณ์” ของ ประชาชน ที่ส่วนใหญ่”ไม่เห็นด้วย” เพราะเชื่อว่า”ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหายาเสพติดให้หมดไปจากชุมชนตามที่ถูกต้อง” วันนี้ “ส่วนราชการ”มองปัญหายาเสพติดไปคนละเรื่อง”ราชฑัณฑ์” ต้องการลดจำนวน”นักโทษ” ที่”แออัดยัดเยียด” คนทำให้เกิดสภาพ”ล้นคุก” เพราะ”คนติดยา” เข้ามาแย่งที่อยู่ของ”นักโทษคดีอื่นๆ” จึงต้องการให้”ผู้ต้องขังคดียาเสพติด”ออกจากเรือนจำไปอยู่ที่อื่น “กระทรวงสาสุข” มองว่า”ผู้ต้องหากลุ่มนี้เป็น”ผู้ป่วย” ที่ต้องได้รับการ”บำบัด” โดยมีโครงการในการสร้าง”มินิธัญญาลักษณ์” 42 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อนำเอา”ผู้ต้องขัง” กลุ่มนี้ไปทำการ”บำบัด” แต่ปัญหาที่”แยกไม่ออก” คือ “ผู้ที่ถูก”ตำรวจ”จับกุมมา ใครเป็นผู้ค้า ใครเป็นผู้เสพ เพราะ”ผู้เสพ” ส่วนใหญ่คือ”ผู้ค้า” ถ้า”ไม่ค้า” ก็ไม่มีเงินในซื้อยามาเสพ….สุดท้าย ปัญหาทั้งหมด จะไป”ตกอยู่ที่” ตำรวจ และ ฝ่าย ปกครอง ซึ่งมี หน้าที่ ในการ แก้ปัญหา เพื่อความ”สงบสุขของสังคม”

หลายวันก่อนมีโอกาส ได้นั่ง”จิบกาแฟ”กับ” สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา คุยกันเรื่องปัญหาของ ประชาชน และหนึ่งในปัญหาของ สงขลา ก็คือเรื่องของ”ยาเสพติด” ที่เป็น นโยบายหลัก ที่ “สมนึก พรหมเขียว” ต้องการ ทำให้เป็น”รูปธรรม” ตั้งแต่นำคนเอา”ไม่บาย” ที่เสพยา”จนหลอน” และ ทำร้ายคนในครอบครัว และคนทั่วไป ด้วยการ”ค้นหา” เพื่อนนำไปสู่การ”บำบัด” โดยเร็ว เพราะผู้ติดยากลุ่มนี้ คือ”ภัยสังคม” ก็เห็นด้วยกับหลายเรื่อง โดยเฉพาะการ”จับมือกับองค์การบริหารท้องถิ่น” ในการแก้ปัญหายาเสพติดและการพัฒนาบ้านเมือง เพราะ “องค์กรปกครองท้องถิ่น” มีความพร้อม ในขณะที่ฝ่ายปกครองระดับอำเภอ”ว่างงาน” ต้องใช้ประโยชน์ให้ เจ้าหน้าที่ในอำเภอ มีงานทำ ด้วย

นี่ก็เรื่องใหญ่นะ หลังจากที่ “โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ” ของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ปิดการดำเนินการ เพราะไม่ผ่านมาตรฐาน 4 ข้อ ทั้งที่มีการ”ผลิตไฟฟ้า” มากว่า 20 ปี วันนี้ “ขยะ” จำนวนมหาศาล จากพื้นที่”เทศบาลนครหาดใหญ่” และ”เทศบาลเมืองควนลัง” ต้องใช้การ”ฝังกลบ” ซึ่งวันนี้ยังมีพื้นที่อยู่ แต่ใน อนาคต จะแก้ปัญหา”ขยะ”ของเทศบาลทั้งสองแห่งอย่างไร และ “ขยะ”เก่า” ที่กองเป็น”ภูเขาเลากา” อยู่ในขณะนี้จะ บริหารจัดการอย่างไร” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี “ นายกเทศบาลมนตรีนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ต้องมีแผน และต้องบอกให้ประชาชนได้รับทราบ และที่สำคัญ”เงินจำนวนหนึ่ง” ที่ โรงไฟฟ้า” จ่ายให้กับ”เทศบาล” วันนี้ อยู่ที่ไหน จำนวนเท่าไหร่ มีประชาชนสงสัยอย่างรู้….. เรื่องของคำว่า”ซอฟเพาเวอร์” ขึ้นต้นมี”ความหวัง” และเป็น”ความหวัง” ในการ”พัฒนาคนพัฒนาประเทศ แต่ หลังๆเมื่อ”อะไรอะไร”ก็เป็น”ซอฟเพาเวอร์”ไปเสียหมด แม้แต่เรื่อง”ผ้าขะม้า” คำว่า”ซอฟเพาเวอร์” และ”โครงการของ”ซอฟเพาเวอร์” จึงลดความ”เข้มขลัง” ลงเรื่อยๆ และกำลังจะเป็นเรื่อง”ธรรมดาๆ”ไปแล้ว”เรื่องนี้”อุ๋งอิ๋ง” แพทองธาร ชินวัตร เจ้าของโครงการ และ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีต้อง”ทบทวน” เพื่อให้เกิด”ความเชื่อ” และความ”เข้มขลัง” ว่า”ซอฟเพาเวอร์” จะทำให้การ พัฒนาประเทศและประชาชน ได้จริง…..หลังการ เลือกตั้ง หลังการได้ตำแหน่ง สส. มีประชาชน บ่นมาให้ได้ฟังว่า สส.ทั้ง 9 เขต ของ จ.สงขลา อยู่ในอาการที่”เงียบเชียบ” อย่าลืม ว่างจากกระประชุมสภาผู้แทนฯ หรือ”เสาร์-อาทิตย์” ก็ลงไปให้”ประชาชน”เห็นหน้าค่าตา”บ้าง สี่ปีแป๊บเดียว เดี๋ยวเลือกตั้งครั้งหน้า ชาวบ้านจะจำหน้าไม่ได้นะเออ….แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตารัฐบาลใหม่กับภาระกิจดับไฟใต้!

ผลกระทบจากการ”สู้รบ” ระหว่าง”อิสราเอล” กับ “ฮามาส”ที่ส่อเค้าว่าจะ”ลากยาว” ยิ่งทำให้”ชะตากรรม” ของ”แรงงานไทย” ที่ตกอยู่ในฐานะของ”ตัวประกัน” ยังคง”มืดมน” แบบไม่ทราบ”ชะตากรรม” ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการ”ต่อรอง” ในเรื่องการแลกเปลี่ยน”เชลย” ระหว่าง”อิสราเอล”กับ”ฮามาส” ที่ หลายอย่างอยู่นอกเหนือการ”ควบคุม” ของ”รัฐบาลไทย” ที่แม้ว่า”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะพยายามทุกวิถีทาง ในการ”เจรจา” ทั้ง”ทางลับ”และ”ทางแจ้ง” แต่ยังไม่มี”ข่าวดี”…..ในขณะที่ด้านหนึ่ง”วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ในฐานะ”ประมุขฝ่ายนินิบัญญัติ” ก็ใช้ความเป็น”มุสลิม” เดิมเกม ช่วยเหลือ”ตัวประกันไทย” ผ่านทางประเทศต่างๆ และตัว”บุคคล” ที่มีความ”คุ้นเคย” เพื่อให้เป็น”คนกลาง” ในการ”เจรจา”กับ ผู้นำของ”กลุ่มฮามาส” อีกทางหนึ่ง ก็คิดไปทางที่ดีว่า การที่ทุกฝ่ายช่วยกัน”คนละไม้ละมือ” จะสามารถทำให้”ตัวประกัน” ที่เป็น”แรงงานไทย” ทุกคนจะ”อยู่รอดปลอดภัย” และได้รับการปล่อยตัวในไม่ช้านี้

ส่วนอีกปัญหาหนึ่งของ”ประเทศไทย” และ”แรงงานไทย” คือ อาจจะต้อง”สูญเสีย” การไป”ขายแรงงาน” ในประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศที่”แรงงานไทย” นิยมไป”ขายแรงงาน” เพราะเป็นงานที่”ไม่หนัก” และที่สำคัญ”ค่าแรงแพง” ที่ทำให้”แรงงานไทย” ที่ไป”ขายแรงงาน” สามารถ”ตั้งตัว”ได้ ถ้าสงคราม”ยืดเยื้อ” และ”ลุกลาม” โอกาสทองของแรงงานไทย ใน”อิสราเอล” ก็จะ”หดหาย”ไปด้วย…..ดังนั้นที่ “แรงงาน” อีกหลายหมื่นคนไม่ฟังคำ”เรียกร้อง” จาก”รัฐบาล” ให้รีบเดินทางกลับประเทศไทย ไม่ใช่เพราะ”ไม่กลัวตาย” หรือไม่กลัว”ภัยสงครารม” แต่เพราะยังต้องการ”หนีความยากจน” และมี”หนี้สิน” ที่”หยิบยืม” เป็น”ค่าเดินทาง” และค่า”นายหน้า” ในการไป”ขายแรงงาน” ที่ “อิสราเอล” หากเดินทางกลับประเทศไทย แล้ว”หนี้สิน” เหล่านี้ใครจะรับผิดชอบ ดังนั้น”แรงงาน”จำนวนมาก จึงยอม”เสี่ยง” ที่จะ”อยู่ต่อ” โดยไม่ทำตามคำ”ขอร้อง”ของ”รัฐบาล”

ผ่านไปเป็นเดือนที่ 2 แล้ว กับการ”ขับเคลื่อน”ในการนำประเทศไทย ไปข้างหน้าของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีที่มี”ฉายา รัฐบาลนิดหนึ่ง” ผลงานในด้านบวกที่เห็นก็คือเรื่อง”ลดค่าไฟฟ้า,ลดราคาน้ำมัน” สินค้าหลายชนิดลดราคาลง ค่าโดยสารรถไฟฟ้าบางสายลดลง แต่ทั้งหมดเป็นการ”สั่งลด” โดยการ”ลดภาษี”ที่เป็นรายได้ของรัฐ ที่ ยังเป็นการ”แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน และให้เป็นตามที่มีการ”หาเสียง”เท่านั้น “เสนาบดี”แต่ละ”กระทรวง” ยังไม่ได้แสดง”ฝีไม้ลายมือ” ให้เห็นถึงการแก้ปัญหาใหญ่ในเชิงโครงสร้าง” เช่น” กระทรวงพลังงาน” ที่”เสนาบดี” อย่าง”พีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการให้”โรงกลั่น” หรือ”บริษัทผู้กำ”อนาคตของเชื้อเพลิง” มาเปิดเผย”ตัวเลข” ที่แท้จริง และทำให้”ราคาน้ำมัน” ถูกลง เช่นเดียวกับปัญหา”ค่าไฟฟ้าแพง” เกิดจากอะไร ทำไม่จึงไม่แก้ให้ตรงจุด 2 เดือนในการ”ขับเคลื่อน”ประเทศของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” กลุ่มทุนของ”ประเทศไทย” ไม่ได้ถูก”กระทบกระเทือน”แม้แต่”กระผีกริ้น”…..ที่สำคัญ นโยบาย การ”ปราบปรามยาเสพติด” ที่ แม้ว่าจะเป็น”นโยบายสำคัญ” ของ”รัฐบาล” แต่ในทาง”ปฏิบัติ” ก็ยังเห็นการ”เปลี่ยนแปลง” รูปแบบของการ”ปราบปรามยาเสพติด” ก็ทำแบบเดิมๆ มีการจับ”รายใหญ่” และ”แถลงข่าว” แต่ในทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ยังเป็นพื้นที่”ซื้อ-ขาย” ยาเสพติด เป็น”ปกติ” ที่”พ่อค้า,เด็กเดินยา” ยัง”ปกติสุข” ที่สำคัญ จับมากเท่าไหร่ แต่”ยาในพื้นที่”ยังไม่เคย”ขาดตลาด” และราคา”ยาบ้า,ยาไอซ์ แทนที่จะ “แพงขึ้น” กลับมีราคาที่”ลดลง” ประเด็นนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน”วิเคราะห์” เพราะถ้าผลการจับ”รายใหญ่” ได้ผล ต้องทำให้จำนวน”ยาเสพติด” ลดลง และต้องมีราคาที่”แพงขึ้น” จริงมั้ย ท่าน เลขาธิการ ปปส.

น่าอายนะกับการที่” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ทุก”สรรพกำลัง” ที่เรียกว่าระดม”มือดี” ทั้งจาก” กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กองบัญชาการตำรวจภาค 9, กองปราบ ทั้งใน “ส่วนกลาง” และ กอง 6 ในภาคใต้ แต่ก็ยัง”เอาไม่อยู่”เพราะผ่านไปแล้วร่วม 10 วัน ทั้งหมดยัง”งมโข่ง”หาตัวของ”เสี่ยแป้ง” หรือ”เชาวลิตร ทองด้วง” นักโทษหนีคุก” จาก จ.นครศรีธรรมราชไม่เจอ ทั้งที่”สายข่าว” ยืนยันว่ายังหลบในพื้นที่ จ.พัทลุง แถมยังต้อง”เรียกใช้บริการ”ของ” พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์” ( รองใหม่ ) อดีต รอง ผบตร. มาเพื่อ”แกะรอย” ติดตามหาตัว”เสี่ยแป้ง” อีกด้วย….จากการติดตามการ”ปฏิบัติหน้าที่”ของ”ตำรวจ”ชุดต่างๆ ในพื้นที่ พบว่า ความ”ล่าช้า” ในการ”แกะรอย” การ”หลบหนี” ของ”เสี่ยแป้ง” ครั้งนี้ มาจากการ”นอนเตียงเดียวกัน แต่ฝันคนละเรื่อง” ของ ตำรวจจาก”ภาค 8 และ ภาค 9” ที่ต่างคนต่างทำ และต่างสาย ไม่มีการ”บูรณาการ” ในงาน”การข่าว” ประกอบกับคดีนี้เกิดในช่วงการ”โยกย้าย สับเปลี่ยน ตำแหน่ง” ตั้งแต่ ผบช.จนถึง ผบก. และอยู่ระหว่างการทำบัญชี โยกย้าย รอง ผบก. และ ผกก.แต่ละพื้นที่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับการตามล่า”เสี่ยแป้ง” จึงเป็นไปแบบ”หน่อมแน้ม”แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าเป็นการ”ต้มยำทำแกง”ก็บอกได้ว่า”ไม่ถึงเกลือไม่ถึงเคย” นั่นคือความ”ล้มเหลว” ที่เกิดขึ้น ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ต้อง”ติวเข้ม”

ที่สำคัญ”เสี่ยแป้ง” แม้จะมี”ลูกน้อง” ใน จ.พัทลุงทุกอำเภอ และมี”ผู้มีอิทธิพล” มี”ซุ้มมือปืน”และ”นักการเมือง” (บางคน ) ให้การ”ช่วยเหลือ” แต่”เสี่ยแป้ง” ก็ไม่ใช่”เทวดา” ถ้า”ตำรวจ” ที่มี”ฝีมือ” เอาจริง มีหรือจะจับไม่ได้ …..เรื่องความ”ล้มเหลว” ในการ”ไล่ล่าเสี่ยแป้ง” มี ชาวบ้าน และ “ตำรวจ” ด้วยกัน เชื่อว่า ถ้า”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังอยู่ในตำแหน่ง รอง ผบตร.( สส ) เชื่อว่าไม่เกิน 5 วัน “เสี่ยแป้ง” ต้อง”จบเกม” แน่นอน เพราะ พัทลุง ฝั่งที่”เสี่ยแป้ง” ซ่อนตัวอยู่ มีเพียงกี่อำเภอ ที่เป็นฝั่ง”ภูเขา” เช่น พื้นที่ อ.ป่าาบอน,กงหรา,ศรีนครินทร์ เขตติดต่อกับ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา และ อ.นาโยง จ.ตรัง นั่นแหละ

สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งแต่นี้จนถึงสิ้นปี 2566 ยังไม่มีอะไรที่”ไว้วางใจ” เพราะ” กองกำลังติดอาวุธ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ยังมีการ”เคลื่อนไหว” เพื่อการก่อเหตุ มีการ”ลำเลียงอุปกรณ์” เพื่อผลิต”ระเบิดแสวงเครื่อง เพื่อใช้การ”ก่อการร้าย” และหน่วยงาน”การข่าว” ในพื้นที่ ยังเตือนให้ระวัง”คาร์บอบม์” ก็เป็นหน้าที่ของ”ตำรวจ.ทหาร.ปกครอง” ที่จะต้องมี”มาตรการ” ในการป้องกันเหตุ ที่น่าสังเกตุว่าการ”ก่อเหตุ” หลายครั้ง รุกเข้าใกล้”ตัวเมือง” ที่เป็นเขต”เศรษฐกิจ” เช่นการ วางระเบิดแสวงเครื่องหน้า”ร้านทอง”ที่ตลาด”ตากใบ. จ.นราธิวาส การยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ใกล้กับเขตเทศบาลนครยะลา เป็นต้น สำหรับในเขตเมือง ที่เป็นเขต”เศรษฐกิจ” พล.ต.ท.ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ 9 ( ป้ายแดง ) ต้อง มีมาตรการให้ “ตำรวจ” มีขีดความสามารถในการ”ป้องกันเหตุ” เพื่อลดความสูญเสียให้ได้

ก็ดีขึ้นนะ สำหรับการ”ปิดล้อม,ตรวจค้น”ของ เจ้าหน้าที่”ทหาร” ในหลายพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะสามารถ”จับกุม” ผู้ที่อยู่ใน”ข่ายแนวร่วม” เพื่อนำตัวมา”สอบสวน” โดยที่ไม่มีการ”สูญเสียเลือดเนื้อ” และหาก “สอบสวนขยายผล” ดีๆ ก็จะได้ทราบถึง”เครือข่าย” ของ”ขบวนการ” เพื่อที่จะได้”รู้เขารู้เรา” ได้มากขึ้น เรื่องนี้ “พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 /ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำได้ดี และที่สำคัญ ผู้ที่ถูก”จับกุม” ไม่มีการร้องเรียนเรื่อง”ซ้อมทรมาน” เป็นการ”ลดเงื่อนไข”ในพื้นที่ ซึ่งเป็นประโยชน์กับการ”ดับไฟใต้”

เรื่องของ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ “สมช.” ซึ่ง “พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม” เลขาธิการ สมช. เกษียณอายุราชการไปตั้งแต่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา จนถึงบัดนี้ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ยังไม่มีการแต่งตั้ง “เลขาธิการ สมช.คนใหม่ ทั้งที่ “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” มีความสำคัญกับการทำหน้าที่ “กำหนดยุทธศาสตร์” ของการ”ดับไฟใต้” เรื่องนี้กลายเป็น”ข้อสงสัย”ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าต้องมี”เงื่อนงำ” หรือ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ยัง”เจรจา” กับฝ่าย”กองทัพ”ยังไม่จบ เพราะมีข่าวว่า “กองทัพ” ยังต้องการให้”ทหาร” มาทำหน้าที่ “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” เหมือนกับ 9 ปี ที่ผ่านมา……เห็น”บทบาท”ของ สส.ทั้ง 7 คนของพรรคประชาชน ที่เป็น”ตัวแทน”ของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกมา”ถล่มรัฐบาล” ในปัญหาด้าน”ความมั่นคง” รวมทั้ง”วิพากษ์” ถึง”ยุทธศาสตร์”ของ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ที่เขียนไว้”ดูดี” แต่ไม่มีผลในทาง”ปฏิบัติ” รวมทั้ง เสนอแนะ ให้ “รัฐบาล” เร่งยกเลิกคำสั่ง คสช.ทั้ง 3 ฉบับ ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “อดีต นายกรัฐมนตรี ใช้ในการ”บอนไซ” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) โดยเร็ว ด้วยการให้ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) เป็น”อิสระ” ไม่ต้องอยู่ภายใต้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และให้ ศอ.บต. มี “สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” เหมือนกับในอดีต เพื่อเป็น”กลไก”สำคัญของการ”พัฒนาการแก้ปัญหา” ที่เกิดจากการมี”ส่วนร่วม”ของ”ตัวแทนประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ซึ่งมีข่าวจาก”วงใน” ว่าในเรื่องการ”ยกเลิศ” คำสั่ง คสช. ทั้ง 3 ฉบับ เพื่อคืน”อิสระ” ให้กับ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) และการให้ ศอ.บต.มี “สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” มีการ”ขัดขวาง” อย่างเต็มที่ ถึงขั้น”เป่ากระหม่อม” ให้”ผู้นำ” อยู่ใน”คาถา” กันทีเดียว…..ในฐานะที่เคยทำหน้าที่”สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” มา 2 สมัย ก็ไม่เห็นว่า “สภาที่ปรึกษาฯ” มีความ”น่ากลัว” หรือมี”อิทธิฤทธิ์” ตรงไหน ก็เป็นเพียง”สภาท้องถิ่น”ที่เป็น”ตัวแทน”ของประชาชนทุกสาขาอาชีพใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา และ”มีส่วนร่วม” ใน นโยบายการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ”ศอ.บต.” เท่านั้น จึงสงสัยว่าทำไม”ผู้มีอำนาจ” จึงต้อง”เกรงกลัว” สภาที่ปรึกษาฯขนาดนั้น

วันนี้มี”รัฐบาลใหม่”ผ่านไปแล้ว 2 เดือน แต่สำหรับ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” หันไปทาง”ซ้าย ขวา หน้า หลัง” ยัง เต็มไปด้วยปัญหา เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ปัญหาเก่าที่”ขับเคลื่อน”ไม่สำเร็จ ที่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบการ”ขับเคลื่อน” ศอ.บต. ลงมา เพื่อ”ขยับ”ให้เดินต่อ เช่นเรื่อง ที่ทำการศุลกากรแห่งใหม่ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ที่ใช้งบ”มหาศาล” ในการก่อสร้างที่เป็น”ที่ทำการตาบอด” ที่ไม่มี”ถนนเชื่อมต่อ” ทั้งกับถนน”สายเมน” ในประเทศตนเอง และ”เชื่อมต่อ” กับฝั่งประเทศมาเลเซียไม่ได้ เพราะไม่มีการ” บูรณาการ” ระหว่างหน่วยงานไทย-มาเลเซีย…. ปัญหา”ด่านพรมแดนบูเก๊ะตา” อ.แว้ง จ.นราธิวาส ที่สร้างมานานเป็นสิบปี แต่ใช้ประโยชน์ไม่ครบ”วงจร” ของการเป็น”ด่านชายแดน” เพราะ หน่วยงานต่างๆ อ้างไม่พร้อม อ้างขาด บุคคลกร โน่น นี่ นั้น การค้าชายแดนจึงไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เรื่อง”สะพานข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส แห่งที่ 2 และอีกหลายเรื่อง ทั้งหมดคือ”เรื่องเก่า” ที่ อดีต เลขาธิการ ศอ.บต. ทุกคนที่ผ่านมา ต่าง”ออกแรง” ในการ”ผลักดัน” กันมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ…..แม้แต่เรื่อง”เขตเศรษฐกิจพิเศษ” จ.นราธิวาส เรื่อง”เมืองต้นแบบ” ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ผ่านไปแล้ว 8 ปี ก็ยังคง”ค้างเติ่ง” อยู่ในแผน แต่ไม่มีการ”ขยับขับเคลื่อน”

ที่สำคัญ”สนามบินเบตง” ที่มีการ”ทุ่มเทงบประมาณ” จำนวน 1,800 ล้านบาท ซึ่ง” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการเปิดเที่ยวบิน”ปฐมฤกษ์” ที่บินได้ 3 เดือน ก็กลายเป็น”สนามร้าง” เรื่องทั้งหมดทั้งปวง ไม่ใช่”เรื่องใหม่” แต่เป็น”เรื่องเก่า” เป็น”ปัญหาเก่า” ที่”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ต้องแก้ทั้งระบบ เพราะทั้งหมดคือปัญหา”ความมั่นคง” ที่ ผ่านไปแล้ว 2 เดือน ยังไม่มีการ”แตะต้อง” ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้แบบ”ถูกที่ถูกเวลา” แต่อย่างใด และที่เห็น”ชัดเจน” “เศรษฐา ทวีสิน” ไม่มี”โปรแกรม” ในการ”ท่องแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้” แต่อย่างใด รวมทั้ง”สุทิน คลังแสง “ เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม ก็ยังไม่เคย”เหยียบบาท” ลงพื้นที่ของ 3 จังหวัด ทั้งที่เป็นพื้นที่ มากด้วยปัญหา ที่ต้องลงมา”รับรู้” ถึงข้อเท็จจริง เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า “รัฐบาลนิดหนึ่ง” จะ แก้ปัญหาเรื่องของ”ความมั่นคง”ได้อย่างไร เพราะแม้แต่”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง” รัฐบาลของ”เศรษฐา ทวีสิน” ก็ยังไม่มีการแต่งตั้งที่ชัดเจน ”โต๊ะพูดคุยสันติสุข” ระหว่างขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น กับ “รัฐบาล “ เพื่อ”แสวงหาทางออกจากปัญหาไฟใต้”ตามแนวทาง”สันติวิธี” ที่ชะงักงันมาก่อนที่จะมีการ”เลือกตั้ง” เรื่องนี้ก็มีความสำคัญกับการ”ยุติปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ทั้งหมดทั้งปวงคือความไม่ชัดเจนของ”เศรษฐา ทวีสิน” ต่อ นโยบายความมั่นคงที่เกิดขึ้น

เขียนถึงเรื่อง”สนามบินเบตง” ที่สร้างเพื่อ”ถ่ายรูปเซลฟี่” มากกว่าที่จะได้ประโยชน์จาก”การบิน” ก็นึกถึง”โครงการสร้างสนามบินจังหวัดพังงา” ที่” รัฐบาลนิดหนึ่ง” กำลังจะ”ผลักดัน” ให้” พังงา” มีสนามบิน เพื่อสร้างความ”เติบโต” ให้กับ”การท่องเที่ยว” แต่สิ่งที่”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ต้องรู้คือ ที่ดินที่ถูก”ขีดเส้น” ว่าจะให้เป็น”สนามบิน ภูเก็ต –พังงา แห่งที่ 2 ใน ต.โคกกลอย และ ต.หล่อยูง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เป็นที่ดิน สาธารณประโยชน์ ที่เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ รวมทั้ง 2 ตำบล 20,000 กว่าไร่ และที่สำคัญ ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่า มีการนำเอา”ทุ่งเลี้ยงสัตว์” ไปออกเป็น”เอกสารสิทธิ์” ให้กับใครต่อใคร แล้วยัง เพื่อที่จะได้ค่า”เวนคืน” หรือการ”ซื้อ-ขาย” เพื่อ แสวงผลกำไรกับโครงการ”สนามบินภูเก็ต-พังงา แห่งที่ 2 “ เรื่องการเอา”ของหลวง” มาทำการ”เล่นแร่แปรธาตุ” เป็นเรื่องที่”กลุ่มทุน” ที่ใกล้ชิดกับ”การเมือง” ถนัดนักแหละ

เห็นการแบ่งงาน แบ่งหน้าที่ของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่ครั้งนี้มีการ มอบหน้าที่ ในการ “ป้องกันปราบปรามน้ำมันเถื่อน” โดยให้ “พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง”จเรตำรวจแห่งชาติ เป็น ผอ. ศป.นม.ตร และมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผช. ผบ.ตร. ทำหน้าที่ รอง ผอ.ศป นม.ตร. ก็แจ้งให้ทราบว่า วันนี้ในภาคใต้ยังทั้งทางบกทางทะเล ยังเป็นแหล่ง”นำเข้า” น้ำมันเถื่อน “ จากประเทศ สิงค์โปร-มาเลเซีย ที่ยังไม่มีการ ปราบปรามอย่างจริงจัง “ทะเลอ่าวไทย” ตั้งแต่ จ.สุราษฏร์ธานี,นครศรีธรรมราช,สงขลา ,ปัตตานี.นราธิวาส” ยังเป็นพื้นที่ นำเข้า”น้ำมันเถื่อน” ส่วนเส้นทาง”ทางบก” ที่ไม่ต้อง”ข้ามน้ำข้ามทะเล” คือการ นำเข้าทางรถยนต์ดัดแปลงติดแท็งค์น้ำมัน หลายร้อยคัน และรถบรรทุก”หัวลาก” อีกไม่ต่ำว่า 200 คัน ในพื้นที่ ของ จ.สงขลา หลายอำเภอเป็นที่ตั้ง”แท็งค์รับซื้อน้ำมันเถื่อน” มี รถบรรทุก 10 ล้อ จาก หลายพื้นที่มาจอดรอ”รับซื้อ” น้ำมันเถื่อนไปยัง”แหล่งจำหน่าย” อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” ทั้งหมดเป็นการ”ทำผิดกฎหมาย” ก็หวังว่าภายใต้การนำของ” พล.ต.ท. ไกรบุญ ทรวดทรง “ จเรตำรวจแห่งชาติ จะสามารถ”กวาดล้าง” น้ำมันเถื่อน บนเส้นทางเหล่านี้ได้ผล…..โดยเฉพาะอย่างให้ ผอ.ศป นม.ตร. ชุดนี้ ติดตาม ตรวจสอบการ “นำเข้าน้ำมันจากประเทศมาเลเซีย” ที่ทำกันใน”รูปแบบถูกต้องตามกฎหมายของการทรานส์ซิส” หรือ”ขอผ่านประเทศไทยไปยังประเทศที่สาม ที่มีการการ”นำเข้า” เป็นจำนวนมากจน”ผิดปกติ” ผ่านทางด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ข้อสงสัยคือ น้ำมันที่”ผ่านไปประเทศที่สาม” ได้มีการไปถึงประเทศที่เป็น ปลายทาง” อย่าง สปป.ลาว, กัมพูชา จริงหรือไม่ หรือมีการ”แอบจำหน่ายในประเทศ” กันแน่

ในส่วนของการ”ปรามปราบยาเสพติด” ครั้งนี้ ผบ.ตร. แต่งตั้งให้” พล.ต.ท.กรชัย คล้ายคลึง” ผช.ผบ.ตร. ทำหน้าที่ ผอ.ศูนย์อำนวยการป้องกันปราบปรามยาเสพติด”ภาคใต้ไม่ใช่แหล่งผลิต” แต่”ภาคใต้” โดยเฉพาะ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ”แหล่งที่มีการค้ายาเสพติดแหล่งใหญ่” เพื่อการ”ส่งออกไปประเทศที่สาม” ถ้า” พล.ต.ท.กรชัย คล้ายคลึง” สามารถ”ปราบปราม” กลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ จำนวนยาเสพติดที่ลำเลียงจาก”ภาคเหนือ,อิสาน “ก็จะหายไปจาก”ตลาดการค้ายาเสพติด” จำนวน”ยาเสพติด” ที่มีการ”นำเข้า”ประเทศก็จะน้อยลง ……แต่เห็น นโยบาย การแก้ปัญหา”ยาเสพติด” ของ”เสนาบดีกระทรวงสาธารณสุข” ที่ชื่อ”ชลน่าน ศรีแก้ว” ที่ให้ผู้”ครอบครองยาบ้า 10 เม็ดเป็นผู้เสพ” จับได้ต้องส่งไป”บำบัด” ก็หนักใจแทน “ตำรวจ” ที่เป็น”พนักงานสอบสวน” เพราะหลังการ”จับกุม” ถ้าจะตั้งข้อหาให้เป็น”ผู้ค้า” ต้องหา”พยานหลักฐาน” ในการ”ตั้งขอกล่าวว่า” ว่าผู้ถูกจับไม่ใช่ผู้เสพแต่เป็นผู้ค้า เรื่องนี้คือ”โจทย์ยาก” และสุดท้าย”ตำรวจ” ก็จะทำการ”ปัดสวะให้พ้นตัว” ด้วยการตั้งข้อหาให้ผู้ถูกจับกุมเป็น”ผู้เสพ” ท้ายสุด การแก้ปัญหาการ”ค้ายาเสพติดล้มเหลว” สถานบำบัดผู้ติดยาจะเต็มไปด้วย”พ่อค้ายา” ที่หลังจากถูก”ปล่อยตัว” ก็จะกลับเข้ามาทำหน้าที่”เดินยา” อีกครั้ง

ประเด็นสำคัญที่ต้องการเห็นคือ “มาตรการ” ในการทำให้ผู้ที่ถูกส่งไปยัง”สถานบำบัด” หลังจากพ้นโทษออกมาแล้ว ต้องมี”อาชีพมีงานทำ” เพราะถ้าออกจาก”สถานบำบัด”แล้วไม่มีงานทำ ก็จะกลับไปสู่”วงจร”เดิมๆ อีกครั้ง และที่สำคัญคือใน”สังคมไทย” ยากมากที่ เจ้าของ”ธุรกิจอุตสาหกรรม” จะรับคนที่มีประวัติในการ”ติดยา” เข้าทำงาน นี่ต่างหากที่เป็น”โจทย์ยักษ์” ของการแก้ปัญหาผู้ที่”ติดยาเสพติด”ของประเทศนี้…..เห็นถึงความ”ตั้งใจ”ของ” สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา คนใหม่ ในเรื่องการ”ปราบปรามยาเสพติด” และการ”วางกรอบ” ให้ “สถานบริการหรือสถานบันเทิงเริงรมย์” ให้ ปฏิบัติตาม”กรอบของกฎหมาย” ก็บอกตามตรงว่า เรื่อง”ยาเสพติด” ที่เป็นแหล่งใหญ่ในการ”เสพการขาย” ในพื้นที่ จ.สงขลา ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือในพื้นที่เขตเทศบาลสำนักขาม เขตเทศบาลปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา “โดยเฉพาะ “สถานบันเทิง” และ”โรงแรม” จำนวนมาก ใน เขตเทศบาลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ล้วนแต่ไม่มี”ใบอนุญาต” ที่ถูกต้อง และการ”ระบาดของยาเสพติด” อยู่เกิดขึ้นในสถานบันเทิง เพราะ นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่ง เข้ามา”ท่องราตรี” ด้วยการ”เสพหญิงและเสพยา” ถ้าจะให้ดี”สมนึก พรหมเขียว” ต้องเอาพื้นที่”ด่านนอก” ในเทศบาลสำนักขามเป็น”โมเดล” ในการ แก้ปัญหาการระบาดของ”ยาเสพติด” และจับกุม”สถานบันเทิงเถื่อน” หรือทำให้ทุกแห่งมี”ใบอนุญาต” ที่ถูกต้อง ก็จะเป็นผลงาน”ชิ้นโบว์แดง”ในฐานะที่เป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่เป็น”คนสงขลา” โดยกำเนิด

ความเปลี่ยนแปลงในวงการ”สีกากี” ที่ จ.สงขลา เมื่อ พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ ผบก.ภ.จว.สงขลา ขยับขึ้นไปนั่งในตำแหน่ง รอง ผบช.ภ. 9 เพื่อขอขึ้นเป็น ผบช.ในอนาคต ส่วนผู้ที่มาทำหน้าที่ ผบก.ภ.จว.สงขลา คนใหม่คือ พล.ต.ต.เชาวลิตร เลี้ยงสุพงศ์ ที่ย้ายมาจาก ผบก.ภ.จว.ตรัง ข่าวว่าเป็นนายตำรวจ”มือดี”ที่น่าจะ”รับมือ”กับ”อาชญากรรม” หลายรูปแบบในจังหวัดสงขลาได้…..ไม่ได้ “เดือดเนื้อร้อนใจ”แต่ขอที่จะชี้แจงให้สังคมได้รับรู้ ว่าแล้ว” เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย ) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ สส.เขต 5 จ.สงขลา ก็แถลงยืนยันว่า ไม่มีความสนิทสนมเป็น”ส่วนตัว” กับ”เสี่ยแป้ง” หรือ” เชาวลิตร ทองด้วง” ผู้ต้องหาหนีเรือนจำ จ.นครศรีธรรมราช ภาพที่มีการ “เสนอทางสื่อ” เป็นภาพเก่า ที่”เสี่ยแป้ง” เข้ามา”ทักทาย” เมื่อปี 2562 ในครั้งที่เดินทางไปส่ง นายตำรวจคนหนึ่งไปรับตำแหน่ง ผกก.สภ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ในฐานะของ”นักการเมือง” ถือเป็นเรื่อง ปกติ ที่ต้อง”พูดคุยทักทาย”กับผู้คนที่ไม่จำเป็นที่”รู้จักมักจี่”เป็นการส่วนตัว……และอีกเรื่องที่มีผู้”ข้องใจ” ต้องการรู้คือ เมื่อไหร่”ประชาธิปัตย์” จะมีการประชุม”เลือกหัวหน้าพรรคเลขาธิการพรรค และกรรมหารบริหารพรรค” ให้เป็นการ”สะเด็ดน้ำ” เสียที เรื่องนี้ “เดชอิศม์ ขาวทอง” พูดเสียงดังฟังชัด ว่าได้มีการ”ยื่นคำขาด” ไปแล้วว่า ต้องมีการประชุมใหญ่เพื่อการ”เลือกตั้งผู้บริหารพรรคชุดใหม่ก่อนสิ้นปี 2566”ส่วนจะ เป็นจริงได้แค่ไหน ก็ต้องติดตามกันต่อไป เพราะถ้ามีการ”ลากยาว”ไปเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่ม”ขั้วเก่า คนแก่” กับ”ขั้วใหม่ คนหนุ่มคนสาว”ครบ 1 ปี โดยไม่มีการ”ประชุมเพื่อเลือกตั้ง” โอกาสที่จะถูก” กกต. ยุบพรรค ก็จะมาถึง และนั้นคือ “บทอาวสาน” ที่แท้จริงของพรรคการเมือง”เก่าแก่”ที่มีประวัติความเป็นมาเกือบ 100 ปี ของประเทศนี้…..แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตารัฐบาลใหม่ กับนโยบาย ‘ดับไฟใต้’

ถือเป็น โชคที่ไม่เข้ารัฐบาล”นิดหนึ่ง” เพราะหลังเข้ารับหน้าที่”กัปตันเรือประเทศไทย”ของ “เศรษฐา ทวีสิน”  หรือ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ก็ถูก”พายุร้ายโหมกระหน่ำ”ใส่ ทั้งกรณี”กราดยิงที่พารากอน” และกรณีสงคราม”อิสราเอล-ฮามาส” ที่ส่งผลให้การท่องเที่ยว ไม่เป็นไปตามความต้องการ ตลาดหุ้นทรุด ราคาน้ำมันผันผวน  ก็ได้แต่หวังว่า”ไฟสงคราม” ระหว่าง”อิสราเอล-ฮามาส” จะไม่”ลุกลาม”กลายเป็น”ไฟสงคราม” ระหว่างประเทศมุสลิม กับ อิสราเอล โดยมีประเทศ”มหาอำนาจ” เลือกข้างในการ”หนุนหลัง” เพราะแค่นี้ “รัฐนาวา” ที่มี”นายกป้ายแดง” อย่าง”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น”นายท้าย” ก็ทำท่าจะ”โคลงเคลง” ทั้งที่เพิ่งออกจากฝั่งเพียง 1 เดือนเศษเท่านั้น…..แต่…เมื่อเห็นถึงความ”มุ่งมั่น” และความ”รวดเร็ว” ต่อการนำ”ประเทศไทย”ไปข้างหน้า ด้วยการ”กล้าทำ,กล้าพูด. และ”กล้าตัดสินใจ” ของ” “นายกรัฐมนตรี” กับทุกปัญหาที่”ประเดประดัง” เข้ามา ก็ยังทำให้”อุ่นใจ” ส่วนจะให้”ถูกต้อง” และ”ถูกใจ”คนทั้งประเทศ คงเป็นไปไม่ได้ เพราะฝ่ายที่”ต่อต้าน” โดย”ชอบธรรม” ก็มี แต่ฝ่ายที่มี”อคติ”ทั้งต่อ”เพื่อไทย” และ”ต่อ”เศรษฐา” ต้องยอมรับว่ามีอยู่จริง และจำนวนไม่น้อย ก็ให้”กำลังใจนะ” เขาเข้ามาทำหน้าที่”ฝ่ายบริหาร”ได้เพียง เดือนกว่าๆ ยังตัดสินว่า”ดี”หรือ”ไม่ดี” ไม่ได้หรอก  การแก้ปัญหาที่”มากมายก่ายกอง”ไม่ใช่การ”ปลูกถั่วงอก” ที่จะเห็นผลใน 3 วัน

หลายกระทรวงก็มีการ”ขับเคลื่อน” อย่างเต็มที่ เช่น “กระทรวงแรงงาน”ที่มี”เสนาบดี”ชื่อ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ, กระทรวงยุติธรรม ที่มี”เสนาบดี”ชื่อ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มี”เสนาบดี”ชื่อ”รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” กระทรวงพาณิชย์ที่มี”เสนาบดี”ชื่อ”ภูมิธรรม เวชยชัย” กระทรวงมหาดไทยที่”เสนาบดี”ชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกุล “และ กระทรวงสาธารณสุขที่”เสนาบดี”ชื่อ” ชลน่าน สีแก้ว” ฟังเสียงประชาชนแล้ว “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ได้”เครดิต” จากประชาชน พอสมควร……. แต่ที่ยัง”เกาไม่ถูกที่คัน” คือเรื่องของ”พลังงาน” ที่การ”ลดราคาน้ำมันดีเซล” ลิตรละ 2 บาท ไม่ถือว่าเป็นการ”แก้ปัญหา” เพราะเป็นการ”ลดภาษีสรรพสามิต” ที่ทำให้รัฐบาล”ขาดรายได้” ที่ไม่ได้ทำให้”โรงกลั่น” มีส่วนร่วมในการทำให้ราคาน้ำมันลดลงเพราะการ”ร่วมมือจากโรงกลั่น” แต่เป็นการใช้”งบประมาณแผ่นดิน” ในการช่วยเหลือ”กลุ่มผู้เดือดร้อน” ที่ สุดท้ายแล้ว การแก้ปัญหาให้น้ำมันมีราคาที่ถูกลง ไม่ใช่การแก้ปัญหาโครงสร้าง” ของ”ราคาน้ำมัน” เหมือนกับว่า”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ไม่กล้าที่จะกระทบกับ”กลุ่มทุนพลังงาน”แม้แต่”ปลายก้อย” …,, ที่นี้จึงเห็นด้วยกับ”พีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ไม่รับทั้ง 2 แนวทาง ที่มีการนำเสนอ ครม. ในการลดราคาน้ำมันเบนซิน ให้กับผู้เดือดร้อนเฉพาะกลุ่มโดยเอาเงิน”ภาษีของประชาชน” มาทำการ”ชดเชย”เพราะนี่ไม่ใช่การ”แก้ปัญหาทางโครงสร้างของโรงกลั่น” แต่เป็นการใช้”เงินภาษี”ของประชาชนในการช่วยเหลือผู้”เดือดร้อนบางกลุ่ม”เท่านั้น  ก็ต้องติดตามต่อไปว่า” ทั้ง”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ “พีรพงษ์ สาลีรัฐวิภาคย์” รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน จะมี นโยบาย อย่างไร ในการให้”โรงกลั่น” ลดราคาน้ำมัน โดยการ”ปรับโครงสร้าง”ให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ”ข้อเท็จจริง”

ในขณะที่ฝั่งของ”ฝ่ายความมั่นคง” กองทัพบก โดย “พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ “ผบ.ทบ. หลังรับตำแหน่ง ก็ลงพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อ”ติดตามสถานการณ์ของความไม่สงบ” พร้อมทั้ง ให้นโยบายการ”ดับไฟใต้” และสร้างขวัญกำลังใจ ให้กับ “กำลังพล” ในพื้นที่ เหลือแต่”สุทิน คลังแสง” รมว. กลาโหม ยังไม่ไม่ได้”ดูฤกษ์ดูยาม” เพื่อมาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ …..ในขณะที่”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็น”เสือปืนไว” ลงพื้นที่ รวมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบ”ข้อมูล” เพื่อนำไป”ปรับปรุง” ใช้เป็น”นโยบาย”ใน”มิติการพัฒนา” และใน”มิติความมั่นคง” ที่ฟังว่าจะค่อยๆลดพื้นที่ในการใช้”พรก.ฉุกเฉิน”ลงไปเรื่อยๆ  โดยในปี 2567 จะมีการยกเลิกการใช้”พรก.ฉุกเฉิน” อีก 10 อำเภอ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เป็นไปตามคำเรียกร้องของ”ภาคประชาสังคม”……ก็ต้อง”จับตามอง”และ”ติดตาม” ความเคลื่อนไหวของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ว่า จะเห็นอย่างไรกับการยกเลิก”พรก.ฉุกเฉิน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้า”บีอาร์เอ็น”เห็นด้วย” การ”ก่อเหตุร้าย” จะต้อง”ลดลง” เพื่อที่จะได้”ปลอดล็อค” ของ” พรก.ฉุกเฉิน” ในพื้นที่ซึ่งไม่มีเหตุ ถ้า”บีอาร์เอ็น” ไม่เห็นด้วย ก็จะได้เห็นการ”ก่อเหตุ” ที่เพิ่มมากขึ้น…..อย่าลืมว่าการที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มีการประกาศใช้ “พรก.ฉุกเฉิน” และไม่ยอม”ปลดล็อค พรก.ฉุกเฉิน” คือ”เงื่อนไข” ที่”บีอาร์เอ็น” ใช้ในการ”โฆษณาชวนเชื่อ” เพื่อ”โจมตี” รัฐบาลมาโดยตลอด ถ้ามีการ”ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เท่ากับว่าเป็นการ”สลายเงื่อนไข”ที่”บีอาร์เอ็น” ใช้ในการ”ขับเคลื่อน” เพื่อให้”ประชาชน” ในพื้นที่”เกลียดชัง” เจ้าหน้าที่รัฐ

ส่วนในการ”ปลดล็อค”ของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ( ศอ.บต. ) ด้วยการ ยกเลิก คำสั่ง”คสช.” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 3 ฉบับ ทำท่าจะไม่”ราบรื่น” เมื่อ “กอ.รมน.” พยายามที่จะ”ล็อบบี้” ให้”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี “เห็นดีเห็นงาน” ที่จะให้”ศอ.บต.” เป็นหน่วยงานที่อยู่ใน”อำนาจ” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เหมือนกับ 9 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ” กอ.รมน.” ไม่ต้องการให้”ศอ.บต.” มีการตั้ง”สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” นี่แสดงให้เห็นว่า” กอ.รมน. กลัวการมี”สภาที่ปรึกษาฯ” ที่มาจากตัวแทนประชาชน…..เรื่องการที่จะให้”ศอ.บต.” เป็นหน่วยงานที่”ไม่สมบูรณ์แบบ” และกลายเป็น”เป็ดง่อย” ที่ไม่สามารถ”ขับเคลื่อน” งานใน”มิติการพัฒนา” และการแก้ปัญหา”ความมั่นคง”ได้นั้น “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ต้อง”คิดให้”รอบคอบ รอบด้าน” และ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รอง นายกรัฐมนตรี” ผู้กำกับดูแล”ศอ.บต. ก็ต้องทำการ”รับฟังความคิดเห็น”ของคนในพื้นที่ทุกสาขาอาชีพ ว่าต้องการ”ศอ.บต.ที่เป็นแบบ”เป็ดง่อย” หรือต้องการ”ศอ.บต.”หน่วยงานที่ประชาชน”พึ่งพาอาศัย”ได้…..และถ้า”ศอ.บต.”ยังมีสภาพเป็น”เป็ดง่อย” ผู้ที่จะมาเป็น”เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่าง” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” ก็คงจะ”เปล่งประกาย” ในการที่จะ”นำพา” จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่”นิมิตหมาย” ที่ดีได้ยากยิ่ง…..เพราะ ที่ผ่านมาคนที่มี”ฝีมือ”ไม่เป็นสองรองใคร และ”ตั้งใจ เกินร้อย” ในการ”แก้ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคอย่าง” พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เลขาธิการ ศอ.บต. ยังไม่สามารถ”เปล่งประกาย”ในการทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ทั้งที่”ทุ่มเท” ทั้ง”ชีวิต” กับปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้

โยกย้ายใหญ่ประจำปี”ลงตัว”ไปแล้ว ทุกกระทรวง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค (แม่ทัพต้น ) ยังทำหน้าที่ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 เหมือนเดิม และ “นโยบาย” ก็น่าจะเป็นเช่นเดิม นั่นคือ”สันติวิธี” เดินหน้า”หามวลชน” เพื่อการสร้าง”ภาพลักษณ์”ซึ่งเป็นงานที่ถนัดของ”บิ๊กต้น”…..ส่วน “แม่ทัพน้อยที่ 4 เป็นของ” พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” ที่ขยับจาก “รองแม่ทัพภาค 4 “ และหลังรับตำแหน่ง ก็มีการ”พบปะ”ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา เพื่อ”สันถวไมตรี” เป็นการ”แสวงหาความร่วมมือ” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้”แม่ทัพน้อยปราโมทย์” เป็นนายทหารที่”รู้เรื่อง,เข้าใจ” ทุกเรื่องราว ทั้งภายในพื้นที่ และภายวนอกพื้นที่ เป็นอย่างดี ปัญหาอยู่ที่”ส่วนกลาง” จะ”เห็นด้วย” กับข้อเสนอแนะ ในการดับ”ไฟใต้” แค่ไหน…… 1 เดือน ที่ผ่านไปของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” แม้จะ”สอบผ่าน” ในหลายเรื่อง แต่ในเรื่องของ”ความมั่นคง” ถือว่า”สอบตก” และ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ยังคงอยู่ภายใต้”ร่มเงา”ของ”กองทัพ” ตั้งแต่เรื่องการต่อ”พรก.ฉุกเฉิน” เรื่องการไม่พูดถึงคำสั่ง “คสช. ที่ใช้อยู่ในด้านความมั่นคง เช่น”ศอ.บต.การดึงเวลาในการแต่งตั้ง”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ( สมช.) และที่สำคัญการที่ไม่มี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่เป็น(ตัวจริง ) ในการ กำกับดูแล และสั่งการ ในเรื่องความมั่นคง ทำให้ปัญหาด้านความมั่นคง”ทั้งภายในประเทศ” และ”นอกประเทศ” เป็นไปแบบ”ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก”อย่างที่เห็น ทั้งปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” และ”ปัญหาสงครามในระหว่าง”อิสราเอล-ฮามาส) นี่คือประเด็นที่ “รัฐบาลนิดหนึ่ง” ต้องเร่งแก้ และต้องมี”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเพียง “ หนึ่งเดียว” ไม่ใช่การ”กระจาย”ความรับผิดชอบเป็น”ส่วนๆ” เช่นอยู่ในมือของ”นายกรัฐมนตรี” บางส่วน อยู่ในมือ”หมอมิงค์” อยู่ในมือ”ภูมิธรรม” และ ส่วนหนึ่งอยู่ในมือของ”สมศักดิ์ เทพสุทิน” อย่างนี้ใช้ไม่ได้

และอีกเรื่องที่ถือว่าเป็นความ”ล่าช้า” คือการแต่งตั้ง รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ที่วันนี้มีรอง เลขาธิการ ศอ.บต. เกษียณอายุราชการ 2 คน แต่ยังไม่มีการ”แต่งตั้ง”คนใหม่ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ ทั้งที่ “ศอ.บต. เป็นหน่วยงานสำคัญใน”มิติการพัฒนา”และแก้ปัญหาในเชิง”สังคมจิตวิทยา”ข่าวว่า ตำแหน่ง”รองเลขาธิการ ศอ.บต. มีการ”วิ่งกันฝุ่นตระลบ” มีชื่อของ”ก้องสกุล จันทราช”รอง ผวจ.พัทลุง มาเป็นอันดับ 1 ตามด้วย”สนั่น สนธิเมือง” รอง ผวจ.ปัตตานี,พ.จ.ท.อนันต์ บุญสำราญ” รอง ผวจ.ยะลา และ”ปรีชา นวลน้อย” รอง ผวจ. นราธิวาส ก็ฝากไว้ว่า นอกจาก”พิจารณา” คนที่มาจาก”กรมการปกครอง” เพื่อเป็น”โซ่ข้อกลาง” เพื่อประสานงานระหว่าง”ศอ.บต. กับ”ฝ่ายปกครอง” ในพื้นที่แล้ว  ก็อย่างลืมให้”บำเหน็จ” คนใน “ศอ.บต.” ที่อยู่ในตำแหน่ง”ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต.” ได้ขึ้นเป็น”รองเลขาธิการ”ด้วย….และในส่วนตำรวจระดับ “ผู้บัญชาการ” ก็”ลงตัว” แล้ว ผบช.ภ.8 ยังคงเป็น” พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิต” ที่”นาย” ยังไว้วางใจให้ดูแล”พื้นที่เศรษฐกิจ” หัวเมืองท่องเที่ยว เป็นปีที่ 2 ส่วน ผบช.ภ.9 เป็นของ “ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี” ที่ขยับจากรอง ผบช.ภ. 9 ขึ้นมา นายตำรวจคนนี้ ผ่านงาน ผ่านตำแหน่งต่างๆ ในพื้นที่มานาน โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง”ประชาชน” คงจะ”ฝากฝีฝากไข้” ได้อยู่  และต่อไปก็เป็นการ”โยกย้าย” ระดับ ผบก. และ ผกก. ที่ถือเป็น ตำแหน่ง สำคัญ ในการ”บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับ ประชาชน

งานหนักของ “ภาคใต้ตอนล่าง”นอกจากเรื่องของ”ความมั่นคง” การ”ก่อการร้าย” ใน สามจังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลาแล้ว อีกเรื่อง ก็คือ”ปัญหาของยาเสพติด” ที่ทั้งเพิ่มขึ้นทั้ง”ผู้เสพ” และ”ผู้ค้า” โดยเฉพาะ จังหวัดที่มีพรมแดนที่ติดกับประเทศมาเลเซีย อย่าง จ.นราธิวาส ที่เป็น”ประตู”ในการ”ส่งออก” โดยการรับ”ยาเสพติด” จาก”แหล่งผลิต” มา”ซุกซ่อน” ไว้ในพื้นที่ ซึ่ง “ ผบช.ภ.9 คนใหม่ จะต้อง “แสดงฝีมือ”ในการ”ปราบปราม” ให้เป็นผลสำเร็จ…..เพราะทราบมาว่าทั้ง”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องการ”ปราบปรามยาเสพติด”  เพื่อให้เป็น”ชิ้นงานโบว์แดง” ของ “รัฐบาล” และแม้แต่” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ให้ความสำคัญในเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติด ทุกครั้งที่ลงพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” สิ่งที่ถูก”หยิบยก”จาก “ประชาชน” ในพื้นที่ เพื่อให้ รัฐบาลแก้ปัญหาคือเรื่องของ”ยาเสพติด” ก็ต้องติดตามดูกันยาวๆ ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จะทำให้ “ตำรวจ” ทั้งประเทศ”ตระหนัก” และ”ใส่ใจ”เรื่องการ”ปราบปรามยาเสพติด”อย่างไร เพราะยังมีคนในเครื่องแบบ”สีกากี” จำนวนหนึ่งที่ยัง”หาผลประโยชน์” กับขบวนการค้ายาเสพติด…..โดยเฉพาะใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”รายชื่อผู้ค้า” มีทั้ง”คนในเครื่องแบบ” และ”ผู้นำท้องที่”และ”ท้องถิ่น” รวมอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ประเด็นของ”ผู้นำท้องที่-ท้องถิ่น” ผู้ว่าราชการจังหวัด และ นายอำเภอ ต้องกล้าที่จะ”ลงดาบ” ไม่ใช้แค่เพียง”ตรวจฉี่” ในวันประชุมประจำเดือนเพียงอย่างเดียว……ส่วนนายตำรวจที่เป็น ผบก.มาแล้ว 3 ปี ในพื้นที่ของภาคใต้ตอนล่างที่อยู่ในข่ายต้อง”ลุกขึ้น”จากที่เดิมเช่น ” พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ ผบก.ภ.จว.สงขลา พล.ต.ต. ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง พล.ต.ต.พิชวุฒิ สงวนสมบัติศิริ ผบก.ภ.จว.สตูล ถ้าไม่ขึ้นตำแหน่ง รองผู้บัญชาการ ก็ต้อง”วิ่งเต้น” หาตำแหน่งใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่เหลืออายุราชการเพียง 2 ปี ไม่มีใครอย่างได้ตำแหน่ง “รองผู้บัญชาการ” ก็ต้อง”ออกแรง” วิ่งเต้นเพื่อ”ต่ออายุ” ในตำแหน่งเดิม ให้ได้

ตรวจดูรายชื่อของ”คณะกรรมการวิสามัญ”สันติภาพ” ที่มาจากการเสนอชื่อของแต่ละพรรคการเมือง เพื่อการ”ออกแบบ” แผน”สันติภาพ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เห็นชัดคือ มีภาคส่วนของ”ฝ่ายการเมือง” และ”นักวิชาการด้านสันติภาพ” และ”ภาคประชาสังคม” ทั้ง “สามส่วน” มีความ”โน้มเอียง”  ที่ขาดความ”เป็นกลาง” มีเพียง ตัวแทนของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง”นันทพงศ์ สุวรรณรัฐ” ที่มี”ข้อมูล”ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” และมีความ”เป็นกลาง” ที่”รอบด้าน” ในขณะที่ตัวแทนของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ไม่มีเลย โดยเฉพาะ”ตัวแทนไทยพุทธ” ในพื้นที่”ว่างเปล่า” นี่คือสิ่งที่”น่าเป็นห่วง” สำหรับแผน”สันติภาพ” ที่จะเป็น”แม่แบบ” ของการดับ”ไฟใต้” …..อีกประเด็น ที่ต้องติดตามในเรื่องของ”ไฟใต้” ในขณะที่”รัฐบาล” ยังไม่มี”ทีท่า”ในการ”ขยับหมาก”บน”กระดาน”ของ”โต๊ะพูดคุยสันติภาพ” ระหว่าง”รัฐบาลไทย”กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ที่ล่าสุด”โฆษก”ของ”บีอาร์เอ็น” ก็”จุดไฟใต้” ด้วยการออก”แถลงการณ์” เรื่องการ สนับสนุนการทำสงครามระหว่าง”กลุ่มก่อการร้ายฮามาสกับอิสราเอล” และ โยงเอา ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ด้วยการ”ปลุกระดม” ให้มีการต่อสู้เพื่อ”ขับไล่”ผู้”ยึดครอง”ออกจากพื้นที่ เห็นหรือยังว่า”บีอาร์เอ็น” หยิบ”ทุกเม็ด” ทุกประเด็น”ในการ”ปลุกระดม”ให้เกิดเหตุ”รุนแรง” ใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นแผนการสร้าง”สันติภาพ” อย่าง”โลกสวย” แต่ต้องตั้งอยู่บนฐานของ”ความจริง”

หาก”สงคราม”เกิดการ”ลากยาว” ใน”แผ่นดิน”ตะวันออกกลาง” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็อย่าได้”นิ่งนอนใจ” ว่าจะไม่มีเหตุการณ์”ก่อการร้าย” เกิดขึ้นในภาคใต้จาก “น้ำมือ” ของ” กลุ่มก่อการร้ายสากล” ที่อาจจะ”โจมตี” เป้าหมายที่เป็น”กิจการ”ของชาว”อิสราเอล” ในภาคใต้ ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยใน”เมืองท่องเที่ยว” ภาคใต้ตอนบน อย่าลืมว่า”รัฐบาลมาเลเซีย” ที่เป็น”เพื่อนบ้านของไทย” ประกาศอย่างเป็นทางการ ในการให้การสนับสนุนปาเลสไตน์ อย่างเต็มที่ นะวัง ป้องกัน และ”ซีลแนวชายแดน” ด้าน นราธิวาส. สงขลา” และ”สตูล” ให้ เข้มข้น อย่าเปิด”ช่องทาง” ให้ กลุ่มก่อการร้ายสากล เข้ามา อย่าประมาทด้วยประการทั้งปวง

หลังการ”สับเปลี่ยน” หน้าที่ให้”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ไปทำหน้าที่ด้าน”ความมั่นคง” และให้”พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.ทำหน้าที่”ฝ่าย”สืบสวน” สิ่งที่ต้องติดตามคือความคืบหน้าของคดี”นายทุนบุกรุกที่อุทยาน”บนเกาะหลีเป๊ะ อ.เมือง  จ.สตูล ว่าจะ”เดินหน้า” อย่าง”เข้มข้น” ในแบบฉบับของ”บิ๊กโจ๊ก” ด้วยการ”ยึดที่ดินคืนอุทยาน” และ”เอาผิดกับผู้บุกรุก” ด้วย”กฎหมาย” หรือไม่ เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของชาวจังหวัดสตูล…..ส่วนเรื่องการ”บุกรุกโบราณสถานเขาแดง” อ.สิงหนคร จ.สงขลา ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะ”ตระกูลนักการเมืองท้องถิ่น” และ”บุคคล”ที่เกี่ยวข้องถูกส่ง”ฟ้องศาล” เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเรื่องทั้งหมดจึงอยู่ที่”ขบวนการยุติธรรม” จะเป็นผู้”พิจารณา” เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่”บิ๊กโจ๊ก” ทำประโยชน์ให้กับ”บ้านเกิด” อ.สิงหนคร. จ.สงขลา อย่างเต็มที่ และประชาชนชาวสงขลา ฝาก”ขอบคุณ” มา ณ ที่นี้ด้วย

ไม่ได้เห็นรายชื่อ”ผู้มีอิทธิพล” ในมือของ”ชาดา ไทยเศรษฐ์” รมช. มหาดไทย ผู้ที่ “อนุทิน ชาญวีรกุล “รอง นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีมหาดไทย ให้เป็นผู้รับผิดชอบ”ผู้มีอิทธิพล” ว่ามีใครบ้าง แต่ถ้า”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” เป็นผู้มีอิทธิพล” และ”ขบวนการค้าวัวเถื่อนส่งต่างประเทศ” อยู่ใน”ข่ายผู้มีอิทธิพล” ก็ขอแจ้งให้ทราบว่า ทั้งสอง”ขบวนการ” ไม่มีความ”เกรงกลัว” กฎหมายการปราบปรามผู้มี”อิทธิพล” แม้แต่น้อย เพราะยังดำเนินการกับเรื่อง”ผิดกฎหมาย” อย่างเป็น”ปกติสุข”……เช่นเดียวกับ”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” ด้วย”ขบวนรถหัวลาก” ที่วิ่ง”ระหว่างประเทศ” ก็คงจะไม่ถูก”ขึ้นบัญชี” เป็นผู้มี”อิทธิพล” เพราะ ยังคง”เดินหน้า” ในการค้า”น้ำมันเถื่อน”เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

ตื่นช้า แต่ก็ดีกว่า”หลับยาว” เมื่อ”เกียรติศักดิ์ พุฒพันธ์ ผอ.สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รักษาราชการแทนผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ปปช.ภาค 9 ได้ฤกษ์ แถลงข่าวต่อ”สื่อมวลชน” เรื่องการ”ทุจริต”ในการก่อสร้าง”อควาเรี่ยมหอยสังข์”( ศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา ) ที่ถูก”ทิ้งงาน”โดย”ทิ้งร้าง”นานกว่า 15 ปี มีการเบิก”งบประมาณ”ไปแล้ว 1,400 ล้านบาท ข่าวว่ามีผู้ตกเป็นผู้ต้องหาในการ”ทุจริต” ถึง 29 คนด้วยกัน…..หลังเดินทางมารับตำแหน่ง “ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา” เห็น”สมนึก พรหมเขียว” ลงพื้นที่ อ.สะเดา ซึ่งเป็น”บ้านเกิด ด้วยการติดตามการก่อสร้างด่านศุลกากรแห่งใหม่ของ อ.สะเดา เพื่อให้สามารถเปิดใช้งานได้ เพราะ”ด่านศุลกากรสะเดา” แห่งนี้ มีปัญหามากมาย ตั้งแต่เรื่องของ”ถนนในการเชื่อมต่อกับทางหลวงแผ่นดิน” และการเชื่อมต่อกับ”ด่านศุลกากรมาเลเซีย”ที่ยัง”คาราคาซัง” ก็เห็นด้วยนะ กับการแก้ปัญหาเพราะ”การค้าชายแดน” ด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา มีมูลค่าเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รวมทั้งจำนวน”นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย” และประเทศอื่นๆ ที่เดินทางผ่านพรมแดนอำเภอสะเดา จ.สงขลา ก็มาเป็นอันดับ 2 เช่นกัน

ถ้าจะให้การ พัฒนา ชายแดนทำได้แบบ”ครบวงจร”  ผู้ว่าราชการจังหวัด ก็อย่าลืมไปดูปัญหาของ”ด่านพรมแดนบ้านประกอบ” อ.นาทวี จ.สงขลา ที่ทุกวันนี้กลายเป็น”ด่านพรมแดนที่โลกลืม” เพราะ นักการเมืองท้องถิ่น และ นักการเมืองระดับชาติ ไม่เคยนำเรื่องการ”พัฒนาด่านพรมแดนบ้านประกอบ” เพื่อ”ผลักดัน” ให้เป็นเมืองที่มี”การค้าชายแดน” เพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับ จ.สงขลา…..และเรื่องของ”อควาเรี่ยมหอยสังข์” ที่กลายเป็น”ประติมากรรม”แห่งความ”อัปยศ”ของคนสงขลา ก็เป็นอีกเรื่องที่”สมนึก พรหมเขียว” ต้องเข้าไปมี”ส่วนร่วม” ว่าจะดำเนินการอย่างไร” สร้างต่อ” เพื่ออย่าให้งบประมาณที่ถมลงไปแล้ว 1,400 ล้าน กลายเป็น”อาคารร้าง”ที่”สูญเปล่า” หรือ”ไม่สร้างต่อ” แต่”ปรับเปลี่ยน” ให้”อควาเรี่ยมหอยสังข์” ใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ใช่ศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ก็ได้…..อีกเรื่องที่เป็น”ทัศนอุจาด” ใน”ทะเลสาบสงขลา” คือ”สุสานเรือประมงเวียดนาม” ที่ “คดีสินสุดแล้ว” แต่ไม่มีการ”จัดการกับของกลาง” เรื่องนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของ”ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง” แต่ในฐานะของ”พ่อเมือง” ก็ต้อง”บูรณาการ”กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะ”จัดการ”อย่างไร เพราะความ”สวยงาม” ของบ้านเมือ

และ บรรทัดนี้ผู้เขียนขอแสดงความยินดีกับ พล.ต.ท.ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 คนใหม่ และ พล.ต.ท. พัฒนาวุฒิ อังคนาวิน  ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น “ข้าราชการการเมือง” ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเชื่อมั่นว่า จะสามารถ”ช่วยงาน”ของประเทศชาติได้อย่างแน่นอน…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…หรือไม่มีใครกล้ารื้อ “โพงพางในตำนาน” ทะเลสาบสงขลา

เห็น”บริบท”ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่”เดินเร็ว,คิดเร็ว,ทำเร็ว” คนไทยก็น่าจะ”อุ่นใจ” ในระดับหนึ่งว่า การ”ขับเคลื่อน” เพื่อแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ”ของประเทศชาติ” และปัญหา”ปากท้อง” ของ”ประชาชน” คงจะพอ”ฝากผีผากไข้” ไว้ได้  แต่นั่นแหละ การ”บริหารประเทศ” จะให้”นายกรัฐมนตรี” ทำหน้าที่”ขับเคลื่อน” อย่างรวดเร็วเพียงคนเดียวไม่ได้ “เสนาบดี”กระทรวงต่างๆ ต้องไม่เป็น”เรือเกลือ” โดยเฉพาะวันนี้ หลายกระทรวงที่” เสนาบดี” ยัง”อืดอาดยืดยาด” อาจจะเป็นเพราะ”เสนาบดี” ยัง”ฝึกงาน”อยู่….ที่ต้อง”จับตา”คือ “กระทรวงการท่องเที่ยว  ที่การท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบจากเหตุ” กราดยิง” ที่ทำให้มี”คนเจ็บ,คนตาย” ที่ ศูนย์การค้าพารากอน” ที่”สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล”  ผู้ทำหน้าที่”เสนาบดีป้ายแดง” ต้อง”ขยัน”และต้องทำ”การบ้าน” ใน”บทบาทหน้าที่” ให้มากกว่านี้ ในการสร้างความมั่นใจให้เกิดกับ”นักท่องเที่ยวต่างประเทศ” โดยเฉพาะ”ประเทศจีน” ที่เป็น”ตลาดท่องเที่ยวใหญ่”ของประเทศไทย เพราะมิฉะนั้น นโยบาย”ฟรีวีซ่า” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นการ”สูญเปล่า” อย่างสิ้นเชิง….และเรื่อง”เร่งด่วน” สำหรับ” “นายกนิดหนึ่ง” เศรษฐา ทวีสิน คือเรื่อง “กระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ “ ที่ ณ วันนี้ “งบประมาณปี 65 ยัง”ค้างท่อ” หน่วยงานของรัฐ “เป็นลูกหนี้” ของ”บริษัทผู้รับเหมา” ทั้งประเทศ ที่ยังไม่ได้เงิน บริษัทใหญ่ๆ ที่มี”สายป่านยาว” ไม่เดือดร้อน แต่ บริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก “แบกดอกเบี้ยหลังแอ่น” และที่สำคัญ”งบประมาณปี 66 ยังไม่เข้าสภาผู้แทนฯ และกว่าจะ”ได้ใช้” ก็ล่วงเข้าเดือน เมษายน 2567 และกว่าขั้นตอน”จัดซื้อจัดจ้าง” ลงตัวก็ปาเข้าเดือน มิถุนาย 67 หมายถึงว่า 6-7 เดือน นับแต่เดือนนี้ บริษัทผู้รับเหมาทั้งประเทศ จะไม่มีงานทำ ….. จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่บริษัท จำนวนมาก ที่”สายป่านสั้น” มีการ”ปลดคนงาน” และมีการคัดเลือก”เครื่องจักรกล” ที่ไม่จำเป็น”ขายทิ้ง” เพื่อเป็นการ”ลดต้นทุน” โจทย์ใหญ่ในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ”ของ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” คือต้องเร่งการ”เบิกจ่ายงบ ประมาณ”ค้างท่อ” และเร่งให้”สภาผู้แทนฯพิจารณางบประมาณ” โดยเร็ว เพื่ออย่าให้”เศรษฐกิจ”เป็น”อัมพาต” และมีคน”ตกงาน” เพิ่มขึ้น

นี่กระมังที่เรียกว่า”พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” เรื่องการ”กราดยิง”ที่”พารากอน”ยัง”ร้อนฉ่า” และมีผลกระทบกับ”การท่องเที่ยว” ที่กำลังไปด้วยดีกับนโยบาย”ฟรีวีซ่า” ของ”รัฐบาล” ก็มีเหตุการณ์”สู้รบ” ระหว่าง”ฮามาส” กับ”อิสราเอล” ที่อาจจะลุกลามเป็น”สงคราม” ใน “ตะวันออกกลาง” ที่ส่งผลกระทบตามมาอีกละลอก โดยเฉพาะ “แรงงานไทย” จำนวนไม่น้อยใน”อิสราเอล” แต่ก็ขอ”ชื่นชม” ในการ”รับมือ”แบบ”ทันทีทันควัน” ของ” นายกรัฐมนตรี” ที่สั่งให้”กองทัพอากาศ”เตรียมพร้อมในการ”อพยพ” คนไทยในพื้นที่”สู้รบ” และอีกคนที่ต้อง”ชื่นชม”คือ”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน” ที่  มี”มาตรการ” ในการให้ความช่วยเหลือแบบ”เกาะติด”…..เห็นใจนะกับ กรณีของ” ขจรศักดิ์ เจริญโสภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ที่ถูก “คำสั่งกระทรวงมหาดไทย “ให้ออก” จากการเป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัด” เพราะถูก ศาลทุจริตภาค 9 ตัดสินให้มี”โทษจำคุก 4 ปี ร่วมกับข้าราชการตั้งแต่ระดับ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่ “เกษียณอายุ”ไปแล้ว หลายปี รวมทั้ง”นายอำเภอ” และ”คลังจังหวัด” ที่ยังรับราชการอยู่ จากข้อหาการเป็น”คณะกรรมการ” ในการที่ “ธีระ มินทราศักดิ์” อดีต “ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา” จัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด” อัลฟา 6 ที่ “ปปช.สั่งฟ้องในข้อหา”ทุจริตประพฤติมิชอบ” ทั่งที่มี “บุคคล” ในหน่วยงานของ”กรมการปกครอง” และ”หน่วยงานความมั่นคง  และ หน่วยงานอื่นๆ ที่”จัดซื้อ” ใน “ลักษณะเดียวกัน” แต่กลายเป็นผู้ที่”ไม่มีความผิด” นี่เป็นเรื่อง”สองมาตรฐาน” หรือไม่  และสุดท้าย” ขจรศักดิ์” และ”พวก ต้องอาศัยช่องทาง”ศาลปกครอง” ในการต่อสู้เพื่อแสดงความ”บริสุทธิ์” ซึ่ง ต้องใช้เวลา และหมดโอกาสที่จะกลับเข้ารับราชการอีกแล้ว….เรื่อง”สองมาตรฐาน” อีกเรื่องหนึ่ง ที่”คนเดินทางโดยเครื่องบิน” พบเห็นและ”อึดอัดขัดข้อง” คือ”จุดตรวจ” สิ่งของที่”สนามบินสุวรรณภูมิ และ.ดอนเมือง” และอีกหลายสนามบินใน”ภูมิภาค” ที่มี”มาตรฐาน”ไม่เหมือนกัน” บางช่อง”บางสนามบิน” คนใส่รองเท้าบู๊ต” ไม่ต้องถอดรองเท้าเพื่อผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ แต่”บางช่อง” และ”บางสนามบิน”ต้องถอดรองเท้า “บางช่อง” ใคร”พกพาพระเครื่อง” ถูกสั่งให้เอาออก”จากถุง” มาตรวจแบบ”ถี่ยิบ” บางช่อง ไม่มีการตรวจ แค่ผ่านเครื่อง”เอ็กซเรย์” ก็จบพิธีการ ถามว่าเมื่อไหร่”จุดตรวจสัมภาระ” ที่ “สนามบิน” จะมี”มาตรฐาน”เดียวกัน ทั้งประเทศ เพื่อที่”คนเดินทาง” จะได้”ปฏิบัติ” ได้ถูกต้อง ไม่ต้อง”เสียอารมณ์”กับความ”ลักลั่น” ของ “เจ้าหน้าที่”

กราดยิงที่”พารากอน” กระทบการท่องเที่ยวแน่นอน  ที่ จ.ตรัง เอกชนที่ อยู่กับ “ธุรกิจท่องเที่ยว” บอกว่า” นักท่องเที่ยว”ยกเลิก” การเดินทางมา”เที่ยวเมืองตรัง” แล้ว 40 %  และที่ “ภูเก็ต” เมืองแห่ง”ไข่มุกอันดามัน” เป็นอีกเมือง ที่ได้รับผลกระทบจาก กรณี”กราดยิง” ไอ้ที่หวังว่า “เทศกาลปีใหม่” จะทำให้”เศรษฐกิจไทยโงหัว”เพราะรายได้จากการท่องเที่ยว  เห็นทีต้องประเมินใหม่ แต่ก็ยัง”ไม่สายนะ” ถ้าทุกหน่วยงานช่วยกัน”แก้ไข” โดยเฉพาะ” ททท. ที่ วันนี้ “บทบาท” น้อยจัง

เครื่องสูบน้ำไฟฟ้า ที่ “ชลประทานจังหวัดพัทลุง “ ใช้งบประมาณ 19 ล้าน  มอบให้ เทศบาลตำบลอ่างทอง อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ใช้เพื่อ”สูบน้ำ” ช่วยเหลือ”เกษตรกร” ในการ”เพาะปลูก” ติดตั้งอยู่ 4 ปี แต่ไม่มีการ”ใช้ประโยชน์” เพราะกำลังส่งไม่มากพอ และ” เทศบาล” ไม่งบในการจ่าย”ค่าไฟฟ้า” และ”บำรุงรักษา” ที่เป็นอีกตัวอย่างที่”สูญเปล่า” ของงบประมาณ” ที่ “เลวร้าย” ยิ่งกว่าการ”ทุจริต” เพราะการ”ทุจริต” ยังเอา”คนผิด” มา”ลงโทษ”ได้ แต่การ ทำโครงการที่”สูญเปล่า” ไม่รู้จะ”เอาผิด” กับใคร เรื่อง”ทำนองนี้” ใครที่เป็น”อธิบดี” ต้องมีการ “ตรวจสอบ”อย่าง”เข้มงวด”ก่อนที่จะอนุมัติ”งบประมาณ”…..นี่ก็เป็นเรื่อง”คาราคาซัง” ที่ผู้มีอำนาจไม่กล้าตัดสินใจ เรื่องการ”ประมูลรังนกอีแอ่น” ในพื้นที่ อบต.เขาทอง และอีกหลาย อบต.ในพื้นที่ อ.เมือง จ.กระบี่ ที่บริษัทผู้ประมูลได้หมด”สัมปทาน” และ”จังหวัด ปล่อยให้เวลาทอดยาวมาหลายเดือน โดยที่ไม่มีการ”ประมูล” เพื่อให้มีการ”สัมปทาน” เป็นเหตุให้ อบต.ต่างๆ ต้องรับผิดชอบ ในการ” รักษาความปลอดภัย” ให้กับ เกาะ แก่ง ของ นกอีแอ่น  เพื่อป้องกันการลักรังนก ทำให้ อบต.แต่ละแห่งต้องใช้”งบประมาณ”ไม่ต่ำกว่า หนึ่งแสนบาท ต่อเดือน ล่าสุด “ไพโรจน์ ดินแดง” นายก อบต.เขาทอง ออกมา”โอดครวญ” ขอความเห็นใจ และขอให้”จังหวัด” เร่งดำเนินการโดยเร็ว เอา ใครเป็น” ผวจ. กระบี่ ก็รับฟังกันไว้

อีกเรื่องที่น่า”หวั่นใจ” คือเรื่องเอาที่ดิน”สปก.4-0 1 มาออกเป็น “โฉนด” ตาม นโยบายของ” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า  “ เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เพื่อให้ เจ้าของที่ดิน มี กรรมสิทธิ์ ในการ “แปลงทรัพย์สินให้เป็นทุน” หรือ”ซื้อ-ขาย “ ได้ “จำนำ จำนอง” เพื่อใช้ในการ”ลงทุน”ได้ แต่ข้อเท็จจริง ที่ดิน “สปก.4-01 นั้น “ เจ้าของเดิมที่ได้สิทธิ์เพราะเป็น”คนจน”ในพื้นที่” และเป็น”เกษตรกร” ได้ “จำหน่ายจ่ายโอน” ที่เรียกว่า”ขายสิทธิ์” ให้กับ “นายทุน” และ”เกษตรกรผู้มีอันจะกิน” ไปแล้ว ทั้งประเทศกว่า 70 % เรื่องนี้ถ้าไม่ทำด้วยความ”รอบคอบ” จะเป็นการ”ช่วยนายทุน” ให้ได้”โฉนด” จากที่ “สปก. ที่”ซื้อสิทธิ์ “ จาก”ชาวบ้าน” มาถูกๆ และจะกลายเป็น กรณีที่ไม่ต่างจากเอาที่ดิน”สปก. แจก”นายทุน” เหมือนหลายสิบปีก่อน ที่มีข่าว”โด่งดัง” ทั้งประเทศ เรื่องนี้”ภูมิธรรม เวชชชัย” รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลกระทรวงเกษตรเกษตร ต้องคิดให้”รอบคอบ” ส่วนดีนะมีแน่” แต่”ส่วนที่”นายทุน” จะเป็นผู้”ได้เสีย”ก็มีด้วย  เรื่องนี้ต้องมีความรอบคอบเป็นพิเศษ

อีกเรื่องที่”คิดดี” ของ “เสนาบดี” กระทรวงเกษตรฯ คือเรื่องการ”ปราบปราม” สินค้าทางการเกษตร ที่มีการ”ลักลอบนำเข้า”จากต่างประเทศ เช่น”ยางพารา” ที่ใส่”โสร่ง” จากประเทศเมียนมา ที่ถูกนำเข้าจากชายแดน จ.ระนองเพื่อ”สวมสิทธิ์”เป็น”ยางพาราไทย” ที่”นายทุน” ทำการ”ซื้อถูก”เพื่อมา”ขายแพง” และ “หัวหอม หัวกระเทียม” ที่ ขบวนการของเถื่อน นำเข้าจาก”ประเทศจีน” ทั้ง”ทางเรือ” โดยมีการ”สำแดงเท็จ” กับ “เจ้าหน้าที่”ศุลกากร” และการนำเข้าทางด้าน จ.มุกดาหาร จ.หนองคาย ทางชายแดน สปป.ลาว และส่งเข้า”ตีตลาดทั่วประเทศ” โดยมี “โกดัง” เก็บของเถื่อน” ในพื้นที่ใกล้ๆเมืองกรุง ถ้า “เสนาบดีกระทรวงเกษตรกรฯ ทำได้สำเร็จ จะทำให้ “เกษตรกรไทย” ได้ ขาย ผลผลิตในราคาที่แพงขึ้น ข้อสำคัญที่”เป็นห่วง” คือต้องไม่ปล่อยให้”ใครต่อใคร” หาผลประโยชน์ และ”ตีเมืองขึ้น”

ดูการ”ขยับหมากการเมือง”ของ”พรรคก้าวไกล” ที่ เปิดรับสมัคร ผู้ต้องการลงรับ”เลือกตั้ง”ในระดับ”ท้องถิ่น” ตำแหน่ง “นายก อบจ. และ”นายเทศบาล  ตั้งแต่”ไก่ไม่โห่” เพราะยังมีเวลาอีกปีกว่า กว่าจะมีการ”เลือกตั้งใหม่” เป็นการ”เตรียมพร้อม” ที่จะ”ยึด” เวทีการเมือง”ท้องถิ่น” เพื่อ”รองรับ”การเมือง”ระดับชาติ” ใน อนาคต…..    ที่ จ.สงขลา มีผู้ยื่นความจำนง ทั้งที่ “เทศบาลนครหาดใหญ่ ,เทศบาลนครสงขลา,เทศบาลเมืองคอหงส์ “ และ”เทศบาลเมืองคลองแห” แห่งละไม่ต่ำกว่า 3 คน เพื่อให้ กรรมการ พิจารณา “นายกปัจจุบัน” ถ้ายัง”ไม่รู้ร้อนรู้หนาว” ยังทำงานแบบ”เช้าชามเย็นชาม” เลือกตั้ง”สมัยหน้า” ก็มีสิทธิ์เป็น”พระร่วง” ได้หลายเทศบาล

มี”กลุ่มผู้น้ำมันเถื่อน” และน้ำมันที่”รับซื้อของโจร”  ที่ตั้งอยู่ใน จ.สงขลา หลายราย ที่นำ”น้ำมันเถื่อน” และ “น้ำมันโจร” ไป”ขาย” ให้กับ โรงงาน” อุตสาหกรรม” และ” ปั้มน้ำมัน”  ใน  จ.สงขลา และ ใกล้เคียง แล้ว  ซื้อ-ขาย” ใบกำกับภาษี” ที่”ไม่ถูกต้อง” เพื่อส่งให้กับ”ผู้ซื้อ” เพื่อแสดงว่าเป็น”น้ำมันที่ถูกต้อง” เรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ “สรรพสามิต” ทั้งระดับอำเภอ จังหวัด และ” สรรพากรเขต 1 เขต 2 สงขลา” ต้อง”ตรวจสอบ” และ”จับกุม” เพื่อให้มีการ”เสียค่าปรับ” เพื่อเอาเงิน”เข้าหลวง” เสียให้เข็ด

ก็ต้องชมกันหน่อยนะ สำหรับ” เสนาบดี” กระทรวงพาณิชย์ “ภูมิธรรม เวชชชัย” หลังเข้ารับตำแหน่ง สินค้าหลายหมวด ต่างมีการ”ลงราคา”อย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง เนื้อหมู เนื้อวัว และ อื่นๆ แสดงว่ามีการ”สั่งการ” ให้”กลุ่มทุน” ลดราคาสินค้า เพื่อ”โปรโมตรัฐบาลใหม่” ว่าเป็น”รัฐบาลที่มีฝีมือ” ก็ให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปนะ ไม่ใช่ทำดีแค่”ประเดี๋ยวประด๋าว” ตอนเป็นรัฐบาลใหม่ๆ   พออีกสักพัก ก็ปล่อยให้”นายทุน” ขึ้นราคาตามใจปรารถนา หรือนี้เป็นลักษณะของ”นักการเมือง” ที่”พูดน้อย ต่อยหนัก” ที่”กลุ่มทุน” ให้ความร่วมมือ แต่สิ่ง ที่”สัมผัส”ได้คือ”ชาวบ้านพอใจ”

สัปดาห์ที่ผ่านมา “พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ.นำคณะ ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประชุม รับฟัง สถานการณ์ในพื้นที่จาก”ผู้นำหน่วย” และเดินทางไป “ตรวจเยี่ยม” หน่วยทหาร” ในพื้นที่ ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส” ก็เหมือนกับ”ผอ.ทบ. ที่ได้ตำแหน่งใหม่  ก็จะให้ความ”สนใจ” กับปัญหา”เจ็ดชั่วโครต” ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้ง”กระตืนรือล้น” ในการที่จะ”ดับไฟใต้” แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง ทุกอย่างก็จะ”เรื่อยๆมาเรียงๆ” สถานการณ์ของภาคใต้ เป็น”หน้าที่”ของ” แม่ทัพ,นายกอง” ในพื้นที่ ซึ่งจะ”ส่งสาร” รายงานในเรื่องดีๆ ที่เป็นความสำเร็จ แต่”ปกปิด” สิ่งที่เรียกว่า”ของจริง” เอาไว้”ใต้พรม” ก็จะไม่”ติเรือทั้งโกลน” เพราะ”รัฐบาลชุดนี้” เป็น”รัฐบาลพลเรือน” ที่ แม้แต่ “เสนาบดี “ ของ”กลาโหม” ก็เป็น”พลเรือน” ที่ชื่อ”สุทิน คลังแสง” รวมทั้ง รัฐบาลชุดนี้ มี”พรรคประชาชาติ” ที่ มี สส.ในพื้นที่ มากที่สุด และมี พ.ต.อ.ทวี สองส่อง  เป็น”หัวหน้าพรรค” และเป็น”เสนาบดี” กระทรวงยุติธรรม ที่”ใส่ใจ” กับการแก้ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”เป็นพิเศษ….ซึ่ง “ กองทัพ “ และ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะ”หย่อนยาน”  กับสถานการณ์  จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ และการ”รายงาน” ข้อเท็จจริง”  ต้องมีการ”ตรวจสอบ” และเชื่อว่า”ภาคประชาสังคม” ที่ไม่ใช่”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” จะมี”เสียงดัง” เพื่อการ”ถ่วงดุล” กับ “หน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่…..ที่สำคัญ”เศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. ต้องกล้าที่จะ “ออกคำสั่ง” ให้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”  ทำการ”จัดการ” กับปัญหาการ”ก่อเหตุร้าย” ให้ได้ภายใน 6 เดือน  ที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอของ จ.สงขลา ต้องไม่มี”ระเบิดแสวงเครื่อง” ถ้า”นายกนิด” กล้าที่จะใช้”อำนาจ”การเป็น” ผอ.กอ.รมน.” เชื่อว่า หน่วยความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งเป็น”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทำได้

และในการ”เปิดโต๊ะเจรจา”กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ก็ต้องกล้าที่”ทุบโต๊ะ” เพื่อที่จะบอกคู่”เจรจา” ไม่ว่าเป็น”บีอาร์เอ็น” หรือ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”อื่นๆ ว่าถ้าจะมีการ”เจรจา” เพื่อหาทางออกจากความ”ขัดแย้ง” กองกำลังติดอาวุธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ”บีอาร์เอ็น” ต้อง”หยุดการใช้ความรุนแรง” ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ก็ไม่ต้อง”เจรจา” ที่ สำคัญต้องมีการขวนการในการ”พูดคุย” กับ”รัฐบาลมาเลเซีย” ให้”ชัดเจน” เพื่อให้ “ยุติ” การใช้”ดินแดน” ของ”มาเลเซีย” ให้เป็นที่”พังพิง” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน นี่คือ”ประเด็นใหญ่” เพราะหาก”มาเลเซีย” ไม่ยอมให้” บีอาร์เอ็น” มี”ฐานที่มั่น” ในประเทศมาเลเซีย สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้”ยุติ”แน่นอน  รัฐบาลของ” เศรษฐา ทวีสิน” ไม่ต้องรอให้ถึงปี 2570  ตาม”กรอบเวลาเดิม” ของรัฐบาล” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่วางกรอบเวลาไว้ว่าปี 2570 จะเป็นปีที่”ยุติ”สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ”วิกาลยาวนาน ฝันยุ่งเหยิง”

จับตาความเคลื่อนไหวของ”ภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” เมื่อ”สภาเครือข่ายปัญญาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( สปค.จชต. ) ออกมา”ขับเคลื่อน” จี้ให้”รัฐบาล” ยกเลิก”พรก.ฉุกเฉิน” สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “เครือข่ายไทยพุทธยะลา” ก็ออกมา”เคลื่อนไหว” แสดงความไม่เห็นด้วย และขอให้คง”พรก.ฉุกเฉิน” เอาไว้เหมือนเดิม เพราะ สถานการณ์ในพื้นที่ “คนไทยพุทธ” ยังถูก”คุกคาม” ทั้งการ”เอาชีวิต” และการ”ขับไล่” ให้ออกจากพื้นที่ มีการ “ยื่นแถลงการณ์” ให้กับ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าพรรคประชาชน ผ่านทาง” อำพล พงษ์สุวรรณ” ผวจ.ยะลา สถานการณ์อย่างนี้คือสถานการณ์ที่”ไม่ปกติ” และถ้า”บริหารจัดการ”มีความ”โน้มเอียง”เกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นเรื่อง”ร้าวฉาน” ระหว่างกลุ่มคนที่”มีความเห็นต่าง” ที่สำคัญคือมีเรื่องของ”ชาติพันธุ์” และ”ศาสนา” จะถูก”ลากโยง” เข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นการ”เดินเข้าทางปืน”ของ”องค์กรชาติตะวันตก” ที่ เข้ามา”ลงหลักปักฐาน” เพื่อขอร่วม”แจม” กับปัญหา”ไฟใต้” อย่างเช่น”เจนีวาคอลล์,ไอซีอาร์ซี” และ องค์กรต่างๆจากหลายประเทศจำนวน 30 กว่ากลุ่ม ที่”มะรุมมะตุ้ม” กับ”ภาคประชาสังคม” และ”เอ็นจีโอ” อยู่ในขณะนี้…..ดังนั้นการที่จะยกเลิก”พรก.ฉุกเฉิน” จึงเป็นเรื่อง”ไม่เล็ก” ที่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ “กำกับดูแล”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ต้องมีความ”รอบคอบ,รอบด้าน” ในการ”รับฟังความคิดเห็น” ของ”คนในพื้นที่” ในการ”ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน” จะเอา”สัดส่วน” ของ”ประชากร”  และ”องค์กร”มาเป็น”ตัวตั้ง”ไม่ได้นะ เพราะ ณ วันนี้คน”ไทยพุทธ” ในพื้นที่เหลืออยู่”หนึ่งหยิบมือ” ไม่ถึง 10% ของคนในพื้นที่ และที่สำคัญ”ไทยพุทธ”ในพื้นที่ ไม่มีการจัดตั้ง”ภาคประชาสังคม” ไม่เหมือนกับ”บีอาร์เอ็น” ที่มีการจัดตั้ง”ภาคประชาสังคม” เพื่อทำหน้าที่”ปีกทางการเมือง”ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 30 องค์กร

วันก่อนตัวแทน”ภาคประชาชน” ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เข้าพบกับ” พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์” ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อ”ร้องเรียน”ถึงการ”จับ ปรับ” ในข้อหา”จราจร” ที่ “หนักหน่วงรุนแรงไม่เลือกเวลา” จนสร้างความ”เดือดร้อน” ให้กับ”ผู้ใช้รถใช้ถนน” จนมีการ”ตกปากรับคำ” ว่าจะไม่มีการ”จับกุม”แบบ”ทำเป้า” แต่ วันนี้ มีผู้คน”ร้องเรียน” กันมามากมายถึงการ”จับ-ปรับ” และการ”ล็อคล้อ” โดยไม่มีการใช้”ดุลพินิจ” อะไรที่ควร”ตักเตือน” และควร”ผ่อนหนักผ่อนเบา” กับ”ประชาชน” มีอย่างเดียวคือ”ออกใบสั่ง” เพื่อ”แบ่งเงินค่าปรับ” หรือคำพูด”หน้าแถว” ของ”นายตำรวจ”ที่ว่า ต่อไปนี้ตำรวจจราจรทุกคนต้องมีทองใส่” จะเป็นเรื่องจริง เอ้า “พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์” ผกก.สภ. หาดใหญ่ ตรวจสอบดูว่า “สัญญา” ที่ไป”ตกปากรับคำ” กับ”ประชาชน”ไว้ มีการ”ยกเลิก”แล้วยัง ว 2 ว 8

เดือน ตุลาคม เป็น “เทศกาลกินเจ” หรือ”กินผัก” ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 – 23 ตุลาคม ซึ่งถือเป็น”ประเพณีสำคัญ”ของ”ชาวไทยเชื้อสายจีนในภาคใต้” ซึ่งนอกจากคนในพื้นที่แล้วยังมี นักท่องเที่ยวจาก “มาเลเซีย-สิงคโปร์” เข้ามาร่วมงานอย่างคับคั่ง ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา “รุ่งรัตน์ ชัยจิระธิกุล” นายกสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา จัดทศกาลกินเจ ยิ่งใหญ่ มี”ซุ้มอาหารทานบุญ,กินอย่างพอเพียง เลี้ยงคนทั้งเมือง มีขบวนแห่พระ-เชิดสิงโต-มังกร และการ “เสวนา ชวนคิด ชวนคุย” รวมทั้งประกวด”หนูน้อยเจี๊ยะฉ่าย” โดยมี องค์กรท้องถิ่น ทั้ง อบจ.สงขลา โดย “ไพเจน มากสุวรรณ์” และ” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่ ให้การ”สนับสนุน”อย่างเต็มกำลัง และที่สำคัญ “เทศกาลกินเจหรือกินผัก” ของทุกปี คือจะมีเรื่องที่ชาวบ้าน”ร้องเรียน” เรื่องราคาผักที่แพงมาก เพราะ”พ่อค้าคนกลาง” ฉวยโอกาสในการ”สูบเลือดสูบเนื้อ” ด้วยการ”ขึ้นราคา” จนทำให้ผู้ที่”กินเจ” เดือนร้อนไปทั่ว “ฉัตรสุดา ชุมแสง” พาณิชย์จังหวัดสงขลา ต้องไม่ลืมที่จะ ลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบ และ กำชับ อย่าให้มีการ”ค้ากำไรเกินควร”

เขียนมาหลายครั้งว่า ถนนสาย”หาดใหญ่-สนามบิน ตั้งแต่ ปั้ม ปตท.จนถึงแยก ไทยวัสดุ สองข้างทางมี”ซุ้มขายน้ำกระท่อม” ที่ผิดกฎหมาย เพราะ”ต้มแบบบ้านๆ” และมีการ”ผสม” อะไรบ้างก็ไม่รู้  ซึ่งถนนสายนี้ถูกขนามนามว่า”ถนนน้ำท่อม” เป็นการ”เสียภาพลักษณ์” ของ”เมืองท่องเที่ยว” ที่ “สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา ที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ต้องมาดูให้เห็นกับตาและ”จัดการ” ตาม”กฎหมาย” รวมทั้ง ผู้อำนวยการแขวงการทางสงขลา ต้อง”จัดการ”กับ”ซุ้มต่างๆ” ที่มีการสร้างอยู่ใน”เขตทางหลวง” บางแห่ง”บดบัง” ป้ายบอกทาง…..และอีกงานของ”พ่อเมืองสงขลา”ที่มาใหม่คือเรื่อง”โพงพาง” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ที่”รุกล้ำร่องน้ำเดินเรือ” และทำลาย”ทัศนียภาพ”ของ”ทะเลสาบ ที่”พ่อเมืองคนก่อนๆไม่มี”ใครกล้า” ที่จะ ดำเนินการตามกฎหมาย เวลา 1 ปี ของ”สมนึก พรหมเขียว” ควรที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ เพื่อให้คน”สงขลา” ได้”จดจำ” วันที่ท่าน”หมดหน้าที่” ผู้คนจะได้คิดถึง

เรื่องการทำลาย”ทรัพยากรทางทะเล” ที่ ชายฝั่งทะเล อ่าวปัตตานี ยังมีการทำลายแบบ”ไม่จบไม่สิ้น” ล่าสุด เจ้าหน้าที่หน่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เข้าจับกุมผู้ทำประมงผิดกฎหมายใช้”อวนลากคานถ่าง” คราดลูกหอยแครง ไปขายให้”นายทุน”จ.สุราษฎร์ธานี” ในบริเวณชายทะเลบ้าน “ตันหยงลูโละ-บ้านดาโต๊ะ” อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เรือ”เจ้าหน้าที่” ถูก เรือประมงผิดกฎหมายทำการ”ปิดล้อม” จนแทบจะทำหน้าที่ตาม”กฎหมาย” ไม่ได้   เรื่องนี้ หน่วยงานอื่นๆ ต้องร่วม”บูรณาการ” ลำพังเจ้าหน้าที่”หยิบมือเดียว” ก็เหมือน”น้ำน้อยแพ้ไฟ” ที่ “พาตีเมาะ สดียามู” ผู้ว่าราชการจังหวัด( หญิงแกร่ง) ต้องแก้ไข

เรื่อง”ประมง” เป็นปัญหาใหญ่ จริงๆ วันก่อน “สรรเพชญ บุญญามณี” สส.เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ จ.สงขลา “อภิปราย”ใน สภาผู้แทนฯ ให้ รัฐบาล เร่ง แก้กฎหมายการทำประมงที่เกี่ยวกับ”IUU” อย่างรวดเร็ว เพราะหลายปีที่ผ่านมา “กฎหมาย” ที่ว่าด้วย”IUU” สร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการประมงจนแทบหมดอาชีพ และที่สำคัญ กระทบกับเรื่อง”เศรษฐกิจ” โดยรวมของประเทศ…..เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือ ประชาชน  ที่อาศัยอยู่ในหมู่ที่ 8 ( ไร่ตก ) อ.เมือง จ.สงขลา  ซึ่งที่ดินทำกินที่ปลูกบ้าน”ทับซ้อน” กับ”ป่าชายเลน” เรื่องนี้”คาราคาซัง”มาหลายปี ชาวบ้านถามว่า เมื่อไหร่ปัญหาเหล่านี้จึงจะ”ยุติ” ถ้าชาวบ้านผิด ก็จะได้”ขยับขยาย” และ “ป่าไม้ผิด” ก็จะได้ออก”เอกสารสิทธิ์” ให้”ประชาชน”

นี่ก็เหมือนกัน โรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง ที่มีปัญหาเรื่อง”ที่ดิน” เรื่อง”ใบอนุญาต” ที่เปิดดำเนินการอยู่ในพื้นที่ จ.สงขลา ที่”เจ้าของ” บอกว่าทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่วันนี้”เครือข่ายเฝ้าระวังการทุจริตส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น” ได้ยื่นหนังสือให้ “เจือ กิ้มอั้น” นายกเทศบาลตำบลพะวง อ.เมือง จ.สงขลา  ทำการตรวจสอบ ในประเด็นต่างๆ เช่น เอกสารสิทธิที่ดิน  และ อื่นๆ ถ้ามีการทำผิดจริง เดี๋ยวก็รู้ เพราะวันนี้”ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดี ครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…โจทย์ใหญ่ ‘นายกฯป้ายแดง’ กับการแก้สารพัดปัญหาประเทศ

ยัง” เหนื่อย และ หนัก “ กับการ”ขับเคลื่อน” ในการนำ”ประเทศ”ไปข้างหน้าของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี”ป้ายแดง” ที่ เดือนแรกของการเข้ารับ”ภาระ” ในฐานะ”นายกรัฐมนตรี” คนล่าสุดของประเทศ เพราะปัญหาของ”ประเทศไทย” เป็นปัญหาที่”หมักหมม” และถูก”ก้าวข้าม” “โดยไม่มีการแก้ไขอย่างถาวร แต่ใช้วิธีการ”แก้แบบเฉพาะหน้า” ….แม้ว่า “รัฐบาลนิดหนึ่ง” จะมีความ”รวดเร็ว” ในการแก้ปัญหาเพื่อสร้างความ”พึงพอใจ”ให้กับ”ประชาชน” แต่ก็เป็นเรื่องของการแก้”เฉพาะหน้า” ที่ไม่ถาวร เช่นการ”ลดราคาน้ำมันดีเซล” การลดค่าไฟฟ้า การตรึงราคาแก๊สหุงต้ม ที่เป็นการแก้โดยการ”กินเนื้อ” ของตนเองในขณะที่”กลุ่มทุน” ไม่ได้รับ”ผลกระทบ” แม้แต่”กระผีกริ้น” และยังคง”เสวยสุข” อยู่บนความทุกข์ของประชาชน…..ส่วน นโยบายการ”หยุดพักชำระหนี้เกษตรกร” แบบ”เหมาเข่ง” ก็เป็น นโยบายที่ไม่ถูกต้องนะ เหตุผล คือ”เกษตรกร”ที่เป็นหนี้ ไม่ใช่ผู้ที่”เดือดร้อน” ทุกคนนะ จำนวนมากยัง”จ่ายหนี้” ได้เป็น ปกติ เพราะเขาทำการเกษตรเป็น ทำแล้วมี”กำไร” และ”จ่ายหนี้”ได้ ดังนั้น “รัฐบาล” ต้องมีการ”แยกแยะ” เพื่อที่จะไม่ต้อง”แบกภาระ” ในหนี้สินทั้งหมดของเกษตรกร…..และที่สำคัญ ที่รัฐบาลต้อง”ทบทวน” หลายรัฐบาลเคยใช้นโยบายการ”พักหนี้” ให้กับ”เกษตรกร” มาแล้ว 13 ครั้ง แต่ไม่เคยทำให้ สถานภาพของเกษตรกร ที่ได้รับการ”พักหนี้ดีขึ้น” แต่อย่างใด ทุกคน ยัง”เป็นหนี้” อยู่เช่นเดิม ยังแบก”ดอกเบี้ยหลังแอ่น” และ “คุณภาพชีวิต”ของ”เกษตรกร” ก็ยังเป็นผู้ที่”ยากจน” และก็”เป็นหนี้” อย่างเดิม ประเด็นนี้”รัฐบาล” นักการเมือง “นักวิชาการ” ต้องคิดให้รอบคอบ และการกลับไป”ทบทวน”อีกครั้ง เพื่อให้การ”พักหนี้”ของ”เกษตรกร” ตรงประเด็น ตรงเป้าหมาย

สำหรับ”เงินดิจิตัล” ที่จะแจกจ่าย”ให้ฟรี” ให้กับคนที่อายุ 16 ปี ขึ้นไปนั้น วันนี้ก็มีการ”เรียกร้อง” ทั้งจาก”นักวิชาการ” และ จาก”สถาบันการเงิน “และ “กลุ่มบุคคล” ที่มีความรู้ ด้วยความเป็นห่วง ที่ “รัฐบาล” ต้องใช้เงิน” ห้าหกแสนล้าน” มา”แจกฟรี” ให้กับ”ทุกคน เพื่อ”กระตุ้น” เศรษฐกิจ ว่า จะมี”ผลลัพธ์” ในการทำให้”เศรษฐกิจ” ของประเทศ”ฟื้นตัว” ได้จริงหรือไม่ ถ้า”เป็นจริง” เศรษฐกิจของประเทศก็จะ”โงหัว” ลุกขึ้นยืน และ”วิ่งฉิว” แต่ถ้า”ไม่เป็นจริง” นั้นหมายถึง”หายนะ” ที่เกิดจากการ”ก่อหนี้” ก้อน”มหึมา” ที่คนไทยทุกคน ตั้งแต่เริ่ม”อุแว้” จนถึง”เชิงตะกอน” จะต้องรับ”ชดใช้” ฉะนั้นคือ”โจทย์ใหญ่” ที่”เศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะ”ผู้กุมบังเหียน”ของประเทศ และ”ครม.ต้องคิดให้รอบคอบ ถี่ถ้วน อย่าเห็นแต่เรื่อง”คะแนนเสียง” โดยนำเอานโยบาย”ประชานิยม”มาใช้ เพราะ”ผิดพลาด” ขึ้นมา คนที่ต้องรับผิดชอบคือ” คณะรัฐมนตรี” ไม่ใช่เป็นเรื่องของ”เสี่ยนิด” คนเดียว…..เรื่องสำคัญของ”รัฐบาล” ชุด”นิดหนึ่ง”คือการมองให้เห็น”รากเหง้า”ของปัญหา”เศรษฐกิจ” ของประเทศที่”รวมศูนย์”อยู่กับ”กลุ่มทุน” เพียงไม่กี่กลุ่ม” ทั้งในเรื่อง”อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค” และ”กลุ่มทุนพลังงาน” ที่”ผูกขาด” และเป็นผู้ที่กำหนด”ชะตากรรม” ของคนทั้งประเทศเอาไว้ ประเด็นนี้ต่างหากที่”รัฐบาลชุดนี้” ต้องเข้าไปแก้ไขและต้องกล้าที่จะ”ลงดาบ”

ที่น่ากลัวคือ “ทุกพรรคการเมือง ณ วันนี้ มีแต่ นโยบาย ประชานิยม เพื่อ”เอาใจประชาชน” ซึ่งเริ่มจาก นโยบายการ”หาเสียง” ที่กลายเป็น”บ่วงคล้องคอ” และถูก”ทวงถาม” จากประชาชน จนต้อง”ผลักดัน” นโยบายที่เป็นการ”แจก”การ”ให้” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะหา”งบประมาณ” จากไหนมา เพราะ”เศรษฐกิจ” ของประเทศขณะนี้อยู่ในสภาพ”ง่อนแง่น”…..การที่จะทำให้ประชาชนมี”คุณภาพชีวิต” คือเรื่อง”การศึกษา” ที่ต้องมีการ”ปรับแก้” ให้”สอดคล้อง”กับความต้องการของ”ตลาดแรงงาน” ราคาสินค้า ราคาพลังงาน ที่”สอดคล้อง”กับ”ค่าแรง” ของ ประชาชนผู้ใช้แรงงาน การแก้ปัญหา”แรงงาน” ให้เป็น”แรงงาน” ที่ตลาดต้องการและเป็น”แรงงานฝีมือ” เพื่อให้”คนงาน” ได้”ค่าจ้างค่าแรง” ที่มากกว่า วันละ 330 บาท การหาตลาด”ส่งออก” เพื่อให้”พืชผลทางการเกษตรมีราคาที่”แพงขึ้น” และการ”ติดอาวุธทางปัญหา” ให้กับ”เกษตรกร” ให้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง”เกษตรแนวใหม่” ที่ต้องพึ่งพา”นวัตกรรม” และ”การตลาด” ที่สำคัญการทำให้ราคา”ปุ๋ยราคายาปราบศัตรูพืช” มีราคาที่ถูกลง เพราะ ปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำการเกษตร ต้อง”พึ่งพา” ปุ๋ยเคมี และยาปราบศัตรูพืช เหล่านี้คือสิ่งที่”รัฐบาล” ต้องทำอย่างจริงจัง อย่าให้ “ประชาชน” นั่งรอ”ความหวัง” ในเรื่องการ”แจก การแถม” แบบ”ประชานิยม” เพราะนั่นคือ หนทางในการนำ”ประชาชน”และประเทศชาติ”ไปสู่ความ”หายนะ” นั่นเอง

สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่อง”ซ้ำซาก” ที่ต้องเขียนถึง ทั้งที่”เบื่อหน่าย” แต่เมื่อ”สถานการณ์” ยังอยู่ใน”วังวน”ที่เป็น”เขาวงกต” ที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะในพื้นที่ยังมี”เสียงปืน –เสียงระเบิด” และมี”คนเจ็บ-คนตาย” ก็ต้องมีการถามถึงว่าคนที่เป็น”แม่ทัพ-นายกอง” ที่รับผิดชอบเรื่องความ”ไม่สงบ”ของจังหวัดชายแดนภาคใต้จะแก้อย่างไร….ล่าสุด “กองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็น” เปิด”ยุทธการป่วนใต้” วางระเบิด และซุ่ม”โจมตี” จุดตรวจ ใน จ. นราธิวาส 5 แห่ง ใน จ.ยะลา 4 แห่ง ใน จ.ปัตตานี 3 แห่งใน คืนเดียวกัน นี่หรือที่ กอ.รมน.ภาค 4 บอกว่า สถานการณ์ดีขึ้น และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เดินมาถูกทางแล้ว ประชาชน ในพื้นที่ถามว่า”ทางใคร”

ข่าวว่า ผบ.ทบ.คนใหม่” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์”ให้ความสนใจกับ สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษ โดยจะเดินทางลงพื้นที่ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้บ่อยขึ้น ถ้าเป็นจริง ก็อาจจะเป็น”หนทาง” ให้การ”ใส่ใจ” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบอาจจะ”ถูกทาง”ได้มากขึ้น….เรื่อง”น้ำมันหน่วยทหารหาย” ที่ “ค่ายแห่งหนึ่ง จนทำให้มีการ”สั่งย้าย”นายทหารระดับ”นายพล” ออกจากหน่วย ที่เป็นข่าวดังอยู่ในขนาดนี้ ก็อยากจะบอกถึง พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. และ “สุทิน คลังแสง” รมว.กลาโหม ว่า ถ้าเป็นไปได้ ให้ตรวจสอบ หน่วยต่างๆในภาคใต้ด้วย เพราะมีทั้ง”หลักฐาน” ที่ มีการนำ”น้ำมันสีเขียว”มาขายและถูกจับกุม โดยเฉพาะ “บางหน่วย”มีข่าว”อื้อฉาว” มาโดยตลอดว่ามีการ”ทุจริตน้ำมันหลวง” อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” ตรวจสอบให้”ถี่ถ้วน” จะพบได้มากมาย……และที่ต้องติดตามคือคดีที่ “ทหาร ยศ สิบเอก” ขับรถบรรทุก”น้ำมันเถื่อน” ไป”พลิกคว่ำที่ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง วันนี้ ปปช.สงขลา ได้ทำการ”สืบสวนสอบสวน”เพื่อดำเนินคดีแล้ว ก็ต้องติดตามผลว่า”น้ำมันในรถบรรทุกที่เกิด”อุบัติเหตุ” เป็น”น้ำมันเถื่อน” หรือ”น้ำมันของหน่วยทหาร” ที่ “สิบเอก” ผู้สังกัดอยู่นำไปขายให้ลูกค้า…..นี่ก็เรื่อง”น้ำมัน” แต่เป็นเรื่อง”รับซื้อของโจร” ที่เกิดขึ้นที่”ท่าเรือเทศบาลนครสงขลา” ที่ผู้”รับเหมา” บรรทุกน้ำมันดีเซลจาก”คลังน้ำมัน” ใน อ.สิงหนคร จ.สงขลา มาส่งให้กับ”เรือเดินทะเล” ที่ ท่าเรือและมีการ”ลักลอบ” นำน้ำมันดังกล่าว ออกไป”จำหน่าย” ให้กับ”สถานบริการนำมัน” และ”โรงงานอุตสาหกรรม” เรื่องนี้ผู้ที่”เดือดร้อน” คือ”เจ้าของเรือที่เป็นเจ้าของน้ำมัน” ฝากให้ พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ ผบก.ภ.จว. สงขลา กำชับ ตำรวจ”ปนม.ของจังหวัด ให้ทำการตรวจสอบ และจับกุมด้วย

และก็เป็นไปตามที่เคยเขียนไว้ วันนี้ ชายแดนด้าน ต.มูโนะ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ก็กลับมาเป็น เส้นทาง”ลำเลียงสินค้าเถื่อน” ทั้งการ”นำเข้า-ส่งออก” เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นก่อนมีเรื่อง”โกดังพลุระเบิด”โดยเฉพาะการ”ค้าวัวเถื่อน” ที่มีการบรรทุกรถยนต์จาก จ.ตาก. และ จ.อื่นๆ ทางภาคกลาง และภาคอีสานมายัง จ.นราธิวาส และนำ”ข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก”ไปยัง ประเทศมาเลเซีย โดยไม่ผ่านขบวนการตามกฎหมาย เรื่องนี้จะโทษ ตำรวจ,ทหาร.และฝ่ายปกครอง ที่รับผิดชอบ”แนวชายแดน”อย่างเดียวก็ไม่เป็นธรรม ต้องถาม”ปศุสัตว์”ในพื้นที่ด้วยว่า ทำไม่จึงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ “อิทธิพล”ของผู้”ส่งออกวัวเถื่อน” ใหญ่คับฟ้าหรือเป็นเพราะ”ผลประโยชน์”

ขึ้นปี”งบประมาณใหม่” เหล่า”ข้าราชการ” ระดับ”ผู้บริหาร” ละลอกแรก ที่มีการ”โยกย้ายสับเปลี่ยน” เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ถูก”โยกย้ายสับเปลี่ยน” ก็เดินทางมารับตำแหน่งแล้ว เช่น “สมนึก พรหมเขียว” ผวจ.สงขลา” อำพล พงษ์สุวรรณ” ผวจ.ยะลา และ “ศักระ กบิลกาญจน์” ผวจ.สตูล ผู้บริหารเหล่านี้ไม่ต้อง”ฝึกงาน”เพื่อเป็น”ผู้ว่าฯ” อะไรคืองาน”รูทีน” อะไรคือเรื่อง”เร่งด่วน” ก็รู้กันอยู่ แต่เรื่องที่ไม่ควรประมาท และควรจะมีแผนในการ”รองรับ”คือเรื่องของ”ฝนฟ้าหน้าน้ำ” เพราะภาคใต้ย่างเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว แน่นอนเรื่อง”ภัยธรรมชาติ” ห้ามไม่ได้ก็จริง แต่ถ้ามีการ”วางแผนรับมือ” ที่ดี ความ เสียหาย ความสูญเสีย อาจจะน้อยลง หรือไม่เกิดขึ้น ก็ได้…..ส่วนการโยกย้าย”รอบที่สอง”ของ ผู้ว่าราชการจังหวัด กำลังจะเริ่มขึ้น” นักปกครอง” จำนวนไม่น้อย ต่างวิ่ง”หาตั๋ว” จากผู้มี”บารมี” กันอย่าง”สุดฤทธิ์สุดเดช” โดยเฉพาะ สส.ของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ต่าง”วิ่งเต้น” ในการที่จะเอาคนของตนเองมาเป็น”พ่อเมือง”ก็อยู่ที่” อนุทิน ชาญวีรกุล” รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ว่าจะปล่อยให้คนที่ไม่เข้า”หลักเกณฑ์” และคนที่”มัวหมอง”และอยู่ระหว่าง”คดี”หรือการ”สอบสวน” ได้กลับมา”เป็นใหญ่เป็นโต” หรือไม่ เพราะเห็น”แว๊ปๆๆ” ว่า หลายคนที่ “ป้วนเปี้ยน” อยู่ที่”ริมหลอดหลอด” คือคนที่มีปัญหา

ส่วนในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีเพียง จังหวัดเดียว ที่ยังไม่มี”พ่อเมือง”คือ จ.นราธิวาส เพราะ”สนั่น พงษ์อักษร” ผวจ.นราธิวาส เดินทางไปรับตำแหน่ง”พ่อเมือง”กาฬสินธุ์ถิ่นน้ำดำ” และ “ไพโรจน์ จริตงาม” รอง ผวจ.เกษียณอายุราชการ” ส่วนใครจะมาเป็น “พ่อเมือง” นราธิวาส ข่าวว่าจะเป็น”รองอธิบดี ปภ..” ที่จะได้”เลื่อนขั้น” เป็น”พ่อเมือง” และเป็นคนของพรรคภูมิใจไทย เพราะ”ภูมิใจไทย” ต้องการที่จะ”ปักธง” เพิ่มจำนวน “ผู้แทน” ในพื้นที่ นราธิวาส ในการเลือกตั้งสมัยหน้าให้ได้มากกว่า 1 คน….สำหรับ จ.พัทลุง “ผู้ว่าฯหญิง” นิศากร วิศิษฐ์สรอรรถ” เพิ่งอยู่ได้ 1 ปี และการทำหน้าที่ตลอด 1 ปี ไม่มีปัญหาอะไร ก็น่าจะได้อยู่ต่อ ยกเว้นแต่ พรรคการเมือง ต้องการคนที่ตนเอง”ใช้ได้” มาแทน จึงจะมีการโยกย้าย” และที่ จ.ตรัง “ผู้ว่าฯหมี” ขจรศักดิ์ เจริญโสภา เหลืออายุราชการอีกปีเดียว ก็น่าจะได้อยู่ต่อไปจนเกษียณอายุราชการ เว้นแต่ มี”อุบัติเหตุ” จากที่มี”มือดี” ร้องเรียนไปยัง”ปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่องถูก “ปปช.ชี้มูลความผิด” และถูก”ศาลทุจริตภาค 9” ตัดสิน”จำคุก 4 ปี พร้อมพวกในคดีการ”จัดซื้อ “ เครื่องตรวจระเบิด “อัลฟ่า จีที 200” เพื่อให้มีการหยุด”ปฏิบัติหน้าที่” ถ้า”ปลัดกระทรวง” เอาจริงตามระเบียบ ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ

ส่วนที่”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.)” พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เลขาธิการ ศอ.บต. ไม่ได้เกษียณอายุราชการเพียงคนเดียว แต่”หอบหิ้ว” สองรองเลขาธิการคือ “ศัทธรา คชพลายุกต์” และ”บุญพาส รักนุ้ย” ไปด้วยกัน ณ วันนี้ ศอ.บต. จึงเหลือ รองเลขาธิการ อยู่เพียงคนเดียวคือ “ชนธัญ แสงพุ่ม” หรือ” ดร.เจ๋ง” ซึ่งหลังจากที่ “พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์” เลขาธิการ ศอ.บต. คนใหม่เดินทางมารับตำแหน่งแล้ว คงจะมีการ”แต่งตั้ง” สองรองเลขาธิการ ศอ.บต. โดยเร็ว เพราะมี”ภารกิจ” มากมายที่รออยู่ ……ที่สำคัญการแต่งตั้ง รองเลขาธิการที่หายไป 3 ตำแหน่ง นอกจากการ”ขยับคนใน” ที่มีความเหมาะสม มีความสามารถ ขึ้นเป็นรองเลขาธิการแล้ว ต้อง”พิจารณา” รอง เลขาธิการ ศอ.บต. ที่มาจากฝ่าย”ปกครอง” เพราะ “ภาระหน้าที่” ของ”ศอ.บต. ต้อง”ประสาน”กับ”ผู้ว่าราชการจังหวัด”ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งผู้นำ”ท้องถิ่น,ท้องที่” ซึ่งเป็นคนของ”มหาดไทย” ถ้าไม่มีคนจาก”มหาดไทย” มาเป็น”โซ่ข้อกลาง” ในตำแหน่ง “รองเลขาธิการ” จะเกิดปัญหาการ”ประสานงาน”ตามมา…..ก็ถามกันมามากมายสำหรับ ผู้ที่มาทำหน้าที่”เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) คนใหม่ ก็บอกได้สั้นๆว่า “พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์”เคยเป็นตำรวจที่กองปราบ เคยอยู่ที่ กรมสอบสวนพิเศษ ( DSI) และก่อนที่จะถูก”ตัดโอน” มาเป็น “เลขาธิการ ศอ.บต.” อยู่ในตำแหน่ง”อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน” กระทรวงยุติธรรม ไม่เคยรับราชการในภาคจังหวัดชายแดนภาคใต้มาก่อน….แต่นั้น ไม่ใช่ปัญหา เพราะในอดีตคนที่มาจาก”กระทรวงยุติธรรม” และเป็น”ตำรวจเก่า” อย่าง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม” ในขณะนี้ ก็เคยเป็น”เลขาธิการ ศอ.บต.” ที่ทำหน้าที่ได้ดีมากๆ ในสายตาของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่ไม่ได้เป็น”คนใต้” และ”ไม่เคยผ่านงานการ”พัฒนา”มาเลย” ก็อย่าเพิ่ง”ติเรือทั้งโกลน” รอให้”เลขาธิการ ศอ.บต.” คนใหม่” ขยับเนื้อขยับตัว” สักงานสองงาน ก็จะเห็นได้เองว่ามี”กึ๋น” ขนาดไหน แต่ก็”คาดหวัง”ว่า งานด้านการ อำนวยความยุติธรรม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องดีขึ้นกว่าเดิม

เข้าท่านะ “เรวัต อารีรอบ” นายก อบจ.จ.ภูเก็ต รับถ่านโอน “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ “ ( รพ.สต.) ทั้งเกาะ จำนวน 21 แห่ง มาอยู่ภายใต้การบริหารของ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น พร้อม สโลแกน”อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” เพื่อสร้างความ”อุ่นใจ” กับประชาชน ในเรื่องของการ”รักษาพยาบาล”ในเบื้องต้น…..สิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจหลังการ”ฟาดฟันกันเอง” ใน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ที่กำลังจบลงด้วยการโอบเอว ถ่ายภาพ ระหว่าง” บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ”บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. เพื่อที่จะ”ประกาศกับสังคมว่า “ไม่มีอะไรกัน” ทุกอย่าง”จบแล้ว” ก็ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้”คดีกำนันนก” และคดีจับ”8 ตำรวจ” ที่เป็น”ลูกน้อง”ของบิ๊กโจ๊ก ในข้อหา”บ่อนออนไลน์” จะไม่จบตามไปด้วย…..ก็น่าสนใจนะกับ”แนวคิด” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีในการ”สลายขั้วความขัดแย้ง” ใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ด้วยการให้”บิ๊กรอย” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” รอง ผบ.ตร.ไปทำหน้าที่ “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” และให้”บิ๊กโจ๊ก” พล.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. ไปทำหน้าที่ เลขาธิการ ปปส. เพื่อที่จะไม่ต้องทำงานร่วมกันใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” เกษียณอายุราชการ พร้อมกับ “พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” ในปี 2567 ก็จะเหลือเพียง”บิ๊กโจ๊ก” ที่จะกลับมา”ฟาดฟัน” กับ”นายตำรวจ” ที่อยู่เป็น”แคนดิเดต” ผบ.ตร.กันใหม่ อย่างน้อยก็จะสร้างความ”สงบ” หยุดการ”สาวไส้” ของ”ตำรวจ” ให้ประชาชนดู”ชั่วคราว” 1 ปี

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ในเวลา 1 ปี กับตำแหน่ง ผบ.ตร. สิ่งที่ประชาชนคาดหวังคือเรื่องการแก้ปัญหา”การแสวงหาผลประโยชน์” ของ”เจ้าหน้าที่บางกลุ่ม” ทั้งใน”ส่วนกลาง”และ”ภูมิภาค” ที่ หากินกับ”หวยออนไลน์” กับ”บ่อนการพนัน” กับ”การค้ามนุษย์” ต้องมีการ”อับเปหิ” ออกจากวงการ และการปราบปรามยาเสพติด ต้อง ปราบปราม ให้”เบาบาง”ลงให้ได้ การจับได้ทุกวันๆละเป็นแสนเป็นล้านเม็ด แบบที่”ยิ่งจับยิ่งมาให้จับ” ทำได้แค่โชว์ผลงาน” แต่ไม่ได้ทำให้ยาเสพติดหมดไปจากประเทศไทย เพราะมีการส่งยาเสพติด”ล๊อตใหม่” เข้ามาแทนที่ แบบ”จับได้จับไป” ที่”จับไม่ได้” ก็ส่งถึง”จุดหมายปลายทาง” เรื่องของการ”ปราบปรามยาเสพติด” ต้อง”เอาจริง” ที่”ต้นทาง” คือ”พื้นที่ชายแดน”ภาคเหนือ ภาคอีสาน” สำหรับภาคใต้เป็น”ปลายน้ำ” เป็นสถานที่”ซุกซ่อน” ก่อนการ”ส่งออก” ไปยังประเทศที่สาม โดยผ่านประเทศมาเลเซีย และพื้นที่สำคัญที่สุดในการ”ส่งออก” ยาเสพติด คือ จ.นราธิวาส ดังนั้น การแต่งตั้ง ผู้ที่จะมาทำหน้าที่”ผบก.จว.นราธิวาส” และ “ผกก.สภ.”ต่างๆ ใน จ.นราธิวาส จึงต้อง”เลือกเฟ้น” เอา “ตำรวจ” ที่มี”ฝีมือ” มาทำหน้าที่ และที่สำคัญ”ทหาร” ที่มีหน้าที่”ลาดตระเวนชายแดน” ต้องมีการ”ซีลชายแดน” ด้าน จ.นราธิวาส อย่าง”จริงจัง” เพราะหาก “ขบวนการค้ายาเสพติด” ส่ง”ยาเสพติด”เข้าสู่ประเทศมาเลเซียเพื่อไปยังประเทศที่สามไม่ได้ “คาราวานยาเสพติดที่ล่องมายังจังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็ต้องหยุดไปโดยปริยาย จำนวนยาเสพติดที่”ทะลักทลาย” เข้ามาที่ละหลายล้านเม็ด ก็จะเปลี่ยนเส้นทางไปด้วย

กลับมาสู่ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้ง ข่าวว่า ในเดือน”ตุลาคม”นี้ หลังจากที่มีการแต่งตั้ง”เลขาธิการสภาความมั่นคง” ( สมช ) เป็นที่เรียบร้อย” รัฐบาล” ก็จะทำการ”ขับเคลื่อน” เวทีการพูดคุยสันติภาพ โดยจะมีการตั้งตั้ง”คณะพูดคุย”อย่างเป็นทางการ เพื่อการ”เดินหน้า” ในการใช้”โต๊ะพูดคุย” ระหว่าง “รัฐบาล” กับ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”ที่ไม่ใช่มีเฉพาะ”บีอาร์เอ็น”เท่านั้น แต่จะมี ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอีกหลายขบวนการ”ร่วมโต๊ะพูดคุย”ด้วย โดยจะยังมี”มาเลเซีย” เป็น”ผู้อำนวยความสะดวก” ในการ”พูดคุย”ต่อไป ส่วนใครจะเป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย”วันนี้ยังไม่แน่ชัด เพราะมี”ตัวเลือก” ทั้งที่เป็น”ทหารเก่า” และ”พลเรือน” และผู้ที่มี”ส่วนร่วม” ในการ”กลั่นกรอง” คือ” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง “ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

บรรทัดนี้ ก็ขอแสดงความยินดีกับ”ยู่สิน จิตภากร” อดีตรองนายกเทศบาลนครยะลา ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม” และ”พล.ต.ท.พัฒนาวุธ อังคนาวิน” อดีต ผู้บัญชาการตำรวจ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น”ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม” เท่าที่รู้จัก คนหนึ่งเป็น”นักการเมืองท้องถิ่น” ที่เป็นที่ชื่นชอบของคนในเขตเทศบาลนครยะลา และอีกคนหนึ่งเป็น”นายตำรวจฝีมือดี”และ”มือสะอาด”ที่ “คลุกคลี” อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็หวังว่าจะเป็น”ตัวช่วยงาน”ของ”รัฐมนตรียุติธรรม”ได้เป็นอย่างดีและเป็นที่พอใจของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้…..หลายโครงการของ เทศบาลนครหาดใหญ่ เป็นโครงการที่ต้องการ”ปรับเปลี่ยน”และ”พัฒนา” ให้มีความ”ดีกว่า” เช่นการ”สร้างตลาดสดใหม่ในที่เดิม ” การพัฒนา”วงเวียนน้ำพุ” ที่มี”กระแส”ของความ”ไม่เห็นด้วย” เรื่องนี้มาจากการ”อ่อนการประชาสัมพันธ์” ขาดการ”สร้างความเข้าใจ” และเห็นการ”สร้างความเข้าใจกับประชาชน”ไม่ใช่เรื่องสำคัญ และนี่เป็น”จุดอ่อน” ของเกือบทุก”ท้องถิ่น” เป็นเรื่องที่” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” นายกเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ต้องให้ความสนใจ เพราะอีกไม่นานก็จะถึง”ฤดูกาลเลือกตั้ง” ทำความเข้าใจกับ”ประชาชน” ตอนนี้จะได้”ไม่เหนื่อย” ในการ”เลือกตั้ง” ครั้งหน้า…..เช่นเดียวกับ”ไพเจน มากสุวรรณ์” นายก อบจ.สงขลา ที่ “รำพึงรำพัน” ในงานเลี้ยง”สังสรรค์สื่อมวลชน” ที่ ภัตตาคารเกียปิง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อหลายวันก่อนว่า อบจ.สงขลา มี”ผลงานมากมาย” แต่ไม่ค่อย”เป็นข่าว” ก็เพราะหน่วยงาน”ท้องถิ่น” อ่อนประชาสัมพันธ์ และที่สำคัญ”เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์” ที่มีการตั้งขึ้นมาไม่ใช่”มืออาชีพ” ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ในการทำหน้าที่”ประชาสัมพันธ์”นี่คือ”เหตุผล” ที่ “ไพเจน มากสุวรรณ์” นายก อบจ. ต้องเข้าใจ

ตึกฑันตกรรม” ครุอำโพธิ์ พงศ๋สุวรรณ” ที่ “เฉลิมชัย ครุอำโพธิ์” คหบดี อ.สิงหนคร จ.สงขลา ควักเงินส่วนตัวหลายสิบล้านบาท สร้างให้กับ โรงพยาบาล สิงหนคร จ.สงขลา สร้างเสร็จแล้ว หรือเพียงการ”เก็บงาน” อีกเล็กน้อย ก็จะ”สมบูรณ์แบบ” และจะเปิดใช้งานได้ในปี 2567 และนี่คือ”ตัวอย่าง” ของคน”ทำมาหากิน”ที่”สุจริต ที่ไม่ต้อง”ร่ำรวยมาก” ก็สามารถที่จะ”เจียดเงิน” บางส่วนเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับ”เพื่อนมนุษย์”ด้วยกัน

หอมกระเทียม หนีภาษี ทั้งจาก”มาเลเซีย” และจาก” สปป.ลาว” ที่มาจาก”นายทุนจีนตลาดไทย” ถูกส่งเข้ามา”ตีตลาด” ในภาคใต้ ทำให้”หอมกระเทียม” ของ”เกษตรกรไทย” ขายไม่ได้ เพราะ”ของเถื่อน”ยอมมีราคาที่ถูกกว่า ข่าวว่า”นายทุนใหญ่” ที่”หาดใหญ่” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า”เสี่ยบอย” มี”ญาติโกโหติกา” เป็น”ตำรวจ” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็น”นายทุนใหญ่” เรื่องนี้”ศุลกากร” และ” ดีเอสไอ” ที่มี สำนักงานอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องให้ความสนใจ…..เช่นเดียวกับ “โกดังสินค้า” ของ”กลุ่มทุนสีเทา” ที่ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครยะลา นำเข้ามาถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เรื่องนี้ต้องมีการตรวจสอบ อย่าปล่อยให้”คนทำผิดลอยนวล” เพราะ บ้านเมือง”มีขื่อมีแป” ที่สำคัญ มีผู้”รักษากฎหมาย” ที่ รับเงินเดือน จาก”ภาษีของประชาชน” แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ถึงเวลาปฎิรูปองค์กรตำรวจ(หรือยัง?)

การเมืองดี ประเทศดี ประชาชนได้รับ”อานิสงค์” ความเดือดร้อน จะได้”ผ่อนคลาย” แม้ว่า”รัฐบาล” ที่ได้มาจะไม่”ตรงปก” ของคน”ส่วนใหญ่” ในประเทศ   แต่หลังได้เป็น”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 ของประเทศ “เศรษฐา ทวีสิน” ก็มีการ”ขับเคลื่อน”อย่าง รวดเร็ว ในด้านของ”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” การแก้ปัญหา”พลังงาน” ด้วยการ”ลดราคาน้ำมันดีเซล”ลงลิตรละ 2 บาท และ ลดค่า”ไฟฟ้า” ให้เหลือหน่วยละไม่ถึง 4 บาท แม้จะเป็นการ”เกาไม่ถูกที่คัน” แต่ก็สร้างความ”พึงพอใจ” ให้กับ คนส่วนใหญ่ของประเทศ….ปัญหาต่อไป เมื่อ”น้ำมันลดราคา” และ”ค่าไฟถูกลง” ต้องทำให้ ราคาสินค้าถูกลง ตาม”ต้นทุน”การ “ผลิต” ที่ลดลง    เรื่องนี้ผู้ที่ต้องใช้”ฝีมือ” ในการ”ขับเคลื่อน”คือ”ภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรีและ”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ซึ่งเป็นกระทรวง”ปากท้อง” ของ “ประชาชน” ก็ต้องติดตามดูว่า “นโยบาย” ของ “กระทรวงพาณิชย์” จะทำให้ “กลุ่มทุนผู้ผลิตสินค้า” จะลดราคาสินค้าลงหรือไม่ เพราะ “ผู้ผลิต” หลายแห่งยังออกมา”โอดครวญ” ว่า”ต้นทุนการผลิต”ยังสูงอยู่ จากผลกระทบของ”รัฐบาลชุดก่อน” ซึ่ง “รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์” ต้องมีการ”ตรวจสอบ” ว่าเป็น”ข้ออ้าง”ในการ”ค้ากำไร” หรือเป็น”ข้อเท็จจริง” ของ “กลุ่มทุน” เพราะที่ผ่านมา การลดราคา”น้ำมัน” และ”ไฟฟ้า” ที่เกิดขึ้น ไม่เคยทำให้”ราคาสินค้า” ที่ประกาศขึ้นราคาไปแล้ว”ลดลง” แต่อย่างใด นี่เป็นข้อสังเกตที่”รัฐบาล” ต้องอย่าให้”ซ้ำรอย” เพราะหากมีการลด”ราคาน้ำมัน”และ”ไฟฟ้า” ที่ทำให้”รัฐขาดภาษีเข้าคลัง” แต่ไม่ช่วยให้สินค้า”ราคาถูกลง” ก็ถึอว่า นโยบายที่ ออกมา ไม่สำเร็จ เท่ากับว่า ประชาชน ยังได้รับความ เดือดร้อน จากปัญหา”ข้าวของแพง” ที่แสดงให้เห็นว่า นโยบาย ของรัฐบาล ยังไม่ตรง”เป้าหมาย” ที่ต้องการ และที่สำคัญการใช้นโยบาย”ธงฟ้า” เพื่อขายสินค้า”ราคาถูก” ก็ไม่”ครอบคลุม” ผู้ที่”หาเช้ากินค่ำ” ที่ไม่มีเงินเป็นกอบเป็นกำ ในการซื้อสิค้าร้านธงฟ้าได้ ประเด็นนี้ “เสนาบดี” ยังไม่เข้าใจวิถีชีวิตของคนที่”หาเช้ากินเช้า หาค่ำกินค่ำ”

ที่ต้องติดตามดูอย่าง”เกาะติด” คือเรื่องของ”ฟรีวีซ่า” ที่เป็นนโยบาย”กระตุ้นการท่องเที่ยว” ของ” รัฐบาล” เพื่อให้ นักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และ อื่นๆ ที่อยู่ในข่ายได้รับ”ฟรีวีซ่า” เดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยให้ มากที่สุด และเริ่มจะเห็นผลเพราะ มีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และ คาซัคสถาน เข้ามาเมืองไทยมากขึ้น ปัญหาต่อไปที่ “รัฐบาล” ต้องเข้าไป”ควบคุม” คือเรื่อง”ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่เกิดจาก” “เล่ห์เหลี่ยม” ในการทำ”ธุรกิจ”ของ”คนจีน” ที่ แสวงหาผละประโยชน์จาก นักท่องเที่ยวจีน”เข้าพกเข้าห่อ” ทำให้”ประเทศไทย ไม่ได้”เม็ดเงิน” ที่ เข้าสู่”กระเป๋าของ”คนไทย” อย่างที่ควรจะเป็น”ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เคยสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยมาแล้ว จึงอย่าให้มีเรื่อง”ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” ขึ้นอีกเป็นอันขาด…..เมื่อเห็น”นโยบาย” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีผู้กุม”บังเหียน” ของประเทศไทย ที่มีต่อ”สาธารณรัฐประชาชนจีน”แล้ว ก็รู้ได้ว่า สุดท้ายแล้ว “เรือดำน้ำ” ที่ “กองทัพเรือ” ซื้อมาจากประเทศจีน แม้”เครื่องยนต์” จะ”ไม่ตรงปก” เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ของประเทศเยอรมันมาเป็นเครื่องยนต์ของจีน สุดท้าย “รัฐบาล” ก็จะยอม”โอนอ่อนผ่อนตาม” เพราะ 1. กองทัพเรือยอมรับที่จะใช้ “เครื่องยนต์” ที่ประเทศจีน”เป็นผู้ผลิต” ไปแล้ว ก่อนหน้านี้ รอเพียงชงเรื่อเข้า”ครม. เพื่อให้ ”เห็นชอบ”เท่านั้น   2. ถ้า “ครม.”ไม่เห็นด้วย และ”ยกเลิกสัญญา”  ถ้า”ผู้นำจีนไม่พอใจ” เรื่องการ”ท่องเที่ยว” เรื่องการ”ส่งออก” ของไทยอาจจะได้รับผลกระทบ ก็ได้

ดู”หมายงาน” ของ”กระทรวงต่างๆ” แล้วพบว่า กระทรวงที่”มาแรงแซงโค้ง” ทุกกระทรวง คือ”กระทรวงยุติธรรม” ที่มี “ พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” เป็น “รัฐมนตรี” เพราะต้อง”วิ่งรอก” ทั้งใน”กทม.”และ “ตจว. “ เพื่อประชุมกับ “หน่วยงาน”ต่างๆของกระทรวง และพบปะกับ “กลุ่มผู้นำ”ที่ต้องการทราบ”แนวทาง”ต่างๆของ กระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะเรื่องของ”ยาเสพติด” ที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ของ”สังคมไทย” ที่คดีความเรื่อง “พ่อฆ่าลูก ,ลูกฆ่าแม่” และการทำร้ายคนในครอบครัว การ”ก่อเหตุ” อาชญากรรมมากมาย “ต้นเหตุ” จากเรื่องของ”ยาเสพติด” และแม้แต่ใน”เรือนจำ” พื้นที่”ส่วนใหญ่” ก็ถูกผู้ที่มี”คดียาเสพติด”ยึดครอง” จน”เรือนจำ” กลายเป็นพื้นที่”แออัด” ข่าวว่า “รัฐมนตรียุติธรรม” ให้ความสำคัญในเรื่องปัญหาของยาเสพติดมาก    และอาจจะมีการตั้ง”คณะทำงานเพื่อแก้ปัญหา” และคนที่น่าจะ”เหมาะสม” ที่สุดที่จะ”ขับเคลื่อน” ในเรื่องนี้คือ “ พล.ต.ท.พัฒนาวุธ อังคนาวิน” อดีต ผบช. นายตำรวจที่เคย ปฏิบัติหน้าที่ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยาวนาน และมี ตำแหน่งทางการเมืองอยู่ในพรรคประชาชาติ ….และเรื่อง ปัญหา”ยาเสพติด” ก็เป็นปัญหาที่”หนักหน่วง” ที่สุด ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ ปัตตานี,ยะลา” และ”นราธิวาส” ทั้งในด้านของ”ผู้เสพ” ที่มีแต่”เพิ่มขึ้น” และ”ผู้ค้า” เพราะกลายเป็น”พื้นที่พักยา” เพื่อการ”ส่งออก”ไปยังประเทศที่ 3 ที่ส่วนใหญ่ผ่านทาง”ชายแดนจังหวัดนราธิวาส”…..เรื่องของ “แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย” ที่ วันนี้ไม่ได้มีแค่ปัญหา”การก่อการร้าย” เพียงอย่างเดียว” แต่มีปัญหาของ”ยาเสพติด”ด้วยนั้น ก็ต้อง”กระตุก”ไปยัง “สุทิน คลังแสง” รมว. กลาโหม ให้ พิจารณาถึงเรื่อง”การสร้างรั้วชายแดน” ที่ลงทุนครั้งเดียว แต่สามารถแก้ปัญหา”การก่อการร้าย” และ”ยาเสพติด” รวมทั้งเรื่อง”ของเถื่อน,คนเถื่อน” ที่แม้จะไม่หมดไปอย่างถาวร แต่เชื่อว่าถ้าประเทศไทยมี”รั้วชายแดนที่มั่นคง” ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นที่”ชายแดนไทย-มาเลเซีย” จะ”เบาบาง”ลงได้แน่นอน

กรณี”โกดังพลุระเบิด” ที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งมี””บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ( สส ) เป็นผู้รับผิดชอบ มีการ”สรุปผู้มีความผิด” แล้ว นอกจาก”ตำรวจ” แล้ว ผู้ที่ถูก”ชี้มูลความผิด” มากที่สุดคือ”นายตรวจศุลกากร” อ.สุไหงโกลก” จ.นราธิวาส  จำนวน 4 นาย ส่วน”ทหาร” ที่ถูกระบุว่ามีความผิดมีเพียง 1 นาย”  นอกจากนั้นก็เป็น ผู้บริหาร”อบต.มูโนะ” ส่วน”นายตำรวจ” ระดับสูงของ ภ.จว.นราธิวาสไม่มีใครติด”ร่างแห” แม้แต่คนเดียว  ไม่”ผิดหวัง”แต่ก็ไม่”ครอบคลุม” ผู้เกี่ยวข้องที่”เป็นนาย” ที่อยู่เบื้องหลัง …..สิ่งที่ต้อง”เกาะติด” ในเรื่องของ”พลุและดอกไม้ไฟ” ที่ จ.นราธิวาส คือ หลังจากนี้ “ขบวนการค้าดอกไม้ไฟ” เพื่อส่งไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” จะ นำ”พลุและดอกไม้ไฟ” ไป เก็บไว้ตรงไหน อยู่ในชุมชนชายแดนตรงไน และจะสร้างปัญหาให้เกิด”โศกนาฎกรรม” เหมือนที่”ตลาดมูโนะ” อีกหรือไม่ เพราะ”ธุรกิจการค้าพลุและดอกไม้ไฟ” เป็น”ธุรกิจที่ทำเงินให้ผู้ค้ามหาศาล” ที่ต้องทำกันต่อไป ดังนั้น “ทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร “ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการ”รับผิดชอบ” ต้อง “เข้มงวดตรวจสอบ” อย่าปล่อยให้ขบวนการค้า”พลุและดอกไม้ไฟ”สร้างความ”สูญเสีย” ต่อ”ประชาชน” เป็นครั้งที่สอง

การเข้าตรวจค้นบ้านพักของ”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” โดย ตำรวจ บช.สอท. สร้างแรงสะเทือนไปสู่”กลุ่มธุรกิจสีเทาบ่อนออนไลน์” ทั่วประเทศเพียงข้ามวัน” สำนักบ่อนการพนันออนไลน์” ในภาคใต้ ต่าง”ปิดสำนัก”อย่างรวดเร็ว ส่วน”คนในวงการสีกากี” ที่อยู่ใน”วงจร”ของ”บัญชีม้า และ”บ่อนออนไลน์”ต่างอยู่ในอาการ”ร้อนๆหนาวๆ” เพราะไม่รู้ว่าผลการสอบสวนจะพัวพันมาถึงเมื่อไหร่…ขณะเดียวกันมีข่าวว่าทุกจังหวัด ต่างยกเลิก”รายการส่วย” เป็นการ”ชั่วคราว” จนกว่าจะมีการ”แต่งตั้งโยกย้าย” ในสำนัก”ปทุมวัน”เรียบร้อยก่อน…..วินาที นี้ แม้แต่”ฝ่ายปกครอง” ก็”ร้อนๆ หนาว” กับ นโยบายของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล มท 1 ในเรื่องการปราบปราม”ผู้มีอิทธิพล” ที่ ครอบคลุม ไปถึง ผู้”ค้าของเถื่อน” ผู้ทำธุรกิจผิดกฎหมาย เพราะผู้ที่”จ่ายส่วย” ให้ “เจ้าหน้าที่” ก็เป็นคนกลุ่มนี้ ก็ต้องติดตามดูว่าสุดท้ายเป็น”ของจริง” หรือแค่”เขียนเสือให้วัวกลัว” และในอนาคตอาจจะต้อง”จ่าย”มากกว่าเดิม หรือไม่

วันก่อน “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบในการกำกับดูแล”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ลงพื้นที่ประชุม ผู้บริหาร ศอ.บต. เพื่อให้ “นโยบาย” ในเรื่องของการ”พัฒนาเศรษฐกิจ” ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่”หวือหวา” เพราะที่ผ่านมา” ศอ.บต.” โดย” พล.ร.ต. สมเกียรติ ผลประยูร “ เลขาธิการ ศอ.บต. ก็ได้ทำการ”ขับเคลื่อน” นโยบายใน”มิติการพัฒนา” อย่าง เต็มกำลังความสามารถ อยู่แล้ว แต่”ติดขัด” ที่ ศอ.บต. วันนี้เป็น”หน่วยงานที่ไม่อำนาจ” และ”งบประมาณ” ที่ถูก”ลดทอน” ดังนั้น สิ่งที่ รองนายกรัฐมนตรี”สมศักดิ์ เทพสุทิน” ต้องกลับไป”ผลักดัน” คือการให้ รัฐบาล ออก”พรบ. “ ยกเลิกคำสั่ง คสช. ทั้ง 3 ฉบับ ในสมัยของ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต นายกรัฐมนตรี  โดยเร็ว เพื่อให้ “ศอ.บต. “ เป็น”อิสระ” และเป็นองค์กรที่มี” พรบ.” เป็นของตนเอง เพื่อทำการ”ขับเคลื่อน” การแก้ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่างมี”ประสิทธิภาพ” เช่นเดียวกับที่” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง” ทำได้ผลมาแล้ว ในตำแหน่ง “เลขาธิการ ศอ.บต.” เมื่อครั้งที่” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “ เป็น”นายกรัฐมนตรี”……สำหรับตำแหน่ง “เลขาธิการ ศอ.บต.” คนใหม่ ก็เห็นข่าวตาม”หน้าสื่อ” ว่าจะเป็น พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์” อธิบดีกรมพินิจฯ จากกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็น”คนหนุ่ม” เป็น”ลูกชายของนายตำรวจใหญ่ อดีต”มือปราบชื่อดัง”  พล.ต.ท.วรรณรักษ์ คชรักษ์” แต่เมื่อ “ครม.” ยังไม่”เคาะ” ก็ยังไม่มีความ”ชัดเจน” แต่  ทั้งนี้ ทั้งนั้น งานใน”มิติการพัฒนา” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” จะได้ผลแบบ”เต็มเม็ดเต็มหน่วย” ต้องทำให้”พื้นที่ของสามจังหวัดและ 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา เป็นพื้นที่ ปราศจากการก่อร้าย จากขบวนการแบ่งแยกดินแดน  เสียก่อน การ พัฒนา จึงจะเห็นผล เพราะตราบที่พื้นที่ยังมี “เสียงปืน” เสียงระเบิด” และมี”คนตาย” คงจะไม่มี”นายทุน” ที่ไหน ต้องการเข้าไป”เสี่ยง” กับการ”ขาดทุน” และคงจะไม่มี”นักท่องเที่ยว” จาก”ข้างนอก”พื้นที่ และจาก”ต่างประเทศ” เข้ามา “ท่องเที่ยว” ยกเว้นกลุ่มคนที่”ใจถึง ใจกล้า” แน่นอน มีแน่ แต่ น้อยกว่าน้อย ดังนั้นการให้ นโยบาย “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ปรับขบวนคิด เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

การที่  “รัฐบาล” ลงนามต่ออายุ”พรก.ฉุกเฉิน” จากครั้งละ 3 เดือน เหลือเพียง 1 เดือน อาจจะเป็นการ”ส่งสัญญาญ” ที่ สำคัญว่า”อาจจะ” มีการ “ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน” ในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ในเร็วๆ นี้  เพราะโดยข้อเท็จจริง การมี “พรก.ฉุกเฉิน” ก็ไม่ได้ทำให้ “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ปลอดจากการ”ก่อการร้าย”  ตราบใดที่”กองกำลังติดอาวุธ” ยังมีความ”เคลื่อนไหว” ที่เป็น”อิสระ” มีการเลือกพื้นที่ในการ”ก่อเหตุ” และได้ผลในทาง”ปฏิบัติการ” อย่างที่เป็นอยู่  แต่การยกเลิก” พรก.ฉุกเฉิน” จะได้”ประโยชน์” ด้าน”จิตวิทยามวลชน” และเป็นการลด”เงื่อนไข” ของ “ฝ่ายตรงข้าม” ทั้ง “บีอาร์เอ็น”และ”เอ็นจีโอ” โดยเฉพาะ”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมือง” ของ” บีอาร์เอ็น” ที่นำเอาเรื่องนี้เป็น”เงื่อนไข” ในการ”โจมตี” เจ้าหน้าที่รัฐ ….ที่สำคัญ ถ้าการยกเลิก “พรก.ฉุกเฉิน” แล้วทำให้ สถานการณ์ในพื้นที่”ย่ำแย่” ฝ่ายความมั่นคง ก็จะสามารถที่จะนำ”พรก.ฉุกเฉิน” กลับมาใช้ได้อีก  รวมทั้งทำให้มองเห็นและเป็นการ”ยืนยัน” ให้ คนในพื้นที่เห็นถึงข้อ”เท็จจริง” และความ”สำคัญ”ของการมี”พรก.ฉุกเฉิน”ว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน ….โดยข้อเท็จจริง วันนี้ งานด้านความมั่นคง ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ภายใต้การนำของ “พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 . งานด้าน”ยุทธวิธี” ไม่ได้”เข้มข้น” เหมือกับในอดีต  “จุดตรวจ จุดสกัด” ที่เคยมีอยู่มากมาย บนถนนสายหลักๆ ใน 3 จังหวัด และ 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา ลงเหลือไม่ถึง 30 แห่ง ส่วน จุดตรวจ”ชคต. “ และ”ชรบ.ใน หมู่บ้าน ตำบล ก็ลดลงจำนวนมาก เพียงแต่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ขาดการ”สื่อสารกับสังคม” เรื่องของ”จุดตรวจ” จึงยังเป็น”จุดอ่อน” ให้ฝ่ายตรงข้าม นำมาเป็น”เงื่อนไข” ในการ”โจมตี” เจ้าหน้าที่ทหาร

คน จ.สงขลา “ชื่นชม” สรรเพชญ บุญญามณี “ สส.เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ทีนำเอาปัญหา”อควาเรี่ยมสงขลา” ที่ผู้รับเหมาทิ้งงานไปแล้ว 14 ปี ทั้งที่เบิก”งบประมาณ”ไปแล้ว 1,400 ล้าน และ “อควาเรี่ยมสงขลา” กลายเป็น”ประติมากรรม” แห่งความ”อัปยศ” ที่ชี้ให้เห็นว่า” อำนาจรัฐ” ยัง”พ่ายแพ้” ต่อ “กลโกง” ของกลุ่มผู้มีอำนาจ “สรรเพชญ” เข้าสภาไม่นาน แต่ได้หยิบยกปัญหาของ”อความเรี่ยม” มา “อภิปราย”ถึง 2 ครั้ง แสดงว่ามีความ”ตั้งใจ” และ”เกาะติด”และต้องการให้ หน่วยงานที่รับผิดชอบทำการแก้ไข   ปัญหาจึงอยู่ที่” กระทรวง อว. จะ ว่าอย่างไร จะจัดสรร”งบประมาณ” เพิ่มเพื่อสร้างให้เสร็จเพื่อการใช้ประโยชน์  ส่วนเรื่อง”เช็คบิล” ผู้”รับเหมา” ที่”ทิ้งงาน” ก็ไปว่ากันด้วยขบวนการของ”กฎหมาย” และในข้อหาการ”คอร์รับชั่น” ก็เป็นหน้าที่ของ”ปปช.”ที่จะ”จัดการ”   แต่ที่ผู้คนใน จ.สงขลา”กังขา” อย่างแรง คือทำไม่การ ตรวจสอบ และ “ไต่สวน” เรื่อง”ทุจริตคอร์รับชั่น” ของ” ปปช. ใน กรณี”อควาเรี่ยมหอยสังข์สงขลา”จึงเดินไปอย่าง”ล่าช้า”ยิ่งกว่า”หอยทาก” มีอะไรที่”ไม่ชอบมาพากล” หรือไม่ …..ส่วน สส.สุภาพสตรี “หนึ่งเดียว” ของ สงขลา “สุภาภรณ์ กำเนิดผล” สส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 6 สงขลา นำเรื่อง”จราจร จลาจล”ในเขตเทศบาลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา เส้นทางชายแดนไทย-มาเลเซีย  ซึ่ง ประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนน ร้องเรียนมาไป “อภิปราย” ในสภาผู้แทนฯ เพื่อให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเรื่อง”จราจร-จลาจล”และประชาชนในพื้นที่ คงจะพอใจที่ได้เห็น”ผู้แทน” ที่ เลือกมา นำเรื่องความเดือดร้อนไปแก้ไขในเวทีการเมือง”ระดับชาติ” เพราะผ่านมาแล้วเป็น 10 ปี ปัญหานี้”ท้องถิ่น” แก้ไขไม่สำเร็จ

เห็น”บทบาท” ของ”นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต สส. อดีต “รัฐมนตรี” พรรคประชาธิปัตย์ จ.สงขลา ลงพื้นที่ เพื่อการ”มีส่วนร่วม”กับ องค์กรต่างๆ ใน จ.สงขลา อย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะเป็นการ”ส่งสัญญาณ” ทางการเมือง ให้รับรู้ว่า มีการ”เตรียมพร้อม” จะลงลง”สนามการเมืองท้องถิ่น” ในตำแหน่ง “นายก อบจ.สงขลา” อีกครั้ง อย่างแน่นอน….. เช่นเดียวกับ “ปลัดแป้น” ณรงค์พร ณ พัทลุง ที่มีผู้พบเห็นว่า มีการจัด”กิจกรรมทางสังคม”อย่างต่อเนื่อง ในเขต เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา “เป้าหมาย” คงจะเป็นตำแหน่ง”นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ข่าวว่า ครั้งนี้ “ปลัดแป้น” อาจะเข้าสังกัดพรรคก้าวไกล ซึ่งคงจะไม่ยาก เพราะ”ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ ก็เป็นคน สงขลา และเป็น ศิษย์เก่า” หาดใหญ่วิทยาลัย” เช่นเดียวกัน

ข่าวว่า “บัญชีผู้มีอิทธิพล”ที่จัดทำโดย ผวจ.สงขลา มีชื่อของ  ขบวนการค้าของหนีภาษี เป็นจำนวนมาก หลายรายที่ ”ใหญ่ไม่จริง” แต่ที่”ใหญ่จริง” ไม่มีในบัญชี เช่น “นายบ่อนออนไลน์” นักธุรกิจใหญ่”สีเทา” นักค้ายาเสพติด  ที่สำคัญ”ข่าวรั่ว” มีหลายรายเริ่ม”วิ่งเต้น” เพื่อการ”ลบรายชื่อ”กันแล้ว …..มีผู้ถามว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา” เป็นใคร เพราะเห็นว่ามาไกลจาก จ.สมุทรสงคราม ที่เป็น จังหวัดเล็กๆ ก็ขอให้รายละเอียดว่า”สมนึก พรหมเขียว”เป็น ชาวอำเภอสะเดา จ.สงขลา โดยกำเนิด เป็นศิษย์เก่ามหาวชิราวุธ เคยเป็น”รอง ผวจ.ปัตตานี” ก่อนที่จะไปเป็น ผวจ.สมุทรสงคราม เมื่อปีก่อน  และปีนี้ ย้ายกลับ”บ้านเกิด” ส่วนจะอายุราชการ 1 ปี หรือ 2 ปี ก็ไม่แปลก ถ้ามีฝีมือ และมีความตั้งใจ อยู่ 1 ปี ก็สร้างผลงานได้เช่นกัน

หลัง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้”ยาหอม” ชาวสวนยางว่าจะไป “จัดการ” ให้”ราคายางพารา” ขึ้นไปถึง กิโลกรัมละ 80 บาท วันนี้ ราคา”ยางแผ่นรมควัน” ขึ้นไปอยู่ที่ กิโกกรัมละ 50 กว่าบาท น้ำยางสด กิโลกรัมละ 48 บาท ยางก้นถ้วย กิโลกรัมละ 25 บาท ชาวสวนยางภาคอื่นๆ อาจจะ”ดีใจไชโย” แต่ชาวสวนยางที่ภาคใต้”ร้องให้” เพราะ”ยางราคาดี” แต่ฝนตกเดือนละ 25 วัน เหลือ กรีดยางได้ 5 วัน จึงยัง”จนเหมือนเดิม” จบข่าว ……ส่วนเรื่องของ”ค่าแรง” ที่กลุ่มผู้ใช้แรงงาน ร้องกันเย้วๆ เพื่อขอขึ้นค่าแรง วันละ 400 บาท ฟัง รัฐมนตรีแรงงาน” พิพัฒน์  รัชกิจประการ” ถึงเรื่องนี้แล้วจะ”เข้าใจ” การขึ้น”ค่าแรง” ต้องไม่”ก้าวกระโดด” เพราะหากขึ้นแบบ”ก้าวกระโดด” อย่างที่ผู้ใช้แรงงานต้องการ”กลุ่มทุน”เอสเอ็มอี” กว่าครึ่งของประเทศ “เจ๊งบ้ง” นั้นหมายถึงการ”ตกงาน”ครั้งใหญ่ของผู้ใช้แรงงาน และเป็นการ”ทำร้าย” กลุ่มทุน”เอสเอ็มอี” ให้หมดลมหายใจ ก่อนขึ้นค่าแรง ต้องมีการ”พัฒนาฝีมือแรงงาน” และต้องจัดการ”ค่าแรง” ให้มีความ”เหมาะสม”กับ”แรงงานฝีมือ” การออก”กฎหมาย” ค่าแรง” ถ้าทำแบบไม่มี”ขั้นตอน” จะเป็นต้นเหตุให้”นายจ้าง” ปลดคนงานออก และยิ่งเป็นการ”ซ้ำเติม” ความ เดือดร้อนให้กับ”แรงงาน” ยิ่งขึ้น รัฐบาลรู้ กระทรวงแรงานรู้  ว่า “ค่าแรง”ของ”แรงงานไร้ฝีมือ” ไม่”สัมพันธ์”กับ”ค่าครองชีพ” ใน ปัจจุบัน แต่การขึ้นค่าแรงต้อง”รอบคอบ” และต้อง”เข้าใจ –เห็นใจ” ทั้งผู้ใช้”แรงงาน”และ”นายจ้าง”ด้วย

เรื่องความเดือดร้อนของ “เกษตรกรชาวสวน” ในพื้นที่ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ที่ ผลผลิต ทั้ง” กล้วย ,มะพร้าวน้ำหอม” และอื่นๆ ถูก “ลักขโมย จาก”มิจฉาชีพ”  เกษตกร ได้รับความเดือดร้อนทั้งอำเภอ ได้รับการแก้ไขแล้ว   โดย” พ.ต.อ.ดุสิต พรหมสิน”  ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา ตั้งทีมตำรวจ เพื่อ ติดตามจับกุม” กลุ่มมิจฉาชีพ “เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของ เกษตรกร  แต่ที่สำคัญ ต้อง ทำลาย”ต้นตอ” ที่มาของ “กลุ่มมิจาชีพ” ที่มาจากการตกเป็นทาส”ยาเสพติด” ถ้า ไม่แก้ที่”ต้นตอ” คือการ”จับกุมกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ให้หมดไป”มิจฉาชีพกลุ่มนี้” ก็จะเปลี่ยน”เป้าหมาย” จากการ “ลักขโมย” ผลผลิตทางการเกษตร มาเป็น”ลักทรัพย์.ชิงทรัพย์ ,งัดแงะ “ และ”ฉกชิง วิ่งราว” ยังสร้างความเดือดร้อนให้สังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ข่าวดี หลังการเปิด”ฟรีวีซ่า” ที่ จ.ภูเก็ต กลุ่มนักท่องเที่ยวจาก”คาซักสถาน” เดินทาง เข้ามา ท่องเที่ยว ใน จ.ภูเก็ต เป็นจำนวนมาก  เจ้าของธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร และ ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ”ขายการท่องเที่ยว” ดีใจ แต่” พล.ต.ท. สุระพงษ์ ถนอมจิต” อย่าได้”ชะล่าใจ” เพราะ”มิจฉาชีพ” น้อย ใหญ่ รอที่จะ”เขมือบเหยื่อ” ที่เป็น นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้อง”สั่งการ” ให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจใน เมืองท่องเที่ยวภาคใต้ตอนบน เช่น”ภูเก็ต, พังงา”กระบี่” ทำงานให้หนักกว่าเดิม ในการดูแลนักท่องเที่ยว ร่วมกับ “ตำรวจท่องเที่ยว” ที่มีกำลังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะ”อาชญากรรมทางเพศ” ต้องป้องกันมิให้เกิดกับชาวต่างชาติ

สกิด”สีข้าง” พีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ให้หันมาดูความเดือดร้อนของคน”ตัวเล็กตัวน้อย” ที่ใช้ชีวิต”ผูกติดกับน้ำมันเบนซิน” ในการ เดินทางไปทำงาน และ รถ จยย.รับจ้าง ทั้งหลายทั้งปวง ที่ ณ วันนี้ “น้ำมันในกลุ่มเบนซิน” จำพวก “แก๊สโซฮอลล์ 91 – 95 “ ลิตรละ 40 กว่าบาท แต่ยังไม่เห็น “มาตรการ” ของ กระทรวงพลังงาน ว่าจะ”เยียวยา” คน”ตัวเล็กตัวน้อย” อย่างไร ถ้าจะช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มจะ”ยุ่งยาก”ขนาดไหน ทางที่ถูกต้องที่สุดคือ “แก๊สโซฮอลล์ 91-95 “ ที่เป็น น้ามันของคนจน ต้องมีการ ลดราคา เช่นเดียวกับการลดราคา น้ำมันดีเซล…… พรรคการเมืองอื่นๆอย่าง”ก้าวไกล” ก็มีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ได้ “ชัยธวัช ตุลาธน”เป็นหัวหน้าพรรคแทน”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนก้าวไกล  ส่วน”เพื่อไทย” ก็มีการ”เคาะ”วันประชุมเลือกหัวหน้าพรรคแทน”ชลน่าน สีแก้ว”กันไปแล้ว และชื่อของ”อุ๋งอิ๋ง” แพทองธาร ชินวัตร “ลูกสาวหล้า” ของ”ทักษิณ ชินวัตร”  ก็มีการกล่าวขานว่า จะเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อไทย เหลือก็แต่”ประชาธิปัตย์” ที่ ยังไม่มี”หัวหน้าพรรค” เพราะการ”ขัดแย้ง”ภายในระหว่างนักการเมือง”ขั้วเก่า”กับ”ขั้วใหม่”ยังไม่มีการ”คลี่คลาย” บรรยากาศทางการเมืองของ”ประชาธิปัตย์” จึงเต็มไปด้วยความ”อึมครึม” ที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งกับ”คนในพรรค” และ”ประชาชน” ที่อุตสาห์เลือกคนของ”ประชาธิปัตย์”มาเป็น สส ,ถึง 25 คน วันนี้ทุกคนจึง”ผิดหวัง” และมองเห็น”จุดจบ” ของพรรคอย่างชัดเจน

ปิดท้ายวันนี้  คือความ”อนาถ” ที่เกิดขึ้นใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากการใช้”ยุทธการกวาดบ้านตนเอง” เมื่อ วันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่กลายเป็น”ข่าวใหญ่” ของวงการ”สีกากี” ที่”บ่งบอก”และมองเห็นถึงความ”ฟอนเฟะ” ของคนในวงการ และการ”เอาคืน” ระหว่าง”เลือดสีเดียวกัน” แต่ต่างกันที่”รุ่นใครรุ่นมัน” และอาจจะมีเรื่องของ”ตำแหน่ง” เข้ามาเกี่ยวข้อง วันนี้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่อง”ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นทั้งข้อง” อย่างที่เคยกล่าวกันในอดีต  เพราะวันนี้มี”ปลาเน่า” มากมาย และเป็น”ปลาใหญ่” กลิ่นจึงรุนแรงไปทั่วโลก…..ก็ได้แต่หวังว่า การ”ปฎิรูปองค์กรตำรวจ” จะเกิดขึ้นในยุคที่” เศรษฐา ทวีสิน “ เป็น”นายกรัฐมนตรี” และผู้ที่ได้รับการ”แต่งตั้ง” ให้เป็น” ผบ.ตร.” คนใหม่ ต้องให้ความสำคัญในเรื่องการ”ปฏิรูปองค์กรตำรวจ” อย่างจริงจัง  เพื่อให้องค์กรตำรวจกลับมาเป็นที่พึงของประชาชนและเป็น”ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง …..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา ‘การเมืองวิถีไทย’ กับ ‘เสนาบดี’ส้มหล่น!

ได้รัฐบาลใหม่แล้ว ได้”นายกรัฐมนตรี” คนใหม่ที่เป็นคนที่ 30 แล้ว และ ทุกกระทรวง ก็ได้”เสนาบดี”ครบถ้วน พร้อมทั้งมีการ”เข้าประจำการ” เพื่อทำการ”ขับเคลื่อน” ภารกิจของแต่ละกระทรวงที่ได้รับ”มอบหมาย” หรือ”เสนาบดี”บางรายได้ตำแหน่งมาตาม”โควตา” ที่เรียกว่า” เสนาบดีส้มหล่น” ที่เมื่อเข้านั่งตำแหน่ง”เสนาบดี” แล้ว ยังต้องใช้เวลาในการ”ศึกษางาน” ซึ่งเป็นไปตาม”ธรรมชาติ” ของ”การเมือง”แบบ”วิถีไทย” ที่ยังคง”จมปลักดักดาน”กับเรื่อง”ต่างตอบแทน” อีกยาวนาน…..แต่ก็ต้อง”ชื่นชม”นะ สำหรับ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่ใช่ความ”รวดเร็ว” ยิ่งกว่า”กามนิตหนุ่ม” ใน”วรรณคดีไทย” ในการ”ประชุมสั่งการ”ให้ ทำทันที่ในหลายเรื่อง ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ”ปากท้อง” และความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน” ทั้งเรื่องการลด”ราคาน้ำมัน” การลดค่า”ไฟฟ้า”ซึ่งเป็นไปตามที่ได้”รับปาก”กับ”ประชาชน” ในตอนที่”หาเสียง” และแม้ว่าจะเป็นการ”ลดราคา “ เพื่อให้เป็นตาม”สัญญาประชาคม” ที่ใช้การ”ลดภาษี”สรรพสามิต”เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลงลิตรละ 2.50 บาทต่อลิตร ที่เป็นเรื่อง”กล้วยๆ” สำหรับการบริหารประเทศที่ใครก็ทำได้  ดังนั้นในระยะยาว จึงต้อง”จับตามอง” ว่า”รัฐบาลนิดหนึ่ง” จะดำเนินการในเรื่องของการลด”ราคาพลังงาน” ที่เป็น”รูปธรรม” อย่างไร เพราะเรื่องของ”พลังงาน” ต้องแก้ที่”ต้นน้ำ”และ”กลางน้ำ” ตั้งแต่”ต้นทุนราคาน้ำมันดิบ” จนถึง”โรงกลั่น” จนถึงโครงสร้างของ”ภาษี”ที่ต้องมีทั้ง”มาตรการ”และ”มาตรฐาน” ไม่ใช่ปล่อยให้ “กลุ่มทุนพลังงาน” เป็นผู้”กำหนด”และ”กระทรวงพลังงาน” เห็นชอบ โดยให้”ประชาชน”เป็นผู้”รับเคราะห์” ที่ต้อง”แบกรับความเดือดร้อน” เพื่อให้”กลุ่มทุนพลังงาน” ได้กำไรปีละ “หมื่นล้าน แสนล้าน” อย่างที่มีการประกาศตัวเลขของผลกำไรในทุกปี

อีกเรื่องที่ต้องบอกว่า”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ยัง”เกาไม่ถูกที่คัน” เช่นการให้”จ่ายเงินเดือนเป็นวีค” คือเดือนละ 2 ครั้ง แบบเดียวกับ”โรงงานหลายแห่ง” เพื่อให้ผู้”มีเงินเดือน” ไม่ต้องรอรับเงินเดือนในทุกสิ้นเดือน โดยที่”กลางเดือน” ต้องไป “กู้หนี้ยืมสิน” มาใช้ก่อนที่จะถึงวัน”เงินเดือนออก” วิธีการคิดจะ”ดูดี” แต่ไม่ตรงกับ”ข้อเท็จจริง” เพราะ สำหรับ”มนุษย์เงินเดือน”แล้ว ไม่ว่าจะมีการ”จ่ายในวันสิ้นเดือน” หรือ”แบ่งจ่าย” เดือนละ 2 ครั้ง ค่าที่ได้รับก็”เท่ากัน” คือ”ไม่พอกินพอใช้” สิ่งที่”มนุษย์เงินเดือน” ส่วนหนึ่ง ที่เป็นระดับล่างเงิน เดือน ตั้งแต่ 15,000-20,000 บาท ต้องการไม่ใช่การ”จ่ายเงินเดือน 2 ครั้งต่อเดือน” แต่ต้องการให้มีการ”ขึ้นเงินเดือน” หรือขึ้น”ค่าแรง” เพื่อให้”พอกินพอใช้” โดยไม่ต้องใช้”ชีวิตที่อิงแอบ”อยู่กับ”ดอกเบี้ยเงินกู้” อย่างที่เห็น…..ส่วน”มนุษย์เงินเดือน” ที่ไม่”เดือนร้อน” จะจ่ายเงินเดือน ๆละกี่ครั้ง เขาก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะเขา”มีกินมีใช้” ไม่มีภาระของ”เงินกู้”และ”ดอกเบี้ย”ดังนั้นการที่”รัฐบาลนิดหนึ่ง”จะ”เกาให้ถูกที่คัน” คือ”ขึ้นค่าแรง” และ”ขึ้นเงินเดือน” ให้กับกลุ่มผู้”เดือดร้อน” โดยเร็ว โดยการขึ้นค่าแรง”เป็นขั้นบันได”โดยไม่ต้องรอขึ้นวันละ 600 บาทในปี 2570 อย่างที่”หาเสียง”เพื่อเป็น”ยาหอม” ให้กับ”ประชาชน” ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ที่”ค่าแรง”ของ”ประเทศไทย” จะไปไกลถึงขนาดนั้น

ส่วน”เสนาบดี” ที่มี”ชั่วโมงบินสูง” เพราะเป็น”อดีต รมช.”มาแล้วอย่าง “ รอ.มนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็เป็นอีก”เสนาบดี” ที่ หลังรับตำแหน่งก็”ทำงานทันที” ทั้งการแก้ปัญหา”มังคุดตกต่ำ”ที่เป็นความเดือดร้อนของ”เกษตรกร”จ.นครศรีธรรมราช และ ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อแก้ปัญหาเรื่อง”ที่ดินทำกิน” ที่”ทับซ้อน” ในเขต “อุทยานและป่าสงวนแห่งชาติ” ซึ่งเป็นเรื่อง”คาราคาซัง”มาหลายสิบปีแต่การแก้ปัญหาไม่เคย”สะเด็ดน้ำ” ครั้งนี้ก็ต้องดูว่า” รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ส่วนเรื่องไป”ตกปากรับคำ” กับ”ชาวสวนยาง” เรื่องจะให้ยางราคากิโลกรัมละ 80 บาท ระวังจะ”ทำไม่ได้” และจะกลาย”เป็นบ่วงผูกคอ”ตนเอง ….ยกตัวอย่าง ที่ดินใน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา หลายตำบล เช่น ตำบลบาโหย ที่ สถานที่ราชการทั้งหมด เช่น รพ.สต. โรงเรียน และ อื่นๆ ที่เป็น”ส่วนราชการระดับตำบล” และ”เรือกสวนไร่นา” ที่ทำกินทั้งหมด ที่ทำกินมาเป็นเวลา 3 ชั่วคน ในแผนที่ยังเป็น”ผืนป่าต้นน้ำที่ 1 “ แต่ในความเป็นจริง” ไม่มีป่ามากว่า 100 ปีแล้ว มีแต่”สวนยาง สวนผลไม้” แต่ไม่มีหน่วยงานไหน นำข้อเท็จจริง แจ้งให้ “รัฐบาล” และ”หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ได้รับรู้เพื่อที่จะได้แก้ไขให้เป็นไปตามสภาที่เป็น”ปัจจุบัน” เพื่อ”คลี่คลาย” ความ”เดือดร้อน”ของ เกษตรกร ที่ ณ วันนี้ตามกฎหมายยังเป็น”ผู้บุกรุก” ที่ดินใน”ป่าต้นน้ำ” ที่ “เกษตรกร” ผู้เข้าไปทำกิน ไม่มี “เอกสารสิทธิ์ ทั้งที่”ครอบครองทำกิน”มาถึง 3 ชั่วอายุคน….เรื่องนี้แม้แต่ สส.เจ้าของพื้นที่ก็ไม่เคยนำเรื่อง “ที่ดินในตำบลบาโหย” อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ไป “อภิปราย”ในสภาผู้แทนฯ ทั้งแต่มีการ”เรียกร้อง” จาก”ประชาชน” ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน ในการขอให้”เพิกถอน” สภาพที่ดิน และออก”เอกสารสิทธิ์” ให้กับผู้ที่เข้าไป”ทำกิน”

ก็ถามกันมามากมายว่าหลังที่ “พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เกษียณอายุราชการ จากตำแหน่ง”เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. )ในวันที่ 30 กันยายน ศกนี้ ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ “เลขาธิการ ศอ.บต.” จะเป็นใคร ก็ตอบให้หาย”ข้องใจ”ว่า “เลขาธิการ ศอ.บต.” คนต่อไปคือ “พ.ต.ท.วรรณพงษ์ ชครักษ์” ที่มาจาก “กระทรวงยุติธรรม”……ก็ได้แต่หวังลึกๆ ว่า จะมีการ”ยกเลิก” คำสั่ง คสช. ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทำการ”ใช้คำสั่ง “คสช.” ทั้ง 3 ฉบับเพื่อการ”บอนไซ” ศอ.บต. ให้อยู่ภายใต้การ”สั่งการ”ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะได้รับการ”ยกเลิก” โดยเร็ว เพราะหาก “ศอ.บต.” ยังมีคำสั่งนี้”กดหัว”อยู่ ต่อให้ได้”เทวดา” ที่”เหาะเหินเดินอากาศได้” มาทำหน้าที่” เลขาธิการ ศอ.บต.” ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ “ศอ.บต. “ เป็น” เครื่องมือ”  ที่มี”ประสิทธิภาพ” ในการแก้ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้…. ก็ดูอย่าง “พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เลขาธิการ ศอ.บต.” ที่ทำงานหนักมาถึง 4 ปี ไม่มีทั้งวัน”หยุดพัก” ไม่มี”เสาร์-อาทิตย์” ทุก”ลมหายใจ” มีแต่งานและงาน แต่เพราะโครงสร้างของ “ศอ.บต.” ที่ถูก” คสช.” มัด”ตราสังข์” เอาไว้ จนหลาย”องคาพยพ” เป็น”อัมพาต” และ”งบประมาณ” ที่ถูก “ลดทอน” ศอ.บต. จึงกลายเป็น “องค์กรที่ทำหน้าที่ได้แค่ประสานงาน” หรือ”บูรณาการ” กับหน่วยงานที่เป็น”ส่วนราชการ” ในภูมิภาค และกับ”กระทรวง ทบวง กรม “ ที่อยู่ใน”ส่วนกลาง” “เนื้องาน” ที่ทำได้จึงไม่”เต็มเม็ดเต็มหน่วย” ทั้งที่ทำการ”ทุ่มเททั้งชีวิต”

และอีกกระทรวงหนึ่งที่แม้”เสนาบดี” จะเป็น”รัฐมนตรีป้ายแดง” อย่าง กระทรวงยุติธรรม ที่มี “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง “ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็น”เสนาบดี” แต่ก็ทำการ”ขับเคลื่อน”งานด้าน”ยุติธรรม” ทั้งแต่ยังไม่เข้ารับตำแหน่งด้วยซ้ำ หลังเข้ารับตำแหน่งเต็มตัว “ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ก็ลงพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในทันที เพราะแก้ปัญหาเรื่องของ”ยาเสพติด” ที่กลายเป็นปัญหาความ”ไม่มั่นคง” ของ”ครัวเรือน” จนถึงความ”ไม่มั่นคง”ของ”ประเทศชาติ นี่คือความพร้อมของ”กระทรวง”ที่มีการ”ขับเคลื่อน”ทันทีหลังที่”เจ้ากระทรวง” เข้ารับตำแหน่ง….ฟัง “ครูใหญ่”ที่เป็น”เสนาบดี” กระทรวงศึกษาธิการ “ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ “ให้ โอวาสบรรดา”แม่พิมพ์ของชาติ” ที่ต้องการให้”คุณครู” ทุกท่านใช่ชีวิตอย่าง”พอเพียง” เช่นการเดินทางด้วยรถยนต์คันเดียวกันในการไปโรงเรียนในเส้นทางเดียวกัน ไม่ต้อง”ใส่ซอง” ให้มากในการไปงานสังคม  และ อื่นๆ อีกหลายเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่า”พูดได้สอนได้” แต่ เชื่อเถอะ ไม่มีครูคนไหน “ปฏิบัติ” ได้ สำหรับ”สังคมปัจจุบัน” วันนี้สิ่งที่”แม่พิมพ์ของชาติ” ต้องการได้เป็น”ของขวัญ” จาก” เสนาบดีกระทรวงเสมา”คือการ”พักหนี้เงินกู้” เพราะ “ครู” เป็นหน่วยงานที่”เป็นหนี้” มากที่สุด และ จำนวนมาก หลังเกษียณอายุราชการ “เงินบำนาญ” ที่ได้รับถูก”หักหนี้”เหลืออยู่ใน”กระเป๋า” ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน ถ้า”ครู” ต้องใช้ชีวิตโดย”พะวักพะวง” อยู่กับ”หนี้สิน” แล้วจะมี”สมาธิสติปัญญา” ในการให้ความรู้ บรรดา”นักเรียน”อย่างไร   ปัญหา”ของครู”ต้องแก้ให้ตรงจุด ไม่งั้นก็สูญเปล่า

”วิกาลยาวนานฝันยู๋งเหยิง”เปรียบกับการ”เลื่อน”การประชุมของ”นายกรัฐมนตรี”เศรษฐา ทวีสิน” เพื่อ”เคาะ”ว่าใครจะได้เป็น” ผบ.ตร. ที่ยิ่งยืดออกไปนานเท่าไหร่ ยิ่งเปิดโอกาสให้”นักวิ่ง” มีเวลาในการ”วิ่งเต้น”มากขึ้น ถนน”หลายสาย” มุ่งไปยัง”นักการเมือง” เพื่อการ”ขอตั๋ว” ในตำแหน่งที่ต้องการ   ที่ บชภ.9  ซึ่งมีพื้นที่ 7 จังหวัด ตั้งแต่ จ.ตรัง ลงมาจนถึง จ.นราธิวาส ที่เป็นเมืองชายแดน ทั้ง”ทางบกและทางทะเล” ก่อนหน้านั้น  พล.ต.ต.ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี รอง ผบช.ภ. 9 มีความ”ชัวร์” ว่าจะได้ตำแหน่ง ผบช.ภ.9 มีการจัดทำบัญชีโยกย้ายกันแล้ว แต่วันนี้ ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะมี พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9 กำลัง”วิ่งแรงแซงโค้ง” ก็ต้อง”จับตาดู”ว่าสุดท้ายแล้วใครจะ”เข้าวิน” …..แต่ที่แน่ๆ  ไม่ว่าจะใครจะได้”ตั๋วช้าง” หรือ”ตั๋วม้า” จาก”ในการ”วิ่งเต้น”ในครั้งนี้ ข้อมูลบางส่วน มีการถูก”ยัดใส่มือ” ให้กับ “สส.พรรคก้าวไกล” ที่ “ฝีปากกล้า อย่าง”รังสิมันต์ โรม และ”วิโรจน์ และ”วิโรจน์ ลักษณ์คณา”  ไปแล้ว ซึ่งคนทั้งประเทศ คงจะได้ฟังจากการ”อภิปราย”ในไม่ช้านี้ ก็ต้องยอมรับว่า”วันนี้ไม่เหมือนวันวาน” เรื่องทุกอย่างไม่เป็น”ความลับ” ถ้าใครทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หนีไม่พ้นการ”พิพากษาจากสังคม

การที่”กรมการปกครอง” ร่วมมือกับ”ศุลกากร” และ”สรรพสามิต” ทำการ”ปราบปราม” ผู้ที่ค้าบุหรี่หนีภาษีและบุหรี่ปลอม ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อย่าง”ต่อเนื่อง” ก็ได้ผลอยู่นะ เพราะ ร้านค้าใหญ่ๆ ทำการ”ปิดหน้าร้าน” ไม่ทำการค้าแบบ”ประเจิดประเจ้อ” แต่มีผู้”ร้องเรียน” มาว่าที่”ร้านกลางซอย” ย่าน”หาดใหญ่ใน” มีอยู่ร้านหนึ่ง ที่เปิดขายบุหรี่หนีภาษี บุหรี่ไฟฟ้า อย่าง”เย้ยกฎหมาย” มี ผู้ต้องการซื้อสินค้าเดินเข้า-ออก”พลุกพล่าน” ทั้งวัน เจ้าของร้านเป็น “อดีตตำรวจชื่อ “จ่า ท.” มี ลูกชายเป็น”ตำรวจชั้นประทวน” แต่ใหญ่กว่า”สัญญาบัตร” และที่ สำคัญ ใกล้กับ “ร้านค้า” เป็น สำนักงานของ “ หน่วยงานหนึ่ง ที่เกี่ยวข้อกับการ”ปราบปรามของผิดกฎหมาย”

คดีการ”บุกรุกโบราณสถานเขาแดง” ที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยฝีมือของ”นักการเมืองท้องถิ่น” ใน “เทศบาลสิงหนคร” จบ”ยกแรก” ตาม”ขบวนการของ”กฎหมาย” โดยการที่ “พนักงานอัยการ” ทำการ ส่งฟ้อง และศาล”ประทับรับฟ้อง” ผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 5 คน มี”พ่อ แม่ ลูก” ที่ “ตะกูลการเมืองท้องถิ่น”ที่เป็น”ต้นตอ”ของการ”บุกรุก” รวมอยู่ด้วย งานนี้คนที่ได้รับความ”ชื่นชม” จาก คนในพื้นที่สงขลามากที่สุดคือ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.( สส.) ที่เป็นผู้ควบคุมคดี….และในวัน”แถลงผลความคืบหน้าของคดี” เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการ”สั่งยึดทรัพย์” ที่เป็น”ที่ดินของกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น” ที่ทำความผิด 5 แปลง ราคา 20 ล้าน ….ขั้นตอนต่อไปคือ “กรมศิลปากร” ต้อง เร่งดำเนินการ ในการจัดหา”งบประมาณ” เพื่อการ”บูรณะ” พระเจดีย์” ที่ถูก “ขุดดินบริเวณฐาน” ออกไปขาย เพื่อให้มีความ”มั่นคง” ก่อนที่จะมีการ”ทรุดตัว” หรือ”พังครืน” ลงมา เรื่องนี่เป็นเรื่องที่จะรอเงินจากการ”ยึดทรัพย์” เพื่อใช้”บูรณะ” ไม่ได้ เพราะ ขบวนการยึดทรัพย์ยังไม่ถึงที่สุด และยังมีขบวนการ”ขายทอดตลาด”ที่กว่าจะจบสิ้นขบวนความอีกยาวนาน…..ถือเป็นยุคที่ ปปช.มีผลงาน เป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถ”เอาผิด” กับผู้”ทุจริต” ที่เป็น”ภาครัฐ” เจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ “นักการเมืองท้องถิ่น” และ” “เจ้าหน้าที่รัฐ” เดิน”พาเหรด” เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ใน”เรือนจำ” เป็นจำนวนมาก ล่าสุด ธนกฤต เลิศวิริยวรางกูร ผอ. ปปช. สตูล เปิดเผยว่า ใน จ.สตูล มี 3 โครงการ ที่”ส่อ” การ”ทุจริต” เช่น โครงการโรงฆ่าสัตว์2 แห่ง งบประมาณ 28 ล้าน ที่เป็นการสร้างแล้ว”ทิ้งร้าง” ไม่สามารถใช้งานได้ และ โครงการ”สร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยว” วงเงินงบประมาณ 29 ล้าน แต่สร้างไม่เสร็จ ที่น่าสังเกตคือทั้ง 3 โครงการ เป็นการของ องค์กรบริหารส่วนจังหวัด” ที่มีการ ตั้งขอสังเกตว่า” ต้องการตั้งงบประมาณเพื่อก่อสร้าง แต่ไม่ได้หวังการใช้ประโยชน์”

อีกเรื่องที่เกี่ยวพันกับเรื่องของ”ความมั่นคง” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” นั้นคือตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ “ หรือ”สมช.” ที่ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการ สมช. จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน นี้ และมีข่าวที่”หนาหู”ว่า “เลขาธิการ สมช.คนใหม่ ไม่ใช่”ลูกหม้อ” ของ “สมช.” แต่เป็น” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 1 ที่เป็น”แคนดิเดต” ผบ.ตร. ถามว่า ระหว่าง ตำแหน่ง ผบ.ตร. ที่ “ยิ่งใหญ่” และ”มี”อำนาจ” ทั่วประเทศ และมี”อะไรต่อมิอะไร” มากมาย กับตำแหน่ง “เลขาธิการ สมช.” ที่มีเพียง “งบประมาณ” จะเลือกตำแหน่งไหน…..ถ้าการ”โอนย้าย” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เพียงเพื่อ”หลีกทาง” ให้” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ขึ้นเป็น “ผบ.ตร. เท่ากับว่า “นายกรัฐมนตรี” เศรษฐา ทวีสิน” ไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องของ”ความมั่นคง” มาแต่ต้น ใช่หรือไม่ เพราะตำแหน่ง “เลขาธิการ สมช. “ เป็นตำแหน่งสำคัญ สำหรับความมั่นคงของชาติ   โดยเฉพาะ”ความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้”ที่ “สมช.” ต้องเป็น”เสาหลัก”ของการดับ”ไฟใต้”…..ซึ่งตรงกับที่ คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งข้อสังเกตเรื่องการแต่งตั้งให้”สมศักดิ์ เทพสุทิน” รอง นายกรัฐมนตรี เป็นผู้”กำกับดูแลศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ “ศอ.บต.” ที่มีข้อสังเกตว่าเป็นการตั้งคนที่ตรงกับงานหรือไม่ ดังนั้น จึงมีความเห็นจากคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี “สอบตก” ในเรื่องปัญหา”ความมั่นคง” เพราะเป็นการ”แต่งตั้ง” ผู้รับผิดชอบงานความมั่นคง”ที่”ไม่ตรงปก”

วันนี้การท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต คึกคักมาก นักท่องเที่ยวต่างชาติ”ที่มากเป็นพิเศษคือ”รัสเซีย”กับ”จีน” คนแยะ ปัญหาตามมาก็ แยะขึ้น ในขณะที่”สื่อนอก” ตีข่าวเรื่อง”ต่างชาติ” เข้ามา”กว้านซื้อ” อสังหาริมทรัพย์” ใน จ.ภูเก็ต” รวมทั้งมี”แรงงานต่างชาติ” เข้ามาแย่งอาชีพคนไทย เป็นจำนวนมาก ที่คาดหวังคือการ”ฟื้นตัว”ของการท่องเที่ยว จะเป็นการให้” นักลงทุน แรงงานไทย และ คนไทย” สามารถ”ลืมตาอ้าปาก” เงินในกระเป๋า”เพิ่มขึ้น  ทำให้”กินอิ่มนอนอุ่น” แต่ถ้าการ”ฟื้นตัวของการท่องเที่ยว” ทำให้”เงินทอง”ไหลเข้า”กระเป๋าชาวต่างชาติ” ก็ไม่ต่างกับ”ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่เคยเกิดขึ้นกับ”ภูเก็ต” ในอดีต ประเด็นนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่”กระทรวงแรงงาน” ที่มี “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดี กระทรวงแรงงาน ต้องเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และที่สำคัญ “เสนาบดี”กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา” สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล. “ เสนาบดีป้ายแดง” ต้องให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดขึ้น…..ก็ต้องยอมรับว่า กลุ่มรถบรรทุกหัวลาก” ที่วิ่งระหว่าง ประเทศไทย กับ ประเทศ มาเลเซีย-สิงคโปร์ “ เป็น กลุ่มที่มี”อิทธิพล” เพราะมี”อภิสิทธิ์” ในการนำ”รถเปล่า” ที่ไม่มี”สินค้า” ข้ามพรมแดน เข้าไป เติมน้ำมัน ในปั๊มที่อยู่ใน”แนวชายแดน” ไทย-มาเลเซีย” ได้ และนำน้ำมันเหล่านั้น มา”จำหน่าย” ให้กับ “ผู้ค้าน้ำมันเถื่อน” ใน พื้นที่ของ อ.สะเดา และ หาดใหญ่” จ.สงขลา  ข่าวว่านอกจากได้”ไฟเขียว” ให้เข้าไป”ขนน้ำมันมาขาย” ก็คงต้องถามไปยังนายด่าน ศุลกากรสะเดา ว่า เรื่องอย่างนี้มีอยู่จริงหรือไม่

และการ”ค้าน้ำมันโดยนำเข้าจากประเทศมาเลเซีย” โดยการ”ทรานส์ซิสเส้นทาง” เพื่อไปขายยัง”ประเทศที่ 3 “ ที่มีการ”นำเข้า”เป็น”จำนวนมาก”ในแต่ละเดือน  โดยส่วนใหญ่ของ”ส่งออก”ทาง จ.บึงกาฬ” ชายแดน สปป.ลาว”   รถบรรทุกน้ำมันเหล่านั้น ไปถึง”ปลายทาง”หรือไม่ เพราะเคยมี คดีความ ของการ นำน้ำมันที่ไม่ได้เสียภาษีเหล่านั้น ขายในประเทศไทย เพื่อที่จะได้กำไรมหาศาลแทน และที่เป็นข้อสงสัย ทำไม่ต้อง”ส่งออก”ไปยัง “สปป.ลาว” ด้านชายแดน จ.บึงกาฬ ที่ไม่มี”สะพานข้ามระหว่างประเทศ” แต่ใช้วิธีการ”ลงแพขนานยนต์” ทำไม่จึงไม่”ส่งออก” ทาง ชายแดน จ.หนองคาย ที่มีสะพานข้ามประเทศที่ สะดวก สบาย ก็ฝากให้ “อธิบดีกรมศุลกากร” ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย เพราะนี่เป็นความเสียหายของประเทศชาติ และเกี่ยวพันกับ”ขบวนการค้าน้ำมันระหว่างประเทศ”

ติดตามดู”การโยกย้ายที่”กรมการปกครอง” ที่วันนี้”กระทรวงคลองหลอด” ว่าใครโยกย้าย”ไปไหน ก็แสดงความยินดีกับ”อำพล พงษ์สุวรรณ” จาก”ผู้ตรวจฯ” มาเป็น ผวจ.ยะลา ได้สำเร็จ ส่วน”สุพจน์ เรืองรอด ณ หนองคาย “ ผวจ.ยะลา ก็เป็น ผวจ.พังงา ทั้งที่ตั้งใจจะไปอยู่ จ.ภูเก็ต แต่ “น้ำมันหมด” ระหว่างทาง ส่วน “สนั่น พงษ์อักษร “ ผวจ.นราธิวาส ครั้งแรกหวังจะไปเป็น ผวจ. เมืองใหญ่ อย่าง”ขอนแก่น” แต่ โผที่ออกมาเป็น”กาฬสินธิ์ ถิ่นน้ำดำ ที่เคยเป็น รอง ผวจ.มาก่อน….และ”เจษฎา จิตรัตน์ “ ผวจ.สงขลา ที่เหลืออายุราชการเพียง 1 ปี ได้ย้ายไป จ.สุราษฎร์ธานี ตามที่ต้องการ เพื่อกลับไป”เกษียณที่บ้าน” และ “ศักระ กลิลกาญจน์” จาก ผวจ.ระนอง มาเป็น ผวจ.สตูล สุดท้าย “สมนึก พรหมเขียว” จาก ผวจ.สมุทรสงคราม เป็นเป็น ผวจ.สงขลา นี่ก็เป็นการ”ย้ายกลับบ้าน” เพื่อรอเกษียณในอีก 2 ปี ก็ยินดีกับทุกท่าน….  และ ข่าวว่า เก้าอีกของ “ชวกิจจ์ สุวรรณคีรี นายอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา ก็กำลัง”ง่อนแง่น” เพราะมี”มือดี” จาก จ.พัทลุง หมายปองที่จะมานั่ง  ที่สำคัญคือมี”นักปกครองสมองเพชรและมีเส้นสาย” แต่เป็น”รองผู้ว่าราชการจังหวัด”ไม่ถึง 3 ปีตาม กฎเกณฑ์ วิ่งขอขึ้นเป็น “ผวจ. กับเขาด้วย  แต่ ใครจะ”กินแห้ว” ใครจะ”สมในนึกบางลำพู” ก็อยู่ที่ นโยบายของ มท 1 “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล เพียงคนเดียว

และเมื่อพูดถึง”กระทรวงมหาดไทย” ก็ต้องมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ผู้มีอิทธิพล” แบบเดียวกับ”กำนันนก” ที่เป็นข่าว”โด่งดัง” ในเรื่องของ”บารมีอิทธิพล” ที่ จ.นครปฐม ที่ทำให้ สถาบันของ”กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” สั่นคลอนอยู่ในขณะนี้ และ”อนุทิน ชาญวีรกุล” เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้”ชาดา ไทยเศรษฐ์ “ รมช.มหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบในการ”ปราบอิทธิพล” ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ”กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน” ส่วนใหญ่ของประเทศไทยคือเป็นผู้มี”อิทธิพล”ในวงการ”รับเหมาก่อสร้าง” ที่ใช้”อิทธิพล”ในการ”ฮั้วงาน” ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะที่”ภาคกลาง” แต่ในภาคใต้นี้แหละที่”กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน.นายก อบต.” ใช้ “อิทธิพล”ในการ”ฮั้วงานรับเหมาก่อสร้าง” มากที่สุด เอาที่ จ.พัทลุง เป็นแห่งแรกที่”โครงการใหญ่ๆ” ทั้งหมด ตกอยู่ในมือของ”กำนัน”คนหนึ่งเพียงคนเดียว ก็ฝากให้”รมช.ชาดา ไทยเศรษฐ์” เข้ามา ดูข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างนั้นหรือไม่….และที่สำคัญเรื่องเข้ามา”จัดการ”กับ”ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น” ที่มี”อิทธิพล” อย่างเดียว เป็นการ”เกาไม่ถูกที่คัน” เพราะเรื่อง”ฮั้วงาน” เริ่มต้นของการ”ทุจริต” ตั้งแต่การ”ซื้อรายชื่อ” ผู้ประมูลเพื่อ”รู้เขารู้เรา” และรู้แม้แต่ว่า บริษัทไหน”เคาะที่ราคาเท่าไหร่” เพื่อให้ผู้มี”อิทธิพล”ได้ใช้”อิทธิพล” ในการ”บีบบังคับ”เพื่อที่ตนเองจะได้งาน….อีกเรื่องที่”ปิดไม่มิด” คือ”เงินทอน” ที่ผู้ได้งานต้องจ่ายยุบจ่ายยับ ซึ่งผู้รับเหมาก่อสร้างที่”ไม่มีเส้นสาย” ไร้ซึ่ง”อิทธิพล” เจอเข้างานเดียว”เข็ดหลาบ” ดังนั้นงาน”รับเหมาโครงการใหญ่ๆ” จึงอยู่ในเมืองของ”ผู้มีอิทธิพล” ที่เป็น” กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. เกือบทั้งหมด ถ้าจะแก้ก็ต้องแก้ที่”ต้นน้ำ” ไม่ใช่มาไล่จับผู้มี”อิทธิพล” ในท้องถิ่น เพียงอย่างเดียว เชื่อเถอะเรื่องนี้ จบเรื่อง”ฆ่าตำรวจ”ที่ จ.นครปฐม เมื่อไหร่ เรื่องนี้ก็จบ และเป็นไปอย่างเดิม

ข่าวร้าย ในวงการ”ผู้รับเหมาก่อสร้าง” เมื่อ”งบประมาณปีนี้ กว่าจะได้ใช้อีก 6 เดือนข้างหน้า ผู้รับเหมารายใหญ่ใน จ.สงขลา หลายราย ประกาศ”ขายเครื่องจักรกล” และ”ปลดคนงาน”  มีงานเมื่อไหร่ ค่อยเช่า”เครื่องจักรกล” และค่อยหาคนงานใหม่ นี้คือ”ข่าวร้าย”ของ”แรงงาน” ในพื้นที่….แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…น้ำลดตอผุด! แฉเส้นทางค้าเนื้อเถื่อนชายแดนใต้

การเมืองเป็นเรื่องของ”ผลประโยชน์” ระหว่าง”ผลประโยชน์ของประชาชน” กับผลประโยชน์ของ”นักการเมือง” และ”ผลประโยชน์” ส่วนไหนจะต้อง”มาก่อน” พรรคการเมือง และ “นักการเมือง”ที่เข้ามาบริหารประเทศ ต้องคิดกันให้ดี เพราะหลังจากที่”เพื่อไทย” เข้ามาเป็น”แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล ข่าวทุกวันที่ออกมาจาก”พรรคการเมืองและนักการเมือง” ล้วนแต่เป็นเรื่องการ”แบ่งปัน” ผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ส่วนที่เป็น”ประโยชน์กับประชาชน”ก็มีอยู่แต่เป็นเพียง”น้อยนิด”เสียเหลือเกิน…..อย่างวันนี้มีแต่เรื่อง”แบ่งกระทรวง” และ”จองกระทรวงเกรดเอ” จาก “พรรคโน้น พรรคนี้” และมีการวางตัวคนเป็น”รัฐมนตรี” ทั้งที่เปิดชื่อออกมา “ประชาชนก็ร้องยี้” เพราะ “เสบาบดี”บางคน ประชาชน เคยเห็นผลงานมาแล้ว เคยเป็น”เสนาบดี”มาแล้ว และก็แสดงความเป็น”บ่มิไก๊” ให้เห็นมาแล้ว แต่ยังจะได้เป็น”เจ้ากระทรวง” ที่ สำคัญๆ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง”ปากท้อง-ของแพง” และของ”เศรษฐกิจ” ที่ผ่านมาหลายปียัง”โงหัวไม่ขึ้น” การที่ แต่ละพรรคการเมือง จะส่งใครไป”นั่งแท่น” เป็น”เจ้ากระทรวง” หรือ”เสนาบดี” ต้องมีการ”คัดเลือก” คนที่มีความสามารถ มีฝีมือ มีคามรู้ในกระทรวงนั้นๆ ถ้าเริ่มต้นเป็นอย่างนี้ ลงท้ายก็”อีหรอบเดิม” คือ”ล้มเหลว” ในการแก้ปัญหา และคน”รับเคราะห์” ก็คือ”ประชาชน

 

ข่าวว่า “สภาผู้แทนราษฎร” จะมีการประชุม”โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยในวันที่ 18 หรือ 22 สิงหาคม นี้ และคนที่จะได้เป็น”นายกรัฐมนตรี” จะเป็น”เศรษฐา ทวีสิน” จาก”เพื่อไทย” จริงหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ เพราะการเมืองของเมืองไทย วันนี้ยังมีเรื่อง”ลับ ลวง พราง “ ปิดบังประชาชนอยู่ ยังมีการ”ต่อรอง” ทั้งจาก” ทุกฝ่าย” จนถึง “วินาทีสุดท้าย” ซึ่งเป็นไปตาม”แบบฉบับ” ของการเมืองไทย ที่สุดท้ายต้องมีทั้ง”กล้วย ทั้ง งูเห่า” เกิดขึ้น เพื่อให้ได้เสียง”สนับสนุน” ตามที่ต้องการ….ก็ขอให้ได้ “นายกรัฐมนตรี” เข้ามาจัดตั้ง”คณะรัฐบาล” โดยเร็ว เพราะ ปัญหาของประเทศชาติ และประชาชน รอให้”รัฐบาล” เข้ามาแก้ไขมากมายเสียเหลือเกิน…..วันนี้ เกษตรกร ยิ้มได้แล้ว เพราะ ปุ๋ยถูก ยาปราบศัตรูพืชถูกลง แล้ว จากการที่ “รัสเซีย” และอีกหลายประเทศ ที่ส่งปุ๋ยเข้ามาขายได้แล้ว ชาวนา ก็น่าจะ”ยิ้มได้” พราะขายข้าวได้ราคาแพง จากการที่”อินเดีย” ไม่ส่งขายให้ต่างประเทศ….แต่คงยิ้มได้ไม่นาน เพราะ”ข้าวเปลือก” เกือบทั้งหมดอยู่ในมือของ”เถ้าแก่โรงสี” ไม่ได้อยู่ใน”ยุ้งข้าว”ของชาวนา แต่เมื่อ”ข้าวเปลือกแพง” เพราะ”ส่งออก”ได้มาก คนที่ได้รับผลประทบก็คือ ประชาชนที่ต้อง”ซื้อข้าวสาร” เพราะราคา”ข้าวสาร” กำลังขยับแพงขึ้น ดังนั้นการ”ส่งออก” ข้าวได้มากขึ้นและได้ราคาดีคนที่”ยิ้มร่า” คือ”เถ้าแก่โรงสี” และคนต่อมาคือ”พ่อค้าข้าวสาร” ในประเทศ นี่คือ”วงจร”การค้าของประเทศไทย

 

ส่วนชาวสวนยาง วันนี้ “ปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช” มีราคาที่ถูกลง แต่”ราคายางแผ่น” และ”น้ำยางสด” ก็”ถูกลง” กำลังจะกลับไปสู่ “สามกิโลร้อย” อีกครั้ง ทั้งที่ ประเทศไทยย่างเข้า”หน้าฝน” ยางกรีดไม่ได้ ไม่มี ผลผลิตออกสู่ตลาด ถามว่าอะไรเกิดขึ้นกับ”กลไก” การ”บริหาร”ประเทศนี้ เพราะมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา ….ที่สำคัญ วันนี้แม้ว่า กระทรวงพลังงาน จะมีการ”ตึงการขายปลีกน้ำมันดีเซล” เอาไว้แต่ น้ำมัน “แก๊ซโซฮอลล์” ทั้งชนิด 91 และ 95 ในต่างจังหวัดขึ้นราคาขายไปแล้วลิตรละ 40 บาท คนใช้รถจักรยายนต์ คนใช้ รถเก๋ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคน “ทำงาน” เงินเดือนตั้งแต่ 15,000 – ขึ้นไป ต่างได้รับผลกระทบแล้ว ทั่วหน้า เพราะ”เงินเดือน” ที่ได้รับกำลังกลายเป็น”ค่าน้ำมัน”จนต้อง”อดข้าวกลางวัน” เพราะ”ประคับประคองชีวิตให้อยู่รอด” และ ทั้งหมด คือปัญหาที่รอให้ “รัฐบาลใหม่” เข้ามาแก้ไข และ”พรรคการเมืองไหน” ที่จองกระทรวงไหนเอาไว้ วันนี้ท่านต้องแสดง”กึ๋น” ให้ “คนไทย” ได้เห็นว่า เมื่อท่านเข้ามาบริหารกระทรวงนั้นๆ ท่านจะมีนโยบายแบบไหน อย่างไร ในการแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน

 

เรื่อง “โกดังเก็บพลุ ดอกไม้ไฟ และประทัด” ระเบิดที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส วันนี้”ตลาดวายแล้ว” นักการเมือง พรรคการเมือง ส่วนราชการ ที่เคยลงไป”มะรุมมะตุ้ม” จน”ตลาดมูโนะ” คึกคักเหมือน”ตลาดสด” วันนี้ไม่มีแล้ว” ในขณะที่”ผู้เดือดร้อน” ยัง”เดือดร้อน”เหมือนเดิม การเบิกจ่ายเงิน”ช่วยเหลือ” ผู้ประสพภัย ตามระเบียบราชการยังคงเป็น”เรือเกลือ” เป็นเรื่องของแต่ละกระทรวง ที่ไม่ได้มีการ”บูรณาการ”กัน มีแต่คำว่า “จะช่วยอย่างนั้น จะช่วยอย่างนี้” แต่สุดท้าย เชื่อเถอะ” ผู้เดือดร้อนต้องช่วยตนเอง” โดยเฉพาะเรื่องของ”อาชีพ” ที่ทางจังหวัดต้องให้ความสำคัญ “เครื่องไม้เครื่องมือ” ในการ”ประกอบอาชีพ” ที่หายไปจาก”ระบิด” ที่ กวาดทุกสิ่งทุกอย่างไป ต้องได้รับการ”ช่วยเหลือ”และ”ฟื้นฟู” อย่างเร่งด่วน “เงินบริจาค” ที่อยู่ในบัญชีของจังหวัด 30 กว่าล้าน” สนั่น พงษ์อักษร” ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ต้องเอามาช่วยซื้อ”อุปกรณ์” ในการ “ประกอบอาชีพ” ก่อน ส่วนเรื่อง”บ้านช่องห้องหอ” ที่ยังต้องรอการสร้าง และยังอยู่ระหว่าง”ซ่อมแซม” ก็หา”บ้านเช่า”ไปก่อน แต่”อาชีพ” ต้องกลับมาเป็นอันดับแรก เพราะเรื่องของ”อาชีพ” เป็นเรื่องของ”ปากท้อง” ที่ต้อง”กิน ต้องหิว” ทุกวัน

 

อีกเรื่องที่ “สนั่น พงษ์อักษร” ผวจ.นราธิวาส ต้อง”จัดการอย่างจริงจัง” เพราะมีผู้”แอบอ้าง” เปิดบัญชีรับ”บริจาค” เพื่อ”ซับน้ำตาพี่น้องชาวมูโนะ” มากมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน……และที่สำคัญ ที่ “ทุกฝ่าย” ต้องยอมรับความจริงคือ” ตลาดมูโนะ” อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เป็น “ตลาดชายแดน” ที่มี”การค้าของผิดกฎหมาย” ทั้งที่ขนข้ามไปจาก”ฝั่งไทย” และ”ขนข้ามมา” จาก”ฝั่งมาเลเซีย” คนใน”ตลาดมูโนะ” มีอาชีพในการ”ค้าของเถื่อน”และ”รับจ้างนายทุนขนของเถื่อน” นี้คืออาชีพหลักของคนที่อยู่ใน”ตลาดชายแดน” และ สินค้าเถื่อน ที่ขน”ข้ามด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ไม่ได้เพราะ”ประเจิดประเจ้อ” จึงถูกนำมาไว้ใน”โกดัง” ที่ ตลาดมูโนะ เพราะที่จะได้”ขนข้ามคลอง”ไปยังฝั่งมาเลเซีย ไม่ไม่ต้อง”ผ่านด่าน” ถ้าต้องการ”ต่อลมหายใจ”ของ”ผู้ที่อยู่ในตลาดมูโนะ” ที่ได้รับ”เคราะห์กรรม” จากการระเบิดของ”โกดังเก็บพลุ” เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้อง”หลับตา” ปล่อยให้ “ตลาดมูโนะ” เป็นไปตามแบบเดิม จะทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้”อาชีพเดิม” เพื่อการ”เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” ก็ฟื้นตัวเร็ว แต่ถ้า”ระเบิดครั้งนี้” กลายเป็นเรื่องการ”เปิดโปง” เรื่องการ”ค้าของเถื่อน” ชายแดนไทย-มาเลเซีย และเรื่องความ”บกพร่อง” ของ “เจ้าหน้าที่” ที่ต้อง”เข้มงวด” กับการค้าชายแดน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องหา”อาชีพใหม่” ให้กับคนที่นั่น…..สิ่งสำคัญคือ “หน่วยงานของรัฐ” ต้อง”ควบคุม” ให้การ”ทำผิดกฎหมาย” ของคนที่อยู่ใน”แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย” ไม่ว่าจะเป็นที่”มูโนะ” ที่”โก-ลก” ที่ “ตากใบ” จ.นราธิวาส และที่ อื่นๆ เช่น “ด่านนอก,ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา หรือ”วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล ให้อยู่ในระดับที่มี”ความพอดี” เป็นเรื่องของ”อาชีพคนในพื้นที่” เพื่อการ”เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” ไม่ใช่ปล่อยให้”นายทุน” หรือ”กลุ่มทุน” เข้าไปใช้”อิทธิพล” ในการยึดพื้นที่แนวชายแดน สร้าง โกดัง” สร้างสถานที่”เก็บกัก” สินค้าและอยู่เหนือ”กฎหมาย” โดยมี”เจ้าหน้าที่” อำนวยความสะดวก

 

และที่ยังไม่มี”สื่อมวลชน” ที่ไหนออกมา”เปิดโปง” ให้รับรู้กันคือ มีแหล่งข่าวอ้างว่า ” ชายแดนในตำบลมูโนะ” จ.นราธิวาส แห่งนี้ เป็น”ท่าส่งออกวัว-ควาย” จากประเทศไทยไปยังปาระเทศมาเลเซียเป็น”ท่าส่งออกเถื่อน” ที่ วัว ควาย ถูกส่งมาจาก จ.แม่ฮ่องสอน และ จังหวัดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับภาคใต้ ซึ่ง “วัว” ส่วนใหญ่จะมาจาก”ประเทศเมียนมาร์” และถูกนำขึ้นรถบรรทุกมาส่งยัง “ชายแดนตำบลมูโนะ” และไม่ผ่าน”ขบวนการของปศุสัตว์” ไม่มีการ”ตรวจโรค” มามีการ”กักสัตว์” เพื่อการ”ป้องกันโรค”ตามที่”กฎหมายกำหนด” โดย”นายทุน” จะสั่งให้”คนงาน” นำ”วัว-ควาย” ทั้งหมด ส่งไปยังฝั่ง “มาเลเซีย” โดยการ”ลักลอบ” ข้ามคลองสุไหงโก-ลก ด้วยเรือหางยาว เดือนละประมาณ 5,000 ตัว เป็นธุรกิจ”ค้าวัวเถื่อน” ที่สร้างกำไรอย่าง”มหาศาล” ให้กับ”นายทุน” ซึ่งแน่นอน ถ้าไม่ใหญ่จริง ก็ทำไม่ได้ และนี้คือ”ธุรกิจรายใหญ่” ที่สุดของ”ชายแดนมูโนะ” ที่คนทั้ง จ.นราธิวาส รู้ดีว่าเป็นใคร

 

ส่วนเรื่องที่ เป็นประเด็น ต้องมีการ”ไต่ถาม”คือ” ขบวนการ”ขนวัว” จาก “อ.ขุนยวม” จ.”แม่ฮ่องสอน” จาก”ชายแดนภาคเหนือ” มาถึง”ต.มูโนะ” ชายแดนภาคใต้ เกือบ 2,000 กิโลเมตร มากันอย่างไร และทำไม่จึงไม่มีการ”ตรวจสอบ” และ”ตรวจโรค” รวมทั้งทำไมจึงไม่มีการนำไป”กักสัตว์” ยังด่าน”กักสัตว์”ตาม ระเบียบตามกฎหมายของการ”เคลื่อนย้ายและการส่งออกสัตว์”ไปยังต่างประเทศ เรื่องนี้ กรมปศุสัตว์ ต้องมีคำตอบ ให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะวันนี้”น้ำลดตอผุด”แล้ว….. ทราบว่าเรื่องที่”ตลาดมูโนะ” กรมสอบสวนพิเศษ DSI ได้ส่ง “ชยพล สายทวี ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงพื้นที่และพบเรื่อง”ไม่ชอบมาพากล” มากมายที่เป็น”เบื้องหน้าเบื้องหลัง”ของ”ชายแดนมูโนะ” ก็ขอฝากเรื่อง” ขบวนการค้าวัวเถื่อน” ให้” ดีเอสไอ” นำไป”พิจารณาดำเนินการด้วย

 

หลังจากที่ ปล่อยให้”เละตุ้มเปะ” มานาน ในที่สุด “เจษฎา จิตรัตน์” ก็มี”คำสั่ง” ห้าม”นายอำเภอ”ใน จ.สงขลา ออกใบอนุญาต ให้การ”จัดงานส่วนสนุก” หรืองาน”ประจำปี”ต่างๆ มีการ”ละเล่นที่มอบเมาเด็กเยาวชนและประชาชน” เช่นการ”ปาโป่ง ปาเป้า บิงโก ล้อลูกแก้ว และอื่นๆ ที่เป็นการ”การพนันประเภท 5” โดยอ้างว่า “สื่อมวลชน” มีการ เสนอข่าวในเรื่องดังกล่าวทาง ทีวี และ โชเซียล ก็ดีใจนะ ที่”สื่อ”ได้ทำหน้าที่”หมาเฝ้าบ้าน” ได้สำเร็จ ทำให้”อบายมุข” ที่เกิดขึ้นหายไป แต่เชื่อเถอะ ถึงนายอำเภอไม่เซ็น”ใบอนุญาต” ก็ใช่ว่าจะงาน”สวนสนุก”จะไม่มีการพนัน”ประเภท 5 “เพียงแต่ถ้ามีการ”ร้องเรียน” ก็ถูก”สั่งปิด” ก็แค่นั้น…..ก็ไม่ต้องดูอื่นไกล ที่”ตลาดคลองแงะ” ตลาดสดสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ยังมี”นายทุน” ทำการเล่นการพนัน”หวยสัตว์” หรือ”จับยี่กี” ออกถึงวันละ 2 รอบ ก็ไม่เห็นมีใครไป”จับกุม” หรือสั่งให้หยุด

 

เหตุร้ายรายวัน ยังคงเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นระยะๆ หลายเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวกับการ”แบ่งแยกดินแดน” แต่มี”นายทุน” กลุ่ม”อิทธิพล” ในการค้า”ยาเสพติด” ,น้ำมันเถื่อน,บุหรี่เถื่อน” และ “ของเถื่อน” ที่มี”มูลค่า” มากกว่า”ขนมนมเนย” เป็นผู้”ว่าจ้าง” ให้”กองกำลังติดอาวุธ” ก่อเหตุเพื่อ”ต่อรอง” กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ” เช่น”คาร์บอมบ์” ที่ “สี่แยกอรกานต์” กลางเมือง”สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ที่เป็นการทำ”คาร์บอมบ์” เพื่อการ”ข่มขู่” แต่ไม่ประสงค์ในการ”เอาชีวิตของผู้คน” สืบให้ดีจะรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังคือ”ขบวนการค้าของเถื่อน” เพราะหลังมีเหตุ”โกดังพลุระเบิด” มี”ผู้หลักผู้ใหญ่ลงมาในพื้นที่” และมี”รายงานข่าว” ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง” ของ ขบวนการค้าของเถื่อนและเรื่อง”ส่วย” ทำให้ “ตำรวจ,ทหาร” และ”ปกครอง” สั่ง “เข้มงวด” และ”ปิดจุดผ่านแดนเถื่อน” ที่เป็น”เส้นทาง” ขนสินค้าหนีภาษี “นายทุน” จึง”ทำฤทธิ์” ด้วยการปฏิบัติการ”คาร์บอมบ์” กลางตัวเมือง”สุไหงโก-ลก” เพื่อส่ง”สัญญาณ”ว่า ถ้ายัง “เข้มงวด”ยังไม่เปิดจุด”ผ่านแดนเถื่อน” ให้ทำมาหากินตามปกติ “คาร์บอมบ์” ครั้งต่อไป อาจจะมี”คนเจ็บคนตาย” นะ…..นี่แหละคือ”เบื้องหลัง” ของการก่อการร้าย ที่”คนนอกพื้นที่”ไม่เข้าใจ” แต่” หน่วยงานของรัฐในพื้นที่เข้าใจ” ซึ่งก็ต้องถามไปยัง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ว่า ณ วันนี้ เรื่อง”ความมั่นคง” การ”แบ่งแยกดินแดน” กับเรื่อง”อิทธิพล” การค้าของเถื่อน”ยาเสพติด, น้ำมันเถื่อน,วัวเถื่อน,บุหรี่เถื่อน,คนเถื่อน” เป็นเรื่องที่”พัลวัลพัลเก” จน”แยกกันไม่ออก” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 อย่าง พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค จะ”หาทางออก” อย่างไร

 

แต่เรื่องนี้เห็นด้วยนะ กับการที่ กอ.รมฯงภาค 4 ส่วนหน้า จับกุม ผู้ต้องหาจำนวน 7 คน ในข้อหา บุกรุกทำลายป่าบนภูเขากูยิ หมู่ที่ 4 ต.ร่มไทร อ.สุคีริน จ.นราธิวาส ยึดได้ไม้ของกลางรถแทรกเตอร์ มีการ”นำเอกสารสิทธิ” อีกแปลง มาแสดงเพื่อ”ตบตา” เจ้าหน้าที่ เรื่องนี้ วันนี้อยู่ในขบวนการ”ส่งฟ้อง” โดยมี” เจ้าหน้าที่จาก “กรมสอบสวนคดีพิเศษภาคใต้ ( ดีเอสไอ ) รับเป็นคดีพิเศษ เพราะมี”นายทุนอิทธิพล” เป็นผู้ ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง และขอให้ กรมที่ดิน ถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย

 

วันก่อน รถกระบะบรรทุกน้ำมันเถื่อน จาก อ.ควนโดน จ.สตูล วิ่งผ่านพื้นที่ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง พลิกคว่ำ “แท็งค์น้ำมันเถื่อน 4,000 ลิตร คือ”ของกลาง” ที่ เจ้าหน้าที่ต้อง “ดำเนินคดี” กับ เจ้าของรถ และคนขับ เมื่อ “นักข่าว”ไปถึงที่เกิดเหตุ มีการถามจาก เจ้าหน้าที่ ว่า ถ้าไม่ทำข่าวนี้”จะเอาเท่าไหร่” เท่าที่รู้ แต่ละวัน จะมีรถบรรทุกน้ำมันเถื่อน ผ่านทาง อ.เขาชัยสน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ไม่ต่ำกว่า 10 เที่ยว ก็ถามถึง พล.ต.ต.ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผบก.ภ.จว.สงขลา สั่งการให้”ตำรวจ” ในพื้นที่ “ตรวจสอบ” และดำเนินการตามกฎหมายด้วย…..เช่นเดียวกับในพื้นที่ “รอบๆ สภ.สิงหนคร” จ.สงขลา ที่เต็มไปด้วย”คอกรับซื้อน้ำมัน” โดยมี”ลูกค้า” ที่เป็นคนขับรถบรรทุกน้ำมัน จาก คลังน้ำมัน ใน อ.สิงหนคร จ.สงขลา นำไปขายให้ ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีการ”ขโมย” จาก”ลูกค้า” ที่เป็นผู้”ว่าจ้าง” ให้ บริษัทขนส่งบรรทุกให้ เจ้าของปั้ม เจ้าของบริษัทรถบรรทุก ขอฝากให้ พ.ต.อ.เอกรัฐ สวนเสน ผกก.สภ.สิงหนคร จ.สงขลา ช่วยสั่งการ”ตรวจสอบคอกน้ำมัน” และช่วย”จับกุม” บรรดา”โชเฟอร์รถบรรทุก”ที่ ขโมยน้ำมัน ไปขายให้กับ”คอกรับซื้อ” ที่มีความผิดทั้ง”เป็นโจร” และเป็นผู้”รับซื้อของโจร

 

ผู้บริหารโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอร้องไปยัง กระทรวงศึกษาธิการ ให้รับทราบ 2 เรื่อง เรื่องแรกเป็นความ”เดือดร้อน” เพราะ “สำนักงานการศึกษาส่วนหน้า “ ไม่มีการส่ง เจ้าหน้าที่ศึกษานิเทศ ไปทำการตรวจสอบ โรงเรียนเอกชน มานานแล้ว โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ต้องทำการ”นิเทศ”กันเอง ระหว่างโรงเรียนด้วยกัน เป็นเหตุให้ การศึกษามีปัญหามากมายและไม่สามารถ”พัฒนา”ให้เป็นไปตาม”เป้าหมาย” และเรื่องที่สองวันนี้” กัญชา” รุกล้ำเข้าไปใน”ห้องเรียน” แล้ว เพราะ”กฎหมาย” เปิดช่องให้ เป็นเรื่องที่ ต้องแก้ไขโดยด่วน โดยขอให้ กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า คืน”อำนาจหน้าที่” ให้กับ”ศึกษาธิการจังหวัด” เพื่อที่จะได้เข้าไป “ดูแลควบคุม” โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา เหมือนเช่นในอดีต เอา พรรคการเมือง จะเข้าไป บริหาร กระทรวงศึกษาธิการ ก็ส่ง”เสนาบดี” ที่เข้าใจเรื่องการศึกษาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

 

พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) เปิดเผยว่า การเดินทางมาเยือนภาคใต้ของ ฑูตานุทูต 10 ประเทศ ที่เป็น”มุสลิม” ของ “โอไอซี” หรือ “องค์กรมุสลิมโลก ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นผลดีกับจังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่าทุกครั้ง โดยเฉพาะกับการพูดของ”ฑูตานุทูต” ที่กล่าวว่า เรื่องการ”นับถือศาสนา” เป็นเรื่องของ”ปัจเจก” แต่เรื่องของ”ชาติ” เป็นเรื่องของ”ส่วนรวม” เอ้า เหล่า”อุสตาซ” ที่ยังพยายามใช่เรื่อง”ศาสนา” มา”บิดเบือน” เพื่อการ”บ่มเพาะ” นักเรียน นักศึกษา เข้าสู่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อ”ก่อการร้าย” ฟังไว้ ว่าประเทศ”มุสลิม” ที่มาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาคิด และมอง จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร…..แต่ นั่นแหละ ในขณะที่ ความเข้าใจ และความรู้สึก ของ”โอไอซี” ที่มีต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้”ดีขึ้น” แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับมี”องค์กรจากชาติตะวันตก” เข้าเดินทางเข้ามาเพื่อ”แสวงหาผลประโยชน์” กับ”ภาคประชาสังคม” เพื่อขยายความ”ขัดแย้ง” กลับมากขึ้น ทั้งจากฝากฝั่ง” สหรัฐอเมริกา” และ”สหภาพยุโรป” และ อื่นๆ ทั้งในรูปแบบ”เอ็นจีโอ” และรูปแบบ”การช่วยเหลือ” ในเรื่อง “โน่น.นี่.นั้น” ที่เป็นของรัฐโดยตรง เรื่องนี้คือความ”หนักใจ”ของ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) ที่ พูดหรือบอก ตรงๆกับสังคมไม่ได้ เพราะประเทศเหล่านั้น เป็น”มหาอำนาจ” และเป็น”พันธมิตร” ที่ ประเทศไทยให้ความ”เกรงอกเกรงใจ” ก็เป็นอีกเรื่องของ “รัฐบาล” ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ จะต้องมี”นโยบายต่างประเทศ” ที่ไม่ยอมให้มีการ”แทรกแซง” ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้จาก”บรรดา”มหามิตร”

 

ก็เขียนเตือนมาแล้วเรื่องการป้องกันอย่างให้มีการ”ตัดทุเรียนอ่อนส่งขาย” ใน จ.ยะลา ซึ่งเป็น”ตลาดทุเรียนขนาดใหญ่” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีมูลค่า”ส่งออก”ปีละ 10,000 ล้านบาท สุดท้าย ก็มี”ชาวสวนและพ่อค้า” ฉวยโอกาสตัด”ทุเรียนอ่อนไปขาย” ทำให้”ล้งจีน” ฉวยโอกาส “กดราคา” และ พ่อค้าหลายรายไม่”รับซื้อ” สุดท้ายผู้ที่”เจ็บปวด” และ”รับกรรม” คือ “เจ้าของสวนทุเรียน” และนี่คือปัญหาของ”ชาวสวนทุเรียน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่เป็นไปเหมือนกับชาวสวนทุเรียนใน”ภาคตะวันออก” ที่ รวมตัวกันในการสร้างความรับผิดชอบ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่าง”สมน้ำหน้า” ที่ชาวสวนไม่เชื่อฟัง แต่ต้องหา”แนวทาง” ให้ทุกคนทุกฝ่ายมี”จิตสำนึก” ที่ถูกต้อง

 

หน่วยข่าวความมั่นคง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” แจ้งเตือน” ให้ ทุกกองกำลังในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ ของ จ.สงขลา ให้ทราบว่า “กลุ่มติดอาวุธ” ของขบวนการแบ่งดินแดน”บีอาร์เอ็น” มีการ” ขนระเบิดแสวงเครื่อง” เข้ามาในหลายพื้นที่ของ “ปัตตานี,ยะลา” แล” นราธิวาส” เพื่อ”ก่อเหตุ”ในห้วงของวัน”ฉลองเอกราชของประเทศมาเลเซีย” ( เมอร์เดก้า ) ฝ่ายแจ้งก็ได้แจ้งแล้ว ฝ่ายที่มีหน้าที่” ป้องกัน” และ “รักษาความสงบ” จะมีการ”เตรียมพร้อม” หรือจะ”ตั้งรับ” หรือจะ”เปิดเกมรุก” ต่อฝ่ายตรงข้าม ก็ว่ากันไป แต่อย่าลืม “ป้องกัน”ชีวิตของ”ประชาชน” ที่ไม่รู้”อิโหน่อิเหน่” ต้องพลอยรับ”เคราะห์กรรม” ที่ไม่ได้ก่อ

 

เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก หรือไม่มีการแก้ จากระดับ”นโยบาย” ก็เรื่อง “เรือคราดหอย” ของ”ประเทศเวียดนาม” ที่”ลักลอบ” เข้ามา ทำประมง”คราดหอย” ใน”อ่าวไทย” ที่ถูก ทัพเรือภาค 2 ของ พล.ร.ท.จรัสเกียรติ ไชยพันธ์ ผบ.ทัพเรือภาค 2 ทำการ จับกุมเป็นประจำ จน”เรือของกลาง” ที่ยึดไว้ ถูกนำมาจอดไว้เป็น”สุสานเรือ” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ที่กลายเป็น”ทัศนาอุอาด” เพราะไม่มีหน่วยงานไหนเป็น”เจ้าภาพ” หลังศาลตัดสินแล้ว ว่าจะ”ทำลาย” หรือ ทำอย่างไรกับ”ของกลาง” และถ้า” “ทัพเรือภาค 2 “ ขยันในการ”จับกุม” รับรองอีกไม่กี่ปี”เรือเวียดนาม”ที่เป็น”ของกลาง” จะยึดพื้นที่”ทะเลสาบสงขลา”พอๆกับ”โพงพาง” ถามว่าความ”สวยงาม”ของ”ทะเลสาบอยู่ตรงไหน….เรื่องเรือประมงเวียดนาม ที่”ลักลอบรุกล้ำ” เข้ามา”คราดหอย” ในน่านน้ำไทย กรมประมง และ กระทรวงต่างประเทศ ต้องมีการ”ถกแถลง”กับ”ประทรวงต่างประเทศ” และ”กรมประมง” ของ”ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” โดยตรง จึงจะได้ผล เพราะไม่อย่างนั้น เราก็ต้อง”สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติสัตว์น้ำ” ให้กับ”เวียดนาม” ไม่รู้เท่าไหร่ รวมทั้งต้อง”เลี้ยงดู” ผู้ทำผิดในเรือนจำ และต้องใช้”ทะเลสาบสงขลา” ในการทำ”สุสานเรือ” ที่ไร้ประโยชน์อีกต่างหาก

 

เรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ ที่การเลือก”หัวหน้าพรรค”และ”กรรมการบริหารพรรค” ล่มแล้วล่มอีก” ข่าวจาก”วงใน” แจ้งว่า “วาระสุดท้าย” ของพรรค”แม่ธรณีบีบมวยผม” ใกล้มาแล้ว จะเป็น”ภาพเดียวกับ 10 มกรา” ที่ “คนแพ้” ถ้าเป็น สส. ของภาคใต้ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็น”ส่วนหนึ่ง”ของ”พรรคภูมิใจไทย เพราะ”เคมีตรงกัน” ถ้าเป็นเช่นนี้ ในอนาคตพรรคภูมิใจไทยของ”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีระกุล” ก็จะเป็นพรรคการเมือง ที่มาแทนที่”ประชาธิปัตย์” ซึ่งในการ เลือกตั้งสมัยหน้า อาจจะเหลือ สส.ไม่ถึง 10 คน…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…วัดฝีมือรัฐบาล ‘เศรษฐา1’เร่งกู้สารพัดวิกฤติชาติ

ในที่สุด ประเทศไทย และคนไทย ก็ได้รัฐบาลชุดใหม่ ได้”นายกรัฐมนตรี”คนที่ 30 ของประเทศ คือ”เศรษฐา ทวีสิน” เป็น “นายกรัฐมนตรี” ทำหน้าที่”กุมบังเหียน”เพื่อนำพา”รัฐนาวา” ที่ชื่อว่า”ประเทศไทย” ฝ่า”คลื่นลม” ด้าน”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” ที่”โหมกระหน่ำ”คนทั้งประเทศในขณะนี้ เพื่อเดินไปข้างหน้า ซึ่ง เชื่อว่า “เมื่อเลือกไม่ได้”และ”ไม่มีทางเลือก” ทุกคนก็ต้อง”จำใจ” ที่จะ”ยอมรับ”รัฐบาลชุดนี้” และ”เอาใจช่วย” ให้”รัฐนาวา”ที่ชื่อ”นิดหนึ่ง” เดินหน้าไปให้ได้ เพื่อ ประโยชน์ของคนทั้งชาติ…..แม้ว่าเมื่อดูตาม”รายชื่อ”ของผู้ที่เป็น”เสนาบดี” แต่ละกระทรวง มีความรู้สึก”อิหลักอิเหลื่อ” เพราะเป็นการได้คนที่ไม่ตรงกับงาน มาทำหน้าที่”เสนาบดี” เช่นเอาผู้ที่”สันทัดด้านมวลชน” และงาน”การเมือง” อย่าง”ภูมิธรรม เวชชชัย” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มาเป็น”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” ซึ่งยัง”มองไม่ออก” ว่า จะพา”กระทรวงพาณิชย์” ที่เป็นกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับ “ราคาสินค้า”ภายในประเทศ ที่เกี่ยวกับ”ปากท้อง”ของคน”ส่วนใหญ่”ที่เป็น”รากหญ้า”อย่างไร และจะ”ค้าขาย” กับ”ต่างประเทศอย่างไร เพื่อให้ สินค้าจากไทย ไป”แข่งขัน” กับ”คู่แข่ง”เพื่อสร้างรายได้นำเข้าประเทศ   กระทรวงนี้เป็นกระทรวงที่”ทำดีเสมอตัว” แต่ถ้าทำไม่ได้”ติดลบ” ทันที เช่นเดียวกับที่”จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต”เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” โดนมาแล้ว ทั้งที่มี”ผลงาน” แต่”ประชาชน”มองไม่เห็น เพราะไม่สามารถ “ควบคุมราคาสินค้า”ได้ตามที่ต้องการ

หรือ “กระทรวงพลังงาน” ที่มี”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็น”เสนาบดี” ที่ เริ่มต้นด้วยการ”ลดราคาน้ำมันเพื่อ”เอาใจ”ประชาชน ก็เห็นชัดว่าเป็น”ฝีมือที่พื้นๆ” ด้วยการ”ลดภาษีสรรพสามิต” เพื่อให้ราคา”น้ำมันดีเซล” ลดลงเหลือลิตรละ 28 บาท แน่นอน ประชาชนได้ใช้น้ำมันใน”ราคาที่ถูกลง” แต่”รายได้ของประเทศหายไป” ซึ่งต้องมีผลกระทบกับ”การคลัง” ถ้า”รัฐบาล” หารายได้อื่นๆ เช่นการ”ค้าขาย”และ”การท่องเที่ยว” มา”ชดเชยไม่ได้” ปัญหาก็จะตามมาเป็นพรวน  เรื่องที่”เสนาบดีกระทรวงพลังงานควรทำคือเรื่อง”การรื้อโครงสร้างของโรงกลั่น” ทั้งหมดในประเทศไทย เพื่อให้มีการ”บริหาร”ที่”สะท้อนข้อเท็จจริง” ไม่ใช่การปล่อยให้”ทุนพลังงาน” โกยกำไรปีละ”หมื่นล้านแสนล้าน” โดยการ”ขูดรีดกำไร”จากประชาชน อย่างที่เป็นอยู่….ที่สงสัยคือเรื่อง”นำเข้าน้ำมันเสรี” ที่จะให้มีการนำเข้า”น้ำมันสำเร็จรูป” พูดนะดูดี” แต่ทำนะอย่างไร ในเมื่อ สถานบริการน้ำมัน เป็นของ”โรงกลั่น” ทั้งของ”ต่างชาติ” และ”บางจาก กับ ปตท”. ที่มีสัญญา”ค้ำคอ” ต้องซื้อน้ำมันที่จัดหาให้โดย”เจ้าของแบรนด์” การนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปที่”มีราคาถูก” นำมาแล้วขายให้ใคร เมื่อ”สถานบริการ”หรือ”ปั๊มน้ำมัน” นำน้ำมันที่”ถูกกว่า” มาขายไม่ได้ แล้ว ประชาชน จะได้ประโยชน์ตรงไหน และที่สำคัญ ถ้ามีการ”นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป” เมื่อมาถึงประเทศไทย จะ”เก็บน้ำมัน”อย่างไรที่ไหน ในเมื่อ”คลังน้ำมัน” ที่มีอยู่เป็นของ”โรงกลั่น” และ บริษัทน้ำมัน 5-6 บริษัทเท่านั้น…..เช่นน้ำมันจาก”ประเทศมาเลเซีย” ที่เป็นนำมัน”สำเร็จรูป” ราคา”หน้าปั้ม” ลิตรละ 16 บาท ทั้ง ดีเซล และ เบนซิน ถ้าซื้อจาก”คลัง”เปโตรนาส” โดยตรงซึ่งมีการ”บวกภาษี”แล้ว อย่างที่”ผู้นำเข้าด้วยการ”ทรานซิสเส้นทาง” เพื่อไปยัง”สปป.ลาว เมียนมา และ กัมพูชา ลิตรละ 19 บาท ทำอย่างไรที่จะ”นำเข้า” มาขายในประเทศได้โดยไม่เป็น”น้ำมันเถื่อน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะจะกระทบกับ “สถานบริการน้ำมัน” ที่เป็น”แบรนด์ของโรงกลั่น” ซึ่งแต่ละปั๊ม มีการลงทุน 20-50 ล้านบาท

เช่นเดียวกับการ”ลดค่าไฟฟ้า” ถ้าใช้วิธีการ”ชะลอการใช้หนี้ของ “กฟผ.”กว่า”หมื่นล้าน” ก็ไม่ใช่วิธีคิดที่”ทันสมัย” หรือเป็นการแก้ที่”โครงสร้าง” เป็นวิธีการ”แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ที่ ใครๆที่เข้ามาเป็น”เสนาบดี” ก็”คิดได้ทำเป็น” เรื่องของ”ไฟฟ้า” ต้องแก้ที่”ต้นตอ” ของความ”ผิดพลาด” ของ”รัฐบาล”ที่ผ่านมาทั้งในสมัยของ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” สอง อดีต”นายกรัฐมนตรี” ที่”เอื้อเอกชน” ด้วยการ”ซื้อไฟทิ้ง” แต่ให้”ประชาชน”เป็นผู้จ่ายค่าไฟที่”เหลือใช้” ตรงนี้ต่างหากที่”เสนาบดี”ต้องใช้ความ”กล้าหาญ” ในการ”ลงมีดเพื่อผ่าตัด”……และอีกกระทรวง ที่”ต้องติดตามด้วยความระทึก” คือ” กระทรวงศึกษาธิการ” ที่มี”เสนาบดี”เป็นนายตำรวจใหญ่อย่าง”พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ไม่เคยผ่านงานเรื่อง”การศึกษา มาก่อน และ “กระทรวงศึกษา” เป็นกระทรวงสำคัญ เพราะมีหน้าที่”สร้างคน เพื่อสร้างชาติ” รวมทั้ง ปัญหาเรื่อง”การศึกษา”ของ”ประเทศไทย” มีปัญหามากมาย ที่รอให้”แก้ไข” และหลายกรณีต้องมีการ”ผ่าตัดใหญ่” ซึ่งก็ต้องติดตามดูว่า”เสนาบดีกระทวงศึกษาธิการ” จะมี”ดรีมทีม” ในการ บริหารจัดการ อย่างไร

ที่สำคัญที่สุด”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ต้องรีบ”พิสูจน์ฝีมือ” เพื่อการสร้างความ”เชื่อมั่นต่อประชาชน” เพราะ”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ตั้งขึ้นท่ามกลาง”วิกฤตศรัทธา” ของ”ประชาชน” และไม่เชื่อมั่นว่า” เศรษฐา ทวีสิน” ผู้นำรัฐนาวา ว่าจะเป็น”นายกตัวจริง” หรือไม่ เพราะคนส่วนใหญ่ยังเห็น”เงาร่าง”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ทาบทับอยู่บนพรรคเพื่อไทย โดยผ่าน”ร่างทรง” ของผู้มี”อิทธิพลตัวจริง”ของพรรคเพื่อไทย…..สำหรับ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ที่ชื่อ”สุทิน คลังแสง” ผู้มี”ฝีปาก” ในการ”อภิปรายในสภาผู้แทนที่เป็นเลิศ” เมื่อต้องทำหน้าที่”บริหารกระทรวงความมั่นคง” ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ”กองทัพ”จะไปไหวหรือไม่  และมีเรื่องแรกให้”ตัดสินใจ”คือเรื่อง”เรือดำน้ำ”ของ”กองทัพเรือ” ที่”เครื่องยนต์ไม่ตรงปก” ตามสัญญา ระหว่าง”กองทัพเรือ”กับตัวแทนผู้จัดสร้างของ”รัฐบาลจีน” ที่ล่าสุด “กองทัพเรือ”ยอมที่จะรับ”เงื่อนไข” ในการใช้”เครื่องยนต์จีน”แทนของ”เยอรมัน” เรื่องนี้”เพื่อไทย” มีการ”อภิปราย”ไม่เห็นด้วยโดย อดีต สส. ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” อย่าง”จิกกัด”และ”เกาะติด” วันนี้”เพื่อไทย”จะ”กลืนน้ำลาย” ด้วยการยอมรับการใช้”เครื่องยนต์จีน” ก็”เสียสุนัข” แต่ถ้า”ยกเลิกสัญญา” กับ “ประเทศจีน” ก็อาจจะมี”ผลกระทบกับมหาอำนาจ” ที่มีส่วนสำคัญทั้งเรื่อง”การค้า” และ”การท่องเที่ยว” ที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ถึงขนาดมี”นโยบายฟรีวีซ่า” เพื่อหวังให้”คนจีน” เดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยให้มากที่สุด เรื่องนี้เป็น”เผือกร้อน”ของ”เสนาบดีมือใหม่หัดขับ” อย่าง”สุทิน คลังแสง” ที่ต้อง”เอาใจช่วย” ที่สำคัญ เป็นการ”ตัดสินใจ” ที่มี”ชีวิตของกำลังพลกองทัพเรือ” และ ผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง

เรื่องของ”ปากท้องประชาชน” เมื่อชาวสวนมังคุด อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช นำ”มังคุดมาเททิ้งหน้าที่ว่าการอำเภอ” เพื่อเป็นการ”ประท้วงที่ราคาตกต่ำ”ไม่คุ้มค้าจ้างเก็บผลผลิต  หลังเกิดเรื่อง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า  “เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ลงพื้นที่พบกับชาวสวนแล้ว เรื่องนี้มี”เบื้องหน้า เบื้องหลัง” อย่างไร ต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ หลังจาก”ร.อ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า” ลงพื้นที่”ราคามังคุด” กระเตื้องขึ้นทันที เรื่อง ผลผลิตสินค้าเกษตร “ด่านหน้า” คือ”พาณิชย์จังหวัด” และ”ฝ่ายปกครอง” ตั้งแต่”นายอำเภอ” และ”ผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย”รู้จักหน้าที่” และมีการ”ติดตามสถานการณ์” ปัญหาการนำ”ผลผลิตมาเททิ้ง” ก็คงไม่เกิดขึ้นให้”ขายขี้หน้า”คนทั้งประเทศ …..เช่นเดียวกับปัญหา”ทุเรียนหนอนเจาะ” ที่เป็น”ข่าวดัง” ที่สร้างความ”เสียหาย” ให้กับชาวสวนทุเรียน จ.ยะลาเพราะ”ประเทศจีนตีกลับสินค้า” ที่มี”หนอนเจาะ” ถึง 300 ตัน ทำให้”ล้งทุเรียน” ไม่กล้ารับซื้อ”ทุเรียนยะลา” เพื่อการ”ส่งออก” เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องเร่งแก้ไข  เพื่อมิให้การ”ส่งออกทุเรียน” ในปี 2567 ต้องไม่เกิดปัญหานี้ขึ้นอีก ส่วนการ”ซื้อ-ขาย” ทุเรียนใน จ.ยะลา และจังหวัดอื่นๆในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปีนี้  ก็ถือว่าเป็น”บทเรียน” ทั้ง”เจ้าของสวน” และ”เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และที่มีการ”ประเมิน”ว่าจะมี”รายได้”จาก”การขายทุเรียนหมื่นล้าน” ก็คงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

เรื่องความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่หลังจากการ”โจมตี” ตำรวจ และ อส.อ.ที่หน้าเทศบาลตำบลยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี จนต้อง”สูญเสีย” กำลังเจ้าหน้าที่ ตำรวจ และ อส.อ. 4 ศพ ยังมีอีกเหตุอีกหลายคดี เช่นการใช้”ไปป์บอมบ์” ในโรงเรียน การใช้”ระเบิดแสวงเครื่อง”กับ”ทหารพัฒนา” ใน จ.นราธิวาส  นอกจากนั้นยังมี”แนวร่วม”ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น ที่ถูก”ตำรวจมาเลเซียจับกุม” ใน “มาเลเซีย” ใกล้แนวชายแดนไทยด้าน “นราธิวาส” พร้อม”วัตถุระเบิด”จำนวนมาก เพื่อส่งข้ามแดนมาใช้ก่อเหตุในฝั่งไทย แสดงให้เห็นว่า “สถานการณ์การก่อการร้าย” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไม่”เปลี่ยนแปลง” เจ้าหน้าที่รัฐยังเป็น”เป้าหมาย”ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค “ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ทำได้แค่”สั่งการ” ให้ กำลังพลในทุกพื้นที่ ระมัดระวังในการป้องกันเหตุ

นับแต่นี้ก็ต้องติดตามดูว่า “รัฐบาลนิดหนึ่ง” จะ”เดินหน้า”ในการ”ขับเคลื่อน” การแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” อย่างไร  1 . เรื่องของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะมีการ”ยกเครื่อง” หรือ”ปรับโครงสร้าง” อย่างไร เพื่อให้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เปลี่ยนจาก”ความมั่นคงของทหาร” มาเป็น”ความมั่นคงของประชาชน” ในพื้นที่ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแท้จริง และ 2 เรื่องของ”การพูดคุยสันติสุข” ในยุคของ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ อดีตนายกรัฐมนตรี  ที่ผ่านมา 9 ปี แต่”ไม่ถึงตลิ่งไม่ถึงฝั่ง” จะมีการ”ปรับเปลี่ยน”อย่างไร และจะมีการแต่งตั้งให้ใครเป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” แต่เชื่อว่าไม่ใช่” พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ” ที่เป็น หัวหน้าคณะพูดคุยคนล่าสุดในสมัยของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี  อย่างแน่นอน รวมทั้งจะ”คุยกับบีอาร์เอ็น”เพียงขบวนการเดียว หรือจะ”พูดคุย”กับ”ทุกขบวนการ” เช่นเดียวกับครั้งที่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” และมี”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”ผู้กำกับ”ตัวจริงหรือไม่…..และที่ต้องจับตามอง ผู้ที่จะมาทำหน้าที่”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ” ( สมช.)แทน  พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการ สมช. ที่เกษียณอายุราชการจะเป็นใคร ยังจะเป็น”นายทหารที่อกหักจากตำแหน่งหลักในกองทัพ” หรือจะเป็น”ลูกหม้อของ สมช.ที่เป็นพลเรือน” อย่าง “ฉัตรชัย บางชวด” รอง เลขาธิการ สมช. หรือไม่ เพราะ ตำแหน่งนี้มีความสำคัญกับ”ยุทธศาสตร์การดับไฟใต้” ไม่น้อยไปกว่า “กองทัพ” และที่ผ่านมา”เลขาธิการ สมช. ไม่ได้ทำหน้าที่”เพื่อความมั่นคง” ของประเทศ แต่ไปทำหน้าที่”ค้ำบัลลังก์” ให้กับ”ผู้นำประเทศ” เพื่อความมั่นคงในตำแหน่งมากกว่า

แต่ที่ต้องจับตามองคือการ คัดเลือก ผู้มาทำหน้าที่” เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) แทน” พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้  ( ศอ.บต.) ที่เกษียณอายุราชการ รวมทั้งการ”ปรับโครงสร้าง”ของ”ศอ.บต.” ให้เป็นไปตาม “โครงสร้างเดิม” คือเป็น “องค์กรที่รับผิดในมิติการพัฒนา” ที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้”คำสั่งของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี ทำการ”บอนไซ” ศอ.บต. โดยคำสั่งของ” คสช.”หลังการ”ยึดอำนาจ” จาก”รัฐบาลเพื่อไทย”เมื่อ ปี 2557 …..ถ้าพิจารณา”คนใน” ที่เป็น”รองเลขาธิการ ศอ.บต. ในขณะนี้ ผู้ที่”อาวุโส” จากการเป็น”รองเลขาธิการ” ก็ต้องเป็น “ชนธัญ แสงพุ่ม” หรือที่รู้จักกันในนามของ”ดร.เจ๋ง” ที่หลัง 30 กันยายน นี้ จะเหลือ รองเลขาธิการ ศอ.บต. เพียงคนเดียว เพราะ รองเลขาธิการ ศอ.บต.ทั้ง 2 คนทั่ง “บุญพาส รักนุ้ย และ”ศรัทธา คชพลายุกต์”  ต่างเกษียณอายุพร้อมกับ เลขาธิการ ศอ.บต. ก็ต้องติดตามดูว่า”ภูมิธรรม เวชชชัย “ รอง นายกรัฐมนตรีคนที่ 1 ที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง จะ”คิดอ่าน”อย่างไร เรื่องของ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้”ที่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะ ศอ.บต. เป็นหน่วยงานด้านการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ถ้า “ปรับโครงสร้าง”ให้เป็น”ประโยชน์” ก็จะทำให้การ”คลี่คลาย”ปัญหาและ”เงื่อนไข”ด้าน”สังคมจิตวิทยา”และอื่นๆ เป็นการแก้ปัญหาด้าน”ความมั่นคง” ให้เดินไปได้อย่างถูกต้อง

อีกเรื่องที่ต้องติดตามดู”ฝีมือ”ของ “เสนาบดี”ที่เป็นคน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นั้นคือ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ”รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกพรรควางตัวให้ทำหน้าที่” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน” วันนี้ เรื่องของ”แรงงาน” เป็นเรื่องใหญ่มาก ทั้งเรื่องการ”ขาดแคลนแรงงาน” ในภาคอุตสาหกรรม-เกษตร และเรื่องของ”แรงงานเถื่อน”  ที่ต้องมีการ”พูดคุย”กับ”ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เมียนมา,กัมพูชา” และ” สปป.ลาว” เพราะ วันนี้”แรงงานเถื่อน” ทั้งหมดมาจาก”สามประเทศ”นี้เป็นด้านหลัก   การแก้ปัญหา “แรงงานเถื่อน” ต้องมีการประสานกับ”ตรวจคนเข้าเมือง” และ”เจ้าหน้าที่ตำรวจ”อย่างใกล้ชิด เพราะเป็น”แหล่งผลประโยชน์มหาศาล”…..อีกกระทรวงที่คนในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้จับตามอง” นั่นคือ”กระทรวงยุติธรรม” ที่ครั้งนี้ถือว่า”รัฐบาลนิดหนึ่ง” ตั้ง”คนที่ถูกกับงาน” คือการมอบตำแหน่ง”เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม” ให้ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” สส.บัญชีรายชื่อ และ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นผู้”กำกับดูแล” ที่เขียนว่า”คนจังหวัดชายแดนภาคใต้จับตามอง”เพราะ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” เต็มไปด้วยเรื่องราวของความ”อยุติธรรม” ที่รอการแก้ไข และในการ”หาเสียง”ของ”ประชาชาติ” ก็ได้ “ตกปากรับคำ” ในเรื่องของการเข้ามาเพื่อ”ทลายห้าง”ของความ”อยุติธรรม” และความ”เหลื่อมล้ำ” ทางด้านสังคมมากมายให้กับประชาชน  ดังนั้น นอกจาก”ทวี สองส่อง” จะเป็นความคาดหวังของคนทั้งประเทศแล้ว ยัง”เน้นหนัก” ในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งเป็น”ฐานที่มั่น”ของ”ประชาชาติ” อีกต่างหาก

กระทรวงยุติธรรม มีมีหน้าในการ กำกับดูแล”กรมสืบสวนพิเศษ” หรือ”ดีเอสไอ”  กรมนี้ต้องทำหน้าที่”สืบสวนคดีพิเศษ” จริงๆ เพื่อ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มี”คดีพิเศษ”มากมาย และมี”ขบวนการเถื่อน” มากกมายที่ทรง”อิทธิพล” ตำรวจ,และ”ปกครอง” ไม่กล้า”แตะต้อง” เช่น”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน, ขบวนการค้าวัวเถื่อน” ขบวนการค้ายาเสพติด” ขบวนการค้ามนุษย์” และกลุ่ม”อิทธิพล”ในการ”ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ” การ”ตัดไม้ทำลายป่า” ที่ วันนี้แม้แต่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็ยัง”เอาไม่อยู่” หวังว่า “ชยพล สายทวี” ผอ.ดีเอสไอ ที่รับผิดชอบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะ”สนองตอบ”ได้ทันและเรื่อง”อื้อฉาว” ในการ รับเรียกผลประโยชน์ จาก”ธุรกิจเถื่อน” จะไม่เกิดขึ้นกับ เจ้าหน้าที่ “ดีเอสไอ”เหมือนในอดีต…..เรื่อง”จราจรจลาจล” ที่ด่านศุลกากร-ตรวจคนเข้าเมือง” เทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ยังเป็นปัญหาที่”แก้ไม่จบ แก้ไม่ได้”หรือ ”ไม่แก้ไข”กันแน่ วันธรรมดาที่ไม่ใช่”เทศกาล” ก็มีสภาพของ”รถติดเป็นตังเม” ส่วนช่วงเทศกาลสภาพของ”จราจร”คือ”จลาจล” ติดกัน”ยาวเหยียด” แม้”คืบคลาน”ก็ไม่ได้  เพราะรถบรรทุกระหว่างประเทศยึดถนนทุกเลนเอาไว้เช่น”วันชาติมาเลเซีย”( เมอร์เดย์ก้า) ที่ผ่านมา มีเสียง”ก่นด่า” ทั้งจาก”คนไทยและต่างชาติ” ก็ต้องถาม “สาธิต ลิ่ววัฒนาโชตินันท์” นายกเทศบาลตำบลสำนักขาม” เจ้าของพื้นที่ว่า ท่านจะคงความเป็น”จารจร จารจล” เอาไว้อย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ จึงจะมีการ”บูรณาการ” กับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”ทั้งที่เป็นภาครัฐ และเอกชน เสียง”ก่นด่า” จาก”ผู้เดือดร้อน” ที่ต้อง”ใช้รถใช้ถนน”รวมกับ”ผู้ส่งออก” บ้างหรือไร

ปิดไปแล้วเป็นการถาวร สำหรับ”อภิมาหาอาณาจักรอินเตอร์เทนเมนท์”เมืองจังโหลน ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา เมืองชายแดนที่มีการลงทุนเป็นหมื่นล้านของ”เสี่ยวจาง”อภิมหาเศรษฐี”ชาวจีนมาเลเซีย หลังจากที่”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.( สส.) ถือหมาย”อินเตอร์โพล” เข้า”จับกุม” และส่งตัวให้ประเทศจีนดำเนินคดีคดี”ฉ้อโกง”นักลงทุนใน”จีนแผ่นดินใหญ่” ชะตากรรมของ”เสี่ยวจาง” เป็นไปตาม”กฎหมายของประเทศจีน” และคงมีการ”ไล่ทรัพย์ ยึดทรัพย์” เพื่อ”ขายทอดตลาด” แต่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ”เมืองที่เต็มไปด้วยธุรกิจสีเทา” หลัง”สามโรงแรมใหญ่” ที่เต็มไปด้วย”สถานบันเทิงหรูอลังการ” ถูกปิดไป คงกระทบกับ”ด่านนอก-จังโหลน” ไม่มากก็น้อย เศรษฐกิจ การค้า การเที่ยวกลางคืน ที่”ซบเซา”อยู่แล้ว” ก็น่าจะ”ทรุดหนัก”ยิ่งขึ้น เอ้า” นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว นายกสมาคมโรงแรม หาดใหญ่ สงขลา”  จะ แก้กันอย่างไรก็ว่ามา แต่ที่แน่ๆ ถ้า”ด่านนอก-จังโหลน” เมืองชายแดนไทย-มาเลเซีย แห่งนี้”ซบเซายาวนาน

พูดถึง”ตำรวจ” มีเสียง”นินทา”ให้ได้ยินว่า หลังจากที่”บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต “นายกรัฐมนตรี” เกิดมี”ธรรมภิบาล”แบบ”กะทันหัน” ไม่ยอม”เคาะ” บัญชีการ”แต่งตั้งโยกย้าย” ก่อนหมดอำนาจ โดยโยนให้เป็น”หน้าที่”ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายรัฐมนตรีคนใหม่ ทำหน้าที่แทน ทำให้”นักวิ่ง” ในวงการ”สีกากี” ต้องวิ่งเพื่อ”รักษาตำแหน่ง” และเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่ต้องการกันใหม่อีกครั้ง หลายคนที่ว่า”แน่เป็นแช่แป้ง” ว่าจะได้ขึ้นเป็น “ผู้บัญชาการ” ก็ไม่แน่เสียแล้ว  เพราะมี”คู่แข่ง” วิ่งแซงทางโค้ง เข้ามาให้เห็นหลังไวๆ หลายคน”บ่นงึมงำ” เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่อง”กรรมใครกรรมมัน” ต้องเข้าใจและ”ทำใจ”….เรื่อง”ของเถื่อน” เป็นของที่คู่กับ”เมืองชายแดน”ทุกแห่งของประเทศไทย แต่ต้อง”ควบคุม”อย่างให้เห็นแล้ว”น่าเกลียดน่าชัง” อย่างที่ “ชายแดนปาดังเบซาร์” อ.สะเดา จ.สงขลา ทั้ง”น้ำมันเถื่อน” และ”สารพัดสาระเพ” ที่เป็น”ของเถื่อน” มีการ”ขนกันอย่างครึกโครม” ก็ฝากถึงเจ้าหน้าที่ช่วยๆกัน”เหยียบเบรก” หน่อยนะ มากเกินไปดูน่าเกลียด…..มีผู้อ้างชื่อ” ดาบศร การข่าว ภาค 9 เดิน”เก็บรายการ” จากผู้ประกอบกิจการ”สีเทา” ใน พื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สืบไปสืบมา พบว่า มีการ”แอบอ้าง”ชื่อของ”ดาบศร การข่าว ภาค 9 และทราบแล้วว่าคนที่เดิน”เก็บรายการ”แล้ว ใครเป็น “เจ้านาย” ทำโทษให้ถูกตัวด้วยนะ

บรรทัดนี้ ขอแสดงความยินดีกับ “พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” รองแม่ทัพภาคที่ 4 รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ได้ตำแหน่งใหม่เป็น “แม่ทัพน้อยที่ 4 “ พี่น้อง ในแวดวง”สื่อ”จังหวัดชายแดนภาคใต้ยินดีกันถ้วนหน้า และยินดีกับ พล.ต.วรเดช เดชรักษา ผบ.พล.ร.5 / ผบ.กองกำลังเทพสตรี ที่โยกย้ายครั้งนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “รองแม่ทัพภาคที่ 4” รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เพราะ อนาคต คือ “แม่ทัพภาคที่ 4 คนต่อไป และดีใจกับ พล.อ.สุรเทพ หนูแก้ว ที่ได้ขยับเป็น  ผบ.มทบ.ที่ 44  ได้ดีกันทั่วหน้า ก็ยินดีด้วย…..ตั้งแต่ พ.ต.อ.อัสรี ต่วนเพ็ง ย้ายมา ทำหน้าที่ ผกก.สภ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส  คดีด้านความมั่นคง ได้รับการ”ใส่ใจ”เป็นพิเศษ รวมทั้งมีการ ปรับปรุงในเรื่องของการ”เข้าถึงมวลชน” เพื่อให้ทำหน้าที่”รั้วของความสงบ” เป็นที่ ยอมรับของ คนในพื้นที่ และ หน่วยงานราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น “ขันน็อต”อย่าง”ให้หลวม” รับรองว่า บ้านเมืองจะ สงบได้

สุดสัปดาห์ที่แล้ว”เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย ) พร้อมด้วย”ศรีภรรยา” สส.สุภาภรณ์ กำเนิดผล ( น้ำหอม ) และ “สส.ศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง” ( สิงโต )ลูกชาย เปิดบ้าน ขอบคุณ และ ตอบคำถาม ประชาชน ที่แห่แหนไปให้กำลังใจ ในเรื่องความ”ขัดแย้ง” ในพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะการ”วิวาทะ”กับ”ชวน หลักภัย”  หัวหลัก เอ้ย “เสาหลัก” ที่เป็น นักการเมืองรุ่นเก่าของพรรค พร้อมทั้ง ยืนยัน ยังไม่คิดที่จะ”ลาจาก” พรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องเป็น “เลขาธิการพรรค” เพื่อการ”ฟื้นฟู” ให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ โดยไม่เอา”มรดก”ของความ”เจ็บแค้น”ของ “นักการเมืองรุ่นก่อน”มาเพื่อ”สืบทอด”อีกต่อไป ก็ต้องติดตามกันต่อว่า”มหากาพย์” ของความ”ขัดแย้ง” ในพรรคประชาธิปัตย์ จะจบลงในลักษณะใด ที่สำคัญ จะเรียกประชุมกรรมการพรรคได้เมื่อไหร่ ใครจะได้เป็น”หัวหน้าพรรค” และจะมีโอกาสเป็น”ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน” หรือไม่ เพราะพรรคก้าวไกล ติดเงื่อนไข ที่อาจจะเป็น”ผู้นำฝ่ายค้าน”ไม่ได้

มี”มือดี” นำเอาเรื่องคดีที่”ศาลทุจริตภาค 9” ได้พิพากษา”จำคุก” เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ที่ถูกชี้มูลในความผิด”ทุจริต”จากการ”จัดซื้อ”เครื่องตรวจระเบิด”อัลฟ่า ทีจี 200  ซึ่งมีทั้งอดีต ผู้ว่าฯ ที่ เกษียณอายุราชการไปแล้ว 2 คน และ ผู้ว่าที่ยังรับราชการอยู่ นายอำเภออีก 3 คน และ คลังจังหวัดอีก 1 คน พร้อมทั้งคนอื่นๆ เพื่อให้ “ปลัดกระทรวงมหาดไทย”ทบทวนเรื่องให้”หยุดปฏิบัติหน้าที่” ตามที่”กฎหมายกำหนด” นี่ก็เป็น”วิบากกรรม” ที่เกิดขึ้นในยุคที่”เครื่องมือไม้ล้างป่าช้า” ถูก ยกย่อง ให้เป็นของ”วิเศษ” ที่ ต้อง”จัดซื้อในราคาแพง” แต่ไม่มี”ประสิทธิภาพ” และ”แต่ชาวบ้านนินทากันทั่วว่าสองมาตรฐาน” เพราะมี ผู้ที่”จัดซื้อ” ที่เป็น “นายพล” เป็น”ผวจ. หลายคนที่”หลุดร่างแห”ไม่ถูกดำเนินคดี…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…นายกฯฝึกงาน? กับ ตัวประกันการเมือง!

ในที่สุด ประเทศไทยและประชาชนคนไทย ก็ได้รัฐบาลที่”ก้าวข้ามความขัดแย้ง” เป็นการ”ก้าวข้าม” โดยทิ้งปัญหาความ”ขัดแย้ง” เอาไว้อย่างเดิม โดยที่ยังไม่ได้”แก้”แต่อย่างใด คำว่า”ก้าวข้ามความขัดแย้ง” จึงเป็นเพียง”วาทกรรม”ทาง”การเมือง” ที่”นัก”เลือกตั้ง” ที่เรียกตนเองว่า”นักการเมือง”ประดิษฐ์ประดอย” ขึ้นมา เพื่อให้”ดูดี” ก็เท่านั้น…..วันนี้เรามี”นายกรัฐมนตรี”ฝึกงาน”ที่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน”นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จในด้าน”อสังหาริมทรัพย์” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผู้ประสบความสำเร็จในด้าน”อสังหาริมทรัพย์” จะเป็นผู้ที่”เก่งกาจ” ในเรื่องการ”บริหารประเทศ”เพราะเป็นลักษณะงานที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง  โดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้มาจาก 11 พรรคการเมือง ที่”เสนาบดี” ที่ถูกแต่ละพรรควางตัวให้เป็น”เจ้ากระทรวง” ส่วนหนึ่งเป็นนักการเมือง”เขี้ยวลากดิน” และส่วนหนึ่งเป็น”มือใหม่หัดขับ” ไม่แตกต่างกับ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่ ไม่เคยผ่านงาน”การเมือง” แม้แต่”กระผีกริ้น”…..เช่นเดียวกับ 9 ปีก่อนที่ประเทศไทยได้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่ไม่เคยมี”ประสบการณ์ทางการเมือง” และใช้เวลา”ฝึกงาน”แบบ”มะงุมมะงาหรา” อยู่นานมาก จนเป็นที่มาของการสร้างความ”ถดถอย” ให้กับ ประเทศชาติ และ “ประชาชน” นี่คือสภาพที่แท้จริงของ”รัฐบาล” ที่ แม้ว่า”ครม.จะมี”รายชื่อ”  รมต.ที่”ลงตัว” แล้วทุกพรรค แต่ก็ยังไม่สามารถ”คาดหวัง”ได้ว่า จะสามารถ”ขับเคลื่อน” เรื่อง”เศรษฐกิจ”และ”ปากท้อง” ให้เป็นไปตามความ”คาดหวัง” ของ คนในชาติ….แต่ เอาเถอะ  อย่างไรเสีย ก็อย่าเพิ่ง”ติเรือทั้งโกลน”  คงต้องให้เวลากับ”ครม.ของ”พรรคเพื่อไทย” ภายใต้การนำของ”เศรษฐา ทวีสิน” และทีมงาน“มันสมอง”ของพรรคเพื่อไทย ในการ”นำพา”ประเทศไทย” ไป ข้างหน้า เพราะ วันนี้” เพื่อไทย” ได้ทำการ”ทุ่มหมดหน้าตัก” และไม่เหลือ”ทุนรอนทางสังคม”แม้แต่นิดเดียว ถ้า”เพื่อไทย” ไม่สามารถ”นำพา” นำประเทศไปสู่การ”อยู่ดีกินดี” ของ”ประชาชน อนาคตของ”เพื่อไทย” ใน”สนามเลือกตั้ง” ในครั้งหน้า ก็จะเหลือ”เป็นศูนย์”

 

ดูรายชื่อ “เสนาบดี” กระทรวงสำคัญๆ ที่เกี่ยวกับ”เศรษฐกิจ-ปากท้อง” ของประชาชน อย่าง “กระทรวงพลังงาน” ที่มี “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็น” เสนาบดี” ที่มีความรู้ทางด้าน”กฎหมาย” เพื่อมา แก้ปัญหา”ราคาพลังงาน” ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริง ก็ต้องดูว่าจะมี “นโยบาย” อย่างไร ในการทำราคา”พลังงาน” ทุกชนิด ถูกลง เพื่อ “ลดภาระ” ของ “อุตสาหกรรม”และรายจ่ายใน”ครัวเรือน” ที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศและประชาชน ที่วันนี้รอไม่ได้อีกแล้ว เพราะ”น้ำมันแก๊สโชฮอลล์ 91 และ 95 ที่เป็น”หัวใจ”ของคน”ทำงาน” ขึ้นราคาทะลุลิตรละ 40 บาท ไปแล้ว “ฯพณฯ” เมื่อ “รายได้” ที่ต้องกินต้องใช้กลายเป็น”รายจ่าย”ในเรื่อง”พลังงาน”ไปแล้ว  พวกเขาจะใช้ชีวิตให้”กินอิ่ม นอนอุ่น” อย่างไร นี่เป็นเรื่องแรกที่” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” เสนาบดี”กระทรวงพลังงาน ต้องแก้ไขด่วน….ส่วนอีกกระทรวง ที่เป็น กระทรวงในการ “สร้างเงิน” ให้กับประเทศชาติ คือ”กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา” ที่”เพื่อไทย”ใช้”วิธีการต่างตอบแทน” ด้วยการให้ตำแหน่ง “เสนาบดีกระทรวงท่องเที่ยวฯ”เป็นของ” สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล”ในฐานะที่”กำนันป้อ” ผู้เป็นบิดา สามารถนำ สส.ในภาคอิสาน เข้าสภาอย่าง”เป็นกอบเป็นกำ” และนี้ก็จะเป็น”รัฐมนตรี” ที่เข้ามา”ฝึกงาน” เหมือนกับ “รัฐมนตรี” ในหลายๆ กระทรวง ก็ได้แต่”เอาใจช่วย”และ”เอาใจลุ้น” ให้ ทุกคนมีความ”ตั้งใจ” และสร้าง”ทีมงาน” ให้เป็น”ดรีมทีม” โดยเห็นประโยชน์ของ”ประเทศชาติ” เป็นที่ตั้ง

 

ส่วน “เสนาบดี”กระทรวงกลาโหม ที่มีชื่อ”บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีต เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) มาเป็น”เจ้ากระทรวง” และกลายเป็น”เงื่อนปม” ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับมวลชน”คนเสื้อแดง” ที่ ออกมา”ต่อต้าน”อย่าง”เผ็ดร้อน” ที่กล่าวกันว่า เรื่อง”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” คือ”ฟางเส้นสุดท้าย” ระหว่าง”เพื่อไทย”กับ”มวลชนคนเสื้อแดง” เพราะคน”เสื้อแดง” เชื่อว่า “บิ๊กตู่” เป็นผู้ส่ง “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” มาเป็น”รัฐมนตรีกลาโหม” เพื่อให้”กองทัพ” เดินตาม”แนวทาง”ที่ถูกกำหนดไว้โดย”บิ๊กตู่” เพื่อความมั่นใจว่า “เพื่อไทย” จะไม่”วอแว” กับ” นโยบายของ”กองทัพ” ที่สุดท้ายแล้ว แม้แต่เรื่องนโยบาย”การเกณฑ์ทหาร” ที่”เพื่อไทย” หาเสียง โดยรับปากกับประชาชนว่าจะมีการ”ยกเลิก” ก็ทำไม่ได้ เรื่องนี้”เพื่อไทย” ต้องเลือกระหว่าง”ความต้องการของทักษิณ” กับความต้องการของ”มวลชนคนเสื้อแดง” แต่…เชื่อเถอะ สุดท้ายแล้ว “ทักษิณต้องมาก่อน” เพราะลงทุนมาเป็น”ตัวประกัน” ถึงขนาดนี้แล้ว มีแต่ต้อง”เดินหน้า” อย่างเดียว ส่วน”คนเสื้อแดง” จะ”เจ็บปวด” อย่างไร ค่อยหาทาง”เยียวยา” ภายหลัง……แต่ ถ้า รัฐมนตรี กลาโหม เป็น “สุทิน คลังแสง” อย่างที่เป็นข่าวล่าสุด ก็จะเป็น”มิติใหม่” ของ”กลาโหม” ที่มี สส.ที่ไม่ได้เป็น”นายกรัฐมนตรี”นั่งควบ” กลาโหม อย่าง”ธรรมเนียมปฏิบัติ” ที่ผ่านมา และ”รัฐมนตรี” ที่ไม่ได้มาจาก”ทหาร” อาจจะ”เปิดกว้าง” ในการ”รับรู้”และ”ฟังความคิดเห็น” จาก”ภาคประชาชน” มากกว่า”รัฐมนตรี”ที่เป็น”ทหาร” ที่เลือกที่จะเชื่อและฟังแต่รายงานของ”ทหาร”ด้วยกัน

 

ที่เห็นชัดอีกระทรวงว่า “เสนาบดี”ไม่”ตรงปก” กับงานก็คือ”กระทรวงศึกษาธิการ” ที่แค่เห็นชื่อ”นายตำรวจใหญ่” อย่าง “ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ” ทำหน้าที่เป็น”เสนาบดี” ฝ่ายการศึกษาก็”สะอึก” กันทั้งประเทศ  เพราะการได้”คนเก่ง” ที่เป็นการเก่งในงานของ”ตำรวจ” มาเป็นผู้”กุมนโยบาย”ของการ”ศึกษา” ทำให้ทุกฝ่าย”เป็นห่วง” โดยเฉพาะ “กระทรวงศึกษา” ในวันนี้ เต็มไปด้วยปัญหาที่รอให้แก้ไขมากมาย โดยเฉพาะที่ “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” และนี้ก็เห็นชัดว่า” พรรคการเมือง”ที่ร่วมรัฐบาล ไม่ได้สนใจเรื่องความรู้ ความเข้าใจ “เสนาบดี” ที่ถูกส่งมาให้เป็น”เจ้ากระทรวง” แต่ให้ความสำคัญในเรื่อง” เครือญาติ” ที่ต้องเป็น”ตัวแทนพรรค”ได้เป็น”เสนาบดี”เท่านั้น…..ส่วนที่เห็นแล้ว ไม่น่าเป็นห่วง ก็น่าจะเป็น “กระทรวงยุติธรรม” ที่เป็นการตั้ง”เสนาบดี” ที่”ถูกฝาถูกตัว” เพราะ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” หัวหน้าพรรคประชาชาติ และ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ มีความ”เหมาะสม” ที่จะเป็น”เจ้ากระทรวงยุติธรรม” และ เชื่อว่า จะสามารถ”ทะลุทะลวง” กับเรื่องของความ”เหลื่อมล้ำ” เรื่องของความ”อยุติธรรม”ได้ในระดับหนึ่งในทันที ที่เข้ามารับตำแหน่ง โดยเฉพาะปัญหาใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”หมักหมม” มานาน ในเรื่องความ”ยุติธรรม” คงจะได้รับการ”สะสาง” ตามความต้องการของ ประชาชน……เช่นเดียวกับ “กระทรวงแรงงาน” ที่”พรรคภูมิใจไทย” ส่งมอบให้”โกเกี๊ยะ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ”ทำหน้าที่เป็น”เสนาบดี” ซึ่งเชื่อว่าเป็นการได้”เสนาบดี” ที่ไม่”ผิดฝาผิดตัว” เพราะ “โกเกี๊ยะ” มีความรู้ มีฝีมือ ที่เกี่ยวกับ”แรงงาน”เป็นอย่างดี “กระทรวง”จับกัง”ภายใต้การ”ขับเคลื่อน”ของ”จับกัง 1 “คงทำให้ “โรงงาน” และ”แรงงาน” เดินหน้าไปได้ด้วยดี

 

ส่วนเรื่อง”ไฟใต้” หรือความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยัง”ไม่จบไม่สิ้น” มีการ”ก่อเหตุ” เป็นระยะๆ ล่าสุด ระเบิดแสวงเครื่อง ที่หน้าเทศบาลเมืองยะรัง มีเจ้าหน้าที่”พลีชีพ 3 ศพ เจ็บ 5 นาย คือ”ของจริง” ที่”ตอกย้ำ”การไร้ความสามารถของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถ้า”บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็น เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ด้วยการที่เคย”ผ่านมา”การเป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคง” ( สมช.) มาแล้ว ก็น่าจะ”มองทะลุ” ถึงปัญหา แต่ก็เชื่อว่า การแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ของ “กลาโหม” ยังวาง”น้ำหนัก”อยู่ที่ ผู้ที่เป็น” ผบ.ทบ.”พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” และ”พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ซึ่ง คงจะไม่มีอะไรที่ “แปลกใหม่” สำหรับการ”จัดการ”ปัญหาของ”ไฟใต้” ที่ ฝ่ายความมั่นคง มองว่าเป็น”ปัญหาของท้องถิ่น”ไปแล้วนั่นเอง…..และก็อย่างที่เขียนไว้เมื่อ “สัปดาห์ก่อน” วันนี้เรื่อง”โกดังพลุระเบิด” ที่เป็น”โศกนาฏกรรม” ของ”ชาวบ้านที่มูโนะ” อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส  ก็กลายเป็นเรื่อง”ตลาดวาย” ทุกปัญหาเป็นหน้าที่ของ”ฝ่ายปกครอง” ที่ต้องรับ”ภาระ”ที่เกิดขึ้น สำหรับผู้เดือดร้อน วันนี้ก็อย่า”หวังพึ่ง” หน่วยงานรัฐเพียงอย่างเดียว ต้อง”พึ่งพา”ตัวเองเป็นสำคัญ….ส่วนการค้าขายใน”แนวชายแดน” ที่เป็น”เส้นทางธรรมชาติ” ( เถื่อน ) ทุกอย่างเปิด”อ้าซ่า” ตาม ปกติ “ สินค้าเถื่อนทุกชนิด ทั้งการ”นำเข้า-ส่งออก” ทั้ง”พลุ,ดอกไม้ไฟ ,ประทัด” และ”วัว ควาย” ส่งออกได้ตาม”ปกติ” …..เช่นเดียวกับ ชายแดนด้าน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ทั้ง”บุหรี่เถื่อน“และ”น้ำมันเถื่อน” ยังเป็นสินค้า “นำเข้า” ที่เป็นสินค้า”ยอดนิยม” ภายใต้”จมูกของเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน นี่คือ สภาพของ”เมืองชายแดน”ที่”มือกฎหมาย” ยังคง”พ่าย”ให้กับขบวนการของ”นายทุน”…..แม้แต่ในตัวเมือง สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่ วันนี้มี”หญิงลาว” เข้ามา”ทำมาหากิน” ใน สถานบริการ สถานบันเทิง อย่าง”ล้นหลาม” ทั้งที่เข้าเมือง”ถูกต้อง”และ”ผิดกฎหมาย” รวมทั้ง อนุญาตการทำงานที่”ไม่ตรงปก” เป็น”แม่บ้าน” แต่ทำงาน”ขายบริการ” มีอยู่ทุก”ซอกทุกซอย” ที่เป็น “ย่านบันเทิง” ที่อยู่ได้เพราะมี”หัวเบี้ย” เก็บ”ส่วยรายหัว” หัวละ 1,000 บาท/เดือน จากเจ้าของสถานบริการ เรื่องนี้”ฝ่ายปกครอง” ในฐานะที่เป็น”ผู้ควบคุมดูแลสถานบริการ” จะบอกว่า”ไม่รู้ไม่เห็น”ไม่ได้  และ “สนั่น พงษ์อักษร” ผวจ.นราธิวาส ต้อง”ใส่ใจ” สั่งการให้มีการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงด้วย

 

เรื่องการปล่อยให้”นายทุน” บุกรุกทำสวน”ยูคาลิปตัส” ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทะเลน้อย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ถึง 1,000 ไร่ วันนี้มีหลักฐานให้เห็นอยู่”ทนโท่”  นักข่าว สอบถาม หัวหน้าเขตห้ามล่าฯ”ปราโมทย์ แก้วนาง” คำตอบคือ ที่ดินแปลงนั้นเป็นของ”นายทุน” ที่มี”เอกสารสิทธิ์” ที่ถูก”กฤษฎีกา” ชี้ว่า ออกโดยไม่ถูกต้อง แต่ “กรมที่ดิน” ยังไม่ได้”เพิกถอน” จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของ” พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” คนใหม่  ในการ ติดตามความคืบหน้าเรื่อง”เอกสารสิทธิ์” เป็นการเร่งด่วน…..เช่นเดียวกับการ”บุกรุกที่ดินป่าพรุ” ที่”พรุควนเคร็ง” อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ด้วยการ”เผาป่า” และการ”กานต้นเสม็ดขาว”ให้ตายแล้วปลูกปาล์มทดแทนแซมเข้าไป  หลายแปลงมีการออก”เอกสารสิทธิ์ ที่ไม่ชอบ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “ล่าช้า” ในการ ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งล่าสุด “อรรถพล เจริญชันษา” อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลฯ รรท.อธิบดีกรมอุทยาน สั่งให้ เจ้าหน้าที่รวมรวมหลักฐาน เข้าร้องทุกข์กับ พนักงานสอบสวน สภ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช แล้ว ทั้งสองเหตุล้วนเกิดขึ้นในพื้นที่” เขตห้ามล่าสัตว์ทะเลน้อย” และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น”ยาวนาน” และ”เรื้อรัง” ที่ ต้องถึงเวลาที่”กระทรวงทรัพย์ฯ” จะต้องมีการ”สังคายนา” การทำหน้าที่ของ “เจ้าหน้าที่” ผู้รับผิดชอบ”เขตห้ามล่าสัตว์”ของ”ทะเลน้อย”ได้แล้ว…..นี่ก็เรื่องใหญ่ เพื่อ”พยาบาลพาร์ทไทม์” ของ”โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ใน จ.ตรัง “จ่ายยาผิด” ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ”โคม่า” ต้องนำส่ง รพ.มอ.หาดใหญ่ เพื่อ”ช่วยชีวิต” ซึ่งข่าวว่า นพ.สินชัย รองเดช นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรัง ( สสจ.ตรัง ) ไม่ได้นิ่งนอนใจ การสั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้มีการรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น

 

ทุเรียนยะลา ที่มีมูลค่าในตลาดค้าทุเรียนปีละ 10,000 ล้าน วันนี้มีปัญหาเรื่องการ”ตัดทุเรียนอ่อน.มีหนอนในผลทุเรียน”และมีการตรวจพบว่า”ใช้ยามากเกินไป” ผู้รับซื้อจาก”ประเทศจีน” มีการ”ตีกลับ” สินค้า และ”ล้งจีน-ล้งไทย” ก็ ผวา ไม่กล้ารับซื้อ ราคาจึงตกลงเหลือ กิโลกรัมละ 80-90 บาท เรื่องนี้จะไปโทษใครไม่ได้ นอกจาก”เกษตรกรเจ้าของสวน” ที่”เห็นแก่ได้” และขาดหลัก”วิชาการ” ตั้งแต่ต้น….ส่วน เจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ เกษตรจังหวัด กรมวิชาการ ที่ไม่มีความ”ต่อเนื่อง” ในการ”ส่งเสริม” และการให้ความรู้ทาง”วิชาการ” ถึงเวลา “ทุเรียนออกสู่ตลาด” แล้วจึงจะมีการนำปัญหาที่เกิดขึ้นมาพูด แต่หลังจากหมด”ฤดูกาลของทุเรียน” ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นก็ถูก”ซุกหีบ” เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด แล้ว ปัญหาจะหมดอย่างไร เรื่องนี้ “สุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย” ผวจ.ยะลา ลงจับมือกับ”เกษตรจังหวัด”ยะลา ดำเนินการตั้งแต่”ต้นน้ำ ,กลางน้ำ”และ”ปลายน้ำ” เพื่อที่ในปีหน้า ปัญหา เหล่านี้จะได้หมดไป

 

ชื่นชมกับ นโยบายของ”พจท. อนันต์ บุญสำราญ “ ที่ ผลักดัน ให้ สองข้างถนนของ จ.ยะลา “ปลอดจากร้านค้าน้ำกระท่อม” เพราะ หลังจากที่”พืชกระท่อม” ถูกปลดออกจากการเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5  มีผู้คนหันมา”ขายพืชกระท่อม” และ”น้ำกระท่อม” มากกมายทุก”หัวระแหง” กลายเป็นปัญหาสังคม เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  เพราะน้ำกระท่อมมีส่วนผลสมของ”สารอื่นๆ” เช่น”ยาแก้ไอ” และการผลิตที่ไม่เป็นไปตาม”มาตรฐาน” ปนเปื้อน สกปรก ไม่มีการขออนุญาต ไม่ทำตาม พรบ.สาธารณสุข ไม่มีการ ติดป้าย ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และ สตรีมีครรภ์ห้ามซื้อ ห้ามกิน  ทั้งที่ องค์กรอาหารและยา ( อย.)กำหนดว่าไม่ควรรับประทาน”สารไมทราจีนีน”เกิน 0.2 กรัมต่อวัน (หรือกินได้ 3 ใบ ต่อวัน ) และไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 7 วัน และ วันนี้ จ.ยะลา มีผู้ป่วยทางจิต และป่วยเพราะพิษของการดื่มน้ำกระท่อมเข้ารักษาตัวที่ ร.พ. จำนวนมาก…..เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และ ยากที่จะสำเร็จ  เพราะลำพัง “ตำรวจ” คงจะทำอะไรไม่ได้เพราะเมื่อ”พืชกระท่อม”ไม่ใช่”ยาเสพติด” การที่จะ”จับกุม”จึงทำไม่ได้อย่างเมื่อก่อน หรือ”จับกุมแล้ว” ก็ต้องส่งตรวจสอบว่าเป็น”สี่คูณร้อย” หรือไม่ มีเพียง”กฎหมาย”ของ”สาธารณสุข” ที่บังคับใช้กับ “ผู้ขาย ผู้ค้า ผู้ผลิต” ได้ แต่ก็ต้องถามว่า”สาธารณสุข” มีการ”เอาจริง” แค่ไหนกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งคงต้องมีว่า”เสนาบดี”คนใหม่ของกระทรวงสาธารณสุขอย่าง “นพ.ชลน่าน สีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะมี นโยบายอย่างไรกับ”พืชกระท่อม” และ”กัญชา” ที่ เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องการให้ถูกนำกลับไปเป็น”ยาเสพติด” อีกครั้ง…..แต่ที่ จ.สงขลา  ตลอดริมถนน สายสนามบินหาดใหญ่ ทั้ง ด้านซ้าย-ขวา ถูก”พ่อค้า”กระท่อม” ยึดเป็นที่”ทำมาหากิน” ขายทั้ง”ใบ”ขายทั้ง”น้ำ” มีการ ตั้งชื่อ ร้าน มีการ”โฆษณาสรรพคุณ” เสร็จสรรพ จนถนนสายดังกล่าวถูกผู้คน”ขนานนามว่าถนนยาเสพติด” ก็ต้องถามไปยัง “เจษฎา จิตรัตน์ “ ผู้เป็น”พ่อเมืองสงขลา” และ” พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์” ผบก.ภ.จว. สงขลา ว่า ท่านทั้งสอง “คิดเห็นอย่างไร” กับการ ยึดถนนสายสนามบินหาดใหญ่ เพื่อการ”ขายใบขายน้ำกระท่อม”เพราะนี่เป็นเรื่อง”ผิดกฎหมาย”และ”อับอาย” แขกบ้านแขกเมือง ที่ ผ่านไปผ่านมา

 

เห็นภาพของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี”ป้ายแดง” หลังจากที่ได้รับการ”โปรดเกล้าฯ ก็ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เป็น แห่งแรก เพื่อติดตาม “สถานการณ์การท่องเที่ยว”ใน”ไตรมาสสุดท้ายของปี” ก็แสดงให้เห็นว่า “เศรษฐา” มี”สายตายาวไกล” ที่ รู้ว่าเรื่อง”การท่องเที่ยว” คือ “ธุรกิจ” ที่สามารถ”สร้างงาน สร้างเงิน” ให้กับประเทศชาติที่รวดเร็วที่สุด ถ้า”เศรษฐา” สามารถ”ทะลุทะลวง”ปัญหาอุปสรรค และนำ ปัญหาที่ “ผู้ประกอบการ” ประสพอยู่ รวมทั้งเรื่องของ”แอร์ไลน์ฯ หรือ”สายการบิน” ที่ราคาตั๋วยังแพง และ เที่ยวบิน ที่ไม่เพียงพอ การ”ขูดรีด คดโกง” นักท่องเที่ยว ได้ผล  รวมทั้ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ จะทำให้ การท่องเที่ยว ของไทยสดใสได้อีกครั้ง….ส่วนเรื่องการ”สร้างสนามใหม่” พับเอาไว้ก่อนเถอะ เอาเรื่อง สนามบินเก่า 5 แห่ง ในประเทศ ที่สร้างแล้วไม่ได้ใช้งาน ทำอย่างไรจึงจะใช้งานได้ โดยเฉพาะ “สนามบินเบตง” อ.เบตง จ.ยะลา ที่”ร้างไปแล้วกว่า 6 เดือน เพราะไม่มี”แอรไลน์” ให้ความสนใจ ทั้งที่ “เบตง เป็นเมืองท่องเที่ยว” ที่มี สถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม อาหารการกินที่เป็น”เอกลักษณ์” และการเดินทาง”ทางรถยนต์”ไม่”สะดวกสบาย” แต่ทำไม “สนามบิน” ที่ลงทุนสร้างถึง 1,800 ล้าน จึงเป็น”สนามร้าง” ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้” เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และชาว เบตง  ด้วยเถอะ

 

บ่อนการพนันออนไลน์-หวยออกไลน์ ยังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ  ที่ภาคใต้ ก็ไม่น้อยหน้า มี “เยาวชน” และผู้คนเป็นจำนวนมาก ที่ตกอยู่ในห้วง”อบายมุข” ของ”การพนันออนไลน์” ซึ่งในภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจของ”เครือข่าย” ที่เป็น”วงศ์วานย่านเครือ” ของ “นักการเมือง” และ”ลูกหลาน”ของ”คนมีสี” มีการ”จ่ายส่วย” เดือนละ”หลักแสน-หลักล้าน”ให้กับ”เจ้าหน้าที่ ทำให้ไม่มีการ”ปราบปราม” ผู้เดือดร้อน ที่เป็น”ผู้ปกครองเยาวชน” ร้องไปยัง “ผู้บัญชาการกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนทางเทคโนโลยี” ( สอท.) ซึ่งวันนี้มีข่าวว่าเป็น”หน่วยงานที่ไม่รับส่วย” ส่ง เจ้าหน้าที่เข้ามา”ปราบปราม”ที่เถอะ โดยเฉพาะ ใน จ.สงขลา ,ทุ่งสง นครศรีธรรมราช เกาะสมุย ระนอง ที่เป็นแห่งของ”บัญชีม้า” จำนวนมหาศาล….ก็ฝากไว้ สำหรับการ “พัฒนาเศรษฐกิจของภาคใต้” ที่ มีการเสนอ”โปรเจกส์” มายาวนาน ทั้งเรื่องการขุดคลองเชื่อม”ทะเลอ่าวไทยกับอันดามัน” จาก อ.ระโนด จ.สงขลา กับ อ.สิเกา จ.ตรัง  ที่สุดท้ายก็ไม่มีการ”ขับเคลื่อน”จาก”รัฐบาล” วันนี้มีการนำเสนอโครงการ”แลนด์บริจส์” หรือ”สะพานบก” เชื่อมระหว่าง ท่าเรือน้ำลึก จ.ชุมพรกับท่าเรือน้ำลึก จ.ระนอง ที่จะเป็นการ”ย่นระยะทาง”ในการ”ขนส่งสินค้า” โดยไม่ต้อง”ขุดคลองตัดแผ่นดิน” แต่เป็นการสร้าง”ถนนมอเตอร์เวย์”และ”ทางรถไฟรางคู่” เพื่อการ”ขนสินสินค้า” ระหว่าง 2 ท่าเรือ ที่อยู่คนละฝั่งทะเล แต่ต้องใช้งบประมาณที่” หนึ่งล้านล้าน” ซึ่งต้องหา”ผู้ร่วมทุน” และอาจจะเป็นเรื่อง”ความฝัน”…..ส่วนเรื่องของ”ความจริง” ที่แน่นอน และมีการ “ผลักดัน”ไปแล้ว โดย” คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กพต. ) คือการ สร้าง”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” หรือ”เมืองต้นแบบในอนาคต” ที่ เสนอโดย “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) เพื่อให้มี “อุตสาหกรรมสีเขียว” ขนาดใหญ่ในพื้นที่ 10,000 ไร่ มี “ท่าเรือน้ำลึก” เพื่อการ”นำเข้าและส่งออก” เป็น”เกตเวย์ที่สาม”ของประเทศไทย เพื่อให้ นักลงทุนในภาคใต้ แข่งขันกับต่างประเทศได้ ที่สำคัญเป็นการลงทุนของ”เอกชน” ในวงเงิน 600,000 ล้าน รัฐช่วยเหลือในด้าน”สาธารณประโยชน์” เท่านั้น

 

โครงการนี้ผ่านไปแล้ว 3 ปี ยัง”เดินหน้าไม่ได้” เพราะ”พ่อเจ้าพระคุณเอ็นจีโอ” คัดค้าน และ “รัฐบาล” ก็ “หวาดผวา” กับ”นักรบผ้าถุง” ที่เดินทางไป”ปิดประตูทำเนียบ” จนวันนี้”รัฐบาล”ของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซื้อเวลาไม่ต้องการ”ปะทะกับเอ็นจีโอ” ด้วยการให้”สภาพัฒน์ฯ” เป็น”เจ้าภาพ” ในการ”ศึกษาความเป็นไปได้ของ”เมืองต้นแบบที่ 4 “ หรือ”เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”ใหม่อีกครั้ง  นี่คือการ”เสียเวลา”และ”เสียโอกาส” ของคนในภาคใต้…..เมื่อ เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ทีม “เศรษฐกิจ” ของ”พรรคเพื่อไทย” ควรที่จะให้ความสำคัญ กับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ”เมืองต้นแบบที่ 4 “ หรือ” นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” คือ”ทางออก” ในการ แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะส่งผลทางบวกโดยเร็วที่สุด,,,,, และ30 กันยายน นี้ ก็จะมีการ เปลี่ยนตัว “เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ และเปลี่ยนตัว เลขาธิการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) เพราะ”เกษียณอายุราชการ” ถ้า “รัฐบาล”ของ”เพื่อไทย” วางตัว “เลขาธิการสภาพัฒน์” และ “เลขาธิการ ศอ.บต.”ให้”ถูกฝาถูกตัว” ก็อาจจะได้เห็น”เมืองต้นแบบที่ 4 “ หารือ “เมืองอุตสาหกรรมจะนะ” เดินหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น

 

ติดตามดูการ”อภิปราย” ของ”สส.ในสภาผู้แทนราษฎร เห็น”บทบาท“ของ สส. “เลือดใหม่” ที่เป็น”คนรุ่นใหม่” อย่าง”สรรเพชญ บุญญามณี” สส.เขต 1 สงขลา ทายาททางการเมืองของ”นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต สส.หลายสมัยของ ปชป. และ”ร่มธรรม ขำนุรักษ์”  สส.เขต 3 จ.พัทลุง  ทายาทของ”นริศ ขำนุรักษ์”  รมช. มหาดไทย  สองสายเลือด”ประชาธิปัตย์” จะเป็น สส.ที่มีคุณภาพ ที่เป็น”คนรุ่นใหม่”ของ”พรรคประชาธิปัตย์”…..ส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ที่ ณ วันนี้ มีการ”ขบเหลี่ยม เฉือนคม” ระหว่าง นักการเมือง”รุ่นเก่า” ที่นำโดย “ชวน หลีกภัย”อดีตหัวหน้าพรรค กับนักการเมือง”สายใหม่”ภายใต้การ”ชี้นำ”ของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน”เลขาธิการพรรค ที่มี”เดชอิศม์ ขาวทอง” และ”ชัยชนะ เดชเดโช” เป็น”หัวหมู่ทะลวงฟัน” เมื่อ “สส.สายใหม่” ไม่เห็นกับ”หัวหงอกหัวดำ”ของ”คนรุ่นเก่า” พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยากที่จะ”เติบโต”และยากที่จะ”สู้ศึก” การเลือกตั้งในสมัยหน้า โดยเฉพาะวันนี้”ศรัทธา”ของ”คนภาคใต้” ที่เคยมีกับ”ประชาธิปัตย์” เสื่อมสลายไปแล้วตาม”ความเสื่อม”ของ”ประชาธิปัตย์” โดยคนของ”ประชาธิปัตย์” เป็นผู้”ทำลาย”นั่นเอง……

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาตอนต่อไปเมื่อ ‘พท.’เสร็จภาระกิจสำคัญนำ ‘ทักษิณ’กลับบ้าน

เมื่อ”การเมือง” เดินมาถึงจุดสุดท้าย หลังผ่านการ”เลือกตั้ง” เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่เป็นการ”เลือกตั้งโดยประชาชน” และการจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการ”จัดตั้งรัฐบาลโดยประชาชน”และ”เพื่อ”ประโยชน์ของประชาชน” ตาม”เจตนารมณ์”ของการปกครองในระบอบ”ประชาธิปไตย” ดังนั้น “รัฐบาล” ที่ได้มา จึงเป็น”รัฐบาล”ที่รวมเอา”พรรคการเมือง” หลายๆพรรค ที่ในตอน”หาเสียง” ที่”พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเป็น”แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ว่าจะไม่”ร่วมรัฐบาล” แต่”สุดท้าย” เมื่อ”มรสุมการเมืองรุมเร้า” มีการใช้”อิทธิฤทธิ์” จาก”มือที่มองเห็น” และ”มองไม่เห็น” เพื่อการ”เตะสกัด” พรรคก้าวไกล ออกจาก”วงจรการเป็นรัฐบาล” เพื่อ”บีบ” ให้”เพื่อไทย” ต้องเดินตาม”เกม” ที่ถูก”บีบ”ให้เดิน โดยการ”จัดรัฐบาล” ที่มีทั้งพรรคของ”สองลุง” และ”ภูมิใจไทย” เป็น พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็น “สามพรรคการเมือง” ที่”เพื่อไทย” ไม่ว่าจะเป็น” อุ๊งอิ๋ง” แพทองธาร ชินวัตร,ประธานครอบครัวเพื่อไทย” และ”ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ” ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย และ”เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดด นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง”ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต่างให้”สัญญาประชาคมกับประชาชน” ว่า”หัวเด็ดตีนขาด” พรรคเพื่อไทยจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ “สามพรรค”ข้างต้น ดังนั้นการ”กลับหลังหัน” ของ”เพื่อไทย” จึงเป็นการ”ตระบัดสัตย์” ต่อ “ประชาชนทั้งประเทศ” ที่ต้อง”ส่งผลต่อการเลือกตั้ง”ของ”เพื่อไทย” ใน “อนาคต” นี่เป็นการ”ฆ่าหรือการทำลายพรรคเพื่อไทย” ใน “สนามการเลือกตั้ง”ในสมัยหน้าอย่าง” เลือดเย็น” เป็นการปิด”ประตูตายทางการเมือง”ของ”ตระกูลชินวัตร” ที่ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว

แต่ สำหรับ”เพื่อไทย” สิ่งที่ผู้”มีอำนาจ” ของพรรคต้องการคือให้”ทักษิณกลับบ้าน” เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ส่วนในอนาคต”เพื่อไทย” จะเป็นอย่างไรใน “สนามเลือกตั้งสมัยหน้า”เป็นเรื่องของ”อนาคต” ที่ ค่อยแก้ไข เมื่อเวลามาถึง การเลือกตั้ง”สมัยหน้า” จะ เหลือ สส.กี่คน ก็เป็นปัญหาที่ยังมาไม่ถึง แต่เรื่องที่”ฝั่งฝัน” แล้ว สำหรับพรรคเพื่อไทย คือสามารถในการ”เข็น”ให้ “เศรษฐา ทวีสิน” ได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 ของประเทศไทย โดยการ “สนับสนุน”ของ” วุฒิสมาชิก” โดยเฉพาะในสายของ”บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ……ส่วนเรื่องที่สอง ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่เป็นวัน”โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี” คือเรื่อง”ทักษิณกลับบ้าน”ที่ถือว่าเป็น”เรื่องดี”คือ ประเทศไทย และการเมืองไทย จะได้จบเกมเรื่อง”ผีทักษิณ” เสียที หลังจากที่ปล่อยให้”ผีทักษิณ” ทำการ”หลอกหลอน” ประเทศไทยและประชาชนมาถึง 17  ปี การที่”ทักษิณกลับบ้าน” เพื่อมาเข้าสู่”ขบวนการทางกฎหมาย”  ซึ่งสุดท้าย “ทักษิณจะติดคุก” หรือจะ”รอดคุก” ก็เป็นเรื่องของ”ขบวนการทางกฎหมาย”และจะได้”ยุติ” เรื่องความ”ขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมายาวนาน  และที่น่าสังเกต คือ”ขบวนการต้านทักษิณกลับประเทศ” ไม่ว่าจะเป็น”ขบวนการคนเสื้อเหลือง”  หรือ”ขบวนนกหวีด”และ”พรรคประชาธิปัตย์” ที่เป็น”คู่กัด” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ก็ไม่มี”ปฏิกิริยา” ในการ”ต่อต้าน” การ”กลับบ้าน”ของ”ทักษิณ” แต่อย่างใด นี่แสดงให้เห็นถึง “เบื้องหลัง” และ”เบื้องหน้า” ของการ”ขับไล่” และการ”ต่อต้าน” เพื่อให้”ทักษิณ” พ้นจาก”วงจร”ของการเมืองไทย ที่เคยเกิดขึ้น และ”วันหนึ่ง” เมื่อทุกฝ่ายเห็นว่า”ก้าวข้ามไม่พ้นทักษิณ” ขบวนการหรือ”ดีล” ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น”ลังกาวีดีล” และ”ดีลฮ่องกง” จึงเกิดขึ้น เพื่อให้”ทักษิณ” กลับบ้าน ทั้งหมดคือ”การเมืองไทย” และ”ประชาธิปไตย” แบบไทยๆ ที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก อย่างที่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ รักษาการ “นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวกับ”สื่อมวลชน” หลายครั้ง

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็น “นักการเมืองที่ทรงอิทธิพล” ที่สุดคนหนึ่งของ ประเทศไทย เพราะ 17 ปี ที่ หลบหนีคดีออกจากประเทศไทยไปอยู่ในต่างแดน แต่ชื่อของ”ทักษิณ” ไม่เคยเลือนหายไปจาก ประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่อง”การเมือง” และวันที่ “ทักษิณกลับบ้าน” ยังคงมี ประชาชน แห่แหน ไปต้อนรับเหมือนกับไม่ใช่”ผู้ต้องหา” ที่เดินทางกลับมาเพื่อ”รับโทษ” …..ส่วนหลังจากที่ได้”นายกรัฐมนตรี”คนที่ 30 ของประเทศ และได้”รัฐบาล” เพื่อเข้ามาบริหารประเทศ “คนไทย” ก็จะได้เห็นการ”ฟาดฟัน” ของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อการได้มาของ”เก้าอี้เสนาบดี” ในกระทรวงใหญ่ๆที่ต้องการ และการ”เปิดโปง” ในเรื่อง”อื้อฉาว” เรื่อง”ผลประโยชน์” และเรื่อง”คอร์รับชั่น” เรื่อง”ส่วยสาอากร” ทั้งในวง”การเมือง” และ”ราชการ” อย่าง”ถึงกึ๋น” จาก สส.ของพรรคก้าวไกล ซึ่งการได้”พรรคฝ่ายค้าน”ที่”เข้มแข็ง” ละมีความ”ตั้งใจ”ในการทำเพื่อ”ประเทศและประชาชน” จะทำให้”รัฐบาล”ไม่กล้าที่จะ”มูมมาม” รวมทั้ง หน่วยงานของรัฐ ก็ต้อง”ระวัดระวังตัว” ในเรื่อง”ส่วย” หรือการใช้”ตำแหน่งหน้าที่” ในการ”เอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีอิทธิพล” และ”ขบวนการนอกกฎหมาย”….., และหลังจากนี้พรรคที่เป็น”ฝ่ายค้าน” ก็จะประกอบด้วยพรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยสร้างไทย เพื่อเป็นธรรมและพรรคเล็กบางพรรค ซึ่งจะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่”เข้มแข็ง” และน่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่”ตกขบวนการร่วมรัฐบาล” คงจะทำให้ การสรรหาหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคที่”เล่นเกม”กันมาถึง 3 ยก ระหว่าง”กลุ่มของ”อดีตหัวหน้าพรรคและรักษาการหัวหน้าพรรค” กับ”เลขาธิการพรรค” ที่มี สส.อยู่ในสังกัด  21 คน คงจะลดความ”ร้อนแรง”ลงได้บ้าง เพราะไม่มีเรื่องของ”ประโยชน์จากการร่วมรัฐบาล” เข้ามาเกี่ยวข้อง และก็หวังว่า”ประชาธิปัตย์” จะ”คืนฟอร์ม”ของพรรคการเมืองที่มีคุณภาพในการเป็น”ฝ่ายค้าน”เหมือนอย่างในอดีต…..ส่วน”กองทัพ”เมื่อไม่มี”ก้าวไกล” มาเป็น”รัฐบาล” ก็คงจะ “หายใจคล่องคอ” เพราะ นโยบายในการ”ปรับลดกำลังนายพลของกองทัพ” การที่จะยุบ” กอ.รมน.” โดยเฉพาะใน ประเด็นของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถูก”ก้าวไกล” จ้องที่จะ”ขย้ำ” ก็คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจาก นโยบายทางการเมืองจากพรรคร่วมรัฐบาล ยกเว้น”กองทัพ” จะมีการ “ปรับเปลี่ยน”นโยบายเอง  ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็มีการ”แถลงว่า” ถ้า สถานการณ์ของ”ไฟใต้” ดีขึ้น จนเป็น”ปกติ” จะมีการ “ถอนทหาร” ออกจาก 3 จังหวัด และจะ”ยกเลิก” พรบ.พรก. ต่างๆ ที่ ประชาชน เรียกร้องให้”ยกเลิก” ภายในปี 2570 ….แต่ เชื่อเถอะ สุดท้าย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงอยู่ ทหารก็ยังถอนไม่ได้ และ พรบ.พรก. ฉฉ.  ก็ไม่มีการ”ยกเลิก” เพราะภายในปี 70 สถานการณ์ของ”ไฟใต้” ยังคงอยู่กับ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” เหมือนเดิม”แนวรบทางด้านทิศใต้ไม่เปลี่ยนแปลง”

19 ปี ที่ผ่านมา “กองทัพ” ซึ่งรับผิดชอบด้าน”ความมั่นคง” ความ”ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ยังแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ไม่ได้ วันนี้ สถานการณ์ความไม่สงบทั้งการใช้”คาร์บอบม์”การใช้”ระเบิดแสวงเครื่อง” การนำ”อาวุธยุทโธปกรณ์ จากฝั่ง”ประเทศมาเลเซีย” เข้ามา “ก่อการร้าย” ยังเป็นไปอย่างเสรี การก่อเหตุ”ซุ่มยิง ซุ่มโจมตี” เจ้าหน้าที่รัฐ ยังป้องกันไม่ได้ เจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะ”ทหาร” ยังเป็น”เป้าหมาย” ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ที่มีการ”สูญเสีย”อย่าง”ต่อเนื่อง” จนกลายเป็น”ภาพชินตา” และเป็นเรื่อง”ปกติ” สำหรับคนในพื้นที่คือการ”วางพวงหรีด” และการ”ส่งศพ” เจ้าหน้าที่รัฐ ที่เป็น”เหยื่อ” ของ สถานการณ์ขึ้น”เครื่องบิน” เพื่อ กลับสู่”มาตุภูมิ” และเป็น”หน้าที่หลัก”ของ พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ไปแล้ว….ในขณะที่กลับไปดูใน”ฝากฝั่งของมวลชน” ผู้ที่”ฝักใฝ่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่ยังไม่ยอม”ลดราวาศอก” และไม่ยอมรับการ”ดับไฟใต้” ตาม”แนวทาง”ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่ง เห็นได้จากอะไร ก็จากการที่”กองกำลังติดอาวุธ”ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ถูก”วิสามัญฆาตกรรม” โดย “เจ้าหน้าที่ทหาร” ผู้ร้ายที่มี”หมายจับ”เป็น”หางว่าว” ยังถูก”ยกย่อง” ให้เป็น”นักรบผู้พลีชีพ”เพื่อ”มาตุภูมิ” มีการ”แห่ศพ”เยี่ยง”วีระบุรุษ” พร้อมตะโกน “สรรเสริญ”และ”ตะโกนคำว่า” เมอร์เดก้า ปาตานี” ที่หมายถึง”เอกราชปัตตานี” ที่สำคัญคนทั้งหมู่บ้าน,ตำบล และ”ต่างพื้นที่ เข้าร่วม “แห่แหน” อย่าง มากมาย นั่นหมายถึงความ”ล้มเหลว” ในการ”สร้างความเข้าใจกับประชาชน” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใช่ หรือ ไม่

ล่าสุดการ”วิสามัญฆาตกรรมสองแนวร่วม” ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี  คือ”คำตอบ” และในการ”ตรวจสอบ” บ้านเรือนของประชาชน ที่”แนวร่วม” ใช้เป็นที่”พักพิง” ก่อนถึงเจ้าหน้าที่”ปิดล้อม” บ้านเหล่านั้นมีการสร้าง”ห้องใต้ดิน” เพื่อใช้ในการ”หลบซ่อน” นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “หมู่บ้านเหล่านั้น” เป็น”หมู่บ้านเข้มแข็ง” ที่”บีอาร์เอ็น” สร้างขึ้น ซึ่ง ณ วันนี้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็ ตอบไม่ได้ว่า “หมู่บ้านเข้มแข็ง”ที่ “บีอาร์เอ็น” สร้างขึ้นมามี เท่าไหร่ อยู่ที่ไหน และ จะทำอย่างไรกับ”หมู่บ้าน” ที่เป็น”ที่มั่น”ของ “กองกำลังติดอาวุธ” เพราะถ้าไม่มีการ”กวาดล้าง” ก็แก้ปัญหาไม่จบ และกลายเป็นการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้แบบ”เลี้ยงไข้”ไปวันๆ ดังนั้นที่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกาศว่าปี 2570 เป็นปีที่”ยุติ”ปัญหา”ไฟใต้” จึงเป็นเรื่อง”เพ้อฝัน” มากกว่าเป็นเรื่องของ”ความจริง

สำหรับ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นคือการใช้”อำนาจหน้าที่” ในการ”จัดการ” กับ”ภัยแทรกซ้อน” ที่เป็น”กระเป๋าเงิน” ให้กับกับ”กองกำลังติดอาวุธ” เพื่อในการ”ก่อการร้าย” นั่นคือ” จับกุมน้ำมันเถื่อน. บุหรี่หนีภาษี” และ”ขบวนการค้าวัวเถื่อน” ที่ เติบโต และ ยิ่งใหญ่ อยู่ใน ชายแดนไทย-มาเลเซีย ใน อ.สุไหงโก-ลก และ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส อย่างเด็ดขาด นี้คือเรื่อง”กล้วยๆ” ที่ “ทหาร” ทำได้ ด้วยการ”ปิดแนวชายแดน” ที่เป็น”เส้นทาง” ในการ”นำเข้า”และ”ส่งออก” ซึ่งเป็น “ท่าข้ามเถื่อน” โดยไม่ต้องไป”จับกุม” ให้เสียมวลชน แต่ทำไมถึง”ไม่ทำ” และถ้า”ทำไม่ได้” ก็ต้องตอบให้”ชัดเจน.ว่าเพราะเหตุใด….เรื่องนี้ พล.ต.เฉลิม พร ขำเขียว ผบ.ผก.นราธิวาส ต้องนำไปพิจารณา  โดยเฉพาะเรื่อง”โกดังเก็บพลุ” ที่ระบิดที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ยังเป็นเรื่อง”คาใจ” ของ คนในพื้นที่ เพราะคนที่”ถืออำนาจ” และมีหน้าที่ ในเรื่องการ”ควบคุม”และการ”อนุญาต” คือ  “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถ้า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มีการใช้”อำนาจ” และ”ปฏิบัติหน้าที่” อย่างถูกต้อง “โศกนาฏกรรมที่มูโนะ” อาจจะไม่เกิดขึ้น…..และที่สำคัญ หลังเกิดเหตุ”ตำรวจ”และ”ปกครอง” ต่างตั้ง”กรรมการ” เพื่อการตรวจสอบผู้ที่”บกพร่องในหน้าที่” และผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า”รับส่วยดอกไม้ไฟ” แต่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” นิ่งเงียบ” ไม่มีผู้”บกพร่อง” ทั้งที่มีการ”บกพร่องเต็มประตู” เรื่องนี้คือ”วิกฤติศรัทธา” ที่จะเกิดขึ้นกับ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า

ก็ไหนว่า การตั้ง”กรรมการสอบสวน 7 วัน รู้เรื่อง” นี้ก็ปาเข้าไป 2 สัปดาห์แล้ว พล.ต.ต.อุนุรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว. นราธิวาส ยังไม่ได้แถลงข่าวเรื่องมี”ตำรวจ สภ.มูโนะรับส่วย” จริงหรือไม่ หรือจะปล่อยให้เรื่อง”ส่วยดอกไม้ไฟ” หายเงียบไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ และ ล่าสุด ในกรณีของ”โกดังพลุระเบิด” ที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล  รอง ผบ.ตร. ( สส ) มีการ”สั่งการ” ให้มีการ”สอบสวน” หน่วยงานทุกฝ่ายของ 5 กระทรวง ที่ต่างมี”หน้าที่” ในเรื่อง”การค้า” และการอนุญาต” พลุ ,ดอกไม้ไฟ ประทัด” แล้ว ผู้ที่ถูก สอบสวนจึงมีคนของ “กอ.รมน.ภาค 4 ด้วย ก็ต้องติดตามดูว่าสุดท้าย”คนผิด” จะเป็น”คน”หรือเป็น”แพะ”…..เรื่องของ”มูโนะ” ก็เหมือนที่เคยเขียนไว้ ที่เริ่มต้นเป็น”ตลาดสด” เพราะมี”ผู้คน นักการเมือง หน่วยงานรัฐ” เฮโลสารพา” ลงพื้นที่ ก่อนที่จะเป็น”ตลาดวาย” ที่มีแต่”ของเหลือของเน่า” โดยมี  “ สนั่น พงษ์อักษร” ผู้ว่าราชการจงหวัดนราธิวาส รับ”หน้าเสื่อ” กับ ทุก”สารพัดปัญหา” ที่”ประเดประดัง” เข้ามา เพราะความช่วยเหลือที่”ล่าช้า” และ “ระเบียบ” มากมาย ของ”ราชการ” ล่าสุด มีการ”จ่ายเช็คช่วยเหลือ” และมีการ “ยกเลิก” ขอ”เช็คคืน” นี้คือการสร้าง”เงื่อนไข” ที่กลายเป็นความ”คับข้องใจ” ของผู้เดือดร้อน ที่เกิดจากความ”บกพร่อง” ของ “เจ้าหน้าที่รัฐ และยังมีอีก”มากมาย” สำหรับปัญหาของประชาชนในพื้นที่ ต.มูโนะ ที่”มะรุมมะตุ้ม” ให้ จังหวัดคอยแก้ไข ก็หวังว่า ในการ”โยกย้ายใหญ่”ของ”กระทรวงมหาดไทย” ในเดือน “กันยายน” ที่จะถึงนี้”สนั่น พงษ์อักษร” ยังคงเป็น ผวจ.นราธิวาส โดยไม่ถูก”โยกย้าย” เพื่อความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

เสนาบดีที่ใกล้หมดอำนาจ”สั่งการ” ก็เหมือนการสั่ง”ขี้มูก” เพราะคำสั่งของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ห้ามพ่อค้าขึ้นราคา”ข้าวสารถุง” ไม่”ศักดิ์สิทธิ์” วันนี้ “ข้าวสารถุง” ทุกยี่ห้อขึ้นราคาไปหมดแล้ว ตั้งแต่ถุงละ 5 บาท ถุง 10 บาท ( ถุงละ 5 กิโลกรัม ) โดยการอ้าง”ต้นทุนแพง” เพราะมีการ”ส่งออก” ที่มากขึ้น นี้คือผลกระทบที่เกิดกับ”คนรากหญ้า” ที่ต้อง “กินข้าว” ที่ยังคงต้อง”รับเคราะห์กรรม” จนกว่าจะได้ “เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์” คนใหม่ เข้ามาเพื่อ”สั่งการ”อย่างนั้นหรือ แล้ว ปลัดกระทรวง จนถึง อธิบดีกรมการค้าภายใน และ พาณิชย์จังหวัด มีหน้าที่อะไรบ้าง ในการ”ช่วยเหลือ”ประชาชน…..ก่อนเดือน”โยกย้ายใหญ่” หรือก่อนที่จะมีการ”เกษียณอายุราชการ” แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์” อธิบดีกรมการปกครอง “ลงนามสั่งการ” ให้ “ฝ่ายปกครอง” ทำการ”กวาดล้าง” ผู้ทำผิดกฎหมาย ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา “ฝ่ายปกครอง”สนธิกำลังกับ” สรรพสามิต” เข้าตรวจค้น ร้านขายบุหรี่หนีภาษี และ”โกดัง” ที่เก็บสินค้าเถื่อน ทั้งเหล้า บุหรี่ และ อื่นๆ นอกจากได้ ของกลาง เป็นจำนวนมากแล้ว ที่สำคัญยังยึดได้”บัญชีส่วย” จาก ร้านค้าของ”เสี่ยหยอย” นายทุนใหญ่ของภาคใต้ เป็นหลักฐาน ในการ”จ่ายส่วย” ให้กับ “เจ้าหน้าที่”  ก็ต้องติดตามดูว่า ในเรื่อง”บัญชีส่วย” ที่ยึดได้ จะมีการดำเนินการกับ”เจ้าหน้าที่” ใน”บัญชีส่วย”อย่างไร ส่วนผู้ที่รู้ว่าตนเองมีชื่อ”ในบัญชีส่วย” วันนี้คง”ร้อนหนาว” และ”วิ่งเต้น” กันตามระเบียบเพราะ”ส่วย” ที่ได้ ก็รู้กันเต็มอกว่ามีการ”ส่งให้ผู้ใหญ่”ด้วย

วันนี้มีข่าวว่าขบวนการเก็บส่วยใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แจ้งให้”สถานบันเทิงทุกแห่ง” ที่ ทำผิดกฎหมาย ทั้งเรื่อง”ใบอนุญาต “ และเรื่อง”เปิดเกินเวลา” ว่าไม่”รับส่วย” เป็นการ”ชั่วคราว”…..เช่นเดียวกับร้าน”จำหน่ายบุหรี่หนีภาษี” ที่ถูกสั่ง”ปิดหน้าร้าน” ส่วน”หลังร้าน” เป็นความสามารถเฉพาะตัว เป็นการ”ชั่วคราวสามเดือน” หลังจากนั้น ก็ค่อยว่ากันใหม่ แต่ในขณะที่มีการ”ปิดหน้าร้านและปิดโกดัง” ตามคำ”ขอร้อง” ก็ยังมี”นายทุน” ที่เป็นคนใน”เครื่องแบบ” ที่มีทั้ง “เรือสปีดโบ๊ท” ที่ทำการ”ขนบุหรี่เถื่อน” ในน่านน้ำอันดามัน จ.สตูล ที่ยังคง ขนบุหรี่เถื่อน เข้ามายัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้โดยไม่ถูกจับกุม และ รู้ล่วงหน้าทุกครั้งที่”ส่วนกลาง” ลงมากวาดล้าง ….เช่นเดียวกับในวงการ”ค้าน้ำมันเถื่อน” ในพื้นที่ภาค 8 ตั้งแต่ จ.นครศรีธรรมราช.สุราษฎร์ธานี,ชุมพร ซึ่งเป็นทะเลอ่าวไทย ที่มี”ท่าขึ้นน้ำมันเถื่อน” มากมาย ข่าวก็ว่ามี “คนในเครื่องแบบ” ทำหน้าที่”เก็บส่วย” ซึ่ง เจ้าตัวคุยกับ”กลุ่มทุนน้ำมันเถื่อน”ว่า ตุลาคมนี้ เตรียม”คัมแบค” ลง ตำแหน่งหลัก ที่มี”อำนาจหน้าที่” คุมทั้งภาค 8 ภาค 9  เล่นเอา”ขบวนการสีเทา” ถึงกับ”ขนลุก” เพราะความเป็นคน”มือหนัก” ของ คนในเครื่องแบบคนนี้…..มีผู้ต้องการให้ ฝากข่าวถึง พล.ต.ท.อภิชาติ เพชรประสิทธิ์ ผบช.ตำรวจสันติบาล ขอให้มีการ ตรวจสอบ นายตำรวจ ยศ พ.ต.ต. ที่อ้างว่าเป็น”ตำรวจสันติบาล” ทำหน้าที่”เก็บส่วย” จาก ขบวนการ”ของผิดกฎหมาย” ในภาคใต้ เท็จจริง อย่างไร ใคร “ใส่ร้ายใคร” ขอให้มีการ “ตรวจสอบ” แต่นั้นแหละ”ไม่มีมูลหมาไม่ชี้”

ส่วนที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส หลัง “โศกนาฏกรรมที่มูโนะ” ข่าวว่ามีการ”สั่งปิดบ่อนการพนัน 3 บ่อน” ทั้งที่เป็นของ”นายทุนมาเลเซีย” และเป็นของ”นายทุนไทย” รวมทั้ง”ตู้สล็อตแมชชีน” ใน โรงแรมต่างๆ เป็นการ”ชั่วคราว” ก่อนจะมาเปิดบริการเต็มรูปแบบในเดือน กันยายน ที่จะถึงนี้ เท็จ จริง อย่างไร พ.ต.อ.ปรัชญา ไบเตะ ผกก.สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส อย่าลืมตรวจสอบ…..แนวชายแดนด้าน จ.สงขลา ตั้งแต่ ต.ปาดังเบซาร์ ต.สำนักขาม ต.สำนักแต้ว อ.สะเดา จ.สงขลา ยังเป็น”เส้นทาง” ในการ”หลบหนีข้ามประเทศ”ของ” ขบวนการค้าคนเถื่อน” หรือ”ค้ามนุษย์” ที่มี”นายหน้า” นำ”คนเถื่อน” ทั้งที่เป็น”เมียนมาร์”และ”โรฮิงญา” ข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย พล.ต.ต.สมกูล กาญจนอุดมการณ์  ผบก.ตชด.ภาค 4 ต้องไม่ลืม กำชับ ให้ กำลังของ “ตชด. ที่รับผิดชอบ แนวชายแดนดังกล่าว “กวดขัน” สกัด และ จับกุม กลุ่ม”นายหน้า” ที่ค้ามนุษย์เหล่านั้นด้วย ช่วยหลังงานการ”จับกุม” ทั้งเรื่อง”แรงงานเถื่อน” และ”ของเถื่อน” ในแนวชายแดนแผ่วๆไปนะ

เมืองพัทลุงในด้านของปัญหาการปกครอง ดีขึ้นอย่าง “ผิดหูผิดตา” ตั้งแต่ที่ “นิศากร วิศิษฐสรอรรถ” มาเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งที่เป็น”ผู้หญิง” แต่ก็แสดงให้เห็นว่า ทำหน้าที่ได้”เยี่ยม” เพราะไม่มี ประชาชน เดินขบวน ร้องทุกข์ ร้องเรียน เหมือนที่เกิดขึ้นในอดีต…..เช่นเดียวกับ”พาติเมาะ สะดียามู” ผู้ว่าราชการ จ.ปัตตานี ที่เป็น”ผู้ว่าฯ สตรีคนแรกที่เป็น”มุสลิม” ที่ ทำหน้าที่เกินหน้า”ผู้ชายอกสามศอก” ลงทุกพื้นที่ เข้าถึงทุกกลุ่มคน จนกลายเป็น “ผู้ว่าขวัญใจประชาชน” และที่สำคัญเป็นการ”ชี้ชัด” และทำให้เห็นเป็นประจักษ์ว่า “สตรีมุสลิม” ไม่มี”ข้อจำกัด” ในการทำหน้าที่เป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัด” …..”ฝีดาษลิง” เจอแล้วรายแรกที่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว “สงกรานต์ ไหมชุม “ สาธารณสุขจังหวัดสงขลา ต้อง”เข้มงวด” ทั้งการ”สืบค้นต้นตอ” ที่มาของโรค และการ”ป้องกัน” รวมทั้งต้องไม่”ปกปิด” เรื่อง”ฝีดาษลิง” เพราะเรื่องแบบนี้ต้องให้ ประชาชน ได้รับรู้เพื่อที่จะได้ เตรียมป้องกัน

คดี”อุกฉกรรจ์” ในพื้นที่ของ จ.ตรัง ยังเกิดขึ้นสูง ส่วนหนึ่งมาจากเรื่อง”ยาเสพติด” ที่ยังระบาดหนักในพื้นที่ พล.ต.ต. เชาวลิตร เลี้ยงสุพงศ์ ผบก.ภ.จว.ตรัง  ต้อง กำชับกำชา ผกก.ในทุก สภ. ให้ “เอาจริง” กับเรื่องของ”ยาเสพติด” และ”ผู้มีอิทธิพล” โดยเฉพาะ”บ่อนการพนัน” ในหลายอำเภอ ที่เป็นบ่อเกิดของ อาชญากรรม…..ที่ อ.เมือง จ.สงขลา มี ลูกจ้างเจ้าของร้านจำหน่ายน้ำกระท่อม ไปแจ้งความกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมือง สงขลา ว่า ถูกชายที่” แต่งกายคล้าย อส.” ทำการ ข่มขู่เรียกเงิน นำตัวไป”กักขังหน่วงเหนี่ยวเรียกเงิน 10,000 ก่อนที่จะต่อรองเหลือ 4,000 บาท หลักฐานมีทั้งภาพ ทั้งเสียง ปรากกฎ  เรื่องนี้” เศวต เพชรนุ้ย” ปลัดจังหวัดสงขลา แจ้งว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว และอยู่ระหว่างการ สืบสวนข้อเท็จจริง  โดยไม่มีการ ช่วยเหลือ พวกพ้อง…. ก็เคยบอกแล้วว่า วันนี้เรื่อง”น้ำกระท่อม” ที่กลายเป็นเรื่องของ”การพาณิชย์” กลายเป็นปัญหาของสังคม เพราะมีการ ผสมยาแก้ไอ ลงไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่อง”ผิดกฎหมาย” เมื่อไม่มีการ”จับกุม” เพราะ”ยุ่งยาก” ในการ “ตรวจพิสูจน์” จึงกลายเป็น”ช่องทาง” ให้มีการ”ตบทรัพย์” ถ้าไม่แก้ไขให้ตรงจุดก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เรื่องของ”สุขภาพ” ในอนาคต ที่ กระทรวงสาธารณสุขต้อง”สูญเสียงบประมาณ” ในการ”บำบัด”คนที่”ติดน้ำกระท่อม”

”ปรีชา กิจถาวร” นายกสมาคมการค้าและเลี้ยงสุกรภาคใต้ แจ้งว่า ปัญหา”หมูเถื่อน” ในประเทศไทย ยังมีอยู่ มากมาย และเป็นปัญหาที่ทำให้”ราคาหมูตกต่ำ” การแก้ปัญหา ต้องตรวจทุกท่าเรือ เช่น  คลองเตย สงขลา ระนอง กันตัง  และ ห้องเย็น ต่างๆ ไม่ใช่ที่ แหลมฉบัง เพียงแห่งเดียว  เพราะ “หมูเถื่อน” ถูกนำเข้าประเทศ ในทุกพื้นที่ซึ่งมี”ท่าเรือน้ำลึก” แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…น้ำลดตอผุด! แฉเส้นทางค้าเนื้อเถื่อนชายแดนใต้

การเมืองเป็นเรื่องของ”ผลประโยชน์” ระหว่าง”ผลประโยชน์ของประชาชน” กับผลประโยชน์ของ”นักการเมือง”  และ”ผลประโยชน์” ส่วนไหนจะต้อง”มาก่อน” พรรคการเมือง และ “นักการเมือง”ที่เข้ามาบริหารประเทศ ต้องคิดกันให้ดี เพราะหลังจากที่”เพื่อไทย” เข้ามาเป็น”แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล ข่าวทุกวันที่ออกมาจาก”พรรคการเมืองและนักการเมือง” ล้วนแต่เป็นเรื่องการ”แบ่งปัน” ผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ส่วนที่เป็น”ประโยชน์กับประชาชน”ก็มีอยู่แต่เป็นเพียง”น้อยนิด”เสียเหลือเกิน…..อย่างวันนี้มีแต่เรื่อง”แบ่งกระทรวง” และ”จองกระทรวงเกรดเอ” จาก “พรรคโน้น พรรคนี้” และมีการวางตัวคนเป็น”รัฐมนตรี” ทั้งที่เปิดชื่อออกมา “ประชาชนก็ร้องยี้”  เพราะ “เสบาบดี”บางคน ประชาชน เคยเห็นผลงานมาแล้ว เคยเป็น”เสนาบดี”มาแล้ว และก็แสดงความเป็น”บ่มิไก๊” ให้เห็นมาแล้ว แต่ยังจะได้เป็น”เจ้ากระทรวง” ที่ สำคัญๆ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง”ปากท้อง-ของแพง” และของ”เศรษฐกิจ” ที่ผ่านมาหลายปียัง”โงหัวไม่ขึ้น” การที่ แต่ละพรรคการเมือง จะส่งใครไป”นั่งแท่น” เป็น”เจ้ากระทรวง” หรือ”เสนาบดี” ต้องมีการ”คัดเลือก” คนที่มีความสามารถ มีฝีมือ มีคามรู้ในกระทรวงนั้นๆ ถ้าเริ่มต้นเป็นอย่างนี้ ลงท้ายก็”อีหรอบเดิม” คือ”ล้มเหลว” ในการแก้ปัญหา และคน”รับเคราะห์” ก็คือ”ประชาชน

 

ข่าวว่า “สภาผู้แทนราษฎร” จะมีการประชุม”โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยในวันที่ 18 หรือ 22 สิงหาคม นี้ และคนที่จะได้เป็น”นายกรัฐมนตรี” จะเป็น”เศรษฐา ทวีสิน” จาก”เพื่อไทย” จริงหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ เพราะการเมืองของเมืองไทย วันนี้ยังมีเรื่อง”ลับ ลวง พราง “ ปิดบังประชาชนอยู่ ยังมีการ”ต่อรอง” ทั้งจาก” ทุกฝ่าย” จนถึง “วินาทีสุดท้าย” ซึ่งเป็นไปตาม”แบบฉบับ” ของการเมืองไทย ที่สุดท้ายต้องมีทั้ง”กล้วย ทั้ง งูเห่า” เกิดขึ้น เพื่อให้ได้เสียง”สนับสนุน” ตามที่ต้องการ….ก็ขอให้ได้ “นายกรัฐมนตรี” เข้ามาจัดตั้ง”คณะรัฐบาล” โดยเร็ว เพราะ ปัญหาของประเทศชาติ และประชาชน รอให้”รัฐบาล” เข้ามาแก้ไขมากมายเสียเหลือเกิน…..วันนี้ เกษตรกร ยิ้มได้แล้ว เพราะ ปุ๋ยถูก ยาปราบศัตรูพืชถูกลง แล้ว จากการที่ “รัสเซีย” และอีกหลายประเทศ ที่ส่งปุ๋ยเข้ามาขายได้แล้ว  ชาวนา ก็น่าจะ”ยิ้มได้” พราะขายข้าวได้ราคาแพง จากการที่”อินเดีย” ไม่ส่งขายให้ต่างประเทศ….แต่คงยิ้มได้ไม่นาน เพราะ”ข้าวเปลือก” เกือบทั้งหมดอยู่ในมือของ”เถ้าแก่โรงสี” ไม่ได้อยู่ใน”ยุ้งข้าว”ของชาวนา แต่เมื่อ”ข้าวเปลือกแพง” เพราะ”ส่งออก”ได้มาก คนที่ได้รับผลประทบก็คือ ประชาชนที่ต้อง”ซื้อข้าวสาร” เพราะราคา”ข้าวสาร” กำลังขยับแพงขึ้น ดังนั้นการ”ส่งออก” ข้าวได้มากขึ้นและได้ราคาดีคนที่”ยิ้มร่า” คือ”เถ้าแก่โรงสี” และคนต่อมาคือ”พ่อค้าข้าวสาร” ในประเทศ นี่คือ”วงจร”การค้าของประเทศไทย

 

ส่วนชาวสวนยาง วันนี้ “ปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช” มีราคาที่ถูกลง แต่”ราคายางแผ่น” และ”น้ำยางสด” ก็”ถูกลง” กำลังจะกลับไปสู่ “สามกิโลร้อย” อีกครั้ง ทั้งที่ ประเทศไทยย่างเข้า”หน้าฝน” ยางกรีดไม่ได้ ไม่มี ผลผลิตออกสู่ตลาด ถามว่าอะไรเกิดขึ้นกับ”กลไก” การ”บริหาร”ประเทศนี้ เพราะมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา ….ที่สำคัญ วันนี้แม้ว่า กระทรวงพลังงาน จะมีการ”ตึงการขายปลีกน้ำมันดีเซล” เอาไว้แต่ น้ำมัน “แก๊ซโซฮอลล์” ทั้งชนิด 91 และ 95 ในต่างจังหวัดขึ้นราคาขายไปแล้วลิตรละ 40 บาท คนใช้รถจักรยายนต์ คนใช้ รถเก๋ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคน “ทำงาน” เงินเดือนตั้งแต่ 15,000 – ขึ้นไป ต่างได้รับผลกระทบแล้ว ทั่วหน้า เพราะ”เงินเดือน” ที่ได้รับกำลังกลายเป็น”ค่าน้ำมัน”จนต้อง”อดข้าวกลางวัน” เพราะ”ประคับประคองชีวิตให้อยู่รอด” และ ทั้งหมด คือปัญหาที่รอให้ “รัฐบาลใหม่” เข้ามาแก้ไข และ”พรรคการเมืองไหน” ที่จองกระทรวงไหนเอาไว้ วันนี้ท่านต้องแสดง”กึ๋น” ให้ “คนไทย” ได้เห็นว่า เมื่อท่านเข้ามาบริหารกระทรวงนั้นๆ ท่านจะมีนโยบายแบบไหน อย่างไร ในการแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน

 

เรื่อง “โกดังเก็บพลุ ดอกไม้ไฟ และประทัด” ระเบิดที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส วันนี้”ตลาดวายแล้ว” นักการเมือง พรรคการเมือง ส่วนราชการ ที่เคยลงไป”มะรุมมะตุ้ม” จน”ตลาดมูโนะ” คึกคักเหมือน”ตลาดสด” วันนี้ไม่มีแล้ว” ในขณะที่”ผู้เดือดร้อน” ยัง”เดือดร้อน”เหมือนเดิม การเบิกจ่ายเงิน”ช่วยเหลือ” ผู้ประสพภัย ตามระเบียบราชการยังคงเป็น”เรือเกลือ” เป็นเรื่องของแต่ละกระทรวง ที่ไม่ได้มีการ”บูรณาการ”กัน  มีแต่คำว่า “จะช่วยอย่างนั้น จะช่วยอย่างนี้” แต่สุดท้าย เชื่อเถอะ” ผู้เดือดร้อนต้องช่วยตนเอง” โดยเฉพาะเรื่องของ”อาชีพ” ที่ทางจังหวัดต้องให้ความสำคัญ “เครื่องไม้เครื่องมือ” ในการ”ประกอบอาชีพ” ที่หายไปจาก”ระบิด” ที่ กวาดทุกสิ่งทุกอย่างไป ต้องได้รับการ”ช่วยเหลือ”และ”ฟื้นฟู” อย่างเร่งด่วน “เงินบริจาค” ที่อยู่ในบัญชีของจังหวัด 30 กว่าล้าน” สนั่น พงษ์อักษร” ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  ต้องเอามาช่วยซื้อ”อุปกรณ์” ในการ “ประกอบอาชีพ” ก่อน ส่วนเรื่อง”บ้านช่องห้องหอ” ที่ยังต้องรอการสร้าง และยังอยู่ระหว่าง”ซ่อมแซม” ก็หา”บ้านเช่า”ไปก่อน แต่”อาชีพ” ต้องกลับมาเป็นอันดับแรก เพราะเรื่องของ”อาชีพ” เป็นเรื่องของ”ปากท้อง” ที่ต้อง”กิน ต้องหิว” ทุกวัน

 

อีกเรื่องที่ “สนั่น พงษ์อักษร” ผวจ.นราธิวาส ต้อง”จัดการอย่างจริงจัง” เพราะมีผู้”แอบอ้าง” เปิดบัญชีรับ”บริจาค” เพื่อ”ซับน้ำตาพี่น้องชาวมูโนะ” มากมาย  หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน……และที่สำคัญ ที่ “ทุกฝ่าย” ต้องยอมรับความจริงคือ” ตลาดมูโนะ” อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เป็น “ตลาดชายแดน” ที่มี”การค้าของผิดกฎหมาย” ทั้งที่ขนข้ามไปจาก”ฝั่งไทย” และ”ขนข้ามมา” จาก”ฝั่งมาเลเซีย” คนใน”ตลาดมูโนะ” มีอาชีพในการ”ค้าของเถื่อน”และ”รับจ้างนายทุนขนของเถื่อน” นี้คืออาชีพหลักของคนที่อยู่ใน”ตลาดชายแดน” และ สินค้าเถื่อน ที่ขน”ข้ามด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ไม่ได้เพราะ”ประเจิดประเจ้อ” จึงถูกนำมาไว้ใน”โกดัง” ที่ ตลาดมูโนะ เพราะที่จะได้”ขนข้ามคลอง”ไปยังฝั่งมาเลเซีย ไม่ไม่ต้อง”ผ่านด่าน” ถ้าต้องการ”ต่อลมหายใจ”ของ”ผู้ที่อยู่ในตลาดมูโนะ” ที่ได้รับ”เคราะห์กรรม” จากการระเบิดของ”โกดังเก็บพลุ” เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้อง”หลับตา” ปล่อยให้ “ตลาดมูโนะ” เป็นไปตามแบบเดิม จะทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้”อาชีพเดิม” เพื่อการ”เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” ก็ฟื้นตัวเร็ว แต่ถ้า”ระเบิดครั้งนี้”  กลายเป็นเรื่องการ”เปิดโปง” เรื่องการ”ค้าของเถื่อน” ชายแดนไทย-มาเลเซีย  และเรื่องความ”บกพร่อง” ของ “เจ้าหน้าที่” ที่ต้อง”เข้มงวด” กับการค้าชายแดน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องหา”อาชีพใหม่” ให้กับคนที่นั่น…..สิ่งสำคัญคือ “หน่วยงานของรัฐ” ต้อง”ควบคุม” ให้การ”ทำผิดกฎหมาย” ของคนที่อยู่ใน”แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย” ไม่ว่าจะเป็นที่”มูโนะ” ที่”โก-ลก” ที่ “ตากใบ” จ.นราธิวาส และที่ อื่นๆ เช่น “ด่านนอก,ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา หรือ”วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล ให้อยู่ในระดับที่มี”ความพอดี” เป็นเรื่องของ”อาชีพคนในพื้นที่” เพื่อการ”เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” ไม่ใช่ปล่อยให้”นายทุน” หรือ”กลุ่มทุน” เข้าไปใช้”อิทธิพล” ในการยึดพื้นที่แนวชายแดน สร้าง โกดัง” สร้างสถานที่”เก็บกัก” สินค้าและอยู่เหนือ”กฎหมาย” โดยมี”เจ้าหน้าที่” อำนวยความสะดวก

 

และที่ยังไม่มี”สื่อมวลชน” ที่ไหนออกมา”เปิดโปง” ให้รับรู้กันคือ มีแหล่งข่าวอ้างว่า ” ชายแดนในตำบลมูโนะ” จ.นราธิวาส แห่งนี้ เป็น”ท่าส่งออกวัว-ควาย” จากประเทศไทยไปยังปาระเทศมาเลเซียเป็น”ท่าส่งออกเถื่อน” ที่ วัว ควาย ถูกส่งมาจาก จ.แม่ฮ่องสอน และ จังหวัดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับภาคใต้ ซึ่ง “วัว” ส่วนใหญ่จะมาจาก”ประเทศเมียนมาร์” และถูกนำขึ้นรถบรรทุกมาส่งยัง “ชายแดนตำบลมูโนะ” และไม่ผ่าน”ขบวนการของปศุสัตว์” ไม่มีการ”ตรวจโรค” มามีการ”กักสัตว์” เพื่อการ”ป้องกันโรค”ตามที่”กฎหมายกำหนด”  โดย”นายทุน” จะสั่งให้”คนงาน” นำ”วัว-ควาย” ทั้งหมด ส่งไปยังฝั่ง “มาเลเซีย” โดยการ”ลักลอบ” ข้ามคลองสุไหงโก-ลก ด้วยเรือหางยาว  เดือนละประมาณ 5,000 ตัว เป็นธุรกิจ”ค้าวัวเถื่อน” ที่สร้างกำไรอย่าง”มหาศาล” ให้กับ”นายทุน” ซึ่งแน่นอน ถ้าไม่ใหญ่จริง ก็ทำไม่ได้ และนี้คือ”ธุรกิจรายใหญ่” ที่สุดของ”ชายแดนมูโนะ”  ที่คนทั้ง จ.นราธิวาส รู้ดีว่าเป็นใคร

 

ส่วนเรื่องที่ เป็นประเด็น ต้องมีการ”ไต่ถาม”คือ” ขบวนการ”ขนวัว” จาก “อ.ขุนยวม” จ.”แม่ฮ่องสอน” จาก”ชายแดนภาคเหนือ” มาถึง”ต.มูโนะ” ชายแดนภาคใต้ เกือบ 2,000  กิโลเมตร มากันอย่างไร และทำไม่จึงไม่มีการ”ตรวจสอบ” และ”ตรวจโรค” รวมทั้งทำไมจึงไม่มีการนำไป”กักสัตว์” ยังด่าน”กักสัตว์”ตาม ระเบียบตามกฎหมายของการ”เคลื่อนย้ายและการส่งออกสัตว์”ไปยังต่างประเทศ  เรื่องนี้ กรมปศุสัตว์ ต้องมีคำตอบ ให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะวันนี้”น้ำลดตอผุด”แล้ว…..  ทราบว่าเรื่องที่”ตลาดมูโนะ”  กรมสอบสวนพิเศษ DSI  ได้ส่ง “ชยพล สายทวี  ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงพื้นที่และพบเรื่อง”ไม่ชอบมาพากล” มากมายที่เป็น”เบื้องหน้าเบื้องหลัง”ของ”ชายแดนมูโนะ” ก็ขอฝากเรื่อง” ขบวนการค้าวัวเถื่อน” ให้” ดีเอสไอ” นำไป”พิจารณาดำเนินการด้วย

 

หลังจากที่ ปล่อยให้”เละตุ้มเปะ” มานาน ในที่สุด “เจษฎา จิตรัตน์” ก็มี”คำสั่ง” ห้าม”นายอำเภอ”ใน จ.สงขลา ออกใบอนุญาต ให้การ”จัดงานส่วนสนุก” หรืองาน”ประจำปี”ต่างๆ มีการ”ละเล่นที่มอบเมาเด็กเยาวชนและประชาชน” เช่นการ”ปาโป่ง ปาเป้า บิงโก ล้อลูกแก้ว และอื่นๆ ที่เป็นการ”การพนันประเภท 5” โดยอ้างว่า “สื่อมวลชน” มีการ เสนอข่าวในเรื่องดังกล่าวทาง ทีวี และ โชเซียล  ก็ดีใจนะ ที่”สื่อ”ได้ทำหน้าที่”หมาเฝ้าบ้าน” ได้สำเร็จ ทำให้”อบายมุข” ที่เกิดขึ้นหายไป  แต่เชื่อเถอะ ถึงนายอำเภอไม่เซ็น”ใบอนุญาต” ก็ใช่ว่าจะงาน”สวนสนุก”จะไม่มีการพนัน”ประเภท 5 “เพียงแต่ถ้ามีการ”ร้องเรียน” ก็ถูก”สั่งปิด” ก็แค่นั้น…..ก็ไม่ต้องดูอื่นไกล ที่”ตลาดคลองแงะ” ตลาดสดสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา  ยังมี”นายทุน” ทำการเล่นการพนัน”หวยสัตว์” หรือ”จับยี่กี” ออกถึงวันละ 2 รอบ ก็ไม่เห็นมีใครไป”จับกุม” หรือสั่งให้หยุด

 

เหตุร้ายรายวัน ยังคงเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นระยะๆ หลายเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวกับการ”แบ่งแยกดินแดน” แต่มี”นายทุน” กลุ่ม”อิทธิพล” ในการค้า”ยาเสพติด” ,น้ำมันเถื่อน,บุหรี่เถื่อน” และ “ของเถื่อน” ที่มี”มูลค่า” มากกว่า”ขนมนมเนย” เป็นผู้”ว่าจ้าง” ให้”กองกำลังติดอาวุธ” ก่อเหตุเพื่อ”ต่อรอง” กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ” เช่น”คาร์บอมบ์” ที่ “สี่แยกอรกานต์” กลางเมือง”สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ที่เป็นการทำ”คาร์บอมบ์” เพื่อการ”ข่มขู่” แต่ไม่ประสงค์ในการ”เอาชีวิตของผู้คน” สืบให้ดีจะรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังคือ”ขบวนการค้าของเถื่อน” เพราะหลังมีเหตุ”โกดังพลุระเบิด”  มี”ผู้หลักผู้ใหญ่ลงมาในพื้นที่” และมี”รายงานข่าว” ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง” ของ ขบวนการค้าของเถื่อนและเรื่อง”ส่วย” ทำให้ “ตำรวจ,ทหาร” และ”ปกครอง” สั่ง “เข้มงวด” และ”ปิดจุดผ่านแดนเถื่อน” ที่เป็น”เส้นทาง” ขนสินค้าหนีภาษี “นายทุน” จึง”ทำฤทธิ์” ด้วยการปฏิบัติการ”คาร์บอมบ์”  กลางตัวเมือง”สุไหงโก-ลก” เพื่อส่ง”สัญญาณ”ว่า ถ้ายัง “เข้มงวด”ยังไม่เปิดจุด”ผ่านแดนเถื่อน” ให้ทำมาหากินตามปกติ “คาร์บอมบ์” ครั้งต่อไป อาจจะมี”คนเจ็บคนตาย” นะ…..นี่แหละคือ”เบื้องหลัง” ของการก่อการร้าย ที่”คนนอกพื้นที่”ไม่เข้าใจ” แต่” หน่วยงานของรัฐในพื้นที่เข้าใจ” ซึ่งก็ต้องถามไปยัง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ว่า ณ วันนี้ เรื่อง”ความมั่นคง” การ”แบ่งแยกดินแดน” กับเรื่อง”อิทธิพล” การค้าของเถื่อน”ยาเสพติด, น้ำมันเถื่อน,วัวเถื่อน,บุหรี่เถื่อน,คนเถื่อน” เป็นเรื่องที่”พัลวัลพัลเก” จน”แยกกันไม่ออก” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 อย่าง พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค จะ”หาทางออก” อย่างไร

 

แต่เรื่องนี้เห็นด้วยนะ กับการที่ กอ.รมฯงภาค 4 ส่วนหน้า จับกุม ผู้ต้องหาจำนวน 7 คน ในข้อหา บุกรุกทำลายป่าบนภูเขากูยิ หมู่ที่ 4 ต.ร่มไทร อ.สุคีริน จ.นราธิวาส  ยึดได้ไม้ของกลางรถแทรกเตอร์ มีการ”นำเอกสารสิทธิ” อีกแปลง มาแสดงเพื่อ”ตบตา” เจ้าหน้าที่ เรื่องนี้ วันนี้อยู่ในขบวนการ”ส่งฟ้อง” โดยมี” เจ้าหน้าที่จาก “กรมสอบสวนคดีพิเศษภาคใต้  ( ดีเอสไอ ) รับเป็นคดีพิเศษ เพราะมี”นายทุนอิทธิพล” เป็นผู้ ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง และขอให้ กรมที่ดิน ถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย

 

วันก่อน รถกระบะบรรทุกน้ำมันเถื่อน จาก อ.ควนโดน จ.สตูล วิ่งผ่านพื้นที่ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง พลิกคว่ำ “แท็งค์น้ำมันเถื่อน 4,000 ลิตร คือ”ของกลาง” ที่ เจ้าหน้าที่ต้อง “ดำเนินคดี” กับ เจ้าของรถ และคนขับ เมื่อ “นักข่าว”ไปถึงที่เกิดเหตุ มีการถามจาก เจ้าหน้าที่ ว่า ถ้าไม่ทำข่าวนี้”จะเอาเท่าไหร่” เท่าที่รู้ แต่ละวัน จะมีรถบรรทุกน้ำมันเถื่อน ผ่านทาง อ.เขาชัยสน  อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ไม่ต่ำกว่า 10 เที่ยว ก็ถามถึง พล.ต.ต.ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผบก.ภ.จว.สงขลา สั่งการให้”ตำรวจ” ในพื้นที่ “ตรวจสอบ” และดำเนินการตามกฎหมายด้วย…..เช่นเดียวกับในพื้นที่ “รอบๆ สภ.สิงหนคร” จ.สงขลา ที่เต็มไปด้วย”คอกรับซื้อน้ำมัน” โดยมี”ลูกค้า” ที่เป็นคนขับรถบรรทุกน้ำมัน จาก คลังน้ำมัน ใน อ.สิงหนคร จ.สงขลา นำไปขายให้ ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีการ”ขโมย” จาก”ลูกค้า” ที่เป็นผู้”ว่าจ้าง” ให้ บริษัทขนส่งบรรทุกให้ เจ้าของปั้ม เจ้าของบริษัทรถบรรทุก ขอฝากให้ พ.ต.อ.เอกรัฐ สวนเสน ผกก.สภ.สิงหนคร จ.สงขลา ช่วยสั่งการ”ตรวจสอบคอกน้ำมัน” และช่วย”จับกุม” บรรดา”โชเฟอร์รถบรรทุก”ที่ ขโมยน้ำมัน ไปขายให้กับ”คอกรับซื้อ” ที่มีความผิดทั้ง”เป็นโจร” และเป็นผู้”รับซื้อของโจร

 

ผู้บริหารโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอร้องไปยัง กระทรวงศึกษาธิการ ให้รับทราบ 2 เรื่อง เรื่องแรกเป็นความ”เดือดร้อน”  เพราะ “สำนักงานการศึกษาส่วนหน้า “ ไม่มีการส่ง เจ้าหน้าที่ศึกษานิเทศ ไปทำการตรวจสอบ โรงเรียนเอกชน มานานแล้ว โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ต้องทำการ”นิเทศ”กันเอง ระหว่างโรงเรียนด้วยกัน เป็นเหตุให้ การศึกษามีปัญหามากมายและไม่สามารถ”พัฒนา”ให้เป็นไปตาม”เป้าหมาย” และเรื่องที่สองวันนี้” กัญชา” รุกล้ำเข้าไปใน”ห้องเรียน” แล้ว เพราะ”กฎหมาย” เปิดช่องให้ เป็นเรื่องที่ ต้องแก้ไขโดยด่วน  โดยขอให้  กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า คืน”อำนาจหน้าที่” ให้กับ”ศึกษาธิการจังหวัด” เพื่อที่จะได้เข้าไป “ดูแลควบคุม” โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา เหมือนเช่นในอดีต เอา พรรคการเมือง จะเข้าไป บริหาร กระทรวงศึกษาธิการ ก็ส่ง”เสนาบดี” ที่เข้าใจเรื่องการศึกษาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

 

พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) เปิดเผยว่า การเดินทางมาเยือนภาคใต้ของ ฑูตานุทูต 10 ประเทศ ที่เป็น”มุสลิม” ของ “โอไอซี” หรือ “องค์กรมุสลิมโลก ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นผลดีกับจังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่าทุกครั้ง โดยเฉพาะกับการพูดของ”ฑูตานุทูต” ที่กล่าวว่า เรื่องการ”นับถือศาสนา” เป็นเรื่องของ”ปัจเจก” แต่เรื่องของ”ชาติ” เป็นเรื่องของ”ส่วนรวม” เอ้า เหล่า”อุสตาซ” ที่ยังพยายามใช่เรื่อง”ศาสนา” มา”บิดเบือน” เพื่อการ”บ่มเพาะ” นักเรียน นักศึกษา เข้าสู่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อ”ก่อการร้าย” ฟังไว้ ว่าประเทศ”มุสลิม” ที่มาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาคิด และมอง จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร…..แต่ นั่นแหละ ในขณะที่ ความเข้าใจ และความรู้สึก ของ”โอไอซี” ที่มีต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้”ดีขึ้น” แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับมี”องค์กรจากชาติตะวันตก” เข้าเดินทางเข้ามาเพื่อ”แสวงหาผลประโยชน์” กับ”ภาคประชาสังคม” เพื่อขยายความ”ขัดแย้ง” กลับมากขึ้น ทั้งจากฝากฝั่ง” สหรัฐอเมริกา” และ”สหภาพยุโรป” และ อื่นๆ ทั้งในรูปแบบ”เอ็นจีโอ” และรูปแบบ”การช่วยเหลือ” ในเรื่อง “โน่น.นี่.นั้น” ที่เป็นของรัฐโดยตรง เรื่องนี้คือความ”หนักใจ”ของ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) ที่ พูดหรือบอก ตรงๆกับสังคมไม่ได้ เพราะประเทศเหล่านั้น เป็น”มหาอำนาจ” และเป็น”พันธมิตร” ที่ ประเทศไทยให้ความ”เกรงอกเกรงใจ” ก็เป็นอีกเรื่องของ “รัฐบาล” ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ จะต้องมี”นโยบายต่างประเทศ” ที่ไม่ยอมให้มีการ”แทรกแซง” ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้จาก”บรรดา”มหามิตร”

 

ก็เขียนเตือนมาแล้วเรื่องการป้องกันอย่างให้มีการ”ตัดทุเรียนอ่อนส่งขาย” ใน จ.ยะลา ซึ่งเป็น”ตลาดทุเรียนขนาดใหญ่” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีมูลค่า”ส่งออก”ปีละ 10,000 ล้านบาท สุดท้าย ก็มี”ชาวสวนและพ่อค้า” ฉวยโอกาสตัด”ทุเรียนอ่อนไปขาย” ทำให้”ล้งจีน” ฉวยโอกาส “กดราคา” และ พ่อค้าหลายรายไม่”รับซื้อ”  สุดท้ายผู้ที่”เจ็บปวด” และ”รับกรรม” คือ “เจ้าของสวนทุเรียน” และนี่คือปัญหาของ”ชาวสวนทุเรียน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่เป็นไปเหมือนกับชาวสวนทุเรียนใน”ภาคตะวันออก” ที่ รวมตัวกันในการสร้างความรับผิดชอบ  หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่าง”สมน้ำหน้า” ที่ชาวสวนไม่เชื่อฟัง แต่ต้องหา”แนวทาง” ให้ทุกคนทุกฝ่ายมี”จิตสำนึก” ที่ถูกต้อง

 

หน่วยข่าวความมั่นคง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” แจ้งเตือน” ให้ ทุกกองกำลังในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ ของ จ.สงขลา ให้ทราบว่า “กลุ่มติดอาวุธ” ของขบวนการแบ่งดินแดน”บีอาร์เอ็น” มีการ” ขนระเบิดแสวงเครื่อง” เข้ามาในหลายพื้นที่ของ “ปัตตานี,ยะลา” แล” นราธิวาส” เพื่อ”ก่อเหตุ”ในห้วงของวัน”ฉลองเอกราชของประเทศมาเลเซีย” ( เมอร์เดก้า ) ฝ่ายแจ้งก็ได้แจ้งแล้ว ฝ่ายที่มีหน้าที่” ป้องกัน” และ “รักษาความสงบ” จะมีการ”เตรียมพร้อม” หรือจะ”ตั้งรับ” หรือจะ”เปิดเกมรุก” ต่อฝ่ายตรงข้าม ก็ว่ากันไป แต่อย่าลืม “ป้องกัน”ชีวิตของ”ประชาชน” ที่ไม่รู้”อิโหน่อิเหน่” ต้องพลอยรับ”เคราะห์กรรม” ที่ไม่ได้ก่อ

 

เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก หรือไม่มีการแก้ จากระดับ”นโยบาย” ก็เรื่อง “เรือคราดหอย” ของ”ประเทศเวียดนาม” ที่”ลักลอบ” เข้ามา ทำประมง”คราดหอย” ใน”อ่าวไทย” ที่ถูก ทัพเรือภาค 2 ของ พล.ร.ท.จรัสเกียรติ ไชยพันธ์ ผบ.ทัพเรือภาค 2 ทำการ จับกุมเป็นประจำ จน”เรือของกลาง” ที่ยึดไว้ ถูกนำมาจอดไว้เป็น”สุสานเรือ” ใน”ทะเลสาบสงขลา” ที่กลายเป็น”ทัศนาอุอาด” เพราะไม่มีหน่วยงานไหนเป็น”เจ้าภาพ” หลังศาลตัดสินแล้ว ว่าจะ”ทำลาย” หรือ ทำอย่างไรกับ”ของกลาง” และถ้า” “ทัพเรือภาค 2 “ ขยันในการ”จับกุม” รับรองอีกไม่กี่ปี”เรือเวียดนาม”ที่เป็น”ของกลาง” จะยึดพื้นที่”ทะเลสาบสงขลา”พอๆกับ”โพงพาง” ถามว่าความ”สวยงาม”ของ”ทะเลสาบอยู่ตรงไหน….เรื่องเรือประมงเวียดนาม ที่”ลักลอบรุกล้ำ” เข้ามา”คราดหอย” ในน่านน้ำไทย กรมประมง และ กระทรวงต่างประเทศ ต้องมีการ”ถกแถลง”กับ”ประทรวงต่างประเทศ” และ”กรมประมง” ของ”ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” โดยตรง จึงจะได้ผล เพราะไม่อย่างนั้น เราก็ต้อง”สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติสัตว์น้ำ” ให้กับ”เวียดนาม” ไม่รู้เท่าไหร่  รวมทั้งต้อง”เลี้ยงดู” ผู้ทำผิดในเรือนจำ และต้องใช้”ทะเลสาบสงขลา” ในการทำ”สุสานเรือ” ที่ไร้ประโยชน์อีกต่างหาก

 

เรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ ที่การเลือก”หัวหน้าพรรค”และ”กรรมการบริหารพรรค” ล่มแล้วล่มอีก” ข่าวจาก”วงใน” แจ้งว่า “วาระสุดท้าย” ของพรรค”แม่ธรณีบีบมวยผม” ใกล้มาแล้ว จะเป็น”ภาพเดียวกับ 10 มกรา” ที่ “คนแพ้” ถ้าเป็น สส. ของภาคใต้ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็น”ส่วนหนึ่ง”ของ”พรรคภูมิใจไทย เพราะ”เคมีตรงกัน” ถ้าเป็นเช่นนี้ ในอนาคตพรรคภูมิใจไทยของ”เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีระกุล” ก็จะเป็นพรรคการเมือง ที่มาแทนที่”ประชาธิปัตย์” ซึ่งในการ เลือกตั้งสมัยหน้า อาจจะเหลือ สส.ไม่ถึง 10 คน…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…เมื่อการเลือกนายกฯเข้าสู่โหมด ‘วิกาลยาวนาน ฝันยุ่งเหยิง’

ยากเย็นเหลือเกินนะ กับการที่ประเทศไทยจะได้ “นายกรัฐมนตรี” ที่ผ่านการเลือกจาก”ประชาชน” มาทำหน้าที่บริหารประเทศ เหมือนกับว่า”ประเทศนี้สิ้นคนดี” ที่จะมา”ปกครองประเทศ” เริ่มจาก” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ถูก”เตะสกัดจากทุกทิศทาง” จนไม่สามารถก้าวไปสู่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 ของประเทศได้ ทั้งที่”เดินสายเปิดตัว” กับหลายๆองค์กรของประเทศไปแล้ว…..จนมาถึงคิวของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคอันดับสอง ได้รับสิทธิ์ในการ”จัดตั้งรัฐบาล” แค่เปิดตัว” เศรษฐา ทวีสิน”แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค  ก็ถูก”ถล่ม” จากเรื่องความไม่”โปร่งใส” จากการ”ซื้อ-ขายที่ดิน” โดย “ชูวิทย์ กมลวิฏิษฐ์” จอมแฉแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็น”หัวหมู่ทะลวงฟัน” และมี”นักร้อง” อีกหลายคนช่วยกัน”ผสมโรง” ที่อาจจะทำให้”เศรษฐา” ต้อง”กินแห้ว” หมดโอกาสในการก้าวถึงตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ก็เป็นได้ ถ้าเรื่องที่”ถูกแฉ” เป็นความจริง

 

วันนี้”เพื่อไทย” จับมือกับ”ภูมิใจไทย” ซึ่งเป็นพรรคที่มีคะแนนอันดับสามในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพื่อเป็น”แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล   แต่ดูแล้วก็”ไม่ง่ายนะ ” เพราะสองพรรคมีคะแนน 200 เสียงกว่านิดๆ ซึ่งต้องได้รับเสียง”สนับสนุน” จากพรรคการเมืองอื่น ซึ่ง นอกจากพรรคประชาชาติ ที่เป็น”พันธมิตรดั่งเดิม”และ”พรรคเล็กพรรคน้อย” ก็ยังต้องอาศัยเสียงของพรรคการเมืองอื่นๆอีกไม่น้อยกว่า 2-3 พรรค หรือต้องมี”ก๊วนการเมือง” “ยกมือ”สนับสนุน”โดยอาจจะมีเสียงของฝั่ง”วุฒิสมาชิก”ที่ยกเมือ”เห็นชอบ” กับการตั้ง”นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 “เป็น”ตัวช่วย”  แต่ก็ ยังไม่มีใครกล้า”ฟันธง” ว่า”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 ของประเทศไทยจะเป็น”เศรษฐา” หรือ” อุ๋งอิ๋ง” หรือ”แจ๊คพ็อต” จะแตกที่” บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สำหรับ”การเมืองแบบไทยๆ” ออกได้ทุกหน้าเป็นไปได้ทั้งหมด ซึ่งก็ต้องรอดูหลังวันที่ 16 สิงหาคม นี้  ว่า” วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะนัดประชุมวันเพื่อ”เคาะ” การเลือก”นายกรัฐมนตรี”วันไหน เพราะต้องรอให้”ศาลรัฐธรรมนูญ” ชี้ขาดกรณีของ”การโหวต”เลือก”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็น “นายกรัฐมนตรี” ครั้งที่ 2 ได้หรือไม่ถ้า “ศาลรัฐธรรมนูญ” ยังไม่มีการ”ชี้ขาด” การ เลือกนายกรัฐมนตรี ก็ต้องเจอ”โรคเลื่อน” ออกไปก่อน

 

การ “เลือกตั้งนายกรัฐมนตรี” ยิ่ง”ลากยาวออกไป” ยิ่งมี”ปัจจัยอื่นๆ” ที่”ถาโถม”เข้ามา  และถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้เป็น”ตัวแปร” ของการ”ต่อรอง” จาก พรรคการเมือง และ”กลุ่มก๊วน” การเมืองมากยิ่งขึ้น เข้าทำนอง” วิกาลยาวนาน ฝันยุ่งเหยิง” เพราะมีการ”ต่อรอง” เรื่องตำแหน่ง”รัฐมนตรี” ในกระทรวง”เกรดเอ”ซึ่งทุกพรรคการเมือง”หมายปอง”…..ก็ต้อง”จับตา”ตามที่”ภูมิธรรม เวชยชัย” ตัวจริง เสียงจริง ของ”เพื่อไทย” ที่ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลชุดนี้จะเป็น”รัฐบาลพิเศษ” เพราะต้องผ่า”ทางตัน” ในการนำประเทศให้”เดินหน้า” ว่าสุดท้ายแล้วจะ”พิเศษ”อย่างไร…..แต่ที่บอกได้คือเป็น”รัฐบาล” ที่ไม่ตรงกับ”ความต้องการ”ของประชาชน”ส่วนใหญ่”ของประเทศอย่างแน่นอน เพราะแค่”เปิดตัว” พรรคภูมิใจไทย “ผสมพันธุ์” กับพรรคเพื่อไทย ก็มีการ “ลงถนน” ต่อต้านจาก กลุ่มนั้น กลุ่มนี้ กันแล้ว ถ้ามีการ”เปิดตัว” พรรค หรือ ก๊วน ของ “สองลุง” เข้าร่วม”ผสมพันธุ์” โดยมี”ประชาธิปัตย์” รวมด้วยช่วยกัน โดยที่มี”รุ่นใหญ่” อย่าง “ชวน หลีกภัย,บัญญัติ บรรทัดฐาน” และ”อภิสิทธิ เวชชาชีวะ” ไม่เห็นด้วย ก็ยิ่งไปกันใหญ่และอาจจะมี”เสียงยี้” สนั่นเมือง

 

การมี”รัฐบาล” ที่ ประชาชน “ส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับ และไม่เห็นด้วย และมีการ”ลงถนน” เป็นระยะๆ ถามว่า”เสถียรภาพ”ของ รัฐบาล จะมั่นคงอย่างไร และการแก้ปัญหาของประเทศชาติที่”คาราคาซัง” ทั้งเรื่อง”เศรษฐกิจ-ปากท้อง” ที่เป็นเรื่อง”เร่งด่วน” จะ ทำอย่างไร นโยบายในการ”หาเสียง” ของแต่ละพรรคการเมืองจะ”เป็นจริง” ได้แค่ไหน หรือเป็นเพียง”ลมปาก” เหมือนกับการ “เลือกตั้ง” ที่ผ่านมา และ”สุดท้าย” มองในแง่มุมไหน “รัฐบาลชุดใหม่ก็ไปไม่รอด”…..โดยเฉพาะปัญหาการ”คอร์รัปชั่น” ที่เป็นเหมือน”กำปั้นทุบดิน” ทุบลงตรงไหน ก็เจอตรงนั้น โดยมีพรรคก้าวไกล เป็นผู้นำมา”เปิดโปง” และมี”ข้าราชการ” ที่”เสียผลประโยชน์” ส่ง”ข้อมูล”และ”หลักฐาน” ไปให้ สส.ของ”ก้าวไกล” นำไปแฉให้ สังคมได้รับรู้ หลายๆเรื่อง ตั้งแต่”ส่วยรถบรรทุก”  เป็นข้อมูลที่ นายตำรวจใหญ่คนหนึ่ง เป็นผู้”ส่งมอบ” เพื่อให้ สส.”ก้าวไกล” นำไป”เปิดโปง” ซึ่งหน้าที่จะมีการ”โยกย้ายใหญ่” ก่อนเดือน กันยายน นี้ จะมีการส่ง”ข้อมูลส่วย” เพื่อ “เปิดแผล” สกัดการขึ้นสู่ตำแหน่งกัน”อุตลุด” ไม่เชื่อก็คอยดูกัน เชื่อเถอะ ใน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” เรื่อง”ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน” เป็นเรื่อง ปกติ….ก็คอยดู”บทบาท”ของพรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคฝ่ายค้านให้ดีๆ “รัฐบาล” ที่จะเข้าบริหารประเทศ จะ”มีร้อน มีหนาว” จากการ”เปิดโปง”การ”ทุจริต” เป็นระยะๆ

 

เรื่อง”โกดังเก็บพลุ ระเบิด”จบลงที่การ”มอบตัว”ของ สองผัวเมีย เจ้าของโรงงานพลุ ที่เดินเข้าสู่ ขบวนการตามกฎหมาย เชื่อว่า อีกไม่กี่วัน “ผู้ต้องหา” คงได้ประกันตัว เพราะเป็นผู้ต้องหาที่”หลักแหล่ง” ที่อยู่ที่ชัดเจน และเดินทางมามอบตัวด้วยตนเอง ก็ต้องติดตามดูว่า” เจ้าของโกดัง” จะมี”มนุษย์ธรรม” ในการ”ช่วยเหลือ” ผู้รับเคราะห์อย่างไร   ส่วนนเรื่องของคดีคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะมีการตัดสินคดีว่ามี”ความผิด”ตามที่”ตำรวจ” ทำสำนวน”ส่งฟ้อง”หรือไม่ และกว่าจะถึงวันที่”คดีสิ้นสุด”  และคนในประเทศก็คงจะลืมเรื่องนี่เกิดขึ้นแล้ว….เรื่องสำคัญคือเรื่องการช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับเคราะห์จาก”โกดังพลุระเบิด” ในครั้งนี้ ที่ต้อง”ทั่วถึง” และ”รวดเร็ว” โดยเฉพาะในเรื่องการ”สร้างบ้าน” และ”ซ่อมแซม” รวมทั้งจ่ายค่า”ชดเชย” ให้ที่ผู้ได้รับเคราะห์กรรมในครั้งนี้   เกรงว่า หลังจากที่”ข่าวคราว” ในพื้นที่ ไม่มีการนำเสนอ ทุกอย่างจะ”เฉื่อยชา” ก็เป็นหน้าที่ของ”สนั่น พงษ์อักษร” ผวจ.นราธิวาส ที่จะต้อง เร่งหน่วยงานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ให้”ขับเคลื่อน”ด้วยความรวดเร็ว อย่าให้”ระบบราชการ” ที่เป็น”เรือเกลือ” ซ้ำเติมความทุกข์ให้กับผู้ที่”แบกทุกข์”อยู่เต็มสองบ่าไหล่…..@ส่วนเรื่อง”ส่วย” ที่มีการ”กล่าวหา” ว่ามีการ”เก็บส่วย” จากผู้ที่ทำสิ่งผิด”กฎหมาย” ในตลาดมูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ก็เป็นหน้าที่ของ พล.ต.ท.นันเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 และ และ พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9 ที่เป็นประธานการสอบสวนเรื่องการ”รับส่วย”ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งหา”มีมูล” ไม่เพียงแต่”จ่าฟาโร” จนถึง 4 เสือ สภ.มูโนะ” ที่ต้องถูกดำเนินคดี แต่ พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว. นราธิวาส ก็ต้องมีส่วนในการ “รับผิด รับชอบ” ด้วยเช่นกัน ในฐานะของ”ผู้บังคับบัญชา”

 

สำหรับ “สุไหงโก-ลก” เป็นเมืองชายแดน ที่มีหลายอย่างที่เป็นเรื่อง”ผิดกฎหมาย” เช่น”บ่อนการพนัน” ที่เป็นของนายทุนชาวมาเลเซีย “บ่อนในโรงแรม”ที่เป็นของ”ผู้กว้างขวาง” ( เจ้าเก่า ) และ “ตู้สล็อคแมชชีน” ที่ วางกันมากมายให้นักพนัน เล่นการพนันอย่างเสรี….. ที่สำคัญ สถานบันเทิงจำนวนมาก สำหรับ”คนกลางคืน” ที่ เต็มไปด้วย”หญิงสาวลาว” ประมาณว่าเป็นพันคน ที่อยู่ใน อ.สุไหงโก-ลก แห่งนี้  เรื่องนี้มีการ”นินทา” ว่ามีการ”เก็บส่วย” รายหัวๆละ 1,000 บาท เท็จจริงอย่างไร “สนั่น พงษ์อักษร”  ในฐานะที่เป็น “ฝ่ายปกครอง”ต้องเรียก”นายอำเภอ”มา “ถามไถ่” ให้รู้เรื่อง…..แต่เพื่อมิให้”สังคมติฉิน” สนั่น พงษ์อักษร ผวจ.นราธิวาส ก็สั่งตั้ง”คณะกรรมการ” เพื่อทำการ “สอบสวน” ว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง มีความ”บกพร่อง” ในเรื่อง”โกดังพลุ” ระเบิดในครั้งนี้แล้ว  เพราะตามที่” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ( สส.) ได้ให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวว่า “กฎหมาย” ที่มีการบังคับใช้ในเรื่องของ”พลุ-ดอกไม้ไฟ-ประทัด” มีกระทรวงที่เกี่ยวข้องถึง 5 กระทรวงด้วยกัน  คือ”กลาโหม,มหาดไทย”แรงงาน,อุตสาหกรรม”และ”สาธารณสุข”….. วันนี้ “ตำรวจ” และ”ปกครอง” มีการตั้ง” คณะกรรมการ” เพื่อ “สืบสวนสอบสวน” หาผู้ที่”ทำผิด”และ”บกพร่อง” ในหน้าที่แล้ว แต่ กระทรวงที่เหลือ คือ”กลาโหม.แรงงาน,สาธารณสุข” และ”อุตสาหกรรม” ยังไม่”กระดิกกระเดี้ย”

 

หลังจากนี้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะต้องมี”มาตรการ” ในการ”เข้มงวด” กับ “โกดังเก็บพลุ-ดอกไม้ไฟ” ใน พื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส  แต่ที่  อ.หาดใหญ่ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็น”แหล่งใหญ่” ของการเก็บ”วัตถุอันตราย” เหล่านี้ ต้องเร่งดำเนินการ “ตรวจสอบ” อย่างทำแบบ”วัวหาย ล้อมคอก” รอให้เกิดความ”สูญเสีย” แล้วค่อยดำเนินการอย่างที่”ตลาดมูโนะ” …..ต้นตอของ”พลุ ดอกไม้ไฟ และประทัด ส่วนหนึ่ง” ลักลอบ”นำเข้ามาจาก “ประเทศจีน” ทาง”ชายแดนภาคเหนือของประเทศ ” ส่วนหนึ่งมากับ”ตู้คอนเทนเนอร์” ที่นำเข้าขึ้นที่ ”ท่าเรือแหลมฉบัง” เป็นการ”นำเข้าที่ถูกต้อง” หรือเป็น”สำแดงเท็จ” เจ้าหน้าที่”ศุลกากร” ต้องมีการ “ตรวจสอบให้ชัดเจน” สำหรับผู้ค้ารายใหญ่ ในการส่ง”พลุ ดอกไม้ไฟ” และ”ประทัด”ด้วยวิธีการ”หลบหนีภาษี” ไปยังประเทศมาเลเซีย มีอีก”หลายเจ้ หลายเฮียที่เป็น”รายใหญ่” และที่”น่าเกลียดน่าชัง” หลังการเกิด”โกดังพลุระเบิด” ที่ “ตลาดมูโนะ” ยังมีการปล่อยให้ “ ทั้งเจ้ทั้งเฮีย” ขน”วัตถุอันตราย” จาก “ตลาดมูโนะ” จาก”โกดังกลางตลาดสุไหงโก-ลก จากโกดังตลาดตากใบ และจากโดดังตลาดบูเก๊ะตา นำไป”หลบซ่อน”แบบ”ทันท่วงที” ทั้งหมดทั้งปวง อย่าบอกนะว่า “เจ้าหน้าที่” ไม่มี”ปากว่าตาขยิบ”

 

ในขณะที่ สส. สองพี่น้อง พรรคพลังประชารัฐ”สัมพันธ์ และ”อามินทร์ มะยูโซะ” เดือดเนื้อร้อนใจ จากการที่”โซเชียล” ในพื้นที่ออกมา”ถล่มโจมตี” ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่อง”ธุรกิจสีเทา” และอยู่เบื้องหลังของ”เจ้ชื่อดัง”หลายเจ้ ใน อ.สุไหงโก-ลก ที่ทำ”ธุรกิจสีเทา” โดย” สองศรีพี่น้องสองสอสอ” คนดังของ จ.นราธิวาส บอก ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาของ”อาวตาร” ทาง”โชเชียล” เพราะไม่มี”ตัวตน” เรื่องอย่างนี้ “คนในพื้นที่” คงจะรู้ว่า “เท็จจริง” เป็นอย่างไร  เมื่อ”เขาว่ามาเราก็บอกไป,,,,ที่เป็นข้อสังเกต เดือน “สิงหาคม” ทั้งก่อน และหลัง”โกดังพลุระเบิดที่ตลาดมูโนะ” การก่อวินาศกรรม ในพื้นที่ ปัตตานี,ยะลา และ “นราธิวาส” เกิดขึ้นถี่ๆ ทั้งใน อ.สุไหงโก-ลก.ใน อ.ตากใบ. อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ “เสียชีวิต” และ”บาดเจ็บ” ประชาชนโดน”ลูกหลง” บาดเจ็บ และ ทรัพย์สินเสียหาย “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ไม่มีคำตอบว่า “เกิดอะไรขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็น”ฝีมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดน”นั่นรู้กันอยู่ แต่สาเหตุในการที่”กองกำลังติดอาวุธ” ออกมา”ก่อเหตุรุนแรงในหลายพื้นที่” เป็นการก่อการร้ายตาม”วงจร”ที่มีการวางแผนไว้แล้ว  หรือเป็นเพราะใกล้ถึงวัน”เมอร์เดกา” ที่เป็นวัน”ประกาศเอกราช”ของ”ประเทศมาเลเซีย” ซึ่งเป็นวันแห่ง”สัญลักษณ์” ในการ”กระตุ้น” ความรู้สึกและสำนึก” ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเรื่อง”แบ่งแยกดินแดน” หรือไม่ เพราะมีข้อ”เท็จจริง”ประการหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ ทุกครั้งที่”ทหาร” มีการ”วิสามัญฆาตกรรม” กลุ่ม”แนวร่วม” หรือ”กองกำลังติดอาวุธ”ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” จะมีการ”แห่แหนศพของผู้ตาย” และการ”ตะโกนคำว่า”เมอร์เดกา ปาตานี”พร้อมกับคำ”สรรเสริญผู้ตาย” ว่าเป็น”นักรบผู้พลีชีพ”

 

อีกเรื่องที่มีคำถามถึง พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คือ คดีของ “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ ที่”ฝ่ายกฎหมาย” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ แจ้งความ”เอาผิด”ในข้อหา “แบ่งแยกดินแดน” ที่ สภ.เมือง ปัตตานี ผ่านมาแล้วเป็นเดือน ยังไม่มีความคืบหน้า ถ้าไม่มีคำตอบจาก” แม่ทัพภาคที่ 4” พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ช่วยตอบให้ผู้สนใจที่ติดตามเรื่องนี้ก็ได้…..เรื่อง”บุหรี่หนีภาษี” ที่เป็นการค้าที่ทำให้”โรงงานยาสูบ” อยู่ในฐานะที่อาจจะ”ล้มละลาย” เพราะ”บุหรี่หนีภาษี” ที่บุกเข้า”ตีตลาด” ของ”สิงห์อมควัน”ทุกมุมเมืองทำให้”บุหรี่ของโรงงานยาสูบยอดขายตก แม้แต่”องค์กรบริหารส่วนจังหวัด” ที่เคยมี่”ส่วนแบ่ง”จากภาษีสรรสามิตปีละ 200 ล้าน อย่างที่ จ.สงขลาเหลือเพียง 40 กว่าล้าน   วันนี้”สรรพสามิต” สั่งให้มีการ”เข้มงวด” มีการ”สั่งปิด” ร้านขายบุหรี่เถื่อนในตัวเมือง แต่ใน อำเภอรอบนอกของ จ.สงขลา เช่นที่ อ.ระโนด ซึ่งมีร้าน”ค้าปลีก” และ”ค้าส่ง” รายใหญ่ ที่เป็นของ”นักการเมืองท้องถิ่น” ยังไม่เห็นถูก”จับกุม” หรือ”สั่งปิด” เช่นเดียวกับที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็น”แหล่งใหญ่” ในการ”ค้าขายบุหรี่เถื่อน” ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็น”ผลประโยชน์” ของ “นักการเมืองท้องถิ่น” และ”นักการเมืองระดับชาติ” ก็ยังคงมีการ”นำเข้า-ส่งออก” ตามปกติ การ”ปิดตลาดบุหรี่เถื่อน” ที่ “หาดใหญ่” อย่างเดียว ไม่ได้ทำให้”โรงงานยาสูบ” หายขาดทุน ต้อง”สั่งปิด”แหล่ง”นำเข้า” ใน จ.นราธิวาส ด้วยจึงจะได้ผล

 

ก็เป็นเรื่องที่ น่ายินดีกับ ประชาชน ที่ประสพเคราะห์กรรม จาก”โกดังเก็บพลุ” และ”ดอกไม้ไฟ” ระเบิด ที่ ธนาคารอิสลาม ได้มีการ ร่วมมือกับ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) เตรียมดำเนินการ”ฟื้นฟูตลาดมูโนะ” เป็นการด่วน เพราะ ตลาดแห่งนี้คือ”ปากท้อง” ของประชาชนในชุมชน ชายแดนไทย-มาเลเซีย สามารถ”ฟื้นฟู” ตลาดกลับมาเป็น”ปกติ” เมื่อไหร่ นั่นหมายถึง”ปากท้อง”ของคนในพื้นที่ได้รับการแก้ไข

 

เรื่องของลิงกำลังกลายเป็นปัญหาของการ”อยู่ร่วมกันกับคน” ทั้ง ใน ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล ที่เป็น”ชุมชนใหญ่” และ ที่ “เขาน้อย” เขตเทศบาลนครสงขลา ที่”ชุมชนถูกรุกรานจากลิง” ที่มีจำนวนมากขึ้น และ”อาหารน้อยลง” เรื่องนี้อย่างเห็นว่าเป็น”เรื่องเล็ก” ผู้บริหาร”ท้องถิ่น” รวมทั้ง”ฝ่ายปกครอง” ต้องดำเนินการ เพื่อสร้างความสงบให้เกิดขึ้นใน”ชุมชนเมือง” จะจับลิงไป”ทำหมัน” หรือ”อพยพ” บางส่วนไปไว้ที่อื่น เพื่อลดจำนวนลิง ก็ต้องเร่งดำเนินการ….. เทศกาล”รวย” และ”ลืมตาอ้าปาก” ของ”เกษตรกรชาวสวนทุเรียน จ.ยะลา เริ่มแล้ว เมื่อ”ธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล “ รอง ผวจ. ยะลา เป็นผู้ได้รับเกียรติ”ลงมีดแรก” ในการ”ตัดทุเรียนสะเด็ดน้ำ” ของ จ.ยะลา ซึ่งคาดว่าปีนี้ จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวน  76,741 ตัน มีเงินสะพัดเข้ากระเป๋า ชาวสวนและพ่อค้ากว่า 10,000 ล้านบาท สิ่งเดียวที่ต้อง “ระวังป้องกัน” คืออย่าให้มีการฉวยโอกาสในการ”ตัดทุเรียนอ่อน”เกิดขึ้น

 

นี่คือ”ฝีมือของมนุษย์” ในการ”ทำลายการท่องเที่ยว”ของ จ.ภูเก็ต เมื่อมีการพบ”คราบน้ำมัน” ถูก คลื่นซัดมาติดตาม”ชายหาด” โดยเฉพาะที่”หาดในยาง” เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่”ณรงค์ วุ่นซิ้ว” ผวจ.ภูเก็ต และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการให้ถึง”ต้นตอ” ของผู้”มักง่าย” ที่ทำลายการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศและประชาชนในหลายสาขาอาชีพ ที่เกี่ยวกับ”การท่องเที่ยว” เช่นเดียวกับที่”เกาะหลีเปะ” อ.เมือง จ.สตูล ที่มีคดีการ”บุกรุกที่”ของ”อุทยาน”ซึ่งล่าสุด”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ( สส ) สั่ง”เซ็ตซีโร” คดีใหม่ มีการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งในเรื่อง”บุกรุกที่อุทยาน, รุกล้ำที่ราชพัสดุ “ และ”ความผิด “พรบ.โรงแรม” มีโรงแรมที่อยู่ในข่ายต้องดำเนินคดี  100 กว่าแห่ง ซึ่งแน่นอน ทางหนึ่งมีการใช้”กฎหมาย” ในการดำเนินการกับผู้ที่ทำผิดกฎหมาย แต่ทางหนึ่งเกิดผลสะเทือนกับ”การท่องเที่ยว”ของ จ.สตูล ทางออกจึงอยู่ที่”การ”ทุบทิ้ง” หรือการ”ให้เช่า” เพื่อให้ผู้”บุกรุก” ได้ดำเนินการต่อ

 

ส่วนที่ จ.ตรัง”เมืองหมูย่าง”ที่มีชื่อเสียง วันนี้มี”ข่าวใหญ่” นั่นคือการที่”ผู้รับเหมา” ส่อทิ้งงาน”ตรังสแควร์”หรือ”โครงการจัตุรัสเมืองตรัง”  เท็จ จริง อย่างไร ตามที่มีการ”แชร์”การ”โพสต์”หรือไม่ “ขจรศักดิ์ เจริญโสภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ต้องเร่งตรวจสอบ อย่าให้มีความเสียหายเกิดขึ้น…..เขียนมาแล้วหลายครั้ง เรื่องของ”น้ำกระท่อม” ที่มีการขายกัน”เกลื่อนเมือง” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นำกำลังเข้า “ตรวจค้น” โรงงาน “ผลิตน้ำกระท่อม” พบว่า “สกปรก” ไม่มีการขออนุญาต ซึ่งผู้ที่ซื้อไปบริโภคอาจจะได้รับ”อันตราย”  ที่ ตำรวจ จับได้เป็นเพียงแหล่งผลิตเดียว  แต่โดยข้อเท็จจริง มีการ”ผลิตขายกันมากมาก” ที่ ตำรวจ ไม่ได้เข้าตรวจค้น จับกุม  เรื่องนี้หน่วยงานไหนเป็น”เจ้าภาพหลัก” ต้องดำเนินการ”กวาดล้าง” โดยด่วน และที่สำคัญวันนี้”ยาแก้ไอ” ที่ใช้ในการเป็น”ส่วนผสม”ของ”น้ำกระท่อม” ซึ่งเป็น”ยาที่ต้องควบคุม” และต้องใช้ตามที่”แพทย์สั่ง” มีขายกัน”เกลื่อนเมือง”ทั้งใน”ร้ายขายยา” และใน”ร้านขายของชำ” โดยไม่มีการ”ควบคุม” ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น ตรวจสอบ  เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ”สาธารณสุข จังหวัด” หรือเป็น”หน้าที่”ของหน่วยงานไหน ทำไม่จึงมีการ”ปล่อยปละละเลย” เหมือนบ้านเมืองไม่มี”กฎหมายควบคุม

 

นี่ก็ทุกข์ของประชาชน ที่อยู่กันมาในหมู่ที่ 6 ต.กาบัง จ.ยะลา มา 30 ปี แต่ ไม่มีไฟฟ้าใช้ ปัญหาคือ”ที่ดินทำกิน” ถูกกล่าวหาว่า”ทับซ้อนกับพื้นที่ของป่าไม้  ไฟฟ้าขยายเขตเข้าไปไม่ได้ เห็นภาพชาวบ้าน เดินทางเข้ายื่นหนังสือกับ “สุพจน์   รอดเรือง ณ หนองคาย” ผวจ.ยะลา เพื่อขอความช่วยเหลือ ก็ต้อง ติดตามกันต่อไปว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัด” จะ ประสานงานกับ”กรมป่าไม้” เป็นผลหรือไม่…..ห้าแยกน้ำกระจาย อ.เมือง จ.สงขลา เป็นพื้นที่”น้ำท่วมซ้ำซาก” วันนี้เห็น”สส.น้องใหม่” ของพรรคประชาธิปัตย์ “สรรเพชญ บุญญามณี” ลงพื้นที่ เพื่อดูรายละเอียดของปัญหา เพื่อที่จะได้ ประสานงานกับ แขวงทางหลวง สงขลา หรือนำไป”อภิปรายในสภา” เพื่อของบประมาณจาก “กรมทางหลวง” เพื่อ แก้ปัญหาการ”ท่วมซ้ำซาก” ที่เกิดขึ้น…..คดี”อาชญากรรม” ในพื้นที่ จ.พัทลุง ยัง”ยืนหนึ่ง” ให้เป็นข่าวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่อง”อาวุธสงคราม” ที่ยังมีการใช้ในการ”ก่อเหตุ”บ่อยครั้ง โยกย้าย แต่งตั้งใหญ่ ที่จะถึงในเดือน กันยายน นี้ เห็นที่ ต้องมีการ”ปรับเปลี่ยน” ตำแหน่งตั้งแต่” ผบก.นถึง “ผกก.ในหลายพื้นที่

 

ฝนตก น้ำท่วม คลื่นลมแรง จังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว หลายจังหวัดในภาคใต้ ต้องมีความพร้อมในการ”รับมือ”กับ “สถานการณ์”ที่เป็นภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะ”นักท่องเที่ยว” ที่ลง”เล่นน้ำ” อย่างเช่นที่ จ.ตรัง ที่แม้แต่”อุทยาน” ปัก”ธงแดง” แต่ก็ยังป้องกันเหตุไม่ได้ เพราะฉะนั้น “ธงแดง” อย่างเดียวอาจจะไม่พอ “อุทยาน” หรือ” เทศบาล” หรือหน่วยงานที่”ข้องเกี่ยว” ต้องมีทั้ง”เจ้าหน้าที่” และ”เครื่องมือ”ในการ”กู้ภัย” เพื่อที่จะช่วยชีวิตของผู้ประสพภัยได้ทันท่วงที ไม่มีบุญอะไรจะยิ่งใหญ่เท่ากับการได้ช่วยชีวิตมนุษย์….เรื่อง”ขบวนการน้ำมันเถื่อน” ที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้าน ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ไม่เขียนถึงไม่ได้แน่ เพราะหลังจากที่”ซบเซา” ไประยะหนึ่ง จากการ”เข้มงวด”ของ”เจ้าหน้าที่”ศุลกากร” วันนี้ไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นจึงทำให้ “รถกระบะดัดแปลง-รถเก๋งดัดแปลง” ติดถังน้ำมัน ตั้งแต่ 500-1,000 ลิตร วิ่งกันวันละหลายร้อยเที่ยว โดยมี”คอกน้ำมัน” ที่เป็นผู้”รับซื้อ”ไม่อั้น …..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตานายกคนที่ 30 ของสยามประเทศจะเป็นใคร?

วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 คือวันนี้ที่ “วันมูหะมัด นอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร กำหนดให้เป็นวันประชุมสภาฯ เพื่อลงคะแนนเสียง เลือก”นายกรัฐมนตรี”คนที่ 30 ของประเทศไทย ซึ่ง”เพื่อไทย” จะเสนอชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดคของพรรคเพื่อไทย ให้เป็น”นายกรัฐมนตรี” แต่เนื่องจาก” คอลัมน์ข่าวสังคมภูมิภาค” เขียน”ต้นฉบับ”ล่วงหน้า จึงไม่สามารถ”คาดเดา” ได้ว่า ในวันที่ 4 ส.ค. นี้ “คนไทย” จะมี “นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 ได้หรือไม่ และ”เศรษฐา ทวีสิน” จะได้รับการ”โหวต” .ให้เป็น”นายกรัฐมนตรี”หรือไม่ และหากไม่ได้รับการ”โหวต” ก็แสดงว่า”การเมืองไทย” ยังจะมี”ขวากหนาม” ในการ”สกัดกั้น” เพื่อมิให้ “พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย” ได้เป็นผู้บริหารประเทศ  แต่ก็ได้แต่คิดเข้าข้าง คนไทยทั้งประเทศว่า เราจะได้”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 เป็น”เศรษฐา ทวีสิน” ถามว่าทำไม่ต้องเป็น”เศรษฐา” เพราะ ประเทศไทยวันนี้”บอบช้ำ” ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง” อย่างแสนสาหัส ทั้งจากเรื่องของ”โควิด 19 “ ที่ทำให้ “ประเทศไทย” และ”ทั่วโลก” ต้อง” ตกหลุมตกร่อง”เกือบ 3 ปี ทั้งจากการบริหารประเทศที่”ล้มเหลว”ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในเรื่องของ”เศรษฐกิจ”และ”ปากท้อง” เป็นเวลา 9 ปี วันนี้ “ประเทศไทย” ไม่ต้องการ”นักการทหาร” มาบริหารประเทศ เพื่อให้ความ”สำคัญ”กับเรื่อง”ความมั่นคงของชาติ” เพียงอย่างเดียว แต่”ประเทศไทย” และ”คนไทย” ต้องการ ผู้นำที่มีความรู้ความเข้าใจ และความสามารถ ในการแก้ปัญหา”ของแพง –พลังงานแพง” และ”ผลผลิต”ของ”เกษตรกร” มีราคาที่”ถูกลง” และต้องการให้มี”ผู้รู้” ผู้ที่มี”ฝีมือ” มาแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ” ที่ “ตกต่ำ” และ”ซบเซา” ทั้งเรื่องของการ”ส่งออก” ที่”ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน”ติดต่อกันมา 5 เดือนแล้ว  และ”นักท่องเที่ยว” ที่เข้ามาประเทศไทย”ต่ำกว่าเป้า” นี่คือปัญหาแรกๆ ที่”เพื่อไทย” ต้องแก้ไข หากได้เป็น”รัฐบาล”….ซึ่ง หากเคยฟัง”นโยบายการหาเสียง” ของทั้ง” อุ๋งอิ๋ง” แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าครอบครัว”เพื่อไทย” และ”เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของเพื่อไทย  ที่ ได้”หาเสียง”ไว้กับ “ประชาชน “ ถ้าทำได้ตาม”นโยบาย” เพียง 50% เชื่อว่า ปัญหา”ปากท้อง” และ”เศรษฐกิจ” จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้แน่นอน

 

แต่ นั้นแหละ เมื่อ “รัฐบาล”นี้เป็น”รัฐบาลผสม” ต้องมีการ”แบ่งกระทรวง” ต่างๆ ให้กับ “พรรคที่เข้าร่วมรัฐบาล” ก็ยังไม่ทราบว่า”หน้าตา” ของ”รัฐบาลชุดนี้” หลังมีการ”ผสมพันธุ์” กันเสร็จแล้ว จะออกมาเป็นอย่างไร และ”เพื่อไทย” จะ “ขับเคลื่อน” นโยบาย ที่”หาเสียง” ไว้กับ”ประชาชน” ได้มากน้อยขนาดไหน เพราะตัวอย่างของ”พลังประชารัฐ” ที่เป็น”แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา และ”อัญเชิญ” บุคคลภายนอกอย่าง”บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็น”นายกรัฐมนตรี” บริหารประเทศมา  4 ปี แต่ไม่ได้ทำตาม”นโนยาย”ที่”หาเสียง”กับ”ประชาชน”ไว้แม้แต่เรื่องเดียว  นี่คือ”บทเรียน”ของ”รัฐบาลผสม.”…..แค่”เงื่อนไข” ที่ “ประชาธิปัตย์” ขอเข้าร่วมรัฐบาลกับ”เพื่อไทย” โดยมี”เงื่อนไข” เข้าร่วมรัฐบาล” เพียง 16 เสียง ในฟากของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” และ” เดชอิศม์ ขาวทอง “ เลขาธิการพรรค โดยไม่มีซีกของ”ชวน หลีกภัย ,บัญญัติ บรรทัดฐาน,อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ”จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” เข้าร่วมด้วย ก็”ดูไม่จืด”แล้ว   รวมทั้งการขอตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็น”ค่าตอบแทน” ซึ่งเป็น”กระทรวง”ที่เป็น”เส้นเลือดใหญ่” ในการแก้ปัญหา “ผลผลิต” และ”แหล่งน้ำ” ให้กับภาคเกษตรกร ที่ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เคยนั่งเป็น”เสนาบดี”

 

เรื่องจริงก็คือ 2 กระทรวงที่สำคัญที่สุด ในเรื่อง”เศรษฐกิจ” และ”ปากท้อง”ของ”ประชาชน” ที่ “พรรคแกนนำรัฐบาล” จะต้องหา”บุคคล” ที่มีความรู้ความสามารถมาเป็น”เสนาบดี” คือ”กระทรวงพาณิชย์ “และ “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “เพราะเป็น”กระทรวง” ที่เกี่ยวข้องกับ”ราคาสินค้า” การ”ค้าขาย”ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งมี”ผลกระทบ” ทั้ง”ปากท้องของประชาชน” และ”รายได้เข้าประเทศ” ส่วน”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” มีหน้าที่ในเรื่อง”ผลผลิตทางการเกษตร” ซึ่งเป็นคน”ส่วนใหญ่”ของประเทศ ที่ต้องมีผู้ที่”บริหารเป็น” ในการทำให้”ผลผลิตมีราคา” และ”พัฒนาให้อาชีพการ”ทำการเกษตร” มีความ”ก้าวหน้า” ทั้งในเรื่อง”วิชาการ”และ”การตลาด” ไม่ใช่”ย่ำเท้าอยู่กับที่” เช่น”ปลูกยางพันธุ์ดี” เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา ต้นยาง 1 ไร่  ให้”น้ำยาง 2 กิโลครึ่ง” ผ่านไป 50 ปี วันนี้ เกษตรกรชาวสวนยาง ก็ยังได้น้ำยาง 2 กิโลครึ่งต่อไร่ เหมือนเดิม นี้แหละที่”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ต้องการ”เสนาบดี” ที่มี”ฝีมือ” ในการบริหาร

 

นับเป็น”โศกนาฎกรรม” ที่เกิดจากฝีมือของ”มนุษย์ชาติ” อย่างแท้จริง นั่นคือเหตุการณ์”โกดังที่เก็บ” พลุ,ดอกไม้ไฟ” และ”ประทัด” ระเบิด กลางตลาดมูโนะ ชุมชนการค้าใกล้ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่ “คร่าชีวิต” ของประชาชนทั้ง”คนแก่-ลูกเล็กเด็กแดง”ไปถึง 12 คน บาดเจ็บทั้งสาหัสและไม่สาหัสอีกเกือบ 400 ชีวิต บ้านเรือน”ราบพนาสูญ”ไปถึง 200 กว่าหลังคาเรือน บรรทัดนี้ขอ”แสดงความเสียใจ” กับทุกครอบครัวที่”สูญเสีย” และขอแสดงความ”ขัดข้องใจ” กับ” เจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ”อนุญาต” ให้มีการสร้าง”โกดัง” และ”ร้านค้า” ใน”ชุมชน”เพื่อการ”เก็บ”และ”จำหน่าย วัตถุอันตราย ที่เกี่ยวข้องถึง 5 กระทรวงด้วยกัน ท่านทำหน้าที่กันอย่างไร จึงปล่อยให้มีการ ก่อสร้างโกดัง เพื่อเก็บ”วัตถุระเบิด” กลางชุมชนจนกลายเป็น”หายนะอย่างใหญ่หลวง” และหลังเกิด”โศกนาฎกรรม”ในครั้งนี้ พวกท่านจะ”คิดอ่าน”และร่วม”รับผิดชอบ”อย่างไร…..เรื่องนี้จะโทษ”ตำรวจ” ฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะผู้ที่ต้องรับผิดชอบรวมกันมีตั้งแต่ “อบต. หรือ” “องค์กรปกครองท้องถิ่น” ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ อนุญาตแบบแปลนให้ก่อสร้าง” ฝ่ายปกครอง” ที่ทำหน้าที่”ควบคุมการจำหน่ายวัตถุระเบิด” ที่สำคัญพื้นที่ “ชายแดนไทย-มาเลเซีย”เป็นพื้นที่”ความมั่นคง” ที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทำการควบคุมพื้นที่ ทั้งในเรื่อง”เรื่อง”การข้ามแดน”เรื่อง”การค้าอาวุธ”ระเบิด “และ”ยาเสพติด” วันนี้ นาย สนั่น พงษ์อักษร ผวจ.นราธิวาส พล.ต.ต.อนิรุธ  อิ่มอาบ  ผบก.ภ.จว.นราธิวาส  พล.ต.เฉลิมพล ขำเขียว ผบ.ฉก.นราธิวาส รวมไปถึง นายอำเภอ ผู้กำกับ  และหน่วยงานอื่นๆ ต้อง”มีคำตอบ” ให้กับ”สังคม” และ”คำตอบ” อย่างเดียวไม่พอ ต้องถามหา”ความรับผิดชอบ”ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย

 

ในส่วนของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ก็ต้องตอบคำถามของสังคมและของ”ผู้สูญเสีย” จากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยว่าทำไม่งานด้าน”ความมั่นคง” จึง”หละหลวม” ปล่อยให้”ชุมชนแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย” เป็นที่ตั้ง”โกดังสินค้า” ที่เกี่ยวกับ”วัตถุระเบิด” และ”วัตถุระเบิด” เหล่านี้มีส่วน”เกี่ยวพัน” กับการก่อ”วินาศกรรม” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่อย่างไร  และที่สงสัยกันมากคือการ”ลำเลียง”สินค้าพวก “ประทัด,ดอกไม้ไฟ”ข้ามแดนไปจำหน่ายที่ มาเลเซีย ทำไม่จึงทำกันง่ายๆ นี้แสดงว่า “เจ้าหน้าที่” ทุกหน่วยงานใน”ชายแดนไทย-มาเลเซีย” ต่าง”รู้เห็นเป็นใจ” กับการค้าชายแดนที่”ผิดกฎหมาย” ใช่หรือไม่…..  ที่สำคัญสองสามี-ภรรยา เจ้าของ โกดัง และร้านค้า คือ เจ้าของกิจการค้า”วัตถุอันตราย” รายใหญ่ที่สุดของ อ.สุไหงโก-ลก ที่ยึดพื้นที่ “ตลาดมูโนะ” เป็นที่”ทำมาหากิน” มาเป็นเวลานาน เป็นผู้”ค้าส่ง” รายใหญ่ในการส่ง”ประทัด –ดอกไม้ไฟ”ไปยัง ประเทศมาเลเซีย เคยถูก “ทหาร” จาก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จับกุมดำเนินคดีในข้อหา “ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไมได้รับอนุญาต” เมื่อปี 2559 แต่สู้คดีหลุดมาได้แบบไหนไม่มีใครรู้ว่าทำไม่จึง”ไม่ผิดกฎหมาย”…..และที่สำคัญกว่าคือ “มูโนะ” เป็น”ตลาดชายแดน” ที่ “เศรษฐกิจเฟื่องฟู” เพราะการค้าของ”ผิดกฎหมาย” ทุกชนิดเหมือนกับ”เมืองชายแดน”ทุกพื้นที่ของประเทศไทย และมีการ”จ่ายส่วย” ให้กับ” จ่าฟ.” เป็น”หัวเบี้ย” ในการ”เก็บเงิน” จากผู้ที่ค้าขายของ”หนีภาษี” ส่งให้”นาย”เป็นรายเดือน  เฉพาะ”ส่วยดอกไม้ไฟ” มีการจ่ายเดือนละ 50,000 บาท เท็จจริงอย่างไร “พล.ต.ต.อนิรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส” ตรวจสอบกันเอง

 

หลังเกิดเหตุ”โศกนาฎกรรม”ในครั้งนี้ กรมการปกครอง มี”หนังสือด่วน” ถึง นายอำเภอทั้ง 800 กว่าแห่ง ให้มีการ”ตรวจสอบ”  สถานที่เก็บและ”จำหน่าย วัตถุอันตราย”เหล่านี้ ซึ่งหลัง”เป็นข่าว” ชาวบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี้คือ”วัวหายแล้วล้อมคอก” ที่เห็นเป็นประจำ สำหรับการแก้ปัญหาของประเทศไทย ในขณะที่”โซเชียล” ในพื้นที่มีข้อความที่”แสบสันต์” คือวันนี้” วัวหายแล้ว” และ”ควาย” ยังเต็มพื้นที่ อ่านแล้วก็”ตีความ”เอาเองนะ…..หลังจากนี้ก็คงจะเป็นเรื่องการ”เยียวยา”  ทุกคน และ ทุกครอบครัว ที่”สูญเสีย” จากเหตุการณ์ครั้งนี้ บางครอบครัว”สูญเสียเสาหลัก” บางครอบครัวสูญเสีย”บ้านเรือนที่อยู่อาศัย” บางครอบครัวต้อง”ซ่อมแซมบ้านเรือน” และกว่าจะกลับไป”ใช้ชีวิต” เป็น”ปกติ”  และมี”อาชีพ” เหมือนเดิมคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ในห้วงของการ”สร้างบ้าน-ซ่อมเรือน” และ”ไร้อาชีพ”  ต้องเป็น”หน้าที่”ของ”รัฐบาล” ในการ”สั่งการ” ให้ หน่วยงานในพื้นที่”ดูแลแก้ปัญหา” และคงต้องใช้เวลาเป็น”แรมปี” ในการ”ฟื้นฟู” ชุมชนมูโนะ ให้กลับมาเป็น”ตลาดการค้าชายแดน”เหมือนเดิม…..ส่วน เจ้าของ”โกดัง”และ”คนงาน” ที่ เข้าไป”เชื่อมเหล็ก” ใน”โกดัง” จนเกิด”โศกนาฎกรรม” ครั้งนี้ ก็คงต้องว่ากันไปตาม”กฎหมาย” เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของการทำผิด”กฎหมาย” เป็นการ”ค้ากำไร” บน”ความเป็นความตายของเพื่อนมนุษย์” ที่ “พ่อค้า และ”นายทุน” ทุกคนพึงใช้สังวรณ์และใช้เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็น”บทเรียน” ในส่วนของ”ราชการ” หลัง”สะสาง”เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะป้องกันอย่างไร ที่จะไม่ให้เกิดเหตุ”ซ้ำซ้อน” โดยเฉพาะ 52 ร้านค้า ที่มีการ”ขายดอกไม้เพลิง ประทัด และ พลุ ต่างๆ” ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองทั้งสิ้น จะควบคุมอย่างไร เพื่อมิให้มีเหตุร้ายเกิดขึ้น

 

”หาดใหญ่.และ”ด่านนอก” ชายแดนไทย-มาเลเซีย อ.สะเดา จ.สงขลา ก็มี”นายทุน” สร้าง”โกดัง” เพื่อเก็บ”พลุ – ดอกไม้ไฟ-ประทัด” ส่งขายให้กับ “มาเลเซีย “และ คนในพื้นที่  และมี”โกดัง” อยู่ในชุมชน ไม่ต่างกับที่”มูโนะ” อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส  ก็ไม่ทราบว่า หลังเกิดเหตุที่”มูโนะ” สุรินทร์ สุริยะวงศ์ นายอำเภอสะเดา และ พ.ต.อ.ภูวรา แก้วพารัตน์ ผกก.สภ.สะเดา จ.สงขลา ได้ดำเนินการ ตรวจสอบ และ”ล้อมคอก” เพื่อมิให้เกิด”โศกนาฎกรรม” อย่างไร หรือไม่….จำได้นะ เมื่อปี  2556  ร้านขาย “พลุ –ดอกไม้ไฟ –ประทัด “ ที่ตั้งอยู่ กลางใจเมืองหาดใหญ่ ( ตลาดสดพลาซ่า ) เคยเกิดระเบิด มีผู้บาดเจ็บ 12 คน อาคารร้านค้าเสียหาย 5 หลัง และ วันนี้ ใน ตัวเมืองหาดใหญ่ ก็มีร้านค้าที่ขาย “พลุ-ดอกไม้ไฟ-ประทัด” อยู่จำนวนไม่น้อย” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี “นายกเทศบาลนครหาดใหญ่  “ชวกิจจ์ สุวรรณคีรี” นายอำเภอหาดใหญ่ และ”พ.ต.อ.ภูมิ บาลทิพย์ ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ต้อง”ตรวจสอบ” และต้อง”บังคับใช้กฎหมาย” กับ “ธุรกิจการค้า” วัตถุอันตรายอย่างเข้มข้น

 

ร้านอาหารที่ใช้ใบ”อนุญาตผิดประเภท” โดยการทำเป็น”ผับ” มี”นักร้องดนตรี”และ”พนักงานบริการ” และ”เปิดเกินเวลา” ที่ตั้งอยู่ในย่านถนนธรรมนูญวิถี ใกล้กับวัด และโรงเรียน  จำนวน 3 ราย ถูก”ฝ่ายปกครอง” สั่งปิด 7 วัน เพื่อให้มีการ”ปรับปรุงแก้ไข” ให้ถูกต้องตาม”กฎหมาย” เพราะมี”ประชาชนทำหนังสือร้องเรียน” ไปยัง “เจษฎา จิตรัตน์” ผวจ.สงขลา   “กลุ่มทุน” ที่เป็น เจ้าของ ซึ่งมีทั้ง “ลูกตำรวจ” ทั้ง “นักการเมือง” ประกาศเปิดใหม่ในวันที่ 3 ส.ค. ก็ต้องถามว่า การเปิดใหม่ ได้รับ”ใบอนุญาตที่ถูกต้องแล้วยัง” และถ้ามี”ใบอนุญาตที่ถูกต้อง” แล้ว กรณีที่อยู่ใกล้”วัด”ใกล้”โรงเรียน” จะแก้ปัญหาอย่างไร อย่าบอกนะว่าที่ปิดไป 7 วัน เพื่อการ”วิ่งเคลียร์” เพื่อขอ”ไฟเขียว” มีการ”จ่ายเพิ่ม” เพื่อกลับมาทำผิด”กฎหมาย”ได้เหมือนเดิม…… ที่สำคัญ ในพื้นของ สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไม่ได้มี”สถานบันเทิง” ที่“ผิดกฎหมาย” เฉพาะในย่าน”ธรรมนูญวิถี” แต่มีอีกหลายสิบแห่ง ที่เป็นในลักษณะเดียวกัน คือ”ใบอนุญาตผิดประเภท” และ”เปิดเกินเวลา” ที่ สำคัญ บางแห่ง” ตั้งอยู่หน้าโรงเรียนอนุบาล” ก็มี เรื่องอย่างนี้กรมการปกครองต้อง”เอาจริง” สั่งการให้”ผู้ว่าราชการจังหวัด-นายอำเภอ” ดำเนินการให้ถูกต้อง ในเมื่อกำหนดโซนให้แล้ว ทำไมจึงไม่ไปเปิดในโซนที่กำหนดให้ ทำไมต้องเลือก”ทำเล” ที่ ใกล้วัด ใกล้ โรงเรียน ทำไม ทำไม ต้องขอถามหน่วย

 

น้ำมัน แก๊สโซฮอลล์ 91 และ95 ปรับราคาอย่าง”บ้าเลือด” จนถึงลิตรละ 40 บาท แล้ว ( ในต่างจังหวัด) คนทำงานที่ต้องขับรถ ทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ “ร้องจ๊าก” เพราะ”ค่าแรง”และ”เงินเดือน” กลายเป็น”ค่าน้ำมัน” ชีวิตจึง”ชักหน้าไม่ถึงหลัง” แถมยังมีข่าวเกิดขึ้นถี่ๆว่า เติมน้ำมันแล้วได้ไม่ครบ ถูก”ปั๊มน้ำมัน”ใช้”เล่ห์เหลี่ยมกลโกง”ซ้ำเติมอีก เรื่องนี้ ”กระทรวงพลังงาน” ไม่คิดที่จะ ช่วยประชาชน เลยหรือไร หรือต้องให้เป็นหน้าที่ของ”รัฐบาลชุดใหม่” อย่างนั้นหรือ….และ ผลพวงจาก”น้ำมันแพง” วันนี้ “น้ำมันเถื่อน” จากฝั่งมาเลเซีย จึงเปลี่ยนจาก” ดีเซล” มาเป็น”เบนซิน” เพราะกำไรมากว่า ( ราคาน้ำมันในมาเลเซียทั้งดีเซลและเบนซินลิตรละ 16 บาทเท่ากัน ) เส้นทาง น้ำมันเถื่อน”ทางบก” ยังเหมือนเดิม และก็”เหมือนเดิม” คือ”ไม่มีใครสนใจในการ “ปราบปราม”และ”จับกุม” โดยเฉพาะน้ำมันเถื่อนที่มากับ”รถบรรทุกสินค้าระหว่างประเทศ” ยังคง”ทำหน้าที่” นำน้ำมันเถื่อนมาส่งให้”คอกน้ำมัน” อย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” ทั้ง”กลางวันกลางคืน”

 

วันนี้ ขบวนการ”ค้าน้ำมันเถื่อนพัฒนาไปมาก มีการ”ซื้อน้ำมันนำเข้าอย่างถูกต้อง”จากประเทศมาเลเซีย โดยการขอ”ยกเว้นภาษี” คือ”ทรานส์ซิส” หรือของ”ผ่านประเทศ”ไปขายยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น” สปป.ลาว กัมพูชา” และ” เมียนมาร์” แต่โดยข้อเท็จจริง ไม่ได้ส่งไปยังประเทศที่สาม มีการนำน้ำมันมาขายในประเทศ สร้างความ”ร่ำรวย” ให้กับ “ขบวนการค้าน้ำมันข้ามชาติ”อย่างมหาศาล ในขณะที่”ประเทศชาติไม่ได้เงินภาษี”แม้แต่”สตางค์แดงเดียว” เรื่องนี้ “อธิบดีกรมศุลกากร,อธิบดีกรมสรรพสามิต” และ”อธิบดีกรมสรรพากร” จะแก้ไขอย่างไร บอกหน่อย….และล่าสุดมีการ”คดีฉ้อโกง” จากการค้าน้ำมันข้ามชาติเกิดขึ้นแล้วเมื่อ”สอรียะ เก็มเบ็ญหมาด” ผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่งใน จ.สงขลา โอนเงินไปซื้อน้ำมันจากประเทศมาเลเซีย ผ่านทางบริษัทค้าน้ำมันหนึ่งใน จ.สตูล  เพื่อส่งน้ำมันให้กับ” ผู้ค้าน้ำมัน”ใน จ.ระนอง เพื่อส่งไปขายยังประเทศเมียนมาร์ แต่โอนเงินไปแล้ว  4 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับสินค้า ต้องวิ่งโร่ขึ้นโรงพัก สภ.หาดใหญ่ แจ้งความกับ “ร.ต.อ.จิรศักดิ์ วงศ์สุริยะ “ ร้อยเวร ให้ จับกุม เจ้าของบริษัทฯ ที่ จ.สตูลในข้อหา”ฉ้อโกง” และทราบว่า มีผู้ค้าน้ำมันในภาคกลาง ที่ต้องการซื้อน้ำมัน มาเลเซีย ในราคาถูก ที่มีการ”โอนเงิน” ให้กับ”นายหน้า” หรือ”บริษัทผู้ค้าน้ำมัน” แล้วไม่ได้น้ำมันเป็นจำนวนมาก ก็ว่ากันไปในเมื่อ”เล่นกับของเถื่อน” กำไรที่ได้อาจจะไม่คุ้มกับ”ถูกโกง” และ”ถูกจับ” ก็ได้

 

ส่วนในพื้นที่ของ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมี”คลังน้ำมัน” ตั้งอยู่ กำลังกลายเป็นพื้นที่ ซึ่งมี”คอกรับซื้อน้ำมัน” ที่มีการ”ลักขโมย” จาก รถบรรทุกน้ำมัน ด้วยการ”ลักน้ำมัน” ที่ถูกต้องตาม”กฎหมาย” ขายให้กับ “ปั้มน้ำมันที่รับซื้อของโจร” ที่เป็นของถูก และเจ้าของรถ”ซื้อน้ำมันเถื่อน” จาก”คอกน้ำมัน” ไปส่งให้ลูกค้าแทน เป็นการ”ค้ากำไรสองต่อ”  เจ้าของ”คอกน้ำมัน” เป็น”คนมีสี” เรื่องนี้ ฝากถึง”ตำรวจ ปนม. ให้ช่วยดำเนินการด้วย เพราะนอกจาก”ผิดกฎหมาย” ยังเป็นการ”ฉ้อโกง” เจ้าของปั้มน้ำมัน ที่ไม่รู้ว่าตนเองซื้อน้ำมันถูกต้อง แต่ได้น้ำมันเถื่อนมาด้วยส่วนหนึ่ง

 

เมื่อ”หาดใหญ่” ถูกระบุว่าเป็น”แหล่งของบุหรี่หนีภาษี” หลายหน่วยงาน ทั้งฝ่ายปกครองจาก”ส่วนกลาง” และ”โรงงานยาสูบ” ต่างส่ง เจ้าหน้าที่จากส่วนกลาง เข้าทำการ”จับกุม” ซึ่งล่าสุด” หลังจากที่ร้านบุหรี่รายใหญ่ถูกจับกุม  ร้านค้าบุหรี่หนีภาษีใน “หาดใหญ่” ถูก”สั่งปิด” ก็ดีที่การค้า”บุหรี่เถื่อน” จะได้ไม่”ประเจิดประเจ้อ” แต่ไม่ใช่หนทางที่จะ”ปราบปราม”ได้จริง ตราบที่”ของเถื่อน” กับของที่”ถูกต้อง” มีราคา”ส่วนต่าง” ถึงซองละ 80 บาท วันนี้การ”ขายบุหรี่เถื่อน” ก็ใช้”ช่องทางอื่น” ในการขายให้ลูกค้า ซึ่งอาจจะได้”กำไร” มากกกว่าเดิม เพราะมีข้ออ้างในการ”ขึ้นราคา” เพราะ เจ้าหน้าที่”เข้มงวด”และไม่ต้อง”จ่ายส่วย”….ที่สำคัญ”ปิดหาดใหญ่” อย่างเดียว แก้ปัญหา”บุหรี่เถื่อน” ไม่ได้ ที่ จ.สตูล ยังมี”เรือเร็ว” ขนบุหรี่จาก”มาเลเซีย” เข้ามาทุกวัน และที่”ตากใบ” จ.นราธิวาส ที่เป็น”แหล่งใหญ่” ในการ”นำเข้าบุหรี่เถื่อน” เพื่อ”กระจาย” ในตลาดชายแดนใต้ ยังขนกันได้อย่าง”อึกทึกครึกโครม” โดยนายทุนใหญ่”ระดับชาติ”คือผู้”บงการ” เชื่อเถอะ เดี่ยวตลาด”บุหรี่ที่หาดใหญ่” ก็กลับมา”คึกคัก”เหมือนเดิม

 

ลือดังกันให้แซ่ด ในรายการขัดแข้งขัดขากันเอง ที่ชาวบ้านอดรนทนไม่ได้ที่คนที่ถือกฎหมายปล่อยให้สองผับใหญ่กลางเมืองกะทู้ จ.ภูเก็ต เป็นแหล่งมั่วสุมของเด็กเยาวชนคนหาเงินธุรกิจสีเทา ผิดกฎหมายท้าทายทำนองว่าเส้นใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านร้านตลาด จนฝ่ายปกครองส่วนกลางส่งสายสืบมือปราบบุกจับกุมสองผับชื่อดัง และมีคำสั่งลงโทษย้ายด่วนนายอำเภอเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุออกจากพื้นที่เพื่อผลการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายและผิดตามระเบียบของทางราชการ แต่ก็ยังมีข้อกังขาว่าคำสั่งเด้ง5เสือ สภ.กะทู้ ที่ให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ ตร.ภ.จ.ภูเก็ตตามคำสั่งของ ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต เกิดรายการพลิกผันอย่างไร คงต้องให้คำตอบกับชาวบ้านได้นะ ผบช.ภ.8 มือตงฉิน

 

ถามกันมาจาก”แวดวงสีกากี” ว่า ผบช.ตำรวจภาค 9 คนต่อไป หลังจากที่ “พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล” ผบช.ภาค 9 คนปัจจุบัน ที่จะเกษียณราชการในวันที่ 30 กันยายน ปีนี้เป็นใคร ก็ตอบได้เท่าที่”แมงหวี” มา”กระซิบข้างหู” ว่าหวยจะออกที่ “พล.ต.ต. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” รอง ผบช.ภ.9  ค่อนข้างจะ”แบเบอร์”กว่าคนอื่น ส่วน ตำแหน่ง ผบก.สงขลา ถ้า “พล.ต.ต.วรา เวชชาภินัทน์” ต้องย้ายขึ้นไปเป็น”รอง ผบช.ภ.9 “ ตาม”อาวุโส” ใครจะมาเป็น ผบก.ภ.จว.สงขลา ข่าวว่า ตำแหน่งนี้ถูกจองโดย” พ.ต.อ.ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล “รอง ผกก.กก.ภาค 9, ว่างั้น….และ บรรทัดนี้ ก็ขอแสดงความยินดีกับ “นราเดช คำทัปน์” อดีตคนหนังสือพิมพ์ ที่หันมาเอาดีทางการเมือง ลาออกจาก “สมาชิกสภาจังหวัด” ลงสมัครเป็น”นายกเทศบาลเมืองเขารูปช้าง” อ.เมือง สงขลา และได้รับเลือกจากประชาชนตามความต้องการ ก็หวังว่า “ประชาชน” เขารูปช้าง จะได้เห็นการ”พัฒนาบ้านเมือง” ตามที่ได้”หาเสียง”เอาไว้

 

การเมืองอยู่ในสายเลือด “พิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์ อดีต นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองปัตตานีหลายสมัย “ฟิตร่างกาย” เตรียมพร้อมที่จะลงสมัครเป็น” นายกเทศบาลเมืองปัตตานี” อีกครั้ง และเชื่อว่าจะได้เสียง”ตอบรับทั้งเมือง” เพราะมี”หลายปัจจัย” ที่ คนในเขตเทศบาลมีข้อ”เปรียบเทียบ”แล้วพบว่า”พิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์”  บริหารท้องถิ่นได้ดีกว่า…..เห็นบทบาทของ”ร่มธรรม ขำนุรักษ์” สส.หนุ่ม เขต 3 จ.พัทลุง ทายาทของ”นริศ ขำนุรักษ์” รมช. มหาดไทย ที่ลงพื้นที่”พบปะประชาชน” แล้ว ถ้า มีการลงพื้นที่แบบ”คงเส้นคงวา” เชื่อว่า ในการ เลือกตั้งครั้งหน้าคง”ไม่เหนื่อย” และหา”คู่แข่ง”ที่จะมา”แย่งตำแหน่ง สส.” ได้ยาก….ส่วน “ถาวร เสนเนียม” ที่หลังจาก”พรรคไทยภักดี” ไม่มี สส. จากการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็ไปทำ”ธุรกิจร้านกาแฟและอาหาร” บนเกาะยอ อ.เมือง สงขลา มี”ลูกค้าให้การอุดหนุนเนืองแน่น” ข่าวว่า”กาแฟหลักร้อย อาหารหลักพัน” แต่ทุกคนประทับใจกับ”วิวหลักล้าน” สุดยอดของนักบริหาร

 

“นัจมุดดิน อูมา” เป็นนักการคนแรกๆ ของ จ.นราธิวาส ที่ ควงแขน  “ซาการียา สะอิ “ สส.พรรคภูมิใจไทย เขต 4 ลงพื้นที่มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อ “ซับน้ำตา” ของ”ประชาชน” ที่ได้รับความ “ทุกข์ความเดือดร้อน” จาก”โศกนาฎกรรม”โกดังพลุระเบิด  และตามมาด้วย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรคประชาชาติ ที่นำคณะเดินทางลงพื้นที่  ช่วยเหลือประชาชน และดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อทำการ”ช่วยเหลือ” ประชาชนอย่างเร่งด่วน นี้คือ”บทบาท”และ”หน้าที่”ของ”นักการเมือง” ที่มีต่อประชาชน,,,, แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…เมื่อ ‘เพื่อไทย’ถูกบีบเข้าตาจน!

การเมือง”ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก”  อยู่ในสภาพ”เดินหน้าสะดุด ถอยหลังหกล้ม” แม้จะเปลี่ยนจาก”ก้าวไกล” มาเป็น”เพื่อไทย” ในการจัดตั้ง”รัฐบาล “แต่ สถานการณ์ที่ถูกทำให้”บิดเบี้ยว” โดยการ”ตีความ”ของ”วุฒิสมาชิก” ที่นำเอา”ข้อบังคับ”การประชุมสภาฯมาเป็นใหญ่กว่า”กฎหมายรัฐธรรมนูญ” จน”ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ต้องส่งให้”ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำการ”วินิจฉัย” ซึ่งอาจจะทำให้การ”โหวตนายกรัฐมนตรี”ต้องเลื่อนออกไป เพื่อรอการ”ตีความ” หรือ”วินิจฉัย” จาก”ศาลรัฐธรรมนูญ”ที่ทำให้การ”เดินหน้า” ของ”ประเทศ” ล่าช้าไปอีก….เพราะ”สุดท้าย” ถึงแม้ว่า”ศาลรัฐธรรมนูญ” จะ”วินิจฉัย”ว่า “สภาผู้แทนราษฎร” สามารถที่ เสนอชื่อของ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เพื่อการ”โหวต” ให้เป็น”นายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ได้ ก็ไม่ผ่านอยู่ดี เพราะไม่ได้รับการ”สนับสนุน” จาก”วุฒิสมาชิก” และ” สส.ฝ่ายค้าน” แต่ก็ เห็นด้วยกับการที่”ผู้ตรวจราชการแผ่นดิน” ส่งเรื่องให้”ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำการ”วินิจฉัย” เพราะจะได้เป็น”บรรทัดฐาน” ทางการเมือง และทาง”กฎหมาย”ที่จะต้องถือปฏิบัติให้ถูกต้อง……สำหรับ”พรรคก้าวไกล” โอกาสที่จะได้”ร่วมรัฐบาล” ยิ่งนานวันยิ่ง”ริบหรี่” เพราะเห็นการ”เดินเกม” ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่”จับเข่าพูดคุย”กับ”พรรคการเมืองที่เป็น”ฝ่ายค้าน” เพื่อขอ”เสียงสนับสนุน” ในการจัดตั้ง”รัฐบาล” ทุกพรรคต่างมี”จุดยืน” ที่เหมือนกันคือถ้ามี”พรรคก้าวไกล” รวมรัฐบาล ก็จะไม่”สนับสนุน” ส่วนเสียงของ “สมาชิกวุฒิสภา” ถามกี่หนกี่ครั้ง ก็”ยืนยัน” ที่จะ”ไม่โหวต”ให้หากยังมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล

 

ทั้งหมดเป็นการ”บีบเพื่อไทย”  ให้”เข้าตาจน” ถ้าต้องการเป็น”รัฐบาล” ต้อง”สลัดทิ้งพรรคก้าวไกล” และไป”จับมือ”กับ”พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ซึ่งจะกลายเป็นการ”ขุดหลุมฝังตัวเอง” เพราะจะถูก”ประณาม” จาก”ประชาชน”ที่ไม่เห็นด้วย และหาก”เพื่อไทย-ก้าวไกล” จับมือกันเป็น”ฝ่ายค้าน” พรรคการเมืองที่เหลือ ก็จะ”จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย” ก็ไม่ได้อยู่ดี  เพราะจะถูก”คว่ำ” ทันที หลังได้เป็น”นายกรัฐมนตรี” เพราะเสียงของ”สว.  และถ้า”เพื่อไทย” ต้องรักษาคำพูดตอนที่”หาเสียง” ที่จะยืนอยู่ฝั่ง”ประชาธิปไตย”กับ 8 พรรคการเมือง ด้วยการเป็น”ข้าวต้มมัด” ที่ไม่มีการ”สลายขั้ว” ก็ต้องรออีก 10 เดือน เพื่อให้ “วุฒิสมาชิก”พ้นจากตำแหน่ง และค่อยทำการ”เสนอชื่อ”นายกรัฐมนตรี” เพื่อ”โหวตใหม่” โดยใช้เสียงของ สส.ล้วนๆ ก็ทำได้…..แต่ก็ต้องถามว่า การที่ให้”รัฐบาลรักษาการ”ไปอีก 10 เดือน จะสร้างความ”เสียหาย” กับประเทศชาติ อย่างไร หรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องของ”เศรษฐกิจ”และ”ปากท้อง” ของ ประเทศชาติ และ”ประชาชน”ที่วันนี้อยู่ในอาการ”ร่อแร่” นักลงทุนไม่กล้าเดินหน้า” การส่งออก”ถอยหลัง” การท่องเที่ยว”พลาดเป้า” ราคา”พลังงาน” และราคา”สินค้า” ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบไปยัง”ชนชั้นกลาง”และ”รากหญ้า” อย่าง”สาหัสสากรรจ์” เพราะข้อ”จำกัด”ของ”รัฐบาลรักษาการ” ที่ไม่มี”อำนาจ” ในการ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ”งบประมาณ” ที่ต้อง”ล่าช้า”ออกไป ยิ่งเป็นการ”ซ้ำเติม”ให้ประเทศ”ง่อยเปลี้ยเสียขา” เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่”เพื่อไทย”และ”ก้าวไกล” ต้องตัดสินใจ

 

นี่ก็เป็น”เรื่องใหญ่” ที่เกี่ยวกับ”ความมั่นคง” ของประเทศชาติ เมื่อมีโรงเรียน”ตาดีกา”บางแห่ง ใน จ.ปัตตานี จัดงาน”ตาดีกาสัมพันธ์” และมีการนำเอา”ภาพของคนร้าย” ที่ถูก”วิสามัญฆาตกรรม” ในข้อหา”แบ่งแยกดินแดน” มาแสดงความ”รำลึก” ในฐานะของ”วีระบุรุษ”ที่ควร”ยกย่อง” นี่เป็นเรื่องที่”บิดเบี้ยว” ทางการศึกษาและ”สังคม” ที่ส่งผลกระทบอย่าง”รุนแรง” ต่อ”ความมั่นคง” ที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ “ส่วนราชการอื่นๆ” ที่รับผิดชอบ”โรงเรียนตาดีกา” ต้องเข้าไป”ตรวจสอบ” ถึง”เบื้องหน้าเบื้องหลัง” ว่ามีอะไรที่”ซ่อนเร้น” เพราะเป็นไปไม่ได้ที่”ผู้จัด” และ”ผู้บริหาร”โรงเรียนตาดีกา” จะไม่รู้และไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ทำไปเป็นเรื่อง”ไม่ถูกต้อง” เรื่องที่เกิดขึ้นกำลังเป็น”ประเด็นร้อน” และ”สะเทือน” ถึง “โรงเรียนตาดีกา” ทั้งหมดใน จังหวัดชายแดนภาคใต้  นี่คือการ”จุดพลุ” ที่” บีอาร์เอ็น” ต้องการให้”ฝ่ายความมั่นคง” กับมา”หวาดระแวง” ต่อการบริหารของ”โรงเรียนตาดีกา” อีกครั้ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 เรื่องนี้ พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4.ต้อง ดำเนินการให้รอบคอบ”นิ้วไหนร้ายต้องตัดนิ้วนั้น” ที่ สำคัญและต้อง”ตำหนิ” การนำเอา”คนตาย” ที่เป็น”คนร้าย” ในข้อหา”แบ่งแยกดินแดน” มา “สดุดีเป็นวีระชน” ผู้ทำอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น”บีอาร์เอ็น” หรือ”ใครก็ตาม ”โหดร้ายมาก” ที่นำเอา”เด็กๆ” ที่เป็นเสมือน”ผ้าขาว”ให้”แปดเปื้อน”และ นี่คือการ”ปลูกฝัง” อุดมการณ์ในการ”แบ่งแยกดินแดน”ใน”รูปแบบใหม่” ที่ ฝ่ายความมั่นคงต้อง”รู้เท่าทัน” และ”ป้องกัน” อย่าให้”ลุกลาม”ไปทุกพื้นที่

 

เรื่องนี้ อาจจะเป็นการ”เชื่อมต่อ”จากเรื่องของ”ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” ที่มีการ”โยนหินถามทาง” เรื่องการ”แบ่งแยกดินแดน” ด้วยการจัด”เสวนา” และทำการจำลองการทำ”ประชามติในการแบ่งแยกดินแดน”เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ซึ่งจัดขึ้นที่คณะ”รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี” ซึ่ง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ได้ดำเนินการ”แจ้งความ”เพื่อ”เอาผิดทางกฎหมาย” ทั้งกับผู้นำ”นักศึกษา”และผู้นำ”ภาคประชาสังคม”ไปแล้วจำนวน 5 คน ซึ่ง ล่าสุด พนักงานสอบสวน สภ.เมือง ปัตตานี ได้ เรียกตัว นักศึกษาจำนวน 7 คน ที่อยู่ใน เหตุการณ์มาทำการ “สอบสวน” เพื่อให้เป็น”พยาน” และอาจจะมี”หมายเรียก” ผู้ถูก”แจ้งความ” จาก” กอ.รอมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มาเพื่อ”แจ้งข้อกล่าวหา” ถ้าผลการ”สอบสวน”เข้า”องค์ประกอบของกฎหมาย” ซึ่งก็ต้องติดตามว่า หากมีการ”ออกหมายเรียก” ผู้ที่ถูก “แจ้งความ” ให้มารับทราบ”ข้อกล่าวหา” จะมีการ”เคลื่อนไหว” อย่างไรจาก”ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น” และจะมีการ”ตอบโต้”ด้วยความ”รุนแรง” จาก”กองกำลังติดอาวุธ” หรือ”อาร์เคเค”หรือไม่ ที่สำคัญ” คือประชาชนผู้ไม่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้”รับเคราะห์” จาก สถานการณ์ความ”ขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นหรือไม่ และ หน่วยงานที่”เกี่ยวข้อง” จะป้องกันอย่างไร

 

มีการประชุมร่วมระหว่าง ปปช.สงขลา และ สำนักงานที่หลวง 18 จ.สงขลา เพื่อร่วมกันในการจับกุม”รถบรรทุกน้ำหนักเกิน” ซึ่ง โดยข้อเท็จจริงเป็นหน้าที่โดยตรงของ”ตำรวจทางหลวง”และ “ขนส่งจังหวัด” แต่ถ้า”สำนักงานทางหลวงที่ 18 กับ ปปช. จะมา”ร่วมแจม”ด้วย ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้”ค่าปรับ”เพิ่มขึ้น….แต่ไม่ได้ป้องกัน “ถนนพัง” เพราะการ”บรรทุกน้ำหนักเกิน” เพราะถ้าการ”บรรทุกน้ำหนักเกิน” เป็นเหตุให้”ถนนพัง” ถนนทุกสายของ”ประเทศไทย” คงจะพังหมดแล้ว เพราะรถบรรทุก”ส่วนใหญ่” บรรทุกเกินทั้งนั้น แต่ที่”ถนนพัง” เป็นเพราะมีการ”ทุจริต” จากการ”ก่อสร้าง” ….มีการตั้งข้อสังเกตการณ์ก่อสร้างของ”ชลประทาน” แห่งหนึ่งใน จ.พัทลุง ที่มีมูลค่า 113 ล้าน แต่มีผู้”ประมูลงาน”ได้ในราคา 66 ล้าน เป็นการ”ฟันราคา”เกือบ 50% มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า โครงการนี้ทำได้อย่างไร “ผู้รับเหมา” เป็นใครที่”ใจใหญ่” ขนาดนี้  เรื่องนี้”มีกลิ่น” ตั้งแต่เริ่มมีการ”ได้งาน” มีการตั้งข้อสังเกตว่า จำนวน “วัสดุ” ที่ต้องใช้เช่น”ดิน,หิน,ปูน,ทราย” มีการตั้งจำนวนสูงกว่าที่ต้อง”ใช้จริง” ในการก่อสร้างหรือไม่     เรื่องนี้ “อธิบดีกรมชลประทาน” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่างนิ่งนอนใจ ต้องทำการตรวจสอบให้ ชัดเจน

 

ในพื้นที่ จ.ปัตตานี มีหลายโครงการที่ ผู้บริหารจังหวัดคนก่อนๆ ใช้”งบประมาณ” ก่อสร้าง โน่น,นี่.นั้น” เอาไว้ แต่ ไม่ได้ใช้ปนระโยชน์ เช่น “ตลาดประชารัฐและ ตลาดกลางปศุสัตว์ ซึ่งถูก”ทิ้งร้าง” และอาจจะได้รับความ”เสียหาย” ถ้าไม่มีการ”ใช้งาน” เรื่องนี้ต้องฝากไปยัง”พาตีเมาะ  สดียามู” ผวจ.ปัตตานี คนปัจจุบัน ว่าจะมี”ช่องทาง” อย่างไรในการใช้ประโยชน์กับ สิ่งปลูกสร้าง ที่ถูก”ทิ้งร้าง” เอาไว้ในพื้นที่  เพราะเห็นแล้ว “เสียดาย” งบประมาณ “ และ”หดหู่ใจ” กับ”วิสัยทัศน์”ของ เจ้าของโครงการ….ดีใจนะ ที่ “สรรเพชญ บุญญามณี” สส.เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็น “สส.รุ่นใหม่” เข้าไปทำหน้าที่”ผู้แทนในรัฐสภา” ได้ทำการ”อภิปราย” เรื่องของ” อควาเรี่ยม”ที่ถูก”ทิ้งร้าง” เพราะการ”ทิ้งงาน”ของ”ผู้รับเหมา” กว่า 10 ปี หลังจากที่”ผลาญงบประมาณ” ในการก่อสร้างไปแล้ว 1,400 ล้านบาท   เพื่อให้ “รัฐบาลใหม่” เข้ามาแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องการ”หาคนผิด”มาลงโทษ” เพราะเรื่องนี้มีการ”ทุจริต” เกิดขึ้นจนต้อง”หยุดการก่อสร้าง” ปปช.ส่วนกลาง  สอบสวนไปถึงไหน มีใครที่”ยิ่งใหญ่” ในขบวนการ”ทุจริต” จึงทำให้คดีเดินต่อไม่ได้…..เช่นเดียวกับ โครงการก่อสร้างของการเคหะ แห่งชาติ  ( บ้านคนจน) ที่ จ.นราธิวาส ที่ถูก”ทิ้งงาน” จนกลายเป็นจุด”เช็คอิน” ถึงความไม่เอาไหนของผู้รับผิดชอบ เรื่องนี้ “สนั่น พงษ์อักษร” ผวจ.นราธิวาส ต้องทำการแก้ไขให้โครงการ”เดินหน้า”ไปได้ เพราะเป็นผลประโยชน์ของ”คนจน” รวมทั้งต้องหา”คนผิด” มาลงโทษตามกฎหมาย อย่างปล่อยให้เป็นเรื่อง”คาราคาซัง”แบบ”หาจุดจบ”ไม่ได้

 

และที่”ตั้งตระหง่าน” กลายเป็น”สิ่งปลูกสร้างรกร้าง” ที่ ริมถนนสาย”หาดใหญ่-พัทลุง ที่ อ.ป่าบอก จ.พัทลุง คือ อาคารแสดงสินค้าโอท็อป ที่สร้างเสร็จมาเป็น 10 ปี แต่ไม่เคยมีการเปิดใช้ ทราบว่าเป็นโครงการของ องค์กรบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง ก็ต้องถามไปยัง “วิสุทธ์ ธรรมเพชร” นายก อบจ.พัทลุง ว่า จะ”หาประโยชน์” อย่างไรกับ “อาคารใหญ่โต” ที่ถูก”ทิ้งร้าง” หรือจะปล่อยให้”ผุพัง” ไปตาม”กาลเวลา” อย่างนั้นหรือ อย่าลืมว่า”งบประมาณ”ในการก่อสร้างล้วนเป็น”ภาษีของประชาชน”นะ….สิ่งที่เกิดขึ้น อยากให้”กระตุกต่อมสำนึก” ของผู้บริหารองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่ต้องการ”ผลักดัน” การก่อสร้าง”หอชมเมืองหาดใหญ่” และ”พิพิธภัณฑ์คาบสมุทรสทิงพระ” ที่ต้องใช้”งบประมาณหลายพันล้าน” ท่ามกลางเสียงไม่เห็นด้วยของ”ประชาชน” เรื่องนี้ “ไพเจน มากสุวรรณ “ นายก อบจ.สงขลา และ คณะผู้บริหาร ต้องมีความ”รอบคอบ” ในการใช้”งบประมาณ” เพื่อความ”คุ้มค่า” และต้องฟังเสียง”คัดค้าน” ที่มีเหตุมีผล จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย….โดยเฉพาะ”พิพิธภัณฑ์คาบสมุทรสทิงพระ” ที่มีความ”พยายามในการผลักดัน” จะได้ประโยชน์ตรงไหน เพราะที่มีการก่อสร้างไว้แล้ว เช่น”สถาบันทักษิณคดีศึกษา” ของมหาวิทยาลัยทักษิณ ที่ตั้งอยู่ที่ “เกาะยอ” อ.เมือง สงขลา มีความเพียบพร้อมในความเป็น”รากเหง้า” ของ”ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคาบสมุทรสทิงพระ” ยังหาผู้คนไปชมไปไปศึกษาแทบนับกลุ่มนับคนได้ ถ้าจะมีการก่อสร้าง”พิพิธภัณฑ์คาบสมุทรสทิงพระ” ขึ้นมาอีก จะ”ดีกว่า”สถาบันทักษิณคดีศึกษา”ก็คงยาก และสถานที่ก่อสร้างใน อ.สทิงพระ จ.สงขลา  จะมีอะไรที่เป็นเหตุ”จูงใจ” ให้มีผู้คนเดินทางไปเยี่ยมชม นี่คือ”โจทย์ใหญ่” ที่ต้องไป”ขบคิด” ก่อนใช้งบประมาณ

 

นี่ก็เป็นเรื่องที่ ประชาชน ใน จ.ปัตตานี ตั้งคำถามมายัง  สำนักงานโยธาธิการ และผังเมือง จ.ปัตตานี กับงบประมาณ 75 ล้าน ในการติดตั้ง เสาไฟฟ้าแสงสว่าง 28 ต้น ริมแม่น้ำปัตตานี เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์  ที่สร้างเสร็จตั้งแต่ปี  2562  และส่งมอบให้กับ เทศบาลตำบลลูสะมิแลในปี 2564  และถูกทิ้งร้าง ไม่มีแสงสว่าง อุปกรณ์ถูกขโมยไปขายเหลือแต่โครงเสาและดวงไฟ ทั้งหมดเป็นความ”ผิดของใคร” และจะทำอย่างไรต่อไป  นี่ก็เป็นอีกงานหนึ่งที่”พาตีเมาะ สะดียามู” ผวจ.”หญิงแกร่ง” ของ จ.ปัตตานี ต้องให้คำตอบกับประชาชนและหาทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย….อีกเรื่องที่ต้องถือเป็นความ”ผิดพลาด” ของ”กรมศุลกากร” ที่ก่อสร้างทำการแห่งใหม่ของศุลกากรอำเภอสะเดา จ.สงขลา โดยใช้งบประมาณมหาศาลในการก่อสร้าง สร้างแล้วเสร็จมาร่วม 2 ปี แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะไม่มีถนนเชื่อม ระหว่าง ที่ทำการศุลกากร กับ ถนนสายหลักที่เป็น”ทางหลวงแผ่นดิน” และไม่สามารถเชื่อมกับศุลกากรประเทศมาเลเซีย เพราะไม่มีถนนเชื่อมต่อกัน มีข้อสงสัยว่า ก่อนจะก่อสร้างทำไม่จึงไม่มีการ”วางแผน” เรื่องการเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างถนน และการตั้งงบประมาณในการก่อสร้าง รวมทั้งการ”เจรจา”กับ”รัฐบาลมาเลเซีย” ในเรื่องของการ”เชื่อมต่อ” ทั้งหมดคือความ”เสียหาย” ทั้งในการ”พัฒนาเมืองชายแดน” และการใช้”งบประมาณ”ที่ไม่เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ  เรื่องนี้จะแก้อย่างไรก็น่าจะบอกให้กับประชาชนได้รับรู้ด้วย

 

ที่ผ่านมาก็เห็นแต่”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศอ.บต.)ที่มี” พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เลขาธิการ ศอ.บต. ที่ ประชุมประสานงานเพื่อ”บูรณาการ” กับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็เป็นไปอย่าง”เชื่องช้า” เพราะมีหลายหน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และ”ติดขัดเรื่องงบประมาณ” นั่นเอง…,เรื่องการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่”ผิดพลาด” และ”ขาดการวางแผนที่รอบคอบ” เช่นการก่อสร้างสนามบินเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ที่ใช้”งบประมาณไป 1,800 ล้าน แต่ สร้างแล้ว ไม่ได้ใช้ เพราะ”สายการบิน” ที่มา”ทดลองบิน” ไม่คุ้มทุน 1. คนใช้บริการน้อย 2. ต้องบินด้วยเครื่องบินเล็ก เพราะ”รันเวย์สนามบินสั้น”  และ 3. ราคาตั๋วแพง วันนี้ สนามบินเบตง จึงถูก”ทิ้งร้าง” ต้องมี”ค่าใช้จ่าย” ให้ เจ้าหน้าที่ ในการ เฝ้าอาคารที่ทำการ ซึ่งอาจจะ”เสื่อมเสีย” ไปตามวันเวลา เรื่องความ”ผิดพลาด” ที่เกิดขึ้นจากการ”พัฒนา” ที่เน้นแต่การใช้งบประมาณเพื่อการก่อสร้าง โดยไม่คิดถึงการใช้ประโยชน์ ควรที่จะมีการ”ทบทวน”ครั้งใหญ่ทั้งประเทศ …..การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องฝากให้ “รัฐบาลชุดใหม่” ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ที่ต้องมีความ”ชัดเจน” ในแผนการพัฒนา เช่นเรื่อง”เมืองต้นแบบแห่งอนาคต” ที่นำเสนอโดย “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้  (ศอ.บต.)  และผ่านความเห็นชอบของ “ คณะกรรมการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ” (กพต.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ “ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วันนี้ผ่านไปแล้ว 4 ปี โครงการนี้ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะถูกคัดค้านโดย”เอ็นจีโอ” จนรัฐบาล”  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ นายกรัฐมนตรี ต้องสั่งให้”ทบทวนใหม่” และให้”สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ( สศช.) เป็นผู้รับผิดชอบแทน ซึ่งการ”ขับเคลื่อน” โครงการนี้จาก” สศช” แทบจะไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ทั้งที่ ในพื้นที่ “นักลงทุน” และ”หอการค้า” ต่างแสดงความคิดเห็นและมีความ”ต้องการ” ที่จะให้โครงการเดินหน้า โดยเฉพาะเรื่องความต้องการ”ท่าเรือน้ำลึก” ที่เป็น”ท่าเรือน้ำลึก” ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งวันนี้ก็ต้องรอความ”ชัดเจน” จาก “รัฐบาลชุดใหม่” ว่าจะมีความ”จริงใจ” กับการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” แค่ไหน เพียงใด และยัง”หวาดกลัว” การ”ต่อต้าน”ของ”เอ็นจีโอ” หรือไม่

 

นี่ก็เรื่องของ”เอ็นจีโอ” ที่ “สนับสนุน” ให้”ชมรมประมงพื้นที่บ้าน” ใน 4 อำเภอของ จ.สตูล”เคลื่อนไหว” เดินทางไป”ชุมนุม” ที่ หน้าศาลากลางจังหวัดสตูล เพื่อ “กดดันให้รัฐ”ยกเลิกการทบทวนเขตทะเลชายฝั่งจังหวัดสตูล ซึ่งเรื่อง”เขตทะเลชายฝั่ง” เป็นความเห็นที่ไม่ตรงกัน “ระหว่างประมงพื้นบ้าน” กับ”ประมงพาณิชย์” ที่ต้องฟังความเห็นของทั้ง 2 ฝ่าย การที่จะให้มีการ”ยกเลิก” ต้องมีเหตุ มีผล ไม่ใช่ใช้การ”กดดัน” เพื่อให้ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว เรื่องนี้”นิพนธ์ เสนอินทร์” ประมงจังหวัด ต้องดำเนินการด้วยความ”รอบคอบ” เช่นเดียวกับ “ชาตรี ณ ถลาง “ รักษาการ ผวจ.สตูล ที่ต้องใช้”หาทางออก” ให้ผู้ชุมนุมได้เข้าใจ และเดินทางกลับบ้าน

 

เรื่องขบวนการ”ค้าน้ำมันเถื่อนในภาคใต้” ยังเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมี”ผลประโยชน์มหาศาล” ที่ จ.สุราษฎร์ธานี คือ”เส้นทางลำเลียงน้ำมันเถื่อนทางทะเล” ในการนำ”น้ำมันเถื่อน” จาก”เรือประมง” ขึ้นฝั่ง และใส่รถบรรทุกส่งขายจะทำได้ง่ายๆ …..ส่วนที่ สงขลา การขนน้ำมันเถื่อนจาก เรือประมงดัดแปลง” ส่งขายให้กับกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อน”ทางบก” รายใหญ่” ….ชื่นชม”เจ้าหน้าที่สรรพสามิต” อ.หาดใหญ่ ที่ทำการจับกุมผู้ค้า”บุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่” หลังที่ร้านเดิมถูกจับและมีเปิดใหม่ เจ้าของที่เป็น”นายทุนใหญ่” แว่วว่ามี”ลูกชาย” เป็น”ตำรวจ” แต่ไม่เคยทำหน้าที่”ตำรวจ” เพราะหน้าที่หลักคือ”เก็บส่วย” ให้กับ”เจ้านายส่วนกลาง” ตั้งแต่ “ภูเก็ต”จนถึง”สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส และนอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่ง”ตำรวจ” ใน จ.สงขลา อีกรายที่ไม่เคยทำหน้าที่”ตำรวจ” เป็น”นายทุนนำเข้าบุหรี่เถื่อนรายใหญ่”ของ จ.สงขลา เรื่องอย่างนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ “ ผบ.ตร. ต้อง”สะสาง” เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”กินเงินเดือนหลวง” แต่ไม่ทำงานให้หลวง”.ใช้ไม่ได้

 

”พิพนธ์ บุญญามณี” อดีต รมช.มหาดไทย จัดงานคล้ายวันเกิดที่บ้านพัก ต.เขารูปช้าง อ.เมือง สงขลา เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา มี ประชาชน มาร่วมอวยพร แสดงความยินดีอย่างคั่บคั่ง เป็นการ”ส่งสัญญาณ”ให้เป็นที่รู้กันว่า “นิพนธ์” จะกลับมาเดินบนเส้นทาง” การเมืองท้องถิ่น” ลงรับเลือกตั้งในตำแหน่ง” นายก อบจ.สงขลา อีกครั้ง หลังส่งให้”สรรเพชญ บุญญามณี” ลูกชาย”หัวแก้วหัวแหวน” เป็น สส. เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์  สำเร็จ…. ส่วน”คู่แข่ง” มีแน่ แม้ว่า”ไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ.ปัจจุบัน อาจจะ”วางมือ” แต่ก็ให้”จับตา” ที่”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อธิบดีกรมฝนหลวง เจ้าของโรงแรมใหญ่ใน ต.พะวง อ.เมือง สงขลา ที่”เดินสาย” เปิดตัว กับ ประชาชน และทำ “กิจกรรม” ทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นจริง ชาวสงขลา คงได้เห็น”ศึกช้างชนช้าง” อีกครั้ง…..ยัง”เล่นเกม” กันต่อไปสำหรับ”ประชาธิปัตย์” พรรคการเมือง”อดีตขวัญใจคนภาคใต้” ที่ต้องเลื่อนการเลือกตั้ง”หัวหน้าพรรค” จากวันที่ 23 ก.ค. ออกไปอย่างมีกำหนด เพราะมีการ”คัดค้าน”จากรองหัวหน้าพรรค 5 คน ที่ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มจำนวน “กรรมการภาค”ภาคละ 24 คน เพื่อใช้ในการ”โหวดเลือกหัวหน้าพรรค”และ”กรรมการบริหาร” ซึ่งมาจาก กลุ่มที่ต้องการดันให้ “นราพัฒน์ แก้วทอง” สส. จ.พิจิตร  เป็น “หัวหน้าพรรค” ก็ต้อง ติดตามกันต่อไปว่าเกมการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค  จะทำให้เกิดการ”แตกหัก” ของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ และหลังจากที่ กลุ่มของ”เฉลิชัย ศรีอ่อน” รักษาการเลขาธิการพรรค เป็นผู้”ชนะโหวต” อนาคตของ”ประชาธิปัตย์” จะเป็น”พรรคการเมืองระดับชาติ” หรือจะเป็น”พรรคการเมืองระดับท้องถิ่น” และที่ต้องจับตามองคือยังจะมี”ชวน หลีกภัย,บัญญัติ บรรทัดฐาน,อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ”จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์” อยู่ในพรรค หรือ “ล้างมือทางการเมือง” ใน”อ่างทองคำ”

 

มี แฟนๆ ของ “ดร.สามสี” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาของ”พรรครวมไทยสร้างชาติ” ว่าหลังการ”เลือกตั้ง” และ”รวมไทยสร้างชาติ” ไม่ประสพความสำเร็จในตัวเลข สส.ที่ประเมินไว้ และ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” รักษาการ”นายกรัฐมนตรี” ลาออกจากการเป็น สมาชิกพรรค ดร.ไตรรงค์ อยู่ที่ไหน ทำไมจึง”ตกเฟรมการเมือง” แฟนๆถามถึงด้วยความรักความเป็นห่วง…..มีคำถามจากคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ถ้าการ”โยกย้ายในวงการสีเขียว”ในวันที่ 30 กันยายน ศกนี้ “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” ได้ “ติดยศพลเอก” ใน ตำแหน่งที่ใหญ่กว่า “แม่ทัพภาคที่  4 “ ผู้ที่จะมาเป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อการ”ดับไฟใต้”

 

มี แฟนๆ ของ “ดร.สามสี” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาของ”พรรครวมไทยสร้างชาติ” ว่าหลังการ”เลือกตั้ง” และ”รวมไทยสร้างชาติ” ไม่ประสพความสำเร็จในตัวเลข สส.ที่ประเมินไว้ และ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” รักษาการ”นายกรัฐมนตรี” ลาออกจากการเป็น สมาชิกพรรค ดร.ไตรรงค์ อยู่ที่ไหน ทำไมจึง”ตกเฟรมการเมือง” แฟนๆถามถึงด้วยความรักความเป็นห่วง…..มีคำถามจากคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ถ้าการ”โยกย้ายในวงการสีเขียว”ในวันที่ 30 กันยายน ศกนี้ “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” ได้ “ติดยศพลเอก” ใน ตำแหน่งที่ใหญ่กว่า “แม่ทัพภาคที่  4 “ ผู้ที่จะมาเป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อการ”ดับไฟใต้” ที่มีงบประมาณให้บริหารปีละหลายหมื่นล้าน จะเป็นใคร “มองลอดแว่น”ดูแล้ว ถ้าเป็น”รองแม่ทัพ” ที่มีอยู่ในขณะนี้ก็มีเพียง 2 คน คือ” พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ และ พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ ที่เป็น “รองแม่ทัพภาค 4 “ ในปัจจุบัน ส่วนจะเป็นใคร เรื่อง”ฝีมือ” มีดีคนละอย่าง “ ….แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…”หลุมพรางการเมือง-นายกรัฐมนตรีคนที่ 30″

ไม่ไหวก็อย่าฝืน ในเมื่อ”โหวตนายกฯ” ครั้งที่ 2 ก็ไม่ผ่าน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล อย่าได้ฝืนต่อไป และต้องเลิกเอา”ประชาชน” มาเป็น”เกราะกำบัง” หรือเป็น”เครื่องมือ” เพื่อที่จะ”ลากถู”ประเทศไทยให้ติด”กับดัก” และ”หลุมพราง”ที่ฝ่าย”อนุรักษ์นิยม” ขุดเอาไว้” เพราะ”โหวตอีกกี่ครั้ง” ก็ไม่มีทางที่”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จะพา”ก้าวไกล”ไปถึง” ฝั่งฝัน” ของตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 ของประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้” พิธา” และ”แกนนำ”ของ”ก้าวไกล” รู้ดี แต่ต้องการ”เล่นเกม” ที่ยังมี”ช่องทาง” ให้”เล่นได้” เช่นการยื่นแก้” ม 272  เพื่อ” ปิดสวิทซ์”ของ “สว.” ที่เป็นเรื่อง”เพ้อฝัน” เพราะไม่มีทางสำเร็จ นอกจากเพิ่มความ”หงุดหงิด” ให้กับฝั่งของ”สว.” มากยิ่งขึ้น….. ณ วันนี้ “ก้าวไกล” และ”พิธา” ต้องเล่นบท”พระเอก” ผู้ที่ต้อง”เสียสละ” เพื่อประเทศชาติ และ”ประชาชน” ด้วยการ”ลดความขัดแย้ง “ และให้”ประเทศชาติ” เดินหน้าไปได้ โดยเปิดโอกาสให้”เพื่อไทย” จัดตั้ง”รัฐบาล” ที่มี”ก้าวไกล” เป็น”พรรคร่วม” และหาก” สว.” ยังไม่ยอม”โหวตให้” เพราะการไม่ยอมรับ”ก้าวไกล” เป็น”พรรคร่วมรัฐบาล”ก็จะเป็น”หน้าที่”ของ”ประชาชน” ที่จะต้อง”พิจารณา” ถึง”บทบาท หน้าที่” และ”พฤติกรรม” ของ” สมาชิกวุฒิสภา” ว่าเป็น”ที่เหมาะ ที่ควร” หรือไม่ อย่างไร….แต่ถ้า”ก้าวไกล” เล่นเกม” ด้วยการ”ถอนสมอ” ไปเป็น”พรรคฝ่ายค้าน” ก็จะเป็นการทิ้งให้”เพื่อไทย” ต้อง”ตกที่นั่งลำบาก” เพราะต้องหันไป”จับมือ” กับพรรคการเมือง”อีกขั้ว”เช่น”พรรคลุง,พรรคหนู,พรรคแมลงสาบ” ที่ในตอน”หาเสียง” พรรคเพื่อไทย” ประกาศว่า ถ้า”เพื่อไทย” เป็น”รัฐบาล” จะไม่ไป”สังฆกรรม” กับพรรคการเมืองเหล่านี้ ก็ต้องติดตามดูว่า”เกมการเมือง” ที่กำลัง”ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” เดินหน้า”หกล้ม” ถอยหลัง”สดุด” จะเดินไปในทิศทางไหน เพราะการจัดตั้งรัฐบาล” ยิ่งช้า” ยิ่งเป็นเรื่อง”หายนะ” ของประเทศและความ”ทุกข์ยากของประชาชน

 

โดยเฉพาะเรื่อง”ราคาน้ำมัน” ที่หลังวันที่ 21 ก.ค. เมื่อ”รัฐบาล”ของ”นายกรักษาการ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต่อ “นโยบาย” ในการลดภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซล ที่ลดให้ผู้ใช้น้ำมันลิตรละ 5 บาท ตั้งแต่เกิด”สภาวะน้ำมันแพง” ตั้งแต่เกิดสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” นั้นหมายถึงถ้า “กระทรวงพลังงาน” ทำหน้าที่แบบ”เกียร์ว่าง” เพื่อรอให้”รัฐบาลใหม่” เข้ามาแก้ปัญหา ราคาน้ำมันดีเซล ก็จะ”ทะยาน” เป็นลิตรละ 37 บาท และหากเป็นเช่นนี้หมายถึง”หายนะ” ทาง”เศรษฐกิจ”ของประเทศ เพราะ “ค่าขนส่ง” จะต้องมีการ”ปรับตัวเพิ่มขึ้น” และ”สินค้าทุกชนิด” ก็จะ”อ้าง” เรื่อง”น้ำมันแพง”เรื่อง”ค่าขนส่ง” ในการ”ปรับราคาขาย” เมื่อ”ต้นน้ำ-กลางน้ำ”ได้รับ”ผลกระทบคน”ปลายน้ำ” คือ”ประชาชน” คือผู้”รับเคราะห์” ที่ต้อง”แบกรับ” เอา”ต้นทุน” ของ”การผลิต”และ”ค่าขนส่ง”เอาไว้ทั้งหมด ซึ่ง ณ วันนี้”คนจน” ในประเทศต่างก็”เสดสา” กับ “สินค้า” ที่ราคามีแต่”แพงขึ้นๆ” และ”สุดท้าย” ทุกคนอาจจะซื้อ”ไข่ไก่” ฟองละ 5 บาท ในขณะที่”อาหารจานเดียว” บางพื้นที่ บางร้าน ขึ้นราคาที่จานละ 60 บาท และใน อนาคต อาจจะขายในราคา จานละ 80 บาท ก็ได้

 

ที่สำคัญ สำหรับ “เกษตรกรชาวสวนยาง” วันนี้ ราคาน้ำยางสด พ่อค้ารับซื้อ กิโลกรัมละไม่ถึง 40 บาท ในอดีตมี “สวนยาง “ 15 ไร่ เลี้ยงครอบครัวได้สบาย  วันนี้มีสวนยาง 30 ไร่ แต่”ทำไม่พอกิน” วันนี้”คนใต้” ที่พอจะมี”ทุนรอน” พากัน”โค่นต้นยาง”เพื่อ”ปลูกทุเรียน”กันยกใหญ่ เรื่องนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรอำเภอ เกษตรจังหวัด ควรให้ความรู้แก้ เกษตรกร ด้วย ไม่ใช่ ปล่อยให้มีการปลูกกันมากมาย จนสุดท้ายไป 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า เมื่อ”ทุเรียน” ราคา”ตกต่ำ” ต้องโค่นต้นทุเรียนทิ้ง” และ”ปลูกพืชชนิดใหม่กันอีกนะ….เรื่อง”ยางพารา” ราคา”ตกต่ำ” รัฐบาลชุดที่”รักษาการ” ใช้ นโยบาย ในการ “ประกันราคา”เพื่อช่วยชาวสวนยางในช่วงที่ราคายางตกต่ำ ขนาด”ช่วยแล้ว” ชาวสวนยางยัง”เดือดร้อน” ถ้า”รัฐบาลใหม่” เข้ามา แล้วไม่ใช้นโยบาย”ประกันราคา” ชาวสวนยางจะ”เดือดร้อน”ขนาดไหน และนี่ก็เป็น”โจทย์ใหญ่” ที่”ท้าทาย” ความสามารถของพรรคการเมืองที่จะเข้ามาเป็น”รัฐบาล” ซึ่งวันนี้มีเสียงจาก”ชาวสวนยาง” ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ออกมา”เอะอะมะเทิ่ง”ถึง”พรรคประชาชาติ” ว่าไม่ช่วยเหลือเรื่อง ของ”ราคายางที่ตกต่ำ”ปัดโธ่”  รัฐบาลยังตั้งไม่ได้ และถ้าตั้งได้ก็ยังไม่รู้ว่า”พรรคไหน” จะเป็นผู้ดูแล”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” แล้วจะมา “เรียกร้อง”อะไรในตอนนี้  แต่ก็เห็นนะ เห็น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรคประชาชาติ นำคณะเข้า พบปะ หารือ กับ “ผู้รู้”  และผู้มี”หน้าที่” ในเรื่องปัญหาของ”ราคายางพารา”อยู่ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาให้”ชาวสวนยาง” อย่างที่”หาเสียง” เอาไว้   เรื่องนี้ สส. ในพื้นที่ต้อง”ทำความเข้าใจ”กับ”ประชาชน”

 

เขียนถึงเรื่อง”น้ำมันแพง” เพราะจะเลิก”อุดหนุน”ของ”กระทรวงการคลัง” ที่ให้”กรมสรรพสามิต” หยุดการจัดเก็บภาษีน้ำมันลิตรละ 5 บาท เมื่อ”กรมสรรพสามิต” จะทำการจัดเก็บภาษีในอัตราเดิม ที่จะทำให้ ราคาขายน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากเดิมลิตรละ 5 บาท นี่หมายถึงในกรณีที่”รัฐบาลรักษาการ”ของ”ลุงตู่” ไม่มี “นโยบาย” ในการ”เอาเงิน” จาก”กองทุนน้ำมัน” เข้าไป”แทรกแซงราคา” ก็จะทำให้”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” ในประเทศ”กระดี้กระด้า” กันอย่างแน่นอน การ”นำน้ำมันเถื่อน” จาก”อ่าวไทย” จาก”อันดามัน” ขึ้นบก จะทำกันอย่าง”เป็นล่ำเป็นสัน” การนำน้ำมันจาก”ประเทศมาเลเซีย”  เข้ามาทางชายแดน “ ปาดังเบซาร์” และ”สำนักขาม” อ.สะเดา และ “บ้านประกอบ” อ.นาทวี จ.สงขลา และจาก”ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล จาก อ.สุไหงโก-ลก อ.แว้ง อ.ตากใบ จ.นราธิวาส จะต้อง”คึกคัก” เป็นพิเศษ เพราะราคาน้ำมัน ดีเซล และ เบนซิน ในประเทศมาเลเซีย ลิตรละ 16 บาท ส่วนน้ำเถื่อนที่มาจาก”ทะเลอ่าวไทย” ซึ่งเป็นทั้งของ”มาเลเซีย และ สิงคโปร์” ก็ลิตรละไม่เกิน 18 บาท ก็ต้องถามว่า “กรมสรรพสามิต –กรมศุลกากร” และ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ที่มี”สอบสวนกลาง” กำกับดูแลตำรวจน้ำ และมี”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต..สุรเชษฐ์ หักพาล  รอง ผบ.ตร. ที่”ถืออำนาจ” ในการเป็น “หน.ศ.ตร.ปนม.” ซึ่งมี กำลัง และมี อำนาจ และมีเงิน สนับสนุนจาก ปตท.ปีละ 100 ล้านบาท  ในการ ป้องกับปราบปรามการค้าน้ำมันเถื่อนทั่วประเทศ”มีแผนในการตั้งรับ”อย่างไร กับ “ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติ” ที่มี”นักการเมือง” และ”เครือข่าย” ทั้ง”ระดับชาติ “และ”ท้องถิ่น” อยู่เบื้องหลัง

 

ที่ผ่านมาในเดือน กรกฎาคม มีการ”จับกุม” ผู้ค้าน้ำมันเถื่อน”รายใหญ่” ได้ทั้งทางน้ำและทางบกใน จ.นครศรีธรรมราช ใน จ.ตรัง หลายแสนลิตร ซึ่งรายงานข่าวระบุว่าเป็นของกลุ่ม”นักการเมือง”ซึ่งมีการ”นินทา” กันว่ามีทั้งการ”จับจริง” และจับเพื่อ”สร้างภาพ” เพราะมีบางรายการ ที่”ตรวจยึด”ได้ “ของกลาง” 12,000 ลิตร แต่ให้”ผู้ต้องหา” จ่าย”ค่าปรับ” เพียง 5,000 ลิตร แบบนี้เขาเรียกว่ามีการ”ซูเอี๋ย” กันใช่หรือไม่…..และที่มีการ”นินทา” ในวงการค้าน้ำมันเถื่อนว่า กรณีที่ เจ้าหน้าที่ ทำการจับน้ำมันเถื่อน”กลางทะเล” เมื่อหลายวันก่อน มีการ”เคลียร์ใต้โต๊ะ” ก่อนที่ให้เจ้าของนำ”ของกลาง” ขึ้นฝั่งไปขายให้กับลูกค้า…..ส่วนที่ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ข่าวว่า “เชาว์ เฉลิมพระเกียรติ “ นายด่านศุลกากรปาดังเบซาร์  มีนโยบาย เข้มงวด ไม่ให้”ของเถื่อน” และ”น้ำมันเถื่อน” ถูกนำเข้ามาแบบ”ไหลลื่น” ทำให้ “ผู้ค้า” ต้อง”นำเข้า”ทางอื่นแทน….แต่ที่ต้องติดตาม และนำมา”ฟ้อง” อธิบดีกรมศุลกากร คือ ขบวนของรถบรรทุก”หัวลาก” ที่ วิ่งระหว่างไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์” ยังมีการ นำน้ำเถื่อนจากมาเลเซีย เข้ามา”จำหน่าย” ให้กับ”คอกน้ำมัน” ในพื้นที่ของ อ.สะเดา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อย่างเป็น”ขบวนการ” โดยมี”ไอ้โม่ง” ที่อ้างว่าเป็นคน”ในเครื่องแบบ” ทำการ”ไฟเขียว” ให้ ขบวนการ”หัวลาก” ขนน้ำมันเถื่อนอย่างเต็ม”คาราเบล” รถหัวลากคันไหนมีปัญญาที่จะขยายถังน้ำมันจาก 500 ลิตร เป็น 1,000 ลิตร ก็ทำไป มีปัญญา เข้า-ออก วันละกี่เที่ยวก็ได้   นี่แหละที่บอกว่า”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” คือ”เชื้อชั่วที่ไม่เคยตาย”

 

อีกเรื่องในภาคใต้ที่น่าเป็นห่วง คือเรื่องของ”พืชกระท่อม” ซึ่งในอดีตที่”พืชกระท่อม” ยังเป็น “ยาเสพติดประเภท 5 “ ราคา ซื้อ-ขาย ใบกระท่อมอยู่ที่ กิโลกรัมละ 400 บาท แต่ หลังมีการ”ปลดล็อค” ให้”พืชกระท่อม” พ้นจากบัญชียาเสพติด  และมีการ”ส่งเสริม” ให้ “เกษตรกร” ปลูก”กระท่อม” กันทั้งบ้านทั้งเมือง วันนี้”พืชกระท่อม” กำลัง”ล้นตลาด” ราคาซื้อ-ขาย อยู่ที่ กิโลกรัมละ 80 บาท และ มี แนวโน้มว่า อีกไม่นาน เมื่อ “ผลผลิต”รุ่นที่ 2 ที่ 3 ออกสู่ตลาด “พืชกระท่อม” หรือ”ใบกระท่อม” จะเหลือเพียง กิโลกรัมละ 40-50 บาท ใครที่เคยบอกว่า”ปลูกพืชกระท่อมแล้วรวย” เป็นการ”คิดผิด” และนอกจาก”คิดผิด” วันนี้”พืชกระท่อม” กำลังสร้างปัญหาให้”หายนะ” ครั้งใหญ่ ให้กับคนไทยทั้งประเทศ เพราะ วันนี้ จำนวน ผู้”เสพติดน้ำกระท่อม” มากขึ้นอย่างน่าตกใจ และ”น้ำกระท่อม” ทั้งที่มีผู้”วางขาย” เต็มบ้านเต็มเมือง” และ”น้ำกระท่อม” ที่ ต้มกินกันเองในครัวเรือนต่างมีส่วนผสมของ”ยาแก้ไอ” และ อื่นๆ ที่เรียกว่า” สี่ คูณ ร้อย” โดยที่ “เจ้าหน้าที่ไม่กล้าจับกุม เพราะ”กระท่อม” ไม่ใช่ยาเสพติด และ ถ้าจับกุม”น้ำกระท่อม”ที่ผสม”ยาแก้ไอ”และ”สารอื่นๆ” ต้องนำส่งเพื่อ”ตรวจสอบ” เป็นเรื่องยุ่งยากทาง”ปฏิบัติ” และทาง”กฎหมาย”…..แต่”น้ำกระท่อม” ที่เป็น”สี่คูณร้อย” ถ้า ดื่มกินอย่างเสรี ไม่มีการ”บันยะบันยัง” ในระยะยาวเป็น”อันตราย” ต่อ”สุขภาพ ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อนี่คือ”หายนะทางสุขภาพ” ของประชาชน ที่”รัฐต้องจ่ายค่ารับผิดชอบในเรื่องการ”รักษาพยาบาลซึ่งเป็น”รายจ่าย” ของ”งบประมาณแผ่นดิน”นี่คือปัญหาระยะยาวของ”รัฐบาลใหม่” ที่ต้องเข้าไปให้ความสำคัญ

 

และอีกเรื่องที่เป็น”หายนะ”ทาง”สังคม” นั้นคือเรื่องของ”ยาเสพติด” ที่ระบาดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ โดยเฉพาะที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็น”ประตู”ไปสู่ประเทศมาเลเซีย ที่กลายเป็น”ตลาดขนาดใหญ่” ของการ”ค้ายาเสพติด” และจำนวน”ผู้เสพ” ที่มากขึ้นทุกขณะ ข่าว “ปิตุฆาต-มาตุฆาต” และการทำร้ายคนใน”ครอบครัว” การ ทำร้ายคนในสังคม เพราะ”ติดยา” กลายเป็นข่าวที่”ธรรมดา”ไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่”รัฐบาลใหม่” ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ต้องมี”นโยบาย” ที่ชัดเจน ว่าจะ ดำเนินการอย่างไรกับ”หายนะทางสังคม” ที่ยิ่งนานวันยิ่งรุนแรง…..เรื่องที่การนำ”ผู้แสวงบุญ” จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไป”ลอยแพ” ที่ “กรุงเมกกะ” ประเทศซาอุดีอาระเบีย มีให้เห็นทุกปี ปีนี้ก็เช่นกัน มี บริษัท ที่นำ”ผู้แสวงบุญ” ไป”ลอยแพ” จำนวนหนึ่ง สืบค้นแล้ว พบว่า”บริษัทดังกล่าว” ที่ตั้งตามที่ขอ”อนุญาต” ก็ไม่มี ก็ต้องถามว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบทำไมจึงไม่มีการ”ตรวจสอบ” ให้ถูกต้องก่อนให้”บริษัท”ดังกล่าวได้รับ “อนุญาต” ให้นำผู้คนไป”แสวงบุญ” และ หลังเกิดเหตุการณ์”ลอยแพ” ก็หา หน่วยงานรับผิดชอบไม่ได้

 

เรื่องของการดำเนินคดีกับ”ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” ที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” โดย”  พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค “ แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  สั่งให้ฝ่าย”กฎหมาย” ดำเนินการกับ”นักศึกษา” และ”ภาคประชาสังคม”รวมทั้ง”คณะบุคคล” ที่เกี่ยวข้องตาม”กฎหมาย” ในฐานที่มีความคิดในการ”แบ่งแยกดินแดน” วันนี้ “พนักงานสอบสวน” ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ หลักฐาน พยาน ที่ฝ่าย”กฎหมาย” ของ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ส่งมาให้ และยังไม่มีการให้รายละเอียดว่า “หลักฐาน” ที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ส่งมา ครบ”องค์ประกอบ” ของความผิดดังกล่าวหรือไม่….ขณะที่ “ผู้นำภาคประสังคม” ที่ร่วมอยู่ในขบวนการการจัดทำ”ประชามติจำลอง”เพื่อการ”แบ่งแยกดินแดน” ในครั้งนี้ มี”สายตรง” ให้ “นักศึกษาทุกคน”ให้การกับ”พนักงานสอบสวน”ว่า ผู้ที่”สนับสนุน” ให้จัด”เสวนา” และ”การ”จำลอง” การลง”ประชามติ” คือ”ภาคประชาสังคม ที่ พวกตนเป็นผู้นำ นี้คือการ”เปิดหน้าเล่น” ใน”เกมการเมือง”ของ”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น”ที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องตามให้ทัน และไม่เดินไป”ตามเกม” ที่ถูก กำหนดให้เดินไปสู่”หลุมพราง” ที่วางไว้…..ที่สำคัญ ที่”ภาคประชาสังคม” เตรียมการไว้เพื่อการ”หักล้าง” กับการกล่าวหาของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต่อ “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ”และ”ภาคประชาสังคม” คือ เรื่องการ”เสวนา”และการทำ”ประชามติจำลอง” เพื่อการ”แบ่งแยกดินแดน” เมื่อปี 2556 ก็เคยมีการจัดโดย” ดร.มาร์ค ตามไทย “ ที่เป็นผู้ร่วม”เสวนา” ในครั้งนี้ด้วย และมีการจัดครั้งที่ 2 เมื่อปี  2559  โดยทีมงานของ “โคทม อารียา” ซึ่งหาก”เอาผิด”กับ”ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ”  กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้อง”ย้อนกลับ”ไปเพื่อ”เอาผิด” กับผู้ที่จัดก่อนทั้ง 2 คณะ เพราะเรื่องนี้มีอายุความถึง 20 ปี เห็น “เกมกล” ที่”ภาคประชาสังคม” เปิดไพ่ออกมา ก็เห็นแล้วว่า”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เหนื่อยแน่

 

ส่วนในด้านความรุนแรง ล่าสุด “ทหารพราน” ที่ บ้านอุแบ ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา คือ”เป้าหมาย” ของ”ระเบิดแสวงเครื่อง”  เสียชีวิต 1  บาดเจ็บ 2 ก็แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย และผู้บาดเจ็บ หน้าที่หลักของ”แม่ทัพ-นายกอง” คือการ “รดน้ำศพ วางพวงหรีด และ”จ่ายเงิน” เพื่อ”เยียวยา” เศร้า” กับ สภาพที่เห็นจน”ชินตา” เป็นเวลา 19 ปี แล้ว….และที่สำคัญคือการที่ คนทั้งหมู่บ้าน ที่ร่วมกันในการ”แห่แหนศพ” ของ “แนวร่วม” ที่ถูก”วิสามัญ” จาก”เจ้าหน้าที่รัฐ  ที่แสดงให้เห็นว่า ประชาชน จำนวนมาก ในพื้นที่ ยืนอยู่กับ”แนวร่วม” ของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” โดยไม่ได้ให้ความสนใจว่าผู้ถูก”วิสามัญ” เป็น”คนร้าย” เป็น”ฆาตกร” ที่ ฆ่า ประชาชน ฆ่า เจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำผิด”กฎหมาย” แต่ในสายตาของ”ชาวบ้าน” คนที่ถูก”วิสามัญ” คือ”วีรบุรุษ” และเป็น “นักรบ” ผู้”พลีชีพ” เรื่องนี้กำลังกลายเป็นเรื่องที่”ชินตา”  และเป็นเรื่อง”ปกติ” ในพื้นที่ ซึ่งก็ต้องถามไปยัง”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ( สมช.) และ “กอ.รมน.ภาค 4  ส่วนหน้า” ว่า คิดอย่างไร และจะ แก้อย่างไร เพราะถ้าการตายของ”แนวร่วม” ยังได้รับการ”ยกย่อง” แบบนี้ในทุกหนทุกแห่ง เชื่อได้อย่างไรว่า”ไฟใต้จะมอดดับ” และสถานการณ์ดีขึ้น” ฝัน” หรือ”หลอก” ตนเองกันหรือเปล่า ท่านผู้รับผิดชอบทั้งหลาย

 

เรื่องของ”หอชมเมือง” ที่กำลังถูก”คัดค้าน” จากคนใน เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลาในขณะนี้ ยังเป็น”ประเด็นร้อน” เพราะสถานที่จะมีการก่อสร้าง ไม่มีความเหมาะสม สร้างแล้วอาจจะเป็นการ”สูญเสียงบประมาณ” โดยใช่เหตุ รวมทั้ง ลึกๆ แล้ว ผู้บริหารเทศบาลนครหาดใหญ่ ก็ไม่เห็นด้วย แต่”เจ้าของงบประมาณ” คือ”องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา”อยากจะให้สร้าง เรื่องนี้มีอะไรอยู่เบื้องหลัง และ” ไพเจน มากสุวรรณ์” นายก อบจ. คิดเห็นอย่างไร ทำไมจึงไม่ฟังเสียงคัดค้านของ ประชาชน…..เรื่องที่”คนสงขลา” และ องค์กรเอกชน ที่มีอยู่ มากมาย ควรจะช่วยกัน”คิดช่วยกันทำ” หรือ เสนอ”ทางออก” คือ เรื่อง”อควาเรี่ยม” ที่ เชิงสะพานติณสูลานนท์” อ.เมือง จ.สงขลา  ซึ่งกรมอาชีวะศึกษา เจ้าของโครงการ สูญเสียงบประมาณในการก่อสร้างไปแล้ว 1,400 ล้าน แต่สร้างไม่เสร็จ และถูก”ทิ้งร้าง” จาก”ผู้รับเหมา” ไปแล้ว 10 กว่าปี จนกลายเป็น”ประติมากรรมหอยสังข์อัปยศ “ ที่ตั้ง”ตระหง่าน”และไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้  และวันนี้ จ.สงขลา มี “ผู้แทน” ทั้ง”เก่า-ใหม่” ที่ได้รับการ เลือกตั้งเข้าสภาฯ ถามว่า”ท่านผู้ทรงเกียรติ” คิดเห็นอย่างไร กับปัญหา”อควาเรี่ยม” ที่ถูก”ทิ้งร้าง”

 

วันที่ 23 ก.ค. พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมือง”เก่าแก่” แต่”ทุบถอง”กันเหมือน”อนุบาล” จะมีการประชุมใหญ่ เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทน”จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์”ที่”แพ้ภัยการเลือกตั้ง” ที่ผ่านมา ซึ่ง”กูรู” ทาง”การเมือง” อดีตคน”ประชาธิปัตย์” ในภาคใต้อย่าง”นิพิษฎ์ อินทรสมบัติ” กล่าวว่า ถ้า”ประชาธิปัตย์” ต้องการที่จะ”ฟื้นฟู”พรรคให้กลับมาเป็นพรรคการเมือง”ระดับประเทศ” ก็ต้องเลือก”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นหัวหน้าพรรค และต้อง”อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ด้วยการเป็น”พรรคฝ่ายค้าน” เพื่อการ”คืนฟอร์ม” ของ”ประชาธิปัตย์” และถ้าผิดไปจากนี้ โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้”หัวหน้าพรรคที่พรรษาน้อย” และมุ่งหวังเพียง”ร่วมรัฐบาล” สมัยหน้า “ประชาธิปัตย์” อาจจะเป็น”พรรคต่ำสิบ” ซึ่งก็”สอดคล้อง”กับ”เกจิ” ทางการเมืองหลายท่านในภาคใต้ ที่มอง”ประชาธิปัตย์” ด้วยความเป็นห่วง เพระเห็น”รายชื่อ” ของ “หัวหน้าพรรค” และกรรมการบริหารพรรค แม้จะมี”คนหนุ่มคนสาว” เข้ามาบริหาร แต่ก็ถามว่าแล้ว”จุดขาย” ของ”ประชาธิปัตย์” ในการ”ฟื้นฟูพรรค” คืออะไร มีมั้ย และ “จริงหรือไม่” ที่มีการ”ลือให้แซด” ในวงการเมืองว่า “ผู้นำพรรครุ่นใหม่” ต้องการเพียงการ”เข้าร่วมรัฐบาล” และจอง”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ไว้แล้ว เอ๊ะ กระทรวงนี้มี”อะไรดี” จึงเป็นที่”หมายปอง”กันนักหนา

 

ย้ายนอกฤดูกาล กฤชณัทท พลรัตน์ นายอำเภอนาหม่อม จ.สงขลา ย้ายไปเป็น นายอำเภอ จะนะ จ.สงขลา อำเภอนี้เป็น”ทางเสือผ่าน” ที่ฝ่ายปกครอง มักจะมีปัญหาในเรื่องของการ”จับกุมสินค้าเถื่อน” เพราะ”เนื้อเถื่อน-บุหรี่เถื่อน” ใช้ เส้นทางนี้ผ่านไปยัง จ.ปัตตานี-ยะลา …..ในบางพื้นที่ของ จ.สงขลา นอกจากจะมีการเปิดบ่อนไฮโลโปปั่น และเรื่องของการพนัน”หวยสัตว์” ที่มีการ”มอมเมาประชาชน” แล้วยังมีเรื่องของ”ยาเสพติด” ที่มีการระบาดไปทุก”หย่อมย่าน” ฝากถึง พล.ต.ต.วารา เวชชาภินันท์ ผบก.ภ.จว.สงขลา สั่ง”ขันน๊อต” ตำรวจน้อยใหญ่ ที่นั้นด้วย…..เรื่องของ”จุดตรวจ จุดสกัด ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยังเป็นประเด็นที่มีการ”ดราม่า” กันบ่อยมาก เพราะ “ประชาชน” ในพื้นที่ไม่เห็น”ประโยชน์” และเห็นว่าเป็น”สิ่งกีดขวาง” ล่าสุดมีการใช้”โชเชียล” โจมตีจุดตรวจในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลาว่า มากเกินจำเป็น  ก็ให้เห็นใจ พ.ต.อ.ระนน สุระวิทย์ ผกก.สภ.บันนังสตา ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มีการ “ก่อเหตุร้าย” จาก”แนวร่วม” เป็นระยะๆ ก็

อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยังเป็น”เส้นทาง”ของการส่งยาเสพติดเข้าสู่”ประเทศมาเลเซีย” ล่าสุด พ.ต.อ.ศุภชัช ณ พัทลุง ผกก.สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส โชว์ฝีมือ  ยึดได้”ยาไอซ์” 5 กระสอบ 104 กิโลกรัม เสียดายที่”คนร้าย” วิ่งหนีไปได้ทั้งแก็งค์ ….. เศรษฐกิจของ สปป.ลาว ทรุดหนัก “เงินกีบ” กลายเป็น”เงินขยะ” วันนี้ ชาวลาว เดินทางเข้าประเทศไทย ทั้งที่เข้ามาทำงานแบบมีใบ”อนุญาต” และแบบ”หลบหนีเข้าเมือง” เต็มไปหมด โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆของภาคใต้ นี่คือปัญหา”โลกแตก” ที่ ประเทศไทยต้อง”แบกรับ” แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลายเป็นที่”ตักตวงผลประโยชน์” ของ”นายจ้าง” ที่ได้”แรงงาน”ในราคาถูก แต่”ซ้ำเติม” ให้คนไทย”ตกงาน” และ “เจ้าหน้าที่บางกลุ่ม” มีการ”เก็บค่าหัว” ผู้ที่เข้ามาแบบ”เถื่อนๆ” เป็น”รายหัว” ก็ต้องถาม “พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข” ผบก.ตม.6 จะทำอย่างไรกับเรื่อง”ส่วยคนเถื่อน”. และถาม กระทรวงแรงงานว่า จะทำอย่างไรกับการแย่งอาชีพของ”ต่างชาติ”….นี่ก็เรื่องใหญ่ของภาคใต้ หรือของ ประเทศไทย คือเรื่อง”โรงงานแก๊สเถื่อน” ที่มีอยู่จำนวนไม่น้อยในแต่ละจังหวัด หน่วยงานไหนที่เกี่ยวข้อง อย่าทำเฉยๆ  เพราะ โรงงานเถื่อน” เหล่านี้ อาจจะไม่ได้”มาตรฐาน” และ”เกิดระเบิด” สร้างความ”สูญเสีย” ให้เกิดขึ้น  เรื่องนี้ “กรมธุรกิจพลังงาน” และ” อุตสาหกรรมจังหวัด” เกี่ยวข้องหรือไม่ ถ้า”เกี่ยวข้อง” ก็อย่างนิ่งนอนใจอย่าให้เป็นเรื่อง”วัวหายล้อมคอก”  แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

 

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา ‘พิธา’หักด่าน ‘ลับ-ลวง-พราง’ตั้งรัฐบาลได้หรือไม่!

การเมือง”ร้อนฉ่า” เมื่อ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง”( กกต.) มีมติส่ง กรณีการ”ถือหุ้น ไอทีวี”ของ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีราชชื่อ และ หัวหน้าพรรคก้าวไกล  ต่อ”ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้มีการ”วินิจฉัย”ว่า”สมาชิกภาพ”ของ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.บัญชีรายชื่อ” ที่เป็น”แคนดิเดด” นายกรัฐมนตรี เพื่อ”วินิจฉัย หรือ ”ตีความ” ถ้ามีความผิด”ตามฟ้อง” ก็จะ”พ้นจากตำแหน่ง สส.” วืด” จากการเป็น”นายกรัฐมนตรี” ทันที….ถ้า ศาลรัฐธรรมนูญ” สั่งให้” พิธา “ลิ้มเจริญรัตน์” หยุด “ปฏิบัติหน้าที่”ในขณะที่อยู่ระหว่างการเดินหา”โหวต” จาก” สภาผู้แทนฯ”การ “ เดินหน้า” เพื่อการดำเนินการ จัดตั้ง”รัฐบาล” จึงไม่เป็นไปตาม”ไทม์ไลน์” ตามที่ 8 พรรคการเมือง”ขั้วรัฐบาล” ต้องการ และ เนื่องจาก” “คอลัมน์นี้” เขียนเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม จึงไม่กล้าที่จะ”วิพากษ์วิจารณ์”  เพราะ”การเมือง” เป็นเรื่อง”กลิ้งกลอก” เหมือน”ลิงหลอกเจ้า” แถมยังเรื่อง”ลับลวงพราง” เข้ามาอีก ดังนั้น จึงต้องรอคำ”วินิจฉัย”จาก”ศาลรัฐธรรมนูญ” ก่อนที่”การเมือง” การจัดตั้ง”รัฐบาล” จะ”เดินหน้า” ไปได้หรือไม่” ถ้าคำ”วินิจฉัย”ของ”ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นโทษ กับ “พิธา ลิ้มเจริญรัฐ” การจัดตั้ง”รัฐบาล” ก็ต้องเริ่ม”นับหนึ่งใหม่” ละ”ตัวแปร” ก็จะเป็น”พรรคเพื่อไทย” ในการเป็น”แกน”การจัดตั้ง”รัฐบาล”

 

แต่ที่ แน่ๆ วันนี้”นี้”ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “รักษาการนายกรัฐมนตรี “ยื่นใบลา” ออกจาก”การเป็น “สมาชิก” ของพรรครวมไทยสร้างชาติ และ”วางมือ” ทาง”การเมือง” เรื่องนี้ถ้า”บิ๊กตู่” คิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว ก่อนการ”เลือกตั้ง” การ”วางมือของ”บิ๊กตู่” จะ”สง่างาม”กว่านี้มากนัก  แต่ถึงอย่างไรวันนี้”บิ๊กตู่”ยังทำหน้าที่”นายกรักษาการ” เพื่อรอ”รัฐบาลใหม่” ที่จะเข้ามา”รับช่วง”ในการบริหารประเทศต่อไป แต่เมื่อ”เกมการเมือง” ที่ดูๆแล้ว การ”จัดตั้งรัฐบาล” อาจจะต้องมีการ”ตั้งเกมกันใหม่”  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะ”รักษาการยาว” และเป็นผู้ทำหน้าที่ ในการ”แต่งตั้ง โยกย้าย” ใน”กองทัพ” และ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” เป็นการ”จัดวางคน” ที่เป็น”น้องนุ่ง” เพื่อวาง”รากฐาน” ที่ต้องการ ก่อนที่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะ”วางมือทางการเมือง” เพื่อไป”ทำหน้าที่อื่น”ของประเทศ

 

ประเด็นปัญหาที่ต้อง”จับตามอง” คือเมื่อ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล สส.บัญชีรายชื่อ และ”แคนดิเดด” นายกรัฐมนตรี ถูก “กกต.” ยื่น”ศาลรัฐธรรมนูญ” ตีความ เพื่อให้”พ้นจากตำแหน่ง สส.” บรรดาผู้สนับสนุน ประชาชน ที่เลือก ผู้สมัครของ” ก้าวไกลจนได้ “สส” มาเป็น อันดับหนึ่ง และ”สาวก” ที่เป็น”ด้อนส้ม” จะมีการ”เคลื่อนไหว” ออกมาเพื่อ”กดดัน” ต่อ”ศาลรัฐธรรมนูญ” อย่างไร หรือไม่ ประเด็นนี้ ต้องติดตาม แต่  ฝ่ายความมั่นคง รวมทั้ง “ตำรวจ” คงมีการ”เตรียมพร้อม” ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ก็ถือเป็นเรื่อง”เหนื่อย” ก่อนที่จะ”เกษียณอายุราชการ” ของ” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์” ผบ.ตร……ก็ได้แต่”หวังว่า” ประเทศไทยจะไม่ถึง”ทางตัน” และ “มวลชน” ทุกฝ่ายต้องฟัง”เหตุผล” และยอมรับใน”กติกา” ของการ”ตรวจสอบ” เพื่อรอ”ศาลรัฐธรรมนูญ” ชี้ขาดในกรณี”ถือหุ้นไอทีวี” ของ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แต่นั้นแหละถ้า”พิธา” รอดพ้นจาก”บ่วง” ของ”ไอทีวี” ก็ยังมี”บ่วงกรรม” รออยู่อีก”หลายบ่วง”…… ส่วน พรรคประชาธิปัตย์ การประชุมเพื่อ”เลือกตั้ง”หัวหน้าพรรคคนใหม่ แทน”จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ที่”ลาออก” เพราะ”ล้มเหลว” จากการเลือกตั้งที่นำพรรคประชาธิปัตย์ไปไม่ถึง”ฝั่งฝัน” จากการที่”ประเมิน”ว่าจะได้ สส.ทั้งประเทศ มากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว จำนวน 52 คน เหลือเพียง 26 คนไม่เป็นไปตามที่ “คาดหวัง” โดยเฉพาะที่”ภาคใต้” ซึ่ง”คาดหวัง” ว่าจะได้ 35 ที่นั่ง ก็”เหลวเป๋ว” จึงกลายเป็น หัวหน้าพรรคคนที่ 2  ที่ต้อง”พ้น” จาก”หัวหน้าพรรค”หลังไม่ประสบความสำเร็จในการ”เลือกตั้ง” เช่นเดียวกับ”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีต หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่”ล้มเหลว” ในการ เลือกตั้ง เช่นเดียวกัน

 

แต่”ประชาธิปัตย์” ก็คือ”ประชาธิปัตย์” ที่”ฟัดกันนัวเนีย” และการประชุม”ล่ม” โดยไม่สามารถตกลงกันได้ ต้องมีการนัดประชุมกันใหม่ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ แต่เท่าที่รู้ ฝั่งของ”เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี”สส.อยู่ในมือมากที่สุด สนับสนุนให้”นราพัฒน์ แก้วทอง” รองหัวหน้าพรรค  ขึ้นเป็น”หัวหน้าพรรคคนใหม่” ส่วนฝั่งที่สนับสนุน”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรค ไม่เห็นด้วย จนเป็นเหตุมีการ”เล่นเกม” จน”องค์ประชุมไม่ครบ” ต้องเลิกประชุมในที่สุด…..และถ้า “เกมการเมือง” ในพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปตามที่ฝั่งของ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็นผู้”กำหนดเกม” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนต่อไปคือ” นราพัฒน์ แก้วทอง” และ “เลขาธิการ” พรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ คือ”เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย ) สส.เขต 5 สงขลา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเอง  ก็ต้องต้องติดตามกันต่อไป โดยเฉพาะ”คนภาคใต้” ที่เป็น”ฐานเสียงใหญ่” ของ”ประชาธิปัตย์” ก็ได้แต่ หวังว่า เมื่อผ่านการเลือกตั้ง”หัวหน้าพรรค” ไปแล้ว คงจะไม่มีเรื่องของ”พรรคแตก” เกิดขึ้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้น”หลายครั้ง” สำหรับพรรคการเมือง”เก่าแก่” อย่าง”ประชาธิปัตย์”

 

เรื่องของ”ภาคใต้” ไม่ได้จบแค่เรื่อง”การเมือง” แต่”ภาคใต้” มีเรื่องอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง”เถื่อนๆ” ทั้งหลาย เช่น “น้ำมันเถื่อน”,บุหรี่เถื่อน,สุราเถื่อน,คนเถื่อน” และวันนี้มีข่าว”แพลมๆ”ออกมาถึง”ขบวนการค้าแก๊ส ( ก๊าซ )” เถื่อน ที่มีการทำเป็น”ขบวนการ” เช่นเดียวกับการค้า”น้ำมันเถื่อน” ซึ่ง วันนี้ กำลังทำการ”รวบรวมข้อมูล” เพื่อที่จะนำมา”เปิดเผย”  ให้ สังคม ได้รับทราบ ว่ามีใครบ้างที่อยู่ในขบวนการนี้ และมี”เจ้าหน้าที่”หน่วยไหนบาง ที่ร่วมกัน”รับผลประโยชน์” จากการทำผิดกฎหมาย และทำลาย”เศรษฐกิจ” ของประเทศ…..สำหรับเรื่องน้ำมันเถื่อน หลังจากที่”เดลินิวส์” ออกมา”เปิดโปง” ทำให้การ”นำเข้า”น้ำมันเถื่อนทางบก” ลดน้อยลง เพราะ”ศุลกากร” ที่เป็น”นายทวาร” ด่านศุลกากร“ร้อนตัว” กลัว”ความผิด” จึงมีการ”เข้มงวด” ไม่ปล่อยให้มีการ”นำเข้า” มากเกินไป อย่างที่ผ่านมา…..แต่การ “นำเข้าน้ำมันเถื่อน” ที่มาจากทางทะเลด้าน”อ่าวไทย” นำขึ้นฝั่งที่ จ.สงขลา.นครศรีธรรมราช “ และ”สุราษฎร์ธานี” ยังมีการ”นำน้ำมันเถื่อน” ขึ้นฝั่งแบบไม่”หยุดหย่อน” วันนี้”  ผู้ค้าส่งรายใหญ่ใน จ.ตรัง  ถูก เจ้าหน้าที่ สรรพสามิต และ ตร.ปนม. จับกุมได้ 2 คันรถบรรทุก 10 ล้อ โดยจับได้ใน อ.เมือง จ.ตรัง ขณะที่กำลังนำ”น้ำมันเถื่อน”ไปส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ จ.ตรัง …..สอบสวน มีการ “ยอมรับ”ว่า “น้ำมันเถื่อน” ทั้งหมดซื้อจาก”ปั้นน้ำมันรายใหญ่” ใน อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ในราคาที่ถูกกว่า”คลังน้ำมัน” ถึงลิตรละ 3 บาท และผลจากการตรวจสอบจาก “หน่วยงานที่รับผิดชอบ” พบว่าเป็น”น้ำมันเถื่อน” จริง แต่ถึงบัดนี้ “เจ้าหน้าที่” ชุด”จับกุม” ยังไม่ได้”แจ้งข้อกล่าวหา” เพื่อ”ดำเนินคดี” กับ”เจ้าของปั้ม” ที่เป็น”เอเย่นต์” น้ำมันเถื่อน แต่อย่างใด

 

ล่าสุด” เจ้าหน้าที่สรรพสามิต และ ตร.ปนม. จับกุม รถบรรทุกน้ำมันเถื่อน เป็นรถบรรทุก 10 ล้อ โดยมี น้ำมันเถื่อนในรถ 15,000 ลิตร ในพื้นที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช  จากการ สอบสวนเป็นของผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ของ จ.สุราษฎร์ธานี  และจะนำไปส่งให้ลูกค้าที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช   ผลการ ตรวจสอบ เป็นน้ำมันเถื่อน ซึ่งก็ต้องรอดูว่า นอกจากการให้”เจ้าของน้ำมัน” ทำการ”เสียค่าปรับ” และ ดำเนินการ”คืนรถ คืนน้ำมัน” ให้ เจ้าของแล้ว เจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการอย่างไรกับ”นายทุน” ผู้ค้าน้ำมันเถื่อน …..และน่าจะสรุปได้ว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนคือ”เชื้อชั่วที่ไม่เคยตาย” ใน”ภาคใต้” และ ผู้รักษากฎหมาย ก็ไม่ได้”เอาจริง” ในการ”จับกุม” เพื่อทำให้”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” หมดสิ้นไปจากภาคใต้ เพราะการ”จับแล้วปรับ” และคืนน้ำมันให้กับ”เจ้าของ”เพื่อนำไป”ขายต่อ” ไม่ได้สร้างความ”เสียหาย” ให้กับ”นายทุน”…..ทำไม่จึงไม่จับแล้วส่ง”ของกลาง” ให้กับ”ตำรวจ” และทำการ”ฟ้องศาล” เพื่อที่จะได้ยึด” ทั้งน้ำมัน” ที่เป็น”ของกลาง” และ”รถยนต์”ที่เป็น”พาหนะ” ในการใช้ทำผิด เพื่อให้”กลุ่มทุน” ได้รับความ”เสียหาย” จากการทำผิดกฎหมาย

 

และอีกเรื่อง”ข่าววงใน” กระซิบให้ฟังว่า “ปั๊มน้ำมันใหญ่” ที่ขายน้ำมันเถื่อน ทั้ง”ค้าปลีกและค้าส่ง” ในภาคใต้  ยกตัวอย่าง ปั้มน้ำมันใน อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ที่สามารถดำเนินการในการทผิดกฎหมายได้เป็นเพราะมีการ”จ่ายส่วย” ให้กับ”เจ้าหน้าที่ตำรวจ  โดยมี” พ.ต.ท. คนหนึ่ง “เก็บส่วย” ในราคาลิตรละ 50 สตางค์ เช่นถ้าปั้ม”นาย ก” ขายน้ำมันได้วันละ 200,000 ลิตร ก็ต้อง”จ่ายส่วย” วันละ 100,000 บาทต่อวัน  เป็นต้น สำหรับ”พ.ต.ท. คนนี้ อ้างว่าเป็นคนของ”บิ๊กตำราจใหญ่” จริง หรือ เท็จ ก็ต้องไป “สืบค้า” เอาเองนะ

 

ส่วนที่ “บ้านโคกเนียนตก รอยต่อบ้านสองพี่น้อง” ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ของ สภ.คลองแงะ อ.สะเดา จ.สงขลา ข่าวว่ามี”บ่อนไฮโลโปปั่น” ขนาดใหญ่ เปิดเล่นแบบ”โล่งโจ้ง” โดยอ้างว่าเป็นบ่อนของ”ผู้ใหญ่” แต่ละวันมีผู้คน”เข้า-ออก”กัน”ขวักไขว่” คนในพื้นที่เห็นจน”ชินตา” แต่แปลกนะที่ ตำรวจ สภ.คลองแงะ อ.สะเดา จ.สงขลา มองไม่เห็น แถมยังมีหวยสัตว์ ออกวันละ สามเวลาอีกด้วย เอ้า โรงพักนี้ ใครเป็น”ผู้กำกับ” ไปดูหน่อยนะ

 

คดีด้านความมั่นคง ที่ “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค “ แม่ทัพภาคที่ 4 /ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า สั่งการให้ “ฝ่ายกฎหมาย” แจ้งความเพื่อ”เอาผิด” กับ”ขบวนการนำศึกษาแห่งชาติ” และ”กลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง “ล็อตแรก” มีการ”กล่าวหา”ไปแล้ว 5 คน เป็นทั้ง”นักศึกษา” และ”ผู้นำภาคประชาสังคม” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  เรื่องนี้ “ตำรวจ” ต้องมีความ”รอบคอบ” ในการ “สอบสวน” ดังนั้นผู้ที่”เป็นกองเชียร์” ต้อง”ใจเย็น”  เชื่อเถอะไม่เป็น”มวยล้มต้มคนดู” เพียงแต่ พล.ต.ต.อาชาน จันทรศิริ  ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ต้องทำด้วยความ ละเอียด และ รอบคอบ ที่สุด…..ส่วนผู้ต้องการ”ล็อตที่สอง” ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”โดย พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รอง แม่ทัพภาคที่ 4 /รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยัน ว่ามีแน่นั้น วันนี้ยังอยู่ในขบวนการ”รวบรวมหลักฐาน” เพราะไม่ต้องการให้”พลาดพลั้ง” ซึ่งจะทำให้” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” กลายเป็น”จำเลย”ของสังคม  แต่หลังจากมีการ”เอาจริง” ด้วยการ” เชือดไก่ให้ลิงกลัว” เชื่อว่าในฝ่ายของ”ภาคประชาสังคม” ที่ทำหน้าที่เป็น”ปีกทางการเมือง” ให้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” คงจะ “ระมัดระวังตัว” ในการ”ขับเคลื่อน” องค์กรมากขึ้น และบางส่วนอาจจะ”มุดลงใต้ดิน” อีกครั้ง ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายความมั่นคง

 

“ซาการียา สะอิ” ผู้ต้องหา ที่มีคดี”ความมั่นคง” ติดตัวหลายหมาย ถูก”ปิดล้อม” เพื่อการ”จับกุม” และมีการ”ยิงต่อสู้” จนต้องให้”ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน” ที่ อาสาเข้าไป”เกลี้ยกล่อม” ให้วางอาวุธเพื่อมอบตัว แต่กลับถูกยิงเสียชีวิต  และสุดท้าย”ซากรียา” ก็ถูก”เจ้าหน้าที่”วิสามัญฆาตกรรม” ตามระเบียบ” “งานศพของ”ซาการียา” มี “มวลชนทำการ”แห่แหน”จำนวนมาก มีการ”ตระโกน”สรรเสริญพระเจ้า” มีการตระโกน”เมอรเดก้าปัตตานี” และถูกยกย่องเป็นผู้”พลีชีพ” เรื่องนี้ฝากให้”พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาค 4 ส่วนหน้า”พิจารณาให้ถี่ถ้วน ก่อนที่จะสรุปว่า “สถานการณ์” ด้านความมั่นคงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้น เพราะ “สถานการณ์” จะดีขึ้น หรือ แย่ลง ไม่ได้ตัดสินด้วยการ”ลดลงของการก่อเหตุ” แต่ให้ดู”ฐานของมวลชน” ที่ให้การ”สนับสนุน” ขบวนการและ คนในขบวนการ…..ส่วน”อาหมะกอซี  หะยีเลาะ” ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ควนลาแม ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ที่ ถูก”คนร้าย” ยิงเสียชีวิต หน่วยงานของรัฐ ต้องให้ความดูแล”ครอบครัว” ของเขาให้ดีที่สุดด้วย เพราะเขา”พลีชีพ” เพื่อ”บ้านเมือง” …..และที่ต้องให้ความ”สนใจ” คือหลังการเสียชีวิตของ”ซาการียา”  ถ้า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ติดตาม สถานการณ์ จะพบว่า”ฝ่ายไอโอ” ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ได้เปิดเกมรุกเข้าใจ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”อย่างเป็น”ขบวนการ” มีการนำ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อการ”โจมตี” และการ”ไอโอ” อย่าง”ต่อเนื่อง” ที่สำคัญ” ประชาชน” ในพื้นที่ เชื่อใน”ข้อมูล” ที่ถูกนำไป”โจมตี” และการ”ไอโอ” เรื่องนี้ เป็นเรื่อง”สำคัญ” ที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องให้ความ”สนใจ” และ”สนใจ” อย่างเดียวก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ จึงต้องมีแผนในการ”แก้ไข” และการ”ตอบโต้” ที่เป็น”มรรคเป็นผล”ด้วย…..แต่ เห็นด้วยนะ ที่ วันนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เริ่ม”จับกุม” ผู้นำความผิด ที่ “หลบ”อยู่ในพื้นที่ เพื่อนำเข้าสู่ขบวนการ”ยุติธรรม” ก็ให้ระวังไว้ในการ”ปิดล้อม” จับกุมแต่ละครั้ง ถ้าไม่ต้องถึงกับ”วิสามัญ” ฝ่าย”ตรงข้าม” จะเป็น”ประโยชน์” ไม่น้อยต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น

 

อีกประเด็น ที่เห็นด้วยกับการที่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใน”กฎหมาย” ในการให้”ศาลจังหวัดนราธิวาส” ดำเนินการกับ “มารดา และภรรยา” ของนายยารีห์ ดือเลาะ ที่ทำการ”ขัดขวาง” เจ้าหน้าที่ในการ”ขุดศพของนายนารีห์ ดือเลาะ เพื่อนำไป”ตรวจสอบ” เพราะผู้ที่”ถูกฝัง” ไม่ใช่นายยารีห์ คดีนี้ “ศาลสั่งจำคุก” ผู้ต้องหาคนละ 1 เดือน แต่”โทษจำ”ให้”รอลงอาญา” เปล่า ไม่ได้ต้องการให้”ชาวบ้านติดคุกนะ” เพียงแต่ต้องการให้ คนในพื้นที่ ซึ่งถูก”หลอกลวง” ถูก”ชักจูง” เพื่อให้เป็น”ปรปักษ์”กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ” รู้ว่า”บ้านเมืองมีกฎหมาย” การทำความผิด ต้องได้”รับโทษ” ตาม” กบิลเมือง” เพื่อผู้ที่”ฮึกเหิม” ไม่เห็น”กฎหมาย” ในสายตา จะได้ไม่กล้าที่จะทำการ”ฝ่าฝืน”ขัดขวาง” และ”แย่งชิง”ศพผู้ต้องหาจาก” เจ้าหน้าที่

 

”เงินทุน” และ” เงินกู้” คือสิ่งที่มีความ”จำเป็น”สำหรับ” ผู้ประกอบการ”ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) มีการ หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย และ ธนาคารพาณิชย์ ถึงแนวทางการในการปล่อยกู้ในอัตรา”ดอกเบี้ยต่ำ” กับ”ผู้ประกอบการ” ส่วนจะได้ผลอย่างไร ก็ต้องอยู่ในกรอบที่”สถาบันการเงิน” ต้องไม่มี”ความเสี่ยง” ด้วยเช่นกัน

 

ฟังเสียงของ”ประชาชน” ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ออกมา”แสดงความคิดเห็น” เกี่ยวกับ โครงการก่อสร้างหอชมเมือง” ที่ “ลานหน้าหอนาฬิกา” หรือ”ตลาดพล่าซ่า” ของ เทศบาลนครหาดใหญ่ ในวงเงินงบประมาณ 2,000 กว่าล้าน ที่เสียงไม่เห็นด้วยดัง”กระหึ่ม”ขึ้นเรื่อยๆ ก็ขอให้ พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศมนตรี เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ต้อง”ใส่ใจ” ในการ”รับฟัง” อย่างคิดว่า”เสียงคัดค้าน”เป็น”เสียงนกเสียงกา” อย่างเด็ดขาด……เช่นเดียวกับ”ไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ.สงขลา ที่เป็นเจ้าของ”งบประมาณ” ขอให้ใช้ความ”รอบคอบ” ในการที่จะ”ใช้งบ” อย่าให้เป็นเพียงต้องการ”สร้าง” ต้องการ”ใช้งบ” แต่ไม่ได้”คำนึง” ถึง”ประโยชน์” ที่จะได้รับ หลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ…..และมีคนจำนวนมากที่”ติติง” มาว่า “องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น” ของหลายพื้นในภาคใต้ ที่ คิดเป็นเพียง 2 เรื่อง ถ้าไม่สร้าง”หอชมเมือง” ก็สร้าง”สกายวอร์ค” เพื่อให้เดินขึ้นไป”ชมหมอก” ส่วนเรื่องอื่นๆ “ไม่คิด” หรือ”คิดไม่เป็น” ก็ไม่รู้ และอยากบอกว่า ยังมีอะไรต่ออะไร อีกมาก ที่ทำแล้วได้ประโยชน์

 

ส่วนที่ จ.สตูล สำนักงานบริการนักท่องเที่ยว ที่”สร้างไม่เสร็จ” และ”งบสร้าง” น้อยกว่า”ค่าปรับ” ที่ผู้”รับเหมาทิ้งงาน” เรื่องนี้ “สัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์” นายก อบจ.สตูล ออกมา”การันตี”ว่า”ผู้รับเหมา” ไม่”ทิ้งงาน” และเมื่อสร้างเสร็จเท่ากับ”ได้เปล่า” เพราะเงิน”ค่าปรับ” ที่ได้รับ”เข้าหลวง” มากกว่า”งบประมาณ” ที่ใช้ในการ”ก่อสร้าง” แต่เรื่องนี้ไม่มีใครแย้งว่า”ความล่าช้า” คือการ”เสียโอกาส” และ”เสียประโยชน์” ที่ประชาชน และประเทศชาติควรได้รับ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตาม”ขบวนการ” ซึ่งข่าวว่า” ปปช. ลงพื้นที่เพื่อการ”ตรวจสอบ” แล้ว ที่สำคัญตราบใดที่ยังไม่จ่าย”ค่าปรับ” ยังคิดเป็น”ตัวเงิน”ไม่ได้…..ส่วนอีกเรื่อง ที่ จ.สตูล คือเรื่อง”การบุกรุก” ที่ดินบนเกาะหลีเปะ เพื่อสร้าง”โรงแรม,รีสอร์ต” และ อื่นๆ ที่”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” ผู้รับผิดชอบในการ”สะสาง” เพื่อให้มีการ”รื้อถอน” เพื่อคืนที่ดินให้กับ” อุทยาน” วันนี้คดีนี้”เงียบ” แบบ”ผิดสังเกต” ประชาชนฝากถามว่า วันนี้” คดี”การ”เอาผิด”กับผู้”บุกรุก” ที่”เส้นใหญ่” ไปถึงไหนแล้ว

 

ชาวบ้านที่ ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จ.ตรัง ที่ถูก ดินโคลนถล่ม จากฝนตกหนัก จนบ้านบางหลังพังยับเยิน แจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้วเป็น สัปดาห์ แต่”เงียบกริบ” ยังไม่มีหน่วยงานไหนลงไปให้การช่วยเหลือ  “ขจรศักดิ์ เจริญโสภา” ผวจ.ตรัง สั่งการ ให้ หน่วยงานที่รับผิดชอบ ลงไปดูความเดือดร้อนของช้าบ้านหน่วยเถอะ ก็ไหนว่า “ความทุกข์ของชาวบ้าน เป็นความทุกข์ของแผ่นดิน” ไม่ใช่หรือ…..ที่ จ.ภูเก็ต “ณรงค์ วุ่นซิ้ว” ผวจ.ภูเก็ต สั่งการ ให้ ฝ่ายปกครอง เข้า ตรวจสอบ และ จับกุม”  สถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา เพราะมีการร้องเรียนจาก”ชาวบ้าน” ในข้อหาตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นการ”ฝ่าฝืน พรบ.สถานบริการ พ,ศ. 2509  แต่ที่ จ.สงขลา ที่ อ.หาดใหญ่ และ ที่ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา มีทั้ง”เปิดเกินเวลา” และไม่มี”ใบอนุญาต” แต่”ฝ่ายปกครอง” และ”ตำรวจ” ไม่เคยสนใจที่จะเข้า”ตรวจสอบ” เพื่อ”จับกุม” อยู่ประเทศไทยด้วยกัน แต่ทำไมการ”บังคับใช้กฎหมาย” จึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง” เจษฎา จิตรัตน์” ผวจ. สงขลา ช่วยตอบประชาชนให้”ตาสว่าง”ด้วยนะ

 

สาวใหญ่ชาวบ้าน  ต.ควนขนุน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ร้องทุกข์ ว่า บ้านที่อาศัย ถูก”คนร้าย” งัดแงะ เพื่อ”โจรกรรม” ทรัพย์สิน หลายครั้ง แจ้งความก็แล้ว แต่”ตำรวจ” ไม่ให้ความ”สนใจ” จับใครมาเป็น”คนผิด” ไม่ได้ ในขณะที่” พ.ต.อ.ซาการียา ยูโซ๊ะ” ผกก.สภ.ควนขนุน กล่าวว่า ขอให้”เจ้าทุกข์ทุกราย” มา “แจ้งความ” เพราะหากไม่”แจ้งความ” เอาแต่แจ้ง”นักข่าว” ตำรวจ ก็ทำอะไรไม่ได้ จำไว้”นักข่าว” เป็นได้แค่”กระโถน” ไม่ใช่”ตำรวจ” ที่เป็นผู้รักษา”กฎหมาย”……ส่วนที่”จับทันควัน” หลัง”เจ้าทุกข์ ร้องกับ”สื่อ”ว่า ลูกอายุ 12 ขวบ ถูกเพื่อน”กระทำชำเรา” แจ้งความร่วมเดือน “คดีไม่คืบ” พล.ต.ต. เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์  ผบก. ภ.จว.ปัตตานี สั่ง เจ้าของคดี “ออกหมายจับ” ทันที อ้างสาเหตุที่”ล่าช้า” เพราะ”กฎหมาย” มี”ขั้นตอน” ต้องออก”หมายเรียก”ก่อนที่จะออก”หมายจับ” เรื่อง”กฎหมาย” เรื่อง”ระเบียบ” ชาวบ้านไม่มีความรู้และเข้าใจ ถ้าไม่มีการ”ชี้แจง ก็”เห็นใจ” ทั้ง”ชาวบ้าน” และ”ตำรวจ”

 

พื้นที่ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา กำลัง”คืนชีพ” เพื่อเป็น”สถานที่ซุกแรงงานเถื่อน” และเป็น”เส้นทางลำเลียง” แรงงานเถื่อน ทั้งจาก”เมียนมาร์,ลาว.กัมพูชา “ และ”โรฮีนจา”  เพื่อ”ข้ามแดน” ไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” มีการ”จับได้” หลายครั้งในรอบเดือน แต่ที่ยังจับไม่ได้ และ”ผ่านพรมแดน”ไปได้มีมากกว่า ผู้อยู่”เบื้องหลัง” ในการ”ค้ามนุษย์” ก็ไม่ใช่ใคร ก็คนที่เคยอยู่ใน”ขบวนการค้ามนุษย์” ที่เคยเป็น”แขน ขา “ของอดีต “นักการเมืองท้องถิ่น” ที่ต้องโทษในคดี”ค้ามนุษย์” ถูก ศาลตัดสินเอาผิดคนละ 40 ปี นั่นเอง ถ้า”ตำรวจ สภ.ปาดังเบซาร์ และ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง รวมทั้ง ตชด. ต้องการที่จะ”กวาดล้างให้”สิ้นซาก” ก็ต้อง”บุกตะลุย” เพื่อไปยังที่”ต้นตอ”

 

ก่อนหน้านี้ เขียนถึงเรื่องการ”ตัดทุเรียนอ่อน”ส่งขาย และ เรียกร้องให้ เร่งประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการ”แก้ปัญหา” วันนี้ “ธีรุตม์ วิบูลย์ผล” รอง ผวจ.ยะลา เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง ตั้งชุดทำงาน”เฉพาะกิจ” ป้องกัน และแก้ปัญหาการนำ”ทุเรียนอ่อน” ออกสู่ตลาด เพราะปีนี้ ผลผลิตทุเรียนของ จ.ยะลา จะออกสู่ตลาดในเดือน สิงหาคม” ถึง 45,000 ตัน จาก 76,000 ตัน เรื่องผลประโยชน์ของประชาชน อย่างได้ล่าช้า……”ช้างบุกสวนทุเรียน” ที่ ต.อัยเยอร์วง อ.เบตง จ.ยะลา กลายเป็นปัญหาใหญ่ เมื่อ”ชาวบ้าน”ร้องทุกข์ ขอให้”อับดุลฮายี สาแม็ง” สส.เขต 3 พรรคประชาชาติ จ.ยะลา ช่วยเหลือ  สุดท้าย พ.ต.อ.ธีรภัทร ปิยะถาวร ผกก.สภ.อัยเยอร์เวง ต้องสั่งให้ “ตำรวจ” ไปทำหน้าที่”ไล่ช้าง” อีกหน้าที่หนึ่ง เกิดเป็น “ตำรวจไทย” ต้องทำได้ตั้งแต่”จับงู” ถึง”ไล่ช้าง” ซึ่งเป็นไปตาม”สะโลแกน” ที่ว่า “ตำรวจอยู่ไหนประชาอุ่นใจ” ที่นั้น

 

ร่วงไปตามวัยอีกหนึ่ง ล่าสุด”เจ๊ะกูแม กูเต๊ะ หรือชื่อตามทะเบียนบ้านในหมู่ที่4 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานีว่า”ดอรอแม กูเต๊ะ”  หัวหน้าขบวนการมูจาฮีดินอิสลามปัตตานี” หรือ” จี.เอ็ม.ไอ.พี.” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งขบวนการแบ่งแยกดินแดนในหลายๆขบวนการ “เส้นชีวิตแล้ว” ด้วยโรค”หลอดเลือดในสมอง” ก็ต้องติดตามดูว่า ใครจะขึ้นมา”ทำหน้าที่” เป็นหัวหน้าขบวนการคนใหม่ เพราะ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนคือ”เชื้อชั่วที่ไม่เคยตาย” และจะมี”ตัวตายตัวแทน” เกิดขึ้นตลอดเวลา และ”คนใหม่” อาจจะมี”แนวทาง” ที่เป็นภัย” กับ”ความมั่นคง” มากกว่า”คนเก่า” ก็เป็นไปได้ ฝ่ายความมั่นคงต้อง”รู้ลึก” และ”รู้จริง”……แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง….ใหญ่ไม่ใหญ่คิดเอาผับเถื่อนหาดใหญ่ ไร้ใบอนุญาตเปิดเกินเวลาเกลื่อนเมือง!

”การเมือง” ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เรื่องที่”นักการเมือง” พูดวันนี้” กับวัน”พรุ่งนี้” อาจจะแตกต่างกันแบบ”หน้ามือเป็นหลังมือ” ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของ”นักการเมือง” เปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะ ดังนั้น”ประชาชน”อย่าง”เราๆท่านๆ” จึงต้อง”ทำใจ” กันล่วงหน้า เพราะ”สุดท้ายแล้ว” รูปร่าง หน้าตา ของ”รัฐบาลชุดใหม่” ที่จะเข้ามาทำหน้าที่”บริหารประเทศ” อาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่”ประชาชน” อย่าง”เราๆท่านๆ” คาดหวัง และ”ต้องการ” อาจจะมีทั้ง”เทพ ทั้ง มาร” ปะปนกัน   โดยเฉพาะผู้ที่คาดหวังว่า “นายกรัฐมนตรี “ คนที่ 30 ของประเทศไทยจะชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ต้อง”ทำใจ” ล่วงหน้า เพราะอาจจะไม่เป็นอย่างที่”คาดหวัง” เพราะการที่จะโน้มน้าว” สมาชิกรัฐสภา” และ”สส.ฝ่ายค้าน” ให้ยกมือ”โหวต” ให้”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้”ก้าว” ไปถึง” ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” อ่านเกม ในวันนี้แล้ว บอกได้คำเดียวว่า”เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา”  และยิ่งใน”ฟาก”ของ”พรรคฝ่ายค้าน ถ้าจะให้”ยกมือโหวตให้” ก็หมายถึงต้องมี”ค่าตอบแทน” ไม่อย่างหนึ่งก็อย่างหนึ่ง เช่นขอ”เข้าร่วมรัฐบาล” ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะในตอนที่”หาเสียง” ทั้ง”ก้าวไกล” และ”เพื่อไทย” บอกไม่ร่วม”ประชาธิปัตย์” และไม่ร่วมพรรคของ”2 ลุง” รวมทั้งไม่”เอาหนู” ไม่เอา”งูเห่า” และแม้ว่า”ประชาธิปัตย์” ที่ได้ “หัวหน้าพรรคคนใหม่” ที่จะมีการ”เลือกตั้ง” ในวันที่ 9 กรกฎาคม นี้ และได้ “หัวหน้าพรรค” ที่อยากเข้าร่วม”รัฐบาล” ก็ยังหา”ช่องทาง” ในการเข้าร่วมไม่เจอ

 

สำหรับ”คนไทย” เชื่อว่า”ส่วนใหญ่” ต้องการเห็น”บ้านเมือง” เดินไปข้างหน้าโดยเร็ว และเห็นว่า”การเมือง” ต้องยึดใน”กติกา” ของ”รัฐธรรมนูญ” และ”ประชาธิปไตย” พรรคการเมืองที่”ชนะเลือกตั้ง” มาเป็น” ที่หนึ่ง” ต้องได้เป็น”ผู้บริหารประเทศ” ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้  ก็ต้องดูการ”โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี”ในวันนั้น ซึ่งอยู่ในเดือน กรกฎาคม นี้แหละ และ “ประชาชน” ที่เป็น”เสียงข้างมาก” จะได้เห็น”ธาตุแท้”ของ”นักการเมือง” ทั้งที่มาจาก”สภาบน” และ”สภาล่าง” ว่า ระหว่าง ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ความต้องการของประชาชน ( ส่วนใหญ่ )  “ผู้ทรงเกียรติ” ทุกท่านที่รับ”เงินเดือน” จาก”ภาษีของประชาชน” จะ เลือกแบบไหน….. “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จะนำ”ก้าวไกล” กลับไปเป็นฝ่ายค้านเพื่อ”ฟูมฟัก” พรรคก้าวไกล อีก 1 สมัย เพื่อการ”เลือกตั้งครั้งใหม่” เพื่อให้เกิดการ”แลนด์สไลด์”  ที่สามารถจัดตั้ง”รัฐบาลพรรคเดียว” ในสมัยหน้า โดยไม่ต้อง”ง้อมือ” ของพรรคการเมืองอื่นๆ โดยปล่อยให้”เพื่อไทย” ซึ่งเป็นพรรคที่”ชนะเลือกตั้ง” มาเป็น”อันดับสอง” จัดตั้งรัฐบาล กับ”พรรคการเมืองอื่น” ที่เหมือน”เพื่อไทย” ต้อง”กลืนน้ำลายตัวเอง” และเป็นการ”ขุดหลุมฝังตนเอง” หรือไม่ และที่สำคัญ”พรรคการเมืองอย่าง”ประชาชาติ” และอื่นๆ จะ”เอาด้วย” กับ”เพื่อไทย” หรือไม่ ประเด็นนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้อง”จับตามอง”……แต่ เอาเถอะ  “สุดท้ายแล้ว” ไม่ว่า”ก้าวไกล” หรือ”เพื่อไทย” จะได้เป็น”รัฐบาลชุดใหม่” ล้วนแต่การเป็น”รัฐบาล”ชุดที่”เหนื่อยยาก” กับการ”บริหารประเทศ” ที่”สั่งสม”ปัญหาและ”ทับซ้อน” มาเป็นเวลา 8-9 ปี ที่ทุกเรื่อง ทุกปัญหา แก้ได้ไม่”สะเด็ดน้ำ”โดยเฉพาะเรื่อง”ทุจริต คอรัปชั่น” ที่มีอยู่ในทุกวงการของหน่วยงานรัฐ

 

และเรื่องที่ แต่ละพรรคการเมือง ที่ร่วมกันเป็นรัฐบาล ได้”หาเสียงไว้” ทั้งเรื่องของ”พลังงาน” การ”ลดค่าไฟฟ้า” การเข้าไป”รื้อระบบ” ที่เป็น”โครงสร้าง” ของ “ทุนพลังงาน” ที่เป็นของ”เอกชน” การแก้ปัญหา “เกษตรกร” ที่ยังต้อง”ซื้อปุ๋ย-ยาปราบวัชพืช” ในราคาแพง ตั้งแต่สงคราม”รัสเซีย-ยูเครน “ เป็นต้นมา การ”ลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง” ที่สุดท้ายแล้ว “รัฐบาลชุดใหม่” ไม่ว่าจะเป็น”ก้าวไกล” หรือ”เพื่อไทย” ก็ทำไม่ได้ เพราะ นโยบาย ที่คิดได้ในขณะที่”หาเสียง” เมื่อเข้าไปเป็น”รัฐบาล” จะต่างกันอย่าง”ลิบลับ” และการ ที่”รัฐบาล” จะเข้าไป”สั่งการ” กับ”กลุ่มทุน” เป็นเรื่องที่”ไม่ง่าย” เพราะ”เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศไทย” อยู่ใน”อุ้งมือ” ของ”กลุ่มทุน” เพียง 20 ตระกูล” มาเป็นเวลานาน แม้แต่”รัฐบาลทหาร” ที่เข้ามา”ยึดอำนาจ” เพื่อ”บริหารประเทศ” กี่ยุคกี่สมัย ก็ยังต้อง”สยบยอม”ให้กับ”กลุ่มทุน”มาโดยตลอด …..และนอกจาก”กลุ่มทุน” รัฐบาลชุดใหม่ ก็ยังมี”นโยบาย” ในการ”หาเสียง”กับ”ประชาชน” ในการที่จะเข้ามา”ลิดรอน” อำนาจและผลประโยชน์ของ”ขุนศึก” ที่หมายถึง”กองทัพ” ก็ยังจะ”ยุ่งยาก” เข้าไปใหญ่  แค่เรื่องการ”ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร” ซึ่งเป็นเรื่อง”พื้นๆ” ของกองทัพ เอาเข้าจริงๆ อาจจะไม่ใช่เรื่อง”กล้วยๆ” สำหรับ “รัฐบาลใหม่” อย่าเอาถึงขั้น ที่จะลดตำแหน่ง”นายพล” จำนวน 1,500  คน และการ”ถอนทหาร” จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการ”ยกเลิก” กฎหมายพิเศษ

 

ที่สำคัญ เรื่องที่”พรรคร่วมทุกพรรค” หาเสียง ที่เป็นเหมือน”สัญญาประชาคม” เช่นการ”ยกเลิกหนี้ กยศ” การให้ประชาชนได้รับ”บำนาญ 3,000 บาท” ฯลฯ เอาไว้จริงๆ ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้อย่างที่”หาเสียง” หรือไม่   แต่ก็ “เอาใจช่วยนะ” ให้”ก้าวไกล”และ”เพื่อไทย” รวมทั้ง 6 พรรค ที่เป็น”พันธมิตร” ได้เป็นผู้ บริหารประเทศ และเห็นด้วยที่จะให้ “2 ลุง” คือ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ” นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่แค่ “หัวหน้าพรรคการเมือง” รวมกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อให้”อนุทิน ชาญวีรกุล “ ( เสี่ยหนู ) ทำหน้าที่เป็น “หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน” เก็บของเถอะ “ลุงตู่-ลุงป้อม” อย่าง”ดันทุรัง” เพราะวันนี้หมดยุคสมัยของทั้ง 2 ลุง แล้วจริงๆ   และในบรรดา”นายพล 3 ป” ต้องยกนิ้วเพื่อ”ซูฮก” ให้กับ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย “ ที่ถือว่า”อยู่เป็น” และรู้ว่า”จังหวะไหนควรเดินหน้า จังหวะไหนควรถอย”

 

หลังจากที่ “พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ,กอ.รมน.ภาค 4 “ชักธงรบ” ด้วยการมอบหมายให้”สำนักฝ่ายกฎหมาย” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”แจ้งความ”กล่าวโทษ เพื่อ”เอาผิด” กับ “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” และ “ผู้เกี่ยวข้อง” ที่ดำเนินการจัด”เสวนา” เรื่อง”การกำหนดอนาคตตนเองในสันติภาพปาตานี” โดยมีการจัดให้มีการ”ลงประชามติการแบ่งแยกดินแดน” เมื่อวันที่ 7 มิถุนายก 2566 ที่ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี…..วันนี้องค์กรต่างๆออกมา”เคลื่อนไหว” เพื่อ”เห็นต่าง” และมีความเห็นว่า”ไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมาย” ในการที่จะ”เอาผิด”กับ”นักศึกษา”ที่ถูกกล่าวหา  ก็เป็นเรื่อง”ต่างคนต่างคิด”และ”ต่างคนต่างความเห็น” ก็เป็น”หน้าที่”ของ”ฝ่ายกฎหมาย” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่ต้องหา”พยาน” และ”หลักฐาน” ที่ “หนาแน่น” และ”เพียงพอ” ในการ”เอาผิด” เพราะถ้า”หลักฐานอ่อน” และถูก”ยกฟ้อง” ผู้ที่”เสียหาย” และกลายเป็น”จำเลย”ของ”สังคม” ก็หนีไม่พ้น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ”กองทัพบก” นั่นเอง….แต่เมื่อ”ตรวจสอบแนวรบ” ทางด้าน”ไอโอ” ของฝ่าย”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกการเมืองของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” มองเห็นความ”เพลี่ยงพล้ำ” ในการทำสงคราม”ไอโอ” ระหว่าง “กอ.รมน.ภาค ภ 4 ส่วนหน้า” อย่างชัดเจน เพราะ “คนในพื้นที่” เลือกที่จะเชื่อ”ข้อมูล” ของฝ่าย”บีอาร์เอ็น” มากกว่า”ข่าวสาร” ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นั่นเอง  เรื่องนี้ ถ้า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มองว่า”ไม่สำคัญ” ก็ไม่ต้องหวังที่จะ”ชนะ”ในด้านของการ”แย่งชิงมวลชน”

 

ล่าสุด “พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค “ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  ออกมาให้”สัมภาษณ์สื่อ” ถึงแผนการ”ถอนทหาร” จากพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถ้า “สถานการณ์” การก่อการร้าย ลดน้อยลงจนเข้าสู่ความเป็น”ปกติ” ของพื้นที่ ภายในปี 2570 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า จะ”ถอนทหาร” ออกจากพื้นที่ทั้งหมด และมอบหน้าที่ให้ “กองกำลังท้องถิ่น” ทำหน้าที่ ดูแลความ”สงบเรียบร้อย” รวมทั้งการ”ยกเลิก” การใช้”กฎหมายพิเศษ” ที่ใช้อยู่ ….แต่ เชื่อเถอะ “สถานการณ์”ของ”สงครามกองโจร” ใน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่”สงบ” อย่างที่”ทหาร” คาดหวัง เพราะ”บีอาร์เอ็น” ไม่ต้องการให้เหตุการณ์ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบ” และนอกจากไม่สงบแล้ว อาจะมีความ”รุนแรง” ที่เพิ่มขึ้น เพราะ”บีอาร์เอ็น” ต้องการให้”ทหารคงอยู่” ในพื้นที่ และต้องการให้”ทหาร” ออกมา” ปิดล้อม ตรวจค้น” และ”วิสามัญ” กองกำลังติดอาวุธของ”บีอาร์เอ็น” เพราะ”บีอาร์เอ็น” ต้องสร้างสถานการณ์เพื่อ”หล่อเลี้ยงความรุนแรง” เอาไว้จนกว่าจะ”บรรลุ” ข้อตกลงในการ”เจรจาสันติภาพ” ตามที่”บีอาร์เอ็น”ต้องการ…..การ”เข่นฆ่า” คน”ไทยพุทธ” ที่มีอาชีพ”หาของป่า-ล่าสัตว์” ใน อ.รือเสาะ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส  คือตัวอย่างที่”บีอาร์เอ็น” ต้องการให้” ทหาร” ทำการ”ปิดล้อม-ตรวจค้น” และจบลงด้วยการ”วิสามัญ” กองกำลังติดอาวุธของ”บีอาร์เอ็น” แต่เป็นเพราะ” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค “แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ไม่เดินเข้า”หลุมพราง”ของ”บีอาร์เอ็น” ทน”กล้ำกลืน” ให้”คนไทยพุทธ” ที่”เจ็บแค้น” กับความ”สูญเสีย” มองว่า”ทหาร”ในพื้นที่”ไม่มีน้ำยา” คุ้มครอง”ประชาชน”ไม่ได้ และหลังเกิดเหตุยังเอา”คนผิด” มาลงโทษไม่ได้อีก…..ดังนั้นทั้งเรื่องการ”แจ้งจับ” ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ และเรื่อง “สถานการณ์” ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงกลายเป็น”เผือกร้อน” ที่ “รัฐบาลชุดใหม่” จะต้องเป็นผู้”แก้ปัญหา” ต่อไป และนี่ก็เป็น”งานยาก” สำหรับ ผู้ที่จะมาเป็น”รมว.มหาดไทย และ รมว.ยุติธรรม” ที่ยังไม่รู้ว่า ตำแหน่งนี้จะเป็นของพรรคการเมืองไหน ระหว่าง”ก้าวไกล,เพื่อไทย” และ”ประชาชาติ”

 

รวมทั้งต้อง”จับตา” รัฐบาลใหม่จะมีการ”แต่งตั้ง” ให้ใครมาเป็น “แม่ทัพภาคที่ 4 “เพราะ”รัฐบาลใหม่” อาจจะมีคนของตนเองที่ “เชื่อมั่น” และ”ไว้ใจ” ซึ่งตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 4 อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจาก” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” ผู้มีฉายาว่า”นักรบหน้าขาว” เป็น “นายทหาร” คนอื่นก็เป็นไปได้สูง…..รวมทั้ง 30 กันยายน นี้  พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) ก็จะเกษียณอายุราชการ ซึ่งต้องติดตามดูว่า ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น” เลขาธิการ ศอ.บต. คนใหม่ จะเป็นใคร เพราะ ตำแหน่งนี้ มีความสำคัญกับงานใน”มิติ”ของการ”พัฒนา”และ”สังคมจิตวิทยา”ของพื้นที่”อ่อนไหว” อย่าง “จังหวัดชายแดนภาคใต้…..สำหรับ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. หลัง เกษียณอายุราชการ คงจะไม่”เงียบเหงา” เพราะด้วย”ความรู้” และ”ความ”สามารถ” ในเรื่องงาน”การข่าว” ทั้งในและนอกประเทศถือว่า”สุดยอด” เชื่อว่า “รัฐบาลใหม่” จะต้องมี”ตำแหน่ง” เพื่อทำหน้าที่ในการ”ดับไฟใต้” อย่างแน่นอน…..เช่นเดียวกับในวงการ”สีกากี” ที่ประชาชนผู้”เสพสื่อ” ต่าง”เอือมระอา” ตื่นขึ้นมา หยิบหนังสือพิมพ์ เปิดดู ทีวี มีแต่เรื่อง” ฉ่าวโฉ่” ของ “ตำรวจ” ในเรื่อง”ผลประโยชน์” การใช้”อำนาจ” ที่ไม่เป็นธรรม สำหรับ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ปีนี้” พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล “นายตำรวจ”น้ำดี” อีกคนหนึ่งที่ รับราชการอยู่ในภาคใต้ยาวนาน ก็จะเกษียณอายุราชการ “รองนายกรัฐมนตรี “ ที่จะได้มี”อำนาจวาสนา” มากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้อง”เฟ้นหา” นายตำรวจ”มือดี”มาทำหน้าที่ ผบช.ภ.9 .เพราะ เป็นพื้นที่ซึ่งนอกจากต้อง”รับมือ” กับเรื่อง”การก่อการร้าย” ที่เป็นเรื่อง”ความมั่นคง” แล้ว วันนี้ พื้นที่ของตำรวจภูธรภาค 9 ยังเป็นพื้นที่” ของเถื่อน” ทั้งเรื่องของ”บุหรี่, สุรา, น้ำมันเถื่อน” ที่”กลุ่มทุน” มี “ขบวนการใหญ่โต” ในการทำลายเศรษฐกิจของชาติ ที่สำคัญเรื่อง”ยาเสพติด” ที่ ภาคใต้ โดยเฉพาะ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือแหล่งค้ายาเสพติดเพื่อการ”ส่งออก” ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และยังเป็น”ปากประตู” ของการ”ค้ามนุษย์” ที่ ขบวนการลักลอบนำเข้า”คนเถื่อน” ต้องใช้”เส้นทางของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้ในการ”ส่งออก” ดังนั้น “ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 “ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และต้องเป็น”คนดี” ที่ทนทานต่อการ”เสียดทาน”ของผลประโยชน์ ที่”ล่อตาล่อใจ”ได้ด้วย

 

เมื่อหลักฐาน”มัดแน่น” มาตั้งแต่ ขบวนการ”จับกุม”และ”สอบสวน”ของ “ตำรวจ” และการ”สั่งสอบเพิ่ม” ในประเด็นต่างๆของ”พนักงานอัยการ” ในที่สุด คดีการ”บุกรุกขุดดินในสถานที่โบราณสถานเขาแดง” อ.สิงหนคร จ.สงขลา ผู้ต้องหาที่เป็น” พ่อ,แม่,ลูก” ครอบครัว”นักการเมืองท้องถิ่น” ที่ถูกเรียกว่า”คนโต” แห่ง “สิงหนคร” ก็ต้องเดินเดินเข้าสู่ “ขบวนการยุติธรรม” ถูก”พนักงานอัยการ” ส่ง”ฟ้องศาล” เป็นที่เรียบร้อย เป็นไปตามความ”ต้องการ”ของคนในจังหวัดสงขลา ที่ติดตามคดีนี้มาถึง 2 ปี และนี่คือ”บทพิสูจน์”ที่ว่า ถ้าผู้รักษา”กฎหมาย” ทำหน้าที่อย่าง”ตรงไปตรงมา” คนผิดก็ต้อง”รับผิด” ตาม บทบัญญัติของกฎหมาย….และ เมื่อวันที่ 14 มิ.ถุนายน ที่ผ่านมา”สุดใจ ไข่เสน ผอ.ปปช. สงขลา ก็มี หนังสือ ถึง พ.ต.อ.เอกรัฐ สวนเสน ผกก.สภ.สิงหนคร เจ้าของท้องที่เกิดเหตุ ขอรายละเอียดของเหตุแห่งคดี เพื่อที่ ปปช.จะได้”เอาผิด” ในเรื่องของการ”ทุจริต” อีก ข้อหาหนึ่ง

 

หลังจากที่”เดลินิวส์”ออกมา”แฉเส้นทางน้ำมันเถื่อน” และมีการจับกุม” น้ำมันเถื่อน 4  แสนลิตร ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์” ของเจ้าแม่น้ำมันเถื่อนใน”ภาคกลาง” ที่เป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่รับ”น้ำมันเถื่อน”จากภาคใต้” ซึ่งวันนี้มีการ”จับกุม” อย่างต่อเนื่อง ทำให้”ขบวนการน้ำมันทางบก”หยุดการขนถ่าย” แต่น้ำมันเถื่อน”กลางทะเล”ยังไม่ยอมหยุด”ใน”อ่าวไทย”ของภาคใต้” ขบวนการยังคุยโม้คุยโต ว่า”เคลียร์”กับ” ตร.ปนม.” ที่มี”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. ได้หมด เท็จจริงอย่างไร ต้องตรวจสอบ เพราะอาจจะเป็นการ”อ้างชื่อ” และ”จ่ายส่วย” ให้กับ “ตร.ปนม. ในพื้นที่ โดยที่”บิ๊กโจ๊ก” ไม่รู้ไม่เห็น….  ก็ต้องเป็นหน้าที่ของ  พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.สอบสวนกลาง ที่ต้องสั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญ ปานแก้ว ผบก.ทล. เข้มงวดกวดขัน”ทางหลวง” ให้มั่นคง เพราะ”น้ำมันเรือ” เมื่อขึ้นฝั่งต้องลำเลียงโดย”รถยนต์” และที่สำคัญ”ตำรวจทางหลวง” รู้หมดว่า บริษัทที่บรรทุกน้ำมันเถื่อนมีกี่แห่ง เป็นของใคร เพราะที่ผ่านมาทุก”บริษัท” ทุก”ขบวนการต่าง”จ่ายส่วย” ทั้งสิ้น  ก็ได้แต่หวังว่า การ”ปราบปรามน้ำมันเถื่อน” ครั้งนี้จะเห็นผลงานที่”เป็นชิ้นเป็นอัน”

 

ส่วนที่ จ.สตูล หลังจากมีข่าวเรื่อง”น้ำมันเถื่อนทางทะเล”พล.ร.ท.อาภากร อยู่คงแก้ว “ ผอ.ศรชล ภาค 3 ก็นำเรือลาดตระเวนใน”น่านน้ำ” ที่รับผิดชอบ เพื่อ ป้องกันการ ขนน้ำมันเถื่อน ที่”น่านน้ำอันดามัน” นอกจาก “น้ำมันเถื่อน” ยังเป็นเส้นทางลำเลียง”บุหรี่และเหล้า”    หนีภาษี รวมทั้ง”คนเถื่อน” อีกต่างหาก ถ้า”ลาดตระเวน”กันจริงจัง”ขบวนการ”สินค้าเถื่อน” ก็คงจะลักลอบลำบากขึ้น แต่โดยข้อเท็จจริง เส้นทางลำเลียง”สินค้าเถื่อน” ทั้ง” น้ำมันเถื่อน-หัวหอมหัวกระเทียม” จากประเทศมาเลเซียมี”รายใหญ่” เพียงไม่กี่ราย ที่นำ”ของเถื่อน”ออกจาก มาเลเซียทางรถยนต์ผ่านด่านวังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล ซึ่งต้องเรียกว่าทำกัน”เป็นล่ำเป็นสัน” นายด่านวังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล จะเห็นหรือไม่ไม่รู้…..ที่ จ.สตูล วันก่อน ฝนตกน้ำท่วมถึง 5 อำเภอ ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 12 ตำบล 64 หมู่บ้าน “ไพศาล ขุนศรี ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำเจ้าหน้าที่ ประสานกับฝ่ายปกครอง และท้องถิ่น ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างเต็มความสามารถ  หลังจากนี้ “ชาตรี ณ ถลาง” รักษาการ  ผวจ.สตูล ต้อง กำชับให้ นายอำเภอแต่ละอำเภอ สำรวจความเสียหายเพื่อให้ช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็ว

 

ที่”หาดชลาทัศน์สงขลา”  มีการปักป้ายป้องกัน”แมงกระพรุนพิษ” ยาวตลอดชายหาด เพื่อมิให้นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ ก็ต้องชื่นชม “ วันชัย ปริญญาศิริ” นายกเทศมนตรีเทศบาลนครสงขลา ที่”เอาใสใส่” ทำการ”ล้อมคอกก่อนวัวหาย” และหวังว่า ปีนี้จะไม่มี “นักท่องเที่ยว” ต้อง”เสียชีวิต” จากการลงเล่นน้ำทะเล เหมือนที่ผ่านมา กำชับ เจ้าหน้าที่ต้อง”ปักป้ายเตือน” และต้องเตรียมพร้อม ทั้ง”เจ้าหน้าที่” และ”ยานพาหนะ” ในการ”กู้ภัย” ให้ทันท่วงทีเมื่อมีเหตุ…..”ขายขี้หน้า” ป้ายบอกทาง สี่แยกคลองหวะ  ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็น”ถนนสายหลัก” จาก สงขลาไปยังประเทศมาเลเซีย เขียนว่า”ห้ามรถยนต์” ตงแต 6 ล้อข้นไป” คนที่”สัญจร”ผ่านไปมาอ่านแล้ว”ขบขัน” สงสัยว่า “แขวงทางหลวงสงขลา” คงจะจ้างให้”พม่าเขียน” ภาษาไทยจึงได้”วิบัติ”ได้ขนาดนี้” สมคะเณ เสมทัพพระ “ ผอ.แขวงทางหลวงสงขลา” ทราบแล้วเปลี่ยน” อายเขานะ

 

ที่ “ด่านนอก” เมืองชายแดนไทย-มาเลเซีย เทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา มี”อาคารหลังใหญ่เป็นที่ตั้งของบ่อนการพนันออนไลน์” ที่ ตำรวจไม่กล้า”แตะต้อง” เพราะเจ้าของนอกจาก”จ่ายส่วยหนัก”แล้วยังเป็นพวก”เส้นก๊วยจั๊บ” ก็ฝากไปถึง” พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค “  ส่งทีมงานมาตรวจสอบ และจับกุมด้วย……ที่ กรุงเทพ “ผับเถื่อน” ที่มีการเปิด”ร้านอาหารบังหน้า” ยังไม่รอดสายตาของ” ชุดเฉพาะกิจฝ่ายปกครอง” แต่ที่”หาดใหญ่ จ.สงขลา” “ผับเถื่อน” หรือร้านอาหารที่ไม่มี”ใบอนุญาต” และยัง”เปิดเกินเวลา” มีเป็น สิบๆ แห่ง ทั้งที่อยู่”ใกล้วัด” และ”สถานศึกษา” ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แสดงว่าที่เปิดได้ และไม่”ถูกจับ” ไม่ถูก”ตรวจฉี่” ถ้า”เจ้าของ” เส้นไม่ใหญ่ “ เจ้าหน้าที่ เจ้าของพื้นที่ก็ต้อง”เส้นก๊วยจั๊บ” เพราะแม้แต่”ชุดเฉพาะกิจกระทรวงมหาดไทย” ก็ยังไม่กล้าแตะต้อง ประชาชน ที่มี”บ้านเรือน” ใน”ละแวกนั้น” ที่”ร้องเรียน”กันมา ก็”อดทน อดกลั้น” กับเสียง”หนวกหนู” ให้ได้นะ เพราะ “ร้องเรียน” อย่างไร ก็ไม่มี”เจ้าหน้าที่”หน่วยไหนสนใจ

 

เมื่อ”เพื่อนบ้าน” อย่าง”เมียนมาร์” ประสพภัยสงคราม ก็”หนีตาย” มาเป็นแรงงานเถื่อนใน”ไทย” และ”มาเลเซีย” เมื่อ”ประเทศ สปป.ลาว” เศรษฐกิจย่ำแย่ “คนลาว” ก็ เดินทางมา”ไทย” เพื่อหางานทำ  มีทั้งที่เข้ามา”ถูกต้อง” และที่”หลบหนีเข้าเมือง” แถมยังมี”โรฮิงยา” ที่ “ลี้ภัย” จาก”เมียนมาร์” มาสมทบ โดยส่วนหนึ่งมี”จุดหมายปลายทาง” ที่ภาคใต้ของไทย และที่ “มาเลเซีย” วันนี้ จังหวัดชายแดนภาคใต้จึง”คลาคล่ำ”ไปด้วย”คนเถื่อน-แรงงานเถื่อน” จับทุกวัน ก็ไม่หมด เพราะการนำ”คนเถื่อนข้ามประเทศ” กลายเป็น”อาชีพของคนไทย” ที่ยอมเสี่ยงกับ”ค่าหัว”ในประเทศไทยในการส่งถึงชายแดน”มาเลเซีย” หัวละ 15,000 บาท ถ้ารวม”ค่าจ้าง” ในการ”นำหลบหนีเข้าเมือง ตั้งแต่”ต้นทาง”จนถึง”ปลายทาง”หัวละ 150,000 บาท เรื่องนี้ถ้าไม่มีการ”แก้กฎหมาย” เพื่อ”เอาผิด” กับผู้ที่”นำพา” คนเถื่อน”ข้ามประเทศ” ให้มี”โทษหนัก” คงจะแก้ไขไม่ได้ และการ”ปราบปรามจับกุมคนเถื่อน” ก็จะกลายเป็นภาระหนักของประเทศไทย ลำพัง พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม. 6 จับอย่างไรก็ไม่มีทางหมด แถมยังเปลือง”งบประมาณ” ในการเลี้ยงดูอีกต่างหาก

 

เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายเริ่มตั้งขอสงสัย และถามมาว่า ในเมื่อสถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ไม่มีการสู้รบไม่มีสงคราม” ที่เข้า”เงื่อนไข” ให้หน่วยงานกาชาดสากล หรือ”ไอซีอาร์ซี” เข้ามา ทำหน้าที่ ในการ ช่วยเหลือ”เชลยศึก” และแจก”ข้าวปลาอาหาร” แก่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่สงคราม แล้ว ทำไม่”ไอซีอาร์ซี” จึงไม่ยอมที่จะ ออกจากพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่อยู่มาตั้งแต่ปี 2559 และ วันนี้”ไอซีอาร์ซี” ก็เข้าพบ หน่วยงานของรัฐ ให้วุ่นวายไปหมด และต้องให้การ”ต้อนรับ” เพราะความ”เกรงใจ” ในฐานะที่เป็น”องค์กรในสหประชาชาติ” เรื่องนี้ “พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) และ “ดอน ปรมัตถ์วินัย “ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศต้อง ดำเนินการ ให้”ไอซีอาร์ซี” ออกจากพื้นที่ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้   และโน่น สถานที่ควรไปคือ”เมียนมา” เพราะที่นั้นมี”สงคราม” และ”ประชาชน” เดือดร้อน

 

วันที่ 9 ที่จะถึงนี้  เป็นวันที่”ประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองเก่าแก่ที่”ยกย่องตนเอง” ว่าเป็น”สถาบันทางการเมือง” จะมีการ เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งจะเป็นการ”ชี้ชะตา” ว่าจะเป็นยุค ”ประชาธิปัตย์ผลัดใบ” หรือการเดินทางไปสู่”สุสาน”  ที่เป็น”จุดจบทางการเมือง” ก็ให้ดูจาก ผู้ที่จะมาเป็น”หัวหน้าพรรค” วันนี้มีชื่อของหลายคน เช่น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” (เจ้าเก่า) “อลงกรณ์ พลบุตร” ที่ เสนอตัว ให้เป็น”ทางเลือก” และใครต่อใครอีกหลายคน รวมทั้ง”เดชอิศม์ ขาวทอง” ( นายกชาย) ถูก”จับจ้อง” ในฐานะที่มี”สส.ภาคใต้” อยู่ในมือมากที่สุด….แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตา ‘สัญญาสุภาพบุรุษ’มีอยู่จริงหรือแค่กลลวง!

เรื่องของ”การเมือง” เรื่องของการ”จัดตั้งรัฐบาล” ที่กำลังงวดลงทุกขณะ  ตำแหน่ง “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” และ” ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” จะเป็นของ”ก้าวไกล” หรือ”เพื่อไทย” หรือจะเป็น”รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ที่มี”บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ  “ เราๆ  ท่านๆ”  ผู้”เสียภาษีให้รัฐ” ในฐานะผู้”มีสิทธิ์เลือกตั้ง” แต่หลังจาก”หย่อนบัตร” เลือก ตั้งแล้ว ก็กลายเป็น”คนนอก” ที่ ปล่อยให้ “พรรคการเมือง” และผู้มีอำนาจ”นอกรัฐธรรมนูญ” เป็นผู้”จัดการ” ตั้ง”รัฐบาล”  ก็ต้องอดใจรออีกนิด” ก็จะรู้ว่า พรรคไหน และ “หน้าไหน” ที่จะได้เป็น”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 ของประเทศไทย เพราะดูตาม”รูปการณ์”แล้ว การเมืองวันนี้ยังอยู่ใน”วังวน” ของ”อีหรอบเดิม”ที่ ประชาชน”ผู้เลือก สส.” ไม่มีสิทธิ์ในการเลือก”นายกรัฐมนตรี” ของพรรคการเมือง ที่ถูกเลือกมาเป็น”อันดับหนึ่ง” …… ก็ต้องติดตามดูว่า ถ้า” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ไม่ได้เป็น”นายกรัฐมนตรี” ประเด็นที่ 1  พรรคก้าวไกล จะเป็น”ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล ประเด็นที่สอง “มวลชน” ที่เลือก”ก้าวไกล” โดยเฉพาะใน กรุงเทพฯ” ที่”ก้าวไกล” กวาดที่นั่ง สส.เกือบหมด โดยแบ่งให้”เพื่อไทย” เพียงเขตเดียว จะมี”ปฏิกิริยา” อย่างไร และจะ”ลงถนน” เพื่อแสดง”พลัง”หรือไม่….และหาก”เพื่อไทย” เป็น “รัฐบาล” จะมีคำตอบให้สังคมอย่างไร หรือเป็นการทำ”เพื่อชาติ” เพื่อให้”ประเทศไทย” ได้”ไปต่อ” อย่างนั้นหรือ  และหาก”ก้าวไกล” เป็น”ฝ่ายค้าน” เพื่อไทย”ต้องเอาพรรค”ลุงป้อม”และพรรค”เสี่ยหนู” มาร่วมรัฐบาล ก็ต้องมีคำตอบให้กับ”สังคม” เช่นกัน

 

ยังมีเรื่อง”สัญญาสุภาพบุรุษ” และมีการ”ยึดมั่น ถือมั่น” ในเรื่องของ”สัจจะ” ของ”นักการเมือง” ที่”คนไทยถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ” แต่สำหรับ “นักการเมือง” อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญ ในเรื่อง”สัจจะวาจา”มากกว่าการได้เป็น”รัฐบาล” และ”รัฐมนตรี”ก็เป็นได้   ก็ได้แต่”หวังว่า” บ้านเมืองจะ”ไปรอด” และ”ขุนทหาร” คงจะไม่”ฉวยโอกาส” ที่บ้านเมือง”วุ่นวาย” นำ”รถถัง” ออกมาเพื่อ”ยึดอำนาจ” อีกครั้ง  ไอ้ที่บอกว่า “ไม่มีปฏิวัติ “ ไม่มีอีกแล้ว ทำไม่ได้อีกแล้ว ไอ้นี้แหละที่น่ากลัว…..สถานการณ์ของประเทศไทยใน”ภูมิภาค” อื่นๆ ไม่ทราบว่า เป็นอย่างไร   แต่สถานการณ์ใน”ภาคใต้” มี สภาพที่”เงียบงันทั้งแผ่นดิน” ร้านค้า, ร้านอาหาร ,ศูนย์การค้า, สถานที่ท่องเที่ยว, มีผู้คน”โหรงเหรง” ร้านอาหาร เปิดบ้าง ปิดบ้าง จะมี”นักท่องเที่ยว” เข้ามาก็ช่วง “ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์” ส่วนวันจันทร์ ถึง พฤหัสสับดี มีแต่ความ”เงียบเหงา” ที่”เงียบงัน” วังเอ๋ยวังเวง สำหรับ “เศรษฐกิจ” โดยรวมของภาคใต้  รวมทั้งเรื่องความ”เสดสา” ของ “ชนชาวรากหญ้า” ที่ยิ่งนานวันยิ่ง”ชักหน้าไม่ถึงหลัง” สภาพของ”คนจน” ไม่ใช่”หาเช้ากินค่ำ” อย่างในอดีต แต่กำลังกลายเป็น”หาเช้า กินเช้า” และ”หาค่ำกินค่ำ”และถ้าหา”ไม่ได้”หมายถึง”อดกิน” และนี้คือ”เหตุผล” ที่ ทุกฝ่ายต้องการเห็น”รัฐบาลใหม่” เข้ามา บริหารประเทศโดยเร็ว เพราะ”สารพัดปัญหา” กำลังรอผู้ที่มี”ฝีมือ” เข้ามาแก้ไข

 

หลังจากถูก”กดดัน” จาก”หลายภาคส่วน” ในที่สุด พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ก็มอบหมายให้ “พ.อ.เฉลิมชัย  สุทธินวล” ผอ. สกส. กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ คณะ เข้ายื่น หลักฐานเพื่อให้”พนักงานสอบสวน”เอาผิด” กับ “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติปัตตานี และ คณะ และ บุคคล ที่ รวมกันจัด “เสวนา” ในหัวข้อ “การกำหนดอนาคตตนเอง กับสันติภาพ ปาตานี” และการจัดให้มีการ”ลงประชามติการแบ่งแยกดินแดน” แบบ”จำลอง” ที่ห้องประชุม ศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา…..วันนี้”เผือกร้อน” เปลี่ยนมือจาก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มาอยู่ในมือของ “ตำรวจ” สภ.เมือง ปัตตานี ซึ่งนอกจากรับเรื่อง”ร้องทุกข์ กล่าวโทษ ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวโทษ ให้ดำเนินการ”เอาผิด” กับ”องค์กร,คณะ” และ”บุคคล” ที่เกี่ยวข้องใน”ความผิด”ต่อกฎหมาย รัฐธรรมนูญ , กฎหมายอาญา” และ “พรบ.คอมพิวเตอร์ “ แล้ว ยังมี “สำนวน” ของ”ประชาชนชาวพุทธ ที่ไป”แจ้งความร้องทุกข์” ให้ “พนักงานสอบสวน” ดำเนินคดีกับ”ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” พรรคการเมือง และ คณะบุคคล ที่ร่วมกันกระทำความผิด” เช่นกัน “  พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ” ผบก.ภ.จว. ปัตตานี คงต้องใช้เวลา ในการ สอบสวน ขอเท็จจริง ก่อนที่จะ “ออกหมายเรียก” ผู้ที่ถูก”กล่าวหา” มารับทราบข้อหา…..ประเด็นที่ต้อง “ติดตาม” คือ” หลังจากนี้ จะมีความ”เคลื่อนไหว” จาก”องค์กรต่างๆ” ที่”เห็นต่าง” ในการ “จับกุม” ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ ครั้งนี้ จะออกมา”เคลื่อนไหว” อย่างไร และที่สำคัญ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็น” ทั้งที่เป็น”ปีกทางการเมือง” ที่มี”องค์กร” ในกลุ่ม”ภาคประชาสังคม” ในพื้นที่ จำนวนมาก จะ”เคลื่อนไหว” อย่างไร” และ “กองกำลังติดอาวุธ” จะได้รับคำสั่งจาก”แกนนำ” ที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย  เพื่อให้ เร่งความถี่ ในการ”ก่อการร้าย” เพื่อ”ตอบโต้” การ”จับกุม” ขบวนการนักศึกษา และภาคประชาสังคม หรือไม่

 

ซึ่งหากมีการ “ก่อการร้าย”เพื่อ”ตอบโต้”เกิดขึ้น  ผู้รับเคราะห์ในการ”สูญเสีย”คือ ประชาชน”บริสุทธิ์”  อย่าง “ชาวบ้าน,พระภิกษุ และ เป้าหมาย “อ่อนแอ” อื่นๆ ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าต้อง”มีแผน” ในการ”รับมือ” อย่างปล่อยให้ผู้”บริสุทธิ์” ต้องการเป็น”เหยื่อ” ของสถานการณ์ของความ”ขัดแย้ง”…. และ แน่นอนว่า “บีอาร์เอ็น” ต้อง ออกมา”ประณาม” การกระทำของ “กอ.รม“.ภาค 4 ส่วนหน้า” ว่า เป็นการ”ขัดขวาง” บรรยากาศของการ”เจรจาสันติภาพ” เป็นการทำลายบรรยากาศสภาวะแวดล้อมของการเจรจา เพราะ”บีอาร์เอ็น”เก่งทางด้าน”ไอโอ” ส่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”อ่อนด้อย” และไม่ให้ความสำคัญ ในเรื่อง”การสื่อสารกับสังคม”….. จะฝากความหวังไว้กับ “สล. 3  “  หรือ “คณะประสานงานระดับพื้นที่” เพื่อให้ไปทำหน้าที่”สื่อสารข้อเท็จจริง”กับ”ประชาชน” ให้เข้าใจถึง สถานการณ์ที่แท้จริง ก็คงจะยากนะ เพราะ”สล 3” ขาด ความรู้ ความเข้าใจที่”ลึก”ที่เป็นของจริง ของ สถานการณ์ จังหวัดชายแดนภาคใต้  แม้แต่เรื่องที่”องค์กรต่างชาติ” ทั้ง”เจนีวาคอลล์” ทั้ง”ไอซีอาร์ซี” และ อื่นๆ อีกมากมาย ที่เข้ามา”เคลื่อนไหว” และเป็นผู้อยู่”เบื้องหลัง” ของ สถานการณ์ ที่เกิดขึ้น  คณะของ “สล.3  “ส่วนใหญ่ ก็ไม่เข้าใจ และที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ทหารของ “สล.3” ก็ไม่เคยให้”ความรู้”  ในเรื่องเหล่านี้ให้ทราบ

 

ที่สำคัญ”ไฟใต้” ยุคใหม่ มีการ”เชื่อมโยง” กับ”องค์กรของ”ชาติตะวันตก” ที่เข้ามา”ขับเคลื่อน” ทั้งในการการให้การ”สนับสนุน” กลุ่มของ”องค์กรนักศึกษา” และกลุ่ม”ภาคประชาสังคม” รวมทั้ง”กลุ่มของ”ภาคประชาชน” ด้วยการ”สนับสนุน” งบประมาณ ให้ พัฒนา “โน้น นี่ นั้น” ซึ่งมีเบื้องหลัง  หลายเรื่องเป็นเรื่อง”การหลอกฝรั่ง” จาก”ภาคประชาชน “และ”ภาคประชาสังคม “ แต่หลายเรื่อง”ภาคประชาชน” และ”ภาคประชาสังคม”ถูก”ฝรั่งหลอกใช้” ในขณะที่”ภาคประชาสังคม” ก็”กระโดดเข้าใส่” เพราะต้องการ”เงินสนับสนุน” ในการทำ”โครงการต่างๆ”ทั้งหมดทั้งปวงของ”ประเด็นปัญหาของไฟใต้” คงจะต้องรอ”รัฐบาลใหม่” ว่า ใครจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรงกลาโหม” ใครจะเป็น”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” และ”ใครจะมาเป็น”รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม” และใครที่จะเป็น”รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง” เพราะเป็นกระทรวงที่มี”หน้าที่” ในการแก้ปัญหาของ”ไฟใต้”….. ส่วนพรรคการเมืองบางพรรคที่เคย”หาเสียง” ว่า ถ้าได้เป็น”รัฐบาล” จะ”ยุบ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และจะ”ยุบ” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ตอน”หาเสียง”นะ”พูดได้เพราะพูดเพื่อ”ความมัน” แต่ตอนที่เป็น”รัฐบาล” คงต้อง”คิดหนัก” เพราะก่อนที่จะ”ยุบนั่นยุบนี่” ต้องมีการตั้ง”องค์กร”มา”รองรับ”ในการ ดูแลความปลอดภัยของ “ประชาชน”ในพื้นที่ โดยเฉพาะ”ไทยพุทธ” ก็ขนาดมี”ทหาร” ทั้งหลายกองพล มีทหารพราน 5-6  กองพัน อยู่ในพื้นที่  “กองกำลังติดอาวุธของ บีอาร์เอ็น ” ยัง”เข่นฆ่า” ชาวไทยพุทธ และ “เจ้าหน้าที่” แบบ”ตามอำเภอใจ” ถ้าไม่มี”ทหาร”แนวร่วม คงยึด”หมู่บ้าน” ได้หมด และ”งานปฏิวัติมวลชน” งาน”ปฏิวัติ”เยาวชน” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็คงประสบผลสำเร็จเร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้

 

ส่วนการ”ยุบ” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต.) ก็ไม่ใช่”ของง่าย” เพราะ ประชาชน”ส่วนใหญ่” โดยเฉพาะ”มุสลิม” ยังต้องการ “ศอ.บต.” และในการประชุม คณะกรรมการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่ ศอ.บต. คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ทั้งหมด จำนวน 54 คน จาก ทุกสาขาอาชีพ ยืนยันว่า ศอ.บต. ยังมีประโยชน์กับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ที่ “ศอ.บต.” มีปัญหาของการ”ขับเคลื่อน” เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกรัฐมนตรี เข้ามา”ยึดอำนาจ” ได้”บอนไซ” ศอ.บต. เพื่อให้เป็น”ลูกน้อง” ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถ้า”รัฐบาล”ชุดใหม่ ต้องการแก้ปัญหาในมิติ”การพัฒนา” และ”สังคมจิตวิทยาให้ได้ผล ” ก็ต้องให้ “ศอ.บต.”เป็น”อิสระ” ไม่ไปเป็น”ลูกน้อง”ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ”ให้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำหน้าที่ด้านการ”รักษาความสงบ” ด้านเดียว สถานการณ์ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะดีขึ้น ทั้งด้าน”การทหาร” และ”การเมือง” พูดง่ายๆ คือ”ไฟใต้” เดินได้ถูกทางด้วย”การเมือง นำการทหาร” นั่นเอง….ที่สำคัญ หลัง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีการ”กล่าวโทษ” ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” และ “ผู้เกี่ยวข้อง” ก็มีรายงาน”ข่าว” จาก”สายข่าว” ของ”หน่วยงานความมั่นคง” ถึงความ”เคลื่อนไหว” ของ” กองกำลังติดอาวุธ” ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา มีการ”สั่งการ” ให้ป้องกันการ”ก่อการร้าย” ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ เขตเทศบาลนครยะลา ซึ่งหลังมีการแจ้งข่าว” พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา มีการ”ตรวจเข้ม” ในพื้นที่”เป้าหมาย” และ”เส้นทาง เข้า-ออก “ เพื่อป้องกัน การก่อเหตุจาก”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ”อย่างน้อย ประชาชน ก็รู้สึก” อุ่นใจ”

 

ส่วน 4 อำเภอของ จ.สงขลา ก็ขอเตือนให้กำลังที่รับผิดชอบในพื้นที่  ไม่ว่าจะเป็น “ตำรวจ-ทหาร –ปกครอง” โดยเฉพาะ “ตำรวจตระเวนชายแดน” ที่เป็น”กำลังหลัก” ในพื้นที่อย่างได้ตั้งอยู่ในความ”ประมาท”  เพราะในพื้นที่ 4 อำเภอ ยังมี “กองกำลังติดอาวุธ” ทำการ”เคลื่อนไหว” มีความพร้อมที่จะก่อเหตุ ผู้ทำหน้าที่” ผบ.ฉก.สงขลา ต้องมีความพร้อม  และต้องเน้นในการ”ป้องกัน” ไม่ใช่ปล่อยให้”มีเหตุ” แล้วค่อยติดตาม “ไล่ล่า,ผู้ทำผิด…..ที่ต้อง”จับตามอง” ในการทำงาน”เชิงรุก” ของ” พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  เกือบจะไม่เห็น ….คือ หลังเกิดเหตุ” วางระเบิดแสวงเครื่องพระภิกษุ” ที่ อ.ระแงะ วางระเบิดทหารพรานที่ อ.จะแนะ วางระเบิด”พรานหาของป่า” ที่ อ.จะแนะ และยิง”พรานหาของป่า”  ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และ “วางระเบิดแสวงเครื่อง” ต่อ”ชุดคุ้มครองตำบล” ที่ ต.ตะโล๊ะดือรามัน  อ.กระพ้อ จ.ปัตตานี กำลังของ”ทหาร” ไม่มีการ “ไล่ล่า” การ”ตรวจค้น” เพื่อ ดำเนินการกับ”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” เพื่อการ”จับกุม”ผู้ก่อเหตุมาลงโทษ แต่อย่างใด  ประเด็นนี้ ก็เป็นการทำให้”ขวัญ กำลังใจ” ของ “สุจริตชน” ในพื้นที่”ถดถอย” เพราะเสมือนว่าหน่วยงานของ”ตำรวจ,ทหาร” ที่มีอยู่ ไม่สามารถทำอะไรกับ”แนวร่วม” และ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น”ได้ โดยปล่อยให้”ศัตรู” กระทำต่อ “ เจ้าหน้าที่รัฐ” และ” ประชาชน” ผู้”บริสุทธิ์” เพียงฝ่ายเดียว…..

@วันที่ “พืช,ผัก,ผลไม้” กลายเป็น สิ่งของ ที่ “คนร้าย” ซึ่งอาจจะ”ว่างงาน” หรือไม่ก็ติดยา”เสพติด” เข้าไป “ลัก ขโมย” เพื่อนำไปขาย” เกษตรกร” จำนวนมาก ในหลายจังหวัด “เดือดร้อน” เกษตรกรหลายอำเภอใน จ.สงขลา ก็ถูก”โจร” หรือ”คนร้าย” เข้าไป “ลักขโมย” ผลผลิตทางการเกษตร เป็นจำนวนมาก เรื่องนี้ต้องฝากให้ “ พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ “ ผบก. ภ.จว. สงขลา “ติวเข้ม” ตำรวจในทุก สภ.เพื่อ”คลายทุกข์” ให้กับ เกษตรกร ด้วย…..ใน ข่าวร้ายๆ ก็มี”ข่าวดี” เรื่องการจ่ายเงิน”เยียวยา”เจ้าของเรือประมง ที่ จ.ปัตตานี  ซึ่งเข้าโครงการ”ขายเรือ” เพราะกฎหมายของ”ไอยูยู” ที่”คาราคาซัง” มาเป็นเวลาหลายปี และมีการ”รวมพลัง”ของ “เจ้าของเรือ” ในการ”กดดัน” เจ้าหน้าที่ให้เร่งดำเนินการ ขณะนี้ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) โดย “พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” แจ้งความคืบหน้าว่า ได้ดำเนินการ “จ่ายเงินค่าเรือ” ให้กับ”เจ้าของเรือ”ไปแล้วถึง ร้อยละ 80 เหลือเพียงเรื่องการ “ทำลายเรือทิ้ง” ทุกอย่างก็จะจบขบวนการ และ เป็น “จังหวัดแรก” ของ 22 จังหวัด ที่ ทำได้สำเร็จ…..ส่วนอีกเรื่อง คือ”นักศึกษาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 150 กว่าคน ที่ไปศึกษาที่”ประเทศชูดาน” และต้องเดินทางกลับประเทศไทย”เพราะสงครามในชูดาน” ซึ่งกลายเป็น”ภาระหน้าที่” ของ”ศอ.บต. ในการหา”ที่เรียน”ในประเทศ เพื่อให้จบ”หลักสูตร” ซึ่งเป็น”งานหนัก”ของ”ศอ.บต. ในการต้อง”บูรณาการ” กับ สถาบันการศึกษา ขณะนี้ หลายคณะหลายหลักสูตร มีที่เรียนแล้ว ส่วนที่ยังเป็นปัญหา “ศอ.บต. จะเร่งดำเนินการให้ “นักศึกษา”ทุกคนมีที่เรียน ตาม นโยบายของ ศอ.บต. ที่จะ”ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

 

นี่ก็เป็นข่าวดี สำหรับคนในภาคใต้ เมื่อรถไฟรางคู่ จาก”สุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา “ ผ่าน”อีไอเอ” แล้ว รอเรื่อง”งบประมาณ” เท่านั้น ในอนาคต การสัญจรด้วย”รถไฟ” ระหว่างคน”ชายแดนภาคใต้” กับ”กรุงเทพมหานคร” คง “สะดวก” และ”ประหยัดเวลา ได้มากขึ้น เรื่อง”รถไฟรางคู่” ถึง จ.สงขลา จำได้ว่า ครั้งที่ “ธำรง เจริญกุล” เป็น “ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา” ได้ ทำหนังสือถึงรัฐบาล” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ขอสนับสนุน ให้มีการสร้าง”รถไฟรางคู่” ให้ถึง จ.สงขลา เพื่อการ”พัฒนาเศรษฐกิจ” ของภาคใต้ เรื่องนี้”คนสงขลา” คงไม่ได้รับรู้มากนัก…..

@เรื่องของ”ส่วยน้ำมันเถื่อน” ในภาคใต้ หลัง”เดลินิวส์” ทำการ”เปิดโปง” รายชื่อ”เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน” ตั้งแต่”ปากน้ำประแสร์” จ.ระยอง จนถึง “อ่าวไทย” จ.นราธิวาส เล่นเอาวงการ”ส่วย” และ”ผู้ค้า”ระส่ำระสาย” กันยกใหญ่” อานิสงส์” ที่ได้จากการ”เปิดโปง” คือ วันนี้ ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน”ทางบก” เงียบกริบ เพราะมีการสั่ง”ไอ้เสือถอย” ชั่วคราว รอให้”ส่วนกลาง” หยุด”เพ่งเล็ง” และ”สื่อ”หยุด”ขุดคุ้ย” เดี๋ยวค่อยดำเนินการต่อ จนกว่าสถานการณ์”ปกติ” ทราบแล้วเปลี่ยน……… แต่สำหรับที่ “สงขลา” ถือว่า”เส้นใหญ่” ยังไม่หยุด “น้ำมันเถื่อนทางทะเล” ยังมีการ”ลำลียง” ขึ้นฝั่ง ทั้งในพื้นที่ ชายฝั่ง “สิงหนคร” และ”เมืองสงขลา” ที่”อ.หัวไทร. อ.ท่าศาลา” จ.นครศรีธรรมราช โดยมีสอง”หุ้นส่วน” เป็นผู้ควบคุมการดำเนินการ….. ผู้ประกอบการ”ปั้มน้ำมัน” ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช” ข้องใจ” ที่มี”ปั้มน้ำมัน” บางแห่ง ขายน้ำมันดีเซลในราคาลิตรละ 29 บาท ในขณะที่ปั้มน้ำมัน ที่ซื้อน้ำมัน”จากคลัง” น้ำมันที่”ถูกต้องตามกฎหมาย” ซื้อในราคา 31 บาท และขายในราคา ลิตรละ 33 บาทเศษ ความผิดปกติที่เกิดขึ้น” แสดงว่า”เจ้าของปั้ม” ที่ขายน้ำมัน”ราคาถูก” ซึ่งสันนิษฐาน”ว่าเป็น”น้ำมันเถื่อนทางทะเล” ที่มี”ขบวนการค้าน้ำมันนำมาขายลิตรละ 26 บาท  มาขายให้กับประชาชนแล้ว”สรรพากร” จ.นครศรีธรรมราช เคยให้ความ”สนใจ” ไป “ตรวจสอบ” หลักฐานการ”ซื้อ-ขาย” และการ”เสียภาษี” หรือไม่อย่างไร

 

มีผู้ให้”เบาะแส” ว่าในพื้นที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา มี”แหล่งผลิต” สุราปลอม  ทั้งที่เป็น”เหล้านอก” และ”เหล้าไทย” ยี้ห้อ”รี…..” และ ส่งขายให้กับ”ร้านค้า,โรงแรม,สถานบันเทิงใน.จ.สงขลา และ”ใกล้เคียง” “นายทุน” เป็นคนๆเดียวกับที่ เคยถูก”ทหาร” จับกุมและยึด”ของกลาง” ได้ที่ ชายแดนไทย-มาเลเซีย อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อหลายปีก่อน มีข่าวมาบอกแค่นี้ ส่วนเป็น”หน้าที่”ของ”หน่วยงานไหน ในการ”ตรวจสอบ”และ”จับกุม” ก็ว่ากันไป…..เรื่อง”วุ่นๆ” ใน “ตลาดการค้าทุเรียน” ที่มีตั้งแต่การ”หลอกขายทุเรียนอ่อน” การนำ”ทุเรียนเถื่อน” เข้ามา”สวมสิทธิ์” ทุเรียนไทย ล่าสุด”ตลาดทุเรียนภาคใต้” ส่อเค้ามีปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อมีการตรวจพบว่า”ใบ จีเอพี “ของสวนทุเรียนในภาคใต้ถูก”นำไปใช้แล้วก่อนหน้านี้”  เรื่องนี้ต้องมี”ไอ้โม่ง” อยู่เบื้องหลัง ที่”จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้อง”หาให้เจอ” และนำตัวมา”ลงโทษตามกฎหมาย” รวมทั้งต้องเร่ง”แก้ปัญหา” ที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะเป็น”ฤดูกาล” ที่ ผลผลิตทุเรียนจาก”จังหวัดชายแดนภาคใต้” กำลังออกสู่ตลาด อย่าให้”ชาวสวน” ที่จะได้”ลืมตาอ้าปาก” ถูก”ล้งจีน” และ”พ่อค้าคนกลาง” ฉวยโอกาสที่มีปัญหา”กดขี่ข่มเหง”

 

วันนี้คน”ภาคใต้” ที่เป็น”เอฟซี” ของพรรคประชาธิปัตย์ ถามไถ่ให้แซดว่า “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่” จะเป็นใคร หลังจากที่มีข่าว”หนาหู” ว่า”เดชอิศม์ ขาวทอง” หรือ”นายกชาย” จะ”ขึ้นลิฟท์” เป็น”หัวหน้าพรรคคนใหม่ของประชาธิปัตย์” ซึ่ง” เดชอิศม์ ขาวทอง” รองหัวหน้าพรรค และ สส.เขต 5 สงขลา ก็ได้ออกมา”ปฏิเสธ”ว่า ตนเองยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็น”หัวหน้าพรรค”เพราะ”พรรษา”ยังไม่ถึง  แต่ในเมื่อเรื่องของ”การเมือง” เป็นเรื่อง”อำนาจ”และ”ผลประโยชน์” และความ”แน่นอน”คือความ”ไม่แน่นอน”การที่”เณร” จะได้เป็น”เจ้าอาวาส” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้วในสมัยนี้”เดชอิศม์ ขาวทอง” อาจจะเป็น หัวหน้าพรรคคนใหม่ของประชาธิปัตย์ ก็มีความเป็นไปได้…..ในขณะที่”นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต รมช.มหาดไทย”ที่เป็น”ลูกหม้อ” ของ”ประชาธิปัตย์” ให้ความเห็นว่า “ประชาธิปัตย์” มี”ขั้นมีตอน” มี”กติกา” ที่ชัดเจนในการ”เลือกหัวหน้าพรรค” แต่เท่าที่ทราบวันนี้ผู้ที่”ยึดกุม” คะแนนเสียงของผู้ที่มี”สิทธิ์โหวต” ลงคะแนนเลือก”หัวหน้าพรรค” อยู่ใน”กำมือ” ของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน”รักษาการ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็น”พันธมิตร” กับ”เดชอิศม์ ขาวทอง” อย่าง”แนบแน่น” ก็ต้องจับตามองการเลือก”หัวหน้าพรรค” ครั้งนี้ของ”ประชาธิปัตย์” ที่จะเป็นการกำหนด” อนาคต” และ”ชะตากรรม” ว่า”ประชาธิปัตย์” จะเดินต่อใน”ถนนสายการเมือง” แบบเป็นพรรคของ”ประเทศไทย” หรือเป็นพรรคการเมืองของ”ท้องถิ่น” เพื่อ”แบ่งพื้นที่ของ”ภาคใต้” กับ”พรรคประชาชาติ”ของ”วันมูหะมัดนอร์   มะทา”.….พูดถึง”พรรคประชาชาติ” ที่ถูกกระแสของ”การแบ่งแยกดินแดน” จาก”ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” จน”ปั่นป่วน” ไปชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วก็ได้” พ.ต.อ.ทวี สองส่อง”  สส.ระบบบัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรค ลงพื้นที่”พบปะ”ทำความ”เข้าใจ” กับ องค์กรไทยพุทธ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนทำให้ความ”คลางแคลง”ของคน”ไทยพุทธ”ได้ “ คลี่คลาย”  ไปในทิศทางที่ดี…..แต่ สำหรับพรรค”เป็นธรรม” ที่มี “กัณวีร์ สืบแสง” สส.ปัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรค  ยังเป็น”งานหนัก” ที่จะ”ชี้แจง” ถึง แนวทาง และ นโยบายของพรรค ต่อการ”เคลื่อนไหว” ของคนในพรรคในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การที่จะบอกว่า”พรรคไม่มีส่วนร่วม”ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ไม่ง่าย ในเมื่อ”ฮากิม พงกีตอ” รอง เลขาธิการพรรค กลายเป็น”ผู้ต้องหา”จากการ”กล่าวหา”ของ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ในข้อหามีการกระทำที่”เข้าขายการแบ่งแยกดินแดน” เป็นเรื่องของการ”ขว้างงูไม่พ้นคอ” สำหรับ”พรรคเป็นธรรม”

 

มาดูการเมืองท้องถิ่นที่เป็นการ”แข่งกัน” อย่าง”ดุเดือด” สำหรับการ เลือกตั้ง “นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองเขารูปช้าง” อ.เมือง สงขลา เพราะมีผู้สมัครถึง 4 พรรค ด้วยกันในการลงสนาม”สัปยุทธ์” ในครั้งนี้ ข่าวว่ามีการ”ใช้เงิน” กันบ้างแล้ว ในการ”โน้มน้าว” ประชาชนในการให้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง “พะเยีย ศิริโชติ” ผอ.กกต.สงขลา อย่าลืมส่ง เจ้าหน้าที่”สอดส่อง” ดูแลเพื่อความเป็นธรรมสำหรับผู้สมัครที่”ไม่มีปัจจัยในการซื้อ”….เที่ยวนี้ “ณรงค์พร ณ พัทลุง” ( ปลัดแป้น ) เปิดตัวเผยโฉม ประกาศ ที่จะลงรับสมัครเลือกตั้งเป็น”นายกเทศมนตรี” เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยมีการประกาศรับสมัคร”ลูกทีม” เพื่อเข้าร่วมทำงาน”การเมืองท้องถิ่น” ที่มี”อุดมการณ์”เหมือนกัน” เพื่อนพ้อง, น้องพี่, ผู้หลักผู้ใหญ่ “ เห็นด้วย แต่ก็”ห่วง” ว่าคงจะไม่”ถอดใจ” เสียก่อน เพราะกว่าจะมีการ”เลือกตั้ง”ของเทศบาลนครหาดใหญ่ต้อง รออีก 2 ปี นะ….แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จ่าเฉยฟังหน่อย! ‘สถานบริการ สภ.คอหงส์ ไร้ ‘ใบอนุญาต’แถมเปิดยันหว่าง

16 มิ.ย. 2023
166

ก็นับเป็น”ข่าวดี” สำหรับ”คนไทย” ที่ข่าวว่า” คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มที่จะเข้าสู่”ขบวนการ” ในการ”รับรอง” ว่าที่ สส. ที่มีการ”ตรวจสอบ” คุณสมบัติถูกต้อง และไม่มีการ”ร้องเรียน” เรื่องของ”ความผิด” เกี่ยวกับการ”เลือกตั้ง” ซึ่งหาก”กกต.” มีการประกาศ”รับรอง” เร็วขึ้นกว่ากำหนด การที่จะ”เปิดสภาฯ” เพื่อการ”โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี” ก็จะได้เร็วขึ้น และจะได้รู้ว่า”จุดจบ” ของ”ปัญหา”ที่มีการออกมา”วิพากษ์วิจารณ์”และการใช้”วิชามาร” ในการ”เตะตัดขา” เพื่อมิให้”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เป็น”นายกรัฐมนตรี”….เปิดสภาผู้แทนราษฎร” เมื่อไหร่ ถ้า “สมาชิกวุฒิสภา” และ”พรรค”ฝ่ายค้าน” ไม่โหวตให้” พิธา “ เป็น “นายกรัฐมนตรี” หรือ”เสียงโหวต” ไม่เพียงพอ ที่ทำให้”พิธา”ไปต่อไม่ได้  “ประเทศ” ก็จะได้มีการ”หาทางออก” ดีกว่าการ”ขึงพืด” แบบ”ไม่รู้”ชะตากรรม” ส่วนถ้า”พิธา” ไม่ผ่านการ”รับรอง” จาก”สภาผู้แทนฯ” แล้วจะมี”มวลชน” รวมตัวกัน”ลงถนน” หรือไม่อย่างไร ก็เป็น”หน้าที่” ของ” ผู้รับผิดชอบบ้านเมือง” ในขณะนี้เป็นผู้แก้ปัญหา

 

ที่เห็นชัดๆคือ” ณ วันนี้ ประเทศไทยกำลัง เดินเข้าสู่ความ”ขัดแย้ง” ครั้งใหม่ ระหว่าง “เสื้อส้ม”กับ”เสื้อเหลือง” ในขณะที่ในอดีตที่ผ่านมาเป็นความ”ขัดแย้ง” ระหว่าง”เสื้อแดง-กับ”เสื้อเหลือง” ก็เป็นเรื่อง”น่าเศร้า” สำหรับ”สยามเมืองยิ้ม” ที่ไม่สามารถ”ก้าวข้าม” ความ”ขัดแย้ง” ที่เกิดจากความ”เห็นต่าง” ทาง”การเมือง” มานานเป็นสิบๆ ปี ที่เริ่มตั้งแต่การ”ยึดอำนาจ”ของ” พล.อ.สนธิ บุญยะกลิน” ผบ.ทบ.ในสมัยนั้น จาก”รัฐบาลทักษิณ” เป็นต้นมา….และทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็ทำให้มี”คำตอบ” ที่”ชัดเจน”ว่า การที่”กองทัพ” แก้ปัญหาความ” ขัดแย้ง” ของคนในประเทศด้วยการ”ยึดอำนาจ” ไม่ใช่”ทางออก” เพราะหลังการ”ยึดอำนาจ”คณะ ทหาร” ที่เป็นตัวแทนของ”กองทัพ” ไม่เคยสร้างความ”ปรองดอง” ของคนในชาติได้สำเร็จ และที่สำคัญ”คณะปฎิรูป” หรือ”คณะปฎิวัติ” รวมทั้ง”คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” หรือ”คสช.” ที่นำโดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ รักษาการนายกรัฐมนตรี  ในขณะนี้ ก็ยังนำพาประเทศให้”ล้าหลัง” ด้วยการเขียน”ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี “มาบังคับใช้กับประเทศอีกต่างหาก…..ดังนั้น ณ วันนี้ “กองทัพ” ต้องไม่เข้ามา”ยุ่งเกี่ยว”กับเรื่องของ”การเมือง” และต้อง”ปล่อยวาง”อำนาจ” ให้กับ “พรรคการเมืองที่มาจากการ”เลือกตั้ง” ให้เข้ามาบริหารประเทศ ตามความต้องการของ”ประชาชน” ถ้า “นักการเมือง” หรือ”พรรคการเมือง” ที่เข้ามา บริหารประเทศ ทำในสิ่งที่”ไม่ดีไม่งาม” ผู้ที่จะต้อง”รับผิดชอบ”คือ”นักการเมือง”และ”พรรคการเมือง”นั้นๆ โดย”ประชาชน” จะเป็นผู้”ตัดสินใจ”ในการ”ลงโทษ”ตามวิถีทางของ”ประชาธิปไตย” อย่าลืมว่า”ประเทศชาติ” ไม่ได้เป็นของ”ทหารคณะหนึ่งคณะใด” และ”บ้านเมือง” ก็ไม่ได้เป็นของ”กองทัพ” แต่เป็นของ”ประชาชนทุกคน” และทุกคนมีความ”รักชาติ”  ฉะนั้นอย่าได้”ผูกขาด”การ”รักชาติ” ไว้เพียงหมู่คณะเดียว ถ้าคิดได้  ประเทศชาติ  ก็จะเดินไปได้ และจะ”สลายความขัดแย้ง” ที่ดีที่สุด

 

นี้ก็เรื่องความ”ขัดแย้ง” และความ”เห็นต่าง” กับการแก้ปัญหา”ไฟใต้” หรือ”ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ระหว่าง”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่เป็น”ตัวแทน”ของ”กองทัพ” หรือ”หน่วยงานความมั่นคง” กับ “ประชาชน”( บางส่วน ) ในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่มักจะเรียกว่า”ดินแดนปาตานี” ที่ ล่าสุด “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” ได้มีการจัด” เสวนา” ในหัวข้อเรื่อง”การกำหนดอนาคตตนเองในสันติภาพปาตานี” ที่มีการเชิญ นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ”ตัวแทน”ของ”พรรคการเมือง” เข้าร่วม”เสวนา” เพื่อแสดงความ”คิดเห็น” และมีการ”จำลอง”การลง”ประชามิติ” ที่เหมือนกับการ”ชี้ทิศบอกทาง” ว่าจะใช้การ”กำหนดใจตนเอง” และการลง”ประชามิติ” เพื่อการ”แบ่งแยกดินแดน” ตาม”เสียงส่วนใหญ่” ของคน”มาลายู” ใน สามจังหวัด และ สี่อำเภอของ จ.สงขลา….เรื่องการ”แสดงออก” ของ “นักเคลื่อนไหว-นักศึกษา “ และ”ภาคประชาสังคม” รวมถึง “นักการเมือง” ( บางคน ) เป็นเรื่องที่”ทำได้” ตาม”สิทธิเสรีภาพ”แต่ต้องไม่”ล้ำเส้น”ของ”กฎหมาย” ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่”เพิ่งจะเกิดขึ้น” แต่เกิดมานานแล้ว ใน”แผ่นดินปลายด้ามขวาน” และเรื่องของ”ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่  นักศึกษาเหล่านี้มีการ”เคลื่อนไหว” มีการ”เรียกร้อง” เพื่อการ”กำหนดใจตนเอง” ที่นำไปสู่การลง”ประชามติ” มาโดยตลอดในชื่อขบวนการต่างๆ  เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นของ”การจำลองการลงประชามติ” เหมือนกับที่เกิดขึ้นในครั้งนี้

 

ฟัง”พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ให้”สัมภาษณ์นักข่าว” ว่า “นักศึกษาถูกหลอก” ก็ต้อง”ย้อนถามกับว่า” ถ้าคนที่เป็น”ปัญญาชน” ยังถูกหลอก แล้วคนที่”มาหลอกนักศึกษา”คือใคร” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” หรือเป็น”องค์กรจากชาติตะวันตก” ที่”กระทรวงการต่างประเทศ” อนุญาตให้เข้ามา”เคลื่อนไหว” อย่างนั้นหรือ “ถ้าใช่” ใครคือคนที่”ผิด” ตั้งแต่ต้น ก็ กอ.รมน.ภาค 4  ส่วนหน้า “ใช่หรือไม่” ที่”รับรู้ทุกความเคลื่อนไหว” ของ”ทั้ง”ขบวนการนักศึกษา” และ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” รวมถึง”ขบวนการภาคประสังคม” และ “องค์กรต่างชาติ” ที่เห็น”ชัดเจน”ที่สุดคือ” เจนีวาคอลล์” และ”องค์กรกาชาดระหว่างประเทศ “ ( ไอซีอาร์ซี ) แต่ไม่เคย”จัดการ”กับเรื่องที่เกิดขึ้น  จนถึงวันที่” องค์กรนักศึกษาแห่งชาติฯ” จัด”เสวนา” และทำ”ประชามติจำลอง” เพื่อการ”แบ่งแยกดินแดน” จึงออกมา”เต้นแร้งเต้นกา” กันทั้ง”แม่ทัพ-นายกอง” รวมทั้ง “พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม “ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) ที่เพิ่งจะ”รับรู้”ถึง สถานการณ์ที่”เป็นจริง” และน่าจะ”หมายรวม” ถึง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล” รมช.กลาโหม ผู้ดูแลงาน”ความมั่นคง” แทน” รัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “รักษาการนายกรัฐมนตรี

 

อยากจะบอกว่า ตลอดเวลา 19 ปี ของ”ไฟใต้ละลอกใหม่” บรรดา”รัฐมนตรี,รัฐมณโฑ” ผู้ที่นั่งอยู่บน”หอคอยงาช้าง” ไม่”ถูกหลอก” ก็เหมือน”ถูกหลอก” จาก” แม่ทัพ-นายกอง” ที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งไม่เคยรายงานเรื่องที่”เป็นจริง” ให้ทราบ โดยเลือกแต่เรื่อง”ที่ดีๆ” รายงานให้ทราบเช่น” เราเดินมาถูกทางแล้ว” สุดท้าย”วันนี้” ก็”เดินมาถูกทางจริง” แต่เป็นการ”เดินเข้าทางโจร”ต่างหาก   และนอกจาก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่”รับรู้ทุกเรื่อง” แต่เลือกที่จะ”นั่งทับปัญหา”เอาไว้ โดยไม่มี “แนวทาง” ในการ”แก้ไข”แล้ว “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ( สมช.) ที่มี พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เป็น เลขาธิการ ก็ต้องมีส่วนในการ”รับผิด” กับเรื่องของ”ไฟใต้” ที่กำลัง”บานปลาย” เพราะ สมช. ทำหน้าที่ในเรื่องของ”ยุทธศาสตร์ความมั่นคง” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” แต่ สมช. ยุคที่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ รักษาการ”นายกรัฐมนตรี” ไม่เคยที่จะ”รับรู้” ความ”เป็นจริง” และความ”เป็นไป” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้แบบ”ถึงแก่นแกน” ดังนั้นเรื่องการ”เลยเถิด” ของ”ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” และ”ภาคประชาสังคม” ที่”ก้าวหน้า” ไปถึงขั้นการ”ลงประชามติ” ในการ”กำหนดใจตนเอง” เพื่อขอ”แบ่งแยกดินแดน” คนที่”ผิด” คือ หน่วยงานความมั่นคง ทั้ง”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ( สมช.)

 

รู้แล้วใช่มั้ยว่า “องค์ความรู้” ที่ “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” และ”ภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ได้รับนั้นมาจาก”องค์กรชาติตะวันตก” และ หลังจากนี้ไป ก็ต้องติดตามกันว่า” กระทรวงกลาโหม, กองทัพบก ,สภาความมั่นคงแห่งชาติ, กระทรวงต่างประเทศ ,และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะ”ดำเนินการ” อย่างไรกับการเข้ามา”ขับเคลื่อน”ของ “องค์กรต่างๆจากชาติตะวันตก” ซึ่งเคยเป็น”ผู้ล่าเมืองขึ้น” ใน”เอเชีย” ทั้งสิ้น…..สำหรับ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ณ วันที่มี”แม่ทัพต้น” เป็นผู้นำ  ผู้ที่”เข้าใจ” เรื่องขบวนการ”นักศึกษา”และ”ภาคประชาสังคม” รวมทั้ง”บริบท” ของ”องค์กรต่างชาติ” ทั้งหมดคือ พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” รองแม่ทัพภาคที่ 4 และรอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่”แม่ทัพต้น” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ต้อง”หมอบหมาย” ให้เป็นผู้ที่”รับผิดชอบ” ในการ”จัดการ” กับ ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น…..การแก้ปัญหา”ไฟใต้” ที่ผ่านมา” กองทัพ” โดย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”แบกรับ”ความ”ผิดชอบ” เพียงฝ่ายเดียว ส่วน “สำนักงานตำรวจส่วนหน้า, ฝ่ายปกครอง “ และ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) มีหน้าที่ในการ”เดินตาม” (ก้น ) ดังนั้นการแก้ปัญหา”ไฟใต้” จึง”ล้มเหลว” มาโดยตลอด ถ้า”ก้าวไกล” ได้เป็น”รัฐบาล” สิ่งที่ต้องทำคือไม่ต้อง”ยุบทิ้ง”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)  แค่”จัดการใหม่” ให้แต่ละหน่วยมี”ภารกิจ” ที่”ถูกต้อง” เช่น “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทำหน้าที่ “รักษาความสงบเรียบร้อย”ฝ่ายปกครอง และ ตำรวจ ทำหน้าที่ของตนตามภาระหน้าที่ของตน  และคืน”พรบ.ศอ.บต.” ให้กับ”ศอ.บต.เพื่อให้ “พรบ.ศอ.บต.”ทำหน้าที่ ในด้านการ”พัฒนา” และใน”มิติ” อื่นๆ ที่ในอดีตทำ และ ทำได้ดี แค่นี้การแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ก็จะเดินไปอย่าง”ถูกทิศถูกทาง”

 

เมื่อ”กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ” กลายเป็น”หมู่บ้านกระสุนตก” แต่ละวันมีแต่เรื่อง”เสียหาย” ที่ถูก”นักการเมือง” ออกมา”ประจาน” ให้”ประชาชน”ได้รับรู้ โดยเฉพาะเรื่องของ”ตำแหน่ง” ที่มากับ”เส้นสาย” เช่นการ”รับราชการ” 3 ปี จากยศ ส.ต.ต. เป็น ร.ต.อ. เรื่องอย่างนี้ใน”ต่างจังหวัด” มีเกิดขึ้นไม่น้อย เช่นมีผู้เป็น”ตำรวจ” ด้วยกัน”นินทา” ว่า ที่ “กองบังคับการตำรวจภูธรยะลา” มี ส.ต.อ. นายหนึ่ง ที่”รับราชการ”มานานร่วม 10 ปี แต่ไม่เคยทำหน้าที่”ราชการ” เพราะไปทำหน้าที่”เก็บส่วย” จาก” “กิจการบุหรี่เถื่อน” ที่มี”พ่อเป็นนายทุนใหญ่” ให้กับ”ผู้ใหญ่ในส่วนกลาง” เพียงอย่างเดียว โดยที่” ผู้บังคับบัญชา” ใน หน่วยงาน “ไม่กล้าที่จะ ดำเนินการแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าเป็น”คนหาเงินส่งนาย” แบบนี้เรียกว่า”เอาเปรียบ” เพื่อนร่วมงาน โกงภาษีหลวงรับเงินเดือนแต่ไม่ทำงาน เรื่องนี้เห็นที่ต้องฝาก “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” อุกกาบาตน้อย” แห่งพรรคก้าวไกล และ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ช่วย”ขุดคุ้ย”ต่อ เพราะเชื่อว่า “ตำรวจ”แบบนี้มีอยู่ทุก”กองกำกับ” ของ”ประเทศไทย”

 

เรื่องของ”ส่วยทางหลวง” ที่เป็นข่าว”ฉาวโฉ่” เหมือนมี”อุจาระกองใหญ่” อยู่หน้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนี้ “ต้นเรื่อง”มาจาก” “ข้อเท็จจริง”กับ”ข้อกฎหมาย” ที่ไม่ได้ไปด้วยกัน” ข้อเท็จจริง”คือ”ในอดีต รถบรรทุกราคาคันละ 500,000 บาทมีกำลัง 120 แรงม้า บรรทุกน้ำหนักได้ 21 ตัน ถนนเป็น”ยางมะตอย”” กว้าง 2 เลน และรับน้ำหนักได้ ไม่เกิน 25 ตัน น้ำมันดีเซลลิตรละ 4-5 บาท แต่ ณ วันนี้ รถบรรทุกมีราคาคันละ 3,5 ล้าน ถนนมีการสร้างใหม่ 4 เลน 8 เลน มี”มาตรฐาน” ในการรับน้ำหนักได้ถึง 40 ตัน  ราคาน้ำมันลิตรละ 33 บาท แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ยอมแก้”กฎหมาย” ให้ รถบรรทุกเพิ่มหนักจาก 25 ตัน เป็น 30 ตัน ซึ่งถนนในปัจจุบันรับน้ำหนักได้ถึง 40 ตัน ( ถ้าสร้างตามสเปคและไม่โกงกิน ) ที่สำคัญ” หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น”กรมทางหลวง, ตำรวจทางหลวง, ตำรวจภูธร,ตำรวจจราจร” ต่างรู้ดีกว่า ไม่มี”รถบรรทุก” ที่ไหนที่จะ “บรรทุก”น้ำหนัก 25 ตัน ทุกคันต่าง”บรรทุกน้ำหนักเกิน” และ”จ่ายส่วย” ให้กับ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ไม่เคยนำ”ข้อเท็จจริง” เพื่อเป็น”ข้อมูล” ในการแก้”ข้อกฎหมาย” ให้เป็นไปตาม”ข้อเท็จจริง” เพราะถ้ามีการแก้”ข้อกฎหมาย” ให้บรรทุกได้ 30-40 ตัน ตาม “ข้อเท็จจริง” ที่เป็นอยู่ “ตำรวจ” และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็จะได้”เก็บส่วย” ไม่ได้  เรื่องนี้จะโทษ”ตำรวจ” และ”กรมทางหลวง” อย่างเดียวก็”ไม่แฟร์” ต้อง”กล่าวหา” ผู้ที่เป็น”ผู้แทนราษฎร” ของ “ทุกพรรคการเมือง” ที่ต่างรู้เห็น”ข้อเท็จจริง” แต่ไม่เคยนำเรื่องเข้าเสนอต่อ “สภาผู้แทนเพื่อแก้กฎหมาย” ทั้งที่มี”ผู้แทนรถบรรทุก”และ”ผู้รับเหมา” ร้องเรียนแล้วร้องเรียนอีก ถึงเรื่องของเพิ่ม”น้ำหนักและเรื่องของ”ส่วย” ที่ต้องจ่ายให้”ตำรวจ”  เรื่องนี้เป็น”การบ้าน” ที่ต้องฝากให้” พรรคก้าวไกล”ไปดำเนินการ หลังการได้เป็น”รัฐบาล”ทำ”ข้อเท็จจริง”กับ”ข้อกฎหมาย” ให้ไปกันได้”ส่วย” จะหายไปทันที

 

เชื่อเถอะ ยังไม่เคยเห็น”ถนนสายไหน”และ”สะพาน”ตรงไหนที่”พัง”เพราะการ”บรรทุกน้ำหนักเกิน” เพราะ “ถนนทุกสาย” ที่”พัง” และเป็นข่าว ล้วนมาแต่”ผู้รับเหมา” กับ”เจ้าหน้าที่รัฐ”ลดสเปคการก่อสร้าง” หรือที่เรียกว่า”คอรัปชั่น” มีการ” กิน หิน ดิน ทราย” ทั้งนั้น เรื่อง”ส่วยทางหลวง” เรื่องการ”บรรทุกน้ำหนักเกิน” ถ้าไม่เอา”ความจริง” มา”ตีแผ่” และ”พูดกัน” ต่อให้ เปลี่ยน ผบ.ตร.อีก 10 คน เปลี่ยน ผบก.ตำรวจ ทางหลวง อีก 100 คน ก็แก้ไม่ได้ และยิ่งใช้”กฎหมายที่ล้าหลัง” ยิ่งเป็นการ”ซ้ำเติม” เศรษฐกิจ เพราะขนาด”บรรทุกเกิน” และ”จ่ายส่วย”แล้ว เชื่อหรือไม่ว่า”ผู้รับเหมา” เจ้าของ”กิจการรถบรรทุก” แต่ละราย ยังจะ”อยู่ไม่ได้” เพราะราคา”น้ำมันที่แพง” ราคา”ยางรถยนต์” ที่ มีแต่”ขึ้นราคา”ทั้งที่ วัตถุดิบที่นำมา ผลิตยางรถยนต์คือ”ยางพารา” 3 กิโล 100 บาท

 

นานแล้วที่ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่มีการ”ทำร้าย” และ”ฆ่า” เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร และ รปภ.ที่เข้าเวร จุดตรวจ”ไม่กั้น”ทางรถไฟ แต่วันนี้การ”ทำร้าย”และ”ฆ่า” เจ้าหน้าที่ รปภ.”ไม้กั้นทางรถไฟ” กลับมาอีกเป็นข่าวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกแล้ว ล่าสุด ส.ต.ต.พิจักษณ์ บัวแก้ว ผบ.หมู่ นปพ.ภ.จว.ปัตตานี ซึ่ง ทำหน้าที่ “รักษาความปลอดภัย” จุดตัดทางรถไฟ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ก็กลายเป็น”เหยื่อ” ของ”แนวร่วม” หรือ”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” ถูก”ประกบยิงขณะที่หน้าที่บริการประชาชนอย่างน่าอนาถ  ก็ขอแสดงความ”เสียใจ” กับ “ครอบครัว”บัวแก้ว” ไว้ ณ ที่นี้ด้วย และต่อไปนี้ การ”รปภ.”จุดตัดไม้กั้นรถไฟ” ทุกแห่งคงต้องกลับมา”เข้มข้น”เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอีกครั้ง พล.ต.ท. นันเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9. ต้อง”ติวเข้ม” และต้องเพิ่มกำลังพล ใน”จุดตรวจ”ที่เป็น”จุดตัดเส้นทางรถไฟ” เพื่อป้องกันชีวิตของ”ตำรวจ” ที่วันนี้” ประมาท” เมื่อไหร่”จบชีวิต” เมื่อนั้น….และอีกเหตุการณ์ที่” ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ที่”อส.พท. อาสือมิง บูงอตันหยง”  ทหารพรานสังกัด ร้อย ทพ.4812 เหยียบกับระเบิดของ”แนวร่วม” ในขณะที่เดิน”ลาดตระเวน” รักษาความปลอดภัยในพื้นที่ กลายเป็นคน”พิการ” ขาขาดทั้ง 2 ข้าง ก็นอกจากแสดงความเสียใจในการ”เสียสละ”แล้ว ก็หวังว่า “หน่วยงานต้นสังกัด” จะ”รับผิดชอบ” ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขพอสมควร  และนี้คือ”สถานการณ์” ที่เป็น”ของจริง” ที่ไม่สามารถ”โกหกหลอกลวง” ใครได้ ยกเว้น หน่วยงานที่”ไม่ยอมรับความจริง” เท่านั้น

 

วันนี้” พระสงค์องคเจ้า” ในหลายพื้นที่ไม่กล้าออกมา”โปรดสัตว์” ด้วยการ”บิณฑบาตร” หลังจากที่ พระสงฆ์ วัด”ไพโรจน์ประชาราม” ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูก”แนวร่วม” วาง”ระเบิดแสวงเครื่องรถตู้” ที่ใช้เดินทางเพื่อหมายเอง”ชีวิต” เหตุครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า” แนวร่วม” กลับมาใช้ความรุนแรงอีกครั้ง ทั้งกับ”พระสงฆ์” และ”รปภ.”ไม้กั้น” ที่เป็น”จุดตัด” ของ “รถไฟ” ก็ไม่ถาม “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” นะว่าจะ”แก้อย่างไร” เพราะถามไปก็”ป่วยการ” เพราะไม่เคยแก้ได้สักเรื่อง….แต่จะถาม”เจนีวาคอลล์” ที่เป็นผู้อยู่”เบื้องหลัง”การ”ขับเคลื่อน”ในการ”เจรจาสันติภาพ” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ “บีอาร์เอ็น” เคยรับปาก” ผู้นำ”องคกรเจนีวาคอลล์” ว่า จะไม่ทำร้าย”พระสงฆ์ ,เณร ,ชี” ไม่ทำร้าย “เด็ก-สตรี” ไม่ก่อการร้ายในที่ สาธารณะ เช่น “โรงเรียน ชุมชน “และ “ตลาด “ยังมีผลอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีผลเพื่อให้”เจนีวาคอลล์” สนับสนุนใน”ขบวนการเจรจาสันติภาพ” เรื่องการใช้”ระเบิดแสวงเครื่อง” เพื่อ”สังหาร” พระสงฆ์วัดไพโรจน์ประชาราม” แกนนำของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” จะแก้ตัวอย่างไร และ”เจนีวาคอลล์” จะดำเนินการอย่างไรในการ”ตระบัดสัตย์” ของ”บีอาร์เอ็น

 

คน”กินไข่” ต่างออกมา”โหวกเวกโวยวาย” เรื่อง”ไข่ไก่แพง” ที่ขึ้นราคาเดือนละหลายครั้ง ผู้เลี้ยงไก่อ้างต้องขึ้นราคาเพราะ”ไก่ไข่น้อย” ภาระที่เกิดขึ้นจึง”ถูกผลัก” ไปยัง”ประชาชน” ถ้าแพงก็”อย่ากิน” นั้นคือ”คำตอบสุดท้าย” ในยามที่ “รัฐบาล” เป็น”รัฐบาลรักษาการณ์” ส่วนข้าราชการประจำอย่าง “วัฒนศัพท์ เสือเอี่ยม” อธิบดีกรมการค้าภายใน จะดำเนินการอย่างไรกับปัญญหา”ไข่แพง” ก็เร่งทำในฐานะ”ข้าราชการประจำ”ที่รับเงินเดือนจาก”ภาษีของประชาชน”

 

ไม่มีตรงไหนที่”ไม่ขัดแย้ง” สำหรับโครงการของ”ชลประทาน”ล่าสุดโครงการอ่างเก็บน้ำชุมชนวังหีบ ต.นาหลวงเสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ที่ก่อสร้างโดยสำนักงานชลประทานขนาดใหญ่ที่ 15  ถูก ประชาชน”คัดค้าน”อย่าง”หัวชนฝา” สาเหตุเพราะไม่มีการ”สร้างความเข้าใจ”กับประชาชนอย่างเพียงพอ ถ้าจะสร้างต่อไปให้ได้ “ชูศักดิ์ สิทธิ” ผอ.สำนักชนประทานขนาดใหญ่ที่ 15   ต้องกลับไป”ทำความเข้าใจ” กับ”คนในพื้นที่” ให้”ตกผลึก” อีกครั้ง…..เช่นเดียวกับการทำ”เหมืองหิน” ใน จ.ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส ที่มีการ”คัดค้าน” จาก”คนในพื้นที่” ทุกแห่ง เรื่องนี้เจ้าของ”กิจการ” หรือ”กลุ่มทุน” ต้องไม่ฟังแต่” เจ้าหน้าที่รัฐ” และ” ผู้นำท้องถิ่น, ผู้นำท้องที่”เพียงฝ่ายเดียว   ต้องไม่ทำการเปิดเวทีรับฟังเสียงของประชาชนแบบ”สุกเอาเผากิน” หรือ”ขอไปที” ตาม”รูปแบบ”ทาง”ราชการ” เพราะวันนี้”ประชาชน” ต่างเข้าถึง”ข้อมูลข่าวสาร” และสามารถหา”องค์ความรู้”ได้หลากหลายทิศทาง ดังนั้น”นายทุน” และ”เจ้าหน้าที่รัฐ” อย่ากล่าวโทษ”ชาวบ้าน” และ”เอ็นจีโอ” ฝ่ายเดียว ต้อง”โทษตนเอง” ที่ยังมองปัญหา มอง”ชาวบ้าน”แบบเดิมๆ เรื่องนี้คนที่เป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัด”เป็น”นายอำเภอ” ต้องช่วยกัน”ใส่ใจ” เพราะประเทศนี้ยังต้อง”เดินหน้า” ถ้าทำ”เหมืองหิน”ไม่ได้” ทำ”บ่อดิน”และ”บ่อทราย” ไม่ได้ จะเอา”วัตถุดิบ” จากที่ไหนมาใช้ในการ”ก่อสร้าง” ส่วน”ประชาชน” ที่”สุดโต่ง” ก็ต้องมองปัญหาให้ครบ”ทุกมิติ” ไม่ใช่บอกว่า”ไปปลูกภูเขาให้ได้ก่อน” แล้วค่อยมา”ทำเหมืองหิน” อย่างนี้ก็ไม่ถูก

 

เขียนเรื่อง”สถานบันเทิง” ใน เขต สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเฉพาะในย่าน”ถนนธรรมนูญวิถี”ที่นอกจากไม่มี”อนุญาต”ให้ มี “นักร้อง นักดนตรี” และ”เปิดยันสว่าง” ไปแล้ว หลายครั้ง แต่”ตำรวจ”สภ.คอหงส์” เจ้าของพื้นที่ ก็ยังทำตัวเป็น”จ่าเฉย” เช่นเดิม ทั้งที่มี”ตัวอย่าง” ที่ อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต ที่ “หน่วยเฉพาะกิจ” ของ”กรมการปกครอง” เข้า”จับกุม” และ”สั่งปิด”ไปแล้ว 2 แห่งด้วยกัน ซึ่งเช่นเดียวกับที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แต่ที่”หาดใหญ่” นอกจาก”ของเก่า” ที่ทำผิดไม่มีการ”ตรวจสอบ” ยังปล่อยให้มี”ของใหม่”เกิดขึ้น และทั้ง”ของเก่า” และ”ของใหม่” ต่างอยู่ใกล้ “สถานศึกษา” และ”ใกล้วัด”อีกด้วย เห็นท่าเรื่องนี้ ต้อง”ส่งผ่าน” ให้กับ “รังสิมันต์ โรม”  แห่งพรรคก้าวไกล ให้มาติดตามตรวจสอบ ผู้รับผิดชอบ จึงจะรู้จักคำว่า”ผิด-ถูก “เป็นอย่างไร…..เห็นว่าวัน”เสาร์-อาทิตย์ “ ที่ผ่านมา พอมีข่าวว่าคนของพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่”หาดใหญ่” ปรากฏว่า “สถานบันเทิง” ทุกแห่งของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา “ต่าง”เปิด-ปิด” ตามเวลา เป๊ะ รวมทั้ง ร้านเหล้า ร้านบุหรี่ หนีภาษีต่าง”ปิดหน้าร้าน” ไม่ซื้อ ไม่ขาย เล่นเอา”สิงห์อมควัน” เกือบ”ลงแดง” ก็เพิ่งรู้นะว่า”วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” และ”รังสิมันต์ โรม”รวมทั้ง ”ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” มีความ”ศักดิ์สิทธิ์” กว่า”กฎหมาย” และมีความ”น่าเกรงขาม”

 

จบกันเสียทีกับ”คดีการขุดโบราณสถานเขาน้อย” อ.สิงหคร จ.สงขลา เมื่อ”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. แถลงชัดว่า “อัยการ” มีความเห็น”สั่งฟ้อง” ผู้ทำผิดที่เป็น “ครอบครัวนักการเมือง” ใน อ.สิงหนคร จ.สงขลา ครบทุกคน โดยจะมีการส่งสำนวนให้”ศาลอาญาสงขลา” ในวันที่ 27 มิถุนายน นี้  ส่วนหลังจากที่”ศาลประทับรับฟ้อง” ตำแหน่ง “นายกเทศมนตรีเทศเทศบาลเมืองสิงหนคร จะว่างลงหรือไม่ และจะมีการ”เลือกตั้ง”ใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป…แต่การ”เลือกตั้งซ่อม” นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองเขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา แทน”คนเก่า” ที่ถูก”กกต.ให้”ใบแดง นั้น”พะเยีย ศิริโชติ” ผอ.กกต.สงขลา มีการประกาศรับสมัครผู้ที่ต้องการเป็น”นายกเทศบาลเมืองเขารูปช้าง” คนใหม่แล้ว   ข่าวว่ามีผู้สมัครกันหลายคน  รวมทั้ง”นราเดช คำทัปม์” สจ.น้ำดี ของ จ.สงขลา  ก็ระวังการ”หาเสียง”ให้ดีอย่าให้”ปากพาจน” เพราะที่ผ่านมาทั้ง”นายกเทศบาลนครสงขลา “และ “นายกเทศบาลเมืองเขารูปช้าง “ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกัน ต่างถูก”กกต.กลาง” ทำการ”สอยร่วงจากเก้าอี้นายก”” ในข้อหาเดียวกันนั้นคือ”ใส่ร้ายป้ายสี”คู่แข่ง…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า ครับ

 

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาเกมพลิกก้าวไกลตกสวรรค์

10 มิ.ย. 2023
166

เรื่อง”การเมือง” เป็นเรื่องสำคัญ เพราะ”การเมือง” เป็นทุกอย่างของการ”ขับเคลื่อนประเทศชาติ” และ”ทุกชีวิต” ของประชาชน….การเมืองดี ประเทศดี ประชาชน”อยู่ดีกินดี” การเมือง”ไม่ดี” ไม่มีความมั่นคง “ประเทศล่มจม” ประชาชน”ขัดแย้ง” คุณภาพชีวิต”ห่วยแตก” เศรษฐกิจทรุด สินค้าแพง ผลผลิตทางการเกษตร”ตกต่ำ” การ”ส่งออก” ไม่เป็นไปตาม”เป้าหมาย” นั่นคือที่มาของ”แพงทั้งแผ่นดิน “ และ”ยากจนทั้งแผ่นดิน” เหมือนที่ผ่านมาแล้ว 8 ปี ภายใต้การ”บริหารประเทศ” ของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” รักษาการ”นายกรัฐมนตรี” ในขณะนี้ ที่เห็น “ชัดเจน” ว่าไม่พบ”แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”….. มองไป”ข้างหน้า” หลังจากการ “เลือกตั้ง” ที่ พรรคก้าวไกล ได้ อันดับ 1 และเป็นผู้”จัดตั้งรัฐบาล” โดยมีพรรคเพื่อไทย ได้อันดับ 2 ที่ คะแนนทิ้งห่างกันเพียง 10 ที่นั่ง ที่มีการลงนาม”เอ็มโอยู”กับอีก 6 พรรคการเมืองเล็ก ในการ”จัดตั้งรัฐบาล” ซึ่งผ่านไปแล้วเกือบ 30 วัน แต่ยัง”ตั้งไข่” ในการ”จัดตั้งรัฐบาล”ไม่ได้…. 1 กกต. ยังไม่ประกาศ”รับรอง”ให้”ว่าที่ สส. ได้เป็น สส. แม้แต่ รายเดียว และยังมีเรื่อง” บัตรเลือกตั้งเขย่ง” ที่ กกต. ยังต้องมีการ “ตรวจสอบ” และ”นับใหม่” รวมทั้ง อาจจะมีเรื่อง”ใบแดง-ใบเหลือ” ที่ต้องมีการ”แจก” ให้กับ “ว่าที่ สส.” อีก จำนวนหนึ่ง   2 เรื่อง”หุ้นไอทีวี” ที่เป็น”อุปสรรค”ในการ”ขัดขวาง” ไม่ให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปไม่ถึง”ฝั่งฝัน”   3 “มือของ สว. สมาชิกวุฒิสภา” และมือของ “สส.ฝ่ายค้าน” ที่ อาจจะไม่”โหวต” ให้”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็น “นายกรัฐมนตรี” ดังนั้น “รัฐบาลใหม่” จึงยัง”ไม่ง่าย” และอาจจะมีการ”ลากถู” ไปนานกว่า 60 วัน หรือ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อาจจะ”ตกสวรรค์” แล้ว “รัฐบาลใหม่” ต้องกลับไป”นับหนึ่งใหม่” โดยมี”พรรคเพื่อไทย” ทำหน้าที่เป็น”แกนนำ” ในฐานะที่เป็นพรรค”อันดับ 2 “ โดยอ้างความ”ชอบธรรม” หลังจากที่”ก้าวไกล” ที่เป็นพรรคอันดับ 1 “ จัดตั้งรัฐบาล”ไม่ได้

 

สิ่งที่”ก้าวไกล” และ”แกนนำ” ต้องช่วยกันในขณะนี้จึงไม่ใช่การ”เปิดเกมรบ” กับ ฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ ที่”เห็นต่าง” ในประเด็นปัญหาของ”นโยบาย”ของก้าวไกล อย่าง”ดุเดือด” เพราะเป็นการสร้าง”ศัตรู” ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น สร้างฝ่าย”ต่อต้าน”ให้”ขยายวง” โดยไม่”จำเป็น”  วันนี้ของ”ก้าวไกล” คือการใช้”ความสงบ” เพื่อให้ได้”ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี”มาก่อน แล้วจึงค่อย”เปิดแนวรบ” กับ”ฝ่ายที่เห็นต่าง” และฝ่ายที่เป็น”ศัตรูถาวร” วันนี้ วันที่ในมือของ”ก้าวไกล”ไม่มี”ดาบอาญาสิทธิ์” มีเพียง”ไม้เรียว” ถึงจะเปิด”แนวรบ” ดุเดือด”อย่างไรก็ได้แค่เสียง”กรี๊ดของกองเชียร์”….เรื่อง”ตั๋วช้าง” ของ”รังสิมันต์  โรม” เรื่อง”ส่วยสติ๊กเกอร์” ของ”วิโรจน์ ลักคณาอดิสร” ไม่ใช่”เรื่องใหม่” เป็นเรื่อง”มะเร็งร้าย” ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  มายาวนาน  วันที่ “ก้าวไกล” เป็น “รัฐบาล” เอาให้จริง “จัดการ” ให้”สิ้นซาก” ดีกว่าการออกมา”แฉ” แต่ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะดูแล้วเป็นการชี้ให้เห็นถึงความ”ล้มเหลว” ของ “รัฐบาล” ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น”นายกรัฐมนตรี” เพื่อให้เห็นว่า”พรรคการเมือง” ในพรรคที่”ร่วมรัฐบาล” กับ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ล้วนแต่เป็น”สัดใส่ข้าว” ที่ไม่ควรมาเป็น”รัฐบาล” อีกต่อไป

 

สำหรับ”ก้าวไกล” นั้น แม้แต่การ”ขับเคลื่อน” นโยบายของการ”ดับไฟใต้” ก็ไม่ควร”บุ่มบ่าม” ไม่ควรที่จะมีการ”ขับเคลื่อน” โดยการ”อิงแอบ” อยู่กับข้อมูลของฝ่าย” บีอาร์เอ็น” และ”เอ็นจีโอ” แต่ต้องมี”ข้อมูล”ของคน”ไทยพุทธ” ในพื้นที่ด้วย  นโยบาย”ยุบนั้นยุบนี่” เช่น”ยุบ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถาม”ไทยพุทธ” ในพื้นที่แล้วยังว่าเขา”โอเคมั้ย”  หรือยุบ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) “ ถามคน”มุสลิม” ส่วนใหญ่ในพื้นที่แล้วยังว่า เขายังต้องการ ศอ.บต. หรือไม่ เพราะเรื่อง”ยุบ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยุบ ศอ.บต. เอาเข้าจริง เป็นเรื่องความเห็นของคน”ส่วนน้อย”ที่ต้องการ”เห็นความเปลี่ยนแปลง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เป็น”เขตปกครองพิเศษ” หรือ”เขตปกครองตนเอง”เท่านั้น ไม่ใช่ความต้องการส่วนใหญ่ของคนในพื้นที่ …..แต่ที่เห็นด้วยก็คือความเห็นของ”พ.ต.อ.ทวี สองส่อง ว่าที่ สส.บัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการของพรรคประชาติ ที่มี สส.เป็นอันดับ 1 ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บอกว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องมีการ”ปรับเปลี่ยนบทบาท” จากเป็นหน่วยงานที่”สร้างความมั่นคงให้ทหาร” มาเป็นหน่วยงานที่”สร้างความมั่นคงให้ประชาชน” และ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. )” ต้องกลับมาเป็น”แบบเดิม” คือการบริหารโดยการใช้ “พรบ.ศอ.บต.ทั้งฉบับ” เพื่อให้ ศอ.บต. มี”ศักยภาพ”ในการทำหน้าที่ด้านการพัฒนาอย่างเต็มที่  ก็แค่”ยกเลิก”คำสั่งของ “คสช” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกรัฐมนตรี ใช้ มาตราที่ 44 ทำการ”บอนไซ” ศอ.บต. เพื่อให้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”ขี่หลัง” ศอ.บต. ก็จะกลับมาเป็น”เครื่องมือ” ในการ”พัฒนา”และแก้ปัญหา”อื่นๆ ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อีกครั้งอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ที่สำคัญ เรื่อง”เศรษฐกิจ” ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ถ้า”ก้าวไกล” เป็น”รัฐบาล” คือการ”ยกเลิก” โครงการ”เมืองต้นแบบแห่งอนาคต” หรือ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” เพราะ”ก้าวไกล” ยืนอยู่กับ”กลุ่มผู้ต่อต้าน” โครงการนี้ที่เป็น”เอ็นจีโอ” มาโดยตลอด  ถ้ายกเลิกโครงการ”เมืองต้นแบบแห่งอนาคต” แล้ว”ก้าวไกล” จะมีแผนในการ”พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่างไร เพราะ นอกจากปัญหาเรื่อง”ไฟใต้” แล้ว จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังมีปัญหาความ”ยากจน” ที่ต้องมีการ”พัฒนา” ในเรื่องของการ”สร้างงาน” เพื่อ”สร้างเงิน” ให้กับคนในพื้นที่ซึ่ง”ว่างงาน” ที่คนในพื้นที่ยังต้องแห่ไปทำงานใน”ประเทศมาเลเซีย” และใน”ภูมิภาค”อื่นๆ ของประเทศ….ขึ้นค่าแรงวันละ 450 บาท จะทำให้คน”ตกงาน”เพิ่มขึ้น หรือมีคนได้งานมากขึ้น “สุราก้าวหน้า” เป็นเรื่องที่ดี ที่ให้”ทุนเล็ก” ในต่างจังหวัด ได้เป็นเจ้าของ”กิจการ” ผู้บริโภคมี”ทางเลือก” เป็นการ “ทลายห้าง” การ”ผูกขาด”ของ”กลุ่มทุนใหญ่” แต่ถ้าการ”ควบคุม”หละหลวม” ใน”อนาคต” จะมี”คนเมาเหล้า” เพิ่มมากขึ้นหรือไม่ หรือกำลังจะเดินไปใน”เส้นทาง”ของ”กัญชาเสรี” ที่ขึ้นต้น”เป็นลำไม้ไผ่พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา” ที่วันนี้กลายเป็นปัญหาของ”สังคม” ที่”ทิ่มแทง”สังคมไทยอยู่ในขณะนี้  ดังนั้นแม้ว่าจะได้”ก้าวไกล” มาเป็นผู้จัดตั้ง”รัฐบาล” ได้”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” มาเป็น”นายกรัฐมนตรี” ก็ไม่ได้หมายความว่า “ประเทศไทย” จะมีการ”เปลี่ยนแปลง” อย่าง”ปุบปับ” ทุกอย่างยังต้อง”ค่อยเป็นค่อยไป” และที่สำคัญถ้าดู”ปฏิกิริยา” ทั้งจากพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ  ที่เป็นพรรคอันดับ 2 และ อันดับ 3 ที่ร่วม”รัฐบาล” เชื่อเลย ว่าหลายโครงการของ”ก้าวไกล” ไปไม่ถึง”ฝั่งฝัน” ดังนั้น”คนไทย” ต้องอยู่กับ”ข้อเท็จจริง” ไม่ใช่อยู่ในโลกของ”จินตนาการ” จำไว้ว่า”พรรคการเมืองในวันที่หาเสียง” กับในวันที่เป็น”รัฐบาล” ไม่มีอะไรที่เหมือนกัน….โลกแห่งความเป็นจริงคือ “ซาอุดีอาระเบีย” ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ประการการ”ปรับลดการผลิตลด” และอีกหลายประเทศในกลุ่ม”โอเปค” ก็เอาด้วย  นั้นหมายความว่า”น้ำมัน”จะมีราคาที่แพงขึ้น จากการที่”แพงอยู่แล้ว” และเมื่อ”น้ำมันแพง” สินค้าทุกอย่างที่แม้แต่”ผักบุ้ง” ก็จะ”แพงตาม” ประเด็นนี้” ทั้ง”รัฐบาล” รักษาการ” ของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะ”รับมือ” อย่างไร และ” รัฐบาลใหม่” มี”แผนการ” อย่างไรกับการ”แก้ปัญหา” ถ้าเข้ามาเป็น”รัฐบาล” เพราะยังไม่เห็น”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และทีม”เศรษฐกิจ” ของ”ก้าวไกล” ออกมา “เสนอแนะ” แนวทองในการ”ปลดล็อค” พลังงาน เพื่อให้เป็นไปตาม”โครงสร้างที่เป็นจริง” แต่อย่างใด อย่าลืมว่า “ความหวังของประชาชน” คืออยากเห็น”พลังงานถูกลง”ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม”ต้องไม่ใช่”มหาโหด” อย่างทุกวันนี้  พรรคการเมืองไหน ที่ร่วมรัฐบาล “หาเสียง”ไว้อย่างไร ก็อย่าลืมทำตาม ไม่ใช่จ่ายเงิน 1,000 บาท 500 บาท ในวัน”เลือกตั้ง” แล้วทุกอย่างก็”จบกัน”

 

ที่เป็นเรื่องจริงคือวันนี้” เศรษฐกิจ” ของ”บ้านเรา” ยัง”ไม่ฟื้น” ยังคง”ซบเซา” อย่างเห็นได้ชัด “หาดใหญ่” เมืองแห่งการท่องเที่ยว” และ”เมืองแห่งการค้าขาย” วันนี้ วันจันทร์-วันพฤหัสบดี” คนค้าคนขาย” ต้อง”กินบุญเก่า” หรือ”เจี๊ยะเล่าบี้” เพราะ นักท่องเที่ยวไม่เข้ามา ต้องรอถึง “ วันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์” จึงจะมี “นักท่องเที่ยว” จาก”ประเทศมาเลเซีย” เข้ามาเพื่อ”ปลุกหาดใหญ่ให้ตื่น” สภาพอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่อง”ที่ดี” สำหรับเรื่อง”เศรษฐกิจ”และ”ปากท้อง” ของ”ผู้คน” ในวันที่”พรรคการเมือง” หาเสียง  ทุกพรรคบอกว่าจะ”รังสรรค์” เมือง”หาดใหญ่” ให้เป็น “ดิวตี้ฟรีโซน” บ้าง ให้เป็น”ศูนย์การเงินแห่งเอเชีย” บ้าง มีทั้งโครงการ”โมโนเรล” มีทั้งโครงการ”ยักษ์ๆ” มากมาย ในการ”ฟื้นฟู”หาดใหญ่ แต่เชื่อเถอะ เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่อง”น้ำลาย” ที่ สุดท้าย”คนหาดใหญ่” ยังต้องอยู่กับ”ข้อเท็จจริง” และด้วย “ขาของตนเอง”….โดยเฉพาะเงินงบประมาณ 2,200 ล้าน ที่ ไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ.สงขลา “ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง” เพื่อที่จะทำโครงการ”หอชมเมือง” ในพื้นที่ ตลาดสดเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่มีเสียง”คัดค้านอึงมี่”  ก็หวังว่าคงจะ”ไม่ดันทุรัง” เพราะมีคน”มองออกว่า” เป็นโครงการที่หวังเพียง”ใช้งบประมาณ” แต่ไม่ได้”คาดหวัง” ในการใช้ประโยชน์ และ”ได้ประโยชน์” จากการก่อสร้าง”หอชมเมือง” นักการเมืองเฮ้ย ทำอะไร หวังอะไร คิดกันให้ดี วันนี้”คนฉลาด”พอ และมีช่องทางการ”สื่อสาร” ที่ทุกอย่างไม่เป็น”ความลับ”อีกต่อไป

 

ไปต่อที่”เมืองเศรษฐกิจ” ติดชายแดนไทย-มาเลเซีย อีกเมือง ที่ “ด่านนอก” เทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ที่”นักลงทุน” พยายาม”ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง” เพื่อ”ฟิ้นฟู” เมืองเศรษฐกิจแห่งนี้ แต่ผ่านมาหลายเดือนก็ยัง”ไม่ฟื้น” โรงแรมนับร้อยแห่ง ร้านค้า สถานบันเทิง นับร้อยๆแห่ง ยัง”เงียบเหงา” มีเพียง”ซอยอินเดีย” ที่เป็นของ”กลุ่มทุนต่างด้าวชาวอินเดีย” ที่ยังมี”ชีวิตชีวา” สาเหตุเป็นเพราะ” เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง” มีการ”อนุญาต” ให้”หญิงไทย” กว่า 4,000 คน ที่ เคย “ทำมาหากิน” กับแขก”มาเลเซีย” เดินทางไป”ทำงาน” โดยถือ”พาสปอร์ตนักท่องเที่ยว” ไป” “ขุดทอง” เป็น”หมอนวด หมอนาบ” หรือ “ขายบริการ” ที่”เมืองโยโฮบารู” เมืองชายแดนมาเลเซียที่ติดกับชายแดนสิงคโปร์ เมื่อเป็นเช่นนี้” นักเที่ยว” จาก”มาเลเซีย-สิงคโปร์” จึงไม่ต้อง เสียเวลา เสียเงิน ในการเดินทางมา”ยัง”ด่านนอก” เพื่อซื้อบริการหญิงไทย” ที่”ด่านนอก” เมืองชายแดนแห่งนี้อีกต่อไป…..ส่วนใครจะได้”ผลประโยชน์” ก็คิดเอาเอง เพราะ “หญิงไทย” ทั้ง 4,000 กว่าคน ถูก”เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง” ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว และต้องกลับมา”จ๊อบพาสปอร์ต” ทุกสิ้นเดือน ในฐานะของ”นักท่องเที่ยว” ที่ไม่มี”เวิร์คเปอร์มิค” หรือ”อนุญาตทำงาน” ทุกคนต้องจ่าย”ค่าจ๊อบพาสปอร์ตคนละ 2,000 บาท เมื่อ”จ๊อบกลับประเทศ” และ”จ๊อบเข้ามาเลเซีย” นี่เป็นวิถีทางที่เป็น”ส่วยอันแยบยล” ของ หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง หรือไม่ ฝากให้” พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผู้บังคับการ  ตม. 6 ผู้รับผิดชอบ ตรวจคนเข้าเมืองภาคใต้ ให้ตรวจสอบ อย่าคิดนะว่า”ลูกไม้ตื้นๆ” แบบนี้จะไม่มีคน”อ่านออก”

 

นอกจากนั้น”อาณาจักร”ของ”เสี่ยวจาง” หรือ”เตียวฮุยฮวด” ที่ลงทุนไปแล้วเป็น”หมื่นล้าน” ทั้ง โรงแรมหรู ศูนย์การค้า อัครมหาบันเทิง สวนสนุก และอื่นๆ หลังจากที่”เสี่ยวจาง” อัครมหาเศรษฐกิจชาวมาเลเซียที่”หอบเงิน” จากการโกงประชาชน ทั้ง มาเลเซีย และ “จีนแผนดินใหญ่” ถูก”จับกุม”จาก”หมายอินเตอร์โพล” ของ”ประเทศจีน และถูก “ ตรวจคนเข้าเมืองไทย ส่งตัวให้ “รัฐบาลจีน” เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย  อาณาจักร”หมื่นล้าน” จอง”เสี่ยวจาง” วันนี้ก็กลายเป็น”เมืองร้าง” ที่เป็นการ”ซ้ำเติม” ความ”เติบโต” ของ”เมืองเศรษฐกิจ” อย่าง”ด่านนอก” ให้”ซบเซาและทรุดโทรด” กว่าเดิม….ก็ไม่ต่างกับ”ปาดังเบซาร์” เมืองชายแดนอีกด้านหนึ่งของ อ.สะเดา จ.สงขลา ที่อยู่ติดกับ”เมืองปาดังเบซาร์” รัฐเปอร์ลิส” ประเทศมาเลเซีย ที่”ซบเซา” มานานนับสิบๆ ปี โดยไม่มีการ”ฟื้นฟู” เมืองปาดังเบซาร์ ฝั่งไทย วันนี้อยู่ได้ด้วย “ขบวนการค้าของเถื่อน” ถ้า”ของเถื่อน” มีปัญหา “ปากท้อง”ของคนในพื้นที่ก็มีปัญหาไปด้วย แม้แต่ เจ้าหน้าที่”ศุลกากร,ตำรวจ, และ อื่นๆ ที่อยู่ได้ด้วย”ส่วย” อย่าง”อิ่มหมีพีมัน” ก็ต้อง”จนลงอย่างเฉียบพลัน” เช่นวันนี้ที่”ศุลกากร” กลัวการถูก”แฉ” ในเรื่องของ”ส่วย” ไม่กล้า”ปล่อยสินค้าเถื่อน” ทำให้ ทั้ง”นายทุน” และ” ประชาชน” ในพื้นที่ส่งเสียง”โหวกเหวก” ขอให้”ศุลกากร”ปล่อยให้”ค้าขาย”และ”ขนถ่าย” ของเถื่อน อย่างที่เคยทำมา และ นี่คือเรื่องของ”ข้อกฎหมาย” เรื่องของ”ส่วยสาอากร” กับเรื่อง”ปากท้อง” เรื่อง”วิถีชีวิตของคน”เมืองชายแดน” ที่ไม่เคยมี “ผู้แทน” คนไหน ไม่เคยมี”ผู้ว่าราชการจังหวัดคนไหน” ที่คิดจะ”แก้ปัญหา” ทั้งในเรื่องการ”ฟื้นฟูการค้าชายแดน”และการ”ส่งเสริมอาชีพ” ให้คนในพื้นที่โดยไม่ต้อง”ค้าของเถื่อน” ที่เป็น”อาชีพที่ผิดกฎหมาย”

 

เรื่องของ”ชุดปฏิบัติการพิเศษ”จาก”กรมการปกครอง” เข้า”จับกุม” สถานบันเทิง” ที่ไม่มี”ใบอนุญาต” ให้เปิดสถานบันเทิงแบบมี”นักร้อง นักดนตรี” มีการ”ย้ายตำรวจ สภ.กระทู้ มีการย้าย นายอำเภอกระทู้ จ.ภูเก็ต ก็เป็นเรื่องที่”ถูกต้อง” ที่ผู้”รับผิด” ต้องไม่ใช่เฉพาะ”ตำรวจ” เพราะ”ต้นเหตุ” คือ”ฝ่ายปกครอง” ที่เป็นผู้ “ควบคุม”ในการออกใบ”อนุญาต” ที่รู้ดีว่า ตรงใหนถูกต้อง ตรงไหน”เถื่อน” แต่ไม่ดำเนินการให้”ถูกต้อง” ที่ยกเรื่อง”สถานบันเทิงเถื่อน” ที่ “กระทู้” จ.ภูเก็ต มาเขียนถึง เพื่อที่จะบอกว่า ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา “ห้องอาการ” และ”สถานบันเทิง” ที่เป็น”อีหรอบเดียว”กับที่ “ กระทู้” มีอยู่ มากมาย โดยเฉพาะที่อยู่ในพื้นที่ของ สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถ้าที่”กระทู้” ผิดกฎหมาย ที่”หาดใหญ่”ก็ต้อง”ผิดด้วย” แต่ทำไมที่”หาดใหญ่” จึงไม่มีการ”จับกุม” เรื่องนี้ฝากให้”แมนรัตน์ รันตสุคนธ์” อธิบดีกรมการปกครอง พิจารณา เพราะเคยฝาก “เจษฎา จิตรัตน์” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา แล้วหลายครั้ง แต่ เฉยๆๆๆ…..เรื่องของ”ไฟใต้” หรือความไม่สงบใน 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ที่”ล่าสุด” เจ้าหน้าที่ทหาร ระดับ “สัญญาบัตร”กับ”ภรรยา” ถูก”แนวร่วม” วางระเบิดแสวงเครื่อง”บาดเจ็บ” ใน ต.ปะเสยาวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ที่ แสดงให้เห็นว่า” เจ้าหน้าที่รัฐ” ยังเป็น”เหยื่อ” สถานการณ์ และไม่มีความ”ปลอดภัย” ในการเดินทาง  ก็ในการแถลงข่าวทุกครั้ง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” อ้างว่า สามารถ “จำกัดเสรีภาพ”  ในการ “เคลื่อนไหว” ของ “แนวร่วม” ได้ แต่ทำไมข้อเท็จจริง “แนวร่วม” อยากจะก่อการร้าย ที่ไหน ก็ทำได้  ถามว่า ใครกันแน่ ที่ถูก”จำกัดเสรีภาพ” ให้อยู่แต่ใน”ฐานปฏิบัติการ” ออกจาก”ฐานปฏิบัติการ” เมื่อไหร่ ไม่ “บาดเจ็บ”ก็ล้มตาย” เรื่องนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะแก้อย่างไร

 

ที่สำคัญ การที่”ฑูตานุทูต” จาก”ประเทศตะวันตก” เดินทาง”เข้า-ออก” พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นว่าเล่น” ด้วย”กิจกรรมพบผู้นำภาคประชาสังคม” ที่เป็น”ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น” แสดงว่า”ชาติตะวันตก” เห็นในสิ่งที่”ต่างจาก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเห็น และ”ชาติตะวันตก” ไม่ได้มี”เป้าหมาย” ในการเข้ามาเพื่อ”สร้างมวลชน” เพื่อการ”พัฒนายกระดับคุณภาพชีวิต” ของคนในพื้นที่ แต่ต้องมี”วัตถุประสงค์” ที่ มากกว่านั้น”แอบแฝง” อยู่ ไม่อย่างนั้น “ตัวแทน” ของ”ชาติตะวันตก” ลงจะไม่”แห่แหน”มาเกือบทุกชาติ “ภัยอันตราย” ที่มาจาก”ชาติตะวันตก” ไม่มีใครรับฟัง โดยเฉพาะ” กองทัพบก” ที่ นั่งอยู่บน”หอคอยงาช้าง” รับฟังและเชื่อรายงาน” ที่ส่งไป ที่บอกว่าทุกอย่างดีขึ้น เหตุร้ายลดลง “เราเดินมาถูกทางแล้ว”ถ้า”พิธา ลิ้มเจริญ” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” และควบตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม” รายงานอย่างนี้อาจจะกลายเป็น”กระดาษเปื้อนหมึก” ก็ได้นะ

 

เรื่อง”งบประมาณ” พาคนกลับบ้าน ของ กอ.รมน.ภาค ภ 4 ส่วนหน้า ที่มีการออกมา”แฉ” ว่า มีเรื่อง”ส่วย” หรือ”หัวคิว” ในการ “ทำยอด” เพื่อการใช้”งบประมาณ” แม้ว่า ณ วันนี้เรื่อง”หัวคิว” ของโครงการ”พาคนกลับบ้าน” อาจจะ น้อยลง หรือ หมดไปแล้ว แต่ถ้าย้อนกลับไปใน”อดีต” จะพบว่าเคยมี” อดีตแม่ทัพบางคน เอาเงินในโครงการ”พาคนกลับบ้าน” ให้”ผู้นำโจร” บางคนถึง 200 ล้านบาท เพื่อการ”ตั้งพรรคการเมือง”และ”ล้มเหลว” มาแล้ว และวันนี้”อดีตหัวหน้าพรรคการเมือง”คนดังกล่าว ก็เป็น “คนหนึ่ง” ที่ได้รับ”งบประมาณ” และ”ผลประโยชน์” จากงบประมาณ”พาคนกลับบ้าน” หวังว่าในยุคของ”แม่ทัพต้น” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เรื่อง”หัวคิว” และ”ผลประโยชน์” ที่เป็นเหมือน”ส่วย” คงจะไม่เกิดขึ้น….นานแล้วนะที่”แนวร่วม” ไม่มี”เป้าหมาย” ในการ”ฆ่าพระสงฆ์” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ล่าสุด  ก่อนวัน “วิสาขะบูชา” เพียง 2 วัน ก็มีการใช้”ระเบิดแสวงเครื่อง” หวังที่จะ”สังหารพระ 3 รูป” และ “เจ้าหน้าที่ “รปภ.พระ 2 นาย”ในขณะที่นั่งรถตู้เพื่อไป”บิณฑบาต” ใน ตลาดรือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ทำเอา” พระเณร” ใน  จังหวัดชายแดนภาคใต้”ผวากัน” อีกครั้ง ก็คงจะ”ร้องแรกแหกกระเชอ” ให้ หน่วยงานไหน “คุ้มครอง” ไม่ได้ เพราะ “รปภ.” ที่ทำหน้าที่”คุ้มครองพระ,คุ้มครองครู” ก็ตกเป็น”เป้าหมาย” ของ “แนวร่วม” ทุกเวลา “อัตหิ อัตโน นาโถ” นะ “พระคุณเจ้า” ท่องไว้ๆ

 

วันนี้  7 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่น่าสนใจคือ “การเปิดตัวขบวนนักศึกษาแห่งชาติ” ที่ ห้องประชุม “ศรีวังสา “ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานีในหัวข้อ”การกำหนดอนาคตตัวเองกับสันติภาพปาตานี” และ”การทำประชามติจำลอง” เวทีเสวนาร่วม โดยนักเคลื่อนไหวและนักการเมือง แถลงการณ์ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ  วิทยากรผู้ร่วม”เสวนา” มี  ผศ.วรวิทย์ บารู ,รอมฎอน ปันจอร์,ฮากิม พงกีตอ และ อาเต็ป โซ๊ะโก  “ ใครมีความเป็นมาอย่างไร คนที่”เกาะติด”เรื่องของ”ไฟใต้” โดยเฉพาะ”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รู้ดีกว่าใครเพื่อน และนี้คงเป็นการ”หยั่งเชิง” ครั้งแรกของ”นักเคลื่อนไหว” ที่ต้องการเห็นความ”เปลี่ยนแปลง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากที่”ก้าวไกล” และ”เพื่อธรรม” จะได้เป็นผู้จัด” รัฐบาล” น่าจะเร็วไปหน่อยไหมกับการ”เปิดตัว” ครั้งนี้ ทั้งที่”รัฐบาลใหม่  ยังเป็น”วุ้น” อยู่เลย

 

เอานี้ซิถูกต้อง “พาตีเมาะ สดียามู” ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี”เปิดศูนย์พัฒนาศักยภาพสตรีจังหวัดปัตตานี” เพื่อ”ยกระดับคุณภาพชีวิต” ของ”สตรี” ในพื้นที่  สำหรับ”ปัตตานี” กลุ่มผู้นำสตรี มีหลายกลุ่ม หลากหลายชื่อ ถ้าเอามารวมให้เป็น”หนึ่งเดียว” และมี”ทิศทาง” ที่ไปด้วยกันได้ ก็จะเป็นการสร้าง”องค์กรสตรี” ที่ เข้มแข็ง และเป็นประโยชน์กับการ “พัฒนาบ้านเมือง”….เรื่อง”ทุจริต” ในการ”ขายตั๋ว” ของ”แพขนานยนต์” ที่ ข้ามฟากระหว่าง”หัวเขาแดง-สงขลา ซึ่งอยู่ในการบริหารของ อบจ.สงขลา ที่มีผู้ร้องเรียน  ไม่ทราบว่า ไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ. สงขลา มีการ สืบสวน สอบสวน ข้อเท็จจริง ไปถึงไหน เพราะข่าวว่าเรื่อง”ทุจริต” ในการ”ขายตั๋ว” ของแพขนานยนต์มีมานานแล้ว ก็เอาให้จริงหา”คนผิด” มาลงโทษให้ได้ ประชาชนเขาจับตารอดูฝีมือของ”นายกไพเจน” อยู่

 

ส่วนเรื่องคดี”บุกรุกโบราณสถานเขาแดง” ที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่ง”บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ผู้ควบคุมคดีนี้ ”อัยการ” มีการ”ส่งฟ้องต่อ”ศาล”ไปแล้ว 2 คดี ส่วนคดีที่ 3 ซึ่งมี “ผู้บริหารเทศบาลเมืองสิงหนคร จ.สงขลา ร่วมอยู่ด้วย “พนักงานอัยการ” จะทำการ”พิจารณา”ในการ”ส่งฟ้อง” หรือ”ไม่ฟ้อง” อยู่  ซึ่ง ”บิ๊กโจ๊ก” บอกกับ” บรรจง  นะแส “ เอ็นจีโอ”ตัวพ่อ” ของ ภาคใต้ว่า คดี”บุกรุกโบราณสถาน” ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย…..ปิดท้าย  มีผู้ร้องเรียนว่า “ร้านขายบุหรี่หนีภาษี” ที่ ถนนโชติวิทยกุล แถวสถานีขนส่งหาดใหญ่  จ.สงขลา มีการ”ซื้อ-ขาย”กันอย่าง”โจ่งครึ่ม” มีความ”คึกคัก” เหมือน”ตลาดสด” ทำเหมือนบ้านเมือง”ไร้กฎหมาย” เอ้า หน่วยงานไหน รับผิดชอบ ไปตรวจสอบ และ ดำเนินการ ให้ถูกต้อง อย่าเข้าใจว่า”จ่ายส่วย” แล้ว จะทำอะไรก็ได้  แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

 

ไชยยงค์ มณีพิลึก

 

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…จับตาดีลลับหัก ”ก้าวไกล“

02 มิ.ย. 2023
170

ผ่านการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรมาแล้วกว่า 2 สัปดาห์ แต่ยังมองไม่เห็นการ”ลงตัว” ของการที่จะได้”รัฐบาลชุดใหม่” ที่มีพรรคก้าวไกล เป็น”แกนนำ” เพราะยังมากมายด้วย”ปัญหา” ทั้ง”ภายใน” จากพรรครวมรัฐบาลด้วยกันที่การ”จัดสรรตำแหน่ง”หรือ”แบ่งเค้ก”ไม่ลงตัวโดยเฉพาะ ในตำแหน่ง “ประธานสภาผู้แทนฯ” ที่ยัง”ขบเหลี่ยม” และ”ชิงไหวชิงพริบ” ระหว่าง”ก้าวไกล”และ”เพื่อไทย” อยู่ตลอดเวลา…..นอกจากนั้นยังมีเรื่องใหญ่ๆ ที่ อาจจะทำให้”ก้าวไกล” ที่เป็น”แกนนำ” และประกาศชื่อของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็น”นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไปแล้วอย่าง”ทะนงองอาจ” คือเรื่อง”การถือหุ้นไอทีวี” และ สมาชิกวุฒิสภา และ สส.พรรคฝ่ายค้านไม่ยกมือ”เพื่อโหวต” ให้เป็น”นายกรัฐมนตรี เรื่องของ”กองทัพ” ที่ “กังวล” กับ นโยบายของ”ก้าวไกล “ เรื่อง”ปรับโครงสร้างกองทัพ “เรื่องการแก้ กฎหมาย 112  ที่มีผู้ต่อต้านเป็นจำนวนมาก เรื่องความกังวลของ “กลุ่มทุน” เกี่ยวกับ”ค่าแรง” 450 บาท และอื่นๆ เห็นได้จาก”ตลาดหลักทรัพย์” ที่ไม่ “สนองตอบ”กับการมี”รัฐบาลใหม่” ของประเทศไทย” ทั้งหมดทั้งปวง คือการ”ติดหล่ม” ของ”รัฐบาลใหม่” ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็น”รัฐบาล”

 

และที่มาพร้อมๆกกันทุกวันคือ”ข่าวอัปมงคล” เช่นเรื่อง”ดีลลับ” ระหว่างพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคอับดับ 2 พร้อม”จับมือ”กับพรรค”ฝ่ายค้าน” ในการ “ฟอร์มรัฐบาล” ที่ไม่มี”ก้าวไกล”ร่วมทีม  ซึ่งแน่นอนว่าเป็น”เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นได้หาก “ก้าวไกล” เกิด”ติดหล่ม” ในเรื่องหนึ่งเรื่องใดข้างต้น ที่”ก้าวไกล” อาจจะ”ก้าวไม่พ้น”  เพราะฉะนั้นการลงนามใน”เอ็มโอยู” หลังการเลือกตั้ง และ การประชุมร่วม 8 พรรค ที่ทำการ”พรรคประชาชาติ” ครั้งล่าสุด ด้วยการตั้ง”คณะทำงาน 7 คณะ” จึงยังไม่ใช่”ทางออก” และไม่ใช่”หลักประกัน” ว่า “ประเทศไทย” จะมี”นายกรัฐมนตรี” คนที่ 30 ที่ชื่อ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”  และจะมี”รัฐบาล” ที่มี”ก้าวไกล”เป็น “แกนนำ” ในขณะที่”ประชาชนส่วนใหญ่”ของประเทศที่เป็น”คนจน” ยังคง”จ่อมจม” อยู่กับความ”ทุกข์ยาก” การเลือก”ก้าวไกล” มาเป็น”รัฐบาล” เพราะต้องการเห็นความ”เปลี่ยนแปลง” เช่นคนอายุ 60 ปี จะได้”บำนาญ” 3,000 บาทต่อเดือน “แรงงาน” จะได้ “ค่าแรง” วันละ 450 บาท เพื่อให้”สอดคล้อง”กับค่าครองชีพที่สูงขึ้น นี่คือ”ความหวัง”ของ”คนจน” ส่วนเรื่องๆ สำหรับ”คนจน” เช่นการ”ทลายทุนผูกขาด” การ”เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด” การ”สมรสเท่าเทียม” และ อื่นๆ ยังเป็นเรื่อง”ไกลตัว” ก็อย่างเห็นนะสำหรับความ”เปลี่ยนแปลง” ที่จะเกิดขึ้น ปัญหาคือ โอกาสนั้น จะเป็นของ”ก้าวไกล” หรือไม่

 

แต่ที่ “ประชาชน” ส่วนใหญ่ กำลังจะเดือดร้อนคือ “สินค้าอุปโภค บริโภค” หลายรายการ ตั้งแต่”เนื้อหมู” และ”ไข่ไก่” ขอขึ้นราคา”(อีกแล้ว ) และถ้า”น้ำมันดีเซล” จะขึ้นอีก ลิตรละ 5 บาท ในอีก 2 เดือนข้างหน้า ถ้าไม่มีการ”ชดเชย” จาก”กระทรวงการคลัง” ที่ทำการ”ชดเชย” มาตั้งแต่”สงครามยูเครน-รัสเซีย” หมายความว่า สินค้าทุกอย่างต้อง”พาเหรด” ขึ้นราคาตาม”ต้นทุน”ของ”น้ำมันดีเซล” ในขณะที่”รัฐบาลใหม่” ยัง ตั้งไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับ”ประเทศชาติ” และ”ประชาชน” “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี”รักษาการ” จะมี “บทบาท “ และมี”อำนาจ” แค่ไหนกับปัญหา”เศรษฐกิจ”และ”ปากท้อง” ของ “ประชาชน”ส่วนใหญ่ ของประเทศ ที่สำคัญถ้า”ประเทศ” กลายเป็น”สูญญากาศ” นานเท่าไหร่ หมายถึง”หายนะ” ในทุกๆเรื่อง ที่จะเกิดขึ้นโดยมี”ประชาชน” คนยากคนจนเป็นผู้”แบกรับ”

 

ชอบใจนะกับการออกมาแฉเรื่อง”ส่วยทางหลวง” หรือ”ส่วยตำรวจ”ของ “วิโรจน์ ลักขณาอดิสร” ซึ่งเป็น”คีย์แมน” คนสำคัญของ”ก้าวไกล” แต่ ขอบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่”เรื่องใหม่” สำหรับ”สังคมไทย” เป็นเรื่องเก่าเรื่องเดิม มีอยู่”ควบคู่”กับ”ประเทศไทย” มาเป็นเวลา 40 กว่าปีแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี 2520 ครั้งที่ “สินค้าหลบหนีภาษี” โดยเฉพาะ”เครื่องใช้ไฟฟ้า” จากประเทศมาเลเซียมีราคาที่ถูกกว่า”เครื่องใช้ไฟฟ้า” ในประเทศไทยหลายเท่าตัว “ส่วย” ในรูปแบบ”สติกเกอร์” เกิดขึ้นครั้งแรกที่ จ.สงขลา ที่”ภาคใต้” ที่รถ”ปิกอัพ” หรือ”กระบะ” ที่เป็นรถ”ขนสินค้าเถื่อน” ทุกคั้นที่วิ่ง จาก ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ต้องติด”สติกเกอร์” เพื่อแสดงว่าได้”จ่ายส่วย”ให้กับ”ทุกโรงพัก” ที่ รถวิ่งผ่าน และ ทุกหน่วยงานที่มี”หน้าที่จับกุม” รวมทั้ง หน่วยงาน”ตำรวจทางหลวง และจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง” พล.ต.ต. เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผบก.ตร.ทล. คนปัจจุบัน  ครั้งที่ยังเป็น พ.ต.ต. เคยทำหน้าที่ “สว.ทล.3 กก 7 อยู่ที่”หาดใหญ่”ด้วย ซึ่งต้องรู้จัก”ส่วยสติกเกอร์” เป็นอย่างดี…..และ วันนี้”ส่วยสติกเกอร์” ของขบวนรถ”ขนสินค้าเถื่อน” ที่จอดกันเต็มใน ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งมีหน้าที่ในการ”ขนสินค้าเถื่อน” จาก “มาเลเซีย” เช่น”น้ำมันปาล์ม,น้ำมันดีเซล.น้ำมันเบนซิน ,เนื้อโคเนื้อกระบือ” เครื่องในไก่ และ” ขนมนมเนย” รวมทั้ง”ของเถื่อน” อื่นๆ นับร้อยๆ คัน ที่วิ่งส่ง”ของเถื่อน” จาก ชายแดน”ปาดังเบซาร์  อ.สะเดา จ.สงขลา ไปยัง จังหวัดต่างๆ ก็ยัง”จ่ายส่วยสติกเกอร์”อยู่ “รักษาการ” ผบก.ตำรวจทางหลวง” ที่มาแทน “พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ” อย่าลืม”สั่งการ” ให้ ผกก. ทล.7 และ สว.ทล.3 “ยุติ” เรื่อง”ส่วย” ก่อนที่”อุกาบาตน้อย”อย่าง”วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” “ตัวตึง”ของ”ก้าวไกล” จะออกมาแฉ

 

และก็เป็นอย่างที่เคยเขียนไว้ว่าเรื่อง” พรบ.อุ้มหาย” จะทำให้”โจรสบาย” เพราะ”ตำรวจ”ไม่กล้าทำหน้าที่ วันนี้ “ตำรวจผู้น้อย” ที่ เป็น”สายสืบ ,สายปราบปราม” โดยเฉพาะ”นอกเครื่องแบบ” ที่มีหน้าที่ “สืบสวน”และ”จับกุม” ที่ ไม่ใครกล้าไป”จับโจร” เพราะต้องมี”อุปกรณ์” ติดตัว ที่ นอกจากจะ”ขาดแคลน”แล้ว ยังขาดความ”ล่องตัว” ในการ”ปฏิบัติหน้าที่” ที่สำคัญ” จับโจรได้” แต่”พลาดพลั้ง” ถูก”ฟ้องร้อง” ตามมา และกลัว “ผู้บังคับบัญชา” ไม่ช่วย   เรื่องนี้ถ้า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ไม่มี “นโยบาย” ในการ แก้ไขปัญหาที่”ชัดเจน”  ทั้ง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” และ”ประชาชน” จะได้รับความ “เสียหาย” และ”เดือดร้อน” ส่วนระดับ”ผู้บัญชาการ” ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ท. สุรพงศ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 และ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล “ ผบช.ภ. 9 . จะมี”แนวทาง” อย่างไรในการ”ปฏิบัติ” หรือ”ช่วยเหลือ” ผู้ใต้บังคับบัญชา เวลาเกิด”พลาดพลั้ง” ถูก”ร้องเรียน”หรือ”ฟ้องร้อง” จาก”ผู้เสียหาย” ก็ต้องใช้มีความ “ชัดเจน” เพราะวันนี้”นักกฎหมาย” ที่”หิวแสง” เกิดขึ้นมากมายในประเทศ….ส่วนที่ “ผู้บังคับการตำรวจภูธร” บางจังหวัด มี”นโยบาย” ในการ”ลดคดี” แต่ละ”โรงพัก” ด้วยการ รับแจ้งความในคดี”ประทุษร้ายต่อทรัพย์” ด้วยการไม่ลง”ประจำวัน” ที่มี”เลขคดี” และ การ”ขอหมายจับ” ให้เป็น”หน้าที่”ของ”ผู้กำกับการสถานีตำรวจ” เพียงคนเดียว ไม่เห็นด้วยนะ เพราะเป็นการ”สร้างภาพลักษณ์” ที่ไม่ใช่”ข้อเท็จจริง” และผู้ที่”เสียหาย”คือ”ประชาชน” โดยเฉพาะ วันนี้  “ขะโมยขะโจร” ใน”ชนบท” ชุกชุม ลักทุกอย่าง” ที่”ขวางหน้า” เช่น “กล้วย,อ้อย, มะพร้าว,ขี้ยาง,และ ผลผลิตทุกอย่างทางการเกษตร มีต้น”ทุเรียน” ต้นสองต้น ยังต้องไปนอนเฝ้า” นี่คือ”ผลพวง” จากการ”ว่างงานและ” ติดยาเสพติด” ที่เป็นปัญหา”สังคม” ที่”หมักหมม” กันมาของทุก”รัฐบาล”ของ”ประเทศไทย ที่”ลุงตู่” บอกว่า”ทำแล้ว ทำอยู่” แต่เสียดายนะที่ไม่ได้”ทำต่อ” ถามว่า ปัญหานี้ จะแก้อย่างไร “ตำรวจ”เพียงลำพัง น่าจะเป็นแค่การแก้ปัญหา”เฉพาะหน้า”นะ และเรื่องเหล่านี้ “ฝ่ายปกครอง” ต้องมีหน้าที่ด้วย  ไม่ใช่”ลอยตัว”ไปวันๆ”ตำแหน่ง” และ”หน้าที่” ผู้ว่าราชการจังหวัด “ไม่ใช่มี”หน้าที่”แค่”เปิดงาน” บรรยายพิเศษ” ร่วมงานสังสรรค์ แต่ต้องทำหน้าที่แก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เกิดขึ้น”ไหนชอบบอกกันว่าฝ่ายปกครอง” มีหน้าที่”บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ของ”ประชาชน” ไม่ใช่หรือ

 

นี้ก็เรื่อง “อื้อฉาว” ของ”ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา” สุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย” ที่”แต่งชุดผสมผสาน” ระหว่างชุดขาวเต็มยศสายสะพายกับชุด”เจ้าเมืองมาลายูโบราณ” ที่มี”ดีไซน์เนอร์” ใน”ท้องถิ่น”  เป็นผู้”ออกแบบ” และกลายเป็น”หัวข้อ” ที่”ข้าราชการ” และ”ประชาชน” นำมา”วิพากษ์วิจารณ์” เพราะ”ไม่เคยพบเคยเห็น” การ”แต่งกาย”แบบนี้ในงานพิธี”ศาลหลักเมือง” และ”กาชาด” ของ จ.ยะลานี่เป็นเรื่องความ”ความเหมาะสม”กับความ”สวยงาม” ผู้ที่มี”วุฒิภาวะ”ของการ”ผู้นำ” ต้องรู้จัก”แยกแยะ”…..และที่สำคัญงาน”กาชาด”และ”หลักเมือง” ที่  จ.ยะลา ปีนี้ มีการ”ฆ่ากันตาย” ของกลุ่ม”วัยรุ่น” ที่มา”เที่ยวงาน เหตุเกิดใน”โซน” ของการเปิดให้ “เล่นการพนันประเภทที่ 5” ซึ่งมีอยู่ “มากมาย” ของงาน”กาดชาด” ของทุกจังหวัด และถ้าไม่มีเรื่อง”เล่นการพนัน” ก็อาจจะไม่มีการ”ฆ่ากันตาย” ใช่หรือไม่  ก็ฝากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้เป็น”ข้อคิด” ว่า งาน”เอกชน” หรืองานที่ไม่เกี่ยวกับ”ราชการ” เป็นอีก”ประเด็น” ที่”ฝ่ายปกครอง” จะมีการให้”อนุญาต” ให้มีการ”พนันประเภท 5 “ แต่ต้องควบคุมให้อยู่ภายใต้”กฎหมาย” เช่นไม่ปล่อยให้”เด็กๆ เยาวชน นักเรียน ในเครื่องแบบ เข้าไป”มั่วสุม” แต่งานที่จัดเป็น”ทางการ” โดย “เจ้าหน้าที่รัฐ” เป็น”แม่งาน” ต้องไม่มี”การพนัน” ได้หรือไม่ หรือที่”ต้องมี” เพราะ”รายได้” ที่”ผู้รับเหมา” จ่ายให้”เจ้าภาพ” จำนวน 5 ล้าน 7 ล้าน แล้วแต่ จังหวัดเล็ก จังหวัดใหญ่ ส่วนหนึ่งมาจาก”การพนัน”ที่ผู้”เหมาช่วง” ในการจัดงาน จ่ายให้

 

นี่ก็เรื่องความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน” จากการ”บังคับใช้”กฎหมาย” แบบ”ไม่ผ่อนสั้นผ่อนยาว” ของ” ตำรวจจราจร” สภ.เมือง ปัตตานี ที่”จับดะ” และใส่ทุก”ข้อหา” เพื่อเงิน”ค่าปรับ” ให้มากที่สุดตาม”เป้า” ที่”นาย” ต้องการ” นักเรียน” และ” ชาวบ้าน “จึงกลายเป็น”เหยื่อ”ของผู้รักษา”กฎหมาย” กลายเป็นเรื่องความ”เดือดร้อน”ไปทั่วทั้งเมือง ทั้งที่เมื่อก่อน อยู่ด้วยกันดีๆ มีการทำผิด มีการ”ว่ากล่าวตักเตือน” เข้าใจสภาพของ”สังคม” ที่ “นักเรียน” ต้อง ขับรถพาน้องนุ่ง มาโรงเรียน โดยไม่มี”ใบขับขี่” เพราะ”ผู้ปกครอง” ต้องทำงานเพื่อ”ปากท้อง”ไม่สามารถมาส่ง ลูก หลาน มาโรงเรียน  แต่เมื่อคน”เป็นนาย” ที่ ควบคุมงาน”จราจร” บอกว่า”เส้นใหญ่” ต้องการ”เพียงเป้า” โดยไม่”รับรู้”ถึงความ”เดือดร้อน” ของ”ผู้ที่”เป็นเป้า” เพราะ”ผิดจริง” ก็ต้องฝากเรื่องนี้ให้เป็น”การบ้าน” ของ พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี  ตรวจสอบหน่วยนะ “กฎหมาย” เขามีไว้”ช่วยคน” ไม่ได้มีไว้”รังแกคน “และอย่ารอให้ถึงวันที่”ประชาชน” ทนไม่ไหวแล้วยกขบวนไปล้อม”โรงพัก”

 

เรื่องของ”ยาเสพติด” ในภาคใต้ ยังเป็นเรื่องที่น่า”สพรึงกลัว” ก่อนวันเลือกตั้ง”ผู้แทนราษฎร” เพียง 2 วัน เจ้าหน้าที่”ปปส.ชุดใหญ่ พร้อม เจ้าหน้าที่”ตำรวจ” ทั้ง ภาค 8 ภาค 9  รวมทั้ง  ผกก.สภ.ท่าศาลา  จ.นครศรีธรรมราช   ผกก.สภ.ม่วงงาม จ.สงขลา ที่ร่วมกัน”วางแผน ในการ”จับกุม”ขบวนการ ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่ลำเลียงมากับ”เรืองประมงดัดแปลง” ยึดได้”ไอซ์ล๊อตใหญ่” จำนวน 1.500 กิโลกรัม พร้อมผู้ต้องหา 8 คน ส่วนใหญ่เป็นคนใน อ.สิงหนคร จ.สงขลา ขณะนี้เตรียมนำส่งให้”เอเย่นต์ “ กลางทะเล…..ที่สำคัญจากการ”ตรวจสอบ”พบว่า”เรือทัก” ที่ใช้ในการ”ขนยาเสพติดล๊อตใหญ่” ราคาหลายพันล้านครั้งนี้ เป็นของ”นักการเมืองท้องถิ่น” ใน อ.สิงหนคร จ.สงขลา ที่เคยใช้เป็น”เรือขนน้ำมันเถื่อน” เรื่องนี้ ถ้ามีการ”ขยายผล” จากชุด”จับกุม” อย่าง”จริงจัง” เชื่อเถอะเจ้าของเรือ”หนีความผิดไม่พ้น และอาจจะมีการ”เกี่ยวโยง” ถึงใครต่อใครที่มี”หน้ามีตา” ในสังคม และผู้ที่น่าจะ”รู้ดี”ว่า “เรือทัก” ลำนี้เป็นของใครต้องให้ พ.ต.อ.เสวี วุ่นหนู ผกก.สภ.ม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา เป็นผู้”สืบสวน” ในฐานะที่เป็น “เจ้าของพื้นที่

 

แหล่งข่าวจาก”วงใน” ของการ”ปราบปรามยาเสพติด” พบว่า”เส้นทาง” ในการ”ขนยาเสพติด” ส่วนหนึ่ง” ไปตั้งหลักใน”กัมพูชา” ใช้ท่าเรือ”สีหนุวิลล์”  จ.เกาะกง  ขนส่งมาทาง”อ่าวไทย” มีจุด”รับของ”กลางทะเล”  ก่อนที่จะ”กระจาย”ขึ้นบก” และ”ส่วนหนึ่ง” จะมี”เอเย่นต์” มารับ”ยาเสพติด” ทางเรือ เพื่อไปยังประเทศที่ 3  วันนี้”เส้นทาง” การค้ายาเสพติด ยิ่งมีความ”ซับซ้อน” มากขึ้น เช่นเดียวกับเส้นทาง”ค้าบุหรี่เถื่อน” ก็อาศัยเรือเดินทะเล ขนมาจากท่าเรือใน”กัมพูชา” มายัง จ.สงขลา และ จ.นราธิวาส เช่นกัน ซึ่งก็คงต้องติดตามดู”บทบาท” และ”หน้าที่”ของ “ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ที่ รับผิดชอบ”น่านน้ำ”ของ”อ่าวไทย”ว่าจะมี”นโยบาย” อย่างไรกับการ”ปราบปราม ขบวนการทำผิดกฎหมายทางทะเล” …… และ ห่างจากการ”จับกุมไอซ์ล๊อตใหญ่” ที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ไม่กี่มากน้อย” ตำรวจ สภ.ปะลุกาสาเมาะ จ.นราธิวาส ก็ สกัดจับ “ไอซ์ล๊อตใหญ่” ในพื้นที่  อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ได้อีก 1,200 กิโลกรัม  และล่าสุด เมื่อวันที่  27 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ ปปส. ก็จับ”ไอซ์ล๊อตใหญ่” ใน ต.ทุ่งขมิ้น อ.นาหม่อม จ.สงขลา ได้อีก  950  กิโลกรัม ถ้าของทั้งหมดเป็น “นายทุน” กลุ่มเดียวกัน ก็ แสดงให้เห็นถึงความ”ยิ่งใหญ่”ของ ขบวนการ และทำให้เห็นถึง”ตลาด”ของ”ยาเสพติด” ในภาคใต้ที่”ใหญ่โต” มีความต้องการ”ยาเสพติด” ที่เพิ่มขึ้นๆ สวนทางกลับการ”จับกุม” ที่จับได้มากเท่าไหร่ จำนวน”ยาเสพติด” ก็ถูกส่งมามากขึ้นเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ขอ”ชื่นชม” เจ้าหน้าที่ ปปส. ตำรวจ ปส. ที่มี”ผลงาน” ในการ”แกะรอย” และทำงานได้ผลในการ”จับกุม” ยาเสพติดทั้ง 3 ราย ซึ่งถือว่าเป็นงาน”ชิ้นโบว์แดง”

 

เรื่อง”ยาเสพติด” ในภาคใต้ จำได้”แม่นยำ”ว่า แม่ทัพภาคที่ 4 นับตั้งแต่”เสธเมา” พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์  เป็นต้นมา จน”บิ๊กเดฟ”  และ”บิ๊กเกรียง” และมาถึง” แม่ทัพต้น” พล.ท.ศานติ ศกุนตนาคเจ้าของ นโยบาย” ศานติ สานต่อ” ก็ประกาศว่า การปราบปราม ยาเสพติด เป็น นโยบาย หลักของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แต่ผ่านไปแล้ว 4 แม่ทัพ “ยาเสพติด” นอกจากจะไม่”เบาบาง”ลง ยังเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทั้งในเรื่อง”ปริมาณ” ที่”จับได้” และ ผู้ที่อยู่ใน”วงจร”ของการ”ค้ายา” การ”เดินยา” และ จำนวน”ผู้เสพ” ก็มีแต่ เพิ่มขึ้นๆๆ นี้จะเรียกว่าเป็นความ”ล้มเหลว” ใน นโยบาย ปราบปรามยาเสพติดของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้หรือไม่…..ส่วนประเด็นปัญหา ของ”ไฟใต้” วันนี้ “แนวร่วม” หรือ”กองกำลังติดอาวุธ”ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน” บีอาร์เอ็น” ยังคงมี”เป้าหมาย” อยู่ที่การ”ปลิดชีพ” ของ”เจ้าหน้าที่รัฐ” ล่าสุดยังมี  อส.ที่ จ.นราธิวาส ถูก”ซุ่มยิง” บาดเจ็บ” ทั้ง “พ่อทั้งลูก” โชคดีที่ไม่เสียชีวิต ดังนั้น การทำหน้าที่” อส.ชรบ “ และ อื่นๆ ที่เป็น “กองกำลังท้องถิ่น” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วันนี้ จึง”แขวนชีวิตอยู่จนเส้นด้ายเปื่อยๆ” และคงจะไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้ นอกจาก” เจ้าตัว” ต้อง”ป้องกันชีวิตตนเอง” และ”จุดตาย” ของเกือบทุกคนคือการ”ออกจากฐานปฏิบัติการเพื่อเดินทางกลับบ้าน”

 

ส่วนเรื่องของ”คณะพูดคุยสันติสุข” ที่มี พล.อ.วัลลพ รักเสนาะ เป็น”หัวหน้าคณะ”  วันนี้ควรจะ”หยุดบทบาท” เพื่อประหยัด”งบประมาณ” ในการ “ปฏิบัติหน้าที่” ได้แล้ว เพราะ”รูปการณ์”ของ”รัฐบาลใหม่” ไม่ใช่เป็นการ”พูดคุย” ใน”รูปแบบ” ที่กำหนดโดย”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” รักษาการ”นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง”รัฐบาลใหม่” มีการกำหนด”บุคคล” ที่จะมาทำการ”เจรจาสันติภาพ” กับ”บีอาร์เอ็น” ที่อาจจะมี”พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีต เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) ซึ่งเป็น “หัวหน้าชุดเจรจาสันติภาพคนแรก” สมัยที่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “ เป็น “นายกรัฐมนตรี” และมี” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” สส.บัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรคประชาชาติ อดีต เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) เป็น หนึ่งในคณะ”เจรจาสันติภาพ” ในรัฐบาลสมัยหน้า…..รวมทั้งต้อง”จับตามอง” ตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.) ในรัฐบาลสมัยหน้าว่า จะเป็นใคร เพราะคงไม่ใช่” พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม” ที่เป็น “เลขาธิการคนปัจจุบัน ที่เป็น”น้องเลิฟ” ของ”บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการ”นายกรัฐมนตรี” แน่นอน…..จับตา สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังมีการ “เลือกตั้ง” ขณะที่ยังไม่มี”รัฐบาลใหม่” แต่คณะของ”เจ้าหน้าที่” และ”ทูตานุทูต” จาก ประเทศต่างๆ มีการ”เคลื่อนไหว” เดินทาง มาพบกับผู้นำ”ภาคประชาสังคม” ทั้งกลุ่ม”สตรี” และกลุ่มที่เป็น”ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” อย่างคึกคัก ล่าสุด”ทูตประเทศฝรังเศส” ก็ยกขบวนมา พบคนนู้น คนนี้ คนนั้น  และ หลายคนเป็น”บุคคล” ที่ กอ.รมน. ติดตามความ”เคลื่อนไหว” ประเด็นที่สำคัญคือ” จังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นพื้นที่ ซึ่งมีปัญหา”ความมั่นคง” มีขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ปฏิบัติการ” ด้วยกำลังอาวุธ ในพื้นที่ การให้”อิสระเสรี” กับ “นักการทูต” เข้ามา พบปะกับใครต่อใคร ตามใจชอบ โดยที่ไม่มีการถามความเห็นจาก”หน่วยงานความมั่นคง” เช่น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และไม่มี เจ้าหน้าที่ของ”กระทรวงต่างประเทศ” และ”เจ้าหน้าที่ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” รวมเดินทางไปด้วย เป็นเรื่องที่”ถูกต้อง” หรือไม่ประการใด   เปล่า  ไม่ได้ ตัดสินว่า “ผิด-ถูก” แต่ในฐานะของ”หุ้นส่วนประเทศไทย” ที่ถือหุ้นจำนวนหนึ่งหุ้นเท่าคนไทยทุกคน อดที่จะห่วง สถานการณ์ใน “อนาคต” ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้….ลำพังการ”ไฟเขียว” ให้ “หน่วยงานกาชาดระหว่างประเทศ” ( ไอซีอาร์ซี ) เข้ามา ตั้งสำนักงาน”ปฏิบัติการ” เรื่อง”มวลชน”  ทั้งที่ไม่อยู่ใน”เงื่อนไข”ก็เป็น”อันตราย” พออยู่แล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่จากองค์กร”เจนีวาคอล” ที่ เดินทาง เข้า-ออก ระหว่าง พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ “มาเลเซีย” เป็นว่าเล่น เพื่อ”พบปะ” กับ”แกนนำ”ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ยิ่ง”อันตาย”มากยิ่งขึ้น ก็คงต้องถามไปยัง”กระทรวงการต่างประเทศ” และ” สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ว่าทั้ง สองหน่วยงาน “คิด”และ”ทำ” อะไรอยู่  หรือวันนี้ “ไทยแลนด์” ยังเป็น”เมืองขึ้น” ของ บรรดาประเทศ”ตะวันตก” อยู่ จึงปล่อยให้”ชาติตะวันตก” ทำอะไรก็ได้ “บนผืนแผ่นดินไทย” อย่างนั้นใช่หรือไม่ใช่

 

ปิดท้ายด้วยเรื่อง เดิมๆ มีผู้ร้องเรียนมาว่า ในพื้นที่ภายใต้การรับผิดชอบของ สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มี สถานบริการที่ไม่มีใบอนุญาตให้เป็นสถานบันเทิง ที่มี นักร้อง ดนตรี เปิดให้บริการหลายแห่งมีการ”ลักไก่” ปิดสถานบริหารตรงเวลา และ”ต้อนลูกค้า” ไปด้านหลังที่อ้างว่าเป็น”ร้านอาหาร”เป็นการ”ตบตาประชาชน” โดย”จ่ายส่วย” เจ้าหน้าที่  บางแห่ง “เปิดยันสว่าง” อ้างมี”ไฟเขียว” จาก “ตำรวจ” และอ้างมี “นักการเมือง” ที่เป็น ว่าที่ สส.เป็น”แบ็คอัพ” เอ้า พ.ต.อ.บัญฑูร เทพสุวรรณ ผกก.สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา” แย้มหน้าต่าง” ห้องทำงาน ดูข้อเท็จจริงของการร้องเรียนด้วยนะ…..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ 

ไชยยงค์ มณีพิลึก