”รัฐบาล” กับงาน”การเมือง” ใน”เทศกาล” ของการต้อนรับ”ปีใหม่ 2568 “ คือการ”อำนวยความสะดวก” ให้กับ”ประชาชน” ในเทศกาลของการ”ต้อนรับปีใหม่” โดยให้ทุก”กระทรวง”มีการอำนวยความสะดวก ในการ”เดินทางสัญจร” เช่นการเปิด”ฟรีมอเตอร์เวย์”ในบางช่วง บางตอน บางสาย ในการเดินทางไป”ต่างจังหวัด” ขณะที่ “กระทรวงยุติธรรม” “จัดกิจกรรม” ให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังอย่างใกล้ชิดในวัดหยุดเทศกาลปีใหม่ เช่นเดียวกับอีกหลายกระทรวง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงทรัพย์ ก็มีการจัด”กิจกรรม” ที่เรียกว่าเป็นการมอบ”ของขวัญ” ให้กับ”ประชาชน…..แต่ สิ่งหนึ่งที่ ยังคง”ป้องกัน”ไม่ได้ นั้นคือเรื่องของ”10 วันอันตราย” ที่ยังคงเป็น” 10 วันอันตราย” ที่”อันตราย” จากการ”ใช้รถใช้ถนน” ยังคงไม่”ลดลง” และเรื่องของ”เมาแล้วขับ” ก็ยังเป็น”สาเหตุหลัก” ในห้วง”10 วันอันตราย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า”การตั้งจุดตรวจ” ที่”รัฐบาล” คิดว่าจะเป็นการ”แก้ปัญหา”ในการ”ลดอุบัติเหตุ” ในห้วง 10 วันของเทศกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น”ปีใหม่” หรือ”สงกรานต์” ยังเป็นเรื่องที่”เกาไม่ถูกที่คัน” ซึ่ง”หน่วยงานที่รับ”ผิดชอบ” ควรมีการ”ทบทวน” ว่า นอกจากการ”ตั้งด่านตรวจ” อย่างที่ทำกันมาหลาย 10 ปี แต่”ไม่มีผล” ยังจะต้องมี”มาตรการ” อะไรเพิ่มเติมเพื่อการ”ลดอุบัติเหตุ” ในห้วงของ”เทศกาล” สำคัญๆที่ประชาชนมีการ”ใช้รถใช้ถนน” เป็นจำนวนมาก หรืออย่าง”มาตรการของ”เอกนัฎ พร้อมพันธุ์” เสนาบดีกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ให้”โรงงานน้ำตาล” หยุดรับซื้ออ้อย เป็นเวลา 7 วัน เพื่อการ”ลดอุบัติเหตุ” ก็ทำได้ในพื้นที่ไม่กี่จังหวัด แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่อง”ที่ดี” ดีกว่าที่ไม่คิด ที่จะทำอะไรเลย
หลังการ”เฉลิมฉลอง” ใน”เทศกาลปีใหม่”แล้ว” หลังการ”เดินทาง” กลับบ้านไปเยี่ยมบ้านแล้ว ทุกคนก็ต้องกลับมา”ทำงาน” และอยู่กับ”ความจริง” ในเรื่องของ”ปากท้อง” เรื่องของ”เศรษฐกิจ” ที่ยัง”ยักแย่ยักยัน” มองไม่เห็น”แสงสว่าง” ว่า”ประเทศไทย” จะขึ้นจาก”หลุมดำ” ทาง”เศรษฐกิจ” ได้อย่างไร สิ่งที่”รับรู้” คือการ”พยายาม”ประคับประคอง” ด้วยการ” ลด”นั้น”แจก” นี้ เช่น จะมีการ”ลดค่าไฟฟ้าลง 3 สตางค์ ต่อหน่วย ซึ่งมัน”จิ๊บจ้อย” เหลือเกิน ในความ”รู้สึก”ของ”ประชาชน “ส่วนโครงการใหญ่ๆ ที่ เรื่องการให้”สถาบันการเงิน” เปิดกว้าง” เพื่อให้”ผู้ต้องการ”เงินลงทุน” อย่าง”กิจการขนาดเล็ก” หรือ”เอสเอ็มอี” ก็ยังเป็นเรื่องที่”ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก” เพราะ”สถานบันการเงิน” ไม่”โอนอ่อนผ่อนตาม” นโยบายของ”รัฐบาล” เมื่อ”รัฐบาล” เรียกประชุม”นายแบ็งค์” ทุก”แบ็งค์” ก็”รับปาก”ว่าจะ”ปล่อยกู้” ตาม นโยบาย”ของ”รัฐบาล” แต่ในความ”เป็นจริง” ทุก”สถาบันการเงิน” ที่เป็นของ”เอกชน” บรรดา”นายแบ็งค์” ทุกคนต่าง”ส่ายหน้า” ไม่เห็นด้วยกับ”นโยบาย” ของ”รัฐบาล” ดังนั้น”ทุกแบ็งค์” จึงไม่มีใคร”เสี่ยง” ในการ”ปล่อยกู้” ให้กับ”ธุรกิจ” ที่มี”ความเสี่ยง” และกับ”ประชาชน” ที่ไม่มี”หลักประกัน”
ยกตัวอย่างการ”ปล่อยกู้” ในการ”ซื้อบ้าน” ที่”สถาบันการเงินทุกสถาบัน” ถือว่ามี”ความเสี่ยงสูง” ซึ่งใน อดีต “สถาบันการเงิน” จะไม่”ปล่อยกู้” ให้การ”ซื้อบ้าน” ที่ราคาตั้งแต่” 1 ล้านบาทถึง 1 .5 ล้านบาท เพราะ”ผู้ซื้อ” เป็น”ชาวบ้าน,ข้าราชการ” ชั้นผู้น้อย ที่”สถาบันการเงิน” อ้างว่ามีความ”เสี่ยงสูง” แต่ “วันนี้” ผู้”ซื้อบ้าน” ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป”สถาบันการเงิน” ก็”อนุมัติ”วงเงิน”สินเชื่อ” ยากขึ้น เพราะวันนี้”ชนชั้นกลาง” เริ่มที่จะมี”หนี้เสีย” ในเรื่องของการ”ผ่อนชำระ” มากขึ้น ดังนั้นถ้า”กับดัก” ด้านของ”หนี้ครัวเรือน” ยังไม่ได้รับการ”แก้ไข” จาก”รัฐบาล” อย่าง”จริงๆ จังๆ” โอกาสที่จะเห็นการ”โงหัว” ของ”เศรษฐกิจ” ของ”ประเทศ ก็ยังมองไม่เห็น”แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ที่สำคัญ”นักธุรกิจ” และ”นักลงทุน” ในด้าน”อสังหาริมทรัพย์”ขนาดเล็ก” กำลังจะ”หมดตัว” และกลายเป็นผู้”ล้มละลาย” มากขึ้นๆ….. เรื่องของ”การเมืองไทย” โดยเฉพาะการ”บริหารราชการแผ่นดิน” ของ”รัฐบาล” ที่มี”พรรคเพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” และมี” แพทองธาร ชินวัตร” ผู้เป็น”ทายาท” ของ”ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ณ วันนี้ ทุก”ฟากฝ่าย” ต่าง”ลงความเห็น”ว่า” เธอเป็นเพียง” นายกรัฐมนตรี” เพียง”ในนาม” เท่านั้น เพราะ ยิ่งนายวัน ยิ่งเห็นชัดว่า ทุกอย่างทั้งการ”สั่งการ” และการ”ตัดสินใจ” มาจาก” “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็น”พ่อ” ซึ่งกำลังเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่เป็น”ตัวจริง” มากขึ้น และ มากขึ้น….. ก็ไม่ได้ว่า”อะไร” ถ้าการเข้ามา”สั่งการ” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีต “นายกรัฐมนตรี” จะทำให้”สถานการณ์” ของประเทศชาติดีขึ้น ทั้งในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” และในเรื่องของ”ความมั่นคง” จะทำให้”ประเทศชาติ” มั่นคง แข็งแรง ทั้งด้านของ”ปากท้อง”ของ”รากหญ้า” และ”เศรษฐกิจ-สังคม” ของประเทศ เพียงแต่เห็นว่า”บทบาท”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” ณ วันนี้ เป็นการ”สร้างปัญหา” ให้กับ”ประเทศชาติ” สร้างความ”ไม่เชื่อมั่น” ให้กับ”สังคม” และ”ต่างประเทศ” มากกว่าความ”มั่นใจ” หรือไม่ การออกมา แสดงความคิดเห็นที่เหมือนกับเป็นการ”สั่งการ” แทน”นายกรัฐมนตรี” ของ”ทักษิณ ชินวัตร”ที่ ”มากขึ้น” จะเป็น”ผลดี” หรือ”ผลเสีย” ต่อ”รัฐบาล” หรือไม่ นี่ต่างหากที่ หลายฝ่าย”เป็นห่วง
เช่นเรื่องของ”ว้าแดง” ที่ มีการ”รุกล้ำเขตแดน” ของ”ประเทศไทย”ด้าน อ.ปางมะผ้า” แม่ฮ่องสอน ด้านภาคเหนือของประเทศ ที่”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่าย”ความมั่นคง” และ”เสนาบดี” กระทรวงกลาโหม” ดูเหมือนไม่”มั่นใจ” ในการที่จะ”สั่งการ” กับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องของปัญหา”ไหล่ทวีป” ของ”ทะเลด้าน “เกาะกูด” จ.ตราด ที่เป็นพื้นที่”อ้างสิทธิ์” ของ”กัมพูชา” เพื่อต้องการ”ทรัพยากรธรรมชาติ”ในใต้ท้องทะเล ที่ในการ”ขับเคลื่อน”ต้องรอการ”สั่งการ” บุคคลภายนอก ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ”รัฐบาล” แม้แต่ปัญหาเรื่องการ”ปรามปราม” ขบวนการ”คอลเซ็นเตอร์” ที่มี”ฐานปฏิบัติการ” อยู่ในประเทศ”กัมพูชา” และ”สปป.ลาว” หน่วยงานที่มีหน้าที่”รับผิดชอบ”โดยตรง” เช่น” กสทช.” และ”ตำรวจไซเบอร์” ก็ดูเหมือนจะรอการ”สั่งการ” จาก” บุคคล”ที่อยู่นอก”รัฐบาล” ทั้งที่ทั้งสองหน่วยงานมี”หน้าที่” ในการ”รับผิดชอบ”โดยตรง…..ส่วนเรื่องที่ชักจะ”ร้อนแรง” อีกเรื่องที่มากับ”ปีใหม่ 2568 “ นั้นคือเรื่องการ”แก้กฎหมาย” ให้”นักโทษ” สามารถถูก”กักขัง” ใน”บ้านพัก” ของตนเองได้ ซึ่งทางหนึ่งเป็นการ”ทำกฎหมาย” เพื่อให้เป็นไปตาม”ขบวนการยุติธรรม” เพื่อประโยชน์ของ”ส่วนรวม” แต่ใน”สายตา” และ”ความเห็น”ของคนส่วนใหญ่ มองว่าเป็นการ”ออกกฎหมาย” เพื่อที่จะพา” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ผู้เป็น”น้องสาว”ของ”ทักษิณ ชินวัตร” และเป็น”อาหญิง” ของ”แพทองธาร ชินวัตร” กลับบ้าน โดยที่ ไม่ต้องถูก”ควบคุมตัวในเรือนจำ” กลายเป็นเรื่อง”ร้อนแรง”ทาง”การเมือง” ที่เปิดโอกาสให้”ฝ่ายแค้น”นำมา”โจมตี”
เรื่องของ”ไฟใต้” หรือ”ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เกิดจาก”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนของบีอาร์เอ็น” ที่ผ่านมาแล้ว 20 ปี แต่ยังไม่มี”สัญญาณ” ว่าจะ สามารถ”ยุติ” ปัญหาของ”ไฟใต้” ได้ในปี 2570 อย่างที่ฝ่าย”ความมั่นคง” มีการ”ตั้งเป้า”เอาไว้” เพราะ”สถานการณ์” ใน ปี 2567 ที่เพิ่มจะผ่านไป ซึ่งมีการ”ก่อการร้าย” ในพื้นที่ของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เกิดขึ้นอย่าง”ถี่ยิบ” และงาน”การเมือง” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่”เข้มแข็งขึ้น” รวมทั้งการ”ขับเคลื่อน”ของ”เอ็นจีโอ” ต่างชาติ และ”องค์กรต่างๆ” จาก”ประเทศมหาอำนาจ” ที่ให้การ”หนุนหลัง” ขบวนการ”บีอาร์เอ็น” เป็นการ”บอกเหตุ” ให้”รับรู้”ได้ว่า”บีอาร์เอ็น” ยังคง”เดินหน้า” ใช้ความ”รุนแรง” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต่อไป ซึ่ง”ล่าสุด” พบว่ามีการวาง”ยุทธศาสตร์” ในการ”ต่อสู้”กับ”รัฐบาลไทย” ถึงปี 80 แล้ว….. เรื่องของ”ไฟใต้” จึงยังเป็น”ปัญหา” ที่เป็นเหมือน”ทศนิยม” ที่ไม่รู้จบ” ยิ่งได้ฟัง”นโยบาย” ของ”รัฐบาล” ผ่านทาง”ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ”เสนาบดี”กระทรวงกลาโหม”จะไม่มีการ”เปลี่ยนแปลง” นโยบายในการ”ดับไฟใต้” โดยยังจะใช้”นโยบาย” แบบเดิมๆ นั้นคือให้”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ดำเนินการโดยยึด”สันติวิธี” เป็น”ด้านหลัก” และ”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ทำหน้าที่ด้านการพัฒนา ซึ่ง นโยบายนี้ เป็น นโยบาย ที่”ล้มเหลว” มาตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา ดังนั้นเมื่อ”รัฐบาล” ยังเดินตาม”นโยบาย” ที่”เก่าๆ เดิมๆ” โดยที่”ไม่มีอะไรที่ใหม่กว่า” ก็เท่ากับเดินไปสู่”ความล้มเหลว” และเดินไปตาม”เกม” ที่”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็นผู้”กำหนด”เอาไว้แล้วนั้นเอง
ดังนั้นการที่”ทักษิณ ชินวัตร” ต้อง”ออกโรง” เดินทางไปพบกับ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย”บนเรือยอร์ช” ใน”น่านน้ำสากล” ระหว่าง”ไทย-มาเลเซีย” เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา “เบี้องหน้า” ของ”ข่าวสาร” ที่ออกมา”สู่สังคม” คือเรื่องของการ”จับมือกับมาเลเซีย” เพื่อ”พัฒนาเศรษฐกิจสังคม” และ”การเมือง”ใน”ประเทศกลุ่มอาเซี่ยน” ใน”ฐานะ” ที่” อันวาอิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย จะเป็น”ประธานอาเซียน” และ”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่ปรึกษาของ”อันวา อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย แต่”เบื้องลึก” ของการ”หารือ” ระหว่าง”คนทั้งสอง” คือเรื่องของ”ไฟใต้” ที่ “ลึกๆ” ลงไป “ทักษิณ ชินวัตร” กำลังเข้ามามี”บทบาท” ในการวางนโยบายในการ”ดับไฟใต้” โดยผ่านการ”ร่วมมือ” จาก” อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เพราะ”ทักษิณ ชินวัตร” ก็ “รับรู้”เหมือนกับผู้ที่”เชี่ยวชาญ” ในเรื่องของ”ไฟใต้” รับรู้ว่า”การแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” ถ้าต้องการเห็นความ”สำเร็จ” ต้องมาจาก” ผู้นำประเทศ”ของ”มาเลเซีย” ต้องให้ความ”ร่วมมือ”…..อย่าลืมว่าความ”รุนแรง”ของ”ไฟใต้”ละลอกใหม่” ปะทุขึ้นในยุคที่”ทักษิณ ชินวัตร “เป็น”นายกรัฐมนตรี” และการเริ่มมีการ”ตกลง” กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”ทุกกลุ่ม เพื่อเปิดการ”เจรจา”เพื่อหาทาง”ยุติความขัดแย้ง” เกิดขึ้นในขณะ ที่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็น”น้องสาว” ของ”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” โดย”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้อยู่”เบื้องหลัง” ของการ” เจรจาสันติภาพ” ในครั้งนั้น แต่ยังไม่”สำเร็จ” เนื่องจาก” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เข้ามา”ยึดอำนาจ” จาก”รัฐบาล”ของ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และเข้ามาดำเนินการในการ”สานต่อ”การ”เจรจาสันติภาพ” เป็นการ”พูดคุยสันติสุข” ที่ 9 ปี ของการ”เป็น”นายกรัฐมนตรี” ของ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่มีความ”ก้าวหน้า” ของการ”พูดคุย” ของทั้ง”สองฝ่าย” เป็นเพียงการ”พบปะ” สร้างความ”เข้าใจ” แต่ไม่มีผล”สำเร็จ” ถ้าเป็นการทำ”ศึกสงคราม” เป็นเพียงการ”ขี่ม้าเลียบค่าย” โดยไม่มีการ”ประดาบ”เกิดขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่ต้อง”จับตามอง” ถึงความ”ก้าวหน้า”ของ”การแก้ปัญหา”ไฟใต้” จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ว่า”ทักษิณ ชินวัตร” จะให้”นโยบาย” ในการ”ดับไฟใต้” กับ” แพทองธาร ชินวัตร “ นายกรัฐมนตรี และ “ภูมิธรรม เวชยชัย” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม อย่างไรกับการ” เจรจาสันติภาพ” ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนชื่อจากการ”พูดคุยสันติสุข” ในยุคของ”ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีต”นายกรัฐมนตรี” เป็นการ”เจรจาสันภาพ” เพื่อ”สันติสุข”…., ที่สำคัญใครจะมาทำหน้าที่”ประธานฝ่ายเทคนิค” แทน” พล.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” อดีด “แม่ทัพน้อยที่ 4 “ และใครจะมาทำหน้าที่เป็น”หัวหน้าคณะพูดคุย” แทน”ฉัตรชัย บางชวด” ที่ วันนี้อยู่ในตำแหน่ง” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ” สมช.” ซึ่งทั้งสองตำแหน่งต้องเป็นคนที่”ทักษิณ ชินวัตร” ไว้วางใจ และเป็นไปตาม”ใบสั่ง” ตามที่”ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการ ดังนั้นในปี 2568 ทุกฝ่ายต้อง”เกาะติด” เรื่องของ”ไฟใต้” ที่ต้องมีการ”ขับเคลื่อน” ในเรื่องของการ”เจรจา”รอบใหม่”ระหว่าง”รัฐบาลไทย”กับ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” โดยมี” อันวาร์ อิบราฮิบ” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เข้ามามี”บทบาท” ในการ”ปฏิบัติการ” นอกกรอบมากขึ้น
ในส่วนของ”ประชาชน” ในพื้นที่ “สามจังหวัดและสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา” ยังต้องฝาก”ความหวัง”ไว้กับ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ. กอ.รมน.ภาค 4 ว่าจะ “ปฏิบัติการ” อย่างไรต่อ”ปัญหาความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นอย่าง”ต่อเนื่อง” หลังจากการเข้ามารับหน้าที่เป็น” แม่ทัพภาคที่ 4 “ ที่”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่เหมือนกับจะ”ก่อเหตุความรุนแรง”มากขึ้นอย่าง”ผิดปกติ” มีอะไรที่มี”เบื้องหน้า-เบื้องหลัง” หรือไม่ และ”พล.ต.วรเดช เดชรักษา” รองแม่ทัพฝ่าย”ปฏิบัติการ” ก็ต้อง”แสดงฝีมือ” เพื่อสร้างความ”มั่นใจ” กับ”ประชาชน” ในพื้นที่ใน”ฐานะ” ที่ เป็นหนึ่งใน”บุคคล” ที่ถูก”วางตัว” ให้เป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 “ ต่อจาก” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 …… ที่ สำคัญที่เป็น”ปัญหา”ที่ต้องมีการ”แก้ไข” คือความ”ประมาท” และ”เลินเล่อ” ของ”กำลังพล” ว่าจะเป็นการถูก”ซุ่มโจมตี” แบบ”ง่ายดาย”จนเกินไป” ของ”กำลังพล” ที่ออก”ปฏิบัติการ” ในหลายๆครั้ง เช่น”ทหารช่าง” ที่ไป”ช่วยชาวบ้าน”ในการ”ซ่อมบ้านเรือน” ที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส การ”ควบคุมตัว”ของ”ผู้ต้องหา” ที่ถูก”ผู้ต้องหา” เพียง”คนเดียว” สามารถ”ก่อการ” ต่อสู้กับ”ทหาร”ถึง 4 คน และ”หลบหนี”ไปได้ การติดตาม”ไล่ล่า” ที่”ล้มเหลว” ที่ อ. หนองจิก จ.ปัตตานี รวมทั้งการ”ก่อวินาศกรรม” ต่อ”กำลังของ”ตชด. ที่” อ.ธารโต จ.ยะลา ซึ่งการ”สูญเสีย” ทั้ง 3 เหตุการณ์ มีความ”ประมาท” ร่วมอยู่ด้วย เรื่องอย่างนี้ต้องมีการ”แก้ไข” อย่าง”เร่งด่วน “ และ อาจจะต้องมีการใช้”ตัวช่วย” อย่าง”โดรน” ในการ”ปฏิบัติการ” เพราะ “รักษาชีวิต”ของ”กำลังพล” เพื่อการลดความ”สูญเสีย” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าต้อง”คิดใหม่ ทำใหม่” ต้องไม่”ย่ำเท้า” อยู่แบบเดิมๆ
ภาพการ”วางพวงหรีด”ภาพการ”ส่งศพ” กลับ”ภูมิลำเนา” และภาพการ”จ่ายเงินเยียวยา” คือภาพของการ”ตอกย้ำ”ความ”สูญเสีย” และความ”ล้มเหลว”ของ”กองทัพ” และเป็นการสร้างความ”ไม่เชื่อมั่น”ต่อ”ประชาชน” ในการ”แก้ปัญหา”ของ”ไฟใต้” รวมทั้งเป็นทำให้คำพูดที่ว่า” ใต้สงบ งบไม่มา” ของ”ประชาชน” กลายเป็น”เรื่องจริง” ของ”สมการ” ในการดับ”ไฟใต้” ที่เกิดขึ้น…..ประเด็นสำคัญอีกประเด็น ในการดับ”ไฟใต้” ที่เป็นเรื่องใหญ่ นั่นคือเรื่องการ”ออกกฎหมายการก่อการร้าย” แทน”กฎหมาย” ที่มีการ”บังคับใช้” ใน”ปัจจุบัน” นั้นคือ”กฎอัยการศึก,กฎหมายความมั่นคง” และ”พรก.ฉุกเฉิน” ซึ่ง”กฎหมาย” ที่ใช้อยู่ทั้ง “สามฉบับ” นี้”เป็น”กฎหมายเรียกแขก” เรียกให้”ภาคประชาสังคม,เอ็นจีโอ” และกลุ่ม”สิทธิมนุษย์ชน” โจมตีการ”ปฏิบัติงาน”ของ”เจ้าหน้าที่”ในเรื่องของการ”ละเมิด” ในเรื่องของ”สิทธิเสรีภาพ”ข้อสำคัญ”กฎหมาย”เหล่านี้”ทุกประเทศในโลกนี้เขา”เลิกใช้” กันแล้ว เหลืออยู่ในแต่ใน”ไทยแลนด์” เท่านั้น การแก้ปัญหา”ไฟใต้” จึงต้องมีการ”ออกกฎหมายใหม่” เพื่อการ”บังคับใช้” แทน”กฎหมายล้าหลัง” ทั้ง”สามฉบับ” จะเป็น”กฎหมายการก่อการร้าย” หรือในชื่อ”อะไรก็ได้” แต่ต้องมีเพื่อการ”บังคับใช้” กับการ”ก่อการร้าย” หรือ”ก่อความไม่สงบ” ที่เกิดขึ้น เพื่อให้”เจ้าหน้าที่”มี”เครื่องมือ” ในการ”ปฏิบัติหน้าที่” อย่างมี”ประสิทธิภาพ”…… เพราะ”กฎหมาย ป.วิอาญา” ที่มีการ”บังคับใช้” กับ”ประชาชน” ทั่วประเทศ เป็นการใช้กับ”อาชญากรรม”ธรรมดาๆ ทั่วไป ที่ไม่สามารถ”บังคับใช้” กับ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่ต้องใช้””ปฏิบัติการ” ที่ “พิเศษ” และ”ทันต่อเหตุการณ์” ทั้งในการ”ปิดล้อม” และการ”จับกุม” เพื่อ หยุดการก่อเหตุร้าย และการ”ก่อวินาศกรรม” ให้ทันท่วงที โดยไม่สามารถ”รวมรวมหลักฐาน” และ”พยาน” เพื่อขอให้”ศาล” เป็นผู้ออก”หมายจับ” อย่าง คดีการก่ออาชญากรรม ทั่วๆไป และถ้า”รัฐบาล” ยังไม่มีการ”ออกกฎหมาย” เพื่อให้เป็น”เครื่องมือ” ต่อการแก้ปัญหา”ความมั่นคง” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” สถานการณ์ของ”ไฟใต้” ก็จะเป็นเช่นเดิม นั้นคือต้องใช้”กฎอัยการศึก,”กฎหมายความมั่นคง ,,พรก,ฉุกเฉิน” ที่เป็นการ”เรียกแขก” หรือให้”ทัวร์ลง”กับ”เจ้าหน้าที่บ้านเมือง” กลายเป็น”ประเด็นปัญหา”ให้เจ้าหน้าที่ถูก”โจมตี” อย่างที่เป็นอยู่ในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา
เรื่องของ”บุหรี่ไฟฟ้า” ที่ยิ่ง”จับกุม” ยิ่งมีการวางขายกันมาก ยิ่ง”รณรงค์” ยิ่งทำให้จำนวน”ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า”มากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ของ”นักเรียน นักศึกษา” ที่ สำคัญ “บุหรี่ไฟฟ้า” มีการขายกันอย่าง”โจ่งครึ้ม” เช่นใน พื้นที่ของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา “บุหรี่ไฟฟ้า” เป็นสินค้าที่”ซื้อง่าย ขายคล่อง” โดยเฉพาะในย่านการค้า”ตลาดสันติสุข” แปลกก็คือ”เจ้าหน้าที่”กลับ”มองไม่เห็น” ดังนั้นการ”รณรงค์”และ”การต่อต้าน” บุหรี่ไฟฟ้า ของ หน่วยงานต่างๆจึง”สูญเปล่า” เรื่องนี้”รัฐบาล” ต้องให้ความ”สนใจ”ในการแก้ปัญหาของ”บุหรี่ไฟฟ้า” ให้มากกว่าที่เป็นอยู่
ก็ยังมีความ”ไม่เป็นธรรม” เกิดขึ้นจากการ”เยียวยา” ประชาชนที่ประสบปัญหา”อุทกภัย” ใน”ภาคใต้” มีการ”ร้องเรียน” ถึงความ”ล่าช้า” และการ”เลือกปฏิบัติ” โดยเฉพาะ”ผู้นำท้องถิ่น” และ”ผู้นำท้องที่” ที่ให้ความสำคัญกับ”พรรคพวก”ตนเอง” ส่วน”ประชาชน” คน”ธรรมดา”ยังถูก”ทิ้งไว้ข้างหลัง” เรื่องนี้ “ฝ่ายปกครอง” ตั้งแต่”นายอำเภอ”จนถึง”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ต้องติดตาม”ตรวจสอบ” อย่างใกล้ชิด ที่สำคัญต้องใช้”มาตรการ” เดียวกัน ในการ”เยียวยา” ทั้งเรื่องการจ่ายครอบครัวละ 9,000 บาท และการจ่ายค่าเสียหายในเรื่อง”พืชผลทางการเกษตร”……เรื่องของ”แรงงานชาวเมียนมา” ที่เข้ามา”ยึดครอง”ตลาดแรงงานของประเทศไทย จนสามารถใช้การ”ต่อรอง” กับ”นายจ้าง” ทั้งในเรื่อง”ค่าแรง ค่าจ้าง” และการเรียกร้อง”สวัสดิการ” ต่างๆ เพิ่มขึ้น และแม้แต่ค่า”ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว” ก็สามารถ”รวมตัวกัน”เพื่อการ”ต่อรอง” เพื่อจ่ายในราคาที่”ถูกลง” เรื่องนี้กำลังกลายเป็นเรื่อง”ความมั่นคง” ของประเทศชาติ ซึ่ง”อนาคต” ที่”แรงงานเมียนมา” อาจจะ”หยุดงาน” เพื่อการ”ประท้วง” และ”ต่อรอง”ในเรื่องอื่นๆ ที่ต้องการ เรื่องนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ”หน่วยงานความมั่นคง” ต้องมีความ”รอบคอบ” อย่างมองเฉพาะเรื่องความมั่นคงด้าน”เศรษฐกิจ” เพียงอย่างเดียวโดย”ละเลย” ความมั่นคงของประเทศ เพราะถ้าประเทศไม่มี”ความมั่นคง” เรื่อง”เศรษฐกิจ” และ”การลงทุน” ก็จะ”หายนะ” เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการให้”สัญชาติ” ชาวเมียนมา เป็นเรื่องที่ต้อง”รอบคอบ” ที่”สภาความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ” สมช.” ที่มี”ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ต้อง”ชี้แจง” ถึง”ข้อดี-ข้อเสีย” ให้ประชาชน ได้รับทราบ
ติดตาม การเลือกตั้งท้องถิ่น ในตำแหน่ง”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” และ”สมาชิกสภาจังหวัด” หลายพื้นที่ใน”ภาคใต้” เริ่มเห็น”เค้าลาง”ของการ”แข่งขัน” ที่”ดุเดือด” มากขึ้น เช่นที่ จ.สงขลา ซึ่งมีผู้สมัครในตำแหน่ง”นายก อบจ.” จำนวน 9 คน น่าจะมากที่สุด เท่าที่เคยมีมา แต่ที่”ประชาชน” ต่าง”จับตามอง” คือ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ผู้สมัครหมายเลข 5 ทีมสงขลาพลังใหม่ “ ประสงค์ บริษักษ์ หมายเลข 3 ทีมสงขลาเข้มแข็ง “นิรันดร์ จินดานาค” หมายเลข 2 พรรคประชาชน ซึ่งเป็น 3 ทีม 3 ผู้สมัครที่มี”ความพร้อม” ส่วนที่เหลือ 6 คน เป็นผู้สมัครอิสระ ซึ่งทั้งหมดต่างมี”กลยุทธ” ในการ”หาเสียง” ที่”แตกต่างกัน” พรรคประชาชน เชื่อมั่นใน”คะแนนเสียง” ในการ”เลือกตั้ง สส”ที่ผ่านมา ซึ่งได้คะแนนจาก”ชาวสงขลา” ถึง 200,000 กว่าคะแนน แต่โดยข้อเท็จจริงการเลือก สส. ซึ่งเป็นการ”เลือกตั้งระดับชาติ” กับการ”เลือกนายก อบจ.” ซึ่งเป็นการ”เลือกตั้งระดับท้องถิ่น” มีความ”แตกต่าง” ดังนั้น”คะแนน 200,000 กว่าคะแนน จึงอาจจะไม่ใช่”ปัจจัย”ของการ”ได้เปรียบ” กับการ”เลือกตั้ง” ครั้งนี้……ในขณะที่ ทีม” สงขลาเข้มแข็ง” ที่มี”ประสงค์ บริรักษ์” อดีตนายก เทศบาลเขารูปช้าง และ อดีตผู้สมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย มีประสบการณ์ ในการผ่านการ”เลือกตั้ง” ทั้งระดับ”ท้องถิ่น” และ”ระดับชาติ” แม้จะไม่มี”บ้านใหญ่” ในพื้นที่ให้การ”สนับสนุน” แต่มี”พันธมิตร” อย่าง”พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การ”สนับสนุน” เป็นการ”ส่วนตัว” ในฐานะ”พันธมิตร” ทางการเมือง และใช้”ยุทธศาสตร์”ไม่ใช้”เงินซื้อเสียง” เพื่อความ”ชัดเจน” ให้”หัวคะแนน”และผู้”สนับสนุน” ไม่ต้อง”ชะเง้อชะแง้” รอเงิน”รายหัว” ถ้าจะเลือก”ประสงค์”หรือ”นายกแบบ” ก็”ตัดสินใจ” ได้ง่ายขึ้น
ส่วนทีม “สงขลาพลังใหม่” ที่มี”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” เป็น”หัวเรือใหญ่” มี”บ้านใหญ่ 2 หลัง” คือบ้านใหญ่” ขาวทอง”และ”บุญญามณี” ให้การ”สนับสนุน” ซึ่งในทาง”การเมือง” ถือว่า”ได้เปรียบ” กว่า ทุกกลุ่มผู้ผู้สมัคร รวมทั้งถ้าเทียบ”สเบียงกรัง” ที่ต้องใช้ในการทำ”ศึกสงคราม” ทุกทีม ทุกคนคงสู้” สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ไม่ได้ ที่ สำคัญ ถ้าวัดกันที่” ผู้นำท้องถิ่น “ และ”ผู้นำท้องถิ่น” ต่างยืนอยู่ฝ่ายของ”สุพิศ” มากกว่า 50% นี่คือความ”ได้เปรียบ” ที่เห็น”ชัดเจน” แต่ นั่นแหละเรื่องของ”การเมือง”ไม่มี”สูตรสำเร็จ” ว่า”ปัจจัย” เรื่องผู้”สนับสนุน”มาก” จะ”ได้เปรียบ” เพราะ”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ก็มี”จุดอ่อน” ที่”ประชาชน” ส่วนหนึ่ง “ไม่เอา” ผู้สนับสนุนที่เป็น”บ้านใหญ่” และ”ไม่เอา” ผู้”สนับสนุน” ที่เป็น”สส.บางคนที่ถูกมองว่า”ใหญ่เหลือเสื้อ” ดังนั้นเสียงของคนกลุ่มนี้ อาจจะไปอยู่ที่”ประสงค์ บริรักษ์” ทีม “สงขลาเข้มแข็ง” หรือ”นิรันต์ จินดานาค” จาก”พรรคประชาชน” ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น แต่โดย”ภาพรวม” ในการ”ออกสตาร์ท” ใน”ยกแรก” พบว่า”สุพิศ พิทักษ์ธรรม” เป็น”ม้าตีนต้น” ออกนำทุกคนไปแล้ว 1 ช่วงตัว และยังพบว่าเริ่มมี”เงินสะพัด” ในกลุ่ม”ผู้นำท้องที่” และ”ผู้นำท้องถิ่น” จำนวนหนึ่งเพื่อเป็นการ”หาเสียง” เรื่องนี้ก็ต้องฝากถึง” กกต.” สงขลา ในการหา”พยาน” และ”หลักฐาน” ว่าเป็น”เงิน”ของใคร เพราะมีจุดประสงค์ที่”ชัดเจน” ว่ามีการ”ซื้อเสียง” เกิดขึ้นแล้วในการเลือกตั้งครั้งนี้
อีกหนึ่งจังหวัดที่”มีการจับตามอง” นั้นคือ “จังหวัดนราธิวาส” ที่ครั้งนี้” เสือเฒ่า” อย่าง”กูเซ็ง ยาวอหะซัน” ผู้เป็น”นายกอบจ.แบบ”ผูกขาด” มาหลายสมัย ต้องพบกับ”สิงห์หนุ่ม” ที่เป็น”นักธุรกิจใหญ่” อย่าง”อับดุลลักษ์ สะอิ “ ที่เป็น”พี่ชาย”ของ” ดร.ซาการียา สะอิ” สส.เขต 4 พรรคภูมิใจไทย “จังหวัดนราธิวาส” ซึ่งมี”นัดมุดดิน อูมา” อดีต สส.หลายสมัยของ”จังหวัดนราธิวาส” เป็น”พี่เลี้ยง” ซึ่งมีการ”คาดหมาย”ว่า “เวทีการเมืองท้องถิ่น”ของ”นราธิวาส” อาจจะมีการ”เปลี่ยนแปลง” เกิดขึ้น จุด”แพ้-ชนะ” ของ”เวทีแห่งนี้” อยู่ที่”ยุทธศาสตร์”ที่สำคัญ สำหรับพื้นที่ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” นั้น “พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี” ผบช.ภ.9 ต้อง “กับชับ” ให้” ผบก.ภ.จว.ต่างๆ รวมทั้ง” ผกก.ทุก สภ. ในพื้นที่ ต้อง”เฝ้าระวัง” การก่อเหตุร้ายเพิ่มขึ้นเป็น”สองเท่า” ทั้งจากการ”ก่อการร้าย”ตาม”วงรอบ”ของ”กองกำลังติดอาวุธ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” และจากการ”เลือกตั้ง” องค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ผู้”สมัคร” อาจจะใช้”กฎหมายเถื่อน” ในการ”ปลิดชีพ” ผู้ที่เป็น”คู่แข่ง”โดยเฉพาะใน “จังหวัดนราธิวาส” ที่ต้อง”เฝ้าระวัง” เป็น”พิเศษ” ในส่วนของ”ส.อบจ.” ที่มีการ”แข่งขัน” สูงกว่าพื้นที่ของ”ปัตตานี และ นราธิวาส …. แล้วพบกันใหม่ วันศุกร์หน้า สวัสดีปีใหม่ ครับ
ไชยยงค์ มณีพิลึก