วันเสาร์, 7 มิถุนายน 2568

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ฝนตกไม่ทั่วฟ้าค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท แค่ 4 จังหวัด 1 อำเภอ

ผิดแล้ว ผิดอีก ผิดซ้ำ ผิดซาก นั้นคือ การบริหาร”ราชการแผ่นดิน” ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ในการแต่งตั้ง”กิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย” ( แบงค์ชาติ) ซึ่งมี “นักวิชาการ” และ”ผู้รู้” หลายต่อหลายคนได้”ทักท้วง” ในเรื่องของ”คุณสมบัติ” ที่อาจจะเป็น”ปัญหา” ในการ”ดำรงตำแหน่ง”นี้ และสุดท้าย”กฤษฎีกา” ก็”ตีความ” ว่า” กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ขาด”คุณสมบัติ” ต้อง”วืด”ตำแหน่ง” ประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย” ก็เป็นเรื่อง”โอละพ่อ โห่ละเห่ โอละช้า” อีกฉากหนึ่งของ”นายกรัฐมนตรีฝึกหัด” แพทองธาร ชินวัตร” ที่เกิดขึ้น และจะตามมาด้วยปัญหา ต่างๆ อีก”หลายกระบุงโกย”…..เช่นเดียวกับเรื่องการ”ขึ้นค่าแรง” ตาม”นโยบาย”ของ”พรรคเพื่อไทย” ในการ”หาเสียง”ไว้กับ”ประชาชน” ที่”อดีตหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ที่ชื่อ”อิ๊งค์” ได้ บอกกับ”ประชาชน”ว่า”เพื่อไทย”เป็น”รัฐบาล” ค่าแรงต้อง 600 บาท  สุดท้ายหลังจาก”สั่งการ” ให้”กระทรวงแรงงาน” ทำการ” ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง” มีการเรียกประชุม”คณะกรรมการไตรภาคี” ถึง 4 ครั้ง  จึงสามารถปรับขึ้น”ค่าแรง”ได้วันละ 400 บาท และได้เพียง 4 จังหวัด กับอีก 1 อำเภอ”ได้แก่” ภูเก็ต,ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี,ระยอง” กับอีก 1 อำเภอ คือ”เกาะสมุย” จ.สุราษฎร์ธานี  ส่วน”กรุงเทพมหานคร” ที่ควรจะมีการ”ขึ้นค่าแรง” ก็ไม่อยู่ใน”บัญชี” เช่นเดียวกับ” เชียงใหม่” และ”หาดใหญ่” ที่ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน มีความเห็นว่า”ควรจะอยู่ในบัญชี” ที่”ปรับขึ้นค่าแรง” ก็ไม่”ติดโผ” ในการ”ปรับขึ้นค่าแรง” ในครั้งนี้

ที่สำคัญหลังการ”ปรับขึ้นค่าแรง” เพียง 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ แทนที่จะได้รับ”ดอกไม้” กลายเป็นว่า” รัฐบาล” ของ”พรรคเพื่อไทย” ที่มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ได้”ก้อนอิฐ” เพราะการ”ขึ้นค่าแรง” กลายเป็นเรื่อง”ฝนตกเป็นหย่อมๆ” ในขณะที่”สินค้า” ที่”ขึ้นราคา” มีการขึ้นแบบ”ปูพรม” ไม่ได้เลือกขึ้นเป็น”หย่อมๆ” เฉพาะจังหวัดที่มีการ”ขึ้นค่าแรง” หรือนี่คือ”หลักการบริหารราชการแผ่นดิน” ในยุคที่”รัฐบาล” อยู่ในสภาวะของ”ถังแตก” เพราะผ่านไปแล้ว 1 ปี 4 เดือน “รัฐบาล”ชุดนี้ ยัง”หาเงิน” เข้าประเทศไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเพียง”ราคาคุย” หรือต้องรอให้”ประชาชน” ทำการ”ขุดดินขายโคลน” เสียก่อน”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศนี้” จึงจะดีขึ้น….. แต่ที่”น่าเศร้า” คือ”ข่าวรายวัน” เกี่ยวกับการ”ปลดคนงาน” การ”ประกาศปิดกิจการ” มีการ”ลอยแพคนงาน” เป็นจำนวนมาก จาก “หลายบริษัท” ที่ประกาศ”หยุดกิจการ” ในสิ้นปี 2567 เห็นภาพ”พนักงานกอดกันร้องให้” เห็นภาพ”พนักงาน” ตั้งโต๊ะประท้วง” เพราะ”โรงงาน” และ”บริษัท” ไม่จ่าย”ค่าชดเชย” เพราะ”บริษัท” และ”โรงงาน”ที่”ปิดกิจการ” ก็อยู่ในสภาพเดียวกับ”รัฐบาล” นั้นคือ”ถังแตก” หรือ”เจ๊งบ้ง” จากการบริหารประเทศของ”รัฐบาล” แล้วบอกได้คำเดียวว่า”เศร้า” และกลายเป็น”งานหนัก” และ”งานหลัก” ของ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เสนาบดีกระทรวงแรงงาน ที่ต้อง”รอรับหน้า” กับ”กองทัพคนตกงาน” ที่มายื่นเรื่อง”ร้องทุกข์” และ”ร้องเรียน” เพื่อ”ขอความเป็นธรรม” สิ้นปี 2567 ยังเป็น”ขนาดนี้” แล้วใน”ไตรมาสที่ 1 “ ของปี 2568 “วิกฤติเศรษฐกิจ”ของ”ประเทศไทย” จะหนัก”ขนาดไหน” เอ๊ะ  สุดท้ายแล้ว เรื่องที่”นายกรัฐมนตรี” บอกให้ประชาชนยึดอาชีพใหม่”ขุดดินขายโคลน” น่าจะ”เป็นจริง”นะ

ส่วนเรื่องของการ”แจกเงิน” ให้กับ”ประชาชน” ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะ”เป็นจริง” เพราะคณะของ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง” ย้ำแล้วย้ำอีก ถึง “วัน ว. เวลา น. ในการที่จะ”แจกเงิน” นี่ก็เป็นเรื่อง”ฝนตกเป็นหย่อมๆ” ที่เกิดจาก”รัฐบาลชุดนี้” ที่”นำเงินกู้” ที่”คนไทย” ทุกคน”ต้อง”เป็นหนี้” อย่าง”เท่าเทียมกัน” มา”แจก” ให้กับคน”จำนวนหนึ่ง” ที่ สุดท้ายไม่ได้เป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของประเทศจากการ”แจกเงิน” ครั้งนี้   แล้วยังเป็น”ความรู้สึก” ที่”ไม่ดี” กับ”รัฐบาล” เพราะไม่มี”ความเป็นธรรม” จากการ”บริหารจัดการ” ที่กลายเป็นเรื่อง”ฝนตกเป็นหย่อมๆ”นั่นเอง ดังนั้น “ปีใหม่ 2568 จึงไม่มีอะไรใหม่ ที่เป็น”ความหวัง” สำหรับ”คนไทย” และ “ประเทศไทย”….ในส่วน”ความมั่นคง”ของ”ประเทศ” ต้องยอมรับ”ความจริง”ว่า หลังการเข้ามารับตำแหน่ง”เสนาบดีกระทรงกลาโหม” ของ”ภูมิธรรม เวชยชัย” หรือ” สหายใหญ่” ความมั่นคงใน”แนวชายแดน” ของประเทศไทยถูก”ท้าทาย” จาก” เพื่อนบ้าน” อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”ว้าแดง” กลุ่ม”ชาติพันธุ์” กำแหงหาญ “รุกล้ำแนวชายแดน”เข้ามาใน”ฝั่งไทย” โดยที่”รัฐบาล” และ”กระทรวงกลาโหม” ให้ความ”สำคัญ”แบบที่”น้อยไป” ใน”สายตา”ของ”ประชาชน” ในขณะที่” กองทัพ” โดยเจ้าของพื้นที่คือ”กองทัพภาคที่ 3 “ ก็ไม่กล้าที่จะดำเนินการ”ทางทหาร”กับ”กลุ่มว้าแดง” เพราะ”นายกรัฐมนตรี” และ” รัฐมนตรีกลาโหม” เลือกที่จะอยู่เฉยๆ มากกว่าที่จะใช้”กฎหมาย” และการใช้”กำลัง” ในการ”ยึดพื้นที่” คืนมา

เช่นเดียวกับกรณีของ”เกาะกูด” และพื้นที่”อ้างสิทธิ์” ใน”ไหล่ทวีป” หรือ “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล” ที่มีการปล่อยให้”ประเทศกัมพูชา” อ้างสิทธิ์” อยู่ฝ่ายเดียว ส่วน”รัฐบาลไทย” ก็ไม่ต้อง”ดำเนินการ”อย่างไร โดยบอกเพียงว่าเป็นเรื่อง”ละเอียดอ่อน” ก็ยอมรับนะว่า” เรื่องพื้นที่”ไหล่ทวีป” หรือพื้นที่”เขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล ที่มีการ”อ้างสิทธิ” จาก”กัมพูชา” ว่าเป็นของ”กัมพูชา” เป็นเรื่อง”ละเอียดอ่อน” แต่ไม่ใช่เมื่อ”ละเอียดอ่อน” แล้ว ไม่มีการ”ดำเนินการ”ใดๆ  เพื่ออย่าให้ประเทศไทย”เสียสิทธิ์” และถูก”หมิ่นเกียรติยศ”ของความเป็น”ประเทศไทย” ก็ไม่ถูก เพราะวันนี้”คนไทย” จำนวนไม่น้อย ต่างเข้าใจว่า” รัฐบาลเพื่อไทย” มีการ”เอื้อประโยชน์” ให้กับ”ประเทศกัมพูชา” เรื่องนี้อาจจะ”ไม่จริง” แต่ถ้ามีการนำมา”ตอกย้ำ” ทุกวันๆ มีการ”นำสีดำ” มา”ป้ายสี” รัฐบาล  ทุกวัน  ทุกๆ เรื่องที่”ไม่จริง” ก็จะถูก”ประชาชน” เชื่อว่าเป็น”เรื่องจริง” เรื่องนี้”เพื่อไทย” น่าจะ”สำเหนียก” ได้ถึงกระแสความ”ไม่พอใจ” ของ”ประชาชน”

ในขณะที่”ชายแดนภาคใต้” ก็มีความ”ขัดแย้ง” กับ”ประเทศเมียนมา” ซึ่งใช้”กำลังทหาร” ยิงเรือประมงไทย “ยึดเรือ” และ”จับกุม”ลูกเรือประมง” ในข้อหา”เข้าเมืองผิดกฎหมาย” และ”รุกล้ำ” เข้าไป”ทำประมง” ใน”ทะเล”ของ”ประเทศเมียนมา” เรื่องนี้”รัฐบาล”  ก็ทำตัว”นิ่งเฉย” ยอมรับ”สภาพ” ตามที่ฝ่าย”ทหาร”ของประเทศเมียนมา” กล่าวหาว่า”เรือประมงไทยรุกน่านน้ำ” ซึ่ง” จริง เท็จ” ก็น่าจะมีการ”เจรจา” เพื่อ”หาข้อ”เท็จจริง” การ”ยอมรับ” และ”ไม่มีการ”เจรจา” ทำให้”ลูกเรือ” และ”เจ้าของเรือ” ถูก”ศาลเมียมมา” สั่ง”จำคุก” คนละ 4-5 ปี…..เข้าใจนะ ว่า”เรือประมงไทย” ที่”ลากอวน ตีอวน” ใน”น่านน้ำ” เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” ระหว่างไทยกับเมียนมา อาจจะเข้าไป”จับปลา” ในพื้นที่ของ”เมียนมา” ซึ่งที่ผ่านมา ก็เกิดขึ้น บ่อยๆ แต่”ทหารเมียนมา” ไม่เคยใช้”ความรุนแรง” ด้วยการใช้”อาวุธปืน” ถล่ม จนมี”ลูกเรือ”ได้รับ”บาดเจ็บ” สาเหตุที่”ทหารเมียนมา” ใช้”ความรุนแรง” ต่อ” เรือประมง”ของประเทศไทย จึงต้องมี”สาเหตุ”  ที่ต้อง”ตั้งข้อสงสัย”ว่า ทำไม่”เพื่อนบ้าน” อย่าง”เมียนมา” จึงไม่มีความ”เกรงใจ” รัฐบาล”ชุดปัจจุบัน” ที่สำคัญ ถ้าพูดถึงเรื่อง”การค้าผิดกฎหมาย” แนวชายแดน จ.ระนอง” “ประเทศเมียนมา” ต้อง”เกรงใจ” ประเทศไทย”มากกว่าที่”ไทย”จะต้อง”ไป”เกรงใจเมียนมา” เพราะ”สินค้าจาก”ประเทศเมียนมา”  ที่”ลักลอบ”นำเข้ามา”เปลี่ยนจากใส่”โสร่ง” มาสวม”กางเกง” มีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่”ยางแผ่นดิบ”,ปาลม์น้ำมัน,ข้าวโพด” สัตวน้ำ เช่น “ปูดำ “ และ อื่นๆ ที่ถูกลักลอบนำเข้ามา”ทางเรือ” และข้ามแม่น้ำเข้ามาทางชายแดน อ.กระบุรี  เมื่อ”ทหารเมียนมา” ทำการจับกุมเรือประมงไทยแบบ”ไม่เกรงใจ” ทำไม”รัฐบาลไทย” จึงไม่ทำการ”เข้มงวด” ชายแดนไทย-เมียนมา “ ด้านของ จ.ระนอง และ จับกุมขบวนการ”ลักลอบนำเข้าสินค้าเถื่อน” จาก”ประเทศเมียนมาบ้าง เพื่อเป็นการ”ตอบโต้”

เช่นเดียวกับการที่”ประเทศมาเลเซีย” ด้าน”รัฐกลันตัน” ที่” มุขมนตรีรัฐกลันตัน” สั่งให้”หัวหน้าตำรวจรัฐ กลันตัน” ปิด”ท่าข้าม” จำนวน 7 ท่าข้าม ที่เป็น”ท่าผ่อนปรน” ในการ”เข้าเมือง” ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ ที่อยู่ในเขต”เทศบาลสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ซึ่งเป็น”ท่าข้าม” มายาวนานกว่า 50 ปี จนสร้างความ”เดือดร้อน” ด้าน”การค้าชายแดน” และด้านการ”สัญจร” ของ”ประชาชน” ในแนวชายแดน ซึ่งการ”ปิดท่าข้าม” ทั้ง 7 แห่งของ”มาเลเซีย” เป็นเพราะ” รัฐกลันตัน” พบว่า”มี”คนมาเลเซีย” เป็นจำนวนมากใช้”ท่าข้าม” ทั้ง 7 แห่ง เข้ามา”จับจ่ายใช้สอย” ใน อ.สุไหงโก-ลก ทำให้มี”เงินไหลออก”  เป็นจำนวนมาก ส่วนเรื่องที่”อ้างว่า” ท่าเรือทั้ง 7 ท่า เป็น”เส้นทาง” ในการ”ส่งยาเสพติด” จาก”ฝั่งไทย”ไปยัง”ฝั่งมาเลเซีย” เป็นเพียง”ข้ออ้าง” ในการ”ปิดท่าเรือ” ซึ่ง”เรื่องนี้” รัฐบาลไทย” ก็เฉยๆ ไม่มีการ”เจรจา” ทั้งในระดับ”ท้องถิ่น,ภูมิภาค” และ”รัฐบาล” ปล่อยให้”มาเลเซีย” ใช้”กฎหมาย” ในการ”จับกุมคนไทย” ที่”ข้ามแดน” ในบริเวณดังกล่าว และยังไม่มีการ”ตอบโต้” ด้วยการ”ปิดท่าข้าม” ที่เป็น”ท่าข้ามธรรมชาติ” ที่”ผิดกฎหมาย” ในพื้นที่ของ”อ.ตากใบ” และ ซึ่งมีถึงเกือบ 200 แห่ง ที่เป็น”ท่าข้าม” ในการ”ส่งสินค้าเถื่อน” ทุกชนิด ทั้งจาก”ฝั่งมาเลเซีย” มายัง”ประเทศไทย” และจาก”ฝั่งไทย”ไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” บริเวณนี้ที่เป็นท่า”ส่งออกยาเสพติด” เป็น”ท่าส่งออกการค้ามนุษย์” และอีกมากมาย ทำไม”ฝ่ายไทย” จึงไม่”ตอบโต้” ด้วยการ”ปิดชายแดน” บริเวณนี้ ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องของ”ยาเสพติด” และ”สินค้าเถื่อน” ตามที่” มาเลเซีย”กล่าวว่า” ดังนั้น “ยุคนี้” จึงเป็น”ยุคเสื่อม”ในด้านความ”เข้มแข็ง” ของ”รัฐบาลพลเรือน” ที่ทำให้”ประเทศเพื่อนบ้าน” ไม่มีความ”เกรงใจ”

วันก่อนที่” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีไทย  เดินทางไป”พบปะ”กับ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อ”เจรจาความเมือง” มีการ”ตีความ” จาก” “กูรูทางการเมือง” ว่า “เรื่องการ”เจรจา”ในเรื่อง”เศรษฐกิจ “และการ”พัฒนาคมนาคม” เป็นเพียงเรื่อง”จิ๊บจ๊อย” แต่เรื่องสำคัญที่”ซ่อนเร้น” ในการ”เจรจาต้าอ่วย” ครั้งนี้คือเรื่องให้มีการ”แต่งตั้ง” ให้”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่”ปรึกษา” ของ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อเป็นการ”ยกระดับ” ให้กับ”ทักษิณ ชินวัตร” ใน”ภูมิภาคอาเซียน” เพราะในปี 2568 มาเลเซีย จะเป็น”ประธานอาเซียน” และ หลังการ”ประกาศให้”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่”ปรึกษา” ปรากฏว่า” อันวาร์ อิมราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กลายเป็น”หมู่บ้านกระสุนตก” เพราะ”คนมาเลเซีย” แสดงความ”ไม่เห็นด้วย” กับการ”แต่งตั้ง” ให้”ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่”ปรึกษา”ของ”อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในครั้งนี้…..แต่”อันวาร์ อิมราฮิม” ก็ไม่ได้สนใจ”กระแสสังคม” เพราะมีการลงข่าวใน”สื่อมาเลเซีย” ว่า” อันวาร์ อิบราฮิม” ได้เชิญให้”ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะ”ที่ปรึกษา” เดินทางไป”ประชุมร่วม” ระหว่าง” ผู้นำจาก มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ในวันที่ 26 ธันวาคม ที่ เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ติดกับ “จังหวัดสตูล”  จึงกลายเป็นเรื่องที่”กูรูทางการเมือง” จับจ้องไปยัง”ทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะเดินทางไป”ต่างประเทศ”ได้อย่างไร เพราะยังมี”คดีความ 112 “ ติดตัวอยู่ การจะเดินทางไป”ต่างประเทศ” ต้องขอ”อนุญาตจากศาล” หรือ”สุดท้ายแล้ว” การขอให้”อันวาร์ อิบราฮิบ” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่งตั้งให้เป็น”ที่ปรึกษา” เพราะมี”วาระซ่อนเร้น” เพื่อขอ”อนุญาตจากศาล” เดินทาง”ออกประเทศ” แบบ”โยนหินถามทาง” ใช่ หรือ ไม่

” หนักแล้วสิทธิ์เห้อ” นั้นคือเสียงของคนจาก”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เห็นถึงความถี่ ในการ”ก่อการร้าย” ในทุกพื้นที่ของของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้”ปัตตานี,ยะลา” และ”นราธิวาส” ที่ กองกำลังติดอาวุธ” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ทำการ”ปฏิบัติการ” ต่อ” เจ้าหน้าที่รัฐ” และ”เป้าหมาย” อื่นๆ มีผู้”บาดเจ็บ” และ”เสียชีวิต” ไม่เว้นแต่ละวัน ด้านหนึ่งเป็นการ”ก่อการร้าย”ที่เป็นไปตาม”วงรอบ” ที่มีการ”กำหนดเป้าหมาย” เอาไว้ ในห้วงเวลาของการ”ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” อีกด้านหนึ่งเพื่อให้เป็นไปตาม”คำขู่” ของ”บีอาร์เอ็น” ที่ออกมา”ข่มขู่” รัฐบาล ให้เร่ง”ดำเนินการเปิดการเจรจาสันติภาพ” ระหว่าง”รัฐบาลไทย”กับ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่หยุดชะงักไป ตั้งแต่”พรรคเพื่อไทย” เข้ามาเป็น”รัฐบาล” โดยกล่าวหาว่า“รัฐบาล”ไม่มีความ”จริงใจ” และไม่เร่งดำเนินการในการ”เจรจาสันติภาพ”  “บีอาร์เอ็น” จะไม่”รับรอง” ว่า”สถานการณ์การก่อการร้าย” จะ “รุนแรง”ขึ้นกว่าเดิม” หรือไม่ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรกับ”รัฐบาลชุดนี้” ที่อย่าว่าแต่”ประเทศเพื่อนบ้าน”อย่าง “เมียนมา ,กัมพูชา” จะ”รังแกข่มเหง” โดยไม่มีความ”เกรงใจ” เพราะแม้แต่”โจรแบ่งแยกดินแดน” อย่าง” บีอาร์เอ็น” ที่มี”กำลังติดอาวุธ” เพียง”หนึ่งหยิบมือ” ยังกล้าที่จะ”ข่มขู่” รัฐบาล” เวรกรม” ของประเทศไทย และเป็น”กรรมเวร”ของ”คนไทยทั้งประเทศ จริงๆ

ส่วนเรื่องความไม่สงบของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” และ” สี่อำเภอของจังหวัดสงขลา” จะแก้อย่างไร ก็คงจะ”แก้ไม่ได้” เมื่อ” ภูมิธรรม เวชยชัย” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ให้”สัมภาษณ์สื่อ” ก่อนหน้านั้นแล้วว่า” จะไม่มีการ”ปรับเปลี่ยนนโยบาย” และไม่มีการ”ใช้ยาแรง” แต่จะใช้การ”พัฒนา” ในการ”นำหน้า” เพื่อแก้ปัญหาของ”ไฟใต้” เมื่อ “นโยบายข้างบน” เป็นดั่งนี้” ผู้ที่รับ”นโยบายข้างล่าง” อย่าง”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ” ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ ก็ต้อง”ทำตาม” นโยบายที่เป็นนโยบาย”อ่อนข้อ” ให้กับ” ขบวนการบีอาร์เอ็น”  จึงกลายเป็น”จุดอ่อน” ที่ทำให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่”อ่อนแอ” ไม่สามารถที่จะทำให้”ไฟใต้”ลดการ”โชนแสง” ลงได้  และ ถ้า “นโยบาย” ของ” ส่วนกลาง” เป็นอย่างนี้ ต่อให้ได้”แม่ทัพ”ที่เป็น”อัศวินขี่ม้าขาว” มาเป็น”ผู้นำ” ก็ไม่สามารถที่จะ”ดับไฟใต้” ให้”มอดดับ” ไปได้ ดังนั่นที่มีการวางแผนว่า ปี 2570 จะเป็นปีที่”ยุติไฟใต้” มีการ”ถอนทหาร”ออกจากพื้นที่ โดยมอบหน้าที่การ”รักษาความสงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้” ให้กับ”กองกำลังรักษาดินแดน” ในการ”กำกับดูแลของฝ่ายปกครอง” จึงเป็นเพียง”ความฝัน” ที่”ไม่มีอยู่จริง”

ดังนั้นหน้าที่ของ” กอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ทำได้อย่างที่เห็นและ”ที่ทำอยู่” หน้าที่หลักก็คือ” รดน้ำศพ”ของ”ผู้พลีชีพ” เยี่ยมผู้”บาดเจ็บ” ใน “โรงพยาบาล” ส่วน”ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ก็มีหน้าที่” เคารพศพผู้กล้า” และมอบเงิน”เยียวยา” ศพละ 500,000 บาท  ….แต่ถึงอย่างไร ก็ต้อง “ส่งสาร” ไปยัง”พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ” ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ว่า ต้องเร่ง”ปิดจุดอ่อน” นั้นคือต้องมีการ”ปรับปรุง” งานด้าน”การข่าว” ให้สามารถเข้าถึงความ”เคลื่อนไหว” ของ” แนวร่วม” ในพื้นที่ ทั้งที่เป็น”แนวร่วม” ใน”หมู่บ้าน” และ”แนวร่วม” ที่เป็น”แกนนำ”ในระดับ”สั่งการ” เพราะหาก”การข่าว”ไม่ทราบความ”เคลื่อนไหว”ของ”แนวร่วม ”ในพื้นที่” ต่อให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มี”กำลังเป็นจำนวนมาก มีอาวุธที่ทันสมัย ก็ไม่มีประโยชน์ “กำลังในพื้นที่” กลายเป็น”คนตาบอด” ไม่รู้ว่า”บีอาร์เอ็น” จะ”วางเพลิง” ที่ไหนจะ”ซุ่มโจมตี” เจ้าหน้าที่ด้วย”ระบิดแสวงเครื่อง” และด้วย”อาวุธปืน” จุดไหน ทุกอย่างจึงดู”มืดมน” ป้องกันเหตุ และ”ป้องกันตนเอง”ไม่ได้ ทุกวันคือ”ความสูญเสีย” โดยเฉพาะการ”สูญเสีย” ความ”เชื่อมั่น” จาก”ประชาชน” ที่มีต่อ”เจ้าหน้าที่รัฐ”

ที่สำคัญ วันนี้”กองกำลังอาสารักษาดินแดน” ยังเป็น”เป้าหมายหลัก” ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ในการ”ซุ่มโจมตี” เนื่องจาก”กำลังของ”อาสารักษาดินแดน” มีอยู่ในทุกพื้นที่ เพราะเป็นชุด”คุ้มครองตำบล” หรือ”ชคต” เพื่อ”ป้องกันเหตุ” รวมทั้งการทำหน้าที่ชุด”คุ้มครองครู” ในการ “รับ-ส่ง “ ครู ระหว่าง โรงเรียน” กับ”ที่พัก”  ดังนั้น”กองกำลังอาสารักษาดินแดน” จึงกลายเป็น”เป้าหมาย” ให้ถูก”ซุ่มโจมตี”ได้ในทุกวี่ทุกวัน ถามว่าเรื่องนี้จะ”แก้อย่างไร” มีการ”ปรับยุทธวิธี” เพื่อการลดความ”สูญเสีย” อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่อง”สำคัญ” เพราะหากไม่มีการ”แก้ไข” ก็เท่ากับปล่อยให้”ชีวิต”ของ”อาสารักษาดินแดน” กลายเป็น”ของเล่น” ให้” กองกำลังติดอาวุธ”ของ” บีอาร์เอ็น” ล่อเป้า”ตาม”ใจชอบ” และหากยังปล่อยให้เกิดเหตุอย่างนี้  วันหนึ่ง”อาจจะ” ไม่มีใครมา”สมัคร” เป็น” กองอาสารักษาดินแดน” ก็ได้…… พูดเรื่องของ” อส. “ หรือ”อาสารักษาดินแดน” ที่มีเรื่อง”ร้องเรียน” ถึงการ”หักเบี้ยเลี้ยง” แบบ”จุกจิก” ที่เกิดขึ้นกับทุกพื้นที่ แต่ยังไม่”เสียหาย” และ”ร้ายแรง” เท่ากับ”ข่าว” ที่มีผู้”หวังดี”แต่”ประสงค์ร้าย” ปล่อยออกมาถึง”ขบวนการ การได้มาของ”กองอาสารักษาดินแดน” ที่ต้องผ่าน”นายหน้า” ใครต้องการเป็น” อส.” ที่มี”งานประจำ” มี”เงินเดือนประจำ” ต้อง”จ่าย” ให้กับ”นายหน้า” คนละ 150,000 บาท เรื่องนี้ มีการ”สอบถาม” ผู้ที่เป็น”อส.” แล้วหลายราย ทุกคน”พยักหน้าหงึกๆ” ว่าเป็น”เรื่องจริง” เป็นวิธีการหา”หากิน” อีก”รูปแบบหนึ่ง” ในพื้นที่การ”สู้รบ” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ก็หวังว่า” เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีระกุล” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” จะ”รับรู้” ในเรื่องนี้ และทำการ”แก้ไข” หยุด”ขบวนการ”หากินบนหลังคน”ได้แล้ว

วันก่อน “เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง” จาก”ส่วนกลาง” นำกำลังเข้า”จับกุมร้านบุหรี่หลบหนีภาษี” ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง ได้ “บุหรี่หลบหนีภาษี” เป็นจำนวนมาก   ก็เป็นเรื่อง”แปลกแต่จริง” ที่”เจ้าหน้าที่สรรพสามิต” และ”ตำรวจ” มองไม่เห็นการทำผิด”กลางเมือง”แต่ “เจ้าหน้าที่””จาก”ส่วนกลาง” กลับ”ดมกลิ่น” นำกำลังลงไป”จับกุม”ได้ถึง 10  โกดังร้านค้า ที่อยู่ใน”เขตเทศบาล” ข่าวว่า”ขาใหญ่” รายนี้เป็น” นักการเมืองท้องถิ่น” ใน อ.ระโนด จ.สงขลา และที่” เจ้าหน้าที่”ท้องถิ่น” มองไม่เห็น”ร้านค้า-โกดัง” ทั้งหมด เป็นเพราะมีการ”ส่งส่วย” ให้กับ”ทุกหน่วย”

เทศกาล”การเมืองท้องถิ่น”  ที่”เม็ดเงิน” กำลัง”สะพัด” ในทุกพื้นที่  จับตาที่ จ.สงขลา เป็นการ”ชนช้าง” ระหว่าง””สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อดีต”อธิบดีกรมฝนหลวงฯ กับ”ประสงค์ บริรักษ์” หรือ” เสี่ยแบบ” อดีต “นายกเทศบาลเมืองเขาลูกช้าง” อ.เมือง สงขลา และ อดีตผู้สมัคร สส.เขต  1 พรรคภูมิใจไทย สงขลา  ซึ่งวัดจากกำลังของผู้”สนับสนุน” ของทั้งสองฝ่าย “คู่คี่สูสี”กัน  แต่ประเด็นนี้ไม่ใช่จุด”ชี้ขาด” ต้องดู”ยุทธศาสตร์”ของแต่ละทีม ว่า”ยุทธศาสตร์”ของฝ่ายไหน จะ”เจาะลงไป”ใน”หัวใจ”ของ”ประชาชน” วันนี้ทั้ง สองทีม ต่างประกาศว่าจะ”ไม่ซื้อเสียง” แต่”ก่อนหน้านี้” บางทีม มีการ”จ่าย” ให้กับ”ผู้สมัคร”สจ.”ในทีมไปแล้ว  คนละ”หลายกำปั่น” เพราะในการ”หาเสียง” ของทีมผู้บริหาร ต้องอาศัยผู้สมัคร “สจ.” เขต ในทุกอำเภอ…..ส่วน”พรรคประชาชน” ที่ส่ง” นิรันดร์ จินดานาค” เป็น”หัวหน้าทีม” ซึ่ง ทีมผู้บริหารทุกคน” เข้าตาประชาชน” แต่วันที่”เข้าคูหา” จะมี”คะแนน”เท่าไหร่” ยังตอบไม่ได้ เพราะเป็น”พรรคการเมือง” ที่ไม่ใช้เงิน”ในการซื้อเสียง” แต่จะใช้”กลยุทธ” ในการใช้”โซเซียล” เพื่อ”เข้าถึง” กลุ่มคนที่เป็น”เป้าหมาย”   ซึ่งทุกกลุ่ม ประมาท ไม่ได้ เพราะ “สงขลา” เป็นเมือง”เศรษฐกิจ” และ”การศึกษา” ที่มี”สถาบันอุดมศึกษา” มากถึง 5 แห่ง  มีคน”หนุ่ม-สาว” ที่อยู่ใน”เป้าหมาย” ของ”พรรคประชาชน” จำนวนไม่น้อย ส่วนผู้สมัครอิสระ จำนวน 2 คนที่เป็น”สุภาพสตรี” ก็เป็นอีก”หนึ่งทางเลือก” ให้กับ”ชาวสงขลา” ได้ “พิจารณา” และ”ล่าสุด” ก่อนวันปิดรับสมัคร ก็มี”คนหนุ่ม” อย่าง”ทนายต๊ะ” เศกสิทธิ์ รคนพิบูลย์”  ลูกแม่ค้าข้าวเหนียวหลาม เปิดตัว ให้คน”สงขลา” ได้”พิจารณา” อีกคนหนึ่ง สำหรับผู้ที่สมัครเป็น” สจ.” หรือ”ส.อบจ.” ของ “จังหวัดสงขลา” รวมแล้วเกือบ 100 คน ทั้ง”หน้าเก่า” และ”นักการเมืองหน้าใหม่” ถ้าย้อนไปดูการ”เลือกตั้ง”ที่”ผ่านมา” จะพบว่า”คนหน้าเก่า” จะ”ถูก”กวาดตกเวที”ไม่ต่ำกว่า 40% ครั้งนี้ก็เช่นกัน เชื่อว่า ผู้สมัคร”หน้าใหม่” จะสามารถ”เบียดแทรก” เข้ามามี”บทบาท”เพื่อเป็นนักการเมือง”เลือดใหม่” ได้มากกว่า 50%  แต่ถ้าดูจาก”อดีต” จนถึง”ปัจจุบัน” จะพบว่า”เลือดใหม่” ที่เข้ามาแทน”เลือดเก่า” ก็ไม่ได้มีการ”พัฒนา”ด้าน”การเมืองท้องถิ่น” ให้ดีขึ้น แต่กลายเป็นว่า”ทากตัวใหม่” ต่าง”หิวกระหาย” ยิ่งกว่า”ทากตัวเก่า”เสียอีก

ส่วนที่ จ.นราธิวาส  การเลือกตั้ง”นายก อบจ.ไม่ธรรมดา เมื่อ”ซาการียา สะอิ “ สส. เขต 4 พรรคภูมิใจไทย จ.นราธิวาส ส่ง”พี่ชาย” ซึ่งเป็น”นักธุรกิจใหญ่”ในพื้นที่ “อับดุลลักษณ์ สะอิ” ลงสมัครเป็น”นายก อบจ.” นราธิวาส เป็นการ”ท้าชน” แชมป์เก่าหลายสมัยอย่าง” กูเซ็ง ยาวอฮาซัน” อย่างไม่”เกรงกลัวศักดิ์ศรี”ของ” เสือเฒ่า” โดยมี”นัจมุดดิน อูมา” ตัวแทนของ”พรรคภูมิใจไทย” ทำหน้าที่เป็น” พี่เลี้ยง” และวันสุดท้าย”ไฟศอล อาแว  อดีตนายกเทศบาลเมืองนราธิวาส ก็ ตัดสินใจ ลงแข่งขันเพื่อ”ชิงตำแหน่ง” นายก อบจ.นราธิวาส เป็นคนที่ 3  ครั้งนี้ คนจังหวัดนราธิวาส มี”ทางเลือก” มากขึ้น ส่วนการ”แข่งขัน” ส.อบจ.”ใน จ.นราธิวาส” ก็ “ดุเดือด”เป็นอย่างยิ่ง” เมื่อ”สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ และ”อามินทร์ มะยูโซ๊ะ” สองศรีพี่น้อง จาก”ค่าย”กล้าธรรม” ส่งผู้สมัคร”ส.อบจ.” ทุก อำเภอ เพื่อ”สร้างฐาน” ในการ “ขยายจำนวน สส.” ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ให้มากกว่า”สองศรีพี่น้อง” เชื่อว่า”การเมืองท้องถิ่น” ใน “จังหวัดนราธิวาส” ต้อง”แข่งเดือด” ที่” พล.ต.ต. ไมตรี สันตยากุล” ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ต้องให้ความสนใจ เพราะอาจจะมีการใช้”กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” เพื่อ”ตัดคู่แข่งทางการเมือง” ซึ่งเป็นเรื่อง”ถนัด” ของ”นักการเมือง” ในพื้นที่ของ”สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ….. แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก