วันอาทิตย์, 8 มิถุนายน 2568

สังคมภูมิภาคใต้ตอนล่าง…ศึกเพื่อนบ้านรอบด้าน วัดกึ๋น รัฐบาลเพื่อไทย

เรื่องของ”การเมือง” เรื่องของการ”บริหารประเทศ” รัฐบาล”ที่”เก่ง” และ”เก๋า” ต้องมีทั้งเรื่องของ”ศาสตร์” และ”ศิลป์” แต่ “รัฐบาล” ที่มี”เพื่อไทย”เป็น”แกนนำ” มี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายรัฐมนตรี” มี” สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็น”นายกน้อย” และมี”ทักษิณ ชินวัตร” เป็น”กุนซือ” ยังบริหารงานแบบ”ไร้ทิศทาง” เพราะไม่มีทั้ง”ยุทธศาสตร์” และ”ศิลปะศาสตร์”ในการ”บริหารประเทศ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึง”อีรุงตุงนัง” ไปหมด …. เช่นเรื่องของการ”โยนหินถามทาง” จาก” เสนาบดีกระทรวงการคลัง” เรื่องการ”ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม”หรือ” VIT” ที่มีการ”นำเสนอ” ในห้วงเวลาของ”เศรษฐกิจ” ของประเทศอยู่ในห้วงเวลา”หน้าสิ่วหน้าขวาน” ไม่มี”รัฐบาลไหน” เขาทำกัน แต่ถ้า”รัฐบาล” จะขึ้น”ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ต้องประกาศขึ้นในขณะที่”เศรษฐกิจ” ของประเทศเป็น”ขาขึ้น”  มีการ”ขึ้นค่าแรง” ให้กับ”ประชาชน” และการขึ้น”ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ต้องขึ้นแบบ”ขั้นบันได” ไม่ใช่ขึ้นเป็น”ก้าวกระโดด” เพราะ”รัฐบาล” ขาดทั้ง”ศาสตร์” และ”ศิลป์” ในการ”บริหารประเทศ” การ”โยนหินถามทาง” เพื่อ”หารายได้เข้าคลัง” ของ”เสนาบดีกระทรวงการคลัง” จึงทำให้”รัฐบาล”ต้อง”ยะญ่ายพ่ายจะแจ” แบบ”หมดรูป” ที่สำคัญจะเห็นว่า” รัฐบาล” ที่มี”เพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” ไม่ว่าจะ”พูด”จะ”ทำ” อะไร ก็จะถูก”ต่อต้าน” ไปเสียทุกอย่างโดยมี”สื่อโซเชียล” เป็นผู้”ปลุกกระแส” ก็ต้องถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้” แพทองธาร ชินวัตร” จะนำประเทศ”ก้าวไปข้างหน้า” ได้อย่างไร…..เท่าที่สังเกตุได้ “เพื่อไทย” เป็นพรรคการเมืองที่มี”กูรูกฎหมาย” และ”นักประชาสัมพันธ์มืออาชีพ” มากมาย แต่”สนามรบ”ด้านของ”กฎหมาย” และสนามรบ”ด้านของ”สงครามข่าวสาร” กลับ”อ่อนด้อย” เหมือน”พรรคการเมือง” ที่”ด้อยประสบการณ์” งง อย่างว่า งง”

ก็ต้องถาม”ขุนคลัง” ของ”เพื่อไทย” ว่า เมื่อการขึ้นภาษี”มูลค่าเพิ่ม” ทำไม่ได้เพราะ”ทำไม่เป็น” และ”ประชาชนไม่เห็นด้วย”รัฐบาล” จะมี”นโยบาย” อย่างไรในการ”หาเงิน”เพื่อเป็น”รายได้”ให้กับประเทศไทย และ “นโยบาย”การให้”สถาบันการเงิน” ปล่อยกู้ และการ “ลดหนี้” เพื่อแก้ปัญหาของ”หนี้ครัวเรือน”จะเป็น”ทางออก” ของการแก้ปัญหา”เศรษฐกิจ”ได้จริงหรือไม่ เนื่องจาก วันนี้ “คนไทย” ไม่มีความ”มั่นใจ” กับวิธีการการแก้ปัญหา”ความยากจน” และการใช้นโยบายในการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของ”เพื่อไทย” เพราะ ที่ทำมาแล้ว”แป็ก” ทุกเรื่อง แม้แต่การ”แจกเงิน” ให้ประชาชนคนละ 10,000 บาท ที่แจกไปแล้วก็ไม่”ส่งผล” อะไรในการการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” ส่วนที่จะแจกอีก 10,000 บาท ให้กับผู้ที่อายุ 60 ปี ขึ้นไป ก็ยัง”ลูกผีลูกคน” จน”รัฐบาล” ต้องออกมา”ขอโทษประชาชน” ที่อาจจะ”ล่าช้า” นี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาล”ไม่พร้อม” และ”ถังแตก” ที่สำคัญ”แจกแล้ว” จะเป็นการก็ไม่ได้เป็นการ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” แต่เป็นการ”กระตุ้น” คะแนนนิยมให้กับ”เพื่อไทย” และ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เพื่อผลของการ”เลือกตั้ง” ในอนาคต  และยังมีการ”ออกข่าว” ว่าจะมีการ”แจกเฟส 2 แจกเฟส 3” ให้กับ”กลุ่มอื่นๆ” ก็คงจะเป็น”นโยบาย”ของการ”แจกไปเรื่อย” ( ถ้ามีเงิน ) จนกว่าจะมีการ”ยุบสภา” เพื่อการ”เลือกตั้ง” ครั้งใหม่ หรือนี่เป็น”นโยบาย”ของการ”หาเสียงของ”เพื่อไทย” แต่ก็ถือเป็น”โชคดี”ของ”เพื่อไทย” ที่”พรรคการเมืองอื่นๆ” รับได้ และไม่คิดว่าถูก”เอาเปรียบ” ในทาง”การเมือง”

รัฐบาลนี้เป็น”รัฐบาล”ที่มีแต่เรื่อง”พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” เรื่องของ”เศรษฐกิจ” ก็ยัง”มะงุมมะงาหรา” หาทางไป”ไม่เป็น” ยังมีเรื่องของ”ความมั่นคง” เรื่องความ”ระหองระแหง”กับเพื่อนบ้าน”ทุก”ทิศทาง” เรื่องของ”เกาะกูด” กลายเป็น”เรื่องใหญ่” ที่” เสี่ยอ้วน”หรือ”สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งรั้งตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ควบ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” และยังทำหน้าที่”นายกน้อย” คอยประกบ”แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี อยู่”ไม่ห่าง” ก็ไม่สามารถ”เปล่งประกาย” ของ”มืออาชีพ” ให้เห็น ว่าจะต้องมีการ”เจรจา”กับ”ผู้นำของ”ประเทศกัมพูเจีย”หรือ “อาณาจักร”ของคน”ตระกูลฮุนเซ็น” อย่างไร “ประเทศไทย” จึงจะไม่”เสียเปรียบ” ตั้งแต่เกิดเรื่อง”เกาะกูด” ”รัฐบาล” ดูเหมือนจะ”ตื้อๆ” กับเรื่องของ”เกาะกูด” แบบที่”ประชาชน” เข้าใจว่ามีเรื่องที่”ไม่ชอบมาพากล” ในเรื่องของ”เอ็มโอยู 44” ที่ถูก” เขมรเอาเปรียบ” หรือ”รัฐบาล” ในขณะนั้น ยอมให้”เขมรเอาเปรียบ” โดยอาจจะมีอะไรที่”ซ่อนอยู่”ภายใต้”เอ็มโอยู 44” จึงทำให้”รัฐบาลเพื่อไทย” ในวันนี้”กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” โดยพูดเพียงว่า เรื่องของ”เกาะกูด” ถ้าขาดการ”ระมัดระวัง” อาจจะต้องถึงมือของ”ศาลโลก” เช่นเดียวกับกรณี”เขาพระวิหาร” ก็ถ้าเรา”มั่นใจ” ใน”สนธิสัญญา” ที่ทำไว้กับ”ฝรั่งเศส” และ”เรื่อง”ไหล่ทวีป” ที่”ถูกต้อง” และ”กัมพูชา” เป็นฝ่ายผิด จะกลัวอะไรกับการ”เจรจา” และการ”ขึ้นศาลโลก” ยกเว้นว่า “เอ็มโอยู 44” มีอะไรที่”ลึกล้ำ” และ”ซ่อนเร้น” กว่าการเป็น”เอ็มโอยู” ที่เป็นเรื่อง”ธรรมดา” ที่เป็นแค่”บันทึกช่วยจำ” สามารถ”ยกเลิก”ได้ ทั้งการ”ยกเลิกฝ่ายเดียว” และการยกเลิกโดยการ”ยินยอม” ทั้งสองฝ่าย

เรื่อง”เกาะกูด”ยังไม่ทันไรได้ข้อ”ยุติ” ก็มีเรื่องทหารของประเทศเมียนมา “ยิงเรือประมงไทย” ยึดเรือ จับกุมลูกเรือ ซึ่งจนป่านนี้”ยังไม่ชี้ชัด” ว่า”ใครผิดใครถูก” เรือประมงไทย”เข้าไปจับปลาในน่านน้ำเมียนมา” หรือ”ทหารเรือเมียนมาเข้ามายิงและจับกุมเรือประมงไทยในเขตน่านน้ำไทย” หรืออย่างไร วันนี้”ลูกเรือ” ส่วนหนึ่ง ยังถูก”ควบคุมตัว” อยู่ในประเทศเมียนมา นอกจากเรื่อง”ทหารเมียนมายิงเรือประมงไทยและจับลูกเรือพร้อมยึดเรือประมง” ด้าน จังหวัดระนองแล้ว  วันนี้ “ไทย” ยังมีปัญหาการถูก”กลุ่มชาติพันธุ์ว้าแดง” ใน”ชายแดนด้านภาคเหนือ” ที่”บุกรุกยึดพื้นที่ไทยเป็นฐานที่มั่น” ซึ่งผ่านไปแล้ว หลายสัปดาห์ “รัฐบาล” ยังไม่สามารถ”ผลักดัน” ให้”กลุ่มว้าแดง” ออกจาก”พื้นที่แนวชายแดน”ของ”ประเทศไทย”ได้ สำหรับ”ว้าแดง” มีความ”สัมพันธ์”ทั้งกับ”จีน” และ”รัฐบาลเมียนมา” และที่”สำคัญ” กลุ่มว้าแดง” คือผู้”ผลิตยาเสพติดรายใหญ่” ที่อาศัยอยู่ใน”ประเทศเมียนมา”…..ส่วนในพื้นที่”ตอนใต้”ของ”ประเทศ” วันนี้”ผู้ปกครองรัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย” ประกาศว่า”ท่าเรือข้ามฝาก” ทั้ง 7 ท่า ที่ตั้งอยู่ในเขต”เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส ซึ่งใช้เป็น”ท่าข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก ระหว่าง”ฝั่งไทย”กับ”กลันตัน” เป็น”ท่าข้ามที่ผิดกฎหมาย” และจะ”จับกุม” ผู้”ข้ามฟาก”ทุกคน ทั้ง”คนไทย” และ”คนมาเลเซีย” ตาม”กฎหมายคนหลบหนีเข้าเมือง” ทั้งที่”ท่าข้าม”ตามธรรมชาติ” เหล่านี้ เปิดใช้มานานนับสิบๆปี ถามว่าอะไรเกิดขึ้นกับ”ประเทศไทย” ทำไม”เพื่อนบ้าน” ทุดด้านจึงมี”ปัญหา”กับ “ประเทศไทย” ในขณะที่”รัฐบาล”ชุดนี้เข้ามา”บริหารประเทศ” ดังนั้นจึงมีผู้ตั้งขอสงสัยว่า”ในกอไผ่” น่าจะมีอะไรที่มากกว่า”หน่อไผ่” อย่างแน่นอน เรื่องนี้”ทุกคน”ต้อง”ช่วยค้นหาคำตอบ”

ในขณะที่ชายแดนฝั่งของ”สปป.ลาว” ก็ไม่ใช่จะไม่มีปัญหา เพราะหลายวันก่อน “ภาคประชาสังคม-ภาคประชาชน-เอ็นจีโอ-ผู้นำท้องถิ่น-ผู้นำท้องที่” ก็ออกมา”ชุมชุม” เพื่อ”เรียกร้อง”ให้” สปป.ลาว” และ”จีน” หยุดการ”สร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้า” ใน”แขวงอุดมไชย” ซึ่งห่างจาก อ.เชียงของ จ.เชียงรายเพียง 96 กิโลเมตร เพราะหากมีการ”สร้างเขื่อน” เพื่อ”กั้นแม่น้ำโขง” ตรงแขวงอุดมไชย” จะทำให้”น้ำเท้อ”ใน “ ลำน้าอิง, ลำน้ำ” และ” ลำน้ำงาว”  สร้างความเสีย ให้กับพื้นที่ทำการเกษตร และทำให้ “เกาะแก่ง” ต่างๆ ใน “แม่น้ำโขง” ใน ฝั่งไทยของ จ. เชียงราย เช่น “แก่งผาได” และ”หาดบ้านดอนมหาวัน” จมใต้น้ำ  มีการร้องให้”รัฐบาล”ให้ “การไฟฟ้าฝ่ายผลิต” ( กฟผ ) ทบทวนการทำสัญญาซื้อ”ไฟฟ้า” จาก” เขื่อนอุดมไชย”  เพื่อ หยุดความ”เสียหาย” ที่จะเกิดขึ้นหลังมีเขื่อนดังกล่าว สรุปแล้ว วันนี้”รัฐบาลไทย” ภายใต้การบริหารจัดการประเทศไทยของ” แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านทุกด้าน “ทักษิณ ชินวัตร” กุนซือใหญ่” ของ”พรรคเพื่อไทย” จะแก้อย่างไรก็อย่า”เยื้นเย้อ” เพราะยิ่งนานยิ่ง “เสียหาย”

ล่าสุด พล.ท. สุรเทพ หนูแก้ว  ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5  กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  นำ”สื่อส่วนกลาง” ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการ”รับรู้สถานการณ์ความเป็นจริง”ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งจะ”สนับสนุนงานการข่าว” ให้”สื่อมวลชนส่วนกลาง” ได้เห็นรู้ข้อเท็จจริง จะได้ไม่กลายเป็น” เครื่องมือ” ของฝ่าย”การเมือง(บางกลุ่มบางพรรค) และ “เอ็นจีโอ” รวมทั้ง”ปีกการเมือง”ของ” บีอาร์เอ็น” ที่”แฝงกาย” ภายใต้ชื่อ”ภาคประชาสังคม” ในการ”บิดเบือนข้อเท็จจริง” ให้”สื่อสวนกลาง” เข้าใจผิด ในเรื่องของ”สถานการณ์”ของ”ไฟใต้” ที่”สื่อ” ( บางคน ) ยังมอง ว่าปัญหา”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มาจากเรื่อง”ความไม่เป็นธรรม” ที่คน”มุสลิม” ในพื้นที่ได้รับการปฏิบัติจาก”ข้าราชการ” ทั้งที่ โดยข้อเท็จจริง  คน”มุสลิม” ในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ได้รับการ”ดูแล” และ”เอาใจใส่” รวมทั้งได้รับ”สิทธิพิเศษ” มากกว่าคน”ไทยพุทธ” ที่อาศัยอยู่ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” นาๆนับประการ จนเป็นเหตุให้”คนไทยพุทธ” น้อยใจ และ เห็นว่าวันนี้”ไทยพุทธ” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ”คนกลุ่มน้อย” ที่ขาดความ”เท่าเทียม” กับคน”มุสลิม” ที่กลายเป็น”ส่วนใหญ่” ในพื้นที่ ก็หวังว่าการที่” เดอะจ้อย”พล.ท. สุรเทพ หนูแก้ว “ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กอ.รมน.” นำ”สื่อส่วนกลาง” ลงพื้นที่ใน” จังหวัดชายแดนภาคใต้” ครั้งนี้ จะเป็น”ประโยชน์” กับการ”ดับไฟใต้” โดย”งบประมาณ” ไม่”สูญเปล่า” อย่างที่ เคยเกิดขึ้น

ส่วนในพื้นที่ วันนี้ มี”ปรากฎการณ์”ที่เป็น”เชิงบวก” เกิดขึ้น อย่างน้อย 2 อย่าง เช่น”มุขมนตรีคนใหม่” ของ”รัฐกลันตัน” ประเทศมาเลเซีย ประกาศที่จะ”ไม่อนุญาต” ให้มีการข้ามประเทศใน”ช่องทางธรรมชาติ” ใน “แนวแม่น้ำสุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส เพื่อป้องกัน”อาชญากรรมข้ามชาติ” เช่นการ”ค้ายาเสพติด” และ”การค้าสินค้าเถื่อน” ทั้งที่ไปจาก”ประเทศไทย” และที่มาจาก”ประเทศมาเลเซีย” โดยมีการกำหนดวัน”ดีเดย์” คือวันที่ 1 ธันวาคม 2567  ใครที่ใช้”ท่าข้ามธรรมชาติ” จากจาก”รัฐกลันตัน” มายัง ประเทศไทย และ ใครที่ข้ามจาก”ประเทศไทย”ไปยัง”รัฐกลันตัน” จะถูก”จับกุม” โดย “เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” ในข้อหา”เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” ซึ่งทางที่ถูกต้อง” เมื่อ”รัฐบาลไทย” ไม่มีการ”เคลื่อนไหว” ใดๆกับ”สัญญาญเชิงบวก” ที่มาจาก” ผู้นำรัฐกลันตัน”  กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ฝ่าย”ปกครอง” หมายถึง” ผวจ.นราธิวาส” ต้องรีบ”ตอบรับ” และต้องมีแผนที่”สอดประสาน” กับการ”ปิดช่องทางธรรมชาติ” ที่เป็น”ท่าข้ามเถื่อน” โดยการ”ร่วมมือ”ระหว่าง” เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น” ของ” ทั้งสองประเทศ” โดยทันที เพราะ นี้คือการ”แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ” ที่ได้ผล โดยที่”ฝ่ายไทย” ไม่ต้อง”ลงทุน” และไม่ต้อง”ขัดแย้ง” กับ”คนในพื้นที่” และ”นักการเมือง” ที่”คัดค้าน”การสร้าง”รั้วชายแดน” เพื่อแก้ปัญหา”ช่องทางเถื่อน” ในการ”ข้ามไป-มา” ของคนทั้ง “สองประเทศ” ใน”แนวชายแดน” ซึ่งหาก”รัฐกลันตัน”  ทำจริง  ปัญหา”ยาเสพติด,ปัญหา”แรงงานเถื่อน” จะเป็น สองเรื่องใหญ่ ของ จังหวัดนราธิวาส จะได้”เบาบาง” ลงได้บ้าง ก็ต้องบอกว่า”อานิสงส์” ของเรื่องนี้เกิดจากที่”ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก” จ.นราธิวาส จับกุม”นักร้องสาวชื่อดัง และพวกรวม 6 คน” ที่ข้ามมาเพื่อ ซื้อยาเสพติด” และตั้งวง”เสพยา” ในโรงแรมแห่งของ ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก และถูก”สื่อมวลชน” นำเสนอข่าว”โด่งดัง” ทั้งใน”มาเลเซีย” และ” อินโดนีเซีย” จนทำให้” มุขมนตรีรัฐกลันตัน” ประกาศ”ปิดท่าข้ามเถื่อน” หรือ”ช่องทางธรรมชาติ” ในที่สุด

ส่วน “สัญญาณเชิงบวก” อีกเรื่อง คือการที่” องค์กรกาชาดระหว่างประเทศ” หรือ” ICRC “ ที่เข้ามา”แทรกแซง” กิจการภายในของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”กว่า 10 ปี ได้”ถอนสมอ”  ออกจากพื้นที่ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่”หัวหน้าคณะทำงาน”ของ”ไอซีอาร์ซี” ได้”เดินสาย” เพื่อเข้า”อำลา” ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เป็น”สัญญาณ” ที่”บอกเหตุ” ว่า สถานการณ์ของ”ไฟใต้” จะ”ดีขึ้น”  เมื่อ”องค์กรต่างชาติ” จาก”ชาติตะวันตก” หยุดการ”แทรกแซง” ทั้ง 2 เรื่อง เป็นเรื่องที่ถือเป็น”ข่าวดี” สำหรับ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 “ ที่หลังเข้ารับ”ตำแหน่ง”เป็น”แม่ทัพภาคที่ 4 “ ก็มี”สัญญาณเชิงบวก” โดยไม่ต้อง”ออกแรง”…..และอีกเรื่องที่” พล.ท. ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 เดินมา”ถูกทาง” ในการ”ดับไฟใต้” นั้นคือการที่”สื่อสารกับสังคม” ในเรื่องของ”สถานการณ์จริง” ของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ใน รอบ 20 ปี ที่มีการ”บอกความจริง” ว่า”เหตุร้าย” ทั้งหมด ใน 20 ปี มาจากการ”กระทำ”ของ”ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่มี”เป้าหมาย” เพื่อการ”แบ่งแยกดินแดน” ซึ่งการออกมา”สื่อสารความจริง” นอกจากจะทำให้”ประชาชนตาสว่าง” แล้ว ยังเป็นการ”ปอกเปลือก” และ”เปิดโปง” ขบวนการ”บีอาร์เอ็น” ให้ สังคมได้”รู้จัก” และได้”รับรู้” ถึงความ”เลวร้าย” ในฐานะที่”บีอาร์เอ็น” คือ”ฆาตรกร” ในการ”สังหาร” ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ถึง 5,000 กว่า ศพ มีผู้ที่”รับบาดเจ็บ” จาก” กองกำลังติดอาวุธ” ของ”บีอาร์เอ็น” เกือบ 20,000 คน และยังมี”ผลพวง” ที่เป็น”ภาระกับสังคม” นั้นคือ”คนพิการ,หญิงหม้าย” และ”เด็กกำพร้า” อีก จำนวนมาก “เปิดโปง” กันขนาดนี้ถ้า”คนในพื้นที่” ยัง”ยกย่องบูชา” และยังให้การ”สนับสนุน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ต่อไป ก็นับได้ว่านั่นคือ” เสี้ยนหนาม” ของ”แผ่นดิน”

วันก่อน “ผู้เขียน” ได้มีโอกาส”สอบถาม” เรื่องการประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” จาก” เสี่ยอ้วน”หรือ” สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย “รองนายกรัฐมนตรี” และ”เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ถึงความ”คืบหน้า” ในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม” ตอบว่า มีผู้นำเสนอ และเป็นเพียง”แนวทาง” ที่ยังไม่”ตกผลึก” ยังต้องมีการ”ศึกษาถึงผลได้ผลเสีย” ที่จะเกิดขึ้นหากมีการประกาศให้” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” แต่อีก”แนวทาง” ที่มีโอกาสที่เป็นไปได้ นั้นคือการประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”อาชญากรรมข้ามชาติ” ซึ่งมี”กฎหมาย”ในการ”รองรับ” และ”จัดการ” กับ”บีอาร์เอ็น” โดยไม่ต้อง”ยกระดับ” ให้เป็น”องค์กรก่อการร้าย”…..แต่ใน”มุมมอง” ของ”รัฐบาล” ยังให้”น้ำหนัก” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ในเรื่อง”เศรษฐกิจ,การลงทุน” และการ”สร้างอาชีพ” การ”พัฒนาคุณภาพชีวิต” ของคนในพื้นที่  ซึ่งยังเป็นการมองปัญหาในพื้นที่ว่าเกิดจากความ”ยากจน” เกิดจากการ”ว่างงาน” และ”รัฐบาล” จะมีการ”ส่งเสริม” เรื่อง”อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล” เรื่องของ”ปศุสัตว์”  ที่มองว่า”ผลผลิต”เหล่านี้มี”ตลาดรองรับ” ก็ไม่เถียง” ในเรื่องของ”ตลาดรองรับ” หากมีการ”ผลิต” แต่ “โจทย์ยาก” ที่ทุก”รัฐบาล”แก้ไม่ตก” และ”ล้มเหลว” มาโดยตลอด คือเรื่องของ”คนในพื้นที่” ซึ่งไม่”ตอบรับ” กับ”โจทย์” ของ”รัฐบาล” เรื่อง”อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล” พูดกันมาไม่น้อยกว่า 10 ปี วันนี้ก็เป็นเพียง”ลมปาก” เรื่อง”ปศุสัตว์” โครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ที่มีการ”ผลักดัน” และ”คาดหวัง” จาก” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ( ศอ.บต. ) ครั้งที่ “พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร” เป็น” เลขาธิการ ศอ.บต. วันนี้ “เดินต่อไม่ได้” กลายเป็นโครงการที่”ล้มเหลว” มีการ”ร้องเรียน” ว่ามีเรื่อง”ทุจริต” มีการ”สอดไส้” โครงการ   ซึ่งมีการ สรุปว่านอกจากเรื่องที่ “เกษตรกร” ผู้”ร่วมโครงการ”ออกมา”กล่าวหา” หน่วยงานของรัฐ” แล้ว ยังพบว่า”เกษตรกร” ที่เข้าร่วมโครงการ”โคบาลชายแดนใต้” ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ใน โครงการดังกล่าว และสุดท้าย”นำมาสู่ความ”ล้มเหลว” ของโครงการ ถ้าปัญหาเหล่านี้ยัง”แก้ไม่ได้” ทุกโครงการที่เข้ามาก็จะมี”ปัญหา” อย่างที่เกิดขึ้น ปัญหาของ”จังหวัดชายแดนภาคใต้”ต้อง”พัฒนาคน” เป็น”อับดับแรก” และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการ”ศึกษา” แต่” กระทรวงศึกษาในยุคที่” พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ” เสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ” ไม่เข้าใจใน”บริบท”ของ”การ”ศึกษา” ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมองว่า”กระทรวงศึกษาธิการ”ไม่เกี่ยวกับเรื่องความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้  เฮ้อ กรรมของคนใต้

เรื่องความ”เดือดร้อนของประชาชน” ที่ใช้”บริการโทรศัพท์มือถือ” ทั้ง”สองค่าย” ที่”ควบรวมกัน” ซึ่ง ทุกคนที่ใช้”บริการ” ต่าง”โอดครวญ” กันทั้งประเทศว่า”หลังการควบรวม” การให้”บริการ ห่วยแตก” การใช้โทรศัพท์ไม่เสถียร การคิดค่าบริการแพงขึ้น  เรื่องของการ”โปรโมชั่น”ไม่มีแล้ว” อินเตอร์เน็ตสัญญาณ” แย่กว่าเดิม เรื่องนี้ต้องถามไปยัง” กสทช.” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ ควบคุมกำกับ “ค่ายโทรศัพท์ที่มีการควบรวมกัน” ว่า จะแก้ปัญหาการ”ร้องเรียน”ของผู้”บริโภค” อย่างไร และ “องค์กรผู้คุ้มครองผู้บริโภค” มี แนวทาง ในการแก้ปัญหาความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน” อย่างไร “กสทช.” ต้องออกมา”เปิดเผย”ด้วยว่า หลังจาก”รับเงิน” จากค่า”สัมปทาน” มาจาก” กลุ่มทุน” ที่มีการ”ควบรวม” แล้ว ได้”สั่งการ” ให้”กิจการ”ดังกล่าว ดำเนินการในการ”พัฒนาประสิทธิภาพ” ในการให้”บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ” อย่างไร หรือ หน้าที่ของ” กสทช.” แค่”รับเงิน” แล้วก็จบ โดยไม่ได้”ใส่ใจ” กับผู้ใช้”บริการ” อย่าง”ประชาชน” ทั่วประเทศ ที่ต้อง”เสียหาย” และเสีย”ประโยชน์” ถามว่า ถ้าการให้”บริการห่วยแตก”  จะมีการ”ยกเลิกสัญญาการควบรวม” ได้หรือไม่

เรื่องของ”พลังงาน”ในประเทศ ที่ต้อง”จับตา” วันนี้”ทัพพลังงาน” โดย”กลุ่มทุน” อย่าง” กัลฟ์เอนเนอยี” ซึ่งเป็น”เจ้าพ่อพลังงาน” และ”กันกุล” ที่เป็น”บริษัทลูก” รวมทั้ง”ไฟฟ้าราชบุรี” มีการ”เดินทัพ” สู่”ภาคใต้” เพื่อการ”ลงทุน” ในเรื่องของ”ไฟฟ้าโซล่าเซล” หรือ”โซล่าฟาร์ม” ครั้งใหญ่  โดย” กันกุล” คือ”เสือปืนไว” ที่”ซื้อที่ดิน” ใน”บ้างยางเกาะ ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อเป็น”ฐานการผลิต” ก่อนใครเพื่อน ซึ่งดูตาม”รูปการณ์”  การลงทุนด้าน”พลังงาน” กำลังเกิดขึ้น จำนวนหลายราย ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สงขลา เพราะพื้นที่ของ”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีการนลงทุนเต็มพื้นที่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือ” เอ็นจีโอ” มีการเตรียมที่จะ”เคลื่อนไหว” ดังนั้นถ้า”กลุ่มทุนไหน” มี”จุดอ่อน” เรื่องของ”มวลชน”  มี”กำแพงหลัง” ที่ไม่”เข็มแข็ง” การ”ขับเคลื่อน” ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ”ราบรื่น” อย่างที่คิด เตรียมรับมือไว้บ้างก็ดี เพราะ”เอ็นจีโอ”ภาคใต้ ต่างกับ”เอ็นจีโอ”ภาคอีสาน นะ จะบอกให้ …..และ ขณะเดียวกัน การ”ยื่นประมูล”พลังงาน 3,600 เมกกะวัตต์ ของ”กระทรวงพลังงานในครั้งนี้ ก็มี”คลื่นใต้น้ำ” ที่ไม่”ราบรื่น” เหมือนยุคของ”ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะมีการ”ร้องเรียน” มีการ”ต่อต้าน” จาก”กลุ่มทุนรายเล็ก” ที่เห็นว่า”เสียเปรียบ” กลุ่มอภิมหาทุน” จนทำให้การ”ประมูล” ที่ต้องเกิดขึ้นในเดือน ตุลาคม ที่ผ่านมา ต้องมีการ”เลื่อนออกไป” อย่างไม่มีกำหนด และ วันนี้ กลายเป็นเรื่อง”ปวดหมอง” สำหรับ” เสนาบดีกระทรวงพลังงาน” อย่าง”พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์”    ก็ต้องติดตามดูตอนต่อไปอย่าง อดีต”เปาบุ้นจิ้น” อย่าง”เสนาบดีพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์” จะแก้”สมการ” ที่เกิดขึ้นอย่างไร เพื่อไม่ให้เรื่องของ”พลังงาน”กลายเป็นเรื่อง”ผูกขาด” จาก”กลุ่มทุนใหญ่” ที่ถูกมองว่ามีการ”กินรวบ” โดยไม่ยอมให้มีการ”แบ่งปัน”ในขณะที่”สังคมไทย”ต้องการเห็น”การแคร์แอนด์แชร์” เกิดขึ้นในทุก”ธุรกิจ”เพื่อให้เป็นเรื่องของ”ธรรมาภิบาล”

เช่นเดียวกับเรื่องการ”จัดสรรคลื่นความถี่” ของ”สถานีวิทยุ” ทั้งประเภทความถี่ธุรกิจระดับท้องถิ่น ( FM ) และ “วิทยุชุมชน” ที่ “ กสทช.” อยู่ระหว่างการ ดำเนินการ เรียกประชุม “ผู้ประกอบการ” เพื่อให้ทราบถึง”หลักเกณฑ์” ตาม”ข้อกฎหมาย” ในการ”ประมูลคลื่นความถี่” เพื่อรับ”ใบอนุญาต” ซึ่ง กำลังมีประเด็นที่”เจ้าของคลื่นความถี่เดิม” กำลังบอกว่าไม่ได้รับ”ความเป็นธรรม” เรื่องนี้ก็เป็นเรื่อง”สำคัญ” ที่” กสทช.” ต้องมองให้”รอบด้าน” เพราะ สังเกตได้ว่าผู้ที่”เข้าประชุม” ซึ่งเป็น”เจ้าของสถานีวิทยุ” ส่วนใหญ่เป็น”คนบ้านๆ” ที่มี”ข้อจำกัด”ในเรื่องของ”กฎหมาย” ในเรื่องของ”กฎระเบียบ” และที่สำคัญที่”กสทช. “ ต้อง”คำนึง” คือ” สถานีวิทยุ” เหล่านี้ เพราะ สถานีวิทยุ หมายถึง”หม้อข้าว” ที่เป็นที่มาของ”รายได้”ในการ”เลี้ยงครอบครัว” ของ”คนเหล่านี้” แม้จะไม่ใช่คน”กลุ่มใหญ่”ของ”สังคม” แต่ความ”เป็นคน” ต้อง”เท่ากัน”

เรื่องของ”ยางพารา” ที่”ราคาตกต่ำ” ทั้งที่”ผลผลิต”ออกสู่”ตลาด”ค่อนข้างน้อย” แต่ราคา”รูดทะราด” จาก” กิโลกรัมละ 80 กว่าบาท( น้ำยางสด ) เหลือเพียง 60 กว่าบาท ในเวลาเพียง 1 เดือน ได้สร้างความ”วิตกกังวล” ให้กับ”ชาวสวนยาง” เป็นอย่างยิ่ง  และเป็นการ”ตอกย้ำ” ให้เห็นว่า”ราคายางพารา” จะ”ขึ้น ลง” เป็นเพราะถูก” ต่างชาติ” เป็นผู้”กำหนดราคา” เป็นการ”ฉ้อโกง” แบบ”ไร้เหตุผล เพราะรู้กันอยู่ว่า “ วันนี้”ตลาดยางพาราจากทุกประเทศ” มีความต้องการ”ยางพารา” แต่ทำไมราคายางจึง”ตกต่ำ” ที่สำคัญ ณ วันนี้”พื้นที่ปลูกยางพารา” ใน”ภาคใต้” ถูก”แปรเปลี่ยน”ไปเป็นพื้นที่”ปลูกทุเรียน” และ” สวนปาล์ม” รวมทั้ง ปลูกพืชอื่นๆ เหลือที่เป็น”สวนยางพารา” ไม่มากแล้ว แต่ทำไมราคายางยัง”ตกต่ำ” นี้ก็ “สะท้อน” ให้เห็นถึง”ฝีมือ” การ”บริหาร”ของ”การยางแห่งประเทศไทย” ที่มี”เพิก เลิศวังพงษ์” เป็น”ประธานบอร์ด”ของ”การยางแห่งประเทศไทย” และ”เฉลิมชัย ศรีอ่อน “ เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าสุดท้ายแล้ว ก็ไม่ต่างกับ “เสนาบดี”ที่ผ่านมา ……ฟังว่า “การยางแห่งประเทศไทย” จะใช้งบประมาณ 800 ล้าน ในการ”ซับผลผลิตยางพาราจากตลาด” ด้วยการให้”เกษตรกร” นำ”ผลผลิต”ไป”ฝากกับโกดัง” ไว้ก่อน เพื่อ”รอขาย” ใน ห้วงเวลา” ที่”ราคายางขึ้นราคา” มาตรการ” อย่างนี้ ช่วยได้สำหรับ”เกษตรกร” ชั้นกลาง ที่มี”ฐานะ” และเป็น “แปลงใหญ่” แต่”ชาวสวนยาง” ระดับ” ปลายแถว” และคนงาน”ตัดยางจ้าง” ยังไม่ได้รับ”ส่วนบุญ – ส่วนแบ่ง” จาก “ผลกำไร” อย่างแน่นอน เพราะ “ชีวิต”ของ”เกษตรกร” ระดับ”ปลายแถว” และคน”ตัดยางจ้าง” ต้อง”ขายน้ำยางสด”ให้กับ”พ่อค้า”แบบ”วันต่อวัน” เพื่อ”ประทังชีวิต” นี้คือ”ข้อเท็จจริง” ที่คนบน”หอคอยงาช้าง” ไม่เข้าใจ ดังนั้น งบประมาณ 800 ล้าน จึงเป็นการ”ช่วยเหลือ”คนที่”รวยอยู่แล้วให้รวยยิ่งขึ้น ใช่ หรือไม่

มีคำถามจาก”ชาวจังหวัดสงขลา” ผ่านทาง”โซเชียลมีเดีย”ถึงผู้สมัครเป็น”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” ทั้ง 4 คน ของ จ.สงขลา ข้อ 1 มี นโยบายในการแก้ปัญหา”โพงพาง” ที่เป็น”เครื่องมือประมง” ที่”ผิดกฎหมาย”และยัง”รุกล้ำร่องน้ำเดินเรือ” ใน” ทะเลสาบสงขลา”อย่างไร และจะ”จัดการ”กับ”สุสานเรือประมง”ที่กลายเป็น”ทัศนะอุจาด”ใน”ทะเลสาบสงขลา” อย่างไร 2 จะ แก้ปัญหาการ”บุกรุก โบราณสถานเขาแดง” ใน อ.สิงหนคร อย่างไร 3 จะแก้ปัญหาเรื่อง”อควาเรี่ยมหอยสังข์สงขลา”ของ”วิทยาลัยประมง” ที่มีการ”ทุตริต” และถูก”ทิ้งงาน”ไปกว่า 15 ปี โดยไม่มีการดำเนินการใดๆ อย่างไร ก็ต้อง ติดตามว่า ผู้สมัครทั้ง 4 คน จะมีคำตอบให้กับ “คนสงขลา” แบบไหน แล้วอย่าลืม”จดจำ” เพื่อจะได้”ทวงถาม” หลังจากได้รับการ”เลือกตั้ง”……และ เรื่องทั้ง 3 ประเด็น ก็เป็น”เผือกร้อน” ที่ย้ายจากมือของ”อดีต ผวจ.สงขลา “สมนึก พรหมเขียว” มาอยู่ในมือของ”โชตินรินทร์ เกิดสม”  ผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ ของ จ.สงขลา ซึ่งหลังจากได้รับการ”โปรดเกล้าฯ” ก็คงจะเดินทางมารับ”หน้าที่” ในเร็วๆ นี้  และ ข่าวว่า “ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา”คนใหม่” ขอ”จองเก้าอี้” นายอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่”เกรดเอ” ให้กับ “นายอำเภอ” ที่ตนเอง”ไว้วางใจ” มาทำหน้าที่เป็น”มือขวา” ซึ่งจะมาจาก “อำเภอชายทะเล” ของ จังหวัดนครศรีธรรมราช ข่าวนี้จึงเป็นข่าวที่”ดับฝัน” ของ”นายอำเภอหลายคน”  แต่ จะไปได้หรือไม่อยู่ที่จะได้รับ”ไฟเขียว” จาก” เสี่ยหนู” หรือ”เสี่ยเน” หรือไม่ ดังนั้น”นายอำเภอ” ทุกคนจึงยัง”มีลุ้น”..…แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ

ไชยยงค์ มณีพิลึก