วันอาทิตย์, 24 สิงหาคม 2568

รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนและคณะเดินทางมาเป็นประชุมวิชาการ

07 ก.ย. 2024
54

วันนี้ (6 กันยายน 2567) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา มอบหมายให้ นายอำนวย พิณสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวต้อนรับ นายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และคณะทำงานโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ในโอกาสเดินทางมาประธานเปิดการประชุมวิชาการ Symposium การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่สากล ประจำปี 2567

โอกาสนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้รายงานผลการดำเนินงานตามโครงการ ผ้าไทยใส่ให้สนุกของจังหวัดสงขลาที่ได้ดำเนินการเชิงรุก ในรอบปี 2567 เพิ่มเติมจากที่กระทรวงมหาดไทยและกรมการพัฒนาชุมชนมอบหมาย ดังนี้ 1) สร้างกระแสการรับรู้ การใช้และสวมใส่ผ้าไทยอย่างสม่ำเสมอและกว้างขวาง ด้วยการส่งเสริมและจัดให้มีการเดินแบบในการจัดงานเทศกาลต่าง ๆ ในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานประจำปีและงานกาชาดของจังหวัดสงขลา ประจำปี 2567 ที่มีผู้ร่วมเดินแบบแบบด้วยชุดผ้าไทยถึง 677 คน ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้ผลิตและช่างตัดเย็บ มากกว่า 5 ล้านบาท 2) นำผู้ประกอบการผ้าไทยและเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ไปศึกษาดูงานต้นแบบการทอผ้าไทย ณ ดอนกอยโมเดล และ นาหว้าโมเดล เป็นระยะเวลา 5 วัน 3) พัฒนาองค์ความรู้และทักษะการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้มีการย้อมสีธรรมชาติด้วยพันธุ์ไม้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยในการประกวดผ้าลายสิริวชิราภรณ์ครั้งนี้ จังหวัดสงขลา ใช้ผ้าที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติจากพันธ์ไม้ถึง 23 ชนิดและมีสีใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิม เช่น สีชมพู สีฟ้า สีเหลือง สีส้ม และสีแดง 4) ยกระดับการผลิตผ้าให้มีคุณภาพและมูลค่าสูงขึ้น เช่น การจัดทำผ้าทอ “ลายสุวรรณราชวัตร” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างลายราชวัตรและลายพระราชทานสิริวชิราภรณ์ และนำเส้นไหมมาผสมผสานกับผ้าฝ้าย ส่งผลให้สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้น จากราคาที่เคยขายหลาละ 340 บาท เป็นหลาละ 2,500 บาท ซึ่งไม่เกิดขึ้นมาก่อนในจังหวัดสงขลา และ 5) ส่งเสริมการตลาดผ้าไทยในช่องทางที่หลากหลาย ทั้งการจัดงานแสดงและจำหน่าย การจัดทำศูนย์แสดงและจำหน่ายผ้าไทยระดับจังหวัด และการกำหนดเป็นนโยบายให้ส่วนราชการและประชาชนในทุกระดับใส่ผ้าไทยในงานเทศกาลและงานสำคัญต่าง ๆ

จากการดำเนินงานดังกล่าวส่งผลให้จังหวัดสงขลามีรายได้จากการจำหน่ายผ้าไทย ในปี 2567 ถึง 108 ล้านบาท มากกว่าปี 2566 ซึ่งจำหน่ายได้ 66 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 65