รอบรั้วเมืองใต้ฉบับนี้ ผู้เขียนขอเข้าร่ายข่าวสังคมชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม ตามวิสัยคนหนังสือพิมพ์อาชีพ ที่เห็นมาอย่างไร ก็เขียนไปอย่างนั้น
สถานการณ์อุทกภัยหรือน้ำท่วม ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่หนักหน่วง โดยเฉพาะในพื้นที่ ปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 60 ปี ที่ผ่านมา นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่ปริมาณน้ำฝน จะยิ่งมากขึ้นในทุกปี ในขณะพื้นที่รับน้ำ โดยธรรมชาติ หายไปจากการพัฒนาบ้านเมือง เช่น การถมที่สร้างบ้านแปงเมือง ซึ่งไม่มีกฎหมาย ห้ามปิดทางแม่น้ำ ลำคลอง ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ถูกปล่อยให้ตื้นเขิน แคบเล็ก ส่วนคลองเล็กคลองน้อย และลำราง ตามธรรมชาติหายไป จากการทำการเกษตร ของประชาชนที่ถมทิ้ง เพื่อให้ได้พื้นที่ในการทำการเกษตรเพิ่มขึ้น
แต่สิ่งที่ค้างคาใจ ประชาชนคืองบประมาณ ที่แต่ละจังหวัดได้รับ เพื่อใช้ในการขุดลอกคูคลอง และสร้างแหล่งน้ำ มีจำนวนเพิ่มขึ้นในทุกปี แต่การแก้ปัญหาน้ำท่วม กลับยิ่งรุนแรงกว่าเดิม เรื่องนี้ก็มีผล ในความรู้สึกของประชาชน ที่มองไปถึงการทุจริต หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งทั้งหมดมาจากการสื่อสารกับสังคม ของภาครัฐในทุกภาคส่วน เพราะการที่น้ำท่วม รุนแรงขึ้นทุกปีๆ อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง เพียงอย่างเดียวแต่เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่โหดร้าย มากขึ้นการละเลยการแก้ปัญหาของหน่วยงาน ของท้องถิ่น และที่สำคัญไม่มีการมีนโยบาย ในการแก้ปัญหา น้ำท่วมฝนแล้ง จากทุกรัฐบาล อย่างจริงจังมีแต่การตั้งงบเฉพาะหน้า เพื่อซื้อถุงยังชีพ เป็นด้านหลัก ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่ รองลงมา
แม้ว่าทหาร ส่วนหนึ่ง ของกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะกลายเป็นผู้ประสบภัยเสียเอง ในหลายส่วน เช่น ทั้งใน จ.ยะลา ปัตตานี และ นราธิวาส แต่พระเอก ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยังเป็นทหาร ที่มีรถราม้าช้าง มีกำลังพล มากกว่าหน่วยงานอื่นๆ มีขีดความสามารถในการเข้าพื้นที่ เสี่ยงภัย และนำผู้ป่วย,ผู้สูงอายุ, เด็ก, สตรี ออกมาได้อย่างปลอดภัย ถ้าคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบีอาร์เอ็น และนักการเมือง (บางพวกบางคน) ถามว่าทหารมีไว้ทำอะไร ก็ให้มีภาพที่ทหารอุ้มผู้ป่วย, แบกคนชรา ฝ่ากระแสน้ำที่ลึกเทียมหน้าอกและเชี่ยวกราก ก็จะรู้เองว่า ทหารมีไว้ทำอะไร การรับมือกับอุทกภัยครั้งนี้ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ ทำได้ดี โดยใช้มณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นศูนย์บัญชาการ เพื่อช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งเป็นสถานที่ ในการต้อนรับบรรดาเสนาบดีจากกระทรวงต่างๆ ที่เดินทางลงพื้นที่ เพื่อช่วยประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม
น้ำท่วมภาคใต้เพิ่งท่วมผ่านไป ก็มีประกาศฉบับที่ 1 มรสุมจ่อถล่ม 8 จังหวัดใต้ 12-16 ธ.ค. ฝนตกหนัก-หนักมากพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำล้มตลิ่งคลื่นสูง 3 เมตร เรือเล็กงดออกจากฝั่งพี่น้องประชาชนคนภาคใต้ ก็ต้องระวังและเตรียมพร้อมเรื่องอาหารการกิน และน้ำ ไฟฉาย เทียนไข เก็บไว้เพื่อฉุกเฉินเกิดน้ำท่วมจะได้มีอาหารไว้รับประทานครับ
แต่ที่เป็นพระเอก ในการป้องกันไข่แดงของเทศบาลนครหาดใหญ่ ไว้ได้อย่างฉิวเฉียด คือคลอง ร.1 ซึ่งเป็นการวางแผนขุดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตมิให้น้ำท่วม ในพื้นที่ใจกลางเมืองหาดใหญ่ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ถ้าไม่มีคลอง ร. 1 รับรองหาดใหญ่ ก็จะจมบาดาล และเสียหาย หนักยิ่งกว่าที่ผ่านมา เพราะมวลน้ำป่า ที่ เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ดังนั้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมาประชาชนจึงได้จัดพิธีรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยการรวมตัวรวมพลรวมใจ ที่คลอง ร.1 กลายเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์