วันอาทิตย์, 8 มิถุนายน 2568

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ประชุมหารือกับผู้ว่าฯ

18 ก.พ. 2568
33

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 นายทรงพล จังศิริวัฒนธำรง ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นายธัชพล วิบูลย์พันธ์ ประธาน YEC SONGKHLA ร่วมประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดและภาคเอกชน ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช และพัทลุง) โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมฯ ณ ห้องประชุมชลาทัศน์ ชั้น 2 สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตสงขลา เพื่อรับฟังแลกเปลี่ยนความเห็นต่อการพัฒนากลุ่มจังหวัดฯ เพิ่มเติม

โดยที่ประชุมได้สรุปรายงานผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 จากนั้นรับฟังความเห็นต่อข้อเสนอประเด็นการพัฒนาฯ จากภาคเอกชนและผู้ประกอบการรุ่นใหม่หอการค้า (YEC) โดย จังหวัดสงขลาเสนอไป 13 โครงการเชิงนโยบาย และ 3 โครงการในส่วนของงบกลาง

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวว่า วันนี้ (17 ก.พ.68) เป็นการประชุมต่อเนื่องจากวันที่ 30 มกราคม ที่ผ่านมา มีภาครัฐนำโครงการ 23 โครงการ วันนี้ภาคเอกชนกับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ นำมาเสนอ 33 โครงการ รวม 56 โครงการ โดยเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ที่จังหวัดสงขลา “พลิกฟื้นอ่าวไทย สู่ความยั่งยืน” ซึ่งมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันพรุ่งนี้ (18 ก.พ.68) ต่อไป

สำหรับการประชุมได้พิจารณาโครงการต่าง ๆ รวม 56 โครงการ อาทิ โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนพื้นที่มรดกโลกลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา (นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา) โครงการกำจัดวัชพืชและพืชต่างถิ่นรุกรานในพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช และสงขลา

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ภาคใต้ไม่ว่าจะฝั่งอ่างไทยหรืออันดามัน คือพื้นที่ทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของท่าเรือน้ำลึก  “…(เสียงรองนายกฯ…) ถ้าหากมีท่าเรือน้ำลึกของภาครัฐจะช่วยในพื้นที่ตรงนี้ได้หลายอย่าง มีหลายประเทศสนใจมาทำคลังน้ำมัน ล่าสุดมีประเทศในเอเชียแล้วประเทศนึง หากมาตั้งคลังน้ำมันได้ จะสามารถส่งน้ำมันขายได้ 2 ฝั่งทะเล ก็ไม่ต้องอ้อมไปสิงคโปร์ จะเป็นศักยภาพอีกอย่างของประเทศไทย//ถ้าทีท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 ฝั่งทะเลได้ เป็นการเพิ่มศักยภาพ…“
ทั้งนี้ หากช่วยกันพัฒนาในเรื่องนี้ ท่าเรือน้ำลึกของประเทศ เชื่อว่าจะพัฒนาภาคเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน มั่นคง และจะมีการสร้างรายได้ ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมทางการค้า และการลงทุนด้วย