เรื่องของ”การเมือง” ณ ห้วงเวลานี้ ทุกภาคส่วนของสังคมไทย ต่างให้ความ”สนใจ” ในการ “ติดตามความเคลื่อนไหว” ของการ”ปรับ ครม.อิ๊งค์ 2” เพราะ”กระแสข่าว” การ”ปรับ ครม.” ถูก”สื่อทุกแขนง” นำมาเสนอจนกลายเป็น”ข่าวทุกชั่วโมง” รวมทั้ง”กูรู” ทาง”การเมือง” ทุกสำนัก ต่างก็ออกมา”ฟันธง” ว่า” เพื่อไทย” กำลัง”ไปไม่รอด” การที่จะ”อยู่รอด” เพื่อให้” แพทองธาร ชินวัตร” สามารถ”ไปต่อ”ใน”เก้าอี้” นายกรัฐมนตรี ต่อไป มีทางเดียวคือการ”ปรับ ครม. ซึ่งกลายเป็นว่าการ”ปรับ ครม.” ครั้งนี้ อาจะไม่มีส่วน”เกี่ยวข้อง”กับ”ประชาชน” แต่เป็นการ”ปรับ” เพื่อให้”แพทองธาร ชินวัตร” มีความ”มั่นคง” ในตำแหน่ง”นายรัฐมนตรี” เพราะ “เพื่อไทย” ยังไม่พร้อมที่จะ “ยุบสภา” เพื่อการ”เลือกตั้ง” ครั้งใหม่……แต่ สุดท้าย เมื่อดู”ลมล่าง ลมบน” และ”พยากรณ์อาการ” ทางการเมือง ยังเชื่อว่าการ”ปรับ ครม.” ครั้งนี้ เป็นการ”ปรับเล็ก” ในส่วนของ”เพื่อไทย” เพื่อเป็นการ”พยายาม” ที่จะ”ตอบโจทย์” เรื่องของ”ปัญหาปากท้อง” ของ”ประชาชน” ที่”เดือนร้อน” ทั้ง”แผ่นดิน” จากความ”ล้มเหลว” ในการ”บริหาร”เศรษฐกิจ” ของ”รัฐบาลเพื่อไทย” ที่ทำให้เกิด”สภาวะ” ที่”สินค้าอุปโภค บริโภค แพงทั้งแผ่นดิน” ในขณะที่”ผลผลิตทางการเกษตร” อยู่ใน”สภาวะ”ที่เรียกว่า” ถูกทั้งแผ่นดิน” ส่วน”ค่าแรง ค่าจ้าง” ไม่สามารถ”ปรับขึ้น”ได้ เพราะถูก”ขัดขวาง” โดย”กลุ่มทุน” จนทำให้”ปรับค่าแรง”ไม่ได้ และหากมีการ”ปรับ”เฉพาะในส่วนของ”เพื่อไทย” ก็ไม่น่าจะช่วยให้”ภาพลักษณ์” ของ”รัฐบาล” ดีขึ้น เพราะ”นักการเมือง” ที่”เห็นหน้าค่าตา” ว่าจะมาเป็น” เสนาบดี” กระทรวงต่างๆ ที่เป็นของ”เพื่อไทย” ไม่ได้มี”ชื่อชั้น” ในการเป็น” มือดี” ที่”ดีกว่า” ผู้เป็น” เสนาบดี” ที่ถูก”ปรับออก” จึงกลายเป็นการ”ปรับ ครม.” ของ”เพื่อไทย” ที่หากเป็นการ”ปรับเล็ก” เฉพาะในส่วนของ”เพื่อไทย” เป็นเรื่อง”สมบัติผลัดกันชม” ที่อาจจะไม่ได้”ตอบโจทย์” กับปัญหาความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน”
ส่วนที่มีการ”วิพากษ์วิจารณ์” จาก”ผู้ที่ตั้งว่าเป็น”กูรู” ที่”รู้ทุกเรื่อง” ที่ออกมา”จ้อ” ผ่านรายการ”ทีวี” ทุกช่อง ว่าการ”ปรับ ครม.”ครั้งนี้ จะมีการ”เตะทิ้ง” พรรคร่วมอย่าง” ภูมิใจไทย” ใน”ฐานะ” ที่ทำตัวเป็น” ภูมิใจขวาง” นโยบายของ”เพื่อไทย” นั้น เชื่อเถอะ “เพื่อไทย” คิดได้ แต่”ไม่กล้าทำ” เพราะระหว่าง”เพื่อไทย” กับ”ภูมิใจไทย” ยังมี”หลายอย่าง” ที่ยังต้อง”พึ่งพาอาศัย” ในการ”ขับเคลื่อน”ของ”รัฐนาวา” ที่นำโดย แพทองธาร ชินวัตร ดังนั้น”ภูมิใจไทย” ยังคงเป็น”พรรคร่วมรัฐบาล” ต่อไป และ”เพื่อไทย” ก็ไม่กล้าที่จะยึด”มหาดไทย” คืนจาก” ภูมิใจไทย” แม้ “นายกรัฐมนตรี” จะมี”อำนาจ” ในการ”ปรับ ครม.”โดยไม่ต้อง”บอกกล่าว” กับ”พรรคร่วม” เช่นเดียวกับ”พรรคร่วม” อื่นๆ ที่ยังคง”เกาะเก้าอี้” ในตำแหน่ง” เสนาบดี” กระทรวงต่างๆ ต่อไป ดังนั้น “คนไทย” จึงต้อง”ทำใจ” กับการ”ปรับ ครม.” ครั้งนี้ว่า ไม่ได้ทำให้”ประเทศชาติ” และ”ประชาชน” ดีขึ้น…..ยก เว้น”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็น”สทร.” กล้าที่จะ”หักดิบ” ลูกสาวของ ตนเอง และ”พรรคร่วม” โดยใช้”อำนาจ” ของ” นายกรัฐมนตรี” ในการ”หักด้ามพร้าด้วยหัวเขา” ด้วยการ”ปรับใหญ่” ยึดเอา”กระทรวงสำคัญ” อย่าง”มหาดไทย, ศึกษาธิการ” จาก” ภูมิใจไทย” และยึด”กระทรวงพลังงานจาก” จาก”รวมไทยสร้างชาติ” กลับมาเป็นของ”เพื่อไทย” เพื่อเป็นการ”กดดัน” ให้” พรรคที่ไม่พอใจ” ลาออกจากการ”ร่วมรัฐบาล” โดยไม่ต้อง”เขี่ยออก” ซึ่งหากมีการ”ปรับใหม่” อย่างนี้ ก็ เชื่อได้ว่า” ทักษิณ ชินวัตร” มีแผนในการ”ขับเคลื่อน”นำ”รัฐนาวา” ของ” เพื่อไทย” โดย” แพทองธาร ชินวัตร” โดยพร้อมที่จะ”รับแรงกระแทก” ทาง”การเมือง” และ”สูตรนี้” เป็นการ”กระชับอำนาจ” เพื่อให้”เพื่อไทย” ได้ทำตาม”นโยบาย” ที่ต้องการ และเตรียมที่จะ”ยุบสภา” เพื่อ”คืนอำนาจ” ให้กับ”ประชาชน” เพื่อ”เลือกตั้ง” ใหม่
นั้นเป็นเรื่อง”ปรับ ครม.” ที่ถูกสร้างให้เป็น”กระแส” จาก” สื่อมวลชน” และ” กูรู” ทาง”การเมือง” ที่ ทำตัวเป็น”พยาธิในท้อง”ของ” บุรุษ”ที่เป็น”สทร.”ซึ่งคนที่ถูก”วิพากษ์วิจารณ์” อาจจะถูก” สรท.” หัวเราะก๊าก หรือ”ขำกลิ้ง” เพราะสุดท้ายการ”ปรับ ครม” เป็นไปตามสูตรของ”สทร.” ที่ไม่เหมือนกับการ”วิพากษ์วิจารณ์” ของ” สื่อมวลชน” และ”กูรู” ทาง”การเมือง” ก็เป็นได้ และอาจจะไม่ใช่การ”ปรับ ครม.” ในเร็วๆนี้ก็เป็นได้ เพราะ”การเมือง” ใน”สมัยการปิดประชุมสภาฯ” ไม่มี”ผลทางการเมือง” จึงไม่ต้อง”เร่งร้อน” รอให้”กระแส”และ”ความอยาก” ของ”คนการเมือง” หมดไปก่อน จึงค่อย”ปรับ ครม.” ก็ไม่สาย “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”
แต่ เรื่องที่ เดือดร้อน แล้วสำหรับ”ประชาชน” ที่อยู่ในภาค”เกษตรกร” เพราะ”ยางพารา” ที่ ก่อนหน้านี้” รัฐบาล” และ”การยางแห่งประเทศไทย” ออกมา”คุยนักคุยหนา” ว่า”ราคายาง” จะไปสู่”เลขสามหลัก” แต่วันนี้”ราคาน้ำยางสด” เหลือเพียง กิโลกรัมละ 50 กว่าบาท“ยางก้นถ้วย” กิโลกรัมละ 25 บาท “เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” จะอ้างว่ามาจากการ”ขึ้นภาษี”ของ” สหรัฐอเมริกา” คือสาเหตุของ”ราคายางตกต่ำ” เพราะ”ลึก” ลงไป การที่”ราคายางตกต่ำ” มาจาก”พ่อค้าคนกลาง” ที่”ฉวยโอกาส” การประกาศ”ขึ้นภาษี” ของ”โดนัลด์ ทรัมป์”เป็น”ข้ออ้าง” การเป็น” เสนาบดี”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้อง”มีกึ๋น”ในการแก้ปัญหา ไม่ใช่คิดแต่ใน”ขอความร่วมมือ” จาก” พ่อค้าคนกลาง” ให้”ช่วยขึ้นราคา” ในเมื่อ”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มี”กฎหมาย” ในการใช้”จัดการ” กับ”พ่อค้าคนกลาง” ที่”ฉวยโอกาส”..…เช่นเดียวกับความ”เดือดร้อน” ของ”เกษตรกรชาวสวนปาล์ม” ที่ “รัฐบาล” ปล่อยให้” ราคาปาล์ม” จาก”กิโลกรมละ 12 บาท” เหลือเพียง “กิโลกรัมละ 4 บาทกว่า โดยที่ไม่”แจ้งสาเหตุ” และ”ไม่มีการการ”แก้ปัญหา” และไม่มี”แผนในการรองรับ”
วันนี้ “ปาลม์” ใน”สวนปาล์ม” ของ”เกษตรกร”ถึงเวลาในการ”เก็บเกี่ยว” เพื่อ”ส่งขาย” ในขณะที่”ลานเท” ที่รับซื้อ”ผลผลิต” และโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม” ปิด”ลานเท” ปิดโรงงาน” โดยอ้าง”ผลผลิต” มากเกินกำลังในการผลิต การบริหารประเทศของ”รัฐบาล”ที่ไม่”รับรู้” ความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน” และไม่”กระตือรือล้น”กับการ”แก้ปัญหา” ทั้งที่เป็นเรื่อง”เศรษฐกิจ”ของ”ประเทศชาติ” เรื่องทั้งหมดต้องโทษผู้ที่เป็น”ต้นน้ำ” คือ” ผู้แทนราษฎร” ในพื้นที่ ซึ่งเป็น”ตัวแทน” ของ”ประชาชน” ที่ไม่ได้นำ”ปัญหา”ความ” เดือดร้อน” ของ”ประชาชน”ไป”ขับเคลื่อน” ใน”สภาผู้แทน” เพื่อให้” รัฐบาล” และ”กระทรงเกษตรและสหกรณ์” ได้รับทราบ ส่วน”กลางน้ำ” คือ” หน่วยงานของรัฐ” ในพื้นที่” ตั้งแต่”พาณิชย์จังหวัด “ เกษตรจังหวัด นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่”วางเฉย” เพื่อรอให้”ปัญหาปะทุ” จนมาถึง”ปลายน้ำ” คือ” เสนาบดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่รอให้”ฝีแตก” จึงออกมา”รับลูก” ซึ่งกลายเป็นเรื่องของ” ถั่วสุกงาไหม้” เสียหาย และ ไม่ทันการ ก็ไม่ทราบว่า ทำไม” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ”รัฐบาล” ต้องรอให้”เกษตรกรทั่วประเทศ ออกมา”ประท้วง” เสียก่อน จึงจะมีการ”แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน” ทั้งที่ โดยข้อ”เท็จจริง” ในทุกจังหวัดต่างมี”กลไก” ของ”รัฐ” ที่ต้อง”รับรู้” ถึงทุกเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง”ผลผลิต” ทางการ”เกษตร”จึง”ลุกลี้ลุกลน” ออกมาแก้ปัญหา เพราะอย่างนี้กระมัง”ประชาชน” จึง”เสื่อมศรัทธา” รัฐบาลของ”แพทองธาร ชินวัตร” อย่าง”รวดเร็ว” ที่เข้ามาบริหารประเทศยังไม่ถึงปี
เรื่องความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน” ใน”ภาคใต้” มีการนำไป”ปราศรัย” อย่าง”อึงคะนึง” ในเวทีการ”หาเสียง” เพื่อ”เลือกซ่อม” ผู้แทนราษฎรเขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช แสดงให้เห็น”พรรคการเมือง” ทุกพรรค รู้ถึงความ”เดือดร้อน” ของ”คนภาคใต้” ในทุกเรื่อง แต่ “เชื่อเถอะ “ หลังหมดหน้าการ”หาเสียง” หลังจาก”พรรคการเมือง” ได้”สส.” เป็นที่เรียบร้อย เรื่องความ”เดือดร้อน” ของ”คนภาคใต้” ก็จะหายเข้า”กลีบเมฆ” และ นี่กระมัง ที่ทำให้”ประชาชน” เลือกที่จะ”รับเงิน” ในการ”เลือกตั้ง” เพราะ “ประชาชน” เห็นถึง”สันดอน” ที่แท้จริงของ”การเมือง” ที่ไม่มี”พรรคการเมือง”ไหนที่”จริงใจ” กับการแก้”ปัญหา” ความ”เดือดร้อน”ของ”ประชาชน” การ”เอาเงิน” เพื่อไป”เลือกตั้ง” ถือเป็น”กำไร”…..เรื่องการ”เลือกซ่อม” ผู้แทนราษฎร ที่ เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช แม้จะ”จบสิ้น” ไปแล้ว แต่ก็ต้องเขียนถึง”ปรากฎการ” ของการ”เลือกตั้งซ่อม” ที่มีการ”ซื้อเสียง” จาก”พรรคการเมือง” บางพรรค”อย่าง”มโหราฬ” ซื้อแบบ”ปูพรม” มีการ”กวาดต้อน”บุคคลในพื้นที่ ซึ่งเป็นคนใน”เครื่องแบบ” เป็น”เครือข่าย” เพื่อใช้ในการเป็น”เครื่องมือ”ของการ”ซื้อเสียง” แบบที่ไม่มีใคร”คาดคิด”ว่า”เสียงเดียว” ของการ”เลือกตั้งซ่อม” จะมีความ”สำคัญ” ถึงขนาดนี้ ดังนั้น”ฟันธง” ไว้เลยว่า”การเมืองไทย” ระบบ”ประชาธิปไตย” แบบไทยๆ นับวันยิ่ง”เลวร้าย” และ”ไร้ความหวัง” ที่จะเห็น”การเมืองสีขาว” เพราะ”เงิน” ที่ใช้”ปูพรม” ในการ”ซื้อเสียง” ครั้งนี้เป็น”เงินสีเทา” ที่มาจาก”บ่อนออนไลน์” ตำรวจ ต้อง ดำเนินการ”ปราบปราม” การพนัน”ออนไลน์” ให้หมดไปจาก”ภาคใต้” ซึ่งวันนี้ “สงขลา, นครศรีธรรมราช, สุราษฏร์ธานี,ระนอง, ภูเก็ต” ยังเต็มไปด้วย”บ่อนออนไลน์” ที่เป็นของ”นักการเมือง” นอกจากนั้น “เงินสีเทา” ที่ถูกนำมาทำ”กิจกรรมทางการเมือง” ยังมาจากการ”ค้าน้ำมันเถื่อน” ที่ทำกันอย่าง”เสรี”
ส่วน ชายแดนจังหวัดสงขลาเรื่องเก่า เรื่องเดิม ที่ยังไม่ได้แก้ หรือยัง”ปล่อยปละละเลย”เช่นการ”ส่งออกยางพาราเถื่อน” โดยไม่มีการ”เสียภาษี” สร้างความ”เสียหาย” ให้กับประเทศชาติในเรื่องของ”ภาษี” และ”งบประมาณแผ่นดิน” การนำเข้า”ปลากะพง”จาก”ประเทศมาเลเซียโดยการ”หนีภาษี” ซึ่งนอกจากผิด”พรบ”ศุลกากร”แล้ว “นักวิชาการ” ยังพบว่า”ปลากะพง” จาก”ประเทศมาเลเซีย” มี”สารตกค้าง” ที่เป็น”อันตราย” ต่อผู้”บริโภค” และที่สำคัญเป็นการ สร้างความเดือดร้อนให้กับ”เกษตรกร” ผู้”เลี้ยงปลากะพง” ใน “จังหวัดสงขลา” และ”ใกล้เคียง” เนื่องจาก” ปลาหนีภาษี” มีการนำมา”ขายในราคาถูก”….. และวันนี้”ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน”ใน”จังหวัดสงขลา” มีการใช้”รถบรรทุกสินค้า” หรือ”รถห้องเย็น” ที่วิ่ง”ระหว่างประเทศ” นำน้ำมัน”ดีเซล-เบนซิน” ซุกช่อนมากับ”ห้องเย็น” และ”ดัดแปลง” ติดถังน้ำมันเพิ่มขึ้น”ใต้ท้องรถ” สามารถนำน้ำมันเถื่อน เข้ามาส่งขายให้กับ”คอกน้ำมัน” ในพื้นที่ คันละ 5,000 ลิตร ล่าสุด พ.อ.ธนพล นุ้ยสุข “ รอง ผบ.ฉก. ร 5 จับกุมได้ ทั้งรถ ทั้งของกลาง และ คนขับ” ซึ่งให้การ”สารภาพ” ว่า เป็นเพียง”ผู้รับจ้าง” ทำตามคำสั่งของ”นายทุน” โดยการซื้อ”น้ำมันดีเซลเถื่อน” จาก”ฝั่งมาเลเซีย” ในราคาลิตรละ 20 บาท นำผ่าน”ด่านศุลกากรสะเดา” ไปส่งให้”คอกน้ำมัน” ที่”บ้านฉลุง” ต.”ทุ่งตำเสา” อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
คำถามคือ”เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรอยู่กันอย่างไร จึง”ปล่อยปละละเลย” ให้”รถบรรทุกหัวลาก” ที่”วิ่งระหว่างไทย-มาเลเซีย –สิงคโปร์” เข้าไป”บรรทุกน้ำมันเถื่อน”ได้ เพราะ “กฎหมาย” ไม่”อนุญาต” ให้รถที่ไม่มีการ”บรรทุกสินค้า”เพื่อการ”ส่งออก”วิ่ง”เข้า-ออก” ระหว่างประเทศ และประเด็นต่อมา “รถที่มีการ”ซ่อนน้ำมันเถื่อน” หรือ”สินค้าเถื่อน” มาใน”ห้องเย็น” ผ่าน”ด่านศุลกากร”ได้อย่างไร และเมื่อ”รถบรรทุกห้องเย็น” เหล่านี้ มีการ”ซุกซ่อนน้ำมันเถื่อน” จำนวน 5,000 ลิตร มาได้ ก็เป็นไปได้ว่า”รถบรรทุกห้องเย็น” เหล่านี้ ก็สามารถ”นำของเถื่อน” อื่นๆ เช่น” เนื้อเถื่อน” หรือ”รถยนต์หลบหนีภาษี” เข้ามาใน “ประเทศไทย” ได้เช่นกัน เรื่องนี้”ภานุ ลิ้มวงศ์ยุติ” นายด่านศุลกากรสะเดา จ.สงขลา ต้อง”สอบสวน” ข้อเท็จจริง และ “นิรมล ศรีวุฒิชาติ “ผอ.ส่วนควบคุมศุลกากร และ”อังกูร เรืองสุข” หน.ฝ่ายป้องกันและปราบปรามศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ต้อง เร่ง ทำหน้าที่ในการ”ป้องกัน” และ”ปราบปราม” ให้ “เข้มแข็ง”และที่สำคัญ”บ่อน้ำมันเถื่อน” ที่”ฉลุง” เป็นของ”นายทุนคนไหน” ทำไมในการ”จับกุม” เมื่อ”ผู้ต้องหา”ให้การ”สารภาพ” แล้ว จึงไม่มีการติดตามไป”ตรวจสอบ” เพื่อ”จับกุม”แหล่งที่”เก็บกัก” น้ำมันเถื่อน เรื่องนี้เห็นที่ต้องฝากให้” พ.ต.อ.ภูวรา แก้วพารัตน์” ผกก.สภ.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าของพื้นที่”บ้านฉลุง” ตรวจสอบด้วย….โดยเฉพาะในเรื่อง”การขอ”นำเข้าน้ำมันดีเซล” และ”เบนซิน” จาก”ประเทศมาเลเซีย” เพื่อส่งไปยัง”ประเทศที่สาม” เช่น”ส ปป.ลาว,กัมพูชา,เมียนมา” วันละ 10 -20 คันรถเทรเลอร์ มีการ”ตรวจสอบ” หรือไม่ว่ามีการ” ส่งจริง” ไปยัง”ประเทศเหล่านั้น หรือนำมา”จำหน่าย” ใน”ประเทศไทย” โดยการส่งเพียง”เอกสาร” ให้กับ”ด่านปลายทาง” อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่อง” ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติ” ที่นอกจากได้”กำไร” จาก”ส่วนต่าง” ของ”น้ำมันเถื่อน” แล้ว ยังมีการขอ”คืนภาษี” ซึ่งเป็นการ”ฉ้อฉล” เป็นการ”ทุจริต”
อีกเรื่อง คือ”ถนนทางหลวงชน” สาย”คลองแงะ-คลองหอยโข่ง” ระหว่าง อ.สะเดา อ.คลองหอยโข่ง-สนามบินหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ เป็น”ทางลัด”จาก” อ.หาดใหญ่”ไปยัง”ชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นถนน”สองเลน” แต่การ”จราจรพลุกพล่าน” เพราะ”รถบรรทุก,รถเทรเลอร์” ต่างใช้เส้นทางดังกล่าว เพื่อ”หลบหลีก” ด่าน”ชั่งน้ำหนัก” ที่ “จุดตรวจทุ่งลุง” อีกไม่นานถนนสายนี้คง”พังทลาย” จากการ”บรรทุกน้ำหนักเกิน” เรื่องนี้”ขนส่งจังหวัด” ทำไมไม่”จัดการ” โดยเอา”ตาชั่ง” ไปตั้งในถนนสายดังกล่าว” …… และที่ สำคัญกว่านี้ “ถนนสายคลองหอยโข่ง” ยังเป็น”เส้นทาง” ของ”ขบวนการค้าของเถื่อน” จาก”ชายแดนปาดังเบซาร์ และ”จาก”สำนักนักขาม “ อ.สะเดา จ.สงขลา ที่วิ่งกันทั้ง”กลางวัน” และ”กลางคืน” กลายเป็น” เส้นทางเศรษฐกิจ” ของ”ขบวการค้าของเถื่อน” และของ”เจ้าหน้าที่” ซึ่งมีการไป”ตั้งด่านลอย” แต่ไม่เคยมี”ผลงาน” ในการ”จับกุม”รถเทรเลอร์” ที่”ผิดกฎหมาย” และ”ขบวนการค้าของเถื่อน” ให้เห็น”ผลงาน” แต่อย่างใด จับได้เพียง”พรบ.จราจร”ที่คนทำผิดคือคน”ในพื้นที่เท่านั้น” เรื่องนี้ฝากให้” พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฏ์” ผบก.ภ.จว.สงขลา ช่วย”สั่งการ” ให้จับ”ขบวนการค้าของเถื่อน” เพื่อให้สมกับที่เป็น”ด่านลอยเพื่อความมั่นคง”ด้วย เพราะ”ประชาชน” ถามว่าการตั้ง”ด่านลอยเพื่อความมั่นคง” ใน”ถนนสายดังกล่าว” เป็น”ความมั่นคง” ของ”ใคร
เรื่องของ”เมืองท่องเที่ยว” อย่าง”จ.ภูเก็ต” ที่มีการแก้ปัญหาเรื่องการ”บุกรุกที่ดิน” มาเป็นเวลาหลายปี แต่ วันนี้การ”บุกรุกที่ดิน” ใน จ.ภูเก็ต ทั้ง”ที่ดินในเชิงเขา” และ”ที่ดินชายหาด” ยังมีการ”บุกรุก” เข้าทำการ”ครอบครอง” ทั้งจาก”นายคนไทย” และ”นายทุนต่างชาติ” ล่าสุด “เจ้าหน้าที่ป่าไม้” และ”ที่ดิน” ทำการยึดที่ดิน”ชายหาด” ที่ถูก”บุกรุก”ได้อีก 1 แปลง ที่สำคัญ วันนี้”ภูเก็ต” เป็นพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วย”มาเฟีย” ทั้ง”ต่างชาติ” และ”นายทุน”ทั้งใน”และ”จาก”นอกพื้นที่” เรื่องทั้งหมด”อนุทิน ชาญวีรกุล” เสนาบดี”มหาดไทย”และ” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์” ผบ.ตร. ต้อง”ไขลาน” เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ให้”สนใจ” ในการ ทำหน้าที่ มากกว่านี้……เรื่องการเข้ามา”ท่องเที่ยว” ของ”นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เป็นเรื่องดี แต่ที่ปล่อยให้”นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เข้ามา”เปลือกกายแก้ผ้า” ทำ”กิจกรรม” และ”เมามายเละเทะ” อย่างที่เกิดขึ้นที่”ชายหาดเกาะพะงัน” อ.เกาะพงัน จ.ราษฎร์ธานี เป็นเรื่องที่”ต้องระวังป้องกัน” เรื่องนี้เป็น”หน้าที่”ของ”นายอำเภอ” และ”ผู้กำกับ” และ”ตำรวจท่องเที่ยว” ต้องมีความ”เข้มงวด” และต้อง”บังคับใช้กฎหมาย” โดยไม่มีการ”ละเว้น”
ส่วนนี้ก็เป็นเรื่อง” คาราคาซัง” ในหลายจังหวัดของภาคใต้ ทั้งที่”จังหวัดกระบี่,จังหวัดสุราษฎ์ธานี” และ”จังหวัดชุมพร” นั้นคือเรื่อง”สวนปาล์ม” ที่”หมดสัมปทาน” แล้ว” แต่”หน่วยงานราชการ” ไม่เข้าไป”ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย” ปล่อยให้”นายทุนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์” และ”กลุ่มอิทธิพล” ทำการ”บุกรุก”เข้า”ครอบครอง”กลายเป็นความ”ขัดแย้ง” ยกพวกเข้า”เข่นฆ่า” กันมานานกว่า 10 ปี ล่าสุด “ชาวบ้าน”กว่า 300 คน “บุกศาลากลาง” ทวงถามความ”ชัดเจน” จาก”เธียรชัย ชูกิจวิบูลย์” ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เพื่อให้ยืนยันว่า “สวนปาล์ม” ที่”หมดสัมปทานแล้ว”ในพื้นที่”ต.รับร่อ-สลุย” จำนวน 20,000 กว่าไร่ ทำไมจึงมี”นายทุน” เข้าไป”เก็บผลผลิต”ได้ และ”ประชาชน” ที่เป็น”คนยากคนจน” ต้องการให้นำ”ที่ดินสวนปาล์ม” ที่หมด”สัมปทาน”แล้วมา”แจกจ่าย” ให้กับ”คนจน”ได้มีที่”ทำกิน” นี่คือความ”ล้มเหลว” ของการ”บริหารราชการแผ่นดิน” ที่ไม่” สามารถบริหารจัดการ”กับ”ปัญหา” ที่เกิดขึ้น ทั้งที่บ้านเมืองมี”กฎหมาย” มี”ตำรวจ” มี”อัยการ” มี”ศาลสถิตยุธรรม” เป็น” เครื่องมือ” แต่ไม่สามารถใช้”กฎหมาย” ในการ”แก้ปัญหา” ที่เกิดขึ้น เรื่องนี้”ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร” จะแก้อย่างไร หรือจะ”นั่งทับ”ปัญหาเอาไว้ เพื่อให้เป็น”ระเบิดเวลา” ให้เป็น”ชนวนเหตุ”ของความ”ขัดแย้ง”ต่อไป และถ้าทุกปัญหาเป็นเรื่องที่”รัฐบาล” ต้อง”แก้ไข” แล้วจะมี”นายอำเภอ” และ”ผู้ว่าราชการจังหวัด”ไว้ทำอะไร
งวดเข้ามาทุกขณะ สำหรับการ”เลือกตั้งท้องถิ่น” ระดับ”เทศบาล”ซึ่งใน”ภาคใต้” มีหลายสนามที่น่าสนใจ เพราะมีการ”แข่งขัน”กันอย่าง”ดุดัน” เช่น” เทศบาลนครหาดใหญ่” ที่”โค้งสุดท้าย” เป็นการ”ต่อกร” ระหว่าง”เพื่อนกับเพื่อน”คือ” พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี” ผู้สมัครหายเลข 1 “ทีมหลวงคร” กับ”ณรงค์พร ณ พัทลุง” ผู้สมัครหมายเลข 2 “ทีมปลัดแป้น”…..ส่วนที่ เทศบาลเมืองปัตตานี “พิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์” อดีต”นายก 4 สมัย ที่”สอบตก” เมื่อ 4 ปี ก่อน “เสียงตอบรับ”จาก”ประชาชน” ยัง”อุ่นหนาฝาคั่ง” มีโอกาสที่จะ”รีเทิร์น” กลับมาเป็น” นายกเทศมนตรี” สมัยที่ 5 ค่อนข้าง”ชัวร์” ส่วนที่”เทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นเมืองใน”หุบเขา” อากาศร่มเย็น” แต่”อุณหภูมิการเมือง”กลับ”สูงปรี้ด” เพราะมีการ”แข่งขัน”กันถึง 3 ทีม ระหว่าง”สกุล เล็งลัคน์กุล” หรือ”โกตุ้น” ที่เป็น”แช็มป์เก่า” กับ”ช่างใช้” หรือ”ใช้ วงศ์นิตยลัภย์” และ”ยุพราช เลิศลำยอง” อดีต”นายเทศมนตรี” ปี 2555-2562 ทั้งหมดคือ”ความเคลื่อนไหว” ของ”การเมืองท้องถิ่น” ส่วนใครจะ”เป็นหมู่”ใครจะ”เป็นจ่า” วันที่ 11 พฤษภาคม” ที่จะถึงนี้ เป็นอัน”รู้เรื่อง” แต่ทุกพื้นที่”กาคาบข่าว” บอกว่า”เงิน” คือ”ปัจจัย” สำคัญที่สุดของการ”เลือกตั้ง” …..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ
ไชยยงค์ มณีพิลึก